More Related Content
Similar to โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
Similar to โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ (20)
โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
- 1. 1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6
ปีการศึกษา 2560
ชื่อโครงงาน สตรอเบอร์รี่ไฮโดรโปนิกส์ ไม่มีดินก็กินได้
ชื่อผู้ทาโครงงาน
นางสาวภัทรศยา บุญมาลา เลขที่ 38 ชั้น ม.6 ห้อง 7
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
- 2. 2
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
ผู้จัดทา
1 นางสาวภัทรศยา บุญมาลา เลขที่ 38
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
สตรอเบอร์รี่ไฮโดรโปนิกส์ ไม่มีดินก็กินได้
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
Strawberry hydroponics,No soil is edible
ประเภทโครงงาน โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาวภัทรศยา บุญมาลา
ชื่อที่ปรึกษา นางเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน
ในปัจจุบันการปลูกพืชไร้ดิน (Hydroponics) เป็นที่นิยมกัน อย่างกว้างขวาง มีการปลูกในระดับ
อุตสาหกรรมขนาดใหญ่และทารายได้ให้แก่ ผู้ประกอบการเป็นอย่างดี ทั้งนี้เนื่องมาจากว่าผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน
ได้หันมาให้ความสนใจเกี่ยวกับสุขภาพกันมากขึ้น จึงเลือกที่จะบริโภคผักที่ปลูกในระบบ Hydroponics ซึ่งมีการ
ปลูกในโรงเรือนที่ควบคุมแมลงศัตรูพืชได้ ทาให้มีการใช้ สารเคมีน้อยลง ผักที่ได้จึงเป็นผักอนามัย มีการปนเปื้อน
สารเคมีน้อยมากและเป็นทางเลือกหนึ่งที่ผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจมากขึ้น อีกทั้งการปลูกและ การจัดการ
ต่างๆ ไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด ทุกคนสามารถปลูกเองได้ทุกครัวเรือน เพื่อบริโภคภายในครอบครัว ทาให้ได้บริโภคผัก
ที่สด สะอาดปลอดภัย และช่วยเสริมสร้าง สุขภาพร่างกายให้แข็งแรงและยังเป็นการทากิจกรรมร่วมกันภายใน
ครอบครัว สร้างความผูกพันและความอบอุ่นให้เกิดขึ้นกับครอบครัวได้อีกทางหนึ่งด้วย
สาหรับสตรอเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งการปลูกสตรอเบอร์รี่นั้น ในการปลูกสตรอ
เบอร์รี่แบบทั่วไปจะต้องใช้ยาฆ่าแมลง หรือยากาจัดศัตรูพืชซึ่งเป็นสารเคมีที่อันตรายต่อร่างกายหากได้รับใน
ปริมาณมากก็จะทาให้เกิดโรคต่างๆตามมา การปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทาให้ปลอดภัย
จากสารเคมี
- 3. 3
วัตถุประสงค์
1. เพื่อศึกษาเกี่ยวกับการปลูกพืชแบบไร้ดิน
2. เพื่อศึกษาวิธีการปลูกสตรอเบอร์รี่แบบไฮโดรโปนิกส์
3. เพื่อศึกษาและส่งเสริมการปลูกสตรอเบอร์รี่แบบไฮโดรโปนิกส์
ขอบเขตโครงงาน
การปลูกสตรอเบอร์รี่แบบไฮโดรโปนิกส์ และผู้ที่สนใจศึกษาการปลูกสตรอเบอร์รี่แบบไฮโดรโปนิกส์
หลักการและทฤษฎี
การปลูกพืชไร้ดินเป็นคาที่แปลมาจากภาษาอังกฤษ 2 คาคือคาว่า Soilless Culture และ
Hydroponics ซึ่งสามารถอธิบายได้ 2 ลักษณะ คือ
1. คาว่า "Soilless culture" เป็นวิธีการปลูกพืชเลียนแบบการปลูกพืชบนดินแต่ไม่ใช้ดินเป็นวัสดุปลูก
แต่เป็นการปลูกพืชลงบนวัสดุชนิดต่างๆ เช่น แผ่นฟองน้า ทราย กรวด ขี้เลื่อย แกลบ ขุยมะพร้าว ฯลฯ แทนดิน
โดยพืชสามารถเจริญเติบโตบนวัสดุปลูกที่ใช้เป็นที่ยึดเกาะและจากการได้รับสารละลายธาตุอาหารพืช ที่มีน้าที่
ผสมกับแร่ธาตุต่างๆ (หรือปุ๋ย) ที่พืชต้องการจากทางรากพืช
2. คาว่า "Hydroponics" เป็นการปลูกพืชที่ไม่ใช้วัสดุปลูก กล่าวคือ จะทาการปลูกพืชลงในสารละลาย
ธาตุอาหารพืช โดยให้รากพืชสัมผัสกับสารอาหารโดยตรง (bare roots) hydroponics มาจากการรวมคาใน
ภาษากรีกสองคา คือ คาว่า "hydro" หมายถึง "น้า" และ "ponos" หมายถึง "งาน" ซึ่งเมื่อรวมคาสองคาเข้า
ด้วยกันความหมายก็คือ "water-working" หรือหมายถึง "การทางานของน้า (สารละลายธาตุอาหาร)" ผ่านทาง
รากพืช ดังนั้น การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน จึงหมายถึงวิธีการปลูกพืชเลียนแบบการปลูกพืชบนดิน โดยปลูกพืชลง
บนวัสดุปลูกหรือสารอาหาร โดยไม่ต้องมีวัสดุปลูกก็ได้ เพื่อให้พืชได้รับสารอาหาร หรือสารละลายธาตุอาหารพืช
ที่มีน้าที่ผสมกับแร่ธาตุที่ต้องการจากทางรากพืช
สตรอเบอรี่ จัดเป็นไม้ผลเศรษฐกิจชนิดหนึ่งที่มีการปลูกกระจายกันมากที่สุดในโลก
สามารถพบได้แทบทุกประเทศตั้งแต่แถบขั้วโลกลงมาถึงพื้นที่ในเขตร้อน ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งสภาพ
ภูมิอากาศและชนิดดินที่ใช้ปลูก บางพันธุ์จะพบว่าสามารถปลูก ในทางเหนือของโลกเช่น รัฐ Alaska ได้ดีเท่ากับ
ปลูกในทางใต้ลงมาเช่นแถบ Equator
สตรอเบอรี่ เป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยและเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปมาหลายร้อยปีมาแล้วในช่วงสิบปีที่ผ่าน
มานี้พบว่าผลผลิต ที่ใช้สาหรับบริโภคเป็นผลสด และใช้ในเชิงอุตสาหกรรมแปรรูปได้เพิ่มปริมาณมากขึ้นอย่าง
รวดเร็วตามประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ทั้งนี้ เป็นสาเหตุมาจากการผสมพันธุ์ใหม่ที่ให้ผลผลิตยาวนานขึ้น การนา
ระบบปลูกแบบดูแลอย่างใกล้ชิดมาใช้ตลอดจนการเลือกพื้นที่ปลูก ที่มีความเหมาะสมมากกว่าแต่ก่อน ในปัจจุบัน
นี้ก็ยังมีการทดลองวิจัยที่จะหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อที่จะทา ให้การปลูก สตรอเบอรี่นั้นง่ายขึ้น โดยเน้นการให้
ผลผลิตสูงและสามารถทา รายได้ตอบแทนเป็นที่พอใจแก่เกษตรกรผู้ปลูกในประเทศไทยแม้ว่าจะมีพื้นที่ปลูกสตรอ
เบอรี่ส่วนใหญ่อยู่ทางภาคเหนือ เช่น บางอาเภอในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย และในพื้นที่ บางจังหวัดของ
- 4. 4
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น จังหวัดเลยและจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นต้น แต่ยังมีแนวโน้มที่สามารถปลูกได้ผล
พอสมควร
สตรอเบอร์รี่ (Strawberry) เป็นพืชในวงศ์กุหลาบ มีผลสุก ที่สามารถรับประทานได้ ในอดีตมีการปลูกไว้เป็นพืช
คลุมดินให้กับต้นไม้ชนิดอื่นๆ สตรอเบอรี่ในโลกนี้มีมากกว่า 20 สปีชีส์ และมีลูกผสมมากมาย แต่สตรอว์เบอร์รีที่
นิยมปลูกมากในปัจจุบันก็คือสตรอว์เบอร์รีสวน (Fragaria × ananassa) ผลของสตรอว์เบอร์รีมีรสชาติ
หลากหลายขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ มีตั้งแต่รสหวานจนถึงเปรี้ยว
สตรอเบอร์รี่ เป็นพืชล้มลุก แตกกิ่งก้านแผ่ปกคลุมดิน ใบจะรวมกันอยู่ 3 ใบใน 1 ก้าน ขอบใบมีรอยหยัก มีดอกสี
ขาว สีเหลือง หรือชมพูแล้วแต่สายพันธุ์ ผลมีก้านยาวเชื่อมกับต้น มีกลีบเลี้ยงบนขั้วของผล เมื่อผลอ่อนจะมีสี
ขาว เหลืองนวล เมื่อสุกจะเป็นสีชมพู หรือแดง รสชาติเปรี้ยวถึงหวาน
สายพันธุ์ที่นิยมปลูกในประเทศไทย
พันธุ์พระราชทาน 16
พันธุ์พระราชทาน 20
พันธุ์พระราชทาน 50 (เป็นพันธุ์ที่มูลนิธิโครงการหลวงส่งเสริมให้ปลูก) เป็นพันธุ์ที่เกิดจากการผสมใน
ประเทศสหรัฐอเมริกา และนาเข้ามาคัดเลือกโดยการผสมตัวเองตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 เจริญเติบโตและให้ผลผลิตได้
ดีในสภาพอากาศเย็นปานกลาง ทรงพุ่มปานกลางถึงค่อนข้างแน่น ผลผลิตมีคุณภาพดีโดยเฉพาะใกล้สุกเต็มที่
น้าหนักต่อผล 12 -18 กรัม รูปร่างเป็นลิ่มสีแดงถึงสีแดงเข้มค่อนข้างแข็ง ไม่ต้านทานต่อไร แต่ต้านทานราแป้งได้
ดี
พันธุ์พระราชทาน 70 (เป็นพันธุ์ที่มูลนิธิโครงการหลวงส่งเสริมให้ปลูก) เป็นสายพันธุ์จากประเทศญี่ปุ่น
ใบมีลักษณะกลมใหญ่ และสีเขียวเข้มไม่ทนต่อราแป้ง แต่ทนต่อโรคเหี่ยว ให้ผลผลิตค่อนข้างสูง น้าหนักต่อผล
11.5 - 13.0 กรัม ผลมีลักษณะทรงกลมหรือทรงกรวย สีแดงสดใสแต่ไม่สม่าเสมอ เนื้อและผลค่อนข้างแข็ง มี
กลิ่นหอม มีความฉ่าและรสชาติหวาน เปอร์เซ็นต์ความหวาน 9.6° Brix
พันธุ์พระราชทาน 72 (เป็นพันธุ์ที่มูลนิธิโครงการหลวงส่งเสริมให้ปลูก) เป็นสายพันธุ์นาเข้ามาจาก
ประเทศญี่ปุ่น ชื่อพันธุ์ TOCHIOTOME ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 น้าหนักต่อผล 14 กรัม เนื้อผลแข็งกว่าพันธุ์
พระราชทาน 70 แต่มีความหวานน้อยกว่าคือ 9.3° Brix มีกลิ่นหอมเมื่อเริ่มสุก เนื้อภายในผลมีสีขาว ผิวผลเมื่อ
สุกเต็มที่จะมีสีแดงถึงแดงจัด เงาเป็นมันที่ผิวผล ทนต่อการขนส่งมากกว่าพันธุ์อื่น
พันธุ์พระราชทาน 80 (เป็นพันธุ์ที่มูลนิธิโครงการหลวงส่งเสริมให้ปลูก ตั้งแต่ปีพ พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา)
เป็นสายพันธุ์ที่มาจากประเทศญี่ปุ่น ชื่อพันธุ์ Royal Queen ซึ่งมีลักษณะเด่นคือก้านใบและลาต้นจะมีสีแดงสด
ผมมีลักษณะเป็นรูปทรงกรวยสวยงาม ผลมีขนาดปานกลางน้าหนักเฉลี่ย 15 กรัม ผลมีกลิ่นหอม รสหวานฉ่า อีก
ทั้งยังมีความต้านทานต่อโรคและแมลงได้เป็นอย่่างดี
พันธุ์ 329 (Yale) เป็นพันธุ์ที่กรมส่งเสริมการเกษตรส่งเสริมให้กับเกษตรกรปลูก เป็นพันธุ์ที่นาเข้ามาจาก
ประเทศอิสราเอล ผลมีขนาดใหญ่กว่าพันธุ์ 80 รูปร่างแบน เนื้อแข็งรสหวานอมเปรี้ยว ทนต่อการขนส่งได้ดี
- 5. 5
สตรอเบอรี่ พันธุ์ 80 (Royal Queen)
การขยายพันธุ์สตรอเบอร์รี่ ทาได้หลายวิธี เช่น
1. การใช้ไหล ขยายต้นไหลจากต้นแม่พันธุ์
2. การแยกต้น หรือแยกกอจากต้นหลัก
3. การใช้เมล็ด ใช้ในกรณีที่มีการผสมพันธุ์เพื่อให้ได้พันธุ์ใหม่เกิดขึ้น
4. การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นการผลิตเพื่อให้ได้ต้นพันธุ์ที่ปลอดโรคและมีความสมบูรณ์ที่สุด
ช่วงที่เหมาะสมต่อการปลูก
การปลูกสตรอเบอร์รี่สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปลูก แต่การปลูกเพื่อเก็บเกี่ยวผลนั้นผู้ปลูกต้องเลือกเวลาในการ
ปลูกเพื่อให้ทันต่อปัจจัยในการสร้างตาดอกของสตรอเบอร์รี่ คือช่วงฤดูหนาว ที่มีช่วงแสงต่อวันสั้น และมีอุณหภูมิ
ต่า โดยระยะเวลาที่เหมาะสมในการปลูกคือ
ช่วงเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม สาหรับการใช้เมล็ด
ช่วงเดือนกันยายน - เดือนตุลาคม สาหรับการใช้ ต้นไหลมาปลูก
*สาหรับการปลูกในช่วงเวลาอื่นเป็นการปลูกพืชสร้างต้นแม่พันธุ์เพื่อผลิตไหลในการปลูกรุ่นต่อไป
ระยะห่างในการปลูก
และระยะห่างระหว่างต้น 25 - 30 เซนติเมตร และ ระยะปลูกระหว่างแถว 30 - 40 เซนติเมตร
- 6. 6
วิธีการปลูกแบบไร้ดิน (ปลูกในวัสดุปลูก)
1. วัสดุปลูกที่นิยมใช้
แบบที่ 1. ทรายหยาบ 1 ส่วน + แกลบดิบ 2 ส่วน (สูตรฟาร์มในประเทศไทย)
แบบที่ 2. เพอร์ไลท์ 3 ส่วน + ขุยมะพร้าวละเอียด 7 ส่วน (สูตรฟาร์มใน USA)
แบบที่ 3. พีทมอส 1 ส่วน + ขุยมะพร้าว 3 ส่วน (สูตรฟาร์มในประเทศมาเลเซีย)
แบบที่ 4. พีทมอส 2 ส่วน + เพอร์ไลท์ 1 ส่วน + เปลือกสน 1 ส่วน (สูตรฟาร์มในประเทศอิสราเอล)
* ไม่ควรกลบวัสดุปลูกต้นสตรอเบอร์รี่ลึกเกินไป เพราะจะทาให้เชื้อโรคเข้าทาลายต้นสตรอเบอร์รี่ได้ง่าย หรือตื้น
เกินไปเพราะทาให้รากแห้งและมีผลต่อการเจริญเติบโตของต้นสตรอเบอร์รี่ได้ ควรกลบวัสดุปลูกในระดับเดียวกับ
ภาพที่แสดงไว้ด้านบน
2. หลังย้ายปลูกสัปดาห์แรกไม่ควรให้ปุ๋ยเคมี เนื่องจากจะทาให้รากพืชปรับตัวไม่ทันและตายได้ ควรเริ่มให้เมื่อ
ผ่านไปแล้วประมาณ 7 - 10 วัน
3. การให้น้าควรดูวัสดุปลูกเป็นหลัก โดยให้มีความชื้นสม่าเสมอ อย่าให้แฉะหรือแห้งเกินไป
4. ในช่วงที่ปลูกเพื่อต้องการเก็บผล เมื่อต้นสตรอเบอร์รี่สร้างไหลออกมาให้ตัดไหลทิ้งเพื่อบังคับให้ต้นสตรอเบอร์รี่
สร้างตาดอกและเป็นการรักษาพลังงานของต้นเพื่อไว้เลี้ยงผลอีกด้วย
5. เมื่อต้นสตรอเบอร์รี่ เริ่มสมบูรณ์จะสร้างหน่อขึ้นมาข้างลาต้น ให้ผู้ปลูกไว้หน่อนั้นประมาณ 6 - 8 หน่อต่อ 1
ต้น ที่เหลือให้ตัดหรือขุดออกไปปลูกต่อเพื่อไม่ให้กอนั้นแน่นเกินไปจนกระทบต่อการเจริญเติบโตได้
6. หากเป็นการใช้ระบบน้าหยดให้ตั้งเวลาการให้น้าออกเป็น 4 ช่วง คือ เช้า - สาย - บ่าย - เย็น
7. ช่วงสัปดาห์แรก ของการนาไหลลงปลูกต้องให้น้าค่อนข้างบ่อยในวันหนึ่งอาจจะต้องให้น้าอย่างน้อย 3 - 4
ครั้งต่อวันโดยสังเกตุที่ตัววัสดุปลูกอย่าให้แห้งหรือแฉะเกินไป และให้นากระถางไว้กลางแจ้งที่มีแดด ห้ามนาไปไว้
ในที่ร่มไม่โดนแดดเพราะจะทาให้รากเน่าได้ ช่วงสัปดาห์แรกนี้ห้ามใส่ปุ๋ยเคมีเด็ดขาดเพราะรากสตรอเบอรี่ยังอ่อน
และกาลังปรับตัวอยู่ และระวังเรื่องน้าที่นามารดด้วยควรหลีกเลี่ยง การใช้น้าที่มีครอรีนสูง เช่นน้าประปา ทาการ
- 7. 7
เด็ดกาบใบล่างของต้นไหลสตรอเบอรี่ออก ให้เลือใบประมาณ 2-3 ใบ วิธีการเด็ดใบล่างออก จะทาให้สตรอเบอรี่
แตกยอดใหม่ได้เร็วและเจริญเติบโตได้เร็วขึ้น
8. หลัง 1 สัปดาห์หลังย้ายปลูกเมื่อสตรอเบอรี่เริ่มมียอดให้ขึ้นมาให้เราเริ่มให้ปุ๋ย A,B ในอัตราส่วน 1 - 2 ซีซี/น้า
1 ลิตร หรือมี ค่า EC อยู่ที่ประมาณ 1.3 - 1.6 ms/cmรดหรือให้กับระบบน้าหยด สัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง ช่วงนี้
อยู่ที่ 6.0 - 6.3 พร้อมกับคอยตัดแต่งใบล่างที่แห้งออกด้วย หากช่วงนี้ต้นสร้างไหลออกมาแต่เราต้องการ ปลูกเพื่อ
เก็บผลให้เราตัดสายไหลดังกล่าวออกไปด้วย เพื่อให้อาหารไปเลี้ยงต้นหลักได้อย่างเต็มที่
9. หลังครบ 2 สัปดาห์ให้เราเพิ่มปุ๋ย A,B อัตราส่วน 3 - 4 ซีซี/น้า 1 ลิตร และมีการเสริมปุ๋ย C อัตราส่วน 2 ซีซี/
น้า 1 ลิตร สัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง หรือมีค่า EC อยู่ที่ประมาณ 1.8 - 2.2 ms/cm ค่า pH ช่วงนี้อยู่ที่ 6.3 - 6.5
และทาการเด็บกาบใบล่างที่เหลืองหรือที่ไม่ได้รับการสังเคราะห์แสงออก
8. เมื่อปลูกไปได้ประมาณ 40 - 60 วันหากต้นมีความสมบูรณ์ และได้รับอากาศเย็นในช่วงกลางคืน อุณหภูมิ
ประมาณ 12 - 17 องศา C เป็นช่วงอุณหภูมิที่สตรอเบอรี่จะมีความสมบูรณ์ในการสร้างตาดอก และเมื่อดอก
ได้รับการผสมเกสรก็จะมีการติดผลต่อไป รวมระยะเวลาเฉลี่ยในการปลูกตั้งแต่ จนเก็บเกี่ยวประมาณ 50 - 60
วันหลังย้ายปลูก ในช่วงที่สตรอเบอรี่เริ่มติดดอกให้เราจะใช้ A,B 3 - 4 ซีซีต่อน้า 1 ลิตร ค่า EC อยู่ที่ประมาณ
1.8 - 2.2 ms/cm และเสริมปุ๋ย C ลงไปในน้าที่ใช้รด ในอัตราส่วน 1 ซีซี/น้า 1 ลิตร และช่วงที่ ติดผลนี้ให้เสริม
ด้วยปุ๋ย K ในอัตราส่วน 3 ซีซี/น้า 1 ลิตรให้ไปพร้อมกับน้าที่ใช้รด สัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง ค่า pH ในช่วงนี้อยู่ที่
6.5 - 6.8
หมายเหตุเพิ่มเติม
1. สตรอบเบอรี่เป็นพืชที่ระบบรากตื้น การให้น้าควรให้อย่างสม่าเสมอต่อวัน โดยให้ไม่มากแต่ให้บ่อยๆ เพื่อให้
รากได้รับความชื้นอย่างเหมาะสม หากมากไปจะทาให้รากเน่า ถ้าน้อยไปจะทาให้ต้นหยุดการเจริญเติบโต
2. ศัตรูพืชสาหรับสตรอเบอรี่ได้แก่ เพลี้ยอ่อน, ไรแดง, เพลี้ยไฟ, หนอนกระทู้, ทาก ฯลฯ ให้เลือกใช้สารสกัดจาก
ธรรมดชาติในการป้องกัน
3. โรคที่เกิดกับสตรอเบอรี่ได้แก่โรค แอนแทรคโนส, โรคใบจุด, โรครากเน่า, โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ที่มีพาหะมา
จากเพลี้ยไฟ หรือเพลี้ยอ่อน
4. กรณีต้นสตรอเบอรี่แตกกอ ออกมาเพิ่มให้ตัดกออกให้เหลือแค่ 3 - 5 กอต่อต้นพอ
5. อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของสตรอเบอรี่คือ ช่วงกลางวัน 25 องศา C และช่วงกลางคืน 18
องศา C
6. การสร้างตาดอก อุณหภูมิต่ากว่า 24 องศา C อุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดคือ 12 องศา c ในด้านช่วงแสงที่น้อย
กว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน จะเป็นปัจจัยในการกระตุ้นการพัฒนาตาดอก ช่วงแสงที่เหมาะสมที่สตรอเบอรี่ควรได้รับคือ
8 ชั่วโมงต่อวัน การปลูกในเขตร้อน เราสามารถสร้างปัจจัยดังกล่าวได้โดยช่วงกลางคือ นาต้นสตรอเบอรี่มาวาง
ไว้ในที่มีอุณปภูมิต่ากว่า 18 องศา เป็นระยะเวลาติดต่อกัน 2 สัปดาห์ สตรอเบอรี่ก็จะสร้างตาดอกออกมาได้
เช่นกัน
- 8. 8
โรค แมลง และศัตรูพืชสาหรับสตรอเบอร์รี่
1.โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส
จะแสดงอาการใบหงิก ย่น หรือมีอาการใบด่าง ใบผิดรูปร่าง ใบม้วนขึ้น ต้นเตี้ย แคระแกรน ข้อสั้น ทรง
พุ่มมีใบแน่นขนาดใบเล็กกว่าปกติ ต้นพืชอ่อนแอ ชะงักการเจริญเติบโตและทาให้ผลผลิตลดลง
พบว่าแมลงพวกปากดูด ได้แก่ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ และไส้เดือนฝอยบางชนิดเป็นพาหะของโรค โรคนี้เมื่อเกิด
แล้ว ไม่สามารถรักษาให้หายได้ นอกจากการป้องกันโดยคัดเลือกกล้าที่ไม่เป็นโรค ซึ่งเกิดจากต้นแม่พันธุ์ที่ได้จาก
วิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมาปลูก ทาการอบดินเพื่อทาลายไส้เดือนฝอยที่เป็นพาหะของโรคไวรัส กาจัดแมลงพวก
เพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน ซึ่งเป็นพาหะของโรค เมื่อพบว่ามีต้นที่แสดงอาการผิดปกติดังกล่าวให้ขุดออกไปเผาทาลาย
ทันที และการบารุงพืชให้แข็งแรงอยู่เสมอจะช่วยต้านทานเชื้อโรคได้
การป้องกันกาจัดแมลงพาหะของเชื้อไวรัส
* ใช้สารสกัดสะเดา ฉีดพ่นเพื่อขับไล่และยับยั้งการกินอาหาร การเจริญเติบโตของแมลง ได้แก่ เพลี้ยอ่อน เพลี้ย
ไฟ
* ใช้กับดักกาวเหนียวสีเหลือง วิธีการนี้สามารถดักจับตัวเต็มวัยของแมลงศัตรูพืช เช่น เพลี้ยไฟ ผีเสื้อต่างๆที่เป็น
ตัวแก่ของศัตรูพืช ทาให้ลดปริมาณศัตรูพืชลงได้ การวางกับดักกาวเหนียวสีเหลือง ควรวางให้อยู่ระดับสูงเหนือ
ยอดต้นสตรอเบอรี่ประมาณ 1 ฟุต ในฤดูหนาวซึ่งมีการระบาดของแมลงน้อย อาจวางกับดัก 15 - 20 กับดัก/ไร่
แต่ในฤดูร้อนและฤดูฝน ซึ่งจะมีการระบาดของแมลงศัตรูพืช ควรวางกับดัก 60 - 80 กับดัก/ไร่
2. โรคแอนแทรคโนส (โรคกอเน่า)
เกิดจากเชื้อราคอลเล็คโตตริคัม จะแสดงอาการเริ่มจากแผลเล็กๆ สีม่วงแดงบนไหล แล้วลุกลามไปตลอด
ความยาวของสายไหล แผลที่ขยายยาวมากขึ้นจะเปลี่ยนเป็นสีน้าตาล รอบนอกของแผลเป็นสีเหลืองอมชมพูซีด
แผลที่แห้งเป็นสีน้าตาลทาให้เกิดรอยคอดของไหลบริเวณที่เป็นแผล ต้นไหลอาจจะยังไม่ตาย แต่เมื่อย้ายต้นไหลที่
มีการติดเชื้อลงมาปลูกบริเวณพื้นราบ หากสภาพอากาศเหมาะสมกับ
การเจริญเติบโตของเขื้อ(อากาศร้อนชื้น) สตรอเบอรี่จะแสดงอาการใบเฉาและต่อมาจะเหี่ยวอย่างรวดเร็ว พบว่า
เนื้อเยื่อส่วนกอด้านในมีลักษณะเน่าแห้ง มีสีน้าตาลแดง หรือบางส่วนเป็นแผลขีดสีน้าตาลแดง และต้นจะตายใน
ที่สุด โรคนี้สามารถเกิดที่ผลสตรอเบอรี่ได้ด้วย พบอาการเป็นแผลลักษณะวงรี สีน้าตาลเข้ม แผลบุ๋มลึกลงไปใน
ผิวผล เมื่ออากาศชื้นสามารถมองเห็นหยดสีส้ม ซึ่งเป็นกลุ่มของสปอร์ขยายพันธุ์ของเชื่อราอยู่ในบริเวณแผล
การป้องกันและกาจัดโรค
ในฤดูกาลผลิตผลสตรอเบอรี่ในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนเมษายน ควรวางแผนจัดการในการผลิต
ต้นไหลให้ปราศจากเชื้อโรคทั้งที่เป็นอาการแบบต่างๆของโรคแอนแทรคโนสที่ปรากฎให้เห็น ได้แก่ อาการโรคใบ
จุดดา, ขอบใบไหม้, แผลบนก้านใบ และแผลบนสายไหลตลอดจนต้นไหลที่มีการติดเชื้อแบบแฝง โดยที่ต้นไหลยัง
แสดงอาการปกติ แต่จะตายเมื่อมรการย้ายลงมาปลูกบริเวณพื้นที่ราบ ในสภาพอากาศเหมาะสมกับการเจริญของ
เชื้อ
- 9. 9
3.โรคใบจุด
โรคนี้จะปรากฎกับต้นแม่และต้นกล้า พบอาการระบาดรุนแรงในแปลงที่ปลูกกันมานาน การควบคุมโรค
ไม่ดีพอ แปลงที่มีวัชพืชมาก อาการเริ่มแรกจะเห็นแผลขนาดเล็กสีม่วงแก่บนใบ ต่อมาแผลขยายขนาด รอบแผล
สีม่วงแดง กลางแผลสีน้าตาลอ่อนถึงขาวหรือเทา แผลค่อนข้างกลมคล้ายตานก สีอาจเปลี่ยนไปบ้างแล้วแต่ความ
รุนแรงของโรคและการตอบสนองของพืช อาการอาจปรากฎบนก้านใบ หรือบางครั้งพบอาการที่ผลด้วย
การป้องกันกาจัดโรค
ถ้าพบอาการของโรคที่ใบให้เด็ดใบที่เป็นโรคออกแล้วนาไปเผาทาลาย อย่าทิ้งไว้บริเวณแปลงปลูก
เพราะจะทาให้เป็นแหล่งสะสมของโรคต่อไป บารุงพืชให้แข็งแรงในระยะปลูกเพื่อผลิตไหล อย่าปล่อยให้วัชพืช
ขึ้นรก
เพราะวัชพืชเป็นแหล่งอาศัยของโรค ควรดูแลความสะอาดของแปลงอยู่เสมอ โดยเฉพาะช่วงฤดูฝน
4. โรคเหี่ยว
เป็นผลมาจากอาการรากเน่าโคนเน่า ซึ่งเกิดจากเชื้อราไฟทอปทอร่า จะพบการตายของราก โดยเริ่มจาก
ปลายรากแล้วลุกลามต่อไปรากแขนงจะเน่าบริเวณท่อน้าท่ออาหารเป็นสีแดง อาการเน่าสามารถลามขึ้นไปจนถึง
โคนต้น ถ้าหากอาการไม่รุนแรงพืชจะแสดงอาการเพียงแคระแกรน แต่ถ้าอาการรุนแรงจะเหี่ยวทั้งต้น ใบเป็นสี
เหลืองจนถึงสีแดง และทาให้พืชตายได้ภายใน 2 - 3วัน เมื่อถอนต้นดูพบว่าก้านใบจะหลุดออกจากกอได้ง่าย ท่อ
ลาเลียงภายในรากถูกทาลายจนเน่าทั้งหมด
ศัตรูที่สาคัญของ สตรอเบอรี่
1. ไรสองจุด
เป็นศัตรูที่สาคัญของการผลิตผลสตรอเบอรี่ ไรจะดูดน้าเลี้ยงจากใบสตรอเบอรี่โดยเฉพาะบริเวณใต้ใบ ทา
ให้ผิวใบบริเวณที่ไรดูดทาลายมีลักษณะกร้าน ใต้ใบเปลี่ยนเป็นสีน้าตาลแดง ผิวใบด้านบนจะเห็นเป็นจุดด่างขาว
เล็กๆ กระจายอยู่ทั่วไป เมื่อการทาลายรุนแรงขึ้น จุดด่างขาวเล็กๆเหล่านี้จะค่อยๆแผ่ขยายติดต่อกันไปเป็น
บริเวณกว้าง จนทาให้ทั่วทั้งใบมีลักษณะเหลืองซีด ใบร่วง เป็นผลทาให้สตรอเบอรี่ชงักการเจริญเติบโต ต้นแคระ
แกรน ให้ผลผลิตน้อยลง พบระบาดมากในสภาพอากาศแห้งความชื้นต่า
การป้องกันและกาจัดไรสองจุด
1. การให้น้าแบบใช้สปริงเกอร์จะช่วยลดประชากรไรได้ เพราะจะเป็นการชะล้างไรให้หลุดจากใบพืช ชะล้างฝุ่น
ละอองที่ไรชอบหลบอาศัยอยู่
2. หมั่นทาความสะอาดแปลง ไม่ให้มีวัชพืชขึ้นในแปลงปลูก
- 10. 10
3. ไม่ควรปลูกพืชผักโดยเฉพาะ เช่น กระเทียม, ขึ้นฉ่าย แซมในแถวปลูกสตรอเบอรี่ เพราะเป็นการเพิ่มพืชอาศัย
ให้ไรสองจุด
2. หนอนด้วงขาว
เป็นหนอนของด้วงปีกแข็ง ตัวสีขาว ปากมีลักษณะปากกัด สีน้าตาลอ่อน เจริญเติบโตจากไข่ที่อยู่
ใต้ดิน จะเริ่มกัดกินรากสตรอเบอรี่ในช่วงปลายฤดูฝน ทาให้รากไม่สามารถดูดน้าได้ เมื่อใบคายน้าจึงทาให้ใบ
เหี่ยว รูใบปิด ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่สามารถฟุ้งกระจายเข้าสู่ใบ การสังเคราะห์แสงจะลดลง ทาให้ต้นสตรอ
เบอรี่อ่อนแอ ชงักการเจริญเติบโต เมื่อพบอาการดังกล่าวให้ขุดหาหนอนแล้วทาลาย ในการเตรียมแปลงให้ย่อย
ดินให้ละเอียด โดยเฉพาะพื้นที่เปิดใหม่ใกล้ป่าหรือใกล้กองปุ๋ยหมัก ใช้สารเคมีประเภทคลอร์ไพริฟอสราดบริเวณที่
พบ สารเคมีดังกล่าวเป็นสารเคมีกาจัดแมลงประเภทสัมผัสและกินตาย มีพิษตกค้าง 20 - 25 วันในดิน
3. เพลี้ยอ่อน
เป็นแมลงปากดูด จะดูดน้าเลี้ยงของใบ ก้านใบ ด้านท้ายลาตัวเพลี้ยอ่อนมีท่อยื่นออกมา 2 ท่อ
ใช้ปล่อยสารน้าหวานเป็นอาหารของเชื้อรา ทาให้พืชสกปรกเกิดราดา พืชสังเคราะแสงได้ลดลง
ทาให้ชงักการเจริญเติบโต ใบหงิกย่น เพลี้ยอ่อนจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มตามส่วนยอดช่อดอกและขยายพันธุ์อย่าง
รวดเร็ว
* นอกจากศัตรูดังกล่าวแล้ว ยังพบว่าทากและหนูเป็นศัตรูสาคัญที่เข้าทาลายผลสตรอเบอรี่ได้
การติดดอก, ออกผล และ การเก็บเกี่ยว
ต้นสตรอเบอรี่จะเริ่มแทงช่อดอกประมาณเดือนพฤศจิกายน เมื่ออุณหภูมิลดต่าลงและช่วงแสงของวันสั้น
เข้า คือ ประมาณหนึ่งเดือนหลังจากปลูก เมื่อดอกบานมีการผสมเกสรแล้วประมาณหนึ่งเดือน ผลจะเริ่มทยอยแก่
พร้อมที่จะเก็บเกี่ยวได้ โดยผลสุกมากที่สุดในช่วงเดือนมีนาคมและจะวายประมาณปลายเดือนเมษายน
สตรอเบอรี่นอกจากเป็นอาหารแล้วยังใช้เป็นสมุนไพรได้ เนื่องจากผลสตรอเบอรี่อุดมด้วยวิตามินซีและ
ธาตุเหล็ก มีคุณประโยชน์ต่อระบบเลือดและหัวใจ ลูกสีแดงสดอุดมด้วยซูเปอร์ไฟเบอร์เพคติน ซึ่งสามารถช่วยลด
ปริมาณโคเลสเตอรอลได้ระดับหนึ่ง นอกจากนั้นยังช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทางานได้สะดวก มีสรรพคุณเป็น
ยาระบายอย่างอ่อน ยาขับปัสสาวะและสามารถยับยั้งสารก่อมะเร็งกลุ่มไนโตรซามึนได้ (สารกลุ่มนี้กระตุ้นการเกิด
มะเร็งในลาไส้) เนื่องจากมีโพลีฟินอลปริมาณสูง
- 12. 12
สาย ห้ามตัดชิดด้านใดด้านหนึ่ง เนื่องจากการตัดชิดด้านในด้านหนึ่งจะทาให้ต้นสตรอเบอร์รี่เกิดแผลและเชื้อโรค
จะเข้าทาลายได้ง่าย
1.4 ให้นาต้นไหลที่ทาการตัดแล้วย้ายลงปลูกในแปลงปลูกได้ โดยช่วงแรกให้ใช้ EC ประมาณ 1.2 - 1.4
1.5 เมื่อปลูกได้ประมาณ 2 สัปดาห์ให้เปลี่ยนน้าในระบบใหม่ และปรับ EC เป็น 1.5 - 1.7
1.6 เมื่อปลูกได้ประมาณ 2 สัปดาห์ให้เปลี่ยนน้าในระบบใหม่ และปรับ EC เป็น 1.7 - 2.0 และให้เลี้ยงด้วย EC
ในระดับนี้ไปตลอด และให้ปุ๋ย C เสริม โดยฉีดพ่น 2 - 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ในระหว่างนี้ถ้าต้องการปลูกเพื่อเก็บผลก็
ให้ตัดไหลที่งอกออกมาทิ้งให้หมด เพื่อให้ต้นสะสมอาหารและมีความสมบูรณ์พร้อมที่จะออกดอก
1.7 เมื่อสตรอเบอรี่ เริ่มติดผลได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ให้เสริมปุ๋ย K ด้วยการฉีดพ่นสัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง เพื่อ
ให้ผลสตรอเบอร์รี่สมบูรณ์และเพิ่มน้าตาลให้กับผลมากขึ้น
- 13. 13
ตัวอย่าง การทาต้นไหลเพื่อนาไปปลูกต่อ
2. การเตรียมต้นเกล้าจากการเพาะเมล็ด
สตรอเบอร์รี่เป็นพืชเมืองหนาวที่ ขยายพันธุ์ด้วยการสร้างไหล และการใช้เมล็ด สาหรับเมล็ดสตรอเบอร์รี่
ที่ใช้ในการปลูกนั้นจะแบ่งการเตรียมเมล็ด ออกเป็น 2 ช่วง ก่อนปลูกคือ
1. ช่วงระยะพักตัว กล่าวคือ ตามธรรมชาติของพืชในเขตหนาวเมล็ดของพืชเหล่านี้เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวจะมีระยะ
ฟักตัวเพื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในเมล็ดเพื่อให้พร้อมต่อการงอกเมื่อถึงฤดู และมีปัจจัยที่เหมาะสมต่อการ
งอก
ดังนั้นเราจะสังเกตุได้ว่าเมล็ดพืชในเขตหนาวถ้าเราเก็บมาใหม่ๆ แล้วนามาเพาะทาไมจึงมีเปอร์เซ็นต์การ
งอกต่า นั้นเป็นเพราะว่าเมล็ดเหล่านั้นยังไม่เข้าสู่ระยะฟักตัวเพื่อเปลี่ยนเคมีในเมล็ดดังกล่าวมาแล้ว แต่เมื่อเรานา
เมล็ดไปเก็บในตู้เย็นหรือที่มีอุณหภูมิตาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วนาเมล็ดนั้นมาเพราะจะทาให้เปอร์เซ็นต์การงอก
ของเมล็ดนั้นสูงขึ้นกว่าเมล็ดที่ไม่ได้ผ่านระยะฟักตัว โดยสตรอเบอร์รี่มีระยะฟักตัวอยู่ที่ประมาณ 2 - 4 สัปดาห์ ใน
อุณหภูมิต่ากว่า 7 องศาเซลเซียส
2. ช่วงระยะเวลาการงอก โดยปกติของเมล็ดสตรอเบอร์รี่เมื่อผ่านระยะฟักตัวมาแล้วประมาณ 2 - 4 สัปดาห์
เมื่อถูกกระตุ้นด้วยปัจจัยการงอก คือ น้า, อุณหภูมิ และอ๊อกซิเจน เมล็ดจะเริ่มงอกภายใน 7 - 14 วัน
การเพาะเมล็ดเป็นวิธีการปลูกสตรอเบอร์รี่ที่ใช้เวลาและมีวิธียุ่งยากกว่าการปลูกด้วยวิธีอื่น แต่การเพาะ
เมล็ดเป็นวิธีที่ผู้ปลูกสามารถเริ่มต้นได้ทุกฤดูและตัดปัญหาการขาดแคลนต้นไหลในบางช่วงฤดูได้ โดยการเพาะ
เมล็ดสตรอเบอร์รี่ มีวิธีการดังนี้
- 15. 15
2. หลังจากผ่านไปประมาณ 7 วัน จะมีรากเล็กๆ สีขาวยาวประมาณ 1 - 2 มิลลิเมตร งอกออกมาจากเมล็ด
ในช่วงนี้เมล็ดจะมีการคายเมือกหุ้มเมล็ดออกมามากทาให้เมล็ดที่แช่เกาะกันเป็นกลุ่ม ให้เราใช้ตะเกียบ ค่อยๆคน
ให้เมล็ดแยกออกจากกัน จากนั้นให้แยกเมล็ดที่งอกออกมานาไปเพาะในฟองน้าเหมือนกับการปลูกสลัดในระบบ
ไฮโดรฯ ต่อไป
3. อนุบาลเกล้าสตรอเบอร์รี่ในถาดอนุบาลด้วยน้าเปล่า (วันที่ 1 - 7) คอยรักษาระดับน้าให้อยู่ประมาณ 2 ส่วน 3
ของก้อนฟองน้า และให้โดยแสงราไรอย่าให้โดนแดดโดยตรง
4. เมื่ออนุบาลครบ 7 วันก็เริ่มให้ปุ๋ย อ่อนๆ ด้วยใช้ EC ประมาณ 0.8 - 1.1 เมื่อครบ 14 วันก็ย้ายลงแปลงปลูกได้
โดยใช้ EC ที่ 1.2 - 1.4 จนครบ 1 เดือน ก็ปรับ EC เป็น 1.5 - 1.7 (ให้เปลี่ยนน้าทุกๆ 2 สัปดาห์) และให้ปุ๋ย C
เสริม โดยฉีดพ่น 2 - 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ในระหว่างนี้ถ้าต้องการปลูกเพื่อเก็บผลก็ให้ตัดไหลที่งอกออกมาทิ้งให้
หมด เพื่อให้ต้นสะสมอาหารและมีความสมบูรณ์พร้อมที่จะออกดอก
5. เมื่อสตรอเบอรี่ เริ่มติดผลได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ให้เสริมปุ๋ย K ด้วยการฉีดพ่นสัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง เพื่อให้ผล
สตรอเบอร์รี่สมบูรณ์และเพิ่มน้าตาลให้กับผลมากขึ้น
หมายเหตุ
1. ค่า pH ที่เหมาะสมสาหรับสตรอเบอร์รี่ อยู่ที่ 6.0 - 6.8 และ EC สาหรับต้นที่โตแล้วอยู่ที่ 1.7 - 2.3
2. ควรเปลี่ยนน้าใหม่ทุกๆ 2 สัปดาห์
3. ควรฉีดพ่นปุ๋ย C และสารกาจัดและป้องกันโรคและแมลง ทุกๆ 7 - 10 วัน