More Related Content
Similar to อ แสวง เขียนมาดีมาก
Similar to อ แสวง เขียนมาดีมาก (20)
อ แสวง เขียนมาดีมาก
- 1. 1
การคิดเบียเลียงตามภาระงาน ส่ งเสริมหรือทาลายจริยธรรมแห่ งวิชาชีพ
้ ้
แสวง บุญเฉลิมวิภาส *
การปรับเปลี่ยนวิธีคิดเบี้ยเลี้ยงแบบเดิมมาเป็ นวิธีคิดตามภาระงาน หรื อเรี ยกกันแบบฝรั่งว่า
P for P ที่กระทรวงสาธารณสุ ขได้นาแนวคิดนี้มาใช้ ได้ก่อให้เกิดปั ญหาขัดแย้งในกระทรวงสาธารณสุ ข
การใช้ระบบดังกล่าว หากพิจารณาในหลักการ ดูเหมือนจะเป็ นเรื่ องที่ดี กล่าวคือ ใครทางานมาก ย่อม
ได้ค่าตอบแทนมาก ซึ่ งก็คือหลักบริ หารโดยทัว ๆ ไป แต่เมื่อนาหลักดังกล่าวมาใช้กบลักษณะงานทาง
่ ั
การแพทย์ ซึ่งมีลกษณะเป็ นวิชาชีพ (Profession) อาจจะมีความไม่เหมาะสมและสะท้อนให้เห็นว่า
ั
ผูบริ หารในกระทรวงยังไม่เข้าใจลักษณะงานที่เป็ นวิชาชีพ (Profession) อย่างแท้จริ งว่า การประกอบ
้
วิชาชีพมีความแตกต่างจากการประกอบอาชีพ (Occupation) โดยทัวไป และแตกต่างการประกอบธุ รกิจ
่
(Trade) อย่างมาก หรื อ อาจจะมีความเข้าใจ แต่จงใจที่จะปรับเปลี่ยนให้เป็ นไปตามแนวนโยบายที่ตน
ต้องการ
1. ความหมายและลักษณะงานทีเ่ ป็ นวิชาชีพ
หากทราบความเป็ นมาของคาว่า Profession จะพบว่า คานี้มีความหมายอย่างยิง
่
คาว่า Profession มาจากคากริ ยา “to profess จากรากศัพท์ภาษาลาตินว่า Pro+fateri แปลว่ายอมรับ
หรื อรับว่าเป็ นของตน เดิมคานี้ใช้ในเรื่ องของศาสนาหมายความว่าเป็ นการประกาศปฏิญาณตน ซึ่ งกรม
หมื่นนราธิ ปพงศ์ประพันธ์ ได้เคยให้ความหมายของวิชาชี พว่า อาชีวปฏิญาณ ซึ่ งอาชีวปฏิญาณดั้งเดิม
ได้แก่วถีทางของนักบวชซึ่ งต้องเคร่ งครัดในระเบียบวินยที่วางไว้ ในเวลาต่อมาได้ขยายมาถึงนัก
ิ ั
กฎหมายและแพทย์ ซึ่งลักษณะของงานที่เป็ น Profession จะเป็ นดังนี้
(1) เป็ นงานที่มีการอุทิศตนทาไปตลอดชีวต โดยคานึงถึงประโยชน์ของส่ วนรวม
ิ
เป็ นสาคัญ เป็ นงานที่มีเจตนารมณ์เพื่อช่วยเหลือประชาชน
(2) การงานนั้นต้องได้รับการอบรมสั่งสอนเป็ นเวลานานหลายปี คือมีการศึกษา
โดยเฉพาะในวิชานั้น มีการฝึ กอบรมอย่างสมบูรณ์แบบในทางวิทยาศาสตร์ ชัวระยะเวลาหนึ่ง
่
*
ที่ปรึกษาศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประธานกรรมการจริยธรรมประจา
ราชบัณฑิตยสถาน และกรรมการจริ ยธรรมการวิจยในคน คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล
ั
- 2. 2
(Prolonged formal scientific training) เป็ นการศึกษาอบรมทางความคิด (Intellectual) ยิงกว่าการ
่
ใช้มือ (Manual) และแรงงาน
(3) มีชุมชนหรื อหมู่คณะที่มีขนบธรรมเนียมประเพณี ที่สานึกในจรรยาบรรณ และ
่
มีองค์กรที่จะคอยสอดส่ องดูแลให้การทางานของผูประกอบวิชาชีพอยูในกรอบของจริ ยธรรม
้
จะเห็นว่าความหมายของ Profession ต่างกับ Occupation ซึ่งเป็ นการประกอบอาชีพโดยทัวไป ่
และต่างจาก Trade ซึ่ งเป็ นเรื่ องของธุ รกิจการค้า โดยลักษณะของ Profession เป็ นงานที่ผประกอบการ
ู้
งานนั้น มีความตั้งใจอุทิศตัวช่วยเหลือประชาชน เมื่อเป็ นเช่นนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์และผูป่วย ้
่
จึงอยูบนพื้นฐานของความนับถือไว้เนื้ อเชื่ อใจซึ่ งกันและกันที่เรี ยกว่าเป็ น Fiduciary Relationship แต่
เมื่อ Profession ถูกทาให้เป็ น Trade ความสัมพันธ์ดงกล่าวก็จะค่อย ๆ หมดไป
ั
ความเปลียนแปลงทีเ่ กิดขึนในสั งคมไทยทีผ่านมาก็คือการนาโรงพยาบาลเข้ าตลาดหลักทรัพย์
่ ้ ่
ทาให้ ความเป็ นวิชาชี พแปรเปลียนไปเป็ นธุรกิจ โรงพยาบาลหลายแห่ งทีถูกนักการเมืองและนักธุรกิจที่
่ ่
เป็ นแพทย์บ้าง ไม่ ใช่ แพทย์บ้าง เข้ าครอบงา โดยมองความเจ็บป่ วยเป็ นธุรกิจที่ทากาไรได้ มองผู้ป่วยว่ า
เป็ นลูกค้ า และตามด้ วยการโฆษณาที่แอบแฝง หรือเกินความเป็ นจริง เพราะนั่นคือความปกติทธุรกิจ ี่
มักจะทากัน ความสั มพันธ์ ที่เป็ น Fiduciary ก็จะถูกแปรเปลียนเป็ น Contractual Relationship คือเป็ น
่
ความสั มพันธ์ กนในเชิงสั ญญาเข้ าแทนที่
ั
2. เมื่อวิชาชี พถูกแปรเปลี่ยนเป็ นธุรกิจและอิสระวิชาชี พถูกคุกคาม
เมื่อนักธุ รกิจและนักการเมืองเข้าครอบงางานทางด้านการแพทย์ และนานโยบาย
ั
แบบธุ รกิจมาบริ หาร อิสระของวิชาชีพย่อมถูกกระทบไปด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กบ
ผูบริ หารโรงพยาบาล ที่เคยเป็ นความสั มพันธ์ แบบผู้ร่วมวิชาชี พ จะกลายเป็ นการบังคับบัญชาแบบผู้มี
้
อานาจเหนือ การแสดงความคิดเห็นจะถูกจากัด กลายเป็ นเพียงทางานเพือสนองนโยบาย และลุกลามเข้ าไป
่
ในส่ วนทีเ่ ป็ นดุลยพินิจหรืออิสระของวิชาชีพ เกิดระบบตรวจสอบว่าแพทย์แต่ละท่านตรวจผูป่วยชัวโมงละ
้ ่
กี่ราย ให้ผป่วยนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลกี่ราย มีการกาหนดแนวทางให้สั่งยามากเกินความจาเป็ น สั่ง
ู้
ให้พยาบาลต้องนอบน้อมยกมือไหว้ผป่วยเหมือนร้านสะดวกซื้ อ ซึ่ งเป็ นเรื่ องของรู ปแบบมากกว่าทาด้วย
ู้
จิตใจเหมือนในอดีต ผูประกอบวิชาชีพส่ วนหนึ่งถูกทาให้เป็ นเวชบริ กรเหมือนที่ผมีอานาจสั่งนักกฎหมาย
้ ู้
ส่ วนหนึ่งให้เป็ นเนติบริ กร เมื่ออิสระของวิชาชีพถูกทาลายลง ปั ญญาถูกบดบังโดยอานาจ เกียรติของ
วิชาชีพจะค่อย ๆ หายไป แม้แต่สภาวิชาชีพก็ถูกครอบงาด้วยวิธีคิดในระบบทุนนิยม
- 3. 3
หากศึกษาให้เข้าใจถึงลักษณะงานที่เป็ นวิชาชีพ ก็จะเข้าใจว่าการประกอบวิชาชีพของแพทย์
และนักกฎหมายต่างกับการประกอบอาชีพโดยทัวไป เพราะการทางานต้องใช้ความรู้โดยเฉพาะและต้องใช้
่
ความรู ้ในการตรวจวินิจฉัยให้ถูกต้องเหมาะสมกับผูที่มาขอความช่วยเหลือ ลักษณะงานเช่นนี้ จึงต้องมีความ
้
ละเอียดถี่ถวนในการทางาน ไม่เหมือนการทางานในลักษณะอื่น แพทย์และนักกฎหมายจึงต้องมีอิสระของ
้
วิชาชีพในการทางาน หากจะถาม แพทย์หรื อนักกฎหมายว่า ผูป่วยหรื อผูที่มาขอคาปรึ กษา 20 คน จะต้อง
้ ้
ใช้เวลาเท่าไร คาตอบคือ ยังตอบไม่ได้ ไม่เหมือนการผลิตสิ นค้าในโรงงานหรื องานบริ การอย่างอื่น ที่
กาหนดเวลาได้ การตรวจผูป่วยได้เร็ ว ได้จานวนมาก มิได้แปลว่า ทางานดีเสมอไป หากกาหนดนโยบาย
้
เช่นนี้ โดยไม่เข้าใจลักษณะงานที่แท้จริ งของความเป็ นวิชาชีพจะส่ งผลโดยตรงให้กระทบต่อจริ ยธรรมแห่ง
่
วิชาชีพที่ครู บาอาจารย์พร่ าสอนกันไว้วา เวลาตรวจผูป่วยต้องคุยกับผูป่วยให้เกิดความเข้าใจ ต้องตรวจ
้ ้
ร่ างกาย ต้องใช้ความรู ้อย่างรอบคอบในการวินิจฉัยโรค ต้องให้เวลาผูป่วยได้ซกถาม การกาหนดภาระงาน
้ ั
จะต้องคานึงถึงความจริ งเหล่านี้เป็ นสาคัญ
3. นโยบาย Medicul Hub เพือรักษาคนต่ างชาติและการดึงบุคลากรทางด้ านการแพทย์ ออก
่
จากภาครัฐ
นโยบาย Medical Hub ที่จะทาให้ประเทศไทยเป็ นศูนย์สุขภาพและดึงต่างชาติมารับการ
รักษาพยาบาล ดูโดยผิวเผินเหมือนจะดีเพราะมีเงินไหลเข้าประเทศไทย แต่ในความเป็ นจริ ง ต้องถามว่า
เงินไหลเข้ากระเป๋ าใคร การกาหนดนโยบายเช่นนี้ เป็ นประโยชน์โดยตรงกับกลุ่มนายทุน ที่ได้ทาให้งาน
การแพทย์เป็ นธุ รกิจ ผลกระทบที่มีต่อสังคมอย่างมากก็คือ การซื้ อตัวบุคลากรทางแพทย์ออกจากภาครัฐ ยิ่ง
นโยบายภาครั ฐ ทาให้ ค่าตัวของบุคลากรถูกลง การดึงคนออกจากภาครัฐ ก็ยงทาได้ ง่ายขึน บุคลากรทีถูก
ิ่ ้ ่
ดึงออกจากภาครัฐ แม้ จะมีรายได้ เพิมขึน แต่ กต้องระมัดระวังมากขึน เพราะการที่ทาให้ วชาชีพแพทย์
่ ้ ็ ้ ิ
กลายเป็ นธุรกิจ จะทาให้ ค่ารั กษาพยาบาลแพงขึน เมื่อชาวบ้ านถูกเรียกเก็บค่ ารักษาพยาบาลทีแพงมาก
้ ่
ความสั มพันธ์ ทดีย่อมลดลง ชาวบ้ านไม่ ร้ ู หรอกว่ าใครถือหุ้นในโรงพยาบาล แต่ จะมองว่ าหมอและพยาบาล
ี่
เปลียนไป เมื่อถูกเก็บค่ ารักษาพยาบาลมากประกอบกับโรงพยาบาลโฆษณาว่ารักษาได้ สารพัด ย่อมทาให้
่
เกิดความความคาดหวังในบริการ เมื่อผลออกมาไม่ พงประสงค์ ปัญหาการฟองร้ องจะตามมา จะ
ึ ้
สังเกตเห็นว่า คดีฟ้องร้องเรี ยกค่าเสี ยหายมาก ๆ ส่ วนใหญ่จะเกิดในโรงพยาบาลเอกชน ซึ่ งหลายกรณี
โรงพยาบาลก็ปฏิเสธความรับผิดและโยนความผิดมาให้แพทย์และพยาบาล การใช้ กลไกแบบธุรกิจที่ขาด
- 4. 4
มนุษยธรรมมาบริ หารโรงพยาบาล ย่ อมส่ งผลกระทบโดยตรงต่ อผู้ประกอบวิชาชี พและประชาชน เมื่อเกิด
ปัญหาขึนกลับกลายเป็ นปั ญหาระหว่ างผู้ประกอบวิชาชี พกับประชาชน ผู้ถือหุ้นของโรงพยาบาลมักไม่ ต้อง
้
เข้ าพัวพันด้ วย เพราะเขาเป็ นเพียงแต่ ผ้ ูรับเงินปันผลปลายปี โดยมีแพทย์ ส่วนหนึ่งเป็ นผู้บริ หารให้ ตาม
นโยบายทีวางไว้ ในเรื่ องดังกล่าวนี้ ถ้าจะเปรี ยบเทียบไปแล้ว บุคลากรในโรงพยาบาลของรัฐจะดีกว่าใน
่
แง่ที่ได้รับความคุมครองตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 เพราะถ้าเป็ น
้
การปฏิบติหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ กฎหมายกาหนดให้ฟ้องเรี ยกค่าเสี ยหายจากหน่วยงานรัฐ จะฟ้ อง
ั
เจ้าหน้าที่ไม่ได้
สิ่ งที่นาเสนอไปนั้น คือ ความห่วงใยกับภัยที่กาลังเกิดขึ้นกับบุคลากรทางการแพทย์และ
ผลกระทบที่จะมีต่อภาคประชาชน ผูเ้ ขียนเคยพูดเรื่ องเช่นนี้ในการประชุมวิชาการของแพทย์เมื่อประมาณ 8
ปี ที่แล้ว แต่แพทย์ส่วนหนึ่งก็ยงมองไม่เห็นภัยลักษณะนี้ แพทย์ส่วนหนึ่งได้เปลี่ยนตัวเองไปเป็ นแพทย์
ั
พาณิ ชย์ ร่ วมมือกับกลุ่มทุนหาเงินใส่ ตวโดยไม่สนใจจรรยาบรรณวิชาชีพ นโยบายทางการเมืองในระยะ
ั
หลังได้ทาให้เกิดความแตกแยกกันในกลุ่มแพทย์ ซึ่ งเมื่อเกิดการแตกแยก ย่อมง่ายแก่การปกครอง
เหตุการณ์เหล่านี้ เป็ นเรื่ องที่เกิดขึ้นแล้วในวงการแพทย์ของประเทศไทย และจะเกิดผลกระทบต่อภาค
ประชาชนตามมามากขึ้น
***************************