Word3 24
- 2. องศ์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์
โดยปกติแล้วการทางานของคอมพิวเตอร์ จะมีองค์ประกอบ 4 อย่างคือ ฮาร์ดแวร์
ซอฟต์แวร์ บุคลากร และข้อมูล สารสนเทศ ซึ่งแต่ละอย่างมีรายละเอียด ดังนี้
1.ฮาร์ดแวร์ Hardrare
เป็นอุปกรณ์ที่จับต้อง สัมผัส และสามารถมองเห็นได้เป็นรูปธรรม คอมพิวเตอร์จะ
มีทั้งติดตั้งอยู่ภายในตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น ซีพียู เมนบอร์ด แรม และที่ติดตั้งอยู่
ภายนอกเครื่องคอมพิวเตอร์ คีย์บอร์ด จอภาพ เครื่องพิมพ์
- 3. 2.ซอฟต์แวร์ Software
เป็นส่วนของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่บรรจุคาสั่งเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทางานได้ตามที่ต้องการแล้วจะ
ถูกสร้างโดยบุคคลที่เรียกว่า นักโปรแกรม
2.1ซอฟต์แวร์ระบบ System Software
เป็นซอฟต์แวร์ที่ทาหน้าที่ควบคุมระบบการทางานของเครื่องคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างที่รู้จักกันเป็นอย่างดีคือ
ระบบปฎิบัติการหรือ OS Operating system กลุ่มซอฟต์แวร์ประเภทนี้มีทั้งต้องเสียเงินอย่างเช่น
Windows และมีทั้งประเภทที่ให้ใช้กันฟรี เช่น Linux เป็นต้น
2.2ซอฟต์แวร์ประยุกต์ Application Software
เป็นกลุ่มซอฟต์แวร์ที่สามารถติดตั้งได้ในภายหลัง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและการประยุกต์ใช้เป็น
หลัก โดยปกติจะมุ่งใช้กับงานเฉพาะด้าน เช่น งานด้านบัญชี การด้านเอกสาร หรือการควบคลุมสินค้าคลังโดยอาจมี
บริษัทผู้ผลิตขึ้นมาโดยจาหน่ายโดยตรงทั้งที่ให้เลือกใช้ฟรี ซื้อ ทาเอง หรือจ้างเขียนโดยเฉพาะ เป็นต้น
สาหรับประเทศไทย ได้มี่การติดตั้งหน่วยงานที่เรียกว่า เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ หรือที่เรียกว่า
Software Park (www.swpark.or.th) ขึ้นเพื่อเป็นแหล่งสนับสนุนการพัฒนาซอฟต์แวร์
3.บุคลากร People
บุคคลากรที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เป็นองศ์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์อีกอย่างหนึ่งที่สาคัญมาก เพราะ
หากบุคคลากรไม่มีความรูความเข้าใจในการใช้การเกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ กลุ่มบุคคลากรที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มด้วยกันคือ สานักงาน งานป้อนข้อมูล งานบริการลูกค้าสาพันธ์ call center เป็นต้น
ในการวางระบบคอมพิวเตอร์ขององค์กร ผู้ใช้งานถือได้ว่ามีบทบาทที่สาคัญมาก เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการ
ใช้งานโดยตรง ซึ่งผู้ทาหน้าที่ออกแบบและวางระบบ เช่น นักวิเคราะห์ระบบ หรือ System analyst
4.กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ
ช่างเทคนิคคอมพิวเตอร์
โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นบุคคลากรที่มีความชานาญทางด้านเทคนิคโดยเฉพาะ บางครั้งก็เรียกว่า ช่าง
เทคนิคคอมพิวเตอร์ กลุ่มคนประเภทนี้จะต้องมีทักษะและประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเป็นอย่างดี
เพราะการปฎิบัติงานกับผู้ใช้อาจเกิดปัญหาในการใช้งานได้ตลอดเวลา
นักวิเคราะห์ระบบ System Analyst
บุคลากรด้านการวิเคราะห์และออกแบบระบบงาน จะมีหน้าที่วิเคราะห์ความต้องการผู้ใช้รวมไปถึง
ผู้บริหารของหน่วยงานนั้นๆ เพื่อจะพัฒนาระบบงานให้ตรงตามความต้องการมากที่สุด
หน้าที่การวิเคราะห์และออกแบบระบบงานทางด้านคอมพิวเตอร์ อาจเหมือนลักษณะการทางานของ
สถาปนิกที่ออกแบบอาคารบ้านเรือนนั้นเองซึ่งบ้านหรืออาคารแต่ละหลัง จะออกเป็นให้ดีได้ก็ต้องไป เก็บข้อมูล
หรือสอบถามความต้องการของเจ้าของบ้านเสียก่อน
- 4. 5.กลุ่มผู้บริหาร
ผู้บริหารสูงสุดด้านสารสนเทศและคอมพิวเตอร์ CIO - Chief information
Officer
CO จะทาหน้าที่กาหนดทิศทาง นโยบายและแผนงานทางคอมพิวเตอร์ในองค์กร
ทั้งหมดว่าควรเป็นไปในรูปแบบใด การขยายงานทางด้านธุรกิจขององค์กรที่รวดเร็ว ควรจะมีการ
ปรับ เพิ่ม ลด องค์ประกอบทางด้านคอมพิวเตอร์ส่วนใดอีกบ้างที่จะทาให้เป็นไปตามเป้าหมาย
โดยรวมมากที่สุด
หัวหน้างานด้านคอมพิวเตอร์ Computer center Manager Technology
Manager
เป็นผู้จัดการหรือหัวหน้างานทางด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีขององค์กร มีหน้าที่
ดูแลและกากับงานทางด้านคอมพิวเตอร์ให้บรรลุเป้าหมายตามแผนงานและทิศทางที่วางไว้โดย
CIO
6.ข้อมูล/สารสนเทศ Data/Information
ข้อมูล data เป็นองค์ประกอบที่สาคัญอีกอย่างหนึ่ง การทางานของคอมพิวเตอร์จะ
เกี่ยวข้องกับข้อมูลตั้งแต่การนาข้อมูลเข้าจนกลายเป็นข้อมูลที่สามารถที่ใช้ประโยชน์ต่อได้หรือที่
เรียกว่า สารสนเทศ information
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้อาจเป็นได้ทั้งตัวเลข ตัวอักษร และข้อมูลในรูปแบบอื่นๆ เช่น ภาพ เสียง เป็นต้น
สถานะการทางานแบบดิจิตอลจะอาศัยการประมวลผลโดยใช้ ระบบเลขฐานสอง หรือ
ที่เรียกว่า binary system ซึ่งประกอบตัวเลขเพียง 2 ตัวเท่านั้น คือ 0 กับ 1
- 5. ตัวเลข 0 กับ 1 นี้ เราเรียกว่าเป็นตัวเลขฐานสองหรือไบนารีดิจิต binary digit มักเรียก
ย่อๆว่า บิตนั่นเอง
เมื่อจานวนของเลขฐานสองหรือบิตที่รวมกันครบ 8 ตัวเราจะเรียกหน่วยจัดเก็บข้อมูล
นี้ใหม่ว่าเป็น ไบต์ ซึ่งจะสามารถใช้แทน ตัวอักษร ตัวเลข อักขระพิเศษที่เราต้องการป้อนข้อมูล
เข้าไปในเครื่องแต่ละตัวได้
7.กระบวนการแปลงข้อมูล
เพื่อให้ภาพของการทางานในกระบวนการแปลงข้อมูลตัวเลขหรือข้อมูลปกติ ให้อยู่
รูปแบบเลขฐานสอง ไดชัดเจนยิ่งขึ้น จะขออธิบายและยกตัวอย่างเพิ่มเติมเป็นขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ผู้ใช้งานป้อนข้อมูลอักษร D ตัวใหญ่เข้าไปยังระบบโดยการกดคีย์ shift + D พร้อมกัน
ขั้นตอนที่ 2 สัญญาณอีเล็กทรอนิกส์ของตัวอักษณ D จะถูกส่งไปยังระบบการทางานของคอมพิวเตอร์
ขั้นตอนที่ 3 สัญญาณที่ส่งต่อเข้ามายังตัวอักษร D จะถูกแปลงให้อยุ่ในรูปแบบมาตรฐานของรหัสแอสกี
ASCII และเก็บไว้ในหน่วยความจาเพื่อประมวลผลต่อไป
ขั้นตอนที่ 4 เมื่อประมวลผลเรียบร้อยแล้ว กลุ่มรหัสดังกล่าวจะถูกแปลงกลับให้ออกมาอยู่ในรูแบบของภาพที่
สามารถมองเห็นได้ผ่านอุปกรณ์แสดงผล เช่น จอภาพ เป็นต้น
- 6. 8.หน่วยวัดความจุข้อมูล
จากเนื้อหาที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจข้อมูลได้ก็ต่อเมื่อมีการแปลงให้อยู่ในรูป
ระบบเลขฐานสองแล้วเท่านั้น ดังนั้นเมื่อจะวัดความจุข้อมูล จึงอ้างอิงโดยใช้ระบบเลขฐานสองเป็นหลักและมี
หน่วยเป็น ไบต์ ซึ่งอาจเทียบได้กับตัวอักษร 1 ตัว โดยที่คอมพิวเตอร์จะต้องมีการคิดหน่วยความจุในปริมาณ
มากดังนั้นจึงต้องมีการกาหนดหน่วยวัดความจุข้อมูลที่ใหญ่ขึ้นมากอีก เช่น กิโลไบต์ เมกะไบต์ กิกะไบต์ เป็น
ต้น
9.การนาข้อมูลเข้าสู่คอมพิวเตอร์
ในยุคอดีตที่มีการคิดค้นวิธีการควบคลุมลวดลายการทอผ้าให้เป็นไปตามความต้องการโดยใช้บัตรเจาะรู
หรือที่เรียกว่า punched card เครื่องมือชนิดนี้เป็นวิธีการนาข้อมูลเข้าเครื่องยุคแรกๆที่ได้รับความนิยมกัน
มากในสมัยนั้น ต่อมาก็มีผู้พัฒนาบัตรเจาะรูแบบอื่นๆ เพื่อให้สาหรับการประมวณผลในลักษณะอื่นออกมาอีก เช่น
บัตร IBM 80 Column บัตร IBM 96 Column ตามลาดับ
- กานนาเข้าโดยผ่านอุปกรณ์นาเข้า input Device วิธีนี้เป็นวิธีง่ายและสะดวกที่สุดสาหรับนา
ข้อมูลเข้าไปยังคอมพิวเตอร์โดยตรง ผ่านอุปกรณ์นาเข้าข้อมูลหลายชนิด ขึ้นอยู่กับรูปแบบของข้อมูลด้วยว่าเป็น
แบบใดและข้อมูลนาเข้าเหล่านั้นสามารถใช้ร่วมกับอุปกรณ์เหล่านั้นหรือไม่ เช่น
- คีย์บอร์ด Keyboard สาหรับการป้อนข้อมูลประเภทตัวอักษร ตัวเลขหรือักขระพิเศษอื่นๆ
- สแกนเนอร์ สาหรับการนาเข้าข้อมูลประเภทภาพถ่าย
- ไมโครโฟน microphone สาหรับการนาเข้าข้อมูลประเภทเสียง
- การนาเข้าโดยใช้สื่อเก็บบันทึกข้อมูลสารอง Secondary storage การนาข้อมูลวิธีนี้อาจดึง
เอาข้อมูลที่ได้บันทึกหรือเก็บข้อมูลไว้ก่อนแล้วจากสื่อบันทึกข้อมูลอย่างใดอย่างหนึ่งมา
10.กิจกรรมและความสันพันธ์ของแต่ละองค์ประกอบ
ระบบคอมพิวเตอร์ในการทางานจริง จะมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันระหว่างองค์ประกอบแต่
ละส่วนอยู่เสมอ กิจกรรมและความสัมพันธ์ต่างๆ จะเริ่มตั้งแต่การนาข้อมูลเข้า input จนถึงการแสดง
ผลลัพธ์และทางานเกี่ยวข้องกันทั้งหมด
- 7. คอมพิวเตอร์เกี่ยวกับการจัดพิมพ์เอกสาร และสรุปเป็นขั้นตอนได้ดังต่อไปนี้
- ป้อนข้อมูลเข้า ผู้ใช้ของระบบในตัวอย่างนี้ต้องการทารายงาน
- ร้องขอบริการ โปรแกรมประยุกต์จะส่งคาร้องเพื่อขออนุญาตทางานบนคอมพิวเตอร์เครื่องนี้ไปยัง
โปรมแกรมระบบปฏิบัติงาน
11.พื้นฐานการทางานของคอมพิวเตอร์
ดังที่กล่าวในบทที่ 1 แล้วว่าคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถนามาใช้ประโยชน์ต่างๆ
มากมายซึ่งช่วยให้การทางานของมนุษย์สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
คอมพิวเตอร์โดยทั่วไปตามแบบสถาปัตยกรรมของจอห์น วอน นิวแมนน์ ที่เน้นให้มีการคิดตั้ง
ชุดคาสั่งโปรแกรมเก็บไว้ในเครื่องได้นั้น Stored program concept มีหลักการทางานซึ่ง
ประกอบด้วยหน่วยที่เกี่ยวข้องแบ่งออกได้เป็น 5 หน่วย ดังนี้
- หน่วยประมวลผลกลาง Central processing Unit
- หน่วยความจาหลัก Primary Storage
- หน่วยความสารอง Secondary Storage
- หน่วยรับและแสดงข้อมูล Input/ output Unit
- ทางเดินของระบบ System Bus
- 8. 12.หน่วยประมวลผลกลาง Central Processing Unit
คอมพิวเตอร์จะมีหน่วยประมวลผลกลางหรือที่เรียกว่า ซีพียู CPU: Central Processing
Unit ซึ่งส่วนหนึ่งของอุปกรณ์การประมวลผล โดยมีหน้าที่หลักก็คือ ประมวลผลคาสั่งที่ได้รับมาว่าจัให้ทาอะไรบ้าง
กระบวนการดังกล่าวซีพียูจะจัดการเองทั้งหมด
- หน่วยควบคุม Control Unit ทาหน้าที่ควบคุมการทางานทุกๆหน่วยในซีพียูรวมถึงอุปกรณ์ต่อพ่วง
- หน่วยคานวณและตรรกะ ALU : Arithmetic and Logic Unit เป็นส่วนที่ทาหน้าที่ที่ในการคานวณ
ทางคณิตศาสตร์ เช่น การบวก ลบ คูณ หาร และเปรียบเทียบข้อมูลทางตรรกะศาสตร์ ว่า เป็นจริงหรือเท็จ
- รีจีสเตอร์ Register เป็นพื้นที่สาหรับเก็บข้อมูลชุดคาสั่ง ผลลัพธ์ ประมวลผลเพียงชั่วคราวเท่านั้น ถือ
ว่าเป็นหน่วยความจาแต่อย่างใด รีจีสเตอร์จะรับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง และทางานภายใต้การควบคุมของหน่วย
ควบคุมเช่นเดียวกันหน่วยอื่นๆ รีจีสเตอร์ ที่สาคัญโดยทั่วไป มีดังนี้
1. Accumulate Register เป็นผลลัพธ์ที่ได้จากการคานวณ
2. Storage Register เก็บข้อมูลและคาสั่งชั่วคราวที่ผ่านจากหน่วยความจาหลัก
3. Instruction Register เก็บคาสั่งในการประมวลผล
4. Address Register บอกตาแหน่งของข้อมูลและคาสั่งในหน่วยความจา
13.หน่วยความจาหลัก Primary Storage
ทาหน้าที่เก็บข้อมูลและคาสั่งตลอดจนผลลัพธ์ที่ได้รับจากกการประมวลผลของซีพียูเพียงชั่วคราว
หน่วยความจาหลักแตกต่างจากดิจิตอลตรงที่เป็นการเก็บข้อมูลและคาสั่งเพื่อที่จะเรียกใช้ได้ในอนาคตอันใกล้ไกล
เหมือนกับดิจิตอลที่เป็นเพียงแหล่งพักข้อมูลซึ่งเกิดขึ้นขณะที่ซีพียูประมวลผลเท่านั้น
หน่วยความจาหลักแบ่ง ออกเป็น 2 ประเภทด้วยกันคือ
1.รอม ROM : Read Only Memory เป็นหน่วยความจาที่อ่านได้อย่างเดียว ไม่สามารถเขียน
หรือบันทึกเพิ่มเติมได้ โดยปกติจะเป็นการเก็บคาสั่งที่ใช้บ่อยและเป็นคาสั่งเฉพาะข้อมูลใน ROM จะอยู่กับเครื่อง
อย่างถาวร ถึงแม้ไฟจะดับ หรือปิดเครื่องไปก้อไม่สามารถทาให้ข้อมูลหรือคาสั่งในการทางานต่างๆหายไปได้
2. แรม RAM : Random Access Memory เป็นหน่วยความจาอีกประเภทหนึ่งซึ่งต่างจาก
ROM คือ จะจดจาข้อมูลคาสั่งในระหว่างระบบกาลังทางานอยู่ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ตลอดเวลา แต่เมื่อใด
ก็ตามที่ระบบขัดข้องเช่น ไฟดับหรือมีการปิดเครื่อง ข้อมูลในหน่วยความจานี้ก็จะถูกลบหายไป จึงเรียกว่า volatile
memory
14.หน่วยความจาสารอง Secondary Storage
เมื่อการทาการของหน่วยประมวลผลเสร็จสิ้นลง จะต้องมีพื้นที่และอุปกรณ์สาหรับและบันทึกข้อมูลไว้ใน
คอมพิวเตอร์ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเก็บไว้ใช้ในอนาคต สื่อเก็บข้อมูลต่างๆ ในลักษณะนี้มีหลายชนิดมาก เช่น ฮาร์ดดิสก์
ฟล็อปปี้ดิสก์
- 9. 15.หน่วยรับข้อมูลและคาสั่ง Input Unit
คอมพิวเตอร์ทั่วไปจะมีหน่วยรับข้อมูลและคาสั่งเข้าสู่ระบบ ซึ่งข้อมูลต่างๆเหล่านี้จะอยู่ใน
รูปแบบดิจิตอลที่คอมพิวเตอร์เข้าใจได้เท่านั้น ซึ่งโดยปกติแล้วก็จะแปลงข้อมูลผ่านอุปกรณ์นา
ข้อมูลเข้าหรือที่เรียกว่า input device เช่น คีย์บอร์ด เมาส์ สแกนเนอร์ เป็นต้น
16.หน่วยแสดงผลลัพธ์ Output Unit
ในการทางานของคอมพิวเตอร์ เมื่อหน่วยประมวลผลกลางจัดการกับข้อมูลแล้ว ก่อนที่
จะแสดงผลที่ได้จะต้องมีการส่งต่อไปยังหน่วยแสดงผลลัพธ์อีกต่อไป ซึ่งจะแสดงผลออกไปซึ่ง
อุปกรณ์ที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า soft copy เช่น จอภาพ
คอมพิวเตอร์
17.ทางเดินของระบบ System Bus
เป็นเหมือนกับเส้นทางผ่านของสัญญาณเพื่อให้อุปกรณ์ระหว่างหน่วยประมวลผลกลาง
และหน่วยความจาระบบสามารถเชื่อมต่อกันได้ อาจเปรียบ system bus เหมือนกับถนนที่
จะให้รถยนต์วิ่งไปยังสถานที่ใดที่หนึ่ง ยิ่งถนนกว้างหรือมีมากเห่าไหร่ กางส่งข้อมูลต่อครั้งก็ยิ่งเร็ว
และมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับจานวนเส้นทางที่ใช้วิ่ง ซึ่งเรียกว่า บิต นั่นเอง
วงรอบการทางานของซีพียู
- 10. โดยปกติหน่วยประมวลผลกลางหรือซีพียูจะสามารถประมวลผลคาสั่งได้เพียงทีละ 1 คาสั่งเท่านั้น และ
ทางานได้ด้วยความเร็วสูงมาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเร็วของซีพียูด้วย
ความเร็วของซีพียูมีหน่วยวัดอย่างหยาบๆที่เรียกว่า Megahertz (MHz) ซึ่งเป็น
ความเร็วของสัญญาณนาฬิกาที่ป้อนไปให้จังหวะในการทางานของซีพียู 1 MHz จะเท่ากับความเร็ว
1 ล้านรอบต่อวินาที
วงรอบการทางานของซีพียูจะเกี่ยวข้องกับการประมวลผลหลักๆโดยการอ่านและดึงข้อมูล
มาจากหน่วยความจาหลักส่งต่อการทางานที่ได้ให้กับส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้ ซึ่งสามารถแบ่ง
ออกได้เป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่1 .การดึงข้อมูล Fetch
ขั้นตอนที่ 2 การแปลความหมาย Decode
ขั้นตอนที่ 3 การปฎิบัติการ Execute
ขั้นตอนที่ 4 การเก็บผลลัพธ์ Store
สรุปท้ายบท
การทางานร่วมกับคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วยองค์ประกอบ 4 อย่างด้วยกันคือ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์
บุคลากร และข้อมูล องค์ประกอบแต่ละอย่างล้วนมีความสาคัญและเกี่ยวข้องกันทั้งสิ้น หากขาดอย่าวใดอย่างหนึ่ง
การทางานจะไม่มีความสมบูรณ์เต็มที่
พื้นฐานการทางานของคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วยหน่วยทางาน 5 หน่วยด้วยกันคือ หน่วยประมวลผล
กลาง
หน่วยความจาหลัก หน่วยความจาสารอง หน่วยรับแสดงข้อมูล และทางเดินของระบบ การทางานของซีพียูจะเปรียบ
เหมือนกับสมองที่ใช้สั่งการของมนุษย์ ซึ่งทาหน้าที่ในการประมวลผล หน่วยความจาสารองจะใช้เป็นที่เก็บและ
บันทึกข้อมูลไว้ในคอมพิวเตอร์เพื่อสามารถเรียกใช้ได้ในภายหลัง และมีทางเดินของระบบทางานเป็นเหมือนเส้นทาง
เดินระบบทางานเป็นเหมือนเส้นทางส่งผ่านข้อมูลระหว่างซีพียูและหน่วยความจา ให้สามารถเชื่อมต่อกันได้