More Related Content
Similar to TAEM11: แนวทางการธำรงรักษาบุคลากร การแพทย์ฉุกเฉิน
Similar to TAEM11: แนวทางการธำรงรักษาบุคลากร การแพทย์ฉุกเฉิน (20)
TAEM11: แนวทางการธำรงรักษาบุคลากร การแพทย์ฉุกเฉิน
- 1. การพัฒนาและธำารงรักษาบุคลากรฉุกเฉิน
นพ.ประจักษวิช เล็บนาค
เพื่อให้มีความชัดเจนในส่วนที่จะเกี่ยวข้องจึงจำาเป็นต้องพูดถึง
นิยาม หรือความหมายคำา ต่างๆที่เกี่ยวข้องตั้งแต่แรก มิเช่นนั้นผู้เขียนก็
จะไปทาง ผู้อ่านหรือผู้ฟังก็จะเข้าใจไปอีกทางหนึ่ง ตามพระราชบัญญัติ
การแพทย์ ฉุ ก เฉิ น ปี พ .ศ . 2551 ได้ กำา หนดความหมายของ การแพทย์
ฉุกเฉิน ว่าหมายถึง การปฏิบัติการฉุกเฉิน การศึกษา การฝึกอบรม การ
ค้นคว้าและการวิจัยเกี่ยวกับการประเมิน การจัดการ การบำา บัดรั กษาผู้
ป่ ว ย ฉุ ก เ ฉิ น แ ล ะ ก า ร ป้ อ ง กั น ก า ร เ จ็ บ ป่ ว ย ที่ เ กิ ด ขึ้ น ฉุ ก เ ฉิ น i
แม้ ว่ า พระราชบั ญ ญั ติ นี้ ไ ม่ ไ ด้ ใ ห้ ค วามหมายคำา ว่ า ระบบการ
แพทย์ฉุกเฉินไว้แต่ก็มีการอ้างถึงในหลายมาตรา (ม.11 (1), ม. 15 (2), ม.33
วรรค 2) นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงระบบปฏิบัติการฉุกเฉินในมาตรา 15
(3) ด้วย ดังนั้นผู้เขียนจึงได้พยายามรวบรวมจากแหล่งความรู้ต่างๆ เพื่อ
กำาหนดความหมายของคำาว่าระบบว่าควรจะหมายรวมถึงอะไรบ้าง “ระบ
บ” จะหมายถึง "ภาพส่วนรวมของโครงสร้างหรือขบวนการอย่างหนึ่งที่มี
การจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่างๆ ที่รวมกันอยู่ใน
โครงการ หรือขบวนการนั้น ทั้งนี้เพื่อแก้ปัญหาหรือช่วยให้การทำา งาน
นั้ น บ ร ร ลุ ต า ม วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์ ที่ ตั้ ง ไ ว้ ” ii
ดั ง นั้ น ระบบการแพทย์ ฉุ ก เฉิ น จึ ง ควรจะมี ค วามหมายที่ เ กี่ ย วกั บ
องค์ประกอบของทรัพยากรต่างๆ ทั้งคน องค์ความรู้ เครื่องมือ พาหนะ
สารสนเทศ ฯลฯ ที่เ ป็ น ส่ ว นประกอบในการทำา ให้ ก ารช่ ว ยเหลื อ ผู้ ป่ ว ย
ฉุ ก เ ฉิ น เ ป็ น ไ ป อ ย่ า ง มี ป ร ะ สิ ท ธิ ภ า พ
นอกจากนี้ เ พื่ อให้ บ ทความนี้มี ข อบเขตที่ รั ดกุ ม มากยิ่ ง ขึ้ น เพราะ
นิ ย ามของการแพทย์ ฉุ ก เฉิ น มี ค วามกว้ า งไปจนถึ ง การศึ ก ษา การฝึ ก
อบรม การค้นคว้า วิจัย ดังนั้นจึงขอตั้งกรอบบุคลากรฉุกเฉินที่จะพัฒนา
และธำารงรักษาไว้นี้ว่า คือบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับระบบการแพทย์ฉุกเฉิน
เฉพาะที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการปฏิบัติการฉุกเฉินตั้งแต่ การดำาเนินการ
ณ ที่เกิดเหตุ จนกระทั่งได้รับการบำาบัด รักษาให้พ้นภาวะฉุกเฉิน ทั้งใน
และนอกสถานพยาบาล โดยไม่รวมถึงบุคลากรที่ทำาการศึกษา ฝึกอบรม
ค้ น ค ว้ า วิ จั ย
ประเภทบุ ค ลากรที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ ระบบการแพทย์ ฉุ ก เฉิ น ที่ ค ณะ
อนุกรรมการด้านวิชาการและประเมินผล นำา เสนอต่อคณะกรรมการการ
แ พ ท ย์ ฉุ ก เ ฉิ น ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย
- 2. 1. แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน พยาบาล
2. เ ว ช กิ จ ฉุ ก เ ฉิ น
2.1 ร ะ ดั บ สู ง (EMT-P; Paramedic)
2.2 ร ะ ดั บ ก ล า ง (EMT-I; Intermediate)
2.3 ร ะ ดั บ พื้ น ฐ า น (EMT-B; Basic)
3. อาสาสมัคร เช่น อาสาสมัครรับแจ้งเหตุ, อาสาสมัครช่วยผู้ป่วย
ฉุ ก เ ฉิ น , อ า ส า ส มั ค ร กู้ ชี พ (FR; First responder)
4. ผู้ ค ว บ คุ ม สั่ ง ก า ร (EMD; Dispatcher)
5. ผู้ ส นั บ สนุ น กา ร ป ฏิ บั ติ กา ร เช่ น พ นั ก ง า น ขั บ ร ถ เ ป็ น ต้ น
การพัฒนาบุคลากรฉุกเฉิน ก็เป็นการพัฒนาให้มีความรู้เพิ่มพูนยิ่ง
ขึ้น กรณีของแพทย์ พยาบาล จะมีสภาวิชาชีพดูแลอยู่แล้ว สถาบันการ
แพทย์ ฉุ ก เฉิ น แห่ ง ชาติ จ ะมี ส่ ว นที่ จ ะช่ ว ยเหลื อ ได้ จะเป็ น ในการแลก
เปลี่ยนความรู้เพื่อช่วยเหลือกันในการเรียนรู้ร่วมกันมากกว่า โดยสิ่งที่ได้
กำา หนดไปแล้ ว ใน KPI ของกระทรวงสาธารณสุ ข คื อ การให้ มี Case
Conference อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อให้มีการทบทวนสิ่งที่ได้ทำา
ไ ป แ ล้ ว เ ป็ น แ บ บ ป ร ะ ม า ณ ว่ า พี่ ส อ น น้ อ ง เ พื่ อ น ช่ ว ย เ พื่ อ น
ในการพัฒนาเวชกิจ ก็มีการทบทวนหลักสูตรให้มีความต่อเนื่องกัน
เป็นแบบบันได เช่น FR 16 ชั่วโมง พัฒนาเพิ่มเป็น 40 ชั่วโมง EMT-B
เรียนต่อเป็น EMT-I หรือ EMT-I ต่อเป็น EMT-Paramedic ได้อย่างไร
โดย สพฉ.ได้ขอให้คณะกรรมการแพทย์ฉุกเฉิน มอบอำา นาจให้ในการ
ไปจั ด ทำา รายละเอี ย ดหลั ก สู ต รร่ ว มกั บ สถาบั น ที่ ผ ลิ ต หากดำา เนิ น การ
สำา เร็ จ บั น ไดขั้ น ต่ อ ไปก็ คื อ การเจรจากั บ สำา นั ก งานคณะกรรมการ
ข้ า ราชการพลเรื อ น ในการกำา ห นดสา ขาวิ ชา ชี พ รวมไ ปถึ ง การ
ประชาสัม พัน ธ์ใ ห้ ป ระชาชนในวงกว้ างทราบว่ า เวชกิ จ เขาทำา อะไรกั น
บ้ า ง เ พื่ อ ส่ ง เ ส ริ ม ค ว า ม มี ศั ก ดิ์ มี ศ รี ใ น สั ง ค ม ต่ อ ไ ป
สำา หรับ ผู้ควบคุม สั่ง การ การพั ฒนาให้มี เ กณฑ์ ใ นการทำา งานเช่ น
Protocol เพื่อประกอบการตัดสินใจ ก็อยู่ในระหว่างการ Revise คู่มือที่มี
อยู่เพื่อให้มีความละเอียดมากยิ่งขึ้น และรวมไปถึงการพัฒนาโปรแกรม
คอมพิวเตอรช่วยในการตัดสินใจ Triage Case (โปรแกรมชื่อ ITEMS)
เมื่ อ จะพู ด เลยต่ อ ไปถึ ง การธำา รงรั ก ษาบุ ค ลากรไว้ มี จำา เป็ น ต้ อ ง
เข้าใจกันก่อนว่าเราต้องการธำา รงรักษา หรือดูแลบุคลากรฉุกเฉินไว้ ณ
ทีใด
่
เนื่ อ งจากตามพระราชบั ญ ญั ติ ส ถานพยาบาล ปี พ.ศ. 2541 ได้
กำา หนดไว้ ใ นมาตรา 36 “ผู้ รั บ อนุ ญ าตและผู้ ดำา เนิ น การของสถาน
- 3. พยาบาลต้องควบคุมและดูแลให้มีการช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ป่วย ซึ่งอยู่
ในสภาพอันตรายและจำา เป็นต้ องได้ รับ การรัก ษาพยาบาลโดยฉุกเฉิ น
เพื่อให้ผู้ป่วยพ้นจากอันตรายตามมาตรฐานวิชาชีพและตามประเภทของ
สถานพยาบาลนั้นๆ เมื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ป่วยตามวรรคหนึ่ง
แล้ว ถ้ามีความจำา เป็นต้องส่งต่อหรือผู้ป่วยมีความประสงค์จะไปรับการ
รัก ษาพยาบาลที่ ส ถานพยาบาลอื่ น ผู้รั บ อนุ ญ าตและผู้ ดำา เนิ น การต้ อ ง
จั ดการให้ มี การจั ด ส่ ง ต่ อ ไปยั ง สถานพยาบาลอื่ น ตามความเหมาะสม”
และหากไม่ ป ฏิ บั ติ ต ามจะมี โ ทษตาม มาตรา 66 “ผู้ รั บ อนุ ญ าตหรื อ ผู้
ดำาเนินการผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 36 ต้องระวางโทษจำาคุกไม่เกินสองปี หรือ
ป รั บ ไ ม่ เ กิ น สี่ ห มื่ น บ า ท ห รื อ ทั้ ง จำา ทั้ ง ป รั บ ” iii
จากการที่มีการผลิตแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินในจำา นวนที่จำา กัดใน
แต่ละปี แต่ความต้องการมีมากเพราะแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินเป็นด่าน
หน้าในการให้บริการในโรงพยาบาลทุกๆแห่ง ทำา ให้เกิดการแย่งชิงตัว
ของแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินจากโรงพยาบาลเอกชน ต่างๆ ซึ่งเล็งเห็น
ค ว า ม สำา คั ญ จ า ก ง า น ด้ า น ห้ อ ง ฉุ ก เ ฉิ น ม า ก ขึ้ น
การธำา รงรักษา ดูจะเป็นคำา ที่ไพเราะ แท้ที่จริงแล้วอาจเรียกได้ว่า
ยุทธการฉุดรั้งไว้ซึ่งแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน (และก็คงหมายรวมไปถึง
บุคลากรฉุกเฉินประเภทอื่นๆไปด้วย) เพื่อให้ปฏิบัติงานในโรงพยาบาล
ของรัฐเสียมากกว่า ทังนี้มิใช่การที่โรงพยาบาลเอกชนจะไม่ได้ให้บริการ
้
การรักษาพยาบาลคนในประเทศไทยที่มีภาวะฉุกเฉิน แต่เนื่องจากเป็นที่
ทราบกันดีว่าการกระจายตัว ของโรงพยาบาลเอกชน จะกระจุ กตั วตาม
เศรษฐฐานะ นั่นก็หมายถึงอยู่ในเมืองใหญ่ๆ เช่นกรุงเทพมหานคร เมือง
พัทยา เชียงใหม่ เป็นต้น หากการผลิตมีอย่างจำากัดและยังมีการออกไป
ปฏิ บั ติ ง านโดยไม่ ก ระจายไปตามความต้ อ งการที่ แ ท้ จ ริ ง ของผู้ ป่ ว ย
ฉุ กเฉิน จะทำา ให้ ไม่ส ามารถให้ บริก ารการแพทย์ฉุกเฉิน ได้ อ ย่ า งทั่ว ถึ ง
แ ล ะ เ กิ ด ค ว า ม เ ท่ า เ ที ย ม กั น ไ ด้ เ ล ย
ความคาดหวังของแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน ตามทฤษฎีลำา ดับขั้น
ความต้ อ งการ(Maslow’s Hierarchical Theory of Motivation) นั้ น iv
เชื่อว่าพฤติกรรมของมนุษย์เป็นจำา นวนมากสามารถอธิบายโดยใช้แนว
โน้มของบุคคลในการค้นหาเป้าหมายที่จะทำาให้ชีวิตของเขาได้รับความ
ต้ อ งการ ความปรารถนา และได้ รั บ สิ่ ง ที่ มี ค วามหมายต่ อ ตนเอง เป็ น
ความจริ ง ที่ จ ะกล่ า วว่ า กระบวนการของแรงจู ง ใจเป็ น หั ว ใจของทฤษฎี
บุ ค ลิ ก ภาพของ Maslow โดยเขาเชื่ อ ว่ า มนุ ษ ย์ เ ป็ น “สั ต ว์ ที่ มี ค วาม
ต้องการ” (wanting animal) และเป็นการยากที่มนุษย์จะไปถึงขั้นของ
ความพึ ง พอใจอย่ า งสมบู ร ณ์ ในทฤษฎี ลำา ดั บ ขั้ น ความต้ อ งการของ
- 4. Maslow เมื่อบุคคลปรารถนาที่จะได้รับความพึงพอใจและเมื่อบุคคลได้
รับความพึงพอใจในสิ่งหนึ่งแล้วก็จะยังคงเรียกร้องความพึงพอใจสิ่งอื่นๆ
ต่อไป ซึงถือเป็นคุณลักษณะของมนุษย์ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความต้องการจะได้
่
รั บ สิ่ ง ต่ า ง ๆ อ ยู่ เ ส ม อ
ตามทฤษฎี นี้ ลำา ดั บ ขั้ น ความต้ อ งการของมนุ ษ ย์ ( The Need –
Hierarchy Conception of Human Motivation ) Maslow เรียงลำา ดับความต้องการจาก
ขั้ น ต้ น ไ ป สู่ ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ขั้ น ต่ อ ไ ป ไ ว้ เ ป็ น ลำา ดั บ ดั ง นี้
1. ความต้ อ งการทางด้ า นร่ า งกาย ( Physiological needs)
2. ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ค ว า ม ป ล อ ด ภั ย ( Safety needs)
3. ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ค ว า ม รั ก แ ล ะ ค ว า ม เ ป็ น เ จ้ า ข อ ง
( Belongingness and love needs)
4. ความต้องการได้รับความนับถือยกย่อง ( Esteem needs)
5. ความต้ อ งกา รที่ จ ะ เข้ าใจ ตน เองอย่ า งแท้ จ ริ ง ( Self-
actualization needs)
สำาหรับแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินแล้ว ความต้องการด้านร่างกาย
ความปลอดภัย เลยไปถึงความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ ดู
จะเลยระดับเหล่านี้ไปแล้ว เพราะการเป็นแพทย์ ย่อมได้รับการยอมรับ
และมี สิ่ ง ที่ เ ป็ น ความต้ อ งการพื้ น ฐานต่ า งๆเหล่ า นี้ แ ล้ ว แต่ ก ารนั บ ถื อ
ยกย่อ งโดยเฉพาะจากเพื่ อนผู้ ร่ ว มงานเป็ น สิ่ งที่ สำา คั ญ ที่ อ าจนำา มาเป็ น
แนวทางเพื่ อ รั ก ษาให้ ธำา รงอยู่ ใ นระบบการแพทย์ ฉุ ก เฉิ น ที่ มี ค วาม
ต้ อ ง ก า ร ไ ด้
การที่ แ พทย์ เ วชศาสตร์ ฉุ ก เฉิ น จะได้ รั บ การยอมรั บ ในฐานะ
แพทย์เ ฉพาะทางที่เท่า เทีย มกั นนั้ น ก็ต้องยอมรั บ ความจริ งถึ ง อายุทั้ ง
ของแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินโดยส่วนตัว และโดยอายุของสาขาวิชาชีพ
นี้ เ พราะความที่ อ ายุ ยั ง น้ อ ยกว่ า สาขาอื่ น ๆมาก จึ ง อดไม่ ไ ด้ ที่ จ ะมี รุ่ น พี่
ต่างๆ ให้อยู่เวรแทนในห้อง ER หรือห้องฉุกเฉิน ซึ่งหลายต่อหลายแห่ง
มีการโอนผู้ป่วยไม่ฉุกเฉินมาให้ตรวจเมื่อถึงเวลาปิด OPD ด้วย ไม่ว่าจะ
อย่างไร แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินก็เป็นน้องคนเล็กของโรงพยาบาล ที่
เข้ า สู่ ร ะบบวงโคจรหลั ง สุ ด และดู เ หมื อ นจะมี เ พื่ อ นร่ ว มทางจำา นวนไม่
มาก หลายต่อหลายแห่งที่มีจำา นวนแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินหลายๆคน
อยู่รวมกันจะสามารถช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ดี อย่างน้อยก็ช่วยกันอยู่เวร
และต่อรองกับการวิธีการจัดการสภาพการล้นออกมานอกเวลาราชการ
ข อ ง OPD แ ผ น ก อื่ น ๆ แ บ บ ที่ ส่ ง ม า ต ร ว จ ที่ ER ไ ด้
- 5. นอกจากนี้ในด้านค่าตอบแทน ที่เป็นปัญหายาดำาสำาหรับแพทย์
ทุกสาขา ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลรัฐ เราคงไม่สามารถแก้ปัญหาด้วย
การเพิ่ ม ค่ า ตอบแทนให้ เ ฉพาะแพทย์ เ วชศาสตร์ ฉุ ก เฉิ น แต่ ก ารให้ มี
ความเท่าเทียมกันโดยเฉพาะ หากแต่การต้องปฏิบัติงานพิเศษที่มีความ
เสี่ยงอื่นๆ นอกโรงพยาบาลหรือในพื้นที่เสี่ยงภัยต่างๆ ก็อาจจำาเป็นต้อง
มี ก า ร กำา ห น ด เ ป็ น พิ เ ศ ษ ขึ้ น
สำา หรั บ การเป็ น ผู้ ป ฏิ บั ติ ก ารฉุ ก เฉิ น อื่ น ๆ ได้ แ ก่ เ วชกิ จ ฉุ ก เฉิ น
ระดับต่างๆ อาสาสมัคร ผู้ควบคุม สั่งการ โดยทั่วไปไม่ใช่ความต้องการ
ด้านร่างกาย ความปลอดภัย คงเป็นเรื่องที่อยู่ในความสำา คัญ หลายต่อ
หลายครั้ ง มั ก ได้ ยิ น เรื่ อ งการได้ รั บ บาดเจ็ บ การเสี ย ชี วิ ต ระหว่ า งการ
ทำางาน ซึ่ง สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติได้เจรจากับบริษัทประกัน
ชี วิ ต ขอให้ มี การทำา ประกั น ภั ย หมู่ หากมี ก ารเสี ย ชี วิ ตจะได้ รั บ การจ่ า ย
ชดเชยในวงเงินไม่เ กิน 200,000 บาท ก็คงพอทให้ความรู้สึก Secure
ต่ อ ผู้ อ ยู่ ข้ า ง ห ลั ง ร ะ ห ว่ า ง ก า ร ป ฏิ บั ติ ง า น ดี ขึ้ น บ้ า ง
ในแง่การมีความมั่นคงในการปฏิบัติงานในฐานะสาขาวิชาชีพ
หนึ่งไม่ต้องไปแฝงอยู่ภายใต้ชื่อเจ้าพนักงาน.....ก็เป็นเรื่องที่ต้องช่วยกัน
ต่อสู้ต่อไป กรณีนี้เมื่อ คณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินกำาหนดว่าเวชกิจ
ฉุกเฉินเป็นหลักสูตรของผู้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติ ก็ทำา ให้สพฉ.
สามารถไปเดิ น หน้ า ต่ อ ในการผลั ก ดั น กั บ หน่ ว ยงานอื่ น ๆ ได้ อย่ า งไร
ก็ ตามการผนึกกำา ลังกั นไว้ ของผู้ จบสาขานี้ย่ อมเป็ นพลัง สำา คั ญ สำา หรั บ
ก า ร ช่ ว ย กั น ฝ่ ฟั น อุ ป ส ร ร ค ข ว า ก ห น า ม ที่ ร อ อ ยู่ ข้ า ง ห น้ า
ความต้องการในการได้รับความนับถือ ยกย่อง ดูเหมือนจะเป็น
เรื่องที่ต้องใช้เวลาที่สุด แต่สำา หรับผู้ปฏิบัติหน้าที่ฉุกเฉินแล้ว ไม่น่าจะ
ยากเกินกว่าที่จะทำาให้สังคมโดยรวมยอมรับได้ เพราะงานที่ทำานี้เป็นการ
ปิดทองหน้าพระ คนจะมองเห็นในแต่ละครั้งที่ปฏิบัติดูจะไม่ใช่เรื่องยาก
นัก ทำา อย่างไรจึงจะสามารถเชิดชูผลงานที่เป็นรูปธรรม รวบรวมออกสู่
สาธารณชนได้ นั่นก็เป็นสิ่งที่สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินจะมีส่วนดำา เนิน
ก า ร ใ ห้ ไ ด้
สุดท้ายแล้วดูเหมือนหลายสิ่ง หลายอย่างเป็นเรื่องที่พูดกันมา
พู ด กั น ไป มานานหลายปี และมคนตั้ ง คำา ถามเชิ ง ปรามาสด้ ว ยซำ้า ว่ า
สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ จัดตั้งขึ้นมาแล้วมีอะไรดีขึ้นบ้างความ
จริงก็คือ เป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง และมีนำ้าหนักในการดำาเนินการอย่าง
มากในฐานะหน่วยงานระดับชาติ มีคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน ให้
ข้ อคิ ดเห็น อย่ างไรก็ ตาม ผู้ ที่ไ ด้ รั บ ผลกระทบโดยตรง โดยเฉพาะบุ ค
- 6. ลการฉุกเฉินทุกท่านต่างหาก ที่จะเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ ที่จะมีผลต่อการ
เปบี่ยนแปลง วงการ การแพทย์ฉุกเฉินที่แท้จริง “พลังอยู่ในมือของพวก
ท่านแล้ว ขอจงใช้มันให้เป็นประโยชน์ สพฉ.เป็นกลไกในการถ่ายทอด
พลังเท่านั้น” เมื่อพลังถูกใช้อย่างเต็มที่ ระบบการแพทย์ฉุกเฉินจะบรรลุ
วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ คือการทำาให้ “ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับการคุ้มครองสิทธิ
ในการเข้ าถึงระบบการแพทย์ ฉุก เฉิ นอย่ า งทั่ว ถึ ง เท่ า เที ย ม มี คุณภาพ
มาตรฐาน โดยได้ รั บ การช่ ว ยเหลื อ และรั ก าพยาบาลที่ มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพ
และทันต่อเหตุการณ์มากขึ้น” ตามที่กำาหนดไว้ในเหตุผลในการตราพระ
ร า ช บั ญ ญั ติ ก า ร แ พ ท ย์ ฉุ ก เ ฉิ น ปี พ .ศ . 2551 ….
- 7. i
พ ร ะ ร า ช บั ญ ญั ติ ก า ร แ พ ท ย์ ฉุ ก เ ฉิ น พ .ศ .2551 ม า ต ร า 3
ii
http://ednet.kku.ac.th/~sumcha/212300/system2.html
iii
พ ร ะ ร า ช บั ญั ติ ส ถ า น พ ย า บ า ล พ .ศ . 2541
iv
http://en.wikipedia.org/wiki/Maslow's_hierarchy_of_needs