More Related Content
Similar to เมโสโปเตเมีย (20)
เมโสโปเตเมีย
- 2. ั ่
เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) หมายถึง แผ่นดินที่ต้ งอยูระหว่างแม่น้ าสองสาย คือ แม่น้ าไทกริ ส (Tigis) และ
ยูเฟรตีส (Euphrates) ดินแดนแห่งนี้จึงเป็ นดินแดนที่มีความสมบูรณ์เป็ นอย่างมาก มีผคนอพยพจากที่ต่าง ๆ เพื่อมาอาศัยใน
ู้
ดินแดนแห่งนี้ มีอาณาจักรโบราณหลายแห่ง อาทิ อาณาจักรซูเมอร์ (Sumerian Civilization) อาณาจักรบาบิโลเนีย
(Babylonia) อัสซีเรี ย (Assyria) มีเดีย (Media) เป็ นต้น
- 3. • ( Sumerian ) - The White Temple, Uruk ( 3,500 – 3,000 B.C.)
- 8. • 1.อาณาจักรสุเมเรี ย (Sumeria)
มีผลงานศิลปกรรมที่เหลืออยูบางจากการถูกทาลาย โดยข้าศึกศัตรู และสภาพดินฟ้ าอากาศ ซึ่งจาแนกอยูในสาขาต่าง ๆ ดังนี้ คือ
่ ้ ่
จิตรกรรม : ภาพจิตรกรรมที่สาคัญ ได้แก่ ภาพเขียนพระนางชูบด(Shubad) พบในสุสานเมืองเออร์ (Ur) มีอายุประมาณ 2,850 – 2,450 B.C.
ั
ประติมากรรม : ส่วนใหญ่เป็ นประติมากรรมแบบนูนสูง และลอยตัวเกี่ยวกับเทพเจ้ากษัตริ ย ์ และบุคคลสาคัญในสมัยนั้น ซึ่งมีดงนี้ คือ
ั
รู ปสลักศีรษะผูหญิงซึ่งขุดพบได้ที่เมืองอูรุค (Uruk) มีอายุประมาณ 3,500 – 3,000 ปี ก่อนคริ สตกาล รู ปสลักชิ้นนี้นกโบราณคดีสนนิษฐานว่า ดวงตาและคิ้วนั้นเดิมคงทาด้วยวัสดุทาสี ส่วนผมทาด้วยทองหรื อทองแดง แต่สิ่งเหล่านี้ได้หลุดหายไปหมดแล้ว เหลือเพียงส่วนที่เป็ นโครง
้ ั ั
หน้าและกะโหลกศีรษะเท่านั้น
ที่วิหารอาบู (Abu Temple) ที่เทลอัสมาร์ (Tell Asmar) มีหลายชิ้นด้วยกัน เช่น ประติมากรรมแบบลอยตัว มีอายุประมาณ 2,700 – 2,500 ปี ก่อนคริ สตกาล นักโบราณคดีสนนิษฐานว่ามีท้งรู ปเทพเจ้า Abu (เทพเจ้าแห่งพืชผัก) รู ปสลักมหามาตาเทวี รู ปสลักพวกพระ
ั ั
และบุคคลที่น่าเคารพ เป็ นต้น รู ปสลักเหล่านี้ทาจากยิบซัมผสมกับพวกแร่ ไหม้ไฟ เช่น อัสฟัลต์ และปิ โตรเลียม
งานประติมากรรมแบบลอยตัวอีกชิ้นหนึ่งซึ่งสวยงามมาก ทาจากวัสดุพวกไม้ แต่ทาสีทอง เป็ นรู ปแพะมีปีกยืนใกล้ตนไม้ (Billy Goat and Tree) งานชิ้นนี้พบที่เมืองอูร์ (Ur) สร้างเมื่อประมาณปี 2,600 B.C. ปัจจุบนอยูที่พิพิธภัณฑ์ในกรุ งฟิ ลาเดลเฟี ย
้ ั ่
ลักษณะเด่นชัดในงานประติมากรรมของสุเมเรี ย คือ
รู ปทรงมีลกษณะเป็ นแบบเรขาคณิ ตมากกว่าที่จะเป็ นแบบสัจนิยม (Realistic)
ั
นิยมสลักดวงตาให้ใหญ่มากเพื่อใช้สื่อสารกับเทพเจ้า ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากความเชื่อที่ว่า ดวงตาคือหน้าต่างของวิญญาณ (Window of the soul)
ถ้าเป็ นรู ปเทพเจ้าจะมีขนาดใหญ่ และดวงตานิยมทาสี
การจัดภาพสาหรับประติมากรรมแบบนูนสูงนั้น ถ้าเป็ นบุคคลสาคัญจะมีขนาดใหญ่ ส่วนตัวประกอบจะมีขนาดเล็กลงตามส่วน
นิยมใช้สีต่าง ๆ เข้ามาบ้างแล้ว โดยเฉพาะสีทองและสีฟ้า
สถาปัตยกรรม : อารยธรรมเมโสโปเตเมีย นิยมสร้าง Ziggurat ซึ่งเป็ นสถาปัตยกรรมสร้างด้วยวัสดุจาพวกอิฐและไม้ ความคงทนสูงานสถาปัตยกรรมของอียปต์ไม่ได้ เพราะงานของอียปต์สร้างด้วยวัสดุจาพวกหิ น ลักษณะสาคัญของซิกกูรัตก็คือเป็ นปิ รามิดแบบขั้นบันได ซึ่งในระยะแรก
้ ิ ิ
มีวตถุประสงค์เพื่อใช้เป็ นวิหารสาหรับพวกพระประกอบพิธีกรรมในทางศาสนา แต่ต่อมากซิกกูรัตนี้ได้กลายเป็ นส่วนหนึ่งของพระราชวังของกษัตริ ย ์ เช่น ซิกกูรัตที่เมืองอูร์ (Ur)
ั
ซิกกูรัตที่ขุดพบได้ อาทิเช่น “The White Temple” พบที่เมืองอูรุค (Uruk) หรื อวาร์กา (Warka) มีอายุประมาณ 3,500 – 3,000 ปี ก่อนคริ สตกาล
นอกจากนี้ ยังมีสุสานอันเป็ นสถานที่เก็บพระศพของกษัตริ ย ์ เช่น สุสานของกษัตริ ยอาบาร์กี (Abargi) และราชินีชูบด (Shubad) สร้างประมาณ 2,570 ปี ก่อนคริ สตกาล ก่อด้วยหินขุดเป็ นอุโมงค์ลงไปใต้พ้ืนดิน ภายในไม่ซบซ้อนเหมือนสุสานของอียปต์โบราณ มีหองสาหรับเก็บ
์ ั ั ิ ้
พระศพและสมบัติ ส่วนข้างนอกห้องเป็ นอุโมงค์กว้าง มีหลุมหินหลายหลุม หลุมแรกสาหรับพวกทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ หลุมที่สองมีซากรถม้า เกวียน รวมทั้งซากวัวและม้า ตลอดจนซากคนขับรถ หลุมที่สามเป็ นหลุมสาหรับนักดนตรี หลุมสุดท้ายเป็ นหลุมของพวกนางสนมกานัล
บุคคลเหล่านี้ลวนเป็ นคนสนิทของพระาชาและพระราชินีที่ถกสังให้ดื่มยาพิษ เพื่อตามไปรับใช้ในโลกหน้าอันเป็ นความเชื่อในเรื่ องชีวตหลังความตายของคนในสมัยนั้น
้ ู ่ ิ
2.อาณาจักรบาบิโลเนีย (Babylonia) (ประมาณปี 1,900 – 729 B.C.)
ชาวบาบิโลเนียเป็ นพวกเซมิติค (Semitics) สาขาหนึ่งซึ่งอยูทางตอนใต้ของอาณาจักรอัสซีเรี ย อารยธรรมที่บาบิโลเนียได้พฒนามาจากอารยธรรมของชาวสุเมเรี ยน ซึ่งมีความเจริ ญมาก่อนเป็ นเวลาหลายร้อยปี แล้ว ได้แก่ ความเจริ ญทางด้านการค้า ศิลปกรรม การปกครอง และการสื่อสาร
่ ั
ซึ่งยังคงใช้อกษรคูนิฟอร์ม (Cuneiform) เป็ นภาษาสื่อสารกันทัวมหาอาณาจักร
ั ่
ต่อมาในรัชสมัยจของพระเจ้าฮัมมูราบี (Hammurabi – 1800 B.C.) พระองค์ได้ต่อสูและทาสงครามกับพวกเมโสโปเตเมียกลุ่มอื่น ๆ จนได้รับชัยชนะและได้รวบรวมอาณาจักรทั้งหลายเข้าเป็ นอาณาจักรเดียวกัน เรี ยกว่าอาณาจักรบาบิโลเนีย มีศนย์กลางความเจริ ญอยูที่กรุ งบาบิ
้ ู ่
โลน (ในพระคัมภีร์ไบเบิลเรี ยกบาบูโลน) พระเจ้าฮัมมูราบีเป็ นกษัตริ ยที่มีความสามารถมาก โดยเฉพาะอย่างยิงในด้านการปกครอง พระองค์ได้จดระบบกฎหมายขึ้นมาเพื่อใช้ปกครองประเทศ พร้อมกันนี้ได้ทรงประกาศให้ชาวเมืองยึดถือมหาเทพมาร์ดุค (Marduk) เป็ นมหาเทพประจา
์ ่ ั
เมือง ผูทรงมองอานาจสิทธิในการปกครองประเทศให้กบพระองค์ เพราะฉะนั้นพระมหากษัตริ ยจึงมีลกษณะเป็ นแบบสมมติเทวราช (Semi-divinity) ต่อมาหลังจากรัชสมัยของพระเจ้าฮัมมูราบีแล้วอาณาจักรบาบิโลเนียได้ถกทาลายลง โดยพวกแคสไซต์ (Kassites) ซึ่งเป็ นชาติ
้ ั ์ ั ู
พันธุหนึ่งที่อยูตอนกลางของทวีปเอเซีย ความเจริ ญทั้งหลายจึงย้ายมารุ่ งเรื องในอาณาจักรอัสซีเรี ย ประมาณ 1,000 – 612 B.C. และในครั้งนี้อาณาจักรบาบิโลเนียได้กลายเป็ นศูนย์กลางทางอารยธรรมของโลกในยุคนั้น โดยเฉพาะทางด้านดาราศาสตร์ คณิ ตศาสตร์ ศิลปกรรม และการ
์ ่
ธุรกิจ สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ได้ถกสร้างขึ้นเป็ นอันมากในรัชสมัยของพระเจ้า Nebuchadnezzar (ประมาณปี 605 – 561 B.C.) หลังจากในช่วงรัชสมัยนี้แล้ว อาณาจักรบาบิโลเนียมีความเจริ ญอยูเ่ พียงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น จากนั้นได้ตกเป็ นเมืองขึ้นของอาณาจักรเปอร์ เซียตั้งแต่
ู
นั้นมา
ศิลปกรรมในสมัยนี้มท้งประเภทจิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม
ี ั
จิตรกรรม : สาหรับจิตรกรรมนั้นมีนอยมาก แต่เท่าที่พบได้เป็ นภาพเขียนตามฝาผนัง
้
พระราชวังหรื อตามสถานที่ก่อสร้างของสาธารณชน ภายในภาพเป็ นเรื่ อง
ราวเกี่ยวกับพิธีกรรมทางศาสนาหรื อมุ่งเน้นสอนทางด้านศีลธรรมจาก
การขุดค้นพบซากโบราณสถานต่าง ๆ นักโบราณคดีได้พบซากพระราชวัง
ของพระเจ้าซิมริ ลิม (Ziimrilim) ที่เมืองมารี (Mari) ปัจจุบนชื่อ เทลเลล
ั
ฮาริ รี (Tellel Hariri) ซึ่งอยูตอนกลางบริ เวณแม่น้ ายูเฟรตีน แสดงให้เห็น
่
ถึงภาพเขียนฝาผนังแบบ Frescoes (การเขียนภาพบนฝาผนังปูนเปี ยก)
เกี่ยวกับพิธีกรรมทางศาสนา การระบายสีใช้สีเข้มและหลายสี เช่น สีแดง
เหลือง เทา ดา น้ าตาล นิยมตัดเส้นเพื่อเน้นลวดลายให้เด่นชัด การจัดภาพ
ลักษณะคล้ายภาพของอียปต์ กล่าวคือ นิยมวาดให้ใบหน้าและศีรษะ
ิ
แสดงออกทางด้านข้างดวงตา และลาตัวช่วงบนแสดงทางด้านหน้า แต่เท้า
กลับแสดงเป็ นด้านข้างอีกทั้งรู ปทรงของสิ่งต่าง ๆ ในภาพนั้นนิยมใช้รูปทรง
ทางเรขาคณิ ต และมีลกษณะเป็ นแบบมโนคตินิยม (Idealism)
ั