More Related Content Similar to พุทธศาสนาเถรวาท
Similar to พุทธศาสนาเถรวาท (20) More from Wataustin Austin
More from Wataustin Austin (20) พุทธศาสนาเถรวาท1. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๑
บทนํา
ในยุคสมัยปจจุบัน ยอมเปนที่ทราบกันดีวา เปนยุคแหงความเจริญกาวหนาทางเทคโนโลยี
อันทันสมัยในทุก ๆ ดาน เปนยุคสมัยที่ผูคนพบแตความสะดวกสบาย ไมวาจะเปนชีวิตความ
เปนอยูในดานสวนตัว ดานครอบครัว ดานการศึกษา ดานอาชีพการงาน ดานการสังคม เปนตน
เหลานี้ลวนพบวา คนเราตองการความสุขสะดวกสบายทั้งนั้น ไมมีใครเลยที่ตองการความทุกข แม
คน ๆ นั้นจะเกิดมายากจนมีฐานะต่ําตอยในสังคม แตเขาก็มีความตองการความสุขความสบาย
เหมือนคนที่เกิดมาร่ํารวยมีฐานะทางสังดมดีเชนกัน
ยกตัวอยาง (มองโดยภาพรวม) ในชีวิตประจําวันของคนเราไมวาชายหรือหญิงตั้งแตตื่น
นอน มีสิ่งใดบางที่ตองทํา เชน ตองเก็บที่นอน ตองเขาหองน้ําเพื่อปลดทุกข ตองออกกําลังกาย
ตองชําระรางกาย ตองแตงตัว ตองเตรียมตัวในการปฏิบัติหนาที่ของตน เปนตน เหลานี้เพื่ออะไร
คนเราโดยปกติจะไมเคยคิดและไมเคยถามตัวเองเลยวา กิจกรรมตาง ๆ ที่กลาวมานี้ทําไมตองทํา
และตองทําใหดีดวย ไมทําไมได ลองคิดดูวา ถาตื่นขึ้นมาแลวรูสึกปวดทอง ถาไมลุกไปเขาหองน้ํา
จะเปนอยางไร เขาหองน้ําแลวถาไมราดนําใหสะอาดจะเปนอยางไร รางกายเหนียวเหนอะหนะไม
กระปรี้กระเปรา ถาไมออกกําบังกายแลวชําระรางกายจะเปนอยางไร ตองเลือกชุดแตงกายที่ดีและ
เหมาะสมที่สุดสําหนับวันนั้น ๆ ถาไมทําเชนนั้นจะเปนอยางไร
แมวันที่เกียจครานที่สุด ไมอยากทําอะไรเลยอยากจะนอนอยูอยางนั้น ถามวาจะนอนอยู
อยางนั้นตลอดไปไดหรือไม ก็ไมได ความเปนจริงก็คือยังมีความตองการความสุขสบายนั่นเอง
กิจกรรมในชีวิตประจําวันซึ่งมีดวยกันทุกคนแตอาจจะแตกตางกันไป กิจกรรมที่เราตองทําเหลานั้น
ถาพิจารณาใหตรงตามความเปนจริงแลว ก็จะไดคําตอบวา เพื่อความสุขเพื่อความสะดวกสบาย
ของขันธ ๕ หรือ นามรูปทั้งนั้น แมสิ่งของเครื่องใชตาง ๆ ก็ยังตองแสวงหาแตสิ่งที่คิดวาดีที่สุด
แมราคาถูก และยังมีกิจกรรมที่จําเปนอีกมากมายที่ตองทํา เชน เมื่อหิวตองรับประทานอาหาร
ประมาณ ๓ มื้อตอวัน แตบางคนก็มากกวานั้นไมเลือกเวลา และในการรับประทานอาหารก็ตอง
เลือกกอนวาดีเหมาะสมกับความตองการของตนเองหรือไม ถาไมชอบไมดีก็ไมรับประทาน เมื่อมี
สิ่งที่มากระตุนใหกระทํา ก็จําเปนตองทํา เชน การเที่ยว การละเลน การเขาสังคม การพักผอน
ตองแสวงหาสิ่งอํานวยความสะดวกตาง ๆ เพื่อใหขันธชุดนี้ไดรับความสุขสบาย ถามวาถาไมทําสิ่ง
เหลานี้ ไมแสวงหาสิ่งเหลานี้ ไมตอบสนองสิ่งเหลานี้จะไดหรือไม ตอบวาไมได เพราะโดยปกติ
คนเราเมื่อทําอะไรมักตามใจกิเลส คือตามใจตนเองเปนอันดับแรก โดยพื้นฐานคือคนเรามี
ความเห็นแกตัว
ดังไดกลาวมาแลววา กิจกรรมในชีวิตประจําวันของคนเราทุกอยาง หรือการแสวงหา
สิ่งของเครื่องอํานวยความสะดวกตาง ๆ ลวนเพื่อใหตนเองเกิดความสุขเกิดความสะดวกสบาย
นั่นเอง
ไมวาเขาคนนั้นจะเปนใครก็ตาม จะอยูในวัยใดก็ตาม ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยูในโลกนี้ในสังคมนี้
2. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๒
ตราบนั้นก็ยังตองประสบกับสิ่งเหลานี้หนีไปไมพน ถาไมยอมรับก็อยูไมไดทนไมได
เมื่อวาตามความเปนจริง จิตของคนเรายอมมีความนึกคิด มีความตองการอยูเสมอ อาจ
กลาวไดวาการเคลื่อนไหวของจิตนั้น เปนการเคลื่อนไหวไปตามความตองการ หรือมีความ
ตองการอยูในตัวก็ได เชน ตองการนั่ง นอน ยืน เดิน ตองการลุก ตองการแปรงฟน ตองการชําระ
รางกาย ตองการรับประทานอาหาร ตองการเที่ยวพักผอน วาใหเขาใจก็คือจิตของคนเรามีการ
เคลื่อนไหวไปตามความตองการทุกขณะ แมบางขณะอาจคิดวา ตนเองไมมีความตองการอะไร
เชน ขณะกําลังนอนทอดกายสบายอารมณบนโซฟา ขาวน้ําก็อิ่มแลว กิจธุระหนาที่ก็ทําเสร็จแลว
ถามีใครมาถามวา “คุณตองการอะไรบาง” เราก็ตอบไปทันทีวา “เปลา ไมตองการอะไรเลย”
แตในความเปนจริง ทานก็ยังมีสิ่งที่ตองการอยูนั่นเอง คือตองการจะอยูเฉย ๆ หรือตองการไมให
ใครทําอะไรหรือรบกวนอะไรอีก แทจริง ความคิดของจิต ยอมมีความตองการอยูในตัว ถาจะพูด
ใหเปนศัพทก็เรียกวา “ความปรารถนา”
ทีนี้ความปรารถนาของคนเราแมจะมีตาง ๆ กัน หรือที่เรียกวา “นานาจิตตัง” เชน บางคน
อยากดูหนัง บางคนอยากดูละคร บางคนอยากเที่ยว แตเมื่อเพงดูผลแหงความปรารถนาของทุกคน
แลวก็คือปรารถนา “ความสุข” เหมือนกันหมด เพราะความสุขเปนยอดความปรารถนา และขึ้น
ชื่อวาความปรารถนาแลว จะไปสุดยอดที่ความสุข สุดตรงที่สุขนั่นเอง ไมวาใครจะปรารถนาอะไร
ก็ตาม ปรารถนาจะนั่ง ก็ขอใหนั่งเปนสุข ปรารถนาจะนอน ก็ขอใหนอนเปนสุข คือไปสุดตรงที่
สุข แมคน ๆ นั้นทําความชั่วมีโทษตองติดคุก เขาก็ยังปรารถนาจะอยูในที่ที่สุขสบายที่สุด
สรุปไดวาความสุขเปนยอดปรารถนาของคนเราจริง ๆ
ทานปยทัสสี ไดกลาวไวในหนังสือ BODDHISM –A LIVING MESSAGE
(พระพุทธศาสนา – อมตเทศนา) ตอนหนึ่งวา “สําหรับผูที่พยายามมองทุกสิ่งทุกกอยางตามสภาพ
ความเปนจริงแลว แนวความคิดเรื่องทุกข หาใชเรื่องที่ไรความสําคัญไม เรื่องนี้เปนแกนหลักของ
แนวคิดทางพระพุทธศาสนาทีเดียว การละเลยหลักคิดอันสําคัญนี้ ก็เทากับเปนการละเลยอีกสาม
อยางนั่นเทียว ความสําคัญในการรูจักคําวาทุกขนั้นจะสามารถมองเห็นไดจากพระพุทธพจนวา
“ผูใดมองเห็นทุกข ผูนั้นยอมมองเห็นเหตุเกิดแหงทุกข ความดับแหงทุกข และทางดําเนินถึงความ
ดับแหงทุกขดวย” สําหรับผูปฏิเสธเรื่องทุกขแลว หนทางดําเนินเพื่อความหลุดพนจากทุกข ยอมไร
ความหมายโดยสิ้นเชิง”
ความจริงของชีวิตจริง ๆ คือความทุกข ไมใชความสุข ความสุขเปนสิ่งที่จรมาภายหลัง
ชีวิตคนเราตกอยูในกองทุกขโดยกําเนิด แตที่เราเห็นวาเปนความสุขนั้น เชน หัวเราะได รูสึก
สบายเนื้อสบายตัว นั่นเปนเพราะวาความทุกขมันลดลงเทานั้นเอง หาใชเปนความสุขที่แทจริงไม
ความทุกขคือความจริงของชีวิต สวนความสุขเปนเพียงสิ่งที่จรมา เหมือนกับความจริงของโลกใบ
ที่เราอาศัยอยูนี้ โลกจริง ๆ คือความมืด ไมใชความสวาง แตเมื่อมีพระจันทร พระอาทิตย เกิดขึ้น
โลกใบนี้จึงเกิดมีความสวางไสว แมวาความจริงของชีวิตคือความทุกขจริง ๆ แตคนเราก็ไมชอบ
3. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๓
ความทุกข แตไปชอบความสุข คือจะทําอะไร ก็ทําไปเพื่อความสุข ครั้นไมไดดังจิตที่ตองการก็
เกิดทุกข เมื่อทุกขเกิดก็ยอมรับความเปนจริงไมได ก็เลยเกิดความทุกขหนักเขาไปอีก
ในหนังสือคําถาม – คําตอบเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เลม ๑ (BUDDHISTIC
QUESTIONS AND ANSWERS BOOK 1) ก็ไดกลาวถึงเรื่องทุกขไววา “ทุก ๆ คนปรารถนา
สุข ไมตองการทุกข แตทําไมคนเราจึงยังตองเปนทุกข และไมสามารถจะแกทุกขของตนเองได
บางทียิ่งแกยิ่งเปนทุกขมาก ทั้งนี้ก็เพราะไมรูเหตุผลตามเปนจริงวา อะไรเปนเหตุของทุกข อะไร
เปนเหตุของสุข ถาไดรูแลวก็จะแกได คือ ละเหตุที่ใหเกิดทุกข ทําเหตุที่ใหเกิดสุข อุปสรรคที่
สําคัญอันหนึ่งก็คือใจของตนเอง เพราะคนเราตามใจตนเองมากเกินไป จึงตองเกิดเดือดรอน”
ถาคนเราเขาใจและยอมรับความเปนจริงวา ความเปนจริงของชีวิตจริง ๆ คือความทุกข
ไมใชความสุขเลย เมื่อเกิดมีความทุกขขึ้นในชีวิตของเขา เขาก็จะกลับกลายเปนผูมีความสุข
มากกวาคนอื่น เพราะการยอมรับและเขาใจในความเปนจริง ความทุกข ซึ่งเปนความจริงของชีวิต
นี้พระสัมมาสัมพุทธเจาเปนผูคนพบ เปนผูมองเห็นความเปนจริงนี้ แลวนํามาชี้บอกใหเวไนยสัตว
ทั้งหลายไดรูไดเห็นตามความเปนจริง ซึ่งสิ่งที่พระองคคนพบนี้เปนวิธีแกทุกข หรือวิธีพนทุกข
ใครก็ตามเมื่อศึกษาจนเขาใจและปฏิบัติตามหลักนี้แลว คน ๆ นั้นจะไมมีความทุกข หรือพนจาก
ความทุกขได หลักความจริงอันนี้เรียกวา “อริยสัจ ๔” ซึ่งจะไดกลาวตอไป
ที่มาของอริยสัจ ๔
กอนอื่นขอใหพิจารณาถึงที่มาของอริยสัจ ๔ เปนเบื้องตนกอน เพื่อจะไดทราบความ
เปนมา ที่มาของพระสัมมาสัมพุทธเจาไมใชวาจะไดมางาย ๆ ดังเชนพระพุทธเจาของเรา ชาติ
สุดทายที่เปนพระโพธิสัตวบําเพ็ญทานบารมีนามวาพระเวสสันดร พระองคตองเสียสละอยาง
ยิ่งยวดสรางบารมีสูงสุดในทานบารมี ตองเสียสละอยางสูง ใครจะทําได ไมมีใครทําได สละปลด
เปลื้องพันธนาการทั้งหมดตั้งแตพระมเหษีราชบุตรราชธิดาและราชสมบัติทั้งหมด สิ่งที่มุงหวัง
เฉพาะคือพระโพธิญาณ ไดกระทําสําเร็จแลว ก็ไปเสวยวิมุตติสุขบนสวรรคชั้นดุสิตเปนเวลา ๕๗
โกฏิป เหลาทวยเทพทั้งหลายก็ประชุมกันวา “โลกวางจากพระสัมมาสัมพุทธเจาแลว ควรจะอัน
เชิญเทพบุตรองคใดองคหนึ่งไปตรัสรูเปนพระสัมมาสัมพุทธเจา” มหาพรหมและทวยเทพทั้งหมด
ลงมติใหสันดุสิตเทวราชซึ่งก็คือพระเวสสันดรนั่นเอง ไปเปนพระสัมมาสัมพุทธเจา ทาวสันดุสิต
เทว-ราชยังไมตกลง แตพิจารณากอนวา ถึงกาลอันควรหรือยัง ประเทศไหนเปนประเทศที่ควรจะ
รองรับสัพพัญุตญาณได ภาษาไหนเปนภาษาที่รองรับสัพพัญุตญาณได พุทธมารดามีหรือไมที่
จะรองรับราชบุตรไดเพียงพระองคเดียวแลวสวรรคตภายในเจ็ดวัน ซึ่งไมมีฐานะที่จะรองรับบุตร
อื่นมาอุบัติตอไดอีก เมื่อพิจารณาหลาย ๆ ดานก็เห็นวามีความพรอม จึงไดตกลงรับคําเชิญของเหลา
ทวยเทพทั้งปวงวา จะลงไปตรัสรูเปนพระพุทธเจา
การอุบัติขึ้นมาของพระโพธิสัตวจากสวรรคชั้นดุสิต มาอุบัติในโลกมนุษยมีพระนามวา
“สิทธัตถะราชกุมาร” ทามกลางเหลานักปราชญราชบัณฑิตและขาราชบริพารทั้งมวล
4. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๔
แมแตพระราชบิดาคือพระเจาสุทโธทนะก็อยากจะใหเปนพระเจาจักรพรรติ ตามคําของพราหมณ
ทั้งหลายที่ไดพยากรณวามีคติเปนสอง ถาออกบวชก็จะไดเปนพระสัมมาสัมพุทธเจา ถาครองเพศ
ฆราวาสก็จะไดเปนพระเจาจักรพรรติมีอํานาจยิ่งใหญ ตลอดทั่วขอบเขตขัณฑสีมามีมหาสมุทรทั้งสี่
ดานเปนขอบเขตและเปนเมืองขึ้นทั้งหมด แนนอนวาวิสัยความเปนกษัตริยยอมตองการความ
ยิ่งใหญที่จะมีอํานาจปกครองไปทั่วทุกสารทิศ ฉะนั้น พระเจาสุทโธทนะจึงมุงหวังเปนที่สุดวาน
ครกบิลพัสตุจะเปนดินแดนของพระเจาจักรพรรติที่ยิ่งใหญได
แตวาพระบารมีของพระโพธิสัตวที่ไดสั่งสมมา แมวาจะถูกปดลอมดวยวิธีการตาง ๆ อัน
บําเรอใหไดรับความสุขอยางมากมาย แตก็ไมสามารถที่จะสกัดกั้นได ตลอดเวลา ๒๙ ปที่อยู
เฉพาะในพระราชวัง ทําใหเกิดความรูสึกวาอยากจะออกประพาสนอกราชอุทยานบาง จึงไดชวน
นายฉันนะออกเที่ยวประพาสนอกราชอุทยาน ทวยเทพทั้งหลายก็ไดโอกาสแสดงนิมิตใหเห็นวา
ในโลกนี้มีการเกิด การแก การเจ็บ การตาย สุดทายก็ไดเห็นสมณะ ทําใหพระทัยของเจาชาย-
สิทธัตถะโนมเอียงไปในทางออกบวช เพราะมองเห็นวาชีวิตไมเห็นมีอะไรที่จะมั่นคงเปนสิ่งที่เที่ยง
แท เกิดแลวก็แก แกแลวก็เจ็บ ในที่สุดก็ตองตาย แมเราเองก็จักตองตายอยางนี้ หนีพนไปไมได
แลวประโยชนอะไรที่เราจะไดความยิ่งใหญในการเปนพระเจาจักรพรรติ อยากระนั่นเลย เราก็จะ
ไมพนจากความตาย สัตวทั้งหลายก็ไมพนจากความตาย ก็ทรงมองเห็นวา กลางคืนมี ก็ยังมี
กลางวัน การตายก็ยังมีการเกิด เมื่อการตายมี การไมตองตายก็ตองมี เมื่อการเกิดมี การไมตองเกิด
ก็ตองมีเหมือนกัน แตยังไมมีใครคนพบ ใครเลาจะเปนผูคนหาหนทางที่จะใหพนจากความเกิด
และความตายได พระองคโนมเอียงไปในทางเหตุผล มองเห็นชีวิตทุกชีวิตไมลวงพนจากความเกิด
แกเจ็บตายไปได มีทางเดียวคือเราตองแสวงหาทางพนจากการเกิดแกเจ็บและตายใหได นั่นก็คือ
การเปนสมณะจึงปรารภการออกบวช
ในที่สุดพระโพธิสัตวหรือมหาบุรุษ ก็ไดออกบวชแสวงหาทางพนทุกข โดยวิธีการปฏิบัติ
ตามประเพณีของคนเกาวา ถาทําใหทุกขจนถึงที่สุดแลว ทุกขก็จะหมด ก็ทรงบําเพ็ญทุกกรกิริยา
กระทําอยางคนสมัยนั้นทําไมได แมสมัยนี้ก็ทําไมได เชน ทรงกัดฟนเอาลิ้นดุนเพดาลใหแรง
ที่สุด ไมมีใครทําได ทรงกลั้นลมหายใจจนกระทั่งไมตองหายใจทางจมูก แตใชหูหายใจแทนได
เพื่อจะทําใหถึงที่สุดแหงทุกข แตวาลมหายใจก็ออกทางหู ชีวิตก็อยูได ไมใชเปนการทําลายชีวิต
แตทําเพื่อใหทุกขถึงที่สุด หายใจเขาลมเขาทางหู หายใจออกลมออกทางหู ก็ไมเห็นทางพนทุกข
ทรงกระทําจนกระทั่งมองเห็นวา ทุกขอยางนี้ไมมีใครทําได แตเราทําได แตประโยชนจากการที่
เราทําได มันไมมีประโยชนอะไรเลย ตั้งแตอดีตจนปจจุบัน แมในอนาคตก็ไมมีใครทําไดเกินกวา
นี้ ถึงแมจะมีใครทําไดเกินกวานี้ก็จะไมไดรับประโยชนอะไรจากตรงนี้เลย ทรงมองเห็นวา ไมใช
ทางนี้แนที่จะทําใหพนจากการเวียนวายตายเกิดได
พระองคนอมจิตระลึกถึงตอนทรงพระเยาวเมื่ออายุ ๗ พรรษา ไดเคยกระทําอานาปานสติ
จนไดปฐมฌาน ถากระนั้นเราควรยอนไปบําเพ็ญเพียรทางจิตจะดีกวา ก็เลยบริโภคอาหารให
5. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๕
รางกายไดรับความสมบูรณ เมื่อรางกายพอเพียงที่จะบําเพ็ญเพียรทางใจไดแลว ก็เริ่มบําเพ็ญเพียร
ทางใจดวยการกระทําอานาปานสติจนบรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ปญจมฌาน
บรรลุถึงอากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ และเนวสัญญานาสัญญายต-
นะ ทรงกระทําจนถึงที่สุดของสมาธิไดครบ ก็ยังไมบรรลุธรรม แตดวยจิตที่อาศัยความตั้งมั่น
ละเอียดออนและมีพลานุภาพ ในขณะที่ไดรูปฌานและอรูปฌาน จิตก็โนมเอียงไปถึงอดีต เห็น
ชีวิตของพระองคดวยปญญาวา ไดเกิดเปนอะไรบาง ระลึกชาติได โดยการระลึกยอนหลังไปเปน
อเนกชาติ มองเห็นชีวิตที่ตายแลวก็เกิด เกิดแลวตายไมรูจักจบสิ้น ในปฐมยามนี้เรียกวาไดบรรลุ
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ในมัชฌิมยามไดบรรลุจุตูปปาตญาณ คือไดตาทิพย มองเห็นสรรพสัตวที่
ทําดีบางทําชั่วบางแลวไปเกิดยังสถานที่ตาง ๆ ชีวิตของสรรพสัตวก็เปนไปตามอํานาจของกรรม
เจตนาของตน ผลของความสุขความทุกขลวนมีเหตุปจจัย การปฏิสนธิและการจุติของสรรพสัตว
พระองคทรงรูหามด นี้คือจุตูปปาตญาณซึ่งเปนอภิญญาจิตขั้นที่สองที่เกิดขึ้น จนกระทั่งถึง
ปจฉิมยาม ปญญาก็ไดหยั่งเห็นความเปนไปของรูปนาม เห็นการเกิดดับของรูปราม พระองคทรง
มองเห็นวา แมชีวิตของพระองคและของสรรพสัตวที่ผานมาก็ไมเห็นมีอะไรเลยนอกจากรูปกับนาม
แมรูปและนามนี้ก็เปนที่พึ่งไมได ไมไดมีแกนสารอะไรเลย เกิดแลวก็ดับ ๆ แลวก็เกิด ( ภาษา
ชาวบานเรียกวา เกิดเพื่อตาย ตายเพื่อเกิด ) ไมรูจักจบสิ้น
ฉะนั้น ในขณะที่พระองคเห็นขันธ ๕ หรือรูปนามเกิดดับ เห็นความเปนไปของอายตนะที่
เกิดสืบตอเนื่องกันไปอยางไมขาดสาย ปญญาที่รูแจงเห็นความเปนจริงของรูปนามวา ไมเที่ยง เปน
ทุกข เปนอนัตตา ก็ปรากฎขึ้น นี้เรียกวาวิปสสนาปญญา และปญญาที่เรียกวิปสสนานี้ก็ไดเกิดขึ้น
ในอาสวักขยญาณนี้เอง และการปฏิญญาวา “เราเปนพระสัมมาสัมพุทธเจา” ก็ไดเกิดขึ้นแก
พระองค ( รูปคืออะไร รูปคือธรรมชาติ หรือสิ่งที่รูอารมณไมได ธรรมชาติ หรือสิ่งที่แตกดับยอยยับ
ไปดวยสิ่งที่เปนขาศึกแกกันและกัน คือความเย็นและความรอน รูปมี ๒ อยาง คือ รูปที่มีวิญญาณครอง กับรูปที่
ไมมีวิญญาณครอง นามคืออะไร นามคือ ธรรมชาติที่รับรูอารมณ ธรรมชาติที่นอมไปหาอารมณ ธรรมชาติที่นึก
คิดและรูสึกตออารมณ กลาวคือ ความรูสึกไมชอบใจ ความรูสึกเฉย ๆ ความรูสึกเห็น, ไดยินเสียง, ไดกลิ่น, รู
รส, รูการสัมผัสตาง ๆ )
ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาทจากผลไปหาเหตุ
พระสัมมาสัมพุทธเจาไดพิจารณาถึงปจจัยของชีวิตวา มีปจจัยที่เกี่ยวของกับชีวิตอะไรบาง
แทจริงมีแตรูปกับนาม และรูปนามในแตละภพชาติก็มีความไมเที่ยง เกิดขึ้นแลวตั้งอยูดับไปสืบ
ตอเนื่องไปอยางไมขาดสาย พระองคทรงหาปจจัยที่จะทําใหรูวา อะไรเปนเหตุเปนปจจัยของความ
แกและความตาย เพราะวาการเกิดพระองคก็ไดมาแลว สิ่งที่รออยูคือความแกและความตาย
พระองคทรงสาวหาสาเหตุวา เมื่ออะไรมีอยูหนอ ชรามรณะจึงมี เพราะการมีโดยที่ไมมีอะไรเปน
เหตุเปนปจจัยนั้นเปนไปไมได อาศัยปญญาญาณที่ทําจิตใหแยบคายก็เกิดขึ้นโดยรูแจงวา เมื่อชาติ
6. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๖
คือความเกิดมี ความชรามรณะก็ตองมี ถาไมมีการเกิด ความแกและความตายจักมีมาแตไหน
เพราะชาติมี ชรามรณะจึงมี และนี้คือกฏแหงปฏิจจสมุปบาทที่พระองคไดพิจารณาเปนอันดับแรก
ทรงสาวหาสาเหตุตอไปอีกวา เมื่ออะไรมีอยูหนอชาติคือการเกิดนี้จึงมี ก็ทรงพบวา เพราะ
ภพมี ชาติจึงมี คําวา ”ภพ” มี ๒ อยาง คือ กรรมภพ และอุปตติภพ ซึ่งกรรมภพเปนเหตุใหเกิด
อุปตติภพ เมื่อกรรมภพดับไปก็เกิดเปนอุปตติภพ อุปตติภพนี้คืออะไร คือขันธ ๕ นั่นเอง ขันธ ๕
คือตัวอุปตติภพที่จะนําใหเกิดอีกตอไป เมื่ออุปตติภพคือขันธ ๕ เกิด ซึ่งขันธ ๕ เกิดนั่นแหละคือ
ชาติ ฉะนั้น เมื่อชาติมี เพราะมีภพเปนเหตุปจจัยคือการทํากุศลกรรมบาง อกุศลกรรมบาง
ทรงสาวหาสาเหตุตอไปอีกวา เมื่ออะไรมีอยูหนอ ภพคือกรรมภพและอุปตติภพนี้จึงมี ก็
ทรงทราบวา เพราะอุปาทานไดแก การยึดมั่นถือมั่นนี้มีอยู ภพจึงมี อุปาทานมี ๔ อยางคือ อัตตวา-
ทุปาทานไดแก ความยึดมั่นถือมั่นวาเปนตัวเราเปนของเรา กามุปาทานไดแก ความพอใจรักใครใน
กาม ทิฎุปาทานไดแก การเห็นผิดจากทํานองคลองธรรมที่พระพุทธเจาตรัสสอนไว และสีลัพพตุ-
ปาทานไดแก การถือผิดปฏิบัติผิดจากหลักการที่พระพุทธเจาตรัสไว ซึ่งอุปาทานเหลานี้ก็เปนเหตุ
ใหเกิดการทํากรรม
ทรงสาวหาสาเหตุตอไปอีกวา เมื่ออะไรมีอยูหนอ อุปาทานคือการยึดมั่นถือมั่นนี้จึงมี ก็
ทรงทราบวา เพราะตัณหาไดแกความทะยานอยากยินดีติดใจในอารมณตาง ๆ มี อุปาทานจึงมี ซึ่ง
ความยินดีติดใจ ความปรารถนาอยากไดนี้ ก็เปนเหตุใหเกิดการยึดมั่นถือมั่นได ฉะนั้น ตัณหาจึง
เห็นสาเหตุใหเกิดอุปาทาน
ทรงสาวหาสาเหตุตอไปอีกวา เมื่ออะไรมีอยูหนอ ตัณหาคือความทะยานอยากยินดีติดใจ
ในอารมณตาง ๆ จึงมี ก็ทรงทราบวา เวทนาไดแก การเสวยอารมณมี ตัณหาจึงมี ถาทําใหเกิดสุข
ก็ปรารถนาอยากได ถาทําใหเกิดทุกขก็ไมปรารถนาอยากได ดิ้นรนแสวงหาเฉพาะอารมณที่เปน
สุข ฉะนั้น เวทนาจึงเปนเหตุปจจัยใหเกิดตัณหา
ทรงสาวหาสาเหตุตอไปอีกวา เมื่ออะไรมีอยูหนอ เวทนาคือการเสวยอารมณนี้จึงมี ก็ทรง
ทราบวา เพราะผัสสะไดแก การกระทบกับอารมณ และเพราะการกระทบกับอารมณมี การเสวย
อารมณก็จึงตองมี ถาไมมีการกระทบอารมณ การเสวยอารมณนี้จักมีแมแตไหน ฉะนั้น ผัสสะจึง
เปนเหตุปจจัยใหเกิดเวทนา
ทรงสาวหาสาเหตุตอไปอีกวา เมื่ออะไรมีอยูหนอ ผัสสะคือการกระทบกับอารมณนี้จึงมี
ก็ทรงทราบวา เพราอายตนะไดแก อายตนะภายในและอายตนะภายนอกเปนที่ตอกับอารมณ ทํา
ใหเกิดสฬายตนะ มีอายตนะเมื่อไร ผัสสะก็ตองมีเมื่อนั้น ฉะนั้น อายตนะจึงเปนเหตุปจจัยใหเกิด
ผัสสะ
ทรงสาวหาสาเหตุตอไปอีกวา เมื่ออะไรมีอยูหนอ อายตนะคือที่ตอนี้จึงมี ก็ทรงทราบวา
เพราะนามรูปมี นามนี้คืออะไร นามนี้คือเจตสิกที่ประกอบปรุงแตงจิต สวนรูปนี้คืออะไร รูปนี้
7. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๗
คือกัมมัชรูป ที่ทําหนาที่ตาง ๆ ในสวนของรางกาย ฉะนั้น นามรูปนี้เองเปนเหตุปจจัยใหเกิด
อายตนะ
ทรงสาวหาสาเหตุตอไปอีกวา เมื่ออะไรมีอยูหนอ นามรูปคือขันธ ๕ นี้จึงมี ก็ทรงทราบวา
เพราะวิญญาณไดแกปฏิสนธิวิญญาณเปนตนมา นามเจตสิกและกัมมัชรูปจึงมี แลวมีปวัตติวิญญาณ
เปนตัวสืบตอ วิญญาณนี้จึงมี ๒ อยาง อาจมีผูสงสัยวา วิญญาณคืออะไร ในชีวิตคนเรา ถาถือ
ปจจุบัน ชีวิตเริ่มตนใหมตรงที่มีปฏิสนธิวิญญาณเกิดขึ้น เมื่อปฏิสนธิวิญญาณหยั่งลงสูครรภมารดา
จากนั้นเกาเดือนหรือสิบเดือนก็คลอดออกมา ฉะนั้น วิญญาณนี้เปนเหตุปจจัยใหเกิดนามรูป
ทรงสาวหาสาเหตุตอไปอีกวา เมื่ออะไรมีอยูหนอ วิญญาณคือปฏิสนธิวิญญาณนี้จึงมี ก็
ทรงทราบวา เพราะสังขารไดแกเจตนาในการทํากรรม และในที่นี้หมายถึงปุพพเจตนา คือความ
ปรารภในการทํากรรม เจตนาที่เรียกวาสังขารนี้ไดแก ปุญญาภิสังขาร คือเจตนาที่ปรุงแตงใหเปน
บุญ อปุญญาภิสังขาร คือเจตนาที่ปรุงแตงใหเปนบาป อเนญชาภิสังขาร คือเจตนาที่ปรุงแตงใหได
วิญญาณในอรูปฌาน ฉะนั้น เจตนาซึ่งเปนตัวกรรมทั้งสามอยางนี้ เปนเหตุปจจัยใหเกิดวิญญาณ
เรียกวาปฏิสนธิวิญญาณ
ทรงสาวหาสาเหตุตอไปอีกวา เมื่ออะไรมีอยูหนอ สังขารคือเจตนาที่ปรุงแตงใหเปนกุศล
บาง เปนอกุศลบาง เปนวิญญาณใหไดในอรูปฌานบางนี้จึงมี ก็ทรงทราบวา เพราะอวิชชาไดแก
ความไมรูตามความเปนจริง เพราะไมรูความเปนจริงของชีวิตจึงทําใหเกิดการเพาะบมเรื่อย ๆ และ
จากการเพราะบมอวิชชาคือความไมรูในปจจุบันนี้เรื่อย ๆ จนกระทั่งกอนตาย จึงเปนเหตุปจจัยให
เกิดสังขาร ๆ ก็เปนเหตุปจจัยใหเกิดวิญญาณ ๆ ก็เปนเหตุปจจัยใหเกิดนามรูปอีกตอไปไมรูจักจบสิ้น
หาเงื่อนปมตรงไหนไมเจอเลย วนเวียนอยูอยางนี้ไมรูจักจบสิ้น
ที่กลาวมาทั้งหมดนี้เพื่อชี้ใหเห็นวา พระสัมมาสัมพุทธเจาหลังจากที่ไดอภิญญาจิตครั้งที่
หนึ่ง คือปุพเพนิวาสานุสสติญานแลว ตอจากนั้นก็ไดอภิญญาขั้นที่สอง คือจุตูปปาตญาน เมื่อได
อภิญญาทั้งสองแลว พระองคก็ทรงเอาอภิญญาทั้งสองขั้นนั้นมาเปนบาทในการเจริญวิปสสนา
กําหนดรูรูปนามที่เกิดในอดีตจนถึงปจจุบัน และเห็นความเปนจริงของรูปนามตั้งแตอดีตจนถึง
ปจจุบันมีแตทุกขทั้งสิ้น การเวียนวายตายเกิดมี เพราะมีรูปนาม ก็ทรงหาวาการเวียนวายตาย
เกิดมาจากอะไร ก็ตามหลักปฏิจจสมุปบาทที่ไดกลาวมาแลวนั่นเอง
พระสัมมาสัมพุทธเจาไดทรงคันพบปจจัยของชีวิตตั้งแตอดีตถึงปจจุบัน จนเห็นความเปน
จริงของนามรูปแลว วานามรูปนี้ไมเที่ยงผันแปรเปลี่ยนแปลง นามรูปนี้เปนทุกข บังคับบัญชา
อะไรไมไดเลย ไมวาจะกี่ภพกี่ชาติ เกิดแลวตองผันแปรเปลี่ยนแปลง มีแตทุกขคือคงอยูในสภาพ
เดิมไมได บังคับใหเที่ยงหรือใหสุขตลอดไปก็ไมได เห็นมาตั้งแตอดีตจนถึงปจจุบันก็มีสภาพอยาง
นี้ ปญญาจึงเกิด เมื่อปญญาเกิดเห็นนามรูปไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตาเชนนี้ ตัณหาก็ไม
สามารถจะเกิดได ในที่สุดเมื่อปญญารูแจงแทงตลอดถึงทุกขได ตัณหาก็ดับ คําวาตัณหาดับหรือ
ดับตัณหาไดนี้ ก็เรียกไดวาเขาถึงนิโรธ เมื่อเขาถึงนิโรธได จิตจึงทําหนาที่เห็นความเปนจริงของ
8. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๘
ตัณหาและเห็นความเปนจริงของทุกข เมื่อนั้นตัณหาก็ดับ เมื่อตัณหาดับ จิตก็มีนิพพานเปนอารมณ
และความดับของตัณหานั่นเองคือนิพพาน เมื่อจิตมีนิพพานเปนอารมณได มรรคจิตก็เกิดและจะ
ประหารทิฏฐิคตสัมปะยุตในโลภมูลจิต ประหารทิฏฐิคตวิปปยุตในโลภมูลจิต ประหารโมหสัมปะ-
ยุตไดทั้งหมด ความสําเร็จเปนพระอรหันตก็ไดเกิดขึ้น ทรงรูแจงในขายพระญาณวา ทุกขเปนกิจที่
ควรรู เราไดรูแลว สมุทัยคือเหตุใหเกิดทุกข เปนกิจที่ควรละ เราไดประหารแลว นิโรธคือความ
ดับทุกข เปนกิจที่ควรทําใหแจง เราก็ไดทําใหแจงแลว มรรคคือหนทางปฏิบัติเพื่อใหถึงความดับ
ทุกขเปนกิจที่ควรเจริญ เราก็ไดเจริญแลว ความเปนผูบริสุทธิ์หมดจดไดบังเกิดขึ้นแกเราแลว การ
เปลงอุทาน วาเราไดเปนผูถึงแลวซึ่งความเปนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจาก็เกิดขึ้นแกพระองค
จึงพอสรุปที่มาของอริยสัจ ๔ ไดวา พระสัมมาสัมพุทธเจาทรงบําเพ็ญเพียรทางจิต เจริญ
สมถกรรมฐานดวยอานาปานสติจนกระทั่งไดปญจมฌาน และทรงเจริญปญจมฌานจนไดอรูปฌาน
๔ ตอจากนั้นอภิญญาจิตก็เกิด อภิญญาจิตเกิดในปฐมยาม เรียกวาปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ญาณที่
สองเกิดขึ้นในมัชฌิมยาม เรียกวาจุตูปปาตญาณ และญาณที่ ๓ คือปจฉิมยาม เรียกวาอาสวักขย-
ญาณ การที่ทรงไดอาสวักขยญาณคือปญญาที่หยั่งรูแจงวา ทุกขเราไดรูแลว สมุทัยเราไดประหาร
แลว นิโรธเราไดทําใหแจงแลว มรรคเราไดเจริญแลว กิจที่จะตองทําตอไปไมมีอีกแลว ความเปน
พระสัมมาสัมพุทธเจาไดบังเกิดขึ้นแกเราแลว นี้คือทางปฏิบัติของพระพุทธเจา ฉะนั้นพระพุทธเจา
จึงตรัสรูดวยวิปสสนาญาณ และญาณที่เกิดจากวิปสสนานี้เรียกวา อาสวักขยญาณ และการตรัสรู
ของพระองคนี้ก็คือ ตรัสรูอริยสัจ ๔ จึงทําใหพระองคเปนเปนพระสัมมาสัมพุทธเจา นี้คือประวัติ
ที่มาของอริยสัจ ๔
ความหมายของอริยสัจ ๔
ในคัมภีรวิสุทธิมรรค ทานแสดงอริยสัจโดยพิสดาร อริยสัจ ๔ คือ
๑. ทุกข ความไมสบายกายความไมสบายใจ
๒. สมุทัย เหตุเกิดแหงทุกข คือตัณหา
๓. นิโรธ ความดับทุกข
๔. มรรค ทางปฏิบัติใหถึงความดับทุกข
ธรรม ๔ ประการนี้ที่ชื่อวา อริยสัจ เพราะมีความหมาย ๔ ประการ คือ
๑. เพราะพระอริยเจามีพระพุทธเจาเปนตนแทงตลอด
๒. เพราะเปนของจริงสําหรับพระอริยเจา
๓. เพราะทําใหผูแทงตลอดสําเร็จเปนพระอริยเจา
๔. เพราะเปนของจริงอันประเสริฐ
พระธรรมปฎก ( ป. อ. ปยุตฺโต ) ไดใหความหมายของคําวา “อริยสัจ” คือ ความจริงอัน
ประเสริฐ, ความจริงของพระอริยะ, ความจริงที่ทําใหผูเขาถึงกลายเปนอริยะ : ARIYASACCA
:THE FOUR NOBLE TRUTHS
9. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๙
๑. ทุกข ( ความทุกข, สภาพที่ทนไดยาก, สภาวะที่บีบคั้น ขัดแยง บกพรอง ขาดแกนสาร
และความเที่ยงแท ไมใหความพึงพอใจแทจริง, ไดแก ชาติ ชรา มรณะ การประจวบกับสิ่งอันไม
เปนที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ความปรารถนาไมสมหวัง โดยยอวา อุปาทานขันธ ๕ เปน
ทุกข– DUKKHA : SUFFERING; UNSATISFACTORINESS )
๒. ทุกขสมุทัย ( เหตุเกิดแหงทุกข, สาเหตุใหทุกขเกิด ไดแก ตัณหา ๓ คือ กามตัณหา
ภวตัณหา และ วิภวตัณหา -- DUKKHA –SAMUDAYA : THE CAUSE OF SUFFERING ;
ORIGIN OF SUFFERING)
๓. ทุกขนิโรธ ( ความดับทุกข ไดแก ภาวะที่ตัณหาดับสิ้นไป, ภาวะที่เขาถึงเมื่อกําจัดอวิชชา
สํารอกตัณหาสิ้นแลว ไมถูกยอม ไมติดของ หลุดพน สงบ ปลอดโปรง เปนอิสระ คือ นิพพาน
– DUKKHA – NIRODHA : THE CESSATION OF SUFFERING ; EXTINCTION OF
SUFFERING )
๔. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ( ปฏิปทาที่นําไปสูความดับแหงทุกข, ขอปฏิบัติใหถึงความดับ
ทุกข ไดแก อริยอัฎฐังคิกมรรค หรือเรียกอีกอยางหนึ่งวา มัชฌิมาปฏิปทา แปลวา “ทางสากลาง”
มรรคมีองค๘ นี้ สรุปลงในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปญญา -- DUKKHA – NIRODHA
: THE PATH LEADING TO THE CESSATION OF SUFFERING) ฉะนั้น ความหมาย
ของอริยสัจตามที่ยกมา คงจะพอมองเห็นและเขาใจไดวา อริยสัจ ๔ คือ อะไร ก็คือ ความจริงอัน
ประเสริฐ ความจริงอันประเสริฐ ชื่อวาอริยสัจ และหมายถึง ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค เทานั้น
อยางอื่นไมถือวาเปนความจริงอันประเสริฐ
เมื่อทราบความหมายแลว มาทําความเขาใจตอวา ความจริงอันประเสริฐนั้นคืออะไร
เพราะความเปนจริงที่ประเสริฐก็มี ความเปนจริงที่ไมประเสริฐก็มี ตองทําคามเขาใจใหไดวา
ความจริงที่ประเสริฐมีเพียง ๔ อยาง นอกจากนั้น เปนความจริงที่ไมประเสริฐเลย ดังนั้น เมื่อจะ
หาความจริงอันประเสริฐ ก็ตองหาไดจากอริยสัจ ๔ เทานั้น จึงจะไดชื่อวา รูสิ่งที่ประเสริฐ เขาถึง
สิ่งที่ประเสริฐ ไดสิ่งที่ประเสริฐ สิ่งที่ประเสริฐที่พระอริยบุคคลทั้งหลายมีพระพุทธเจาเปนตน
ตรัสวาประเสริฐนั้นก็คือ ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค อาจจะไมเคยคาดคิดมากอนวา ทุกขนั่นหรือ
คือสิ่งที่ประเสริฐ สมุทัยนั่นหรือ คือสิ่งที่ประเสริฐ รูสึกวามีน้ําหนักเบาไป ความรูสึกยอมรับ
ไมได แตถากลาววา นิโรธ หรือ มรรค เปนสิ่งที่ประเสริฐ จะรูสึกวามีน้ําหนักดี ฟงแลวเห็นดวย
แตขอใหทําความเขาใจใหไดวา นี้คือพุทธวจนะที่พระพุทธเจาตรัสไว
พระพุทธเจาทรงมองเห็นวา ทุกขเปนสิ่งที่ประเสริฐ สมุทัยก็เปนสิ่งที่ประเสริฐ นิโรธก็
เปนสิ่งที่ประเสริฐ มรรคก็เปนสิ่งที่ประเสริฐ ความเขาใจของคนสามัญทั่วไปอาจจะทวนกระแสนี้
ซึ่งทุกขก็ไมอยากไดยิน ไมอยากได และไมอยากพบเห็นดวย เพราะโดยทั่วไปคนเราไมคอยคิด
ไมคอยสนใจเรื่องเหลานี้ ซึ่งทานพุทธทาสภิกขุก็ไดกลาวถึงเรื่องทุกขไวในหนังสือ HANDBOOK
FOR MANKIND (คูมือมนุษย) ตอนหนึ่งวา “สิ่งทั้งปวงเปนที่ตั้งแหงความทุกข แตคนทั้งหลายไม
10. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๑๐
รูไมเห็นวา สิ่งทั้งปวงเปนความทุกข จึงไดมีความอยากในสิ่งเหลานั้น ถารูวามันเปนความทุกข ไม
นาอยากและไมนายึดถือ ไมนาผูกพันตัวเองเขากับสิ่งที่ยึดแลว เขาก็คงจะไมไปอยาก”
ซึ่งถาคนเรามีความเขาใจในเรื่องเหลานี้แลวจะเกิดประโยชน อยางมากทีเดียว ถาไมเขาใจ
เรื่องเหลานี้ ประโยชนก็จะไมเกิดเลย จึงควรทําความเขาใจในสิ่งที่ประเสริฐเหลานี้บาง แตจะ
ขยายความเฉพาะอริยสัจเฉพาะขอแรกเทานั้น คือเนื้อความของทุกข
เนื้อความของ “ทุกข” ในอริยสัจ ๔
ทุกขอริยสัจ คืออะไร มีบาลีวา ทุกฺขํ เอวํ อริยสจฺจนฺติ ทุกฺขอริยสจฺจํ แปลวา
ทุกขนั่นเอง เรียกวาอริยสัจ คือขันธ ๕ หรือรูปนามนั่นเอง ขื่อวา ทุกขอริยสัจ
คําวา “ทุกข” นั้นเปน “ธรรมชาติที่ทนอยูไดยาก” ซึ่งเปนความจริงหรือไมวิปริต
เปลี่ยนแปลงเปนอยางอื่น ในอริยสัจจอรรถกถาเปนสภาวะ มี ๔ ประการ คือ
๑. ปฬนตฺโถ มีสภาพเบียดเบียนเปนนิจ
๒. สงฺขตตฺโถ มีสภาพปรุงแตงอยูเนือง ๆ
๓. สนฺตาปตฺโถ มีสภาพเรารอนไมรูจักวาย
๔. วิปริณามตฺโถ มีสภาพไมคงที่แปรปรวนอยูเสมอ
สวนพุทธทาสภิกขุ ไดใหความหมายของคําวา “ทุกข” ไว ๒ ความหมาย คือ ทุกข
หมายถึงความเจ็บปวดทนทุกขทรมาน อยางหนึ่ง และทุกขหมายถึง สิ่งที่นาเกลียดที่สุด อยางหนึ่ง
แตทานเนนไปที่ความหมายที่สองคือ“เห็นแลวนาเกลียด” เพราะครอบคลุมสังขารทุกอยาง
สวนเนื้อความของ ”ทุกข” ที่รูจักและพอจะคุนเคย ก็คือทุกขที่พระพุทธเจาแสดงไวใน
ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร ซึ่งปรากฏในพระสูตร และรัชกาลที่ ๔ ตัดเอาเนื้อความจากธรรมจักร
กัปปวัตนสูตรมาไวในบทสวดมนตทําวัตรเชา– เย็น ดังนี้
ทุกขสัจในทางพระสูตรมี ๑๒ กอง
สภาวะทุกข
พระบาลีพุทธวจนะ คําแปล
อิทํ โข ปน ภิกฺขเว ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี่แหละ
ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ทุกขอยางแทจริง คือ:
ชาติป ทุกฺขา แมความเกิดก็เปนทุกข
ชราป ทุกฺขา แมความแกก็เปนทุกข
มรณมฺป ทุกฺขํ แมความตายก็เปนทุกข
ปกิณณกทุกข
- โสก ความเศราโศก, ความแหงใจ
- ปริเทว ความร่ําไรรําพัน, ความคร่ําครวญ
11. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๑๑
- ทุกฺข ความไมสบายกาย
- โทมนสฺส - ความไมสบายใจ
- อุปายาสาป ทุกฺขา ความคับแคนใจ, ก็เปนทุกข
- อปฺปเยหิ สมฺปโยโค ทุกฺโข ความประสบสิ่งไมเปนที่รักที่พอใจ ก็เปนทุกข
- ปเยหิ วิปฺปโยโค ทุกฺโข ความพลัดพรากจากสิ่งเปนที่รักที่พอใจ ก็เปนทุกข
- ยมฺปจฺฉํ น ลภติ ตมฺป ทุกฺขํ มีความปรารถนาสิ่งใน ไมไดสิ่งนั้น นั้นก็เปนทุกข
ทุกขโดยสรุป
สงฺขิตฺเตน ปฺจุปาทา นกฺขนฺธา ทุกฺขา วาโดยยอ อุปาทานขันธทั้ง ๕ เปนตัวทุกข
รวมทุกขที่ตรัสไวในพระสูตรทั้งหมดมี ๑๒ กอง นี้คือทุกขที่พระพุทธเจาไดตรัสไว แตถาอาน
เพียงเทานี้ ก็อาจจะไมเขาใจทุกขได เพราเนื้อความของทุกขจริง ๆ แลวมีมากกวานี้ มาทําความ
เขาใจตอไป
ทุกขสัจในทางพระอภิธรรมมี ๑๖๐ อยาง
ในทางพระอภิธรรมมีสภาวะของทุกขสัจทั้งหมด ๑๖๐ อยาง ไดแก
จิตที่เปนโลกิยะ ๘๑
เจตสิก ๕๑ ( เวนโลภเจตสิก )
รูป ๒๘ รวมเปน ๑๖๐ อยาง
ในทุกขสัจ คือในสภาวะธรรม ๑๖๐ ที่วาเปนทุกข เพราะมีสภาพใจความที่เปนไป ๔
ประการ คือ ๑. เปนสภาพที่บีบคั้นหรือขมเหง
๒. เปนสภาพที่ตองปรุงแตงเนือง ๆ คือตองบํารุงบริหารสังขารอยูเนือง ๆ
๓. เปนสภาพที่ทําใหเดือดรอน เชน รางกายไมแข็งแรงก็เดือดรอน
๔. เปนสภาพที่ไมคงที่ กลับกลอกและฉิบหายอยูเสมอดวยความเย็นและรอน
เมื่อนําเอาทุกขสัจในปฎกทั้งสองมาศึกษาและพิจารณาแลวจะเห็นวา มีเนื้อความเปนอัน
เดียวกัน ไมขัดกัน เชน ในพระสูตร ทานกลาวทุกขสัจไว ๑๒ อยาง มีชาติ เปนตน มีปญจุ
ปาทานขันธ เปนที่สุด ลองตั้งคําถามที่ทานกลาวไวในพระสูตรวา ชาติคือความเกิด เปนทุกข
ความแก เปนทุกข ความตาย เปนทุกขนั้น คืออะไร ใครเกิด ใครแก ใครตาย, ถามเรื่อยไปจน
ครบ ๑๒ อยาง เปนเรื่องของอะไร และเปนเรื่องของใคร เพราะเปนที่ทราบกันดีวา ในทาง
พระพุทธศาสนานั้น ปฏิเสธสัตว บุคคล ตัวตน เราเขา ซึ่งถือวา เปนสมมุติบัญญัติ เมื่อเอาสมมุติ
บัญญัติออกเสีย ก็หมายความวา ไมมีคนเกิด ไมมีคนแก ไมมีคนตาย ถาเปนเชนนั้นแลว อะไร
เลาเกิด อะไรเลาแก อะไรเลาตาย ก็จะตอบไดทันทีวา ขันธ ๕ หรือ นามรูป นั่นแหละเกิด แก และ
ตาย ไมใชอยางอื่นเลย เปนเรื่องของเบญจขันธ หรือ นามรูปนั่นเอง หมายความวา
12. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๑๒
ในพระสูตรนั้น ทานแสดง “ลักษณะ” ความเปนทุกขของเบญจขันธ สวนในพระอภิธรรมทาน
แสดง “ตัวเบญจขันธ” จึงเปนอันวา ทุกขสัจในปฎกทั้งสองเปนอยางเดียวกัน หาขัดกันไม
อันดับแรกควรทําความเขาใจใหไดวา ทุกขที่วาเปนสิ่งที่ประเสริฐนั้น ถาหากใครไปดูไปรู
ไปเห็นทุกข ไดชื่อวาประเสริฐ คือใครรูทุกขแลว ผูนั้นจะไดเปนพระอริยะ ผุนั้นจะเปนผูหมดจด
จากกิเลสได อยางนี้ไมเรียกวาประเสริฐอีกหรือ รูเงินรูทอง รูวิธีการทําเงินทําทอง รูวิธีการทํา
การเกษตรรมการผลิต รูเทคโนโลยีที่ทันสมัยตาง ๆเปนตน รูเรื่องตาง ๆ เหลานี้ทั้งหมด ไมถือวา
ประเสริฐ แตถารูวาทุกขคืออะไร อะไรคือทุกข ไดชื่อวารูในสิ่งที่ประเสริฐแลว จึงควรทําความ
เขาใจใหไดวา ทุกขที่เปนอริยสัจนั้นคืออะไร และการเขาไปรูทุกขก็ไดชื่อวารูในสิ่งที่ประเสริฐ
ฉะนั้น ทุกขจึงเปนอริยสัจ
สมุทัยคือเหตุใหเกิดทุกข การรูสมุทัยและละสมุทัย ทําใหสมุทัยนั้นดับโดยไมใหสมุทัย
เกิดอีกตอไป การรูทุกข และดับสมุทัยตามกิจของอริสัจได ก็เปนเหตุใหเขาถึงความเปน
พระอริยบุคคลได เพราะฉะนั้นทุกขกับสมุทัยก็เปนตนเหตุใหเขาถึงความเปนพระอริยบุคคลได
สิ่งที่ประเสริฐนั้น ไมใชสุข แตเปนทุกข แตทุกขที่จะเปนสิ่งที่ประเสริฐไดนั้น เพราะการ
เขาไปรู (ปริญเญยยกิจ) เมื่อใดปญญาเกิดรูตามความเปนจริงวา ทุกขคืออะไร อะไรคือทุกข และ
ยอมรับความเปนจริง เมื่อนั้นถือวามีสมบัติที่ประเสริฐไวกับตน
จะเห็นไดวา ทางเดินของชีวิตของคนเราในปจจุบัน จะสวนทางกับพระพุทธเจา
พระพุทธเจาแสวงหาทางพนทุกขใหกับเรา แตเราไมแสวงหาทางพนทุกข เพราะเราแสวงหาทุกข
อยูตลอดเวลา ในขณะที่พระพุทธองคบอกเราวา ทุกขคืออะไร อะไรคือทุกข เมื่อเราไมเขาใจตรง
นี้ ก็พากันแสวงหาทางพนทุกข การแสวงหาทางพนทุกขดวยการเดินเขาไปหาทุกข โดยที่ไมรูวา
นั่นคือทุกข เกาะทุกขไวอยางเหนียวแนน ยึดทุกขไวเปนที่พึ่ง ละทุกขไมได แลวก็บอกวาอยากจะ
พนทุกข เมื่อเปนเชนนี้จะพนทุกขไดอยางไร เพราะการแสวงหาทางพนทุกข ถาไมรูจักวาทุกขคือ
อะไร อะไรคือทุกข จะพนจากทุกขไดอยางไร และทางที่จะใหพนจากทุกขมีทางเดียวเทานั้น คือ
การรูทุกข และละเหตุใหเกิดทุกข ก็จะทําใหถึงการพนทุกขได
อริยสัจทั้งสี่ เรียกตามภาษาธรรมวา ทุกขอริยสัจจะ สมุทยอริยสัจจะ ทุกขนิโรธอริยสัจ-
จะ และทุกขนิโรธคามินีอริยสัจจะ ตองขึ้นตนดวยคําวาทุกขทั้งหมด จึงควรทําความเขาใจใหไดวา
ทุกขเปนของดี เพราะถาทุกขไมใชของดี ทุกขนี้จะไมไดตําแหนงอริยสัจแนนอน ลองพิจารณาวา
ในอริยสัจนั้นมีสุขหรือไม ไมมีเลย อริยสัจมีทุกข มีเหตุใหเกิดทุกข มีความดับทุกข และมีธรรมที่
ใหถึงความดับทุกข เปนเรื่องที่นาคิดใชหรือไมวา ทุกขถูกยกขึ้นมาเปนอริยสัจ เปนของประเสริฐ
ถามวาประเสริฐตรงไหน เพราะถาใครรูทุกขแลวจะทําใหผูนั้นไดเปนผูประเสริฐ และสมุทัยถา
ใครละแลว จะทําใหผูนั้นไดเปนผุประเสริฐ นิโรธคือนิพพาน ถาใครทําใหแจงแลว ก็จะทําใหผู
นั้นเปนผูที่ประเสริฐ สวนมรรคไดชื่อวาเปนสิ่งที่ประเสริฐ เพราะถาใครเจริญมรรคไดแลว ผูนั้นก็
จะไดชื่อวาเปนผูที่ประเสริฐ ฉะนั้น ผูที่เขาถึงอริยสัจทั้งสี่ประการ จึงชื่อวาเปนผูที่ประเสริฐ
13. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๑๓
ควรจะไดศึกษาใหเขาใจใหไดวา ทุกขคืออะไร อะไรคือทุกข จึงมีตําแหนงในอริยสัจ ๔
ได ถาเราไดรูและเขาใจอยางที่พระพุทธเจาสอน นั่นแหละคืออริยสัจ ๔ จริง ๆ ความเขาใจของ
คนเราโดยทั่วไปเชน การไมมีกินไมมีใชไมมีเงินไมมีทองก็ตองทุกขแน นั่นคือพื้นฐานความเขาใจ
ของคนสามัญ แตทุกขที่จะทําใหเขาถึงความเปนพระอริยะมิใชมีเพียงแคนี้ ทุกขนั้นคือ ตองผัน
แปรเปลี่ยนแปลง เกิดแลวตองดับ และบังคับอะไรมันไมได นี่คือทุกข และมีอะไรบางเลา ที่เกิด
มาแลวไมดับ ไมผันแปรเปลี่ยนแปลง และเราสามารถบังคับใหเปนสุขไดตลอดไป ไมมีเลย
ฉะนั้น ที่ไหนมีความไมเที่ยงคงอยูในสภาพเดิมไมได ที่ไหนมีความเปนทุกข ที่ไหนมี
การบังคับบัญชาอะไรไมไดเลย นั่นคือทุกข แลวอะไรเลา ที่ทําใหเปนไปอยางนั้น ทราบหรือไม
ก็ขันธ ๕ นั่นเอง ขันธ ๕ คือตัวทุกข และทุกขเปนปริเญยยกิจ เปนกิจที่ควรรุ เมื่อใดไดรูทุกข เมื่อ
นั้นไดชื่อวา รูอริยสัจขอที่ ๑ ที่พระพุทธเจาตรัสไวแลว และความประเสริฐแหงจิตไดเกิดขึ้นแลว
ทุกขเปนสภาพที่บีบคั้น ทนไดยาก ในชีวิตคนเราไมเคยรูเลยวา สภาพที่บีบคั้นและทนได
ยากนั้นมาจากอะไร ใครเปนทุกข รูอยูอยางเดียววา เรานี้เอง ฉันนี้เองเปนทุกข จะรูอยูเพียงแคนี้
ไมเคยรูเลยวา เราและฉันไมไดเปนทุกข แตที่ทุกขคือขันธ ๕ เมื่อการรูแจงตามความเปนจริงยังไม
เกิด ความเปนอริยะก็เกิดไมได ถาเมื่อใดรูแจงตามความเปนจริงแลว นั่นคือ ความเปนอริยะก็เกิด
โดยปกติคนเราไมเคยสนใจเรื่องเหลานี้ เรารูอยูอยางเดียว เราอยากไดความสุข ดิ้นรนทุก
วิถีทางเพื่อใหไดความสุขมาตอบสนองความตองการของเรา เพราะในความตองการของชีวิตคนเรา
ไมมีใครอยากไดความทุกข อยากไดแตความสุข แตความสุขที่ตนเองอยากได แทจริงมันอยูที่
ตรงไหนก็ไมรู ตางแสวงหาขันธอยากไดขันธ ตองการขันธ ไมรูเลยวา ขันธนั้นคือตัวทุกข ตัว
ทุกขที่แทจริงมี ๒ อยาง คือ ขันธ ๕ และ การเขาไปยึดถือขันธื ๕ เมื่อใดมีขันธ ๕ เมื่อใดมีการ
เขาไปยึดถือขันธ ๕ เมื่อนั้นมีทุกขแนนอน ถาความรูความเขาใจอยางนี้เกิดขึ้นแกเราวา นี้คือขันธ
๕ นี้คือ การเขาไปยึดถือขันธ ๕ เวลาที่ทุกขเกิดขึ้นแกเราจริง ๆ ในชีวิตประจําวัน เราก็จะรูวา
ทุกขนี้ไมใชเราทุกข มันคือขันธ ๕ มันคือปญจุปาทานขันธ เมื่อปญหาคือความทุกขเกิดขึ้นกับเรา
ๆ ก็สามารถใชปญญาคือความรูความเขาใจที่ถูกตองอยางนี้มาใชแกปญหาได สิ่งที่ประเสริฐไมใช
สุข แตสิ่งที่ประเสริฐคือทุกข และทุกขที่จะประเสริฐไดนั้นเพราะการเขาไปรู เมื่อใดปญญาเกิดรู
แจงตามความเปนจริงของทุกขวา ทุกขคืออะไร อะไรคือทุกข แลวยอมรับความเปนจริงตรงนี้ได
เมื่อไร เมื่อนั้นจะทําใหเปนผูมีสมบัติอันประเสริฐติดตัว คือการเขาไปรูทุกข และสมุทัยก็เปนสิ่งที่
ประเสริฐได เพราะเปนเหตุใหเกิดทุกข ใครรูไดวาสมุทัยเปนเหตุใหเกิดทุกข และดับสมุทัยได
เมื่อไร นั่นคือมีอริยะสมบัติติดตัวเชนกัน เพราะอะไร เพราะวาขันธ ๕ ที่เราไดมามี รูป
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้น เมื่อไมเรียนรูใหเขาใจอาจไมรูวา ใครเปนเจาของ ตอบไดเลย
วา ขันธ ๕ ที่มีอยูเพราะกิเลสเปนเจาของ กิเลสที่เปนเจาของตัวนี้คือใคร ก็คือสมุทัย สมุทัยทัย
เปนชื่อของใคร เปนชื่อของตัณหาๆ เปนชื่อของใคร เปนชื่อของโลภมูลจิต เมื่อใดจิตมีโลภะเขา
14. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๑๔
ประกอบเกิดขึ้น เมื่อนั้นใหรูวา เหตุใหเกิดทุกขเกิดขึ้นแลว เพราะอะไร เพราะตัณหาคือเหตุให
เกิดทุกข เ
กิดขันธ ๕ และเกิดการเขาไปยึดขันธ ๕ การที่ละเหตุใหเกิดทุกข ละไดเมื่อใด เมื่อนั้นขันธ ๕ ที่
เรามีอยู จะมีอยูเฉพาะปจจุบันนี้ อนาคตจะไมมี เพราะวาขันธ ๕ มีเมื่อใด ขันธ ๕ เปนที่ตั้งแหง
ทุกขเมื่อนั้น
เมื่อทุกขเกิดเราจะไปโทษสังขารหรือขันธชุดนี้ไมได เพราะวามันเปนผลของตัณหา มัน
เกิดเพราะอาศัยตัณหาเปนตนเหตุ เมื่อตัณหาเปนตนเหตุเราจะไปทําลายผลคืออัตภาพชุดนี้ไมได
เชน ฆาตัวตาย กินยาตาย ปญหาเหลานี้เกิดจากอะไร เกิดจากคิดผิด เขาใจผิด จึงแกปญหาผิด ไม
มีใครบอกเราเลยวาขันธ ๕ หรือรูปนามชุดนี้เปนทุกข แลวทุกขคือขันธ ๕ ชุดนี้ไมควรไปประหาร
หรือทําลายหรือฆามันเลย สิ่งที่ตองทําลายไมใชขันธ ๕ ชุดนี้ แตที่ควรทําลายและประหารฆาคือ
ตัณหา ถาจะคิดฆาควรฆาตัณหา ผูใดฆาตัณหาได คือผูประเสริฐ ตราบใดที่ยังมีตัณหา ตราบนั้น
ยังมีภพชาติตอไป
ทุกขคือสภาพที่ทนไดยาก นั่นก็คือขันธ ๕ แตกอนเรารูอยางเดียววา เราตองการ
ความสุข ดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อใหไดความสุขมาตอบสนองตนเอง ในความตองการคนเรานั้นไม
อยากไดความทุกขเลย อยากไดแตความสุข ตัวทุกขที่แทจริงมีอยู ๒ อยาง คือ ขันธ ๕ และการ
เขาไปยึดขันธ ๕ เมื่อไดความเขาใจเกิดขึ้นวา นี่คือขันธ ๕ นี่คือการเขาไปยึดขันธ ๕ พอทุกข
เกิดขึ้น เราก็จะรูทันทีวา ทุกขนี้ไมใชเรา เปนเพียงขันธ ๕ และ การเขาไปยึดถือขันธ ๕ เทานั้นเอง
อัตภาพชุดนี้คือผลของตัณหาที่เราไดทําไวแลวในอดีต เมื่อเหตุสรางไวแลวอยางไร ผลก็
ตองไดรับอยางนั้น ลองสองกระจกดูก็ได สวนตัณหาในปจจุบันจักเปนเหตุใหไดขันธ ๕ ชุดใหม
ในอนาคต จึงเรียกไดวาขณะนี้เราใชของเกา สวนของใหมนั้นจะเปนตัณหาหรือไมก็ลองพิจารณาดู
เชนการทําบุญกุศลตางๆ ประกอบดวยตัณหาความอยากหรือไม มีตัณหารวมดวยหรือไม ทําความ
ดีมีตัณหารวมดวยหรือไม กุศลใดมีตัณหาเปนเหตุปจจัย กุศลนั้นเรียกวา “วัฏฏกุศล” ยัง
ตองนําใหเกิดอีก แตเปนการนําใหเกิดที่ดี ใหสุคติเปนที่หวัง ตัณหาครอบงําไดตั้งแตมนุษย เทวดา
พรหม อรูปพรหม แตไมเรียกวาตัณหา เรียกวา“สังโยชน” คือกามสังโยชน
พระอรหันตทําลายทุกขไดหมดแลว นั่นหมายถึงทุกขที่จะเกิดตอไปขางหนาหมด แตทุกข
ในปจจุบันยังมีอยู คือทุกขอันเนื่องจากขันธ ตราบใดมีขันธพระอรหันตยังปวยยังเจ็บ ยังตองกิน
ตองดื่ม ยังมีการหิวกระหาย มีการขับถายเชนกัน แตพระอรหันตหมดอุปาทานขันธแลว ฉะนั้น
พระอรหันตมีชีวิตอยูเพียงเพื่อรอโอกาส หมดอายุของขันธเมื่อไร ก็นิพพานเมื่อนั้น อายุของขันธ
ยังมีอยูพระอรหันตก็ไมขวนขวายที่จะตอหรือทําลาย ถาพระพุทธเจายังอยูก็จะไปกราบลาทูลของ
นิพพาน แตถากิจของพระอรหันตยังมีอยูตองไปทํากิจนั้นใหเสร็จ พระองคก็จะบอก เชน พระสา
รีบุตรพิจารณาเห็นวาอายุของขันธหมดแลว ก็ไปทูลลาปรินิพพาน แตพุทธเจาบอกวากิจของพระ