การสือ สารข้อ มูล และ
            ่
      เครือ ข่า ยคอมพิว เตอร์
ศิวพร ชุณหวิทยะธีระ
siwaphon@eau.ac.th
การสื่อ สารข้อ มูล และเครือ ข่า ย
              คอมพิว เตอร์
   การสือสารข้อมูล เป็นการส่งข้อมูลข่าวสารจาก
          ่
    ต้นทางไปยังปลายทางโดยผ่านช่องทางการสื่อสารทั้ง
    สือแบบที่ต้องใช้สายและไม่ใช้สายนอกจากนั้นยัง
      ่
    เกี่ยวข้องกับชนิดของสัญญาณ ประเภทของการส่ง
    สัญญาณข้อมูล วิธีการสือสารข้อมูล ทิศทางการ
                           ่
    สือสารข้อมูล อุปกรณ์แปลงสัญญาณ วิธีการแปลง
        ่
    สัญญาณ
   เครือข่ายคอมพิวเตอร์ เป็นการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์
    ตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไป เพื่อติดต่อสือสารแลกเปลี่ยน
                                         ่
    ข้อมูลระหว่างกัน โดยทั่วไปจะประกอบด้วย ระบบ
ความรู้ท ั่ว ไปเกี่ย วกับ การ
            สื่อ สารข้อ มูล
 ก่อนที่จะมีการใช้คอมพิวเตอร์ การติดต่อสื่อสารเพื่อ
  ส่งข้อมูลและข่าวสารจะผ่านทางสื่อต่างๆ เช่น
  ไปรษณีย์ โทรศัพท์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ วารสาร
  เป็นต้น สื่อเหล่านี้เป็นสื่อหลักในการติดต่อสือสารเป็น
                                               ่
  เวลานาน
 ยุคแรกการนำาคอมพิวเตอร์มาใช้งาน การทำางานทุก
  อย่างจะเป็นแบบรวมศูนย์ นั่นคือจะมีคอมพิวเตอร์ซึ่ง
  เป็นเครื่องหลักทำางานที่ศูนย์กลาง งานต่างๆจะต้องส่ง
  มาประมวลผลที่ศูนย์กลาง
 ยุคต่อมา พัฒนาเป็นระบบการประมวลผลทางไกล ซึ่ง
  จะประกอบด้วยเทอร์มินัลที่จะเชือมต่อกับคอมพิวเตอร์
                                    ่
ความรู้ท ั่ว ไปเกี่ย วกับ การ
         สื่อ สารข้อ มูล (ต่อ )
 เมื่อมีการนำาไมโครคอมพิวเตอร์มาใช้งาน ทำาให้เกิด
  การทำางานแบบกระจายศูนย์อย่างชัดเจนและแพร่
  หลายมากขึ้น ในขณะเดียวกันหากมีงานที่ซับซ้อน
  และไม่สามารถทำางานได้โดยไมโครคอมพิวเตอร์ก็
  สามารถที่จะประมวลผลภายใต้คอมพิวเตอร์ที่
  ศูนย์กลางได้ ซึ่งจะเห็นว่าการทำางานดังกล่าวเป็นรูป
  แบบการประมวลผลแบบกระจาย
 ในช่วงแรก จะทำางานเป็นเอกเทศโดยเป็นรูปแบบการ
  ทำางานแบบกระจายศูนย์ นันคือ ไม่มีการเชื่อมโยง
                             ่
  ถึงกัน จนกระทั่งเกิดระบบแลน การทำางานใดๆจะทำา
  โดยเจ้าของงานซึ่งเป็นต้นทางของข้อมูลเพื่อการ
ความหมายของการสื่อ สาร
          โทรคมนาคมและการสื่อ สาร
                  ข้อ มูล
   การสือ สารโทรคมนาคม
          ่
    (Telecommunication) หมายถึง การส่งผ่าน
    สัญญาณ หรือพลังงาน ซึ่งอาจจะเป็นข่าวสารหรือ
    ข้อมูลในรูปแบบต่างๆ ระหว่างผูส่งและผู้รับที่อยู่ห่าง
                                  ้
    ไกลกัน ในการส่งผ่านสัญญาณจะอาศัยช่องทางการ
    สือสารข้อมูล ซึ่งจะเป็นแบบใช้สายโดยใช้ลวดตัวนำา
      ่
    ฉนวน หรือแบบไม่ใช้สายโดยส่งสัญญาณผ่านชัน        ้
    บรรยากาศ เช่น การสื่อสารโดยการใช้โทรศัพท์
    (tele+phone = การพูดระยะไกล) การแพร่ภาพ
    โทรทัศน์ (tele + vision = การดูระยะไกล)
ความหมายของการสื่อ สาร
โทรคมนาคมและการสือ สารข้อ มูล
                   ่
(ต่อ )
    การสือ สารข้อ มูล (Data
             ่
     communication) หมายถึง การส่งข้อมูล
     หรือข่าวสาร จากผู้สงต้นทางไปยังผูรับปลาย
                         ่                 ้
     ทางที่อยู่ห่างไกล โดยผ่านช่องทางการสือสาร ่
     เพื่อเป็นสือกลางในการส่งข้อมูล ซึ่งอาจจะเป็น
                ่
     แบบใช้สาย หรือไม่ใช้สายก็ได้ ส่วนข้อมูลหรือ
     ข่าวสารนั้นอาจจะเป็นข้อความ เสียง ภาพ
     เคลื่อนไหว หรือข้อมูลที่เป็นมัลติมีเดียก็ได้ ดัง
     นั้นการสื่อสารข้อมูลจึงเป็นส่วนหนึ่งของการ
     สือสารโทรคมนาคม โดยเน้นการส่งผ่านข้อมูล
       ่
องค์ป ระกอบของการสื่อ สาร
                     ข้อ มูล


   ผู้ส ง หรือ อุป กรณ์ส ่ง
          ่
    ข้อ มูล (Sender)            •ข้อมูล
   ผู้ร ับ หรือ อุป กรณ์ร ับ   (Data)
    ข้อ มูล (Receiver)
                                • ข้อความ
   ข่า วสาร (Message)          (Text)
   ตัว กลาง (Medium)
                                • รูปภาพ
   โปรโตคอล (Protocol)         (Image)
ตัว อย่า งการสื่อ สารข้อ มูล
ปัจ จัย ที่ค วรคำา นึง ถึง ในการ
              เลือ กตัว กลาง
 อัตราเร็วในการส่งผ่านข้อมูล (Transmission
  Rate)
 ระยะทาง ระหว่างอุปกรณ์ที่ต้องการเชื่อมต่อ
 ค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง ค่าใช้จ่าย
  ประจำา และค่าบำารุงรักษา
 ความสะดวกในการติดตั้ง บางพื้นที่อาจเหมาะกับการ
  เดินสาย หรือบางพื้นที่อาจจะเหมาะกับสื่อแบบไร้สาย
 ความทนทานต่อสภาพแวดล้อม
 วิธีที่ใช้ในการสื่อสาร เช่นการสื่อสารข้อมูลแบบ
ชนิด ของสัญ ญาณที่ใ ช้ใ นการ
           สื่อ สารข้อ มูล
   สัญ ญาณอนาล็อ ก (Analog Signal)
    สัญญาณอนาล็อก คือ สัญญาณที่อยู่ในรูปแบบ
    ของคลื่น (Waveform) ที่มีความต่อเนื่องกัน
    (Continuous) มีการเปลี่ยนแปลงระดับของ
    สัญญาณขึ้น – ลงตามขนาดของสัญญาณ
    (Amplitude) และมีความถี่ (Frequency) ที่
    เรียกว่า Hertz (Hz) ตัวอย่างของสัญญาณ
    อนาล็อก เช่น เสียงพูด (Voice) กระแสไฟฟ้า
    สลับ เป็นต้น
ชนิด ของสัญ ญาณที่ใ ช้ใ นการ
สื่อ สารข้อ มูล (ต่อ )
   สัญ ญาณดิจ ิต อล (digital Signal)
    สัญญาณดิจิตอล หรือเรียกว่า “สัญญาณพัลซ์
    (Pulse Signal)” สัญญาณที่มีระบบของ
    สัญญาณเพียง 2 ระดับ คือ สูงและตำ่า การ
    เปลี่ยนระดับสัญญาณจะไม่มีความต่อเนื่องกัน
    (Discrete) โดยปกติแล้วระดับสูงจะแทนด้วย
    ตัวเลข 1 และระดับตำ่าจะแทนด้วย 0
ชนิด ของสัญ ญาณที่ใ ช้ใ นการ
    สื่อ สารข้อ มูล (ต่อ )
 ในการส่งข้อมูลเป็นสัญญาณอนาล็อกนันเมื่อระยะ
                                         ้
  ทางในการส่งข้อมูลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จะส่งผลให้
  พลังงานของสัญญาณอ่อนลงเรื่อย ๆ ดังนั้นในการส่ง
  สัญญาณอนาล็อกที่ระยะทางไกล ๆ จึงจำาเป็นต้องมี
  เครื่องขยายสัญญาณ (Amplifier) เพื่อเพิ่มพลังงาน
  ให้กับสัญญาณ แต่ข้อเสียของการใช้เครื่องขยาย
  สัญญาณคือจะทำาให้เกิดสัญญาณรบกวน (Noise)
  ดังนั้นจึงจำาเป็นต้องใช้วงจรกรองสัญญาณ (Filter)
  เพื่อกรองเอาสัญญาณรบกวนออก
 ส่วนสัญญาณดิจิตอลเมื่อเพิ่มระยะทางในการส่งขึ้นจะ
ประเภทของการรับ - ส่ง
            สัญ ญาณข้อ มูล
   แบบขนาน (Parallel
    Transmission)   • รับส่งข้อมูลครั้งละหลาย ๆ บิต

                         พร้อมกัน
                         • จำานวนของสายสื่อสารเท่ากับ
                         จำานวนบิตของข้อมูลที่ ต้องการส่ง
                         ไปแบบขนานกัน
                         • เสียค่าใช้จ่ายมากกว่าการรับส่ง
                         ข้อมูลแบบอนุกรม
                         •ไม่สามารถส่งไปในระยะทางที่
                         ไกล ๆ ได้เนื่องจากข้อมูลแต่ละบิต
ประเภทของการรับ - ส่ง
          สัญ ญาณข้อ มูล (ต่อ )
   แบบอนุก รม (Serial
    Transmission)      • รับส่งข้อมูลครั้งละ 1 บิตเรียง

                            ตามลำาดับกันไป
                            • ใช้สายสื่อสารเพียงเส้นเดียว
                            เท่านั้น
                            • สามารถส่งไปได้ในระยะทางที่
                            ไกล ๆ
                            • นิยมใช้ในการสื่อสารข้อมูล
                            ผ่านทางสายโทรศัพท์ เมาส์ และ
                            COM Port
ประเภทของการรับ - ส่ง
            สัญ ญาณข้อ มูล (ต่อ )
   Asynchronous Transmission
    เพิมบิตควบคุม Start Bit, Stop Bit และ Parity Bit เพือใช้
       ่                                                     ่
    แบ่งข้อมูลออกมาเป็น 1 ตัวอักขระ (1 Character) ความเร็ว
    ในการรับส่งข้อมูลจะช้า เนื่องจากต้องมีการเพิมทัง 3 บิตนั้น
                                                  ่ ้
    ลงไปยังตัวอักขระทุกตัว พบการรับส่งข้อมูลแบบนีได้ใน้
    อุปกรณ์ทมความเร็วในการรับส่งข้อมูลตำ่า เช่นโมเด็ม
              ี่ ี
    คียบอร์ด เป็นต้น
         ์
   Synchronous Transmission
     เพิ่มไบต์ทเป็น Header Trailer และParity Bit ไว้ทส่วนหัว
                 ี่                                       ี่
    และท้ายของแพ็คเก็ตข้อมูลทำาให้สามารถรับ – ส่งข้อมูลได้
    เป็นจำานวนมาก ซึงการรับส่งข้อมูลนั้น ทังฝั่งรับและฝั่งส่งจะ
                     ่                     ้
ทิศ ทางของการสื่อ สารข้อ มูล
 แบบทิศ ทางเดีย ว (Simplex Transmission)
  ผูส่งสามารถส่งข้อมูลได้เพียงทางเดียวเท่านั้น ผู้รับไม่
    ้
  สามารถส่งข้อมูลตอบกลับมาได้ เช่น การกระจาย
  เสียงทางวิทยุและการแพร่ภาพทางโทรทัศน์ เป็นต้น
 แบบทางใดทางหนึง (Half-duplex
                      ่
  Transmission)
  แต่ละฝ่ายสามารถรับ – ส่งข้อมูลได้แต่จะไม่สามารถ
  ทำาได้ในเวลาเดียวกัน เช่น การใช้วิทยุสอสารของ
                                        ื่
  ตำารวจ กระดานสนทนา (Web board) อีเมล์ เป็นต้น
 แบบสองทิศ ทาง (Full-duplex Transmission)
ทิศ ทางของการสื่อ สารข้อ มูล
          (ต่อ )
ความรู้ท ั่ว ไปเกี่ย วกับ เครือ ข่า ย
               คอมพิว เตอร์
 ระบบเครือข่าย (Network) คือ กลุ่มของเทคโนโลยี
  (ประกอบด้วยฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ตัวกลาง และอื่นๆ)
  ที่สามารถเชือมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน
               ่
  ทำาให้เครื่องคอมพิวเตอร์เหล่านั้นสามารถติดต่อ
  สือสารกัน และเปลี่ยนสารสนเทศระหว่างกัน และใช้
    ่
  แหล่งข้อมูลร่วมกันแบบเรียลไทม์ (real time)
 ในปัจจุบันองค์กรบางองค์กรใช้ระบบรวมศูนย์กลาง
  คือ ใช้เครื่องเมนเฟรมและเครื่องเทอร์มินัล แต่ใน
  ขณะเดียวกันระบบธุรกิจและโรงเรียนจำานวนมากได้
  เปลี่ยนจากระบบรวมศูนย์กลางเป็นระบบเครือข่าย
ประโยชน์ข องการใช้ร ะบบ
               เครือ ข่า ย
   การใช้ง านพร้อ มกัน
    ระบบเครือข่ายจะอนุญาตให้ผู้ใช้หลายๆ คนใช้โปรแกรม
    และข้อมูลต่างๆ ได้ในเวลาเดียวกัน
   การใช้อ ุป กรณ์ร อบข้า งร่ว มกัน
    ระบบเครือข่ายจะอนุญาตให้ผู้ใช้หลายๆ คน ใช้อุปกรณ์
    ต่างๆ ในเครือข่ายร่วมกันได้ เช่น เครื่องพิมพ์ เครื่องสแกน
    เนอร์ เป็นต้น
   การสื่อ สารส่ว นบุค คล
    ระบบเครือข่ายสามารถทำาให้ผู้ใช้ติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น
   การสำา รองข้อ มูล ทีง า ยขึ้น
                        ่ ่
ชนิด ของเครือ ข่า ยคอมพิว เตอร์
   เครือ ข่า ยระยะใกล้ห รือ เครือ ข่า ยแลน
    แลน คือระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในพื้น
    ที่ใกล้ๆ กัน เช่น ในแผนกเดียวกัน ใน
    สำานักงาน หรือตึกทำาการเดียวกัน โดยแต่ละ
    เครื่องสามารถติดต่อสือสารกันได้
                         ่
ชนิด ของเครือ ข่า ยคอมพิว เตอร์
                  (ต่อ )
   เครือข่ายแลนเป็นเครือข่ายสำาคัญที่ปรับเปลี่ยนการ
    ทำางานภายในสำานักงานให้เป็นระบบสำานักงาน
    อัตโนมัติ โดยการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการ
    สือสารข้อมูลมาช่วยอำานวยความสะดวก ในการ
      ่
    ทำางานในสำานักงานด้านต่างๆ ได้แก่
    - การติดต่อสื่อสารภายในสำานักงาน เช่น การส่ง
    ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างพนักงาน การนัด
    หมาย เป็นต้น
    - การใช้ทรัพยากรต่างๆ ร่วมกัน เช่น การใช้แฟ้ม
ชนิด ของเครือ ข่า ยคอมพิว เตอร์
                  (ต่อ )
   ชนิด ของเครือ ข่า ยแลน (แบ่งตามการจัดการทรัพยากร
    ของเครือข่ายคอมพิวเตอร์)
     แบบลูกข่าย/แม่ข่าย (Client/Server)

      มีแม่ข่าย (Server) ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ทมกจะใช้ควบคุม
                                             ี่ ั
      การทำางานในเครือข่ายเป็นผู้ให้บริการแก่คอมพิวเตอร์ลูก
      ข่าย (Client) ทีเชื่อมต่อในเครือข่ายแลน
                      ่
       - แบบแม่ข่ายกำาหนดหน้าทีเฉพาะ (Delicate Server)
                                  ่
       - แบบแม่ข่ายไม่กำาหนดหน้าทีเฉพาะ (Non delicate
                                    ่
      server)
     แบบเพียร์ทเพียร์ (Peer-to-Peer)
                  ู
ชนิด ของเครือ ข่า ยคอมพิว เตอร์
                  (ต่อ )
   เครือ ข่า ยระยะไกลหรือ เครือ ข่า ยแวน
    แวน คือ ระบบเครือข่ายแลนสองระบบเครือข่ายหรือ
    มากกว่าเชื่อมต่อกัน โดยส่วนมากจะครอบคลุมพื้นที่
    กว้าง ตัวอย่างเช่น บริษัทแห่งหนึ่งมีสำานักงานขนาด
    ใหญ่ และฝ่ายการผลิตตั้งอยู่ที่เมืองหนึ่ง ฝ่ายการ
    ตลาดตั้งอยู่อีกเมืองหนึ่ง แต่ละแผนกต้องมีการใช้
    ทรัพยากร ข้อมูล และโปรแกรม นอกจากนี้แต่ละ
    แผนกต้องการใช้ข้อมูลร่วมกับแผนกอื่นด้วย จึงต้องมี
    การระบบแวน
โครงสร้า งของเครือ ข่า ย
           คอมพิว เตอร์
   การเชือ มต่อ เครือ ข่า ยแบบบัส (Bus
            ่
    Network)
    ใช้สายสัญญาณต่อเชื่อม ซึ่งเรียกว่า “บัส
    (Bus)” เป็นทางเดินของข้อมูลร่วมกันระหว่าง
    เครื่องคอมพิวเตอร์โดยสัญญาณจะถูกกระจาย
    ไปตลอดทั้งเส้นทาง
โครงสร้า งของเครือ ข่า ย
            คอมพิว เตอร์ (ต่อ )
   ข้อ ดีข อง การเชือ มต่อ เครือ ข่า ยแบบบัส (Bus
                     ่
    Network)
     การใช้สายส่งข้อมูลจะใช้สายส่งข้อมูลร่วมกันทำาให้ใช้
      สายส่งข้อมูลได้อย่างงเต็มประสิทธิภาพช่วยลดค่าใช้จ่าย
      ในการติดตั้งและการบำารุง
     เครือข่ายแบบบัสมีโครงสร้างทีง่ายและมีความน่าเชื่อถือ
                                   ่
      เนืองจากใช้สายส่งข้อมูลเพียงเส้นเดียว
         ่
     การเพิมจุดใช้บริการใหม่เข้าไปในเครือข่ายสามารถทำาได้
             ่
      ง่าย เนื่องจากจุดใหม่จะใช้สายส่งข้อมูลทีมอยูแล้วได้
                                              ่ ี ่
โครงสร้า งของเครือ ข่า ย
            คอมพิว เตอร์ (ต่อ )
   ข้อ เสีย ของการเชือ มต่อ เครือ ข่า ยแบบบัส (Bus
                      ่
    Network)
     การหาข้อผิดพลาดทำาได้ยาก เนืองจากในเครือข่ายจะ
                                       ่
     ไม่มศนย์กลางในการควบคุมอยู่ทจุดใดจุดหนึง ดังนันการ
            ี ู                          ี่      ่    ้
     ตรวจสอบข้อผิดพลาดจึงต้องทำาจากหลาย ๆ จุดในเครือ
     ข่าย
     ในกรณีทเกิดการเสียหายในสายส่งข้อมูล จะทำาให้ทง
                 ี่                                     ั้
     เครือข่ายไม่สามารถทำางานได้
     เมือมีผู้ใช้งานเพิมขึ้นอาจทำาให้เกิดการชนกันของข้อมูล
          ่             ่
     เมือมีการับส่งข้อมูล
        ่
โครงสร้า งของเครือ ข่า ย
            คอมพิว เตอร์ (ต่อ )
   การเชือ มต่อ เครือ ข่า ยแบบสตาร์ (Star
             ่
    Network)
    การเชือมต่อเครือข่ายแบบสตาร์ เป็นการเชือมต่อ
           ่                                  ่
    เครื่องคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เข้าสูคอมพิวเตอร์ที่เป็น
                                   ่
    ศูนย์กลางโดยใช้ฮับ (Hub) หรือสวิตช์ (Switch)
    เป็นจุดเชื่อมต่อและจะเรียกคอมพิวเตอร์ที่เป็น
    ศูนย์กลางนั้นว่า “โฮสต์คอมพิวเตอร์ (Host
    Computer)”
โครงสร้า งของเครือ ข่า ย
         คอมพิว เตอร์ (ต่อ )
   ข้อ ดีข องการเชือ มต่อ เครือ ข่า ยแบบสตาร์
                       ่
    (Star Network)
      เครือข่ายแบบสตาร์จะมีโฮสต์คอมพิวเตอร์อยู่
       ที่จุดเดียวทำาให้ง่ายในการติดตั้งหรือจัดการ
       กับระบบ
      จุดใช้งาน 1 จุด ต่อกับสายส่งข้อมูล 1 เส้น
       เมื่อเกิดการเสียหายของจุดใช้งานใดในเครือ
       ข่ายจะไม่สงผลกระทบต่อการทำางานของจุด
                   ่
       อื่น ๆ
โครงสร้า งของเครือ ข่า ย
         คอมพิว เตอร์ (ต่อ )
   ข้อ เสีย ของการเชือ มต่อ เครือ ข่า ยแบบ
                        ่
    สตาร์ (Star Network)
     เนื่องจากแต่ละจุดจะต่อโดยตรงกับโฮสต์
      คอมพิวเตอร์ ดังนั้นจึงต้องใช้สายส่งข้อมูล
      จำานวนมากทำาให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
      ในการติดตั้งและบำารุงรักษา
     การเพิ่มจุดใหม่เข้าในระบบจะต้องเดินสาย
      จากโฮสต์คอมพิวเตอร์ออกมาส่งผลให้การ
      ขยายระบบทำาได้ยาก
โครงสร้า งของเครือ ข่า ย
           คอมพิว เตอร์ (ต่อ )
   การเชือ มต่อ เครือ ข่า ยแบบริง (Ring Network)
            ่
    การเชือมต่อเครือข่ายแบบริง มีการต่อเชือมกันเป็น
          ่                               ่
    วงแหวน (Ring Network) การรับส่งข้อมูลจะเป็น
    ไปในทิศทางเดียวกัน การติดต่อสือสารจะใช้ “โทเค็น
                                   ่
    (Token)” เป็นสื่อกลางในการติดต่อภายในเครือข่าย
โครงสร้า งของเครือ ข่า ย
            คอมพิว เตอร์ (ต่อ )
   ข้อ ดีข องการเชือ มต่อ เครือ ข่า ยแบบริง (Ring
                     ่
    Network)
     ใช้สายส่งข้อมูลน้อย ความยาวของสายส่งข้อมูล
      จะใกล้เคียงกับแบบบัส แต่จะน้อยกว่าแบบสตาร์
      ทำาให้เพิ่มความน่าเชือถือของการส่งข้อมูลได้มาก
                           ่
      ขึ้น
     เหมาะสำาหรับใช้กับเคเบิลเส้นใยแก้วนำาแสง
      เนื่องจากจะช่วยให้ส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูง
      ข้อมูลในวงแหวนจะเดินทางเดียว ในการส่งแต่ละ
โครงสร้า งของเครือ ข่า ย
           คอมพิว เตอร์ (ต่อ )
   ข้อ เสีย ของการเชือ มต่อ เครือ ข่า ยแบบริง (Ring
                          ่
    Network)
     การส่งข้อมูลบนวงแหวนจะต้องผ่านทุก ๆ จุดที่อยู่
      ในวงแหวน ดังนั้นหากมีจุดใดจุดหนึ่งเสียหาย ทั้ง
      เครือข่ายก็จะไม่สามารถติดต่อกันได้ จนกว่าจะนำา
      จุดที่เสียหายออกไป หรือแก้ไขให้ใช้งานได้
     ในการตรวจสอบข้อผิดพลาดอาจต้องทดสอบ
      ระหว่างจุดกับจุดถัดไป เพื่อหาดูว่าจุดใดเสียหาย
      ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากและเสียเวลามาก
โครงสร้า งของเครือ ข่า ย
            คอมพิว เตอร์ (ต่อ )
 การเชือ มเครือ ข่า ยแบบผสม (Mesh Network)
        ่
 การเชือมต่อเครือข่ายแบบผสม เป็นเครือข่ายที่ไม่มีรูป
       ่
 แบบที่แน่นอน เครือข่ายแบบผสมนี้จะใช้การผสมรูป
 แบบการเชือมต่อหลาย ๆ แบบเข้าด้วยกัน เช่น ใช้
           ่
 เครือข่ายแบบบัสผสมกับเครือข่ายแบบสตาร์ เป็นต้น
โครงสร้า งของเครือ ข่า ย
            คอมพิว เตอร์ (ต่อ )
   การเชือ มต่อ เครือ ข่า ยแบบไร้ส าย (Wireless
            ่
    Network)
       เริ่มแรกนันสามารถรับส่งข้อมูลได้ 2 Mbps
                   ้
    (Megabits per Second) จนพัฒนาให้สามารถส่ง
    ข้อมูลได้ 11 Mbps ด้วยราคาที่ถูกลง ทำาให้เครือ
    ข่ายไร้สายได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งเครือข่ายไร้
    สายนี้จะใช้เทคโนโลยีที่สามารถส่งข้อมูลไปบน
    ความถี่ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้ ซึ่งเรียกว่า
    “Spread Spectrum” โดยข้อมูลที่แยกส่งออกไปนัน     ้
    จะประกอบกันเหมือนเดิมที่ ตัวรับสัญญาณ
โครงสร้า งของเครือ ข่า ย
         คอมพิว เตอร์ (ต่อ )
   การเชือ มต่อ เครือ ข่า ยแบบไร้ส าย
          ่
    (Wireless Network)
โครงสร้า งของเครือ ข่า ย
         คอมพิว เตอร์ (ต่อ )
   การเชือ มต่อ เครือ ข่า ยแบบไร้ส าย
          ่
    (Wireless Network)
อุป กรณ์เ ครือ ข่า ย (Network
                 Devices)
   อุป กรณ์ท วนสัญ ญาณ (Repeater)
    อุปกรณ์ทวนสัญญาณทำางานใน Layer ที่ 1 ของ
    OSI Model เป็นอุปกรณ์ที่ทำาหน้าที่รับสัญญาณ
    ดิจิตอลเข้ามาแล้วสร้างใหม่ (Regenerate) ให้เป็น
    เหมือนสัญญาณข้อมูลเดิมที่ส่งมาจากต้นทาง จากนั้น
    ค่อยส่งต่อออกไปยังอุปกรณ์ตัวอื่น ทำาให้สามารถส่ง
    สัญญาณไปได้ไกลขึ้น โดยที่สัญญาณไม่สูญหาย
อุป กรณ์เ ครือ ข่า ย (Network
              Devices) (ต่อ )
   ฮับ (Hub)
    Hub ใช้ในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับเครือข่าย
    จะมี “พอร์ต (Port)” ใช้เชือมต่อระหว่าง Hub กับ
                               ่
    เครื่องคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์เครือข่ายตัวอื่น ๆ
    Hub จะทวนสัญญาณและส่งต่อข้อมูลนั้นออกไปที่
    เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่ออยู่กับ Hub
อุป กรณ์เ ครือ ข่า ย (Network
             Devices) (ต่อ )
   บริด จ์ (Bridge)
    บริดจ์ ทำางานใน Layer ที่ 2 ของ OSI Mode ใช้
    เชือมต่อ Segment ของเครือข่าย 2 Segment หรือ
       ่
    มากกว่าเข้าด้วยกัน โดยจะต้องเป็นเครือข่ายที่ใช้
    Data Link Protocol ตัวเดียวกัน และ Network
    Protocol ตัวเดียวกัน เช่น ต่อ Ethernet LAN (ใช้
    Topology แบบบัส และใช้โปรโตคอล Ethernet)
    2 Segment เข้าด้วยกัน
    Bridge สามารถกรองข้อมูลที่จะส่งต่อได้ โดยตรวจ
อุป กรณ์เ ครือ ข่า ย (Network
             Devices) (ต่อ )
   เราเตอร์ (Router)
    เราเตอร์ ทำางานใน Layer ที่ 3 ของ OSI Model ใช้
    เชือมต่อเครือข่าย 2 เครือข่ายหรือมากกว่าเข้าด้วย
       ่
    กัน โดยที่เครือข่ายนั้นจะต้องใช้ Network
    Protocol ตัวเดียวกัน แต่ใช้ Data Link Protocol
    ต่างกันได้ (ต่อ Ethernet LAN เข้ากับ Token LAN
    ได้) Router สามารถกรองข้อมูลได้เช่นเดียวกับ
    Bridge และสามารถหาเส้นทางในการส่งแพ็คเก็ต
    ข้อมูลไปยังเครื่องปลายทางได้สั้นที่สุดด้วย
OSI Model (Open Systems
     Interconnection Model)
   หน่วยงานกำาหนดมาตรฐานสากล หรือ ISO
    ระบุว่าควรแบ่งโปรโตคอลออกเป็น 7 เลเยอร์
    (Layer) และในแต่ละเลเยอร์ควรมีหน้าที่อะไร
    บ้าง ดังนั้นเมื่อบริษัทต่าง ๆ ได้ผลิตโปรโตคอล
    ใหม่ขึ้นมา ก็ออกแบบให้สอดคล้องกับ OSI
    Model นีเพื่อให้สามารถติดต่อสื่อสารกับระบบ
               ้
    ของต่างบริษัทได้
OSI Model (Open Systems
     Interconnection Model) (ต่อ )
   Application Layer
    ประกอบไปด้วย Application
    Protocol ต่าง ๆ ทีมีผู้นิยมใช้งาน เช่น
                        ่
    E-mail, File Transfer เป็นต้น
   Presentation Layer
    จัดการเกียวกับรูปแบบของข้อมูลโดย
               ่
    การแปลงข้อมูลให้อยูในรูปแบบทีเป็น
                          ่          ่
    มาตรฐานที่ทกเครื่องเข้าใจ
                  ุ
   Session Layer
    สร้างการเชื่อมต่อเชิงตรรกะระหว่าง
    เครื่องสองเครื่อง ทำาการ Synchronize
    ข้อมูลเพื่อป้องกันปัญหาการเชือมต่อ
                                  ่
    หลุด
   Transport Layer
    ตัดข้อมูลออกเป็น segment ตรวจสอบ
    ความครบถ้วน ให้บริการเรื่องคุณภาพ
   Network layer
    แปลงข้อมูลเป็น packet และกำาหนด
    เส้นทาง
   Data Link Layer
    อธิบายการส่งข้อมูลไปบนสื่อกลาง เพิ่ม
โปรโตคอล (Protocol)
   โปรโตคอล คือ
    ระเบียบวิธีการ
    กฎ และข้อ
    กำาหนดต่าง ๆ
    ใน
    การติดต่อ
    สื่อสารรวมถึง
    มาตรฐานที่ใช้
    เพื่อให้สามารถ
    ส่งผ่านข้อมูล
โปรโตคอล (Protocol) (ต่อ )
   TCP/IP (Transmission Control
    Protocol/Internet Protocol)
    โปรโตคอลมาตรฐานที่ใช้ในการสื่อสารระหว่าง
    เครื่องคอมพิวเตอร์ที่แตกต่างกันใช้ระบบปฏิบติ ั
    การที่ต่างกันและอยู่บนเครือข่ายที่ต่างกันให้
    สามารถสือสารกันผ่านทางเครือข่ายได้โดย
              ่
    TCP/IP จะประกอบไปด้วยโปรโคตอล 2 ตัว
    TCP (Transmission Control Protocol)
    และ IP (Internet Protocol)
โปรโตคอล (Protocol) (ต่อ )
 HTTP (Hyper Text Transfer Protocol)
  โปรโตคอลที่ใช้ในการส่งเว็บเพจ (Web Page) ที่อยู่
  บนเครื่องเซิร์ฟเวอร์มาให้เครื่องไคลเอ็นท์ที่ทำาการ
  ร้องขอไปทำาให้ผใช้งานสามารถท่องไปในเว็บไซต์
                    ู้
  ต่าง ๆ ทั่วโลกได้
 FTP (File Transfer Protocol )

  โปรโตคอลที่ใช้ในการส่งโอนไฟล์ข้อมูลผ่านเครือ
  ข่ายอินเตอร์โดยจะเรียกการโอนไฟล์จากเครื่อง
  เซิร์ฟเวอร์มาที่เคลื่อนไคลเอ็นท์ว่า “Download” และ
โปรโตคอล (Protocol) (ต่อ )
 SMTP (Simple Mail Transport
  Protocol)
  โปรโตคอลที่ใช้ในการส่ง E-mail ไปยัง
  Mailbox ที่จุดหมายปลายทาง
 POP3 (Post Office Protocol – 3)

  โปรโตคอลที่ใช้ในการดึง E-mail จาก
  Maibox ของผูให้บริการมาเก็บไว้ที่เครื่อง
                 ้
  ตนเองเพื่อให้สะดวกต่อการจัดการับ E-Mail
การประยุก ต์ใ ช้เ ทคโนโลยีก าร
          สื่อ สารในธุร กิจ
   Videoconference
        เป็นการรวมเทคโนโลยี 2 อย่าง เข้าไว้ด้วยกัน
    นั่นคือ เทคโนโลยีวีดีโอและเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
    จุดประสงค์ของการใช้เทคโนโลยี
    Videoconference นั้นเพื่อสนับสนุนการประชุมทาง
    ไกลเป็นหลัก
        Videoconference เป็นเทคโนโลยีที่ต้องใช้
    อุปกรณ์ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมการ์ดเสียง
    กล้องถ่ายวีดีโอขนาดเล็ก ไมโครโฟน ลำาโพง (หรือหู
การประยุก ต์ใ ช้เ ทคโนโลยีก าร
         สื่อ สารในธุร กิจ (ต่อ )
   Voice Mail
    Voice Mail เป็นเทคโนโลยีที่ทำาหน้าที่คล้ายกับ
    เครื่องตอบรับโทรศัพท์อัตโนมัติ โดยบันทึกเสียงของผู้
    พูดไว้ใน Voice Mailbox ของเครื่องคอมพิวเตอร์
    ด้วยสัญญาณดิจิตอล ภายใน Voice Mailbox นี้
    สามารถแบ่งเป็นโฟลเดอร์ย่อย ๆ ให้ผใช้แต่ละคนได้
                                       ู้
    ทำาให้สามารถเรียกข้อความขึ้นมาฟังตอบกลับหรือส่ง
    ต่อข้อความไปถึงผูใช้คนอื่น ๆ ได้และหากต้องการส่ง
                      ้
    ข้อความไปถึงผู้รับพร้อมกันหลายคนก็สามารถทำาได้
การประยุก ต์ใ ช้เ ทคโนโลยีก าร
         สื่อ สารในธุร กิจ (ต่อ )
   Fax
    ข้อมูลอาจเป็นข้อความที่พิมพ์ขึ้นหรือเขียนขึ้นด้วยมือ
    และอาจจะมีรูปภาพด้วยก็ได้ ผูใช้สามารถเลือกใช้
                                 ้
    เครื่องแฟ็กซ์ หรือจะใช้คอมพิวเตอร์ที่มีการติดตั้ง
    แฟ็กซ์/โมเด็มเป็นอุปกรณ์สื่อสารก็ได้ ผู้ใช้สามารถดู
    ข้อความหรือรูปภาพผ่านทางหน้าจอได้ทันทีไม่จำาเป็น
    ต้องพิมพ์ออกมาเป็นเอกสาร นอกจากนี้ยังเก็บข้อมูล
    ต่าง ๆ ไว้เป็นไฟล์ได้
การประยุก ต์ใ ช้เ ทคโนโลยีก าร
         สื่อ สารในธุร กิจ (ต่อ )
   Group Ware
    Group Ware คือ โปรแกรมที่ชวยสนับสนุนให้มีการ
                                  ่
    แบ่งปันสารสนเทศผ่านทางเครือข่าย (LAN และ
    WAN) โดย GroupWare เป็นองค์ประกอบของแนว
    ความคิดอิสระที่เรียกว่า “Workgroup
    Computing” ซึ่งประกอบไปด้วยฮาร์ดแวร์และ
    ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ของเครือข่ายซึ่งจะทำาให้ผร่วมงาน
                                             ู้
    ทุกคนสามารถสือสารถึงกัน และร่วมกันจัดการ
                    ่
    โครงการต่าง ๆ ร่วมประชุมตามหมายกำาหนดการ
การประยุก ต์ใ ช้เ ทคโนโลยีก าร
         สื่อ สารในธุร กิจ (ต่อ )
   Collaboration
    Collaboration เป็นความสามารถของซอฟต์แวร์
    แต่ละชนิดที่ทำาให้ผใช้งานทำางานร่วมกันได้โดยต่อ
                       ู้
    เชือมถึงกันผ่าน Server เช่น โปรแกรม Microsoft
        ่
    Office XP ที่สามารถปฏิบติงานหรือติดต่องานร่วมกับ
                              ั
    ผูอื่นได้และมีความสามารถในการควบคุมการประชุม
      ้
    แบบออนไลน์ (Online Meeting) เช่น สามารถแบ่ง
    ปันไฟล์เอกสารให้กับผู้อื่นได้เปิดอ่านพร้อมกันและถ้า
    มีใครซักคนเปลี่ยนแปลงข้อมูลไฟล์คนอื่น ๆ ที่กำาลัง
การประยุก ต์ใ ช้เ ทคโนโลยีก าร
    สื่อ สารในธุร กิจ (ต่อ )
   EDI (Electronic Data Interchange)
    EDI คือ การแลกเปลี่ยนเอกสารทางธุรกิจ
    ระหว่างบริษัทคู่คาในรูปแบบมาตรฐานสากล
                     ้
    จากเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึงไปยังเครื่อง
                                   ่
    คอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่ง โดยระบบ EDI จะมี
    องค์ประกอบที่สำาคัญอยู่ 2 อย่าง คือ การใช้
    เอกสารอิเล็กทรอนิกส์แทนเอกสารที่เป็นกระ
    ดาษและเอกสารอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ต้องอยู่ใน
    รูปแบบมาตรฐานสากลด้วยสององค์ประกอบนี้
การประยุก ต์ใ ช้เ ทคโนโลยีก าร
         สื่อ สารในธุร กิจ (ต่อ )
   GPS (Global Positioning System)
       ระบบ GPS ประกอบไปด้วยเทคโนโลยีที่ใช้ตรวจ
    สอบตำาแหน่งที่ตั้งของ GPS Receiver (อุปกรณ์รับ
    สัญญาณ) ผ่านทางดาวเทียม
       ปัจจุบันนีได้มีผู้นำาระบบ GPS ไปประยุกต์ใช้
                 ้
    มากมาย ตัวอย่างเช่น การป้องกันการโจรกรรม
    ทรัพย์สิน การนำาร่องเรือเดินสมุทร การควบคุมการบิน
    อัตโนมัติ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีผนำาไปใช้ใน
                                     ู้
    โครงการวิจัยสัตว์ป่า โดยฝัง GPS Receiver ไว้ที่ใน
    ตัวสัตว์ (GPS Receiver จะถูกออกแบบและสร้างมา
การประยุก ต์ใ ช้เ ทคโนโลยีก าร
         สื่อ สารในธุร กิจ (ต่อ )
   อิน เตอร์เ น็ต (Internet)
    อินเตอร์เน็ต คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่
    มาก ซึ่งเกิดจากการเชือมเครือข่ายย่อย ๆ จำานวนมาก
                            ่
    เข้าไว้ด้วยกันทำาให้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องทั่วโลกไม่
    ว่าจะเป็นชนิดใดหรือขนาดใดตาม สามารถส่งผ่าน
    และแลกเปลี่ยนข้อมูลและสารสนเทศซึ่งกันและกันได้
    โดยใช้โปรโตคอลเป็นสือกลางในการติดต่อสือสาร
                              ่                  ่
    และแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกันเหมือน
    เส้นใยแมงมุม หรือที่นยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า “เวิลด์
                          ิ
    ไวด์เว็บ (World Wide Web: WWW)”
การประยุก ต์ใ ช้เ ทคโนโลยีก าร
         สื่อ สารในธุร กิจ (ต่อ )
   ตัว อย่า งบริก ารบนอิน เตอร์เ น็ต (Internet)
     E-mail
     Telnet
     Gopher, Archie
     Instant Messaging, Chat Room
     Internet Telephony
     Newsgroup
     USENET

Data communication and network

  • 1.
    การสือ สารข้อ มูลและ ่ เครือ ข่า ยคอมพิว เตอร์ ศิวพร ชุณหวิทยะธีระ siwaphon@eau.ac.th
  • 2.
    การสื่อ สารข้อ มูลและเครือ ข่า ย คอมพิว เตอร์  การสือสารข้อมูล เป็นการส่งข้อมูลข่าวสารจาก ่ ต้นทางไปยังปลายทางโดยผ่านช่องทางการสื่อสารทั้ง สือแบบที่ต้องใช้สายและไม่ใช้สายนอกจากนั้นยัง ่ เกี่ยวข้องกับชนิดของสัญญาณ ประเภทของการส่ง สัญญาณข้อมูล วิธีการสือสารข้อมูล ทิศทางการ ่ สือสารข้อมูล อุปกรณ์แปลงสัญญาณ วิธีการแปลง ่ สัญญาณ  เครือข่ายคอมพิวเตอร์ เป็นการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไป เพื่อติดต่อสือสารแลกเปลี่ยน ่ ข้อมูลระหว่างกัน โดยทั่วไปจะประกอบด้วย ระบบ
  • 3.
    ความรู้ท ั่ว ไปเกี่ยวกับ การ สื่อ สารข้อ มูล  ก่อนที่จะมีการใช้คอมพิวเตอร์ การติดต่อสื่อสารเพื่อ ส่งข้อมูลและข่าวสารจะผ่านทางสื่อต่างๆ เช่น ไปรษณีย์ โทรศัพท์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ วารสาร เป็นต้น สื่อเหล่านี้เป็นสื่อหลักในการติดต่อสือสารเป็น ่ เวลานาน  ยุคแรกการนำาคอมพิวเตอร์มาใช้งาน การทำางานทุก อย่างจะเป็นแบบรวมศูนย์ นั่นคือจะมีคอมพิวเตอร์ซึ่ง เป็นเครื่องหลักทำางานที่ศูนย์กลาง งานต่างๆจะต้องส่ง มาประมวลผลที่ศูนย์กลาง  ยุคต่อมา พัฒนาเป็นระบบการประมวลผลทางไกล ซึ่ง จะประกอบด้วยเทอร์มินัลที่จะเชือมต่อกับคอมพิวเตอร์ ่
  • 4.
    ความรู้ท ั่ว ไปเกี่ยวกับ การ สื่อ สารข้อ มูล (ต่อ )  เมื่อมีการนำาไมโครคอมพิวเตอร์มาใช้งาน ทำาให้เกิด การทำางานแบบกระจายศูนย์อย่างชัดเจนและแพร่ หลายมากขึ้น ในขณะเดียวกันหากมีงานที่ซับซ้อน และไม่สามารถทำางานได้โดยไมโครคอมพิวเตอร์ก็ สามารถที่จะประมวลผลภายใต้คอมพิวเตอร์ที่ ศูนย์กลางได้ ซึ่งจะเห็นว่าการทำางานดังกล่าวเป็นรูป แบบการประมวลผลแบบกระจาย  ในช่วงแรก จะทำางานเป็นเอกเทศโดยเป็นรูปแบบการ ทำางานแบบกระจายศูนย์ นันคือ ไม่มีการเชื่อมโยง ่ ถึงกัน จนกระทั่งเกิดระบบแลน การทำางานใดๆจะทำา โดยเจ้าของงานซึ่งเป็นต้นทางของข้อมูลเพื่อการ
  • 5.
    ความหมายของการสื่อ สาร โทรคมนาคมและการสื่อ สาร ข้อ มูล  การสือ สารโทรคมนาคม ่ (Telecommunication) หมายถึง การส่งผ่าน สัญญาณ หรือพลังงาน ซึ่งอาจจะเป็นข่าวสารหรือ ข้อมูลในรูปแบบต่างๆ ระหว่างผูส่งและผู้รับที่อยู่ห่าง ้ ไกลกัน ในการส่งผ่านสัญญาณจะอาศัยช่องทางการ สือสารข้อมูล ซึ่งจะเป็นแบบใช้สายโดยใช้ลวดตัวนำา ่ ฉนวน หรือแบบไม่ใช้สายโดยส่งสัญญาณผ่านชัน ้ บรรยากาศ เช่น การสื่อสารโดยการใช้โทรศัพท์ (tele+phone = การพูดระยะไกล) การแพร่ภาพ โทรทัศน์ (tele + vision = การดูระยะไกล)
  • 6.
    ความหมายของการสื่อ สาร โทรคมนาคมและการสือ สารข้อมูล ่ (ต่อ )  การสือ สารข้อ มูล (Data ่ communication) หมายถึง การส่งข้อมูล หรือข่าวสาร จากผู้สงต้นทางไปยังผูรับปลาย ่ ้ ทางที่อยู่ห่างไกล โดยผ่านช่องทางการสือสาร ่ เพื่อเป็นสือกลางในการส่งข้อมูล ซึ่งอาจจะเป็น ่ แบบใช้สาย หรือไม่ใช้สายก็ได้ ส่วนข้อมูลหรือ ข่าวสารนั้นอาจจะเป็นข้อความ เสียง ภาพ เคลื่อนไหว หรือข้อมูลที่เป็นมัลติมีเดียก็ได้ ดัง นั้นการสื่อสารข้อมูลจึงเป็นส่วนหนึ่งของการ สือสารโทรคมนาคม โดยเน้นการส่งผ่านข้อมูล ่
  • 7.
    องค์ป ระกอบของการสื่อ สาร ข้อ มูล  ผู้ส ง หรือ อุป กรณ์ส ่ง ่ ข้อ มูล (Sender) •ข้อมูล  ผู้ร ับ หรือ อุป กรณ์ร ับ (Data) ข้อ มูล (Receiver) • ข้อความ  ข่า วสาร (Message) (Text)  ตัว กลาง (Medium) • รูปภาพ  โปรโตคอล (Protocol) (Image)
  • 8.
  • 9.
    ปัจ จัย ที่ควรคำา นึง ถึง ในการ เลือ กตัว กลาง  อัตราเร็วในการส่งผ่านข้อมูล (Transmission Rate)  ระยะทาง ระหว่างอุปกรณ์ที่ต้องการเชื่อมต่อ  ค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง ค่าใช้จ่าย ประจำา และค่าบำารุงรักษา  ความสะดวกในการติดตั้ง บางพื้นที่อาจเหมาะกับการ เดินสาย หรือบางพื้นที่อาจจะเหมาะกับสื่อแบบไร้สาย  ความทนทานต่อสภาพแวดล้อม  วิธีที่ใช้ในการสื่อสาร เช่นการสื่อสารข้อมูลแบบ
  • 10.
    ชนิด ของสัญ ญาณที่ใช้ใ นการ สื่อ สารข้อ มูล  สัญ ญาณอนาล็อ ก (Analog Signal) สัญญาณอนาล็อก คือ สัญญาณที่อยู่ในรูปแบบ ของคลื่น (Waveform) ที่มีความต่อเนื่องกัน (Continuous) มีการเปลี่ยนแปลงระดับของ สัญญาณขึ้น – ลงตามขนาดของสัญญาณ (Amplitude) และมีความถี่ (Frequency) ที่ เรียกว่า Hertz (Hz) ตัวอย่างของสัญญาณ อนาล็อก เช่น เสียงพูด (Voice) กระแสไฟฟ้า สลับ เป็นต้น
  • 11.
    ชนิด ของสัญ ญาณที่ใช้ใ นการ สื่อ สารข้อ มูล (ต่อ )  สัญ ญาณดิจ ิต อล (digital Signal) สัญญาณดิจิตอล หรือเรียกว่า “สัญญาณพัลซ์ (Pulse Signal)” สัญญาณที่มีระบบของ สัญญาณเพียง 2 ระดับ คือ สูงและตำ่า การ เปลี่ยนระดับสัญญาณจะไม่มีความต่อเนื่องกัน (Discrete) โดยปกติแล้วระดับสูงจะแทนด้วย ตัวเลข 1 และระดับตำ่าจะแทนด้วย 0
  • 12.
    ชนิด ของสัญ ญาณที่ใช้ใ นการ สื่อ สารข้อ มูล (ต่อ )  ในการส่งข้อมูลเป็นสัญญาณอนาล็อกนันเมื่อระยะ ้ ทางในการส่งข้อมูลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จะส่งผลให้ พลังงานของสัญญาณอ่อนลงเรื่อย ๆ ดังนั้นในการส่ง สัญญาณอนาล็อกที่ระยะทางไกล ๆ จึงจำาเป็นต้องมี เครื่องขยายสัญญาณ (Amplifier) เพื่อเพิ่มพลังงาน ให้กับสัญญาณ แต่ข้อเสียของการใช้เครื่องขยาย สัญญาณคือจะทำาให้เกิดสัญญาณรบกวน (Noise) ดังนั้นจึงจำาเป็นต้องใช้วงจรกรองสัญญาณ (Filter) เพื่อกรองเอาสัญญาณรบกวนออก  ส่วนสัญญาณดิจิตอลเมื่อเพิ่มระยะทางในการส่งขึ้นจะ
  • 13.
    ประเภทของการรับ - ส่ง สัญ ญาณข้อ มูล  แบบขนาน (Parallel Transmission) • รับส่งข้อมูลครั้งละหลาย ๆ บิต พร้อมกัน • จำานวนของสายสื่อสารเท่ากับ จำานวนบิตของข้อมูลที่ ต้องการส่ง ไปแบบขนานกัน • เสียค่าใช้จ่ายมากกว่าการรับส่ง ข้อมูลแบบอนุกรม •ไม่สามารถส่งไปในระยะทางที่ ไกล ๆ ได้เนื่องจากข้อมูลแต่ละบิต
  • 14.
    ประเภทของการรับ - ส่ง สัญ ญาณข้อ มูล (ต่อ )  แบบอนุก รม (Serial Transmission) • รับส่งข้อมูลครั้งละ 1 บิตเรียง ตามลำาดับกันไป • ใช้สายสื่อสารเพียงเส้นเดียว เท่านั้น • สามารถส่งไปได้ในระยะทางที่ ไกล ๆ • นิยมใช้ในการสื่อสารข้อมูล ผ่านทางสายโทรศัพท์ เมาส์ และ COM Port
  • 15.
    ประเภทของการรับ - ส่ง สัญ ญาณข้อ มูล (ต่อ )  Asynchronous Transmission เพิมบิตควบคุม Start Bit, Stop Bit และ Parity Bit เพือใช้ ่ ่ แบ่งข้อมูลออกมาเป็น 1 ตัวอักขระ (1 Character) ความเร็ว ในการรับส่งข้อมูลจะช้า เนื่องจากต้องมีการเพิมทัง 3 บิตนั้น ่ ้ ลงไปยังตัวอักขระทุกตัว พบการรับส่งข้อมูลแบบนีได้ใน้ อุปกรณ์ทมความเร็วในการรับส่งข้อมูลตำ่า เช่นโมเด็ม ี่ ี คียบอร์ด เป็นต้น ์  Synchronous Transmission เพิ่มไบต์ทเป็น Header Trailer และParity Bit ไว้ทส่วนหัว ี่ ี่ และท้ายของแพ็คเก็ตข้อมูลทำาให้สามารถรับ – ส่งข้อมูลได้ เป็นจำานวนมาก ซึงการรับส่งข้อมูลนั้น ทังฝั่งรับและฝั่งส่งจะ ่ ้
  • 16.
    ทิศ ทางของการสื่อ สารข้อมูล  แบบทิศ ทางเดีย ว (Simplex Transmission) ผูส่งสามารถส่งข้อมูลได้เพียงทางเดียวเท่านั้น ผู้รับไม่ ้ สามารถส่งข้อมูลตอบกลับมาได้ เช่น การกระจาย เสียงทางวิทยุและการแพร่ภาพทางโทรทัศน์ เป็นต้น  แบบทางใดทางหนึง (Half-duplex ่ Transmission) แต่ละฝ่ายสามารถรับ – ส่งข้อมูลได้แต่จะไม่สามารถ ทำาได้ในเวลาเดียวกัน เช่น การใช้วิทยุสอสารของ ื่ ตำารวจ กระดานสนทนา (Web board) อีเมล์ เป็นต้น  แบบสองทิศ ทาง (Full-duplex Transmission)
  • 17.
  • 18.
    ความรู้ท ั่ว ไปเกี่ยวกับ เครือ ข่า ย คอมพิว เตอร์  ระบบเครือข่าย (Network) คือ กลุ่มของเทคโนโลยี (ประกอบด้วยฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ตัวกลาง และอื่นๆ) ที่สามารถเชือมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน ่ ทำาให้เครื่องคอมพิวเตอร์เหล่านั้นสามารถติดต่อ สือสารกัน และเปลี่ยนสารสนเทศระหว่างกัน และใช้ ่ แหล่งข้อมูลร่วมกันแบบเรียลไทม์ (real time)  ในปัจจุบันองค์กรบางองค์กรใช้ระบบรวมศูนย์กลาง คือ ใช้เครื่องเมนเฟรมและเครื่องเทอร์มินัล แต่ใน ขณะเดียวกันระบบธุรกิจและโรงเรียนจำานวนมากได้ เปลี่ยนจากระบบรวมศูนย์กลางเป็นระบบเครือข่าย
  • 19.
    ประโยชน์ข องการใช้ร ะบบ เครือ ข่า ย  การใช้ง านพร้อ มกัน ระบบเครือข่ายจะอนุญาตให้ผู้ใช้หลายๆ คนใช้โปรแกรม และข้อมูลต่างๆ ได้ในเวลาเดียวกัน  การใช้อ ุป กรณ์ร อบข้า งร่ว มกัน ระบบเครือข่ายจะอนุญาตให้ผู้ใช้หลายๆ คน ใช้อุปกรณ์ ต่างๆ ในเครือข่ายร่วมกันได้ เช่น เครื่องพิมพ์ เครื่องสแกน เนอร์ เป็นต้น  การสื่อ สารส่ว นบุค คล ระบบเครือข่ายสามารถทำาให้ผู้ใช้ติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น  การสำา รองข้อ มูล ทีง า ยขึ้น ่ ่
  • 20.
    ชนิด ของเครือ ข่ายคอมพิว เตอร์  เครือ ข่า ยระยะใกล้ห รือ เครือ ข่า ยแลน แลน คือระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในพื้น ที่ใกล้ๆ กัน เช่น ในแผนกเดียวกัน ใน สำานักงาน หรือตึกทำาการเดียวกัน โดยแต่ละ เครื่องสามารถติดต่อสือสารกันได้ ่
  • 21.
    ชนิด ของเครือ ข่ายคอมพิว เตอร์ (ต่อ )  เครือข่ายแลนเป็นเครือข่ายสำาคัญที่ปรับเปลี่ยนการ ทำางานภายในสำานักงานให้เป็นระบบสำานักงาน อัตโนมัติ โดยการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการ สือสารข้อมูลมาช่วยอำานวยความสะดวก ในการ ่ ทำางานในสำานักงานด้านต่างๆ ได้แก่ - การติดต่อสื่อสารภายในสำานักงาน เช่น การส่ง ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างพนักงาน การนัด หมาย เป็นต้น - การใช้ทรัพยากรต่างๆ ร่วมกัน เช่น การใช้แฟ้ม
  • 22.
    ชนิด ของเครือ ข่ายคอมพิว เตอร์ (ต่อ )  ชนิด ของเครือ ข่า ยแลน (แบ่งตามการจัดการทรัพยากร ของเครือข่ายคอมพิวเตอร์)  แบบลูกข่าย/แม่ข่าย (Client/Server) มีแม่ข่าย (Server) ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ทมกจะใช้ควบคุม ี่ ั การทำางานในเครือข่ายเป็นผู้ให้บริการแก่คอมพิวเตอร์ลูก ข่าย (Client) ทีเชื่อมต่อในเครือข่ายแลน ่ - แบบแม่ข่ายกำาหนดหน้าทีเฉพาะ (Delicate Server) ่ - แบบแม่ข่ายไม่กำาหนดหน้าทีเฉพาะ (Non delicate ่ server)  แบบเพียร์ทเพียร์ (Peer-to-Peer) ู
  • 23.
    ชนิด ของเครือ ข่ายคอมพิว เตอร์ (ต่อ )  เครือ ข่า ยระยะไกลหรือ เครือ ข่า ยแวน แวน คือ ระบบเครือข่ายแลนสองระบบเครือข่ายหรือ มากกว่าเชื่อมต่อกัน โดยส่วนมากจะครอบคลุมพื้นที่ กว้าง ตัวอย่างเช่น บริษัทแห่งหนึ่งมีสำานักงานขนาด ใหญ่ และฝ่ายการผลิตตั้งอยู่ที่เมืองหนึ่ง ฝ่ายการ ตลาดตั้งอยู่อีกเมืองหนึ่ง แต่ละแผนกต้องมีการใช้ ทรัพยากร ข้อมูล และโปรแกรม นอกจากนี้แต่ละ แผนกต้องการใช้ข้อมูลร่วมกับแผนกอื่นด้วย จึงต้องมี การระบบแวน
  • 24.
    โครงสร้า งของเครือ ข่าย คอมพิว เตอร์  การเชือ มต่อ เครือ ข่า ยแบบบัส (Bus ่ Network) ใช้สายสัญญาณต่อเชื่อม ซึ่งเรียกว่า “บัส (Bus)” เป็นทางเดินของข้อมูลร่วมกันระหว่าง เครื่องคอมพิวเตอร์โดยสัญญาณจะถูกกระจาย ไปตลอดทั้งเส้นทาง
  • 25.
    โครงสร้า งของเครือ ข่าย คอมพิว เตอร์ (ต่อ )  ข้อ ดีข อง การเชือ มต่อ เครือ ข่า ยแบบบัส (Bus ่ Network)  การใช้สายส่งข้อมูลจะใช้สายส่งข้อมูลร่วมกันทำาให้ใช้ สายส่งข้อมูลได้อย่างงเต็มประสิทธิภาพช่วยลดค่าใช้จ่าย ในการติดตั้งและการบำารุง  เครือข่ายแบบบัสมีโครงสร้างทีง่ายและมีความน่าเชื่อถือ ่ เนืองจากใช้สายส่งข้อมูลเพียงเส้นเดียว ่  การเพิมจุดใช้บริการใหม่เข้าไปในเครือข่ายสามารถทำาได้ ่ ง่าย เนื่องจากจุดใหม่จะใช้สายส่งข้อมูลทีมอยูแล้วได้ ่ ี ่
  • 26.
    โครงสร้า งของเครือ ข่าย คอมพิว เตอร์ (ต่อ )  ข้อ เสีย ของการเชือ มต่อ เครือ ข่า ยแบบบัส (Bus ่ Network)  การหาข้อผิดพลาดทำาได้ยาก เนืองจากในเครือข่ายจะ ่ ไม่มศนย์กลางในการควบคุมอยู่ทจุดใดจุดหนึง ดังนันการ ี ู ี่ ่ ้ ตรวจสอบข้อผิดพลาดจึงต้องทำาจากหลาย ๆ จุดในเครือ ข่าย  ในกรณีทเกิดการเสียหายในสายส่งข้อมูล จะทำาให้ทง ี่ ั้ เครือข่ายไม่สามารถทำางานได้  เมือมีผู้ใช้งานเพิมขึ้นอาจทำาให้เกิดการชนกันของข้อมูล ่ ่ เมือมีการับส่งข้อมูล ่
  • 27.
    โครงสร้า งของเครือ ข่าย คอมพิว เตอร์ (ต่อ )  การเชือ มต่อ เครือ ข่า ยแบบสตาร์ (Star ่ Network) การเชือมต่อเครือข่ายแบบสตาร์ เป็นการเชือมต่อ ่ ่ เครื่องคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เข้าสูคอมพิวเตอร์ที่เป็น ่ ศูนย์กลางโดยใช้ฮับ (Hub) หรือสวิตช์ (Switch) เป็นจุดเชื่อมต่อและจะเรียกคอมพิวเตอร์ที่เป็น ศูนย์กลางนั้นว่า “โฮสต์คอมพิวเตอร์ (Host Computer)”
  • 28.
    โครงสร้า งของเครือ ข่าย คอมพิว เตอร์ (ต่อ )  ข้อ ดีข องการเชือ มต่อ เครือ ข่า ยแบบสตาร์ ่ (Star Network)  เครือข่ายแบบสตาร์จะมีโฮสต์คอมพิวเตอร์อยู่ ที่จุดเดียวทำาให้ง่ายในการติดตั้งหรือจัดการ กับระบบ  จุดใช้งาน 1 จุด ต่อกับสายส่งข้อมูล 1 เส้น เมื่อเกิดการเสียหายของจุดใช้งานใดในเครือ ข่ายจะไม่สงผลกระทบต่อการทำางานของจุด ่ อื่น ๆ
  • 29.
    โครงสร้า งของเครือ ข่าย คอมพิว เตอร์ (ต่อ )  ข้อ เสีย ของการเชือ มต่อ เครือ ข่า ยแบบ ่ สตาร์ (Star Network)  เนื่องจากแต่ละจุดจะต่อโดยตรงกับโฮสต์ คอมพิวเตอร์ ดังนั้นจึงต้องใช้สายส่งข้อมูล จำานวนมากทำาให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ในการติดตั้งและบำารุงรักษา  การเพิ่มจุดใหม่เข้าในระบบจะต้องเดินสาย จากโฮสต์คอมพิวเตอร์ออกมาส่งผลให้การ ขยายระบบทำาได้ยาก
  • 30.
    โครงสร้า งของเครือ ข่าย คอมพิว เตอร์ (ต่อ )  การเชือ มต่อ เครือ ข่า ยแบบริง (Ring Network) ่ การเชือมต่อเครือข่ายแบบริง มีการต่อเชือมกันเป็น ่ ่ วงแหวน (Ring Network) การรับส่งข้อมูลจะเป็น ไปในทิศทางเดียวกัน การติดต่อสือสารจะใช้ “โทเค็น ่ (Token)” เป็นสื่อกลางในการติดต่อภายในเครือข่าย
  • 31.
    โครงสร้า งของเครือ ข่าย คอมพิว เตอร์ (ต่อ )  ข้อ ดีข องการเชือ มต่อ เครือ ข่า ยแบบริง (Ring ่ Network)  ใช้สายส่งข้อมูลน้อย ความยาวของสายส่งข้อมูล จะใกล้เคียงกับแบบบัส แต่จะน้อยกว่าแบบสตาร์ ทำาให้เพิ่มความน่าเชือถือของการส่งข้อมูลได้มาก ่ ขึ้น  เหมาะสำาหรับใช้กับเคเบิลเส้นใยแก้วนำาแสง เนื่องจากจะช่วยให้ส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูง ข้อมูลในวงแหวนจะเดินทางเดียว ในการส่งแต่ละ
  • 32.
    โครงสร้า งของเครือ ข่าย คอมพิว เตอร์ (ต่อ )  ข้อ เสีย ของการเชือ มต่อ เครือ ข่า ยแบบริง (Ring ่ Network)  การส่งข้อมูลบนวงแหวนจะต้องผ่านทุก ๆ จุดที่อยู่ ในวงแหวน ดังนั้นหากมีจุดใดจุดหนึ่งเสียหาย ทั้ง เครือข่ายก็จะไม่สามารถติดต่อกันได้ จนกว่าจะนำา จุดที่เสียหายออกไป หรือแก้ไขให้ใช้งานได้  ในการตรวจสอบข้อผิดพลาดอาจต้องทดสอบ ระหว่างจุดกับจุดถัดไป เพื่อหาดูว่าจุดใดเสียหาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากและเสียเวลามาก
  • 33.
    โครงสร้า งของเครือ ข่าย คอมพิว เตอร์ (ต่อ )  การเชือ มเครือ ข่า ยแบบผสม (Mesh Network) ่ การเชือมต่อเครือข่ายแบบผสม เป็นเครือข่ายที่ไม่มีรูป ่ แบบที่แน่นอน เครือข่ายแบบผสมนี้จะใช้การผสมรูป แบบการเชือมต่อหลาย ๆ แบบเข้าด้วยกัน เช่น ใช้ ่ เครือข่ายแบบบัสผสมกับเครือข่ายแบบสตาร์ เป็นต้น
  • 34.
    โครงสร้า งของเครือ ข่าย คอมพิว เตอร์ (ต่อ )  การเชือ มต่อ เครือ ข่า ยแบบไร้ส าย (Wireless ่ Network) เริ่มแรกนันสามารถรับส่งข้อมูลได้ 2 Mbps ้ (Megabits per Second) จนพัฒนาให้สามารถส่ง ข้อมูลได้ 11 Mbps ด้วยราคาที่ถูกลง ทำาให้เครือ ข่ายไร้สายได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งเครือข่ายไร้ สายนี้จะใช้เทคโนโลยีที่สามารถส่งข้อมูลไปบน ความถี่ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้ ซึ่งเรียกว่า “Spread Spectrum” โดยข้อมูลที่แยกส่งออกไปนัน ้ จะประกอบกันเหมือนเดิมที่ ตัวรับสัญญาณ
  • 35.
    โครงสร้า งของเครือ ข่าย คอมพิว เตอร์ (ต่อ )  การเชือ มต่อ เครือ ข่า ยแบบไร้ส าย ่ (Wireless Network)
  • 36.
    โครงสร้า งของเครือ ข่าย คอมพิว เตอร์ (ต่อ )  การเชือ มต่อ เครือ ข่า ยแบบไร้ส าย ่ (Wireless Network)
  • 37.
    อุป กรณ์เ ครือข่า ย (Network Devices)  อุป กรณ์ท วนสัญ ญาณ (Repeater) อุปกรณ์ทวนสัญญาณทำางานใน Layer ที่ 1 ของ OSI Model เป็นอุปกรณ์ที่ทำาหน้าที่รับสัญญาณ ดิจิตอลเข้ามาแล้วสร้างใหม่ (Regenerate) ให้เป็น เหมือนสัญญาณข้อมูลเดิมที่ส่งมาจากต้นทาง จากนั้น ค่อยส่งต่อออกไปยังอุปกรณ์ตัวอื่น ทำาให้สามารถส่ง สัญญาณไปได้ไกลขึ้น โดยที่สัญญาณไม่สูญหาย
  • 38.
    อุป กรณ์เ ครือข่า ย (Network Devices) (ต่อ )  ฮับ (Hub) Hub ใช้ในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับเครือข่าย จะมี “พอร์ต (Port)” ใช้เชือมต่อระหว่าง Hub กับ ่ เครื่องคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์เครือข่ายตัวอื่น ๆ Hub จะทวนสัญญาณและส่งต่อข้อมูลนั้นออกไปที่ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่ออยู่กับ Hub
  • 39.
    อุป กรณ์เ ครือข่า ย (Network Devices) (ต่อ )  บริด จ์ (Bridge) บริดจ์ ทำางานใน Layer ที่ 2 ของ OSI Mode ใช้ เชือมต่อ Segment ของเครือข่าย 2 Segment หรือ ่ มากกว่าเข้าด้วยกัน โดยจะต้องเป็นเครือข่ายที่ใช้ Data Link Protocol ตัวเดียวกัน และ Network Protocol ตัวเดียวกัน เช่น ต่อ Ethernet LAN (ใช้ Topology แบบบัส และใช้โปรโตคอล Ethernet) 2 Segment เข้าด้วยกัน Bridge สามารถกรองข้อมูลที่จะส่งต่อได้ โดยตรวจ
  • 40.
    อุป กรณ์เ ครือข่า ย (Network Devices) (ต่อ )  เราเตอร์ (Router) เราเตอร์ ทำางานใน Layer ที่ 3 ของ OSI Model ใช้ เชือมต่อเครือข่าย 2 เครือข่ายหรือมากกว่าเข้าด้วย ่ กัน โดยที่เครือข่ายนั้นจะต้องใช้ Network Protocol ตัวเดียวกัน แต่ใช้ Data Link Protocol ต่างกันได้ (ต่อ Ethernet LAN เข้ากับ Token LAN ได้) Router สามารถกรองข้อมูลได้เช่นเดียวกับ Bridge และสามารถหาเส้นทางในการส่งแพ็คเก็ต ข้อมูลไปยังเครื่องปลายทางได้สั้นที่สุดด้วย
  • 41.
    OSI Model (OpenSystems Interconnection Model)  หน่วยงานกำาหนดมาตรฐานสากล หรือ ISO ระบุว่าควรแบ่งโปรโตคอลออกเป็น 7 เลเยอร์ (Layer) และในแต่ละเลเยอร์ควรมีหน้าที่อะไร บ้าง ดังนั้นเมื่อบริษัทต่าง ๆ ได้ผลิตโปรโตคอล ใหม่ขึ้นมา ก็ออกแบบให้สอดคล้องกับ OSI Model นีเพื่อให้สามารถติดต่อสื่อสารกับระบบ ้ ของต่างบริษัทได้
  • 42.
    OSI Model (OpenSystems Interconnection Model) (ต่อ )  Application Layer ประกอบไปด้วย Application Protocol ต่าง ๆ ทีมีผู้นิยมใช้งาน เช่น ่ E-mail, File Transfer เป็นต้น  Presentation Layer จัดการเกียวกับรูปแบบของข้อมูลโดย ่ การแปลงข้อมูลให้อยูในรูปแบบทีเป็น ่ ่ มาตรฐานที่ทกเครื่องเข้าใจ ุ  Session Layer สร้างการเชื่อมต่อเชิงตรรกะระหว่าง เครื่องสองเครื่อง ทำาการ Synchronize ข้อมูลเพื่อป้องกันปัญหาการเชือมต่อ ่ หลุด  Transport Layer ตัดข้อมูลออกเป็น segment ตรวจสอบ ความครบถ้วน ให้บริการเรื่องคุณภาพ  Network layer แปลงข้อมูลเป็น packet และกำาหนด เส้นทาง  Data Link Layer อธิบายการส่งข้อมูลไปบนสื่อกลาง เพิ่ม
  • 43.
    โปรโตคอล (Protocol)  โปรโตคอล คือ ระเบียบวิธีการ กฎ และข้อ กำาหนดต่าง ๆ ใน การติดต่อ สื่อสารรวมถึง มาตรฐานที่ใช้ เพื่อให้สามารถ ส่งผ่านข้อมูล
  • 44.
    โปรโตคอล (Protocol) (ต่อ)  TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol) โปรโตคอลมาตรฐานที่ใช้ในการสื่อสารระหว่าง เครื่องคอมพิวเตอร์ที่แตกต่างกันใช้ระบบปฏิบติ ั การที่ต่างกันและอยู่บนเครือข่ายที่ต่างกันให้ สามารถสือสารกันผ่านทางเครือข่ายได้โดย ่ TCP/IP จะประกอบไปด้วยโปรโคตอล 2 ตัว TCP (Transmission Control Protocol) และ IP (Internet Protocol)
  • 45.
    โปรโตคอล (Protocol) (ต่อ)  HTTP (Hyper Text Transfer Protocol) โปรโตคอลที่ใช้ในการส่งเว็บเพจ (Web Page) ที่อยู่ บนเครื่องเซิร์ฟเวอร์มาให้เครื่องไคลเอ็นท์ที่ทำาการ ร้องขอไปทำาให้ผใช้งานสามารถท่องไปในเว็บไซต์ ู้ ต่าง ๆ ทั่วโลกได้  FTP (File Transfer Protocol ) โปรโตคอลที่ใช้ในการส่งโอนไฟล์ข้อมูลผ่านเครือ ข่ายอินเตอร์โดยจะเรียกการโอนไฟล์จากเครื่อง เซิร์ฟเวอร์มาที่เคลื่อนไคลเอ็นท์ว่า “Download” และ
  • 46.
    โปรโตคอล (Protocol) (ต่อ)  SMTP (Simple Mail Transport Protocol) โปรโตคอลที่ใช้ในการส่ง E-mail ไปยัง Mailbox ที่จุดหมายปลายทาง  POP3 (Post Office Protocol – 3) โปรโตคอลที่ใช้ในการดึง E-mail จาก Maibox ของผูให้บริการมาเก็บไว้ที่เครื่อง ้ ตนเองเพื่อให้สะดวกต่อการจัดการับ E-Mail
  • 47.
    การประยุก ต์ใ ช้เทคโนโลยีก าร สื่อ สารในธุร กิจ  Videoconference เป็นการรวมเทคโนโลยี 2 อย่าง เข้าไว้ด้วยกัน นั่นคือ เทคโนโลยีวีดีโอและเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ จุดประสงค์ของการใช้เทคโนโลยี Videoconference นั้นเพื่อสนับสนุนการประชุมทาง ไกลเป็นหลัก Videoconference เป็นเทคโนโลยีที่ต้องใช้ อุปกรณ์ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมการ์ดเสียง กล้องถ่ายวีดีโอขนาดเล็ก ไมโครโฟน ลำาโพง (หรือหู
  • 48.
    การประยุก ต์ใ ช้เทคโนโลยีก าร สื่อ สารในธุร กิจ (ต่อ )  Voice Mail Voice Mail เป็นเทคโนโลยีที่ทำาหน้าที่คล้ายกับ เครื่องตอบรับโทรศัพท์อัตโนมัติ โดยบันทึกเสียงของผู้ พูดไว้ใน Voice Mailbox ของเครื่องคอมพิวเตอร์ ด้วยสัญญาณดิจิตอล ภายใน Voice Mailbox นี้ สามารถแบ่งเป็นโฟลเดอร์ย่อย ๆ ให้ผใช้แต่ละคนได้ ู้ ทำาให้สามารถเรียกข้อความขึ้นมาฟังตอบกลับหรือส่ง ต่อข้อความไปถึงผูใช้คนอื่น ๆ ได้และหากต้องการส่ง ้ ข้อความไปถึงผู้รับพร้อมกันหลายคนก็สามารถทำาได้
  • 49.
    การประยุก ต์ใ ช้เทคโนโลยีก าร สื่อ สารในธุร กิจ (ต่อ )  Fax ข้อมูลอาจเป็นข้อความที่พิมพ์ขึ้นหรือเขียนขึ้นด้วยมือ และอาจจะมีรูปภาพด้วยก็ได้ ผูใช้สามารถเลือกใช้ ้ เครื่องแฟ็กซ์ หรือจะใช้คอมพิวเตอร์ที่มีการติดตั้ง แฟ็กซ์/โมเด็มเป็นอุปกรณ์สื่อสารก็ได้ ผู้ใช้สามารถดู ข้อความหรือรูปภาพผ่านทางหน้าจอได้ทันทีไม่จำาเป็น ต้องพิมพ์ออกมาเป็นเอกสาร นอกจากนี้ยังเก็บข้อมูล ต่าง ๆ ไว้เป็นไฟล์ได้
  • 50.
    การประยุก ต์ใ ช้เทคโนโลยีก าร สื่อ สารในธุร กิจ (ต่อ )  Group Ware Group Ware คือ โปรแกรมที่ชวยสนับสนุนให้มีการ ่ แบ่งปันสารสนเทศผ่านทางเครือข่าย (LAN และ WAN) โดย GroupWare เป็นองค์ประกอบของแนว ความคิดอิสระที่เรียกว่า “Workgroup Computing” ซึ่งประกอบไปด้วยฮาร์ดแวร์และ ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ของเครือข่ายซึ่งจะทำาให้ผร่วมงาน ู้ ทุกคนสามารถสือสารถึงกัน และร่วมกันจัดการ ่ โครงการต่าง ๆ ร่วมประชุมตามหมายกำาหนดการ
  • 51.
    การประยุก ต์ใ ช้เทคโนโลยีก าร สื่อ สารในธุร กิจ (ต่อ )  Collaboration Collaboration เป็นความสามารถของซอฟต์แวร์ แต่ละชนิดที่ทำาให้ผใช้งานทำางานร่วมกันได้โดยต่อ ู้ เชือมถึงกันผ่าน Server เช่น โปรแกรม Microsoft ่ Office XP ที่สามารถปฏิบติงานหรือติดต่องานร่วมกับ ั ผูอื่นได้และมีความสามารถในการควบคุมการประชุม ้ แบบออนไลน์ (Online Meeting) เช่น สามารถแบ่ง ปันไฟล์เอกสารให้กับผู้อื่นได้เปิดอ่านพร้อมกันและถ้า มีใครซักคนเปลี่ยนแปลงข้อมูลไฟล์คนอื่น ๆ ที่กำาลัง
  • 52.
    การประยุก ต์ใ ช้เทคโนโลยีก าร สื่อ สารในธุร กิจ (ต่อ )  EDI (Electronic Data Interchange) EDI คือ การแลกเปลี่ยนเอกสารทางธุรกิจ ระหว่างบริษัทคู่คาในรูปแบบมาตรฐานสากล ้ จากเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึงไปยังเครื่อง ่ คอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่ง โดยระบบ EDI จะมี องค์ประกอบที่สำาคัญอยู่ 2 อย่าง คือ การใช้ เอกสารอิเล็กทรอนิกส์แทนเอกสารที่เป็นกระ ดาษและเอกสารอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ต้องอยู่ใน รูปแบบมาตรฐานสากลด้วยสององค์ประกอบนี้
  • 53.
    การประยุก ต์ใ ช้เทคโนโลยีก าร สื่อ สารในธุร กิจ (ต่อ )  GPS (Global Positioning System) ระบบ GPS ประกอบไปด้วยเทคโนโลยีที่ใช้ตรวจ สอบตำาแหน่งที่ตั้งของ GPS Receiver (อุปกรณ์รับ สัญญาณ) ผ่านทางดาวเทียม ปัจจุบันนีได้มีผู้นำาระบบ GPS ไปประยุกต์ใช้ ้ มากมาย ตัวอย่างเช่น การป้องกันการโจรกรรม ทรัพย์สิน การนำาร่องเรือเดินสมุทร การควบคุมการบิน อัตโนมัติ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีผนำาไปใช้ใน ู้ โครงการวิจัยสัตว์ป่า โดยฝัง GPS Receiver ไว้ที่ใน ตัวสัตว์ (GPS Receiver จะถูกออกแบบและสร้างมา
  • 54.
    การประยุก ต์ใ ช้เทคโนโลยีก าร สื่อ สารในธุร กิจ (ต่อ )  อิน เตอร์เ น็ต (Internet) อินเตอร์เน็ต คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ มาก ซึ่งเกิดจากการเชือมเครือข่ายย่อย ๆ จำานวนมาก ่ เข้าไว้ด้วยกันทำาให้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องทั่วโลกไม่ ว่าจะเป็นชนิดใดหรือขนาดใดตาม สามารถส่งผ่าน และแลกเปลี่ยนข้อมูลและสารสนเทศซึ่งกันและกันได้ โดยใช้โปรโตคอลเป็นสือกลางในการติดต่อสือสาร ่ ่ และแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกันเหมือน เส้นใยแมงมุม หรือที่นยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า “เวิลด์ ิ ไวด์เว็บ (World Wide Web: WWW)”
  • 55.
    การประยุก ต์ใ ช้เทคโนโลยีก าร สื่อ สารในธุร กิจ (ต่อ )  ตัว อย่า งบริก ารบนอิน เตอร์เ น็ต (Internet)  E-mail  Telnet  Gopher, Archie  Instant Messaging, Chat Room  Internet Telephony  Newsgroup  USENET