More Related Content
Similar to รายงานการสื่อสารข้อมูล
Similar to รายงานการสื่อสารข้อมูล (20)
รายงานการสื่อสารข้อมูล
- 2. คานา
รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี จัดทาขึ้นเพื่อศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ
เรื่อง การสื่อสารข้อมูล ซึ่งเป็น การรับ -ส่ง โอน ย้าย หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลและสารสนเทศระหว่างอุปกรณ์
สื่อสารต่าง ๆ ผ่านสื่อนาข้อมูล โดยผ่านช่องทางสื่อสาร เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือคอมพิวเตอร์เป็น
ตัวกลางในการส่งข้อมูล เพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับเกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน ผู้จัดทาหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงาน
เล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆไม่มากก็น้อย
หากมีข้อผิดพลาดประการใดผู้จัดทาต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วย
จัดทาโดย
นางสาว ศิริประภา ดามูสิด
- 4. การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล (Data Communications) หมายถึง กระบวนการถ่ายโอนหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างผู้ส่ง
และผู้รับ โดยผ่านช่องทางสื่อสาร เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือคอมพิวเตอร์เป็นตัวกลางในการส่งข้อมูล
เพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับเกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน
องค์ประกอบของการสื่อสาร
ในช่วงแรกของการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์นั้น คอมพิวเตอร์ได้ถูกออกแบบมาให้ทางานเป็นระบบ
เดี่ยว (Stand-alone) ต่อมาได้มีการพัฒนา อุปกรณ์สื่อสารและโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้มีความสามารถใน
การทางานที่หลากหลายมากขึ้น การนาคอมพิวเตอร์มาเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูลและข่าวสารจึง
ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเป็นลาดับ
การสื่อสารข้อมูล (data communication) คือการรับ -ส่ง โอน ย้าย หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลและ
สารสนเทศระหว่างอุปกรณ์สื่อสารต่าง ๆ ผ่านสื่อนาข้อมูล
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (computer network) คือการนาเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปมา
เชื่อมต่อ เพื่อใช้ในการสื่อสารข้อมูล
- 5. องค์ประกอบของการสื่อสาร
โดยทั่วไป การสื่อสารข้อมูลมีส่วนประกอบที่สาคัญดังนี้
1. ผู้ส่งข้อมูล (sender) คือสิ่งที่ทาหน้าที่ส่งข้อมูลไปยังจุดหมายที่ต้องการ
2. ผู้รับข้อมูล (receiver) คือสิ่งที่ทาหน้าที่รับข้อมูลที่ถูกส่งมาให้
3. ข้อมูล (data) คือข้อมูลที่ผู้ส่งข้อมูลต้องการส่งไปยังผู้รับข้อมูล ข้อมูลอาจอยู่ในรูป
ของข้อ
ความ เสียง ภาพเคลื่อนไหว และอื่น ๆ
4. สื่อนาข้อมูล (medium) คือสิ่งที่ทาหน้าที่เป็นตัวกลางในการขนถ่ายข้อมูลจากผู้ส่งข้อมูล
ไป
ยังผู้รับข้อมูล เช่น สายเคเบิ้ล สายใยแก้วนาแสง อากาศ ฯลฯ
5. โปรโตคอล (protocol) คือกฎหรือวิธีที่ถูกกาหนดขึ้นเพื่อการสื่อสารข้อมูล ซึ่งผู้ส่งข้อมูล
จะต้องส่งข้อมูลในรูปแบบตามวิธีการสื่อสาร ที่ตกลงไว้กับผู้รับข้อมูล จึงจะสามารถ
สื่อสารข้อมูลกันได้ (คาว่า "protocol" เป็นคาที่มักสะกดกันผิด เป็น "protocal")
ตัวอย่างการสื่อสารข้อมูลด้วยโทรศัพท์
ผู้ส่งข้อมูล : ผู้ที่ทาการส่งข้อความในรูปแบบของเสียงรวมถึงตัวเครื่องโทรศัพท์ที่ใช้ในการติดต่อ
ด้วย
ผู้รับข้อมูล : ผู้ที่ทาการรับข้อความเสียงรวมถึงตัวเครื่องโทรศัพท์ที่ใช้ในการรับข้อมูลด้วย
ข้อมูล : ข่าวสารที่ถูกส่งในการสนทนาระหว่างสองฝ่าย ในรูปแบบของเสียง
สื่อนาข้อมูล: สายโทรศัพท์ ชุมสายโทรศัพท์
โปรโตคอล: ในการเริ่มการสื่อสาร (establishment) ผู้เริ่ม (ผู้โทร) จะต้องแนะนาตัวก่อน ใน
ระหว่าง การสนทนา ทั้งสองฝ่ายจะผลัดกันเป็นผู้ส่ง และผู้รับข้อมูล เมื่อผู้ส่งพูดจบ ให้เว้นจังหวะ
ให้ผู้สนทนาพูดตอบ ถ้ารับข้อมูลไม่ชัดเจนให้ทาการแก้ไขข้อผิดพลาด (error detection) ด้วยการ
ส่งข้อความว่า " อะไรนะ?" เพื่อให้คู่สนทนาส่งข้อมูลซ้าอีกครั้ง ในการจบการสื่อสาร
(termination) ให้พูดคาว่า " แค่นี้นะ" และอีกฝ่ายตอบว่า " ตกลง " เป็นการตอบรับ
(acknowledgement)
ในบางกรณี ผู้ส่งข้อมูลอาจเปลี่ยนสถานะเป็นผู้รับข้อมูล เช่น การสื่อสารข้อมูลด้วยโทรศัพท์ เมื่อฝ่าย
หนึ่งเป็นผู้ส่งข้อมูลไปให้แล้ว ฝ่ายรับข้อมูลได้ส่งข้อมูลกลับมาให้ ในขณะนั้น ผู้ส่งข้อมูลจะเปลี่ยนสถานภาพ
เป็นผู้รับข้อมูล
- 6. ชนิดของสัญญาณข้อมูล
ชนิดของสัญญาณข้อมูล สามารจาแนกได้เป็น 2 ชนิด คือ
1. สัญญาณแอนะล็อก (analog signal)
เป็นสัญญาณแบบต่อเนื่อง มีลักษณะเป็นคลื่นไซน์ (sine wave) โดยที่แต่ละคลื่นจะมีความถีและความ
เข้มของสัญญาณที่แตกต่างกัน เมื่อนาสัญญาณ ข้อมูลเหล่านี้มาผ่านอุปกรณ์รับสัญญาณและแปรงสัญญาณ ก็จะได้
ข้อมูลที่ต้องการได้ ตัวอย่างของการส่งข้อมูลที่มีสัญญาณแบบแอนะล็อกคือ การส่งข้อมูลผ่านระบบโทรศัพท์
เฮริตซ์ (hertz) คือ หน่วยวัดความถี่ของสัญญาณข้อมูลแบบแอนะล็อก วิธีวัดความถี่จะนับจานวน
รอบของสัญญาณที่เกิดขึ้นภายใน 1 วินาที เช่น สัญญาณข้อมูลที่มีความถี่ 60 Hz หมายถึงใน 1 วินาที สัญญาณ
มีการเปลี่ยนแปลงระดับสัญญาณ 60 รอบ (ขึ้นและลงนับเป็น 1 รอบ)
2. สัญญาณดิจิตอล (digital signal)
สัญญาณดิจิตอลเป็นสัญญาณแบบไม่ต่อเนื่อง รูปแบบของสัญญาณมีความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ปะติดปะต่อ
อย่างสัญญาณแอนะล็อก ในการสื่อสาร ด้วยสัญญาณดิจิตอล ข้อมูลในคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นเลขฐานสอง (0
และ 1) จะถูกแทนด้วยสัญญาณดิจิตอล การแทนข้อมูลดิจิตอลด้วยสัญญาณดิจิตอล มีหลายแบบ แบบที่แสดง
ไว้ในรูปที่ 6.4 เรียกว่า Unipolar เป็นวิธีที่แทนบิตข้อมูล 0 ด้วยสัญญาณไฟฟ้าที่เป็นกลาง และบิตข้อมูล 1
ด้วยสัญญาณไฟฟ้าที่เป็นบวก
- 7. Bit rate เป็นอัตราความเร็วในการส่งข้อมูลแบบดิจิตอล วิธีวัดความเร็วจะนับจานวนบิตข้อมูลที่ส่ง
ได้ในช่วงระยะเวลา 1 วินาที เช่น 14,400 bps หมายถึง มีความเร็วในการส่งข้อมูลจานวน 14,400 บิต ใน
ระยะเวลา 1 วินาที
โมเด็ม (MODULATION DEMODULATION หรือ MODEM)
โมเด็ม (modem) เป็นอุปกรณ์ที่ทาหน้าที่แปลงสัญญาณดิจิตอลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เป็นสัญญาณ
แอนะล็อก เรียกขั้นตอนนี้ว่า modulation และทาหน้าที่แปลงสัญญาณแอนะล็อกให้เป็นสัญญาณดิจิตอลเพื่อ
คอมพิวเตอร์จะได้นาไปประมวลผล ขั้นตอนนี้เรียกว่า demodulation
โดยปกติ สายโทรศัพท์ถูกออกแบบมาเพื่อส่งสัญญาณแอนะล็อก แต่เนื่องจากการสื่อสารของเครื่อง
คอมพิวเตอร์ใช้สัญญาณดิจิตอล จึงจาเป็นต้องใช้โมเด็มในการแปลงสัญญาณคอมพิวเตอร์ที่เป็นสัญญาณ
ดิจิตอลให้เป็นสัญญาณแอนะล็อก เพื่อจะได้ส่งข้อมูลผ่านสายโทรศัพท์ได้ และเมื่อข้อมูลไปถึงผู้รับข้อมูล
โมเด็มของผู้รับข้อมูลจะทาหน้าที่แปลงข้อมูลแอนะล็อกที่รับมาทางสายโทรศัพท์กลับไปเป็นข้อมูลดพิจิตอล
ดังเดิม
ความเร็วในการสื่อสารข้อมูลของโมเด็มวัดเป็นบิตต่อวินาที (bit per second หรือ bps) ความเร็วของ
โมเด็มโดยทั่วไปในปัจจุบันมีความเร็วเป็น 56 กิโลบิตต่อวินาที (Kbps) ความเร็วของโมเด็มที่สูงกว่าจะ
สามารถรับและส่งข้อมูลได้เร็วกว่า
โมเด็มสามารถจาแนกได้เป็น 3 ประเภท คือ โมเด็มแบบภายนอก (external modem) โมเด็มภายใน
(internal modem) และโมเด็มไร้สาย (wireless modem)
1.โมเด็มภายนอก
เป็นอุปกรณ์ที่แยกออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ และเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ทางพอร์ตอนุกรม
(serial port) ด้วยสายเคเบิ้ล โมเด็มภายนอกมีข้อดีคือเคลื่อนย้ายได้ง่าย
- 8. 2.โมเด็มภายใน
เป็นการ์ดที่ใช้เสียบกับแผงวงจรหลักของคอมพิวเตอร์ โมเด็มภายในช่วยประหยัดพื้นที่ใช้งาน และราคา
ถูกกว่าโมเด็มภายนอก
3.โมเด็มไร้สาย
มีลักษณะคล้ายกับโมเด็มภายนอก โดยโมเด็มภายนอกจะเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ทาง serial port
โดยใช้สายทางโทรศัพท์ ในขณะที่โมเด็มไร้สายจะไม่ใช้สายโทรศัพท์เพื่อเชื่อมต่อ แต่จะสื่อสารโดยใช้คลื่น
แม่เหล็กไฟฟ้าเป็นสื่อ
การเชื่อมต่อสายสื่อสาร
การเชื่อมต่อของสายสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็นสองประเภท ดังนี้
1. การเชื่อมต่อสายสื่อสารแบบจุดต่อจุด (point-to-point)
การเชื่อมต่อสายสื่อสารแบบจุดต่อจุด เป็นการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์สื่อสารสองตัวเท่านั้น อุปกรณ์
สื่อสารสองตัวที่เชื่อมต่อแบบนี้ จะใช้ความสามารถ ของสื่อส่งข้อมูลอย่างเต็มที่ในขณะที่อุปกรณ์ผู้ส่งพร้อมจะ
ส่งข้อมูล และอุปกรณ์ผู้รับพร้อมจะรับข้อมูล การสื่อสารสามารถเกิดขึ้นได้ทันที เพราะสื่อส่งข้อมูล ที่อุทิศฯ
ให้กับสื่อสารระหว่างอุปกรณ์สองตัว ย่อมพร้อมทาหน้าที่อยู่เสมอ การเชื่อมต่อแบบนี้อาจใช้สื่อที่เป็นสายหรือ
สื่อไร้สายก็ได้ ตามปกติ การสื่อสาร ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับเครื่องพิมพ์ก็เป็นการเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุด
คือ เมื่อเครื่องพิมพ์พร้อมจะรับข้อมูล และเครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมจะส่งข้อมูล ก็สามารถสื่อสารกันได้ทันที
2. การเชื่อมต่อสายสื่อสารแบบหลายจุด(multipoint)
การเชื่อมต่อสายสื่อสารแบบหลายจุด เป็นการเชื่อมต่อที่มีอุปกรณ์สื่อสารมากกว่าสองตัวแบ่งกันใช้สื่อ
ส่งข้อมูลเดียวกัน ในการเชื่อมต่อแบบนี้ สื่อส่งข้อมูลจะถูกแบ่งด้วยเวลา หรือความสามารถ
การแบ่งกันใช้สื่อด้วยเวลา หมายถึง อุปกรณ์ (มากกว่าสองตัว ) ที่เชื่อมอยู่กับสื่อจะผลัดเปลี่ยนกันใช้
สื่อเมื่อสื่อว่างอยู่จึงจะสามารถเริ่มต้นการสื่อสารได้ หรืออาจจะเป็นการผลัดเปลี่ยนกันอย่างสม่าเสมอ เช่น
ผลัดกันใช้สื่อทุก ๆ 0.5 วินาที เมื่อเวลาผ่านไป 0.5 วินาที เครื่องหนึ่งจะมีสิทธิใช้สื่อเพื่อส่งข้อมูล และเมื่อ 0.5
วินาทีของเครื่องนั้นหมดลง เครื่องถัดไปก็มีสิทธิใช้สื่อส่งข้อมูล เป็นต้น การแบ่งตามเวลาอาจจะไม่เสมอภาค
กันสาหรับอุปกรณ์ทุกตัว ขึ้นอยู่กับการให้ความสาคัญ (priority) กับอุปกรณ์แต่ละตัว ในระบบที่ใช้แบ่ง
- 9. ความสามารถของสื่อ อุปกรณ์ทุกตัวจะใช้สื่อได้เมื่อต้องการ แต่จะใช้ความสามารถไม่เต็มที่ ซึ่งจะส่งผลให้
ความเร็วในการสื่อสารลดลง เมื่อเทียบกับการใช้สื่ออย่างเต็มความสามารถ
วิธีการสื่อสารข้อมูล (DATA TRANSMISSION)
ลักษณะของการสื่อสารข้อมูล มี 2 รูปแบบคือ การสื่อสารแบบอนุกรม (serial data transmission)
และการสื่อสารแบบขนาน (parallel data transmission) การสื่อสารแต่ละรูปแบบมีรายละเอียดดังนี้
1. การสื่อสารข้อมูลแบบอนุกรม (serail data transmission)
เป็นการส่งข้อมูลครั้งละ 1 บิต ไปบนสัญญาณจนครบจานวนข้อมูลที่มีอยู่ สามารถนาไปใช้กับ
สื่อนาข้อมูลที่มีเพียง 1 ช่องสัญญาณได้ สื่อนาข้อมูลที่มี 1 ช่องสัญญาณนี้จะมีราคาถูกกว่าสื่อนาข้อมูลที่มี
หลายช่องสัญญาณ และเนื่องจากการสื่อสารแบบอนุกรมมีการส่งข้อมูลได้ครั้งละ 1 บิตเท่านั้น การส่งข้อมูล
ประเภทนี้จึงช้ากว่าการส่งข้อมูลครั้งละหลายบิต
2. การสื่อสารข้อมูลแบบขนาน (parallel data transmission)
เป็นการส่งข้อมูลครั้งละหลายบิตขนานกันไปบนสื่อนาข้อมูลที่มีหลายช่องสัญญาณ วิธีนี้จะเป็น
วิธีการส่งข้อมูลที่เร็วกว่าการส่งข้อมูลแบบอนุกรม จากรูปที่ 6.10 เป็นการแสดงการสื่อสารข้อมูลระหว่าง
อุปกรณ์ 2 ตัว ที่มีการส่งข้อมูลแบบขนาน โดยส่งข้อมูลครั้งละ 8 บิตพร้อมกัน
รูปแบบการสื่อสารข้อมูล (MODES OF DATA TRANSMISSION)
- 10. รูปแบบการสื่อสารข้อมูล แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
1.การส่งข้อมูลแบบไม่ประสานจังหวะ (asynchronous transmission)
เป็นวิธีการส่งข้อมูลไปบนสื่อนาข้อมูล โดยข้อมูลที่ส่งไปนั้นไม่มีจังหวะการส่งข้อมูล แต่จะส่งเป็นชุด
ๆ มีช่องว่าง (gap) อยู่ระหว่างข้อมูล แต่ละชุดเพื่อใช้แบ่งข้อมูลออกเป็นชุด ๆ เมื่อเริ่มต้นส่งข้อมูลแต่ละชุดจะมี
สีญญาณบอกจุดเริ่มต้นของข้อมูลขนาด 1 บิต (start bit) และมีสัญญาณบอกจุดสิ้นสุดของข้อมูลขนาด 1 บิต
(stop bit) ตัวอย่างเช่น ถ้าขนาดข้อมูลแต่ละชุดมีขนาด 8 บิต ลักษณะของการส่งข้อมูลจะมีลาดับดังนี้คือ
สัญญาณบอกจุดเริ่มต้นขนาด 1 บิต ข้อมูล 8 บิต และสัญญาณบอกจุดสิ้นสุด 1 บิต ตัวอย่างการส่งข้อมูลแบบ
ไม่ประสานจังหวะ เช่น การส่งข้อมูลของแป้นพิมพ์ และโมเด็ม เป็นต้น
2.การส่งข้อมูลแบบประสานจังหวะ (synchronous transmission)
เป็นการส่งข้อมูลไปบนสื่อนาข้อมูลที่มีลักษณะเป็นกลุ่มของข้อมูลที่ต่อเนื่องกันอย่างเป็นจังหวะ โดย
ใช้สัญญาณนาฬิกาเป็นตัวบอกจังหวะ เหล่านั้น การส่งข้อมูลวิธีนี้จะไม่มีช่องว่าง (gap) ระหว่างข้อมูลแต่ละ
ชุด และไม่มีสัญญาณบอกจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด การส่งข้อมูลแบบประสานจังหวะ นิยม ใช้กับ การส่งข้อมูล
ของระบบคอมพิวเตอร์ที่มีการส่งข้อมูลปริมาณมาก ๆ ด้วยความเร็วสูง
ทิศทางการส่งข้อมูล ( TRANSMISSION MODE )
การส่งข้อมูลของระบบคอมพิวเตอร์ สามารถจาแนกทิศทางการส่งข้อมูลเป็น 3 รูปแบบดังนี้
1. การส่งข้อมูลแบบทิศทางเดียว ( simplex transmission )
เป็นการสื่อสารข้อมูลที่ทาหน้าที่ส่งเพียงอย่างเดียว และผู้รับข้อมูลก็ทาหน้าที่รับข้อมูลเพียงอย่างเดียว
ด้วยเช่นเดียวกัน การส่งข้อมูลในลักษณะนี้ เช่นการส่งสัญญาณของสถานีโทรทัศน์ โดยที่สถานีส่งสัญญาณ
โทรทัศน์จะทาหน้าที่ส่งสัญญาณเท่านั้น และเครื่องรับโทรทัศน์ก็จะทาหน้าที่ รับสัญญาณเท่านั้นเช่นกัน
2. การส่งข้อมูลแบบสองทิศทางสลับกัน ( half-duplex transmission )
เป็นการสื่อสารข้อมูลที่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลของผู้รับและผู้ส่ง โดยแต่ละฝ่ายสามารถเป็นทั้งผู้ส่งและ
ผู้รับข้อมูล จะเป็นผู้ส่งข้อมูลพร้อมกัน ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ ลักษณะการส่งข้อมูลแบบนี้ เช่น การสื่อสารแบบวิทยุ
สื่อสาร ซึ่งผู้ที่จะส่งข้อมูลที่จะส่งข้อมูลต้องกดปุ่มเพื่อส่งข้อมูล ในขณะนั้นผู้อื่นจะเป็นผู้รับข้อมูล
3. การส่งข้อมูลแบบสองทิศทางพร้อมกัน( full- duplex transmission )
เป็นการสื่อสารข้อมูลทีมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลของผูส่งและผู้รับข้อมูล โดยทั้งสองฝ่ายสามารถเป็นผู้ส่ง
และผู้รับได้ในเวลาเดียวกัน และสามารถ ส่งข้อมูลได้พร้อมกัน ลักษณะการส่งข้อมูลแบบสองทิศทางพร้อมกัน
เช่น การสื่อสารโดยใช้โทรศัพท์ ซึ่งทั้งสอองฝ่ายสามารถพูดพร้อมกันได้ ในเวลาเดียวกัน
- 11. โดยปกติการสื่อสาารข้อมุลส่วนใหญ่จะไม่ใช้การส่งข้อมุลแบบสองทิศทางพร้อมกันตัวอย่าง เช่น การ
ใช้โทรศัพท์ ถึงแม้ว่าจะสามารถส่งข้อมูล ได้สองทิศทางพร้อมกัน แต่เวลาพูดยังคงต้องสลับกันพูด อีกตัวอย่าง
หนึ่งคือ การสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ซึ่งบางครังดูเหมือนว่าเป็นแบบสองทิศทาง พร้อมกัน แต่ในความเป็น
จริงแล้วเป็นการส่งข้อมูลแบบสองทิศทางสลับกัน ซึ่งช่วงเวลาที่สลับกันนี้เป็นช่วงเวลาที่เร็วมาก จึงดูเหมือนว่า
เป็นการส่งข้อมูลสองทิศทางพร้อมกัน
ตัวกลางการสื่อสาร ( COMMUNICATION MEDIA )
ตัวกลางการสื่อสาร เป็นสื่อที่ต่อเชื่อมการสื่อสารระหว่างผู้ส่งและผู้รับข้อมูล ตังกลางที่ใช้ในการ
สื่อสารแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือสื่อนาข้อมูลแบบมีสาย ( wired media )และสื่อนาข้อมูลแบบไร้สาย
( wireless media )
1. สื่อนาข้อมูลแบบมีสาย ( wired media ) สื่อข้อมูลแบบมีสายที่นิยมใช้ มี 3 ชนิดดังนี้
1.1 สายคู่บิตเกลียว ( twisted-pair cable )
สายคู่บิตเกลียว เป็นสายสัญญาณนาข้อมูลไฟฟ้า สายแต่ละเส้นมีลักษณะคล้ายสายไฟทั่งไป
จานวนสายจะมีเป็นคู่ เช่น 2 ,4 หรือ 6 เส้น แต่ละคู่จะมีการพันบิดกันเป็นเกลียว การบิดเกลียวนี้จะช่วยลด
สัญญาณรบกวนที่เกิดขึ้นในการส่งข้อมูล ทาให้สามารถส่งข้อมูลได้ไกลกว่าปกติ สายสัญญาณคู่บิดเกลียวมี
ความถี่ในการส่งข้อมูลประมาณ 100 Hz ถึง 5 MHz ลักษณะของสายสัญญาณชนิดนี้มี 2 ลักษณะ คือ สายคู่
บิดเกลียว แบบไม่มีชั้นโลหะห่อหุ้ม (unshielded twisted-pair หรือ UTP ) และสายคู่บิดเกลียวแบบมีชั้น
โลหะห่อหุ้ม ( shielded twisted-pair หรือ STP ) สารับสายคู่บิดเกลียวแบบมีชั้นดลหะห่อหุ้มจะมีชั้นโลหะ
ทีทาหน้าทีเ่ ป็นเกราะหุ้มเพือป้องกันสัญญาณรบกวนจากภายนอกได้
่
่
1.2 สายโคแอกเชียล ( coaxial cable )
สายโคแอกเชียล เป็นสายสัญญาณนาข้อมูลไฟฟ้า มีความถี่ในการส่งข้อมูลประมาณ 100 MHz
ถึง 500 MHz สาายโคแอกเชียลมีความเร็ว ในการส่งข้อมูลและมีราคาสูงกว่าสายคู่บิดเกลียว ลักษณะของ
สายโคแอกเชียลเป็นสายนาสัญญาณที่มีฉนวนหุ้มเป็นชั้นๆ หลายชั้นสลับกับตัวโลหะ ตัวนาโลหะชั้นในทาหน้าที่
ส่งสัญญาณ ส่วนตัวนาโลหะชั้นนอกทาหน้าที่เป็นสายดิน และเป็นเกราะป้องกันสัญญาณรบกวนจากภายนอก ทา
ให้มีสัญญาณรบกวนตัวนาชั้นในน้อย จึงส่งข้อมูลได้ในระยะไกล
- 12. 1.3 สายใยแก้วนาแสง ( optical fiber cable )
สายสัญญาณทาจากใยแก้วหรือสารนาแสงห่อหุ้มวัสดุป้องกันแสง มีความเร็วในการส่งข้อมูล
เท่ากับความเร็วแสง สามารถใช้ในการส่งข้อมูล ที่มีความถี่สูงได้ สัญญาณที่ส่งผ่านสายใยแก้วนาแสง คือแสง
และสัญญาณรบกวนจากภายนอกมีเพียงอย่างเดียว คือ แสงจากภายนอก ดังนั้นสายใย แก้วนาแสงที่มีสภาพดี
จะมีสัญญาณรบกวนน้อยมาก สายใยแก้วนาแสงมีราคาค่อนข้างสูงและดูแลรักษายากจึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมสาหรับ
การใช้งานสื่อสารทั่วๆ ไปในองค์การขนาดเล็ก หรือในการสื่อสารที่ไม่ต้องการความเร็วสูง
2. สื่อนาข้อมูลแบบไร้สาย ( wireless media ) การสื่อสารข้อมูลแบบไร้สาย จะใช้อากาศเป็นตัวกลางของ
การสื่อสาร ลักษณะของการสื่อสารข้อมูลประเภทนี้ เช่น
2.1 สัญญาณวิทยุ ( radio wave )
สัญญาณวิททยุเป็นสื่อประเภทไร้สาย ( wireless media ) ที่มีการส่งข้อมุลเป็นสัญญาณคลื่อ
ออนวิททยุไปในอากาศไปยังตัวรับสัญญาณ จึงทาให้ถูกสภาพแวดล้อมรบกวนข้อมูลได้ในช่วงที่สภาพอากาศ
ไม่ดี การส่งสัญญาณวิธีนี้จะช่วยส่งข้อมูลในระยะทางไกล หรือในสภาพภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออานวยในการใช้
สายส่งข้อมูล สัญญาณคลื่นวิทยุสามารถแบ่งตามช่วงความถี่ได้ดังนี้
- 13. 2.2 ไมโครเวฟภาคพื้นดิน ( terrestrial microwave )
ไมโครเวฟภาคพื้นดิน เป็นการสื่อสารโดยใช้สื่อนาข้อมูลแบบไร้สายอีกประเภทหนึ่ง การสื่อสาร
ประเภทนี้จะมีการส่งสัญญาณไมโครเวฟที่อยู่ห่างๆ กันทาการส่งส่งข้อมูลไปในอากาศไปยังเสารับข้อมูล ในกรณี
ที่ระยะทางห่างกันมาก หรือมีสิ่งกีดขวางสัญญาณ จะต้องใช้สถานีทวนสัญญาณ ( repeater station )เพื่อการ
ส่งสัญญาณเป็นช่วงๆ การสื่อสารประเภทนี้สามารถส่งข้อมูลปริมาณมากได้ แต่ในบางครั้งอาจถูกสภาพแวดล้อม
รบกวนได้เช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงฝนตกหรือมีพายุ จะทาให้การส่งข้อมูลทาได้ไม่ดีนัก
2.3 การสื่อสารผ่านดาวเทียม ( satellite communication )
การสื่อสารผ่านดาวเทียม เป็นการสื่อสรจากพื้นโลกที่มีการส่งสัญญาณข้อมูลไปยังดาวเทียม โดย
ดาวเททียมจะทาหน้าที่เป็นสถานีทวนสัญญาณ เพื่อจัดส่งสัญญาณต่อไปยังสถานีภาคพื้นดินอื่นๆ ระยะทางจาก
โลกถึงดาวเทียมประมาย 22,000 ไมล์ ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลมาก ทาให้ข้อมูลที่ส่งไปยังดาวเทียมเกิดความล่าช้า
ขึ้นได้ โดยเฉลี่ยความล่าช้าที่เกิดขึ้นมีค่าประมาณ 2 วินาที การส่งข้อมูลวิธีนี้จะทาให้ส่งข้อมูล ที่มีระยะทางไกล
มากๆ ได้ การสื่อสารผ่านดาวเทียมนิยมใช้สาหรับการสื่อสารระหว่างประเทศ