SlideShare a Scribd company logo
คีตกวีเอกของโลก
คีตกวี
คีตกวี เป็นคำศัพท์ทำงดนตรีที่พบได้บ่อยครั้ง หมำยถึง ผู้ประพันธ์ดนตรี มักจะใช้เรียกผู้ที่แต่งและเรียบเรียงดนตรีบำงประเภท
โดยเฉพำะ ดนตรีคลำสสิก โดยที่ผู้แต่งเพลงมักจะแต่งทั้งท่วงทำนองหลัก และแนวประสำนทั้งหมด
เพื่อให้นักดนตรีเป็นผู้นำบทเพลงนั้นไปบรรเลงอีกทอดหนึ่ง
โดยนักดนตรีจะต้องบรรเลงทุกรำยละเอียดที่คีตกวีได้กำหนดไว้อย่ำงเคร่งครัด
คำว่ำ คีตกวี ในภำษำไทยนี้ นิยมใช้เรียก ผู้ประพันธ์ดนตรีในแนวดนตรีคลำสสิกของตะวันตก โดยแปลมำจำกคำว่ำ composer
นั่นเอง อย่ำงไรก็ดี บำงท่ำนอำจใช้คำว่ำ ดุริยกวี แต่ก็มีควำมหมำยอย่ำงเดียวกัน สำหรับผู้ที่แต่งเพลงในแนวดนตรีอื่นๆ
มักจะเรียกว่ำ นักแต่งเพลงหรือ ครูเพลง เท่ำนั้น
คีตกวี อำจไม่จำเป็นต้องประพันธ์ดนตรีลงในแผ่นกระดำษเพียงอย่ำงเดียว แต่อำจเป็นผู้บรรเลงบทประพันธ์นั้นเป็นครั้งแรก
และในภำยหลังมีผู้อื่นนำไปใช้บรรเลงตำมก็ได้ชื่อว่ำ คีตกวี เช่นกัน
โดยทั่วไปเรำจะรู้จัก คีตกวี ในฐำนะที่เป็น นักแสดงดนตรี แม้ว่ำหลำยท่ำนจะมีผลงำนกำรประพันธ์ดนตรี
มำกกว่ำผลงำนกำรบรรเลงก็ตำม เช่น เบโทเฟิน, โมซำร์ท, วำกเนอร์ ฯลฯ
ดนตรีคลาสสิก
วงซิมโฟนีออเคสตรำ
ดนตรีคลาสสิก (อังกฤษ: Classical music) เป็นรูปแบบหนึ่งของดนตรี ซึ่งมักจะหมำยถึงดนตรีที่เป็นศิลปะของตะวันตก
กำรแสดงดนตรีคลำสสิกจะใช้เครื่องดนตรี 4 กลุ่ม กลุ่มแรก คือเครื่องสำย (String)
แบ่งออกเป็น ไวโอลิน วิโอลำ เชลโล และดับเบิลเบส กลุ่มที่สอง คือ เครื่องลมไม้ (Woodwind)
เช่น ฟลูต คลำริเน็ต โอโบ บำสซูน ปิคโคโล กลุ่มที่สำม คือ เครื่องลมทองเหลือง (Brass)
เช่นทรัมเป็ต ทรอมโบน ทูบำ เฟรนช์ฮอร์น กลุ่มที่สี่ คือ เครื่องกระทบ(Percussion) เช่น กลองทิมปำนี ฉำบ กลองใหญ่ (Bass
Drum) กิ๋ง(Triangle) เมื่อเล่นรวมกันเป็นวงเรียกว่ำวงดุริยำงค์หรือ ออร์เคสตรำ(Orchestra) ซึ่งมีผู้อำนวยเพลง (conductor)
เป็นผู้ควบคุมวง
ประวัติและเวลา
ดนตรีคลำสสิกแบ่งออกเป็นยุค ดังนี้
ยุคกลาง (Medieval or Middle Age) พ.ศ. 1019 - พ.ศ. 1943)
ดนตรีคลำสสิกยุโรปยุคกลำง หรือ ดนตรียุคกลาง ถือว่ำเป็นจุดกำเนิดของดนตรีคลำสสิก เริ่มต้นเมื่อประมำณปี พ.ศ.
1019 (ค.ศ. 476) ซึ่งเป็นปีล่มสลำยของจักรวรรดิโรมัน ดนตรีในยุคนี้มีจุดประสงค์หลักเพื่อประกอบพิธีกรรมทำงศำสนำ
คำดกันว่ำมีต้นกำเนิดมำจำกดนตรีในยุคกรีกโบรำณ รูปแบบเพลงในยุคนี้เน้นที่กำรร้อง โดยเฉพำะเพลงสวด (Chant)
ในตอนปลำยของยุคกลำงเริ่มมีกำรร้องเพลงแบบสอดทำนองประสำนด้วย
ยุคเรเนสซองส์ (Renaissance) พ.ศ. 1943 - พ.ศ. 2143)
เริ่มเมื่อประมำณปี พ.ศ. 1943 (ค.ศ. 1400) เมื่อเริ่มมีกำรเปลี่ยนแปลงศิลปะและฟื้นฟูศิลปะโบรำณยุคโรมันและกรีก
แต่ดนตรียังคงเน้นหนักไปทำงศำสนำ เพียงแต่เริ่มมีกำรใช้เครื่องดนตรีที่หลำกหลำยขึ้น
ลักษณะของดนตรีในสมัยนี้ยังคงมีรูปแบบคล้ำยยุคกลำงในสมัยศิลป์ใหม่ เพลงร้องยังคงนิยมกัน
แต่เพลงบรรเลงเริ่มมีบทบำทมำกขึ้น
ยุคบาโรค (Baroque) พ.ศ. 2143 - พ.ศ. 2293)
ยุคนี้เริ่มขึ้นเมื่อมีกำรกำเนิดอุปรำกรในประเทศฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ. 2143 (ค.ศ. 1600) และสิ้นสุดลงเมื่อ โยฮันน์ เซบำสเทียน
บำค เสียชีวิตลงในปี พ.ศ. 2293 (ค.ศ. 1750) แต่บำงครั้งก็นับกันว่ำสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2273 (ค.ศ. 1730)
เริ่มมีกำรเล่นดนตรีเพื่อกำรฟังมำกขึ้นในหมู่ชนชั้นสูง นิยมกำรเล่นเครื่องดนตรีประเภทออร์แกนมำกขึ้น
แต่ก็ยังคงเน้นหนักไปทำงศำสนำ นักดนตรีที่มีชื่อเสียงในยุคนี้ เช่น บำค วีวัลดีเป็นต้น
ยุคคลาสสิก (Classical) พ.ศ. 2293 - พ.ศ. 2363)
เป็นยุคที่มีกำรเปลี่ยนแปลงมำกที่สุด มีกฎเกณฑ์ แบบแผน รูปแบบและหลักในกำรเล่นดนตรีอย่ำงชัดเจน
ศูนย์กลำงของดนตรียุคนี้คือประเทศออสเตรีย โดยเฉพำะที่กรุงเวียนนำ และเมืองมำนไฮม์ (Mannheim)
เครื่องดนตรีมีวิวัฒนำกำรมำจนสมบูรณ์ที่สุด เริ่มมีกำรผสมวงที่แน่นอน
คือ วงเชมเบอร์มิวสิกและวงออร์เคสตรำ ซึ่งในยุคนี้มีกำรใช้เครื่องดนตรีครบทุกประเภท
และยังถือเป็นแบบแผนของวงออร์เคสตรำในปัจจุบัน นักดนตรีที่มีชื่อเสียงในยุคนี้ เช่น โมซำร์ท เป็นต้น
ยุคโรแมนติก (Romantic) พ.ศ. 2363 - พ.ศ. 2443)
เป็นยุคที่มีเริ่มมีกำรแทรกของอำรมณ์ในเพลง มีกำรเปลี่ยนอำรมณ์ กำรใช้ควำมดังควำมค่อยที่ชัดเจน ทำนอง จังหวะ
ลีลำที่เน้นไปยังอำรมณ์ควำมรู้สึก ซึ่งต่ำงจำกยุคก่อน ๆ ที่ยังไม่มีกำรใส่อำรมณ์ในทำนอง นักดนตรีที่มีชื่อเสียงในยุคนี้
เช่น เบทโฮเฟิน ชูเบิร์ต โชแปง วำกเนอร์ บรำห์มส์ ไชคอฟสกี้ เป็นต้น
ยุคอิมเพรสชันนิสม์ (Impressionism) พ.ศ. 2433 - พ.ศ. 2453)
พัฒนำรูปแบบโดยนักดนตรีฝรั่งเศส มีเดอบูว์ซีเป็นผู้นำ ลักษณะดนตรีของยุคนี้เต็มไปด้วยจินตนำกำร อำรมณ์ที่เพ้อฝัน
ประทับใจ ต่ำงไปจำกดนตรีสมัยโรแมนติกที่ก่อให้เกิดควำมสะเทือนอำรมณ์
ยุคศตวรรษที่ 20 ถึงปัจจุบัน (20th Century Music พ.ศ. 2443 - ปัจจุบัน)
นักดนตรีเริ่มแสวงหำดนตรีที่ไม่ขึ้นกับแนวทำงในยุคก่อน จังหวะในแต่ละห้องเริ่มแปลกไปกว่ำเดิม ไม่มีโน้ตสำคัญเกิดขึ้น
(Atonal) ระยะห่ำงระหว่ำงเสียงเริ่มลดน้อยลง ไร้ท่วงทำนอง แต่นักดนตรีบำงกลุ่มก็หันไปยึดดนตรีแนวเดิม
เรียกว่ำนีโอคลาสสิก (Neo-Classic) นักดนตรีที่มีชื่อเสียงในยุคนี้ เช่นอิกอร์ สตรำวินสกี้ เป็นต้น
แบ่งตำมประเภทวงที่บรรเลง และประเภทของกำรแสดง
เครื่องดนตรีเดี่ยว
เปียโนสี่มือ ,เปียโน
เชมเบอร์มิวสิก
วงดูโอ กำรผสมวงดนตรีร่วมกัน 2 คน เช่น เปียโนกับไวโอลิน หรือเปียโนกับนักร้อง
วงทริโอ กำรผสมวงดนตรีร่วมกัน 3 คน เช่น ไวโอลิน 1, วิโอลำ 1, เชลโล่ 1
วงควอร์เต็ต กำรผสมวงดนตรีร่วมกัน 4 คน
วงควินเต็ต กำรผสมวงดนตรีร่วมกัน 5 คน เช่น สตริงควินเต็ต (Strings Quintet) วงจะประกอบด้วยเครื่องสำย 5 ชิ้น ไวโอลิน
2, วิโอลำ 2, และเชลโล่ 1
วงเซ็กซ์เต็ต กำรผสมวงดนตรีร่วมกัน 6 คน
วงซิมโฟนีออร์เคสตรำ
อุปรำกร
ละครบรอดเวย์
บัลเลต์
ขับร้อง
ขับร้องเดี่ยว
วงขับร้องประสำนเสียง
แบ่งตำมโครงสร้ำงบทเพลง (Form)
คอนแชร์โต - Concerto
ซิมโฟนี - [English: Symphony | French: Symphonie | German: Sinfonia]
โซนำต้ำ - Sonata
ฟิวก์ - Fugue เป็นกำรประพันธ์เพลงที่ได้รับกำรพัฒนำอย่ำงมำกแขนงหนึ่ง นิยมในยุคบำโรค จะเริ่มต้นด้วยทำนองที่เรียกว่ำ
Subject จำกนั้นจะเปลี่ยนแปลงทำนอง เรียกว่ำ Answer
พรีลูด - Prelude บทเพลงที่เป็นบทนำดนตรี มักใช้คู่กับเพลงแบบฟิวก์ หรือใช้บรรเลงนำเพลงชุด
สำหรับงำนเปียโนจะหมำยถึงบทเพลงสั้น ๆ และบำงครั้งมีควำมหมำยเหมือนกับบทเพลงโหมโรงอุปรำกร เช่น
พรีลูดของวำกเนอร์
โอเวอร์เจอร์ - Overture เพลงโหมโรงที่บรรเลงก่อนกำรแสดงอุปรำกรหรือละคร รวมถึงประพันธ์ขึ้นเดี่ยว ๆ
สำหรับบรรเลงคอนเสิร์ตโดยเฉพำะ เรียกว่ำ Concert Overture
บัลลำด - Ballade เป็นบทประพันธ์ที่ไม่มีกฎเกณฑ์ตำยตัว พบมำกในงำนเปียโน
ลักษณะเหมือนกำรเล่ำเรื่องหรือถ่ำยทอดควำมรู้สึกแบบบทกวี
เอทู๊ด - Etude เป็นบทประพันธ์เพื่อฝึกหัดกำรบรรเลงด้วยเปียโนหรือไวโอลิน
มำร์ช - March เป็นบทเพลงที่ประพันธ์เพื่อกำรเดินแถว ต่อมำพัฒนำไปสู่บทเพลงที่ใช้บรรเลงคอนเสิร์ต
วำริเอชั่น - Variations
แฟนตำเซีย หรือ ฟ็องเตซี - [Italian: Fantasia | French: Fantasy]
น็อคเทิร์น - Nocturne/Notturno เป็นเพลงบรรเลงยำมค่ำคืน มีทำนองเยือกเย็นอ่อนหวำน จอห์น ฟิลด์
ริเริ่มประพันธ์สำหรับเปียโน ซึ่งต่อมำโชแปงได้พัฒนำขึ้น
มินูเอ็ต - [French: Minuet |Italian: Menuet]
เซเรเนด - Serenade เพลงขับร้องหรือบรรเลงที่มีทำนองเยือกเย็นอ่อนหวำน มักเป็นบทเพลงที่ผู้ชำยใช้เกี้ยวพำรำสีผู้หญิง
โดยยืนร้องใต้หน้ำต่ำงในยำมค่ำคืน
แคนนอน - Canon เป็นคีตลักษณ์ที่มีแบบแผนแน่นอน มีกำรบรรเลง ทำนองและกำรขับร้องที่เหมือนกันทุกประกำร
แต่เริ่มบรรเลงไม่พร้อมกัน เรียกอีกชื่อว่ำ Round
แคนแคน - Can-Can เป็นเพลงเต้นรำสไตล์ไนท์คลับของฝรั่งเศส เกิดในช่วงศตวรรษที่ 19
คำปริซ - Caprice บทบรรเลงสำหรับเครื่องดนตรีที่มีลักษณะอิสระ ไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ มักมีชีวิตชีวำ
โพลก้ำ - Polka เพลงเต้นรำแบบหนึ่ง มีกำเนิดมำจำกชนชำติโบฮีเมียน
ตำรันเตลลำ - Tarantella กำรเต้นรำแบบอิตำเลียน มีจังหวะที่เร็ว
จิก - Gigue เป็นเพลงเต้นรำของอิตำลี เกิดในศตวรรษที่ 18 มักอยู่ท้ำยบทของเพลงประเภทสวีต (Suite)
กำวอท - Gavotte เป็นเพลงเต้นรำของฝรั่งเศส ในศตวรรษที่ 17 มีรูปแบบแบบสองตอน (Two-parts)
มักเป็นส่วนหนึ่งของเพลงประเภทสวีต (Suite)
โพโลเนส - Polonaise เป็นเพลงเต้นรำประจำชำติโปแลนด์ เกิดในรำชสำนัก
โชแปงเป็นผู้ประพันธ์เพลงลักษณะนี้สำหรับเปียโนไว้มำก
สวีต - Suite เพลงชุดที่นำบทเพลงที่มีจังหวะเต้นรำมำบรรเลงต่อกันหลำย ๆ บท พบมำกในอุปรำกรและบัลเลต์
อำรำเบส - Arabesque เป็นดนตรีที่มีลีลำแบบอำหรับ
ฮิวเมอเรสค์ - Humoresque เป็นบทประพันธ์สั้น ๆ มีลีลำสนุกสนำนร่ำเริง มีชีวิตชีวำ
ทอคคำต้ำ - Toccata บทเพลงสำหรับเครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ด มีทำนองที่รวดเร็ว อิสระ ในแบบฉบับของเคำน์เตอร์พอยท์
บำกำเตล - Bagatelle เป็นคีตนิพนธ์ชิ้นเล็ก ๆ สำหรับเปียโน มีจุดเด่นคือทำนองจำได้ง่ำย เช่น Fur Elise
ดิแวร์ติเมนโต - Divertimento
บทเพลงทำงศำสนำ - Sacred Music
โมเต็ต - Motet เพลงขับร้องในพิธีกรรมของศำสนำคริสต์ ใช้วงขับร้องประสำนเสียงในกำรร้องหมู่
ภำยหลังจึงเริ่มมีเครื่องดนตรีประกอบเสียงร้อง
แพสชั่น - Passion เพลงสวดที่มีเนื้อหำเกี่ยวกับควำมทุกข์ยำกของพระเยซู
ออรำทอริโอ - Oratorio เพลงขับร้อง บทร้องเป็นเรื่องขนำดยำวเกี่ยวกับศำสนำคริสต์ มีลักษณะคล้ำยอุปรำกร
แต่ไม่มีกำรแต่งกำย ไม่มีฉำกและกำรแสดงประกอบ
คันตำตำ - Cantata เพลงศำสนำสั้น ๆ มีทั้งร้องในโบสถ์และตำมบ้ำน
แมส - Mass เพลงร้องประกอบในศำสนพิธีของศำสนำคริสต์
เรควีเอ็ม - Requiem เพลงสวดเกี่ยวกับควำมตำย
รายชื่อคีตกวีแบ่งตามยุค
ยุคกลำง
เลโอแนง (Léonin, ประมำณค.ศ. 1130-1180)
เพโรแตง (Pérotin หรือ Perotinus Magnus, ประมำณค.ศ. 1160-1220)
จำคำโป ดำ โบโลนญำ (Jacapo da Bologna)
ฟรำนเชสโก ลำนดินี (Francesco Landini, ประมำณค.ศ. 1325-1397)
กิโยม เดอ มำโชต์ (Guillaume de Machaut, ประมำณค.ศ. 1300-1377)
ฟิลิปเป เดอ วิทรี (Phillippe de Vitry)
โซลำช (Solage)
เปำโล ดำ ฟิเรนเซ (Paolo da Firenze)
ยุคเรเนสซองส์
จอห์น ดันสเตเบิล (John Dunstable)
กิโยม ดูเฟย์ (Guillaume Dufay)
โยฮันเนส โอคีกัม (Johannes Ockeghem)
โทมัส ทัลลิส (Thomas Tallis)
จอสกิน เดส์ เพรซ์ (Josquin des Prez)
ยำคอบ โอเบร็คท์ (Jacob Obrecht)
โคลด เลอ เชิน (Claude Le Jeune)
จิโอวันนี ปิแอร์ลุยจิ ดำ ปำเลสตรินำ (Giovanni Pierluigi da Palestrina)
วิลเลียม เบิร์ด (William Byrd)
คลอดิโอ มอนเทแวร์ดี (Claudio Monteverdi)
ออร์ลันโด้ ดิ ลัสโซ (Orlando di Lasso)
คำร์โล เกซวลโด (Carlo Gesualdo)
อำดริออง วิลแลร์ต (Adriane Willaert)
ยุคบำโรค
ดิทริช บุกส์เตฮูเด (Dietrigh Buxtehude, ประมำณค.ศ. 1637-1707)
โยฮันน์ พำเคลเบล (Johann Pachelbel, ค.ศ. 1653-1706)
อเลสซำนโด สกำร์แลตตี (Alessando Scarlatti, ค.ศ. 1660-1725)
อันโตนีโอ วีวัลดี (Antonio Vivaldi, ค.ศ. 1678-1714)
โยฮันน์ เซบำสเตียน บำค (Johann Sebastian Bach, ค.ศ. 1685-1750)
เกออร์ก ฟรีดริค ฮันเดล (Georg Friedrich Händel, ค.ศ. 1685-1759)
ฌอง-แบ๊ปติสต์ ลุลลี่ (Jean Baptist Lully)
ฌอง ฟิลลิป รำโม (Jean Phillippe Rameau)
เกออร์ก ฟิลลิป เทเลมันน์ (Georg Phillip Telemann)
เฮ็นรี่ เพอร์เซ็ล (Henry Purcell)
ยุคคลำสสิก
คริสตอฟ วิลลิบัลด์ กลุ๊ค (Christoph Willibald Gluck, ค.ศ. 1750-1820)
ฟรำนซ์ โยเซฟ ไฮเดิน (Franz Joseph Haydn, ค.ศ. 1732-1809)
โวล์ฟกัง อมำเดอุส โมสำร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart, ค.ศ. 1756-1791)
ลุดวิก ฟำน เบโทเฟน (Ludwig van Beethoven, ค.ศ. 1770-1827)
คำร์ล ฟิลลิป เอ็มมำนูเอ็ล บำค (Carl Phillip Emanuel Bach)
โยฮัน คริสเตียน บำค (Johann Christian Bach)
ยุคโรแมนติก
จิโออัคคิโน รอซสินี (Gioacchino Rossini)
ฟรำนซ์ ปีเตอร์ ชูเบิร์ต (Franz Peter Schubert)
เอกเตอร์ แบร์ลิออส (Hector Berlioz)
เฟลิกซ์ เมนเดลโซห์น-บำร์โธลดี (Felix Mendelssohn-Batholdy)
เฟรเดริก ฟรองซัวส์ โชแปง (Frédéric François Chopin)
นิกโคโล ปำกำนินี (Niccolò Paganini)
โรเบิร์ต อเล็กซำนเดอร์ ชูมันน์ (Robert Alexander Schumann)
ฟรำนซ์ ลิซท์ (Franz Liszt)
ริชำร์ด วำกเนอร์ (Richard Wagner)
จูเซปเป แวร์ดี (Giuseppe Verdi)
เบดริช สเมทำนำ (Bedrich Smetana)
โยฮันเนส บรำห์มส์ (Johannes Brahms)
จอร์จ บิเซต์ (Georges Bizet)
ปีเตอร์ อิลยิช ไชคอฟสกี (Peter Ilyich Tchaikovsky)
แอนโทนิน ดโวชำค (Antonín Dvořák)
จิอำโคโม ปุชชีนี (Giacomo Puccini)
กุสตำฟ มำห์เลอร์ (Gustav Mahler)
เซียร์เกย์ รัคมำนีนอฟ (Sergej Rakhmaninov)
ริชำร์ด สเตรำส์ (Richard Strauss)
จีน ซิเบลิอุส (Jean Sibelius)
โยฮันน์ ชเตรำสส์ ที่หนึ่ง บิดำ (Johann Strauss father)
โยฮันน์ ชเตรำสส์ ที่สอง บุตร (Johann Strauss son)
ฌำร์ค ออฟเฟนบำค (Jacques Offenbach)
ชำร์ล กูโนด์ (Charles Gounod)
อันโตน บรูคเนอร์ (Anton Bruckner)
ฮูโก โวล์ฟ (Hugo Wolf)
ยุคอิมเพรสชั่นนิสม์
โคล้ด เดอบุซซี (Claude Debussy)
มอริซ รำเวล (Maurice Ravel)
ยุคศตวรรษที่ 20 - ปัจจุบัน
ชำร์ลส์ ไอฟส์ (Charles Ives)
อำร์โนลด์ เชินแบร์ก (Arnold Schoenberg)
คำร์ล ออร์ฟ (Carl Orff)
เบลำ บำร์ต็อก (Béla Bartók)
โซลตัน โคดำย (Zaltán Kodály)
อิกอร์ สตรำวินสกี้ (Igor Stravinsky)
อันโตน เวเบิร์น (Anton Webern)
อัลบัน แบร์ก (Alban Berg)
เซอร์เก โปรโคเฟียฟ (Sergei Prokofiev)
พอล ฮินเดมิธ (Paul Hindemith)
จอร์จ เกิร์ชวิน (George Gershwin)
อำรอน คอปแลนด์ (Aaron Copland, ค.ศ. 1900-1990)
ดมิทรี ดมิทรีวิช ชอสตำโควิช (Dmitri Dmitrievich Shostakovich, ค.ศ. 1906-1975)
โอลิวิเยร์ เมสเซียง (Olivier Messiaen, ค.ศ. 1908-1992)
เอลเลียต คำร์เตอร์ (Elliott Carter, ค.ศ. 1908-ปัจจุบัน)
วิโทลด์ ลูโทสลำฟสกี้ (Witold Lutoslawski)
จอห์น เคจ (John Cage, ค.ศ. 1912-1992)
ปิแอร์ บูแลซ (Pierre Boulez, ค.ศ. 1925-ปัจจุบัน)
ลูชำโน เบริโอ (Luciano Berio, ค.ศ. 1925-2003)
คำร์ลไฮน์ สต็อกเฮำเซน (Karlheinz Stockhausen, ค.ศ. 1928-2006)
ฟิลิป กลำส (Philip Glass)
ลุยจิ โนโน (Luigi Nono)
ยำนนิส เซนำคิส (Iannis Xenakis, ค.ศ. 1922-2001)
มิลตัน แบ็บบิท (Milton Babbitt)
วอล์ฟกัง ริห์ม (Wolfgang Rihm)
อำร์โว แพรท (Arvo Pärt)
โซเฟีย กุไบดูลินำ (Sofia Gubaidulina)
Giya Kancheli
ยอร์กี ลิเกตี (György Ligeti)
กชึชตอฟ แปนแดแรตสกี (Krzysztof Penderecki)
ยอร์กี เคอร์ทัค (György Kurtag)
เฮลมุต ลำเคนมำนน์ (Helmut Lachenmann)
สตีฟ ไรค์ (Steve Reich)
จอห์น อดัมส์ (John Adams)
John Zorn
โตรุ ทำเคมิตสึ (Toru Takemitsu)
Tan Dun
Chen Yi
Unsuk Chin
คีตกวีชาวไทยที่ประพันธ์ดนตรีคลาสสิกในปัจจุบันที่มีงานดนตรีออกมาอย่างสม่่าเสมอ
ณรงค์ฤทธิ์ ธรรมบุตร www.narongrit.com
วีรชำติ เปรมำนนท์
จิรเดช เสตะพันธุ
ณรงค์ ปรำงเจริญ www.narongmusic.com
เด่น อยู่ประเสริฐ
ภำธร ศรีกรำนนท์
บุญรัตน์ ศิริรัตนพันธ boonrut.blogspot.com
วำนิช โปตะวนิช
อภิสิทธ์ วงศ์โชติ
อติภพ ภัทรเดชไพศำล
สุรัตน์ เขมำลีลำกุล
นบ ประทีปะเสน
สิรเศรษฐ ปันฑุรอัมพร www.pantura-umporn.com
วิบูลย์ ตระกูลฮุ้น
อโนทัย นิติพล
ยังไม่ได้จัดหมวดหมู่
เอริก ซำที (Erik Satie)
คำร์ล เซอร์นี (Carl Czerny)
โยฮันน์ ฟรีดริค ฟรำนซ์ เบิร์กมุลเลอร์ (Johann Friedrich Franz Burgmüller)
ฟรำนซิส ปูเลงค์ (Francis Poulenc)
คีตกวีเอกของโลก
โยฮันน์ เซบำสเตียน บำค (Johann Sebastian Bach)
ลุดวิจ ฟำน เบโทเฟน (Ludwig van Beethoven)
โวล์ฟกัง อะมำเดอุส โมซำร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart)
เฟรเดริก ฟรองซัวส์ โชแปง (Frédéric François Chopin)
โรเบิร์ต อะเล็กซำนเดอร์ ชูมันน์ (Robert Alexander Schumann)
ฟรำนซ์ ปีเตอร์ ชูเบิร์ต (Franz Peter Schubert)
อำนโตนิโอ วิวัลดิ (Antonio Vivaldi)
ริชำร์ด วำกเนอร์ (Richard Wagner)
ปีเตอร์ ไชคอฟสกี้ (Peter Tchaikovsky)
โยฮันน์ สเตรำส์ บิดำ (Johann Strauss father)
โยฮันน์ สเตรำส์ บุตร (Johann Strauss son)
โยฮันเนส บรำห์ม (Johannes Brahms)
จอร์จ เฟรดริก ฮันเดล (Georg Friedrich Händel)
เอริก ซำที (Erik Satie)
อิกอร์ สตรำวินสกี้ (Igor Stravinsky)
เอกเตอร์ แบร์ลิออส (Hector Berlioz)
จอร์เจอส์ บิเซท (Georges Bizet)
เบลำ บำร์ต็อก (Béla Bartók)
คำร์ล เซอร์นี (Carl Czerny)
แอนโทนิน ดโวชำค (Antonín Dvořák)
โคล้ด เดอบุซซี (Claude Debussy)
เบิร์กมุลเลอร์ (Johann Friedrich Franz Burgmüller)
ชำร์ลส กูนอด (Charles Gounod)
ฟรำนซ์ โจเซฟ ไฮเดิน (Franz Joseph Haydn)
ฟร้ำนซ์ ลิซท์ (Franz Liszt)
คำร์ล ออร์ฟ (Carl Orff)
ชำคส์ ออฟเฟนบำค (Jacques Offenbach)
จิอำโคโม ปุชชินี (Giacomo Puccini)
ฟรำนซิส ปูเลงค์ (Francis Poulenc)
จูเซปเป เวอร์ดิ (Giuseppe Verdi)
ดิมิทรี ดิมิทรีวิช ชอสตำโกวิช (Dimitri Shostakovich)
กุสตำฟ มำห์เลอร์ (Gustav Mahler)
สก็อต จอปลิน (Scott Joplin)
อำนโตนิโอ ซำลิเอรี (Antonio Salieri)
เซียร์เกย์ รัคมำนีนอฟ (Sergei Rachmaninoff)
โยฮันน์ เซบาสเตียน บาค
โยฮันน์ เซบำสเตียน บำค, ปี พ.ศ. 2291 วำดโดย อีเลียส ก็อตลอบ เฮำส์มันน์ (Elias Gottlob Haussmann)
โยฮันน์ เซบาสเตียน บาค (เยอรมัน: Johann Sebastian Bach) เป็นคีตกวีและนักออร์แกนชำวเยอรมัน เกิดเมื่อวันที่ 21
มีนำคม พ.ศ. 2228 (ค.ศ. 1685) ในครอบครัวนักดนตรี
ที่เมืองไอเซนัค บำคแต่งเพลงไว้มำกมำยโดยดั้งเดิมเป็นเพลงสำหรับใช้ในโบสถ์ เช่น "แพชชั่น" บำคถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 28
กรกฎำคม พ.ศ. 2293 ที่เมืองไลพ์ซิจ
บำคเป็นนักประพันธ์ดนตรีสมัยบำโรค เขำสร้ำงดนตรีของเขำจนกลำยเป็นเอกลักษณ์ของยุคสมัย
บำคมีอิทธิพลอย่ำงสูงและยืนยำวต่อกำรพัฒนำดนตรีตะวันตก แม้แต่นักประพันธ์เพลงผู้ยิ่งใหญ่เช่น โมซำร์ท และเบโทเฟน ยัง
ยอมรับบำคในฐำนะปรมำจำรย์
งำนของบำคโดดเด่นในทุกแง่ทุกมุม
ด้วยควำมพิถีพิถันของบทเพลงที่เต็มไปด้วยท่วงทำนอง เสียงประสำน หรือ เทคนิคกำรสอดประสำนกันของท่วงทำนองต่ำง
ๆ รูปแบบที่สมบูรณ์แบบ เทคนิคที่ฝึกฝนมำเป็นอย่ำงดี กำรศึกษำค้นคว้ำ แรงบันดำลใจอันเต็มเปี่ยม
รวมทั้งปริมำณของบทเพลงที่แต่ง ทำให้งำนของบำคหลุดจำกวงจรทั่วไปของงำนสร้ำงสรรค์ที่ปกติแล้วจะเริ่มต้น
เจริญเติบโตถึงขีดสุด แล้วเสื่อมสลำย นั่นคือไม่ว่ำจะเป็นเพลงที่บำคได้ประพันธ์ไว้ตั้งแต่วัยเยำว์
หรือเพลงที่ประพันธ์ในช่วงหลังของชีวิตนั้นจะมีคุณภำพทัดเทียมกัน
§ประวัติ
§ไอเซอบำค
บำคถือกำเนิดในครอบครัวนักดนตรีที่ยึดอำชีพนักดนตรีประจำรำชสำนัก
ประจำเมืองและโบสถ์ในมณฑลทูรินจ์มำหลำยชั่วอำยุ ซึ่งก็นับได้ว่ำโยฮันน์ เซบำสเตียน บำค เป็นรุ่นที่ห้ำแล้ว
หำกจะนับกันตั้งแต่บรรพบุรุษที่บำครู้จัก นั่นคือนำยเวียต บำค ผู้มีชีวิตในคริสต์ศตวรรษที่
16ในฐำนะเจ้ำของโรงโม่และนักดนตรีสมัครเล่นในฮังกำรี ตั้งแต่บำคเกิด
สมำชิกครอบครับบำคที่เล่นดนตรีมีจำนวนหลำยสิบคน
ทำให้ตระกูลบำคกลำยเป็นครอบครัวนักดนตรีที่สำคัญและเป็นที่รู้จักมำกที่สุดในประวัติศำสตร์ดนตรีตะวันตก
บำคได้รับกำรศึกษำทำงดนตรีจำกบิดำ คือ โยฮันน์ อัมโบรซิอุส นักไวโอลิน เมื่ออำยุได้สิบปี
เขำก็ต้องสูญเสียทั้งมำรดำและบิดำในเวลำที่ห่ำงกันเพียงไม่กี่เดือน ทำให้เขำต้องอยู่ในควำมอุปกำระของพี่ชำยคนโต โยฮันน์
คริสตอฟ บาค ผู้เป็นศิษย์ของโยฮันน์ พำเคลเบล
และมีอำชีพเป็นนักเล่นออร์แกนในเมืองโอร์ดรุฟ ในขณะที่รับกำรศึกษำด้ำนดนตรีไปด้วย โยฮันน์
เซบำสเตียนได้แสดงให้เห็นควำมเป็นอัจฉริยะทำงดนตรี
รวมทั้งยังช่วยครอบครัวหำเงินโดยกำรเป็นนักร้องในวงขับร้องประสำนเสียงของครอบครัว
และยังชอบคัดลอกงำนประพันธ์และศึกษำผลงำนของนักประพันธ์อื่น ๆ
ที่เขำสำมำรถพบหำได้อีกด้วยเช่นกันกับทุกคนที่ชื่นชอบนักดนตรีเอกของโลกอย่ำง โยฮันน์ เซบำสเตียน บำค
§ลือเนอบูร์ก
ทรัพย์สินเงินทองของพี่ชำยชองโยฮันน์ เซบำสเตียน มีจำกัด อีกทั้งพี่ชำยยังมีครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดู รำวปี พ.ศ. 2243(ค.ศ.
1700) โยฮันน์ เซบำสเตียน ก็ได้รับกำรตอบรับให้เข้ำเรียนที่โรงเรียนในโบสต์ (ลำ มิคำเอลิสสกูล)
ที่เมืองลูนเบิร์ก ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ห่ำงออกไปทำงเหนือรำว 200 กิโลเมตร
ซึ่งเขำต้องเดินทำงด้วยเท้ำไปเข้ำเรียนที่นั่นพร้อมกับเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่ง นอกเหนือจำกกำรเรียนดนตรีแล้ว
เขำยังได้ยังได้เรียนวำทศิลป์ ตรรกศำสตร์ ภำษำละติน ภำษำกรีก และภำษำฝรั่งเศส เขำยังได้ทำควำมรู้จักกับจอร์จ
เบอห์ม นักดนตรีของ โจฮันเนส เคียร์ช และศิษย์ของ โยฮันน์ อำดัม
เรนเคน นักเล่นออร์แกนคนดังของนครฮัมบูร์ก เรนเคนนี่เองที่เป็นคนสอนเขำเกี่ยวกับรูปแบบดนตรีของเยอรมนีตอนเหนือ
ที่ลือเนบวร์ก เขำยังได้รู้จักกับนักดนตรีชำวฝรั่งเศสอพยพ โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งโธมำส์ เดอ ลำ
เซลล์ ศิษย์ของลุลลี และด้วยกำรได้สัมผัสกับวัฒนธรรมทำงดนตรีในอีกรูปแบบ
เขำได้คัดลอกบทเพลงสำหรับออร์แกนของนิโกลำส์ เดอ กรินยี และเริ่มติดต่อทำงจดหมำยกับ ฟร็องซัวส์ คูเปอแรง
บำคศึกษำและวิเครำะห์โน้ตแผ่นของนักดนตรีที่มีชื่อเสียงด้วยควำมละเอียดรอบคอบ
ควำมสนอกสนใจและควำมอยำกรู้อยำกเห็นของเขำมีมำก
กระทั่งว่ำเขำยอมเดินเท้ำไปหลำยสิบกิโลเมตรเพื่อจะฟังกำรแสดงของนักดนตรีดัง เป็นต้นว่ำจอร์จ โบห์ม โยฮันน์ อำดัม
เรนเคนและ วินเซนต์ ลึบเบ็ค และแม้กระทั่ง ดีทริช บุกซ์เตฮูเด้ ผู้ซึ่งโด่งดังกว่ำ มินิกิปปิ
§อำร์นชตัดท์[แก้]
ในปีพ.ศ. 2246 (ค.ศ.1703)
บำคได้กลำยเป็นนักเล่นออร์แกนประจำเมืองอำร์นสตัดต์ เขำเริ่มมีชื่อเสียงอย่ำงรวดเร็วในฐำนะนักดนตรีเอก
และนักดนตรีที่เล่นสดได้โดยไม่ต้องดูโน้ต
§มึลเฮำเซ่น[แก้]
ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2250(ค.ศ.1707) ถึง พ.ศ. 2251(ค.ศ.1708)
เขำได้เป็นนักเล่นออร์แกนประจำเมืองมุห์ลโฮเซน บำคได้ประพันธ์เพลงแคนตำตำบทแรกขึ้น
ซึ่งเป็นบทนำก่อนที่เขำจะเริ่มประพันธ์บทเพลงทำงศำสนำอันยิ่งใหญ่อลังกำร
และเขำยังได้ประพันธ์บทเพลงสำหรับบรรเลงด้วยออร์แกนเพิ่มเติมด้วย อันเป็นผลงำนที่ยืนยันถึงควำมอัจฉริยะ ควำมลึกซึ้ง
และควำมงำมอันบริสุทธิ์ของเขำ ทำให้บำคกลำยเป็นนักดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกำล ในบรรดำบทเพลงทำงศำสนำแล้ว
ตลอดชั่วชีวิตของบำค เขำได้ใช้เวลำกับกำรประพันธ์เพลงคันตำต้ำ ร่วมห้ำปี หรือกว่ำสำมร้อยชิ้น
ในบรรดำบทเพลงรำวห้ำสิบชิ้นที่สูญหำยไปนั้น ส่วนใหญ่เป็นเพลงที่ถูกประพันธ์ขึ้นในช่วงเวลำดังกล่ำว
§ไวมำร์[แก้]
ในระหว่ำงปี พ.ศ. 2251 ถึง พ.ศ. 2260 บำคดำรงตำแหน่งนักเล่นออร์แกน และนักไวโอลินเดี่ยวมือหนึ่ง
ประจำวิหำรส่วนตัวของดยุคแห่งไวมำร์ ทำให้เขำมีทั้งออร์แกน เครื่องดนตรีและนักร้องประจำวงในครอบครอง
ช่วงเวลำดังกล่ำวเป็นช่วงเวลำแห่งกำรสร้ำงสรรค์ผลงำนของบำคมำกมำย
ไม่ว่ำจะเป็นเพลงบรรเลงด้วยออร์แกน คันตำต้ำ เพลงสำหรับฮำร์ปซิคอร์ด ที่ได้แรงบันดำลใจมำจำกปรมำจำรย์ทำงดนตรีชำวอิ
ตำเลียนทั้งหลำย
§เคอเท่น[แก้]
ระหว่ำงปี พ.ศ. 2260 (ค.ศ.1717) ถึง พ.ศ. 2266 (ค.ศ.1723)
เขำได้ตำรงตำแหน่งผู้ดูแลวิหำรประจำรำชสำนักของเจ้ำชำยอำนฮัลต์-เคอเธ่น
เจ้ำชำยเป็นนักดนตรีและนักเล่นฮำร์ปซิคอร์ด ช่วงเวลำอันแสนสุขของกำรเติบโตในหน้ำที่กำรงำน
ได้เป็นแรงผลักดันให้เขำประพันธ์ผลงำนที่ยิ่งใหญ่มำกมำย
สำหรับบรรเลงด้วย ลิวต์(Lute) ฟลู้ต ไวโอลิน(โซนำตำและบทเพลงสำหรับเดี่ยวไวโอลิน) ฮำร์ปซิคอร์ด(หนังสือเว็ลเท็มเปอร์คล
าเวียร์ เล่มที่สอง) เชลโล(สวีทสำหรับเดี่ยวเชลโล) และบทเพลงบรันเด็นเบอร์ก คอนแชร์โต้ หกบท
§ไลป์ซิก
ระหว่ำงปี พ.ศ. 2268(ค.ศ.1725) ถึง พ.ศ. 2293(ค.ศ.1750) หรือเป็นระยะเวลำกว่ำ 25 ปีที่บำคพำนักอยู่ที่เมืองไลพ์ซิจ
บำคได้สืบทอดตำแหน่งผู้อำนวยกำรดนตรีของโบสถ์เซนต์ โธมัส ในนิกำยลูเธอรัน ต่อจำกโยฮันน์
คูห์นำว เขำเป็นครูสอนดนตรีและภำษำละติน แต่ก็ยังต้องประพันธ์เพลงจำนวนมำกให้กับโบสถ์
โดยมีบทเพลงคันตำต้ำ (Cantata) ทุกวันอำทิตย์และวันนักขัตฤกษ์ ในขณะดำรงตำแหน่งนี้ เขำได้ประพันธ์คันตำต้ำไว้กว่ำ
126 บท แต่บทเพลงดังกล่ำวมักจะไม่ได้รับกำรถ่ำยทอดออกมำอย่ำงที่ควรเนื่องจำกขำดแคลนเครื่องดนตรี
และนักดนตรีที่มีฝีมือ
บำคได้ใช้แนวทำงเดิมในกำรประพันธ์บทเพลงใหม่ ๆ แต่ควำมเป็นอัจฉริยะ ควำมคิดสร้ำงสรรค์
และควำมฉลำดของเขำทำให้ผลงำนทุกชิ้นมีเอกลักษณ์
และถูกนับเป็นหนึ่งในผลงำนยอดเยี่ยมแห่งประวัติศำสตร์ดนตรีตะวันตก โดยเฉพำะ "เซนต์แมทธิวแพชชั่น" "แมส
ในบันไดเสียงบีไมเนอร์" "เว็ลเท็มเปอร์คลาเวียร์" "มิวสิกคัล ออฟเฟอริ่ง" ดนตรีของบำคหลุดพ้นจำกรูปแบบทั่วไป
โดยที่เขำได้ใช้ควำมสำมำรถของเขำอย่ำงเต็มพิกัด และถ่ำยทอดออกมำเป็นบทเพลงจนถึงขีดสุดของควำมสมบูรณ์แบบ
§มรดกทำงดนตรี
เมื่อโยฮันน์ เซบำสเตียน บำค ดนตรีบำโรคได้ถึงจุดสุดยอดและถึงกำลสิ้นสุดในเวลำอันรวดเร็ว หลังจำกกำรเสียชีวิตของบำค
ดนตรีของเขำได้ถูกลืมไป เนื่องด้วยเพรำะมันล้ำสมัยไปแล้ว
เช่นเดียวกับเทคนิคกำรสอดประสำนกันของท่วงทำนองต่ำงๆที่เขำพัฒนำให้มันสมบูรณ์แบบอย่ำงหำใดเทียมทำน
บุตรชำยที่เขำได้ฝึกสอนดนตรีไว้ ไม่ว่ำจะเป็นวิลเฮ็ล์ม ฟรีดมำนน์ บำค คำร์ล ฟิลลิป เอ็มมำนูเอ็ล บำค โยฮันน์ คริสตอฟ
ฟรีดริช บำคและ โยฮันน์ คริสเตียน บำค ได้รับถ่ำยทอดพรสวรรค์บำงส่วนจำกบิดำ และได้รับถ่ำยทอดเทคนิคกำรเล่นจำกบำค
ก็ได้ทอดทิ้งแนวทำงดนตรีของบิดำเพื่อไปสนใจกับแนวดนตรีที่ทันสมัยกว่ำในที่สุด
เช่นเดียวกับนักดนตรีร่วมสมัยเดียวกันกับบำค (เป็นต้นว่ำ เกออร์ก ฟิลลิป เทเลมันน์ผู้มีอำยุแก่กว่ำบำคสี่ปี
ก็ได้รับอิทธิพลจำกดนตรีที่ทันสมัยกว่ำ)
ปรำกฏกำรณ์นิยมแนวดนตรีใหม่นี้ก็เกิดกับ[[]]เช่นกัน จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อบำรอนฟำน สวีเทน
ผู้หลงใหลในดนตรีบำโรคและมีห้องสมุดส่วนตัวสะสมบทเพลงบำโรคไว้เป็นจำนวนมำก
ได้ให้โมซำร์ทชมผลงำนอันยิ่งใหญ่ของบำคบำงส่วน ทำให้ควำมมีอคติต่อดนตรีบำโรคของโมซำร์ทนั้นถูกทำลำยไปสิ้น
จนถึงขั้นไม่สำมำรถประพันธ์ดนตรีได้ตลอดช่วงระยะเวลำหนึ่ง เมื่อเขำสำมำรถยอมรับมรดกทำงดนตรีของบำคได้แล้ว
วิธีกำรประพันธ์ดนตรีของเขำก็เปลี่ยนไป รำวกับว่ำบำคมำเติมเต็มรูปแบบทำงดนตรีให้แก่เขำ
โดยที่ไม่ต้องละทิ้งรูปแบบส่วนตัวแต่อย่ำงใด
ตัวอย่ำงผลงำนของโมซำร์ทที่ได้รับอิทธิพลของบำคก็เช่น "เพลงสวดศพเรเควียม" "ซิมโฟนีจูปิเตอร์" ซึ่งท่อนที่สี่เป็นฟิวก์ห้ำเสียง
ที่ประพันธ์ขึ้นโดยใช้เทคนิคกำรสอดประสำนกันของท่วงทำนองต่ำงๆ รวมทั้งบำงส่วนของอุปรำกรเรื่อง"ขลุ่ยวิเศษ"
ลุดวิก ฟำน เบโทเฟนรู้จักบทเพลงสำหรับคลำวิคอร์ดของบำคเป็นอย่ำงดี จนสำมำรถบรรเลงบทเพลงส่วนใหญ่ได้ขึ้นใจ
ตั้งแต่วัยเด็ก
สำหรับประชำชนทั่วไปแล้ว ควำมเป็นอัจฉริยะของบำคไม่ได้เป็นที่รู้จักต่อสำธำรณชน จนกระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่
19 อันเนื่องมำจำกควำมพยำยำมของเฟลิกซ์ เม็นเดลโซห์น ผู้สืบทอดตำแหน่งผู้อำนวยกำรดนตรีที่โบสถ์เซนต์โธมัส
แห่งเมืองไลพ์ซิจ นับแต่นั้นเป็นต้นมำ ผลงำนของบำคที่ยืนยงคงกระพันต่อกำรเปลี่ยนแปลงของรสนิยมทำงดนตรี
ก็ได้กลำยเป็นหลักอ้ำงอิงที่มิอำจหำผู้ใดเทียมทำนได้ในบรรดำผลงำนดนตรีตะวันตก
ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 30 ที่เมืองไลพ์ซิจ คำร์ล สโตรป ได้คิดค้นวิธีบรรเลงบทเพลงของบำคในรูปแบบใหม่
โดยกำรใช้เครื่องดนตรีที่มีประสิทธิภำพมำกกว่ำ
และใช้วงขับร้องประสำนเสียงในแบบที่ยืดหยุ่นกว่ำที่บรรเลงและขับร้องกันในคริสต์ศตวรรษที่
19 เขำยังได้บรรเลงบทเพลงทำงทฤษฎี เป็นต้นว่ำ อาร์ต ออฟฟิวก์ (โดยใช้วงดุริยำงค์ประกอบด้วย)
ผลสัมฤทธิ์ของแนวทำงใหม่นี้ได้เห็นเป็นรูปธรรมในคริสต์ทศวรรษที่ 50 โดยมีนักดนตรีอย่ำงกุสตำฟ
เลออนฮำร์ทและบรรดำลูกศิษย์ลูกหำของเขำ รวมถึงนิโคเลำส์ อำร์นองกูต์ โดยที่กุสตำฟ เลออนฮำร์ทและนิโคเลำส์
อำร์นองกูต์เป็นนักดนตรีคนแรกๆที่บันทึกเสียงบทเพลงคันตำต้ำของบำคครบทุกบท
แม้ว่ำดนตรีของบำคจะถูกตีควำมในลักษณะอื่น เช่น แจ๊ส (บรรเลงโดยฌำค ลูสิเยร์(Jaques Loussier) หรือ เวนดี คำร์ลอส)
บรรเลงโดยใช้เครื่องดนตรีประเภทอื่น หรือถูกดัดแปลงเป็นแจ๊ส มันก็ยังคงเอกลักษณ์เดิมไว้
รำวกับว่ำโครงสร้ำงของบทเพลงที่โดดเด่นทำให้สิ่งอื่น ๆ กลำยเป็นแค่ส่วนประกอบเท่ำนั้น
มำร์เซล ดูเปรสำมำรถบรรเลงบทเพลงทุกบทของบำคด้วยออร์แกนได้อย่ำงขึ้นใจ เช่นเดียวกับเฮลมุท
วำลคำ นักเล่นออร์แกนชำวเยอรมัน ผู้ที่ตำบอดตั้งแต่เกิด แต่ก็ได้หัดเล่นเพลงของบำคโดยอำศัยกำรฟังอย่ำงตั้งอกตั้งใจ
§แนวคิด
« บำคเป็นคนประเภทที่เห็นคนอื่นๆเป็นเพียงเด็กน้อยในสำยตำของเขำ » โรเบิร์ต อเล็กซำนเดอร์ ชูมันน์
« หำกไม่มีบำค เทววิทยำคงขำดเป้ำหมำย กำรสร้ำงโลกของพระเจ้ำกลำยเป็นเพียงตำนำน
และควำมว่ำงเปล่ำกลำยเป็นสิ่งที่ไม่อำจปฏิเสธได้», « หำกมีใครสักคนที่เป็นหนี้บุญคุณบำคทุกอย่ำง
นั่นคงเป็นพระเจ้ำ », ซิโอร็อง, Syllogismes de l'amertume สำนักพิมพ์กัลลิมำร์
« ดนตรีของบำคมีแนวโน้มจะกลำยเป็นสิ่งมีชีวิต มีชีพจร และอำรมณ์ควำมรู้สึก» ปิแอร์ วิดำล
« มีบำคก่อน...แล้วจึงมีคนอื่นๆตำมมำ » พำโบล คำซำลส์
« ถึงแม้ข้ำพเจ้ำจะมีควำมรักในศิลปินคนอื่น – ไม่ได้รักเบโทเฟน และโมซำร์ทน้อยไปกว่ำกัน –
ข้ำพเจ้ำก็ไม่อำจเห็นด้วยกับคำกล่ำวของคำซำลส์ได้ บำคโดดเด่นกว่ำพวกเขำเหล่ำนั้นทั้งหมด » ปอล โทเทลลิเยร์
§บทประพันธ์ที่ส่าคัญ
คันตาต้า BWV 4, BWV 6, BWV 78, BWV 106, BWV 140, BWV 136, BWV 198, BWV 146, BWV 177, BWV 127,
BWV 35, BWV 51, BWV 56, BWV 82, BWV 201, BWV 205, BWV 208, BWV 211, BWV 212.
BWV 245 ;
เซนต์แมทธิวแพชชั่น, BWV 244 ;
แมส ในบันไดเสียงบีไมเนอร์, BWV 232 ;
คริสต์มาส โอราทอริโอ, BWV 248 ;
มักนิฟิคัท, BWV 243 ;
โมเต็ต, BWV 225 ถึง BWV 231 ;
ท็อคคาต้า และ ฟิวก์ ในบันไดเสียง ดีไมเนอร์ สาหรับออร์แกน, BWV 565 และบทเพลงพรีลูด แอนด์ ฟิวก์อีกหลำยบท
เป็นต้นว่ำ BWV 542, 543, 544, 545, 582;
โกลด์แบร์ก วาริเอชั่น, BWV 988 ;
พาร์ติต้าหกบทสาหรับคลาวิคอร์ด, BWV 825 ถึง BWV 830 ;
อินเวนชั่นและซิมโฟนี, BWV 772 ถึง BWV 801 ;
อินเวนชั่น, BWV 772 : สื่อ:Bach-invention-01.mid
ซิมโฟนี, BWV 787 : สื่อ:Bwv787.mid
เว็ลเท็มเพปร์คลาเวียร์, BWV 846 ถึง BWV 893 ;
พรีลูดหมายเลข 1, BWV 846 : สื่อ:Wtk1-prelude1.mid
โซนาต้า และพาร์ติต้าสาหรับเดี่ยวไวโอลิน, BWV 1001 ถึง BWV 1006 ;
สวีทสาหรับเดี่ยวเชลโล, BWV 1007 ถึง BWV 1012 ;
สวีทสาหรับเดี่ยวเชลโล, BWV 1008, โน้ตแผ่น : http://wikisource.org/wiki/Suite_pour_violoncelle%2C_II#Courante
โซนาต้าสาหรับฟลู้ต, BWV 1013, BWV 1020, BWV 1030 ถึง BWV 1035 ;
บรันเด็นเบอร์ก คอนแชร์โต หกบท, BWV 1046 ถึง BWV 1051 ;
คอนแชร์โตสาหรับไวโอลิน, BWV 1041, BWV 1042, BWV 1043 ;
คอนแชร์โตสาหรับฮาร์ปซิคอร์ด, BWV 1052 ถึง BWV 1065 ;
สวีทสาหรับออร์เคสตร้า, BWV 1066 ถึง BWV 1070 ;
มิวสิกคัล ออฟเฟอริ่ง, BWV 1079 ;
อาร์ต ออฟ ฟิวก์, BWV 1080;
Violin Sonata No. 1 in G minor(BWV 1001) ในลำยมือของบำค
§การจัดเรียงผลงานการประพันธ์
ผลงำนดนตรีของบำคเรียงลำดับตัวเลขตำมหลังคำว่ำ BWV ซึ่งเป็นตัวย่อของ Bach Werke Verzeichnis
แปลว่ำ แคตตาล็อกผลงานของบาค ตีพิมพ์ขึ้นในปี ค.ศ. 1950 เรียบเรียงโดยโวล์ฟกัง ชมีเดอร์ (Wolfgang Schmieder).
แคตตำล็อกนี้ไม่ได้ถูกเรียงลำดับตำมเวลำที่ประพันธ์ แต่เรียงตำมลักษณะของบทประพันธ์. เช่น BWV 1-224
เป็นผลงำนคันตำต้ำ, BWV 225–48 เป็นผลงำนสำหรับกลุ่มนักร้องประสำนเสียง, BWV 250–524
เป็นผลงำนขับร้องและดนตรีศำสนำ, BWV 525–748 เป็นผลงำนสำหรับออร์แกน, BWV 772–994
เป็นผลงำนสำหรับเครื่องดนตรีคีย์บอร์ด, BWV 995–1000 เป็นผลงำนสำหรับลิวท์, BWV 1001–40
เป็นผลงำนดนตรีเชมเบอร์(chamber music), BWV 1041–71 เป็นผลงำนสำหรับวงดุริยำงค์ และ BWV 1072–1126
เป็นผลงำนแคนนอน และ ฟิวก์ ในขั้นตอนกำรจัดเรียงแคตตำล็อกนี้ ชมีเดอร์เรียบเรียงตำม Bach Gesellschaft Ausgabe
ที่เป็นผลงำนของบำคแบบครบถ้วนที่ตีพิมพ์ขึ้นในระหว่ำงปี ค.ศ. 1850-1905.
ลุดวิจ ฟาน เบโทเฟน
ลุดวิจ ฟำน เบทโฮเฟิน ใน ค.ศ. 1820
ลุดวิจ ฟาน เบทโฮเฟิน (เยอรมัน: Ludwig van Beethoven, เสียงอ่ำน: [ˈ luː tvɪ ç fan ˈ beː t.hoː fn̩]; 16
ธันวำคม ค.ศ. 1770 - 26 มีนำคม ค.ศ. 1827) เป็นคีตกวีและนักเปียโนชำวเยอรมัน เกิดที่เมืองบอนน์ ประเทศเยอรมนี
เบทโฮเฟินเป็นตัวอย่ำงของศิลปินยุคโรแมนติกผู้โดดเดี่ยว และไม่เป็นที่เข้ำใจของบุคคลในยุคเดียวกันกับเขำ
ในวันนี้เขำได้กลำยเป็นคีตกวีที่มีคนชื่นชมยกย่องและฟังเพลงของเขำกันอย่ำงกว้ำงขวำงมำกที่สุดคนหนึ่ง
ตลอดชีวิตของเขำมีอุปสรรคนำนัปกำรที่ต้องฝ่ำฟัน ทำให้เกิดควำมเครียดสะสมในใจเขำ ในรูปภำพต่ำง ๆ ที่เป็นรูปเบทโฮเฟิน
สีหน้ำของเขำหลำยภำพแสดงออกถึงควำมเครียด แต่ด้วยจิตใจที่แข็งแกร่งของเขำ ก็สำมำรถเอำชนะอุปสรรคต่ำง ๆ
ในชีวิตของเขำได้ ตำนำนที่คงอยู่นิรันดร์เนื่องจำกได้รับกำรยกย่องจำกคีตกวีโรแมนติกทั้งหลำย
เบทโฮเฟินได้กลำยเป็นแบบอย่ำงของพวกเขำเหล่ำนั้นด้วยควำมเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียมทำน ซิมโฟนีของเขำ
(โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งซิมโฟนีหมำยเลข 5 ซิมโฟนีหมำยเลข 6 ซิมโฟนีหมำยเลข 7 และ ซิมโฟนีหมำยเลข 9)
และคอนแชร์โตสำหรับเปียโนที่เขำประพันธ์ขึ้น (โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งคอนแชร์โตหมำยเลข 4 และหมำยเลข 5)
เป็นผลงำนที่ได้รับควำมนิยมมำกที่สุด แต่ก็
มิได้รวมเอำควำมเป็นอัจฉริยะทั้งหมดของคีตกวีไว้ในนั้น
§ประวัติ[แก้]
บ้ำนเกิดของเบทโฮเฟินที่เมืองบอนน์ ภำพวำด ลุดวิจ ฟำน เบทโฮเฟิน ในค.ศ. 1783
ภำพวำด ลุดวิจ ฟำน เบทโฮเฟิน ในค.ศ. 1803
ภำพวำด ลุดวิจ ฟำน เบทโฮเฟิน ในค.ศ. 1815
ภำพวำด ลุดวิจ ฟำน เบทโฮเฟิน ในค.ศ. 1823
ลุดวิจ ฟำน เบโธเฟนเกิดที่เมืองบอนน์ (ประเทศเยอรมนี) เมื่อวันที่ 16 ธันวำคม ค.ศ. 1770 และได้เข้ำพิธีศีลจุ่มในวันที่ 17
ธันวำคม ค.ศ. 1770 เป็นลูกชำยคนรองของโยฮันน์ ฟำน เบโธเฟน (Johann van Beethoven) กับ มำเรีย มักเดเลนำ เคเวริค
(Maria Magdelena Keverich) ขณะที่เกิดบิดำมีอำยุ 30 ปี และมำรดำมีอำยุ 26 ปี ชื่อต้นของเขำเป็นชื่อเดียวกับปู่
และพี่ชำยที่ชื่อลุดวิจเหมือนกัน แต่เสียชีวิตตั้งแต่อำยุยังน้อย ครอบครัวของเขำมีเชื้อสำยเฟลมิช
(จำกเมืองเมเชเลนในประเทศเบลเยียม) ซึ่งก็เป็นเหตุผลว่ำเหตุใด
นำมสกุลของเขำจึงขึ้นต้นด้วย ฟาน ไม่ใช่ ฟอน ตำมที่หลำยคนเข้ำใจ
บิดำเป็นนักนักร้องในคณะดนตรีประจำรำชสำนัก และเป็นคนที่ขำดควำมรับผิดชอบ ซ้ำยังติดสุรำ
รำยได้เกินครึ่งหนึ่งของครอบครัวถูกบิดำของเขำใช้เป็นค่ำสุรำ ทำให้ครอบครัวยำกจนขัดสน
บิดำของเขำหวังจะให้เบโธเฟนได้กลำยเป็นนักดนตรีอัจฉริยะอย่ำง โมสำร์ท นักดนตรีอีกคนที่โด่งดังในช่วงยุคที่เบทโฮเฟินยังเด็
ก จึงเริ่มสอนดนตรีให้ใน ค.ศ. 1776 ขณะที่เบทโฮเฟินอำยุ 5 ขวบ
แต่ด้วยควำมหวังที่ตั้งไว้สูงเกินไป (ก่อนหน้ำเบโธเฟนเกิด โมสำร์ทสำมำรถเล่นดนตรีหำเงินให้ครอบครัวได้ตั้งแต่อำยุ 6 ปี
บิดำของเบโธเฟนตั้งควำมหวังไว้ให้เบโธเฟนเล่นดนตรีหำเงินภำยในอำยุ 6 ปีให้ได้เหมือนโมสำร์ท)
ประกอบกับเป็นคนขำดควำมรับผิดชอบเป็นทุนเดิม ทำให้กำรสอนดนตรีของบิดำนั้นเข้มงวด โหดร้ำยทำรุณ เช่น
ขังเบโธเฟนไว้ในห้องกับเปียโน 1 หลัง , สั่งห้ำมไม่ให้เบโธเฟนเล่นกับน้อง ๆ เป็นต้น ทำให้เบทโฮเฟินเคยท้อแท้กับเรื่องดนตรี
แต่เมื่อได้เห็นสุขภำพมำรดำที่เริ่มกระเสำะกระแสะด้วยวัณโรค ก็เกิดควำมพยำยำมสู้เรียนดนตรีต่อไป
เพื่อหำเงินมำสร้ำงควำมมั่นคงให้ครอบครัว
ค.ศ. 1777 เบทโฮเฟินเข้ำเรียนโรงเรียนสอนภำษำละตินสำหรับประชำชนที่เมืองบอนน์
ค.ศ. 1778 กำรฝึกซ้อมมำนำนสองปีเริ่มสัมฤทธิ์ผล
เบโธเฟินสำมำรถเปิดคอนเสิร์ตเปียโนในที่สำธำรณะได้เป็นครั้งแรกในเดือนมีนำคม ขณะอำยุ 7 ปี 3 เดือน ที่เมืองโคโลญจน์
(Cologne) แต่บิดำของเบทโฮเฟินโกหกประชำชนว่ำเบทโฮเฟินอำยุ 6 ปี เพรำะหำกอำยุยิ่งน้อย
ประชำชนจะยิ่งให้ควำมสนใจมำกขึ้น ในฐำนะนักดนตรีที่เก่งตั้งแต่เด็ก
หลังจำกนั้น เบทโฮเฟินเรียนไวโอลินและออร์แกนกับอำจำรย์หลำยคน จนใน ค.ศ. 1781เบทโฮเฟินได้เป็นศิษย์ของคริสเตียน
กอตท์โลบ นีเฟ (Christian Gottlob Neefe) ซึ่งเป็นอำจำรย์ที่สร้ำงควำมสำมำรถในชีวิตให้เขำมำกที่สุด
นีเฟสอนเบทโฮเฟินในเรื่องเปียโนและกำรแต่งเพลง
ค.ศ. 1784 เบทโฮเฟินได้เล่นออร์แกนในคณะดนตรีประจำรำชสำนัก ในตำแหน่งนักออร์แกนที่สอง มีค่ำตอบแทนให้พอสมควร
แต่เงินส่วนใหญ่ที่หำมำได้ ก็หมดไปกับค่ำสุรำของบิดำเช่นเคย
ค.ศ. 1787 เบทโฮเฟินเดินทำงไปยังเมืองเวียนนำ(Vienna) เพื่อศึกษำดนตรีต่อ เขำได้พบโมสำร์ท
และมีโอกำสเล่นเปียโนให้โมสำร์ทฟัง เมื่อโมสำร์ทได้ฟังฝีมือของเบทโฮเฟินแล้ว
กล่ำวกับเพื่อนว่ำเบทโฮเฟินจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในโลกดนตรีต่อไป แต่อยู่เมืองนี้ได้ไม่ถึง 2 สัปดำห์
ก็ได้รับข่ำวว่ำอำกำรวัณโรคของมำรดำกำเริบหนัก จึงต้องรีบเดินทำงกลับบอนน์
หลังจำกกลับมำถึงบอนน์และดูแลมำรดำได้ไม่นำน มำรดำของเขำก็เสียชีวิตลงในวันที่ 17 กรกฎำคม ค.ศ. 1787ด้วยวัย 43 ปี
เบทโฮเฟินเศร้ำโศกซึมเซำอย่ำงรุนแรง ในขณะที่บิดำของเขำก็เสียใจไม่แพ้กัน แต่กำรเสียใจของบิดำนั้น
ทำให้บิดำของเขำดื่มสุรำหนักขึ้น ไร้สติ จนในที่สุดก็ถูกไล่ออกจำกคณะดนตรีประจำรำชสำนัก เบทโฮเฟินในวัย 16 ปีเศษ
ต้องรับบทเลี้ยงดูบิดำและน้องชำยอีก 2 คน
ค.ศ. 1788 เบทโฮเฟินเริ่มสอนเปียโนให้กับคนในตระกูลบรอยนิงค์ เพื่อหำเงินให้ครอบครัว
ค.ศ. 1789 เบทโฮเฟินเข้ำเป็นนักศึกษำไม่คิดหน่วยกิตในมหำวิทยำลัยบอนน์
ค.ศ. 1792 เบทโฮเฟินตั้งรกรำกที่กรุงเวียนนำ ประเทศออสเตรีย เบทโฮเฟินมีโอกำสศึกษำดนตรีกับโยเซฟ
ไฮเดิน หลังจำกเขำเดินทำงมำเวียนนำได้ 1 เดือน ก็ได้รับข่ำวว่ำบิดำป่วยหนักใกล้จะเสียชีวิต (มำเวียนนำครั้งก่อน
อยู่ได้ครึ่งเดือนมำรดำป่วยหนัก มำเวียนนำครั้งนี้ได้หนึ่งเดือนบิดำป่วยหนัก) แต่ครั้งนี้เขำตัดสินใจไม่กลับบอนน์
แบ่งหน้ำที่ในบอนน์ให้น้องทั้งสองคอยดูแล และในปีนั้นเองบิดำของเบทโฮเฟินก็สิ้นใจลงโดยไม่มีเบทโฮเฟินกลับไปดูใจ
แต่เบทโฮเฟินเองก็ประสบควำมสำเร็จในกำรแสดงคอนเสิร์ตในฐำนะนักเปียโนเอก
และเป็นผู้ที่สำมำรถเล่นได้โดยคิดทำนองขึ้นมำสด ๆ ทำให้เขำเป็นที่รู้จักอย่ำงกว้ำงขวำงในแวดวงและครอบครัวขุนนำง
ค.ศ. 1795 เขำเปิดกำรแสดงดนตรีในโรงละครสำธำรณะในเวียนนำ และแสดงต่อหน้ำประชำชน
ทำให้เบทโฮเฟินเริ่มเป็นที่รู้จักของประชำชนมำกขึ้น
ค.ศ. 1796 ระบบกำรได้ยินของเบทโฮเฟินเริ่มมีปัญหำ เขำเริ่มไม่ได้ยินเสียงในสถำนที่กว้ำง ๆ และเสียงกระซิบของผู้คน
เขำตัดสินใจปิดเรื่องหูตึงนี้เอำไว้ เพรำะในสังคมยุคนั้น ผู้ที่ร่ำงกำยมีปัญหำ(พิกำร) จะถูกกลั่นแกล้ง เหยียดหยำม
จนในที่สุดผู้พิกำรหลำยคนกลำยเป็นขอทำน ดังนั้น เขำต้องประสบควำมสำเร็จให้ได้เสียก่อนจึงจะเปิดเผยเรื่องนี้
จำกนั้นเขำก็เริ่มประพันธ์บทเพลงขึ้นมำ แล้วจึงหันเหจำกนักดนตรีมำเป็นผู้ประพันธ์เพลง
เขำสร้ำงสรรค์ผลงำนที่มีแนวแตกต่ำงไปจำกดนตรียุคคลำสสิกคือ ใช้รูปแบบยุคคลำสสิก แต่ใช้เนื้อหำจำกจิตใจ
ควำมรู้สึกในกำรประพันธ์เพลง จึงทำให้ผลงำนเป็นตัวของตัวเอง
เนื้อหำของเพลงเต็มไปด้วยกำรแสดงออกของอำรมณ์อย่ำงเด่นชัด
ค.ศ. 1801 เบทโฮเฟินเปิดเผยเรื่องปัญหำในระบบกำรได้ยินให้ผู้อื่นฟังเป็นครั้งแรก แต่ครั้งนี้สังคมยอมรับ
ทำให้เขำไม่จำเป็นต้องปกปิดเรื่องอำกำรหูตึงอีก หลังจำกนั้น ก็เป็นยุคที่เขำประพันธ์เพลงออกมำมำกมำย
แต่เพลงที่เขำประพันธ์นั้นจะมีปัญหำตรงที่ล้ำสมัยเกินไป ผู้ฟังเพลงไม่เข้ำใจในเนื้อหำ แต่ในภำยหลัง เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป
ผู้คนเริ่มเข้ำใจในเนื้อเพลงของเบทโฮเฟิน บทเพลงหลำยเพลงเหล่ำนั้นก็เป็นที่นิยมล้นหลำมมำถึงปัจจุบัน
เมื่อเบทโฮเฟินโด่งดังก็ย่อมมีผู้อิจฉำ มีกลุ่มที่พยำยำมแกล้งเบทโฮเฟินให้ตกต่ำ จนเบทโฮเฟินคิดจะเดินทำงไปยังเมืองคำสเซล
ทำให้มีกลุ่มผู้ชื่นชมในผลงำนของเบทโฮเฟินมำขอร้องไม่ให้เขำไปจำกเวียนนำ พร้อมทั้งเสนอตัวให้กำรสนับสนุนกำรเงิน
โดยมีข้อสัญญำว่ำเบทโฮเฟินต้องอยู่ในเวียนนำ ทำให้เขำสำมำรถอยู่ได้อย่ำงสบำย ๆ
และผลิตผลงำนตำมที่ต้องกำรโดยไม่ต้องรับคำสั่งจำกใคร
เบทโฮเฟินโด่งดังมำกในฐำนะคีตกวี อำกำรสูญเสียกำรได้ยินมีมำกขึ้น
แต่เขำพยำยำมสร้ำงสรรค์ผลงำนจำกควำมสำมำรถและสภำพที่ตนเป็นอยู่
มีผลงำนชั้นยอดเยี่ยมให้กับโลกแห่งเสียงเพลงเป็นจำนวนมำก ผลงำนอันโด่งดังในช่วงนี้ได้แก่ ซิมโฟนีหมำยเลข
5 ที่เบทโฮเฟินถ่ำยทอดท่วงทำนองออกมำเป็นจังหวะ สั้น - สั้น - สั้น - ยาว อำกำรไม่ได้ยินรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และ
ซิมโฟนีหมำยเลข 9 ที่เขำประพันธ์ออกมำเมื่อหูหนวกสนิทตั้งแต่ปี ค.ศ. 1819 เป็นต้นมำ
รวมทั้งบทเพลงควอเต็ตเครื่องสำยที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเขำก็ประพันธ์ออกมำในช่วงเวลำนี้เช่นกัน
ในช่วงนี้ เบทโฮเฟินมีอำรมณ์แปรปรวน เนื่องจำกปัญหำเกี่ยวกับหลำนชำยที่เขำรับมำอุปกำระ เขำถูกหำว่ำเป็นคนบ้ำ
และถูกเด็ก ๆ ขว้ำงปำด้วยก้อนหินเมื่อเขำออกไปเดินตำมท้องถนน แต่ก็ไม่มีใครสำมำรถปฏิเสธควำมเป็นอัจฉริยะของเขำได้
แต่ภำยหลังเขำก็ได้พูดคุยปรับควำมเข้ำใจกับหลำนชำยเป็นที่เรียบร้อย
ค.ศ. 1826 โรคเรื้อรังในลำไส้ที่เบทโฮเฟินเป็นมำนำนก็กำเริบหนัก หลังจำกรักษำแล้ว
ได้เดินทำงมำพักฟื้นที่บ้ำนน้องชำยบนที่รำบสูง แต่อำรมณ์แปรปรวนก็ทำให้เขำทะเลำะกับน้องชำยจนได้
เขำตัดสินใจเดินทำงกลับเวียนนำในทันที แต่รถม้ำที่นั่งมำไม่มีเก้ำอี้และหลังคำ เบทโฮเฟินทนหนำวมำตลอดทำง
ทำให้เป็นโรคปอดบวม แต่ไม่นำนก็รักษำหำย
12 ธันวำคม ค.ศ. 1826 โรคเรื้อรังในลำไส้และตับของเบทโฮเฟินกำเริบหนัก อำกำรทรุดลงตำมลำดับ
26 มีนำคม ค.ศ. 1827 เบทโฮเฟินเสียชีวิตลง พิธีศพของเขำจัดขึ้นอย่ำงอลังกำรในโบสถ์เซนต์ ตรินิตี โดยมีผู้มำร่วมงำนกว่ำ
20,000 คน ศพของเขำถูกฝังอยู่ที่สุสำนกลำงในกรุงเวียนนำ
§รูปแบบทางดนตรีและนวัตกรรม[แก้]
ในประวัติศำสตร์ดนตรีแล้ว ผลงำนของเบทโฮเฟินแสดงถึงช่วงรอยต่อระหว่ำงยุคคลำสสิก (ค.ศ. 1750 - ค.ศ. 1810)
กับยุคโรแมนติก (ค.ศ. 1810 - ค.ศ. 1900) ในซิมโฟนีหมำยเลข 5 ของเขำ
เบทโฮเฟินได้นำเสนอทำนองหลักที่เน้นอำรมณ์รุนแรงในท่อนท่อน เช่นเดียวกับในอีกสำมท่อนที่เหลือ
(เป็นรูปแบบที่พบเห็นได้บ่อยในผลงำนประพันธ์ช่วงวัยเยำว์ของเขำ) ช่วงต่อระหว่ำงท่อนที่สำมกับท่อนสุดท้ำย
เป็นทำนองหลักของอัตทำกำโดยไม่มีกำรหยุดพัก และท้ำยสุด ซิมโฟนีหมำยเลข 9
ได้มีกำรนำกำรขับร้องประสำนเสียงมำใช้ในบทเพลงซิมโฟนีเป็นครั้งแรก (ในท่อนที่สี่)
ผลงำนทั้งหลำยเหล่ำนี้นับเป็นนวัตกรรมทำงดนตรีอย่ำงแท้จริง
เขำได้ประพันธ์อุปรำกรเรื่อง "ฟิเดลิโอ" โดยใช้เสียงร้องในช่วงควำมถี่เสียงเช่นเดียวกับเครื่องดนตรีในวงซิมโฟนี โดยมิได้คำนึงถึ
งขีดจำกัดของนักร้องประสำนเสียงแต่อย่ำงใด
หำกจะนับว่ำผลงำนของเขำประสบควำมสำเร็จต่อสำธำรณชน
นั่นก็เพรำะแรงขับทำงอำรมณ์ที่มีอยู่อย่ำงเปี่ยมล้นในงำนของเขำ
ในแง่ของเทคนิคทำงดนตรีแล้ว เบทโฮเฟินได้ใช้ทำนองหลักหล่อเลี้ยงบทเพลงทั้งท่อน
และนับเป็นผลสัมฤทธิ์ทำงดนตรีที่ไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งควำมเข้มข้นทำงจังหวะที่มีควำมแปลกใหม่อยู่ในนั้น
เบทโฮเฟินได้ปรับแต่งทำนองหลัก และเพิ่มพูนจังหวะต่ำง ๆ เพื่อพัฒนำกำรของบทเพลงเดียวกันตั้งแต่ต้นจนจบ
เขำใช้เทคนิคนี้ในผลงำนเลื่องชื่อหลำยบท ไม่ว่ำจะเป็นท่อนแรกของเปียโนคอนแชร์โตหมำยเลข 4 (ที่ใช้ตั้งแต่ห้องแรก)
ท่อนแรกของซิมโฟนีหมำยเลข 5 (ที่ใช้ตั้งแต่ห้องแรกเช่นกัน) ท่อนที่สองของซิมโฟนีหมำยเลข 7 (ในจังหวะอนำเปสต์)
กำรนำเสนอควำมสับสนโกลำหลของท่วงทำนองในรูปแบบแปลกใหม่ตลอดเวลำ
ควำมเข้มข้นของท่วงทำนองตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นที่ย้อนกลับมำสู่โสตประสำทของผู้ฟังอยู่เรื่อย ๆ อย่ำงไม่หยุดยั้ง
ส่งผลให้เกิดควำมประทับใจต่อผู้ฟังอย่ำงถึงขีดสุด
เบทโฮเฟินยังเป็นบุคคลแรก ๆ ที่ศึกษำศำสตร์ของวงออร์เคสตรำอย่ำงพิถีพิถัน ไม่ว่ำจะเป็นกำรพัฒนำบทเพลง
กำรต่อบทเพลงเข้ำด้วยกันโดยเปลี่ยนรูปแบบ และโดยเฉพำะอย่ำงยิ่งในโน้ตแผ่นที่เขำเขียนให้เครื่องดนตรีชิ้นต่ำง ๆ นั้น
ได้แสดงให้เห็นวิธีกำรนำเอำทำนองหลักกลับมำใช้ในบทเพลงเดียวกันในรูปแบบที่มีเอกลักษณ์
โดยมีกำรปรับเปลี่ยนเสียงประสำนเล็กน้อยในแต่ละครั้ง กำรปรับเปลี่ยนโทนเสียงและสีสันทำงดนตรีอย่ำงไม่หยุดยั้ง
เปรียบได้กับกำรเริ่มบทสนทนำใหม่ โดยที่ยังรักษำจุดอ้ำงอิงของควำมทรงจำเอำไว้
สำธำรณชนในขณะนี้จะรู้จักผลงำนซิมโฟนีและคอนแชร์โตของเบทโฮเฟินเสียเป็นส่วนใหญ่
มีน้อยคนที่ทรำบว่ำผลงำนกำรคิดค้นแปลกใหม่ที่สุดของเบทโฮเฟินนั้นได้แก่เชมเบอร์มิวสิค โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งโซนำตำสำหรับเ
ปียโน 32 บท และบทเพลงสำหรับวงควอเต็ตเครื่องสำย 16 บท นั้น นับเป็นผลงำนสร้ำงสรรค์ทำงดนตรีอันเจิดจรัส ---
โซนำตำสำหรับเครื่องดนตรีสองหรือสำมชิ้นนับเป็นผลงำนสุดคลำสสิก --- บทเพลงซิมโฟนีเป็นผลงำนคิดค้นรูปแบบใหม่ ---
ส่วนบทเพลงคอนแชร์โตนั้น ก็นับว่ำควรค่ำแก่กำรฟัง
§ผลงำนซิมโฟนี[แก้]
โยเซฟ ไฮเดินได้ประพันธ์ซิมโฟนีไว้กว่ำ 104 บท โมสำร์ทประพันธ์ไว้กว่ำ 40 บท หำกจะนับว่ำมีคีตกวีรุ่นพี่เป็นตัวอย่ำงที่ดีแล้ว
เบทโฮเฟินไม่ได้รับถ่ำยทอดมรดกด้ำนควำมรวดเร็วในกำรประพันธ์มำด้วย เพรำะเขำประพันธ์ซิมโฟนีไว้เพียง 9 บทเท่ำนั้น
และเพิ่งจะเริ่มประพันธ์ซิมโฟนีหมำยเลข 10 แต่สำหรับซิมโฟนีทั้งเก้ำบทของเบทโฮเฟินนั้น ทุกบทต่ำงมีเอกลักษณ์เฉพำะตัว
ซิมโฟนีสองบทแรกของเบทโฮเฟินได้รับแรงบันดำลใจและอิทธิพลจำกดนตรีในยุคคลำสสิก อย่ำงไรก็ดี ซิมโฟนีหมำยเลข 3
ที่มีชื่อเรียกว่ำ "อิรอยก้า" จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในกำรเรียบเรียงวงออร์เคสตรำของเบทโฮเฟิน
ซิมโฟนีบทนี้แสดงถึงควำมทะเยอทะยำนทำงดนตรีมำกกว่ำบทก่อน ๆ โดดเด่นด้วยควำมสุดยอดของเพลงทุกท่อน
และกำรเรียบเรียงเสียงประสำนของวงออร์เคสตรำ เพรำะแค่ท่อนแรกเพียงอย่ำงเดียวก็มีควำมยำวกว่ำซิมโฟนีบทอื่น ๆ
ที่ประพันธ์กันในสมัยนั้นแล้ว ผลงำนอันอลังกำรชิ้นนี้ได้ถูกประพันธ์ขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นโปเลียน
โบนำปำร์ต และส่งเบทโฮเฟินขึ้นสู่ตำแหน่งสุดยอดสถำปนิกทำงดนตรี และเป็นคีตกวีคนแรกแห่งยุคโรแมนติก
แม้ว่ำจะถูกมองว่ำเป็นซิมโฟนีที่สั้นกว่ำและคลำสสิกกว่ำซิมโฟนีบทก่อนหน้ำ
ท่วงทำนองของโศกนำฏกรรมในท่อนโหมโรงทำให้ซิมโฟนีหมำยเลข 4
เป็นส่วนสำคัญของพัฒนำกำรทำงรูปแบบของเบทโฮเฟิน
ต่อจำกนั้นก็ตำมมำด้วยซิมโฟนีสุดอลังกำรสองบทที่ถูกประพันธ์ขึ้นในคืนเดียวกัน อันได้แก่ซิมโฟนีหมำยเลข 5
และซิมโฟนีหมำยเลข 6 - หมำยเลข 5 นำเสนอทำนองหลักเป็นโน้ตสี่ตัว สั้น - สั้น - สั้น -
ยาว สำมำรถเทียบได้กับซิมโฟนีหมำยเลข 3 ในแง่ของควำมอลังกำร
และยังนำเสนอรูปแบบทำงดนตรีใหม่ด้วยกำรนำทำนองหลักของโน้ตทั้งสี่ตัวกลับมำใช้ตลอดทั้งเพลง ส่วนซิมโฟนีหมำยเลข 6
ที่มีชื่อว่ำ พาสโทราล นั้นชวนให้นึกถึงธรรมชำติที่เบทโฮเฟินรักเป็นหนักหนำ
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf
คีตกวีเอกของโลก.pdf

More Related Content

Similar to คีตกวีเอกของโลก.pdf

ประเภทวงดนตรีสากล
ประเภทวงดนตรีสากลประเภทวงดนตรีสากล
ประเภทวงดนตรีสากล
ditmusix
 
ดนตรี ม.3
ดนตรี ม.3ดนตรี ม.3
ดนตรี ม.3
Kruanchalee
 
ลักษณะเด่นของดนตรีในแต่ละวัฒนธรรม
ลักษณะเด่นของดนตรีในแต่ละวัฒนธรรมลักษณะเด่นของดนตรีในแต่ละวัฒนธรรม
ลักษณะเด่นของดนตรีในแต่ละวัฒนธรรม
อำนาจ ศรีทิม
 
ข้อสอบดนตรีชุดหนึ่ง
ข้อสอบดนตรีชุดหนึ่งข้อสอบดนตรีชุดหนึ่ง
ข้อสอบดนตรีชุดหนึ่ง
peter dontoom
 
วงดนตรีสากล
วงดนตรีสากลวงดนตรีสากล
วงดนตรีสากล
Pasit Suwanichkul
 
ข้อสอบ ม. 5 (วิเคราะห์)
ข้อสอบ ม. 5 (วิเคราะห์)ข้อสอบ ม. 5 (วิเคราะห์)
ข้อสอบ ม. 5 (วิเคราะห์)
WoraWat Somwongsaa
 
หลอดลม
หลอดลมหลอดลม
หลอดลม
Lional Messi
 

Similar to คีตกวีเอกของโลก.pdf (20)

Music
MusicMusic
Music
 
01999031 western music romantic
01999031 western music romantic01999031 western music romantic
01999031 western music romantic
 
เอกสารสังคีตนิยม
เอกสารสังคีตนิยมเอกสารสังคีตนิยม
เอกสารสังคีตนิยม
 
ประเภทวงดนตรีสากล
ประเภทวงดนตรีสากลประเภทวงดนตรีสากล
ประเภทวงดนตรีสากล
 
ดนตรี ม.3
ดนตรี ม.3ดนตรี ม.3
ดนตรี ม.3
 
ลักษณะเด่นของดนตรีในแต่ละวัฒนธรรม
ลักษณะเด่นของดนตรีในแต่ละวัฒนธรรมลักษณะเด่นของดนตรีในแต่ละวัฒนธรรม
ลักษณะเด่นของดนตรีในแต่ละวัฒนธรรม
 
Music drama
Music dramaMusic drama
Music drama
 
นาฏศิลป์สากล
นาฏศิลป์สากลนาฏศิลป์สากล
นาฏศิลป์สากล
 
ข้อสอบดนตรีชุดหนึ่ง
ข้อสอบดนตรีชุดหนึ่งข้อสอบดนตรีชุดหนึ่ง
ข้อสอบดนตรีชุดหนึ่ง
 
เครื่องสาย 2
เครื่องสาย 2เครื่องสาย 2
เครื่องสาย 2
 
สังคีตวิทยา.docx
สังคีตวิทยา.docxสังคีตวิทยา.docx
สังคีตวิทยา.docx
 
วงดนตรีสากล
วงดนตรีสากลวงดนตรีสากล
วงดนตรีสากล
 
TeST
TeSTTeST
TeST
 
Art
ArtArt
Art
 
Art
ArtArt
Art
 
ข้อสอบ ม. 5 (วิเคราะห์)
ข้อสอบ ม. 5 (วิเคราะห์)ข้อสอบ ม. 5 (วิเคราะห์)
ข้อสอบ ม. 5 (วิเคราะห์)
 
หลอดลม
หลอดลมหลอดลม
หลอดลม
 
แคนอีสาน
แคนอีสานแคนอีสาน
แคนอีสาน
 
วงดนตรีไทย ม.2 56
วงดนตรีไทย ม.2 56วงดนตรีไทย ม.2 56
วงดนตรีไทย ม.2 56
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 4 เรื่อง ประเภทของวงดนตรีสากล.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 4 เรื่อง ประเภทของวงดนตรีสากล.pdfใบความรู้ที่ 1 บทที่ 4 เรื่อง ประเภทของวงดนตรีสากล.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 4 เรื่อง ประเภทของวงดนตรีสากล.pdf
 

More from pinglada

More from pinglada (20)

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับทวีปยุโรป.doc
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับทวีปยุโรป.docความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับทวีปยุโรป.doc
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับทวีปยุโรป.doc
 
ประชาคมอาเซียน.docx
ประชาคมอาเซียน.docxประชาคมอาเซียน.docx
ประชาคมอาเซียน.docx
 
ประเทศในโลก.docx
ประเทศในโลก.docxประเทศในโลก.docx
ประเทศในโลก.docx
 
คีตกวีเอกของไทย.pdf
คีตกวีเอกของไทย.pdfคีตกวีเอกของไทย.pdf
คีตกวีเอกของไทย.pdf
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 7 เรื่อง โน้ตสากล.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 7 เรื่อง โน้ตสากล.pdfใบความรู้ที่ 1 บทที่ 7 เรื่อง โน้ตสากล.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 7 เรื่อง โน้ตสากล.pdf
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 8 เรื่อง กุญแจประจำหลัก.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 8 เรื่อง กุญแจประจำหลัก.pdfใบความรู้ที่ 1 บทที่ 8 เรื่อง กุญแจประจำหลัก.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 8 เรื่อง กุญแจประจำหลัก.pdf
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 6 เรื่อง การดูแลรักษาเครื่องดนตรี.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 6 เรื่อง การดูแลรักษาเครื่องดนตรี.pdfใบความรู้ที่ 1 บทที่ 6 เรื่อง การดูแลรักษาเครื่องดนตรี.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 6 เรื่อง การดูแลรักษาเครื่องดนตรี.pdf
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 4 เรื่อง ประเภทของวงดนตรีสากล.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 4 เรื่อง ประเภทของวงดนตรีสากล.pdfใบความรู้ที่ 1 บทที่ 4 เรื่อง ประเภทของวงดนตรีสากล.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 4 เรื่อง ประเภทของวงดนตรีสากล.pdf
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 9 เรื่อง จังหวะและเครื่องหมายกำหนดจังหวะ.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 9 เรื่อง จังหวะและเครื่องหมายกำหนดจังหวะ.pdfใบความรู้ที่ 1 บทที่ 9 เรื่อง จังหวะและเครื่องหมายกำหนดจังหวะ.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 9 เรื่อง จังหวะและเครื่องหมายกำหนดจังหวะ.pdf
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 10 เรื่อง การอ่านและการบันทึกโน้ตสากล.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 10 เรื่อง การอ่านและการบันทึกโน้ตสากล.pdfใบความรู้ที่ 1 บทที่ 10 เรื่อง การอ่านและการบันทึกโน้ตสากล.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 10 เรื่อง การอ่านและการบันทึกโน้ตสากล.pdf
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 5 เรื่อง ประเภทของเครื่องดนตรีสากล.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 5 เรื่อง ประเภทของเครื่องดนตรีสากล.pdfใบความรู้ที่ 1 บทที่ 5 เรื่อง ประเภทของเครื่องดนตรีสากล.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 5 เรื่อง ประเภทของเครื่องดนตรีสากล.pdf
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 3 เรื่อง ลักษณะของวงดนตรีสากล.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 3 เรื่อง ลักษณะของวงดนตรีสากล.pdfใบความรู้ที่ 1 บทที่ 3 เรื่อง ลักษณะของวงดนตรีสากล.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 3 เรื่อง ลักษณะของวงดนตรีสากล.pdf
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 2 เรื่่อง องค์ประกอบดนตรีสากล.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 2 เรื่่อง องค์ประกอบดนตรีสากล.pdfใบความรู้ที่ 1 บทที่ 2 เรื่่อง องค์ประกอบดนตรีสากล.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 2 เรื่่อง องค์ประกอบดนตรีสากล.pdf
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 4 เรื่อง ประเภทของวงดนตรีสากล.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 4 เรื่อง ประเภทของวงดนตรีสากล.pdfใบความรู้ที่ 1 บทที่ 4 เรื่อง ประเภทของวงดนตรีสากล.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 4 เรื่อง ประเภทของวงดนตรีสากล.pdf
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล.pdfใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 1 เรื่อง ประวัติดนตรีสากล.pdf
 
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 10 เรื่อง การอ่านและการบันทึกโน้ตสากล.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 10 เรื่อง การอ่านและการบันทึกโน้ตสากล.pdfใบความรู้ที่ 1 บทที่ 10 เรื่อง การอ่านและการบันทึกโน้ตสากล.pdf
ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 10 เรื่อง การอ่านและการบันทึกโน้ตสากล.pdf
 
ThaiMusic8.doc
ThaiMusic8.docThaiMusic8.doc
ThaiMusic8.doc
 
ThaiMusic5.doc
ThaiMusic5.docThaiMusic5.doc
ThaiMusic5.doc
 
ThaiMusic10.doc
ThaiMusic10.docThaiMusic10.doc
ThaiMusic10.doc
 
ThaiMusic11.doc
ThaiMusic11.docThaiMusic11.doc
ThaiMusic11.doc
 

คีตกวีเอกของโลก.pdf

  • 1. คีตกวีเอกของโลก คีตกวี คีตกวี เป็นคำศัพท์ทำงดนตรีที่พบได้บ่อยครั้ง หมำยถึง ผู้ประพันธ์ดนตรี มักจะใช้เรียกผู้ที่แต่งและเรียบเรียงดนตรีบำงประเภท โดยเฉพำะ ดนตรีคลำสสิก โดยที่ผู้แต่งเพลงมักจะแต่งทั้งท่วงทำนองหลัก และแนวประสำนทั้งหมด เพื่อให้นักดนตรีเป็นผู้นำบทเพลงนั้นไปบรรเลงอีกทอดหนึ่ง โดยนักดนตรีจะต้องบรรเลงทุกรำยละเอียดที่คีตกวีได้กำหนดไว้อย่ำงเคร่งครัด คำว่ำ คีตกวี ในภำษำไทยนี้ นิยมใช้เรียก ผู้ประพันธ์ดนตรีในแนวดนตรีคลำสสิกของตะวันตก โดยแปลมำจำกคำว่ำ composer นั่นเอง อย่ำงไรก็ดี บำงท่ำนอำจใช้คำว่ำ ดุริยกวี แต่ก็มีควำมหมำยอย่ำงเดียวกัน สำหรับผู้ที่แต่งเพลงในแนวดนตรีอื่นๆ มักจะเรียกว่ำ นักแต่งเพลงหรือ ครูเพลง เท่ำนั้น คีตกวี อำจไม่จำเป็นต้องประพันธ์ดนตรีลงในแผ่นกระดำษเพียงอย่ำงเดียว แต่อำจเป็นผู้บรรเลงบทประพันธ์นั้นเป็นครั้งแรก และในภำยหลังมีผู้อื่นนำไปใช้บรรเลงตำมก็ได้ชื่อว่ำ คีตกวี เช่นกัน โดยทั่วไปเรำจะรู้จัก คีตกวี ในฐำนะที่เป็น นักแสดงดนตรี แม้ว่ำหลำยท่ำนจะมีผลงำนกำรประพันธ์ดนตรี มำกกว่ำผลงำนกำรบรรเลงก็ตำม เช่น เบโทเฟิน, โมซำร์ท, วำกเนอร์ ฯลฯ ดนตรีคลาสสิก วงซิมโฟนีออเคสตรำ ดนตรีคลาสสิก (อังกฤษ: Classical music) เป็นรูปแบบหนึ่งของดนตรี ซึ่งมักจะหมำยถึงดนตรีที่เป็นศิลปะของตะวันตก กำรแสดงดนตรีคลำสสิกจะใช้เครื่องดนตรี 4 กลุ่ม กลุ่มแรก คือเครื่องสำย (String) แบ่งออกเป็น ไวโอลิน วิโอลำ เชลโล และดับเบิลเบส กลุ่มที่สอง คือ เครื่องลมไม้ (Woodwind) เช่น ฟลูต คลำริเน็ต โอโบ บำสซูน ปิคโคโล กลุ่มที่สำม คือ เครื่องลมทองเหลือง (Brass) เช่นทรัมเป็ต ทรอมโบน ทูบำ เฟรนช์ฮอร์น กลุ่มที่สี่ คือ เครื่องกระทบ(Percussion) เช่น กลองทิมปำนี ฉำบ กลองใหญ่ (Bass Drum) กิ๋ง(Triangle) เมื่อเล่นรวมกันเป็นวงเรียกว่ำวงดุริยำงค์หรือ ออร์เคสตรำ(Orchestra) ซึ่งมีผู้อำนวยเพลง (conductor) เป็นผู้ควบคุมวง ประวัติและเวลา
  • 2. ดนตรีคลำสสิกแบ่งออกเป็นยุค ดังนี้ ยุคกลาง (Medieval or Middle Age) พ.ศ. 1019 - พ.ศ. 1943) ดนตรีคลำสสิกยุโรปยุคกลำง หรือ ดนตรียุคกลาง ถือว่ำเป็นจุดกำเนิดของดนตรีคลำสสิก เริ่มต้นเมื่อประมำณปี พ.ศ. 1019 (ค.ศ. 476) ซึ่งเป็นปีล่มสลำยของจักรวรรดิโรมัน ดนตรีในยุคนี้มีจุดประสงค์หลักเพื่อประกอบพิธีกรรมทำงศำสนำ คำดกันว่ำมีต้นกำเนิดมำจำกดนตรีในยุคกรีกโบรำณ รูปแบบเพลงในยุคนี้เน้นที่กำรร้อง โดยเฉพำะเพลงสวด (Chant) ในตอนปลำยของยุคกลำงเริ่มมีกำรร้องเพลงแบบสอดทำนองประสำนด้วย ยุคเรเนสซองส์ (Renaissance) พ.ศ. 1943 - พ.ศ. 2143) เริ่มเมื่อประมำณปี พ.ศ. 1943 (ค.ศ. 1400) เมื่อเริ่มมีกำรเปลี่ยนแปลงศิลปะและฟื้นฟูศิลปะโบรำณยุคโรมันและกรีก แต่ดนตรียังคงเน้นหนักไปทำงศำสนำ เพียงแต่เริ่มมีกำรใช้เครื่องดนตรีที่หลำกหลำยขึ้น ลักษณะของดนตรีในสมัยนี้ยังคงมีรูปแบบคล้ำยยุคกลำงในสมัยศิลป์ใหม่ เพลงร้องยังคงนิยมกัน แต่เพลงบรรเลงเริ่มมีบทบำทมำกขึ้น ยุคบาโรค (Baroque) พ.ศ. 2143 - พ.ศ. 2293) ยุคนี้เริ่มขึ้นเมื่อมีกำรกำเนิดอุปรำกรในประเทศฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ. 2143 (ค.ศ. 1600) และสิ้นสุดลงเมื่อ โยฮันน์ เซบำสเทียน บำค เสียชีวิตลงในปี พ.ศ. 2293 (ค.ศ. 1750) แต่บำงครั้งก็นับกันว่ำสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2273 (ค.ศ. 1730) เริ่มมีกำรเล่นดนตรีเพื่อกำรฟังมำกขึ้นในหมู่ชนชั้นสูง นิยมกำรเล่นเครื่องดนตรีประเภทออร์แกนมำกขึ้น แต่ก็ยังคงเน้นหนักไปทำงศำสนำ นักดนตรีที่มีชื่อเสียงในยุคนี้ เช่น บำค วีวัลดีเป็นต้น ยุคคลาสสิก (Classical) พ.ศ. 2293 - พ.ศ. 2363) เป็นยุคที่มีกำรเปลี่ยนแปลงมำกที่สุด มีกฎเกณฑ์ แบบแผน รูปแบบและหลักในกำรเล่นดนตรีอย่ำงชัดเจน ศูนย์กลำงของดนตรียุคนี้คือประเทศออสเตรีย โดยเฉพำะที่กรุงเวียนนำ และเมืองมำนไฮม์ (Mannheim) เครื่องดนตรีมีวิวัฒนำกำรมำจนสมบูรณ์ที่สุด เริ่มมีกำรผสมวงที่แน่นอน คือ วงเชมเบอร์มิวสิกและวงออร์เคสตรำ ซึ่งในยุคนี้มีกำรใช้เครื่องดนตรีครบทุกประเภท และยังถือเป็นแบบแผนของวงออร์เคสตรำในปัจจุบัน นักดนตรีที่มีชื่อเสียงในยุคนี้ เช่น โมซำร์ท เป็นต้น ยุคโรแมนติก (Romantic) พ.ศ. 2363 - พ.ศ. 2443) เป็นยุคที่มีเริ่มมีกำรแทรกของอำรมณ์ในเพลง มีกำรเปลี่ยนอำรมณ์ กำรใช้ควำมดังควำมค่อยที่ชัดเจน ทำนอง จังหวะ ลีลำที่เน้นไปยังอำรมณ์ควำมรู้สึก ซึ่งต่ำงจำกยุคก่อน ๆ ที่ยังไม่มีกำรใส่อำรมณ์ในทำนอง นักดนตรีที่มีชื่อเสียงในยุคนี้ เช่น เบทโฮเฟิน ชูเบิร์ต โชแปง วำกเนอร์ บรำห์มส์ ไชคอฟสกี้ เป็นต้น ยุคอิมเพรสชันนิสม์ (Impressionism) พ.ศ. 2433 - พ.ศ. 2453) พัฒนำรูปแบบโดยนักดนตรีฝรั่งเศส มีเดอบูว์ซีเป็นผู้นำ ลักษณะดนตรีของยุคนี้เต็มไปด้วยจินตนำกำร อำรมณ์ที่เพ้อฝัน ประทับใจ ต่ำงไปจำกดนตรีสมัยโรแมนติกที่ก่อให้เกิดควำมสะเทือนอำรมณ์ ยุคศตวรรษที่ 20 ถึงปัจจุบัน (20th Century Music พ.ศ. 2443 - ปัจจุบัน) นักดนตรีเริ่มแสวงหำดนตรีที่ไม่ขึ้นกับแนวทำงในยุคก่อน จังหวะในแต่ละห้องเริ่มแปลกไปกว่ำเดิม ไม่มีโน้ตสำคัญเกิดขึ้น (Atonal) ระยะห่ำงระหว่ำงเสียงเริ่มลดน้อยลง ไร้ท่วงทำนอง แต่นักดนตรีบำงกลุ่มก็หันไปยึดดนตรีแนวเดิม เรียกว่ำนีโอคลาสสิก (Neo-Classic) นักดนตรีที่มีชื่อเสียงในยุคนี้ เช่นอิกอร์ สตรำวินสกี้ เป็นต้น แบ่งตำมประเภทวงที่บรรเลง และประเภทของกำรแสดง
  • 3. เครื่องดนตรีเดี่ยว เปียโนสี่มือ ,เปียโน เชมเบอร์มิวสิก วงดูโอ กำรผสมวงดนตรีร่วมกัน 2 คน เช่น เปียโนกับไวโอลิน หรือเปียโนกับนักร้อง วงทริโอ กำรผสมวงดนตรีร่วมกัน 3 คน เช่น ไวโอลิน 1, วิโอลำ 1, เชลโล่ 1 วงควอร์เต็ต กำรผสมวงดนตรีร่วมกัน 4 คน วงควินเต็ต กำรผสมวงดนตรีร่วมกัน 5 คน เช่น สตริงควินเต็ต (Strings Quintet) วงจะประกอบด้วยเครื่องสำย 5 ชิ้น ไวโอลิน 2, วิโอลำ 2, และเชลโล่ 1 วงเซ็กซ์เต็ต กำรผสมวงดนตรีร่วมกัน 6 คน วงซิมโฟนีออร์เคสตรำ อุปรำกร ละครบรอดเวย์ บัลเลต์ ขับร้อง ขับร้องเดี่ยว วงขับร้องประสำนเสียง แบ่งตำมโครงสร้ำงบทเพลง (Form) คอนแชร์โต - Concerto ซิมโฟนี - [English: Symphony | French: Symphonie | German: Sinfonia] โซนำต้ำ - Sonata ฟิวก์ - Fugue เป็นกำรประพันธ์เพลงที่ได้รับกำรพัฒนำอย่ำงมำกแขนงหนึ่ง นิยมในยุคบำโรค จะเริ่มต้นด้วยทำนองที่เรียกว่ำ Subject จำกนั้นจะเปลี่ยนแปลงทำนอง เรียกว่ำ Answer พรีลูด - Prelude บทเพลงที่เป็นบทนำดนตรี มักใช้คู่กับเพลงแบบฟิวก์ หรือใช้บรรเลงนำเพลงชุด สำหรับงำนเปียโนจะหมำยถึงบทเพลงสั้น ๆ และบำงครั้งมีควำมหมำยเหมือนกับบทเพลงโหมโรงอุปรำกร เช่น พรีลูดของวำกเนอร์ โอเวอร์เจอร์ - Overture เพลงโหมโรงที่บรรเลงก่อนกำรแสดงอุปรำกรหรือละคร รวมถึงประพันธ์ขึ้นเดี่ยว ๆ สำหรับบรรเลงคอนเสิร์ตโดยเฉพำะ เรียกว่ำ Concert Overture บัลลำด - Ballade เป็นบทประพันธ์ที่ไม่มีกฎเกณฑ์ตำยตัว พบมำกในงำนเปียโน ลักษณะเหมือนกำรเล่ำเรื่องหรือถ่ำยทอดควำมรู้สึกแบบบทกวี เอทู๊ด - Etude เป็นบทประพันธ์เพื่อฝึกหัดกำรบรรเลงด้วยเปียโนหรือไวโอลิน มำร์ช - March เป็นบทเพลงที่ประพันธ์เพื่อกำรเดินแถว ต่อมำพัฒนำไปสู่บทเพลงที่ใช้บรรเลงคอนเสิร์ต วำริเอชั่น - Variations แฟนตำเซีย หรือ ฟ็องเตซี - [Italian: Fantasia | French: Fantasy]
  • 4. น็อคเทิร์น - Nocturne/Notturno เป็นเพลงบรรเลงยำมค่ำคืน มีทำนองเยือกเย็นอ่อนหวำน จอห์น ฟิลด์ ริเริ่มประพันธ์สำหรับเปียโน ซึ่งต่อมำโชแปงได้พัฒนำขึ้น มินูเอ็ต - [French: Minuet |Italian: Menuet] เซเรเนด - Serenade เพลงขับร้องหรือบรรเลงที่มีทำนองเยือกเย็นอ่อนหวำน มักเป็นบทเพลงที่ผู้ชำยใช้เกี้ยวพำรำสีผู้หญิง โดยยืนร้องใต้หน้ำต่ำงในยำมค่ำคืน แคนนอน - Canon เป็นคีตลักษณ์ที่มีแบบแผนแน่นอน มีกำรบรรเลง ทำนองและกำรขับร้องที่เหมือนกันทุกประกำร แต่เริ่มบรรเลงไม่พร้อมกัน เรียกอีกชื่อว่ำ Round แคนแคน - Can-Can เป็นเพลงเต้นรำสไตล์ไนท์คลับของฝรั่งเศส เกิดในช่วงศตวรรษที่ 19 คำปริซ - Caprice บทบรรเลงสำหรับเครื่องดนตรีที่มีลักษณะอิสระ ไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ มักมีชีวิตชีวำ โพลก้ำ - Polka เพลงเต้นรำแบบหนึ่ง มีกำเนิดมำจำกชนชำติโบฮีเมียน ตำรันเตลลำ - Tarantella กำรเต้นรำแบบอิตำเลียน มีจังหวะที่เร็ว จิก - Gigue เป็นเพลงเต้นรำของอิตำลี เกิดในศตวรรษที่ 18 มักอยู่ท้ำยบทของเพลงประเภทสวีต (Suite) กำวอท - Gavotte เป็นเพลงเต้นรำของฝรั่งเศส ในศตวรรษที่ 17 มีรูปแบบแบบสองตอน (Two-parts) มักเป็นส่วนหนึ่งของเพลงประเภทสวีต (Suite) โพโลเนส - Polonaise เป็นเพลงเต้นรำประจำชำติโปแลนด์ เกิดในรำชสำนัก โชแปงเป็นผู้ประพันธ์เพลงลักษณะนี้สำหรับเปียโนไว้มำก สวีต - Suite เพลงชุดที่นำบทเพลงที่มีจังหวะเต้นรำมำบรรเลงต่อกันหลำย ๆ บท พบมำกในอุปรำกรและบัลเลต์ อำรำเบส - Arabesque เป็นดนตรีที่มีลีลำแบบอำหรับ ฮิวเมอเรสค์ - Humoresque เป็นบทประพันธ์สั้น ๆ มีลีลำสนุกสนำนร่ำเริง มีชีวิตชีวำ ทอคคำต้ำ - Toccata บทเพลงสำหรับเครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ด มีทำนองที่รวดเร็ว อิสระ ในแบบฉบับของเคำน์เตอร์พอยท์ บำกำเตล - Bagatelle เป็นคีตนิพนธ์ชิ้นเล็ก ๆ สำหรับเปียโน มีจุดเด่นคือทำนองจำได้ง่ำย เช่น Fur Elise ดิแวร์ติเมนโต - Divertimento บทเพลงทำงศำสนำ - Sacred Music โมเต็ต - Motet เพลงขับร้องในพิธีกรรมของศำสนำคริสต์ ใช้วงขับร้องประสำนเสียงในกำรร้องหมู่ ภำยหลังจึงเริ่มมีเครื่องดนตรีประกอบเสียงร้อง แพสชั่น - Passion เพลงสวดที่มีเนื้อหำเกี่ยวกับควำมทุกข์ยำกของพระเยซู ออรำทอริโอ - Oratorio เพลงขับร้อง บทร้องเป็นเรื่องขนำดยำวเกี่ยวกับศำสนำคริสต์ มีลักษณะคล้ำยอุปรำกร แต่ไม่มีกำรแต่งกำย ไม่มีฉำกและกำรแสดงประกอบ คันตำตำ - Cantata เพลงศำสนำสั้น ๆ มีทั้งร้องในโบสถ์และตำมบ้ำน แมส - Mass เพลงร้องประกอบในศำสนพิธีของศำสนำคริสต์ เรควีเอ็ม - Requiem เพลงสวดเกี่ยวกับควำมตำย รายชื่อคีตกวีแบ่งตามยุค ยุคกลำง เลโอแนง (Léonin, ประมำณค.ศ. 1130-1180) เพโรแตง (Pérotin หรือ Perotinus Magnus, ประมำณค.ศ. 1160-1220)
  • 5. จำคำโป ดำ โบโลนญำ (Jacapo da Bologna) ฟรำนเชสโก ลำนดินี (Francesco Landini, ประมำณค.ศ. 1325-1397) กิโยม เดอ มำโชต์ (Guillaume de Machaut, ประมำณค.ศ. 1300-1377) ฟิลิปเป เดอ วิทรี (Phillippe de Vitry) โซลำช (Solage) เปำโล ดำ ฟิเรนเซ (Paolo da Firenze) ยุคเรเนสซองส์ จอห์น ดันสเตเบิล (John Dunstable) กิโยม ดูเฟย์ (Guillaume Dufay) โยฮันเนส โอคีกัม (Johannes Ockeghem) โทมัส ทัลลิส (Thomas Tallis) จอสกิน เดส์ เพรซ์ (Josquin des Prez) ยำคอบ โอเบร็คท์ (Jacob Obrecht) โคลด เลอ เชิน (Claude Le Jeune) จิโอวันนี ปิแอร์ลุยจิ ดำ ปำเลสตรินำ (Giovanni Pierluigi da Palestrina) วิลเลียม เบิร์ด (William Byrd) คลอดิโอ มอนเทแวร์ดี (Claudio Monteverdi) ออร์ลันโด้ ดิ ลัสโซ (Orlando di Lasso) คำร์โล เกซวลโด (Carlo Gesualdo) อำดริออง วิลแลร์ต (Adriane Willaert) ยุคบำโรค ดิทริช บุกส์เตฮูเด (Dietrigh Buxtehude, ประมำณค.ศ. 1637-1707) โยฮันน์ พำเคลเบล (Johann Pachelbel, ค.ศ. 1653-1706) อเลสซำนโด สกำร์แลตตี (Alessando Scarlatti, ค.ศ. 1660-1725) อันโตนีโอ วีวัลดี (Antonio Vivaldi, ค.ศ. 1678-1714) โยฮันน์ เซบำสเตียน บำค (Johann Sebastian Bach, ค.ศ. 1685-1750) เกออร์ก ฟรีดริค ฮันเดล (Georg Friedrich Händel, ค.ศ. 1685-1759) ฌอง-แบ๊ปติสต์ ลุลลี่ (Jean Baptist Lully) ฌอง ฟิลลิป รำโม (Jean Phillippe Rameau) เกออร์ก ฟิลลิป เทเลมันน์ (Georg Phillip Telemann) เฮ็นรี่ เพอร์เซ็ล (Henry Purcell) ยุคคลำสสิก คริสตอฟ วิลลิบัลด์ กลุ๊ค (Christoph Willibald Gluck, ค.ศ. 1750-1820) ฟรำนซ์ โยเซฟ ไฮเดิน (Franz Joseph Haydn, ค.ศ. 1732-1809)
  • 6. โวล์ฟกัง อมำเดอุส โมสำร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart, ค.ศ. 1756-1791) ลุดวิก ฟำน เบโทเฟน (Ludwig van Beethoven, ค.ศ. 1770-1827) คำร์ล ฟิลลิป เอ็มมำนูเอ็ล บำค (Carl Phillip Emanuel Bach) โยฮัน คริสเตียน บำค (Johann Christian Bach) ยุคโรแมนติก จิโออัคคิโน รอซสินี (Gioacchino Rossini) ฟรำนซ์ ปีเตอร์ ชูเบิร์ต (Franz Peter Schubert) เอกเตอร์ แบร์ลิออส (Hector Berlioz) เฟลิกซ์ เมนเดลโซห์น-บำร์โธลดี (Felix Mendelssohn-Batholdy) เฟรเดริก ฟรองซัวส์ โชแปง (Frédéric François Chopin) นิกโคโล ปำกำนินี (Niccolò Paganini) โรเบิร์ต อเล็กซำนเดอร์ ชูมันน์ (Robert Alexander Schumann) ฟรำนซ์ ลิซท์ (Franz Liszt) ริชำร์ด วำกเนอร์ (Richard Wagner) จูเซปเป แวร์ดี (Giuseppe Verdi) เบดริช สเมทำนำ (Bedrich Smetana) โยฮันเนส บรำห์มส์ (Johannes Brahms) จอร์จ บิเซต์ (Georges Bizet) ปีเตอร์ อิลยิช ไชคอฟสกี (Peter Ilyich Tchaikovsky) แอนโทนิน ดโวชำค (Antonín Dvořák) จิอำโคโม ปุชชีนี (Giacomo Puccini) กุสตำฟ มำห์เลอร์ (Gustav Mahler) เซียร์เกย์ รัคมำนีนอฟ (Sergej Rakhmaninov) ริชำร์ด สเตรำส์ (Richard Strauss) จีน ซิเบลิอุส (Jean Sibelius) โยฮันน์ ชเตรำสส์ ที่หนึ่ง บิดำ (Johann Strauss father) โยฮันน์ ชเตรำสส์ ที่สอง บุตร (Johann Strauss son) ฌำร์ค ออฟเฟนบำค (Jacques Offenbach) ชำร์ล กูโนด์ (Charles Gounod) อันโตน บรูคเนอร์ (Anton Bruckner) ฮูโก โวล์ฟ (Hugo Wolf) ยุคอิมเพรสชั่นนิสม์ โคล้ด เดอบุซซี (Claude Debussy) มอริซ รำเวล (Maurice Ravel)
  • 7. ยุคศตวรรษที่ 20 - ปัจจุบัน ชำร์ลส์ ไอฟส์ (Charles Ives) อำร์โนลด์ เชินแบร์ก (Arnold Schoenberg) คำร์ล ออร์ฟ (Carl Orff) เบลำ บำร์ต็อก (Béla Bartók) โซลตัน โคดำย (Zaltán Kodály) อิกอร์ สตรำวินสกี้ (Igor Stravinsky) อันโตน เวเบิร์น (Anton Webern) อัลบัน แบร์ก (Alban Berg) เซอร์เก โปรโคเฟียฟ (Sergei Prokofiev) พอล ฮินเดมิธ (Paul Hindemith) จอร์จ เกิร์ชวิน (George Gershwin) อำรอน คอปแลนด์ (Aaron Copland, ค.ศ. 1900-1990) ดมิทรี ดมิทรีวิช ชอสตำโควิช (Dmitri Dmitrievich Shostakovich, ค.ศ. 1906-1975) โอลิวิเยร์ เมสเซียง (Olivier Messiaen, ค.ศ. 1908-1992) เอลเลียต คำร์เตอร์ (Elliott Carter, ค.ศ. 1908-ปัจจุบัน) วิโทลด์ ลูโทสลำฟสกี้ (Witold Lutoslawski) จอห์น เคจ (John Cage, ค.ศ. 1912-1992) ปิแอร์ บูแลซ (Pierre Boulez, ค.ศ. 1925-ปัจจุบัน) ลูชำโน เบริโอ (Luciano Berio, ค.ศ. 1925-2003) คำร์ลไฮน์ สต็อกเฮำเซน (Karlheinz Stockhausen, ค.ศ. 1928-2006) ฟิลิป กลำส (Philip Glass) ลุยจิ โนโน (Luigi Nono) ยำนนิส เซนำคิส (Iannis Xenakis, ค.ศ. 1922-2001) มิลตัน แบ็บบิท (Milton Babbitt) วอล์ฟกัง ริห์ม (Wolfgang Rihm) อำร์โว แพรท (Arvo Pärt) โซเฟีย กุไบดูลินำ (Sofia Gubaidulina) Giya Kancheli ยอร์กี ลิเกตี (György Ligeti) กชึชตอฟ แปนแดแรตสกี (Krzysztof Penderecki) ยอร์กี เคอร์ทัค (György Kurtag) เฮลมุต ลำเคนมำนน์ (Helmut Lachenmann) สตีฟ ไรค์ (Steve Reich)
  • 8. จอห์น อดัมส์ (John Adams) John Zorn โตรุ ทำเคมิตสึ (Toru Takemitsu) Tan Dun Chen Yi Unsuk Chin คีตกวีชาวไทยที่ประพันธ์ดนตรีคลาสสิกในปัจจุบันที่มีงานดนตรีออกมาอย่างสม่่าเสมอ ณรงค์ฤทธิ์ ธรรมบุตร www.narongrit.com วีรชำติ เปรมำนนท์ จิรเดช เสตะพันธุ ณรงค์ ปรำงเจริญ www.narongmusic.com เด่น อยู่ประเสริฐ ภำธร ศรีกรำนนท์ บุญรัตน์ ศิริรัตนพันธ boonrut.blogspot.com วำนิช โปตะวนิช อภิสิทธ์ วงศ์โชติ อติภพ ภัทรเดชไพศำล สุรัตน์ เขมำลีลำกุล นบ ประทีปะเสน สิรเศรษฐ ปันฑุรอัมพร www.pantura-umporn.com วิบูลย์ ตระกูลฮุ้น อโนทัย นิติพล ยังไม่ได้จัดหมวดหมู่ เอริก ซำที (Erik Satie) คำร์ล เซอร์นี (Carl Czerny) โยฮันน์ ฟรีดริค ฟรำนซ์ เบิร์กมุลเลอร์ (Johann Friedrich Franz Burgmüller) ฟรำนซิส ปูเลงค์ (Francis Poulenc) คีตกวีเอกของโลก โยฮันน์ เซบำสเตียน บำค (Johann Sebastian Bach) ลุดวิจ ฟำน เบโทเฟน (Ludwig van Beethoven) โวล์ฟกัง อะมำเดอุส โมซำร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart) เฟรเดริก ฟรองซัวส์ โชแปง (Frédéric François Chopin) โรเบิร์ต อะเล็กซำนเดอร์ ชูมันน์ (Robert Alexander Schumann) ฟรำนซ์ ปีเตอร์ ชูเบิร์ต (Franz Peter Schubert)
  • 9. อำนโตนิโอ วิวัลดิ (Antonio Vivaldi) ริชำร์ด วำกเนอร์ (Richard Wagner) ปีเตอร์ ไชคอฟสกี้ (Peter Tchaikovsky) โยฮันน์ สเตรำส์ บิดำ (Johann Strauss father) โยฮันน์ สเตรำส์ บุตร (Johann Strauss son) โยฮันเนส บรำห์ม (Johannes Brahms) จอร์จ เฟรดริก ฮันเดล (Georg Friedrich Händel) เอริก ซำที (Erik Satie) อิกอร์ สตรำวินสกี้ (Igor Stravinsky) เอกเตอร์ แบร์ลิออส (Hector Berlioz) จอร์เจอส์ บิเซท (Georges Bizet) เบลำ บำร์ต็อก (Béla Bartók) คำร์ล เซอร์นี (Carl Czerny) แอนโทนิน ดโวชำค (Antonín Dvořák) โคล้ด เดอบุซซี (Claude Debussy) เบิร์กมุลเลอร์ (Johann Friedrich Franz Burgmüller) ชำร์ลส กูนอด (Charles Gounod) ฟรำนซ์ โจเซฟ ไฮเดิน (Franz Joseph Haydn) ฟร้ำนซ์ ลิซท์ (Franz Liszt) คำร์ล ออร์ฟ (Carl Orff) ชำคส์ ออฟเฟนบำค (Jacques Offenbach) จิอำโคโม ปุชชินี (Giacomo Puccini) ฟรำนซิส ปูเลงค์ (Francis Poulenc) จูเซปเป เวอร์ดิ (Giuseppe Verdi) ดิมิทรี ดิมิทรีวิช ชอสตำโกวิช (Dimitri Shostakovich) กุสตำฟ มำห์เลอร์ (Gustav Mahler) สก็อต จอปลิน (Scott Joplin) อำนโตนิโอ ซำลิเอรี (Antonio Salieri) เซียร์เกย์ รัคมำนีนอฟ (Sergei Rachmaninoff)
  • 10. โยฮันน์ เซบาสเตียน บาค โยฮันน์ เซบำสเตียน บำค, ปี พ.ศ. 2291 วำดโดย อีเลียส ก็อตลอบ เฮำส์มันน์ (Elias Gottlob Haussmann) โยฮันน์ เซบาสเตียน บาค (เยอรมัน: Johann Sebastian Bach) เป็นคีตกวีและนักออร์แกนชำวเยอรมัน เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนำคม พ.ศ. 2228 (ค.ศ. 1685) ในครอบครัวนักดนตรี ที่เมืองไอเซนัค บำคแต่งเพลงไว้มำกมำยโดยดั้งเดิมเป็นเพลงสำหรับใช้ในโบสถ์ เช่น "แพชชั่น" บำคถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 28 กรกฎำคม พ.ศ. 2293 ที่เมืองไลพ์ซิจ บำคเป็นนักประพันธ์ดนตรีสมัยบำโรค เขำสร้ำงดนตรีของเขำจนกลำยเป็นเอกลักษณ์ของยุคสมัย บำคมีอิทธิพลอย่ำงสูงและยืนยำวต่อกำรพัฒนำดนตรีตะวันตก แม้แต่นักประพันธ์เพลงผู้ยิ่งใหญ่เช่น โมซำร์ท และเบโทเฟน ยัง ยอมรับบำคในฐำนะปรมำจำรย์ งำนของบำคโดดเด่นในทุกแง่ทุกมุม ด้วยควำมพิถีพิถันของบทเพลงที่เต็มไปด้วยท่วงทำนอง เสียงประสำน หรือ เทคนิคกำรสอดประสำนกันของท่วงทำนองต่ำง ๆ รูปแบบที่สมบูรณ์แบบ เทคนิคที่ฝึกฝนมำเป็นอย่ำงดี กำรศึกษำค้นคว้ำ แรงบันดำลใจอันเต็มเปี่ยม รวมทั้งปริมำณของบทเพลงที่แต่ง ทำให้งำนของบำคหลุดจำกวงจรทั่วไปของงำนสร้ำงสรรค์ที่ปกติแล้วจะเริ่มต้น เจริญเติบโตถึงขีดสุด แล้วเสื่อมสลำย นั่นคือไม่ว่ำจะเป็นเพลงที่บำคได้ประพันธ์ไว้ตั้งแต่วัยเยำว์ หรือเพลงที่ประพันธ์ในช่วงหลังของชีวิตนั้นจะมีคุณภำพทัดเทียมกัน §ประวัติ §ไอเซอบำค บำคถือกำเนิดในครอบครัวนักดนตรีที่ยึดอำชีพนักดนตรีประจำรำชสำนัก ประจำเมืองและโบสถ์ในมณฑลทูรินจ์มำหลำยชั่วอำยุ ซึ่งก็นับได้ว่ำโยฮันน์ เซบำสเตียน บำค เป็นรุ่นที่ห้ำแล้ว
  • 11. หำกจะนับกันตั้งแต่บรรพบุรุษที่บำครู้จัก นั่นคือนำยเวียต บำค ผู้มีชีวิตในคริสต์ศตวรรษที่ 16ในฐำนะเจ้ำของโรงโม่และนักดนตรีสมัครเล่นในฮังกำรี ตั้งแต่บำคเกิด สมำชิกครอบครับบำคที่เล่นดนตรีมีจำนวนหลำยสิบคน ทำให้ตระกูลบำคกลำยเป็นครอบครัวนักดนตรีที่สำคัญและเป็นที่รู้จักมำกที่สุดในประวัติศำสตร์ดนตรีตะวันตก บำคได้รับกำรศึกษำทำงดนตรีจำกบิดำ คือ โยฮันน์ อัมโบรซิอุส นักไวโอลิน เมื่ออำยุได้สิบปี เขำก็ต้องสูญเสียทั้งมำรดำและบิดำในเวลำที่ห่ำงกันเพียงไม่กี่เดือน ทำให้เขำต้องอยู่ในควำมอุปกำระของพี่ชำยคนโต โยฮันน์ คริสตอฟ บาค ผู้เป็นศิษย์ของโยฮันน์ พำเคลเบล และมีอำชีพเป็นนักเล่นออร์แกนในเมืองโอร์ดรุฟ ในขณะที่รับกำรศึกษำด้ำนดนตรีไปด้วย โยฮันน์ เซบำสเตียนได้แสดงให้เห็นควำมเป็นอัจฉริยะทำงดนตรี รวมทั้งยังช่วยครอบครัวหำเงินโดยกำรเป็นนักร้องในวงขับร้องประสำนเสียงของครอบครัว และยังชอบคัดลอกงำนประพันธ์และศึกษำผลงำนของนักประพันธ์อื่น ๆ ที่เขำสำมำรถพบหำได้อีกด้วยเช่นกันกับทุกคนที่ชื่นชอบนักดนตรีเอกของโลกอย่ำง โยฮันน์ เซบำสเตียน บำค §ลือเนอบูร์ก ทรัพย์สินเงินทองของพี่ชำยชองโยฮันน์ เซบำสเตียน มีจำกัด อีกทั้งพี่ชำยยังมีครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดู รำวปี พ.ศ. 2243(ค.ศ. 1700) โยฮันน์ เซบำสเตียน ก็ได้รับกำรตอบรับให้เข้ำเรียนที่โรงเรียนในโบสต์ (ลำ มิคำเอลิสสกูล) ที่เมืองลูนเบิร์ก ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ห่ำงออกไปทำงเหนือรำว 200 กิโลเมตร ซึ่งเขำต้องเดินทำงด้วยเท้ำไปเข้ำเรียนที่นั่นพร้อมกับเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่ง นอกเหนือจำกกำรเรียนดนตรีแล้ว เขำยังได้ยังได้เรียนวำทศิลป์ ตรรกศำสตร์ ภำษำละติน ภำษำกรีก และภำษำฝรั่งเศส เขำยังได้ทำควำมรู้จักกับจอร์จ เบอห์ม นักดนตรีของ โจฮันเนส เคียร์ช และศิษย์ของ โยฮันน์ อำดัม เรนเคน นักเล่นออร์แกนคนดังของนครฮัมบูร์ก เรนเคนนี่เองที่เป็นคนสอนเขำเกี่ยวกับรูปแบบดนตรีของเยอรมนีตอนเหนือ ที่ลือเนบวร์ก เขำยังได้รู้จักกับนักดนตรีชำวฝรั่งเศสอพยพ โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งโธมำส์ เดอ ลำ เซลล์ ศิษย์ของลุลลี และด้วยกำรได้สัมผัสกับวัฒนธรรมทำงดนตรีในอีกรูปแบบ เขำได้คัดลอกบทเพลงสำหรับออร์แกนของนิโกลำส์ เดอ กรินยี และเริ่มติดต่อทำงจดหมำยกับ ฟร็องซัวส์ คูเปอแรง บำคศึกษำและวิเครำะห์โน้ตแผ่นของนักดนตรีที่มีชื่อเสียงด้วยควำมละเอียดรอบคอบ ควำมสนอกสนใจและควำมอยำกรู้อยำกเห็นของเขำมีมำก กระทั่งว่ำเขำยอมเดินเท้ำไปหลำยสิบกิโลเมตรเพื่อจะฟังกำรแสดงของนักดนตรีดัง เป็นต้นว่ำจอร์จ โบห์ม โยฮันน์ อำดัม เรนเคนและ วินเซนต์ ลึบเบ็ค และแม้กระทั่ง ดีทริช บุกซ์เตฮูเด้ ผู้ซึ่งโด่งดังกว่ำ มินิกิปปิ §อำร์นชตัดท์[แก้] ในปีพ.ศ. 2246 (ค.ศ.1703) บำคได้กลำยเป็นนักเล่นออร์แกนประจำเมืองอำร์นสตัดต์ เขำเริ่มมีชื่อเสียงอย่ำงรวดเร็วในฐำนะนักดนตรีเอก และนักดนตรีที่เล่นสดได้โดยไม่ต้องดูโน้ต §มึลเฮำเซ่น[แก้]
  • 12. ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2250(ค.ศ.1707) ถึง พ.ศ. 2251(ค.ศ.1708) เขำได้เป็นนักเล่นออร์แกนประจำเมืองมุห์ลโฮเซน บำคได้ประพันธ์เพลงแคนตำตำบทแรกขึ้น ซึ่งเป็นบทนำก่อนที่เขำจะเริ่มประพันธ์บทเพลงทำงศำสนำอันยิ่งใหญ่อลังกำร และเขำยังได้ประพันธ์บทเพลงสำหรับบรรเลงด้วยออร์แกนเพิ่มเติมด้วย อันเป็นผลงำนที่ยืนยันถึงควำมอัจฉริยะ ควำมลึกซึ้ง และควำมงำมอันบริสุทธิ์ของเขำ ทำให้บำคกลำยเป็นนักดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกำล ในบรรดำบทเพลงทำงศำสนำแล้ว ตลอดชั่วชีวิตของบำค เขำได้ใช้เวลำกับกำรประพันธ์เพลงคันตำต้ำ ร่วมห้ำปี หรือกว่ำสำมร้อยชิ้น ในบรรดำบทเพลงรำวห้ำสิบชิ้นที่สูญหำยไปนั้น ส่วนใหญ่เป็นเพลงที่ถูกประพันธ์ขึ้นในช่วงเวลำดังกล่ำว §ไวมำร์[แก้] ในระหว่ำงปี พ.ศ. 2251 ถึง พ.ศ. 2260 บำคดำรงตำแหน่งนักเล่นออร์แกน และนักไวโอลินเดี่ยวมือหนึ่ง ประจำวิหำรส่วนตัวของดยุคแห่งไวมำร์ ทำให้เขำมีทั้งออร์แกน เครื่องดนตรีและนักร้องประจำวงในครอบครอง ช่วงเวลำดังกล่ำวเป็นช่วงเวลำแห่งกำรสร้ำงสรรค์ผลงำนของบำคมำกมำย ไม่ว่ำจะเป็นเพลงบรรเลงด้วยออร์แกน คันตำต้ำ เพลงสำหรับฮำร์ปซิคอร์ด ที่ได้แรงบันดำลใจมำจำกปรมำจำรย์ทำงดนตรีชำวอิ ตำเลียนทั้งหลำย §เคอเท่น[แก้] ระหว่ำงปี พ.ศ. 2260 (ค.ศ.1717) ถึง พ.ศ. 2266 (ค.ศ.1723) เขำได้ตำรงตำแหน่งผู้ดูแลวิหำรประจำรำชสำนักของเจ้ำชำยอำนฮัลต์-เคอเธ่น เจ้ำชำยเป็นนักดนตรีและนักเล่นฮำร์ปซิคอร์ด ช่วงเวลำอันแสนสุขของกำรเติบโตในหน้ำที่กำรงำน ได้เป็นแรงผลักดันให้เขำประพันธ์ผลงำนที่ยิ่งใหญ่มำกมำย สำหรับบรรเลงด้วย ลิวต์(Lute) ฟลู้ต ไวโอลิน(โซนำตำและบทเพลงสำหรับเดี่ยวไวโอลิน) ฮำร์ปซิคอร์ด(หนังสือเว็ลเท็มเปอร์คล าเวียร์ เล่มที่สอง) เชลโล(สวีทสำหรับเดี่ยวเชลโล) และบทเพลงบรันเด็นเบอร์ก คอนแชร์โต้ หกบท §ไลป์ซิก ระหว่ำงปี พ.ศ. 2268(ค.ศ.1725) ถึง พ.ศ. 2293(ค.ศ.1750) หรือเป็นระยะเวลำกว่ำ 25 ปีที่บำคพำนักอยู่ที่เมืองไลพ์ซิจ บำคได้สืบทอดตำแหน่งผู้อำนวยกำรดนตรีของโบสถ์เซนต์ โธมัส ในนิกำยลูเธอรัน ต่อจำกโยฮันน์ คูห์นำว เขำเป็นครูสอนดนตรีและภำษำละติน แต่ก็ยังต้องประพันธ์เพลงจำนวนมำกให้กับโบสถ์ โดยมีบทเพลงคันตำต้ำ (Cantata) ทุกวันอำทิตย์และวันนักขัตฤกษ์ ในขณะดำรงตำแหน่งนี้ เขำได้ประพันธ์คันตำต้ำไว้กว่ำ 126 บท แต่บทเพลงดังกล่ำวมักจะไม่ได้รับกำรถ่ำยทอดออกมำอย่ำงที่ควรเนื่องจำกขำดแคลนเครื่องดนตรี และนักดนตรีที่มีฝีมือ บำคได้ใช้แนวทำงเดิมในกำรประพันธ์บทเพลงใหม่ ๆ แต่ควำมเป็นอัจฉริยะ ควำมคิดสร้ำงสรรค์ และควำมฉลำดของเขำทำให้ผลงำนทุกชิ้นมีเอกลักษณ์ และถูกนับเป็นหนึ่งในผลงำนยอดเยี่ยมแห่งประวัติศำสตร์ดนตรีตะวันตก โดยเฉพำะ "เซนต์แมทธิวแพชชั่น" "แมส
  • 13. ในบันไดเสียงบีไมเนอร์" "เว็ลเท็มเปอร์คลาเวียร์" "มิวสิกคัล ออฟเฟอริ่ง" ดนตรีของบำคหลุดพ้นจำกรูปแบบทั่วไป โดยที่เขำได้ใช้ควำมสำมำรถของเขำอย่ำงเต็มพิกัด และถ่ำยทอดออกมำเป็นบทเพลงจนถึงขีดสุดของควำมสมบูรณ์แบบ §มรดกทำงดนตรี เมื่อโยฮันน์ เซบำสเตียน บำค ดนตรีบำโรคได้ถึงจุดสุดยอดและถึงกำลสิ้นสุดในเวลำอันรวดเร็ว หลังจำกกำรเสียชีวิตของบำค ดนตรีของเขำได้ถูกลืมไป เนื่องด้วยเพรำะมันล้ำสมัยไปแล้ว เช่นเดียวกับเทคนิคกำรสอดประสำนกันของท่วงทำนองต่ำงๆที่เขำพัฒนำให้มันสมบูรณ์แบบอย่ำงหำใดเทียมทำน บุตรชำยที่เขำได้ฝึกสอนดนตรีไว้ ไม่ว่ำจะเป็นวิลเฮ็ล์ม ฟรีดมำนน์ บำค คำร์ล ฟิลลิป เอ็มมำนูเอ็ล บำค โยฮันน์ คริสตอฟ ฟรีดริช บำคและ โยฮันน์ คริสเตียน บำค ได้รับถ่ำยทอดพรสวรรค์บำงส่วนจำกบิดำ และได้รับถ่ำยทอดเทคนิคกำรเล่นจำกบำค ก็ได้ทอดทิ้งแนวทำงดนตรีของบิดำเพื่อไปสนใจกับแนวดนตรีที่ทันสมัยกว่ำในที่สุด เช่นเดียวกับนักดนตรีร่วมสมัยเดียวกันกับบำค (เป็นต้นว่ำ เกออร์ก ฟิลลิป เทเลมันน์ผู้มีอำยุแก่กว่ำบำคสี่ปี ก็ได้รับอิทธิพลจำกดนตรีที่ทันสมัยกว่ำ) ปรำกฏกำรณ์นิยมแนวดนตรีใหม่นี้ก็เกิดกับ[[]]เช่นกัน จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อบำรอนฟำน สวีเทน ผู้หลงใหลในดนตรีบำโรคและมีห้องสมุดส่วนตัวสะสมบทเพลงบำโรคไว้เป็นจำนวนมำก ได้ให้โมซำร์ทชมผลงำนอันยิ่งใหญ่ของบำคบำงส่วน ทำให้ควำมมีอคติต่อดนตรีบำโรคของโมซำร์ทนั้นถูกทำลำยไปสิ้น จนถึงขั้นไม่สำมำรถประพันธ์ดนตรีได้ตลอดช่วงระยะเวลำหนึ่ง เมื่อเขำสำมำรถยอมรับมรดกทำงดนตรีของบำคได้แล้ว วิธีกำรประพันธ์ดนตรีของเขำก็เปลี่ยนไป รำวกับว่ำบำคมำเติมเต็มรูปแบบทำงดนตรีให้แก่เขำ โดยที่ไม่ต้องละทิ้งรูปแบบส่วนตัวแต่อย่ำงใด ตัวอย่ำงผลงำนของโมซำร์ทที่ได้รับอิทธิพลของบำคก็เช่น "เพลงสวดศพเรเควียม" "ซิมโฟนีจูปิเตอร์" ซึ่งท่อนที่สี่เป็นฟิวก์ห้ำเสียง ที่ประพันธ์ขึ้นโดยใช้เทคนิคกำรสอดประสำนกันของท่วงทำนองต่ำงๆ รวมทั้งบำงส่วนของอุปรำกรเรื่อง"ขลุ่ยวิเศษ" ลุดวิก ฟำน เบโทเฟนรู้จักบทเพลงสำหรับคลำวิคอร์ดของบำคเป็นอย่ำงดี จนสำมำรถบรรเลงบทเพลงส่วนใหญ่ได้ขึ้นใจ ตั้งแต่วัยเด็ก สำหรับประชำชนทั่วไปแล้ว ควำมเป็นอัจฉริยะของบำคไม่ได้เป็นที่รู้จักต่อสำธำรณชน จนกระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ 19 อันเนื่องมำจำกควำมพยำยำมของเฟลิกซ์ เม็นเดลโซห์น ผู้สืบทอดตำแหน่งผู้อำนวยกำรดนตรีที่โบสถ์เซนต์โธมัส แห่งเมืองไลพ์ซิจ นับแต่นั้นเป็นต้นมำ ผลงำนของบำคที่ยืนยงคงกระพันต่อกำรเปลี่ยนแปลงของรสนิยมทำงดนตรี ก็ได้กลำยเป็นหลักอ้ำงอิงที่มิอำจหำผู้ใดเทียมทำนได้ในบรรดำผลงำนดนตรีตะวันตก ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 30 ที่เมืองไลพ์ซิจ คำร์ล สโตรป ได้คิดค้นวิธีบรรเลงบทเพลงของบำคในรูปแบบใหม่ โดยกำรใช้เครื่องดนตรีที่มีประสิทธิภำพมำกกว่ำ และใช้วงขับร้องประสำนเสียงในแบบที่ยืดหยุ่นกว่ำที่บรรเลงและขับร้องกันในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เขำยังได้บรรเลงบทเพลงทำงทฤษฎี เป็นต้นว่ำ อาร์ต ออฟฟิวก์ (โดยใช้วงดุริยำงค์ประกอบด้วย) ผลสัมฤทธิ์ของแนวทำงใหม่นี้ได้เห็นเป็นรูปธรรมในคริสต์ทศวรรษที่ 50 โดยมีนักดนตรีอย่ำงกุสตำฟ เลออนฮำร์ทและบรรดำลูกศิษย์ลูกหำของเขำ รวมถึงนิโคเลำส์ อำร์นองกูต์ โดยที่กุสตำฟ เลออนฮำร์ทและนิโคเลำส์ อำร์นองกูต์เป็นนักดนตรีคนแรกๆที่บันทึกเสียงบทเพลงคันตำต้ำของบำคครบทุกบท
  • 14. แม้ว่ำดนตรีของบำคจะถูกตีควำมในลักษณะอื่น เช่น แจ๊ส (บรรเลงโดยฌำค ลูสิเยร์(Jaques Loussier) หรือ เวนดี คำร์ลอส) บรรเลงโดยใช้เครื่องดนตรีประเภทอื่น หรือถูกดัดแปลงเป็นแจ๊ส มันก็ยังคงเอกลักษณ์เดิมไว้ รำวกับว่ำโครงสร้ำงของบทเพลงที่โดดเด่นทำให้สิ่งอื่น ๆ กลำยเป็นแค่ส่วนประกอบเท่ำนั้น มำร์เซล ดูเปรสำมำรถบรรเลงบทเพลงทุกบทของบำคด้วยออร์แกนได้อย่ำงขึ้นใจ เช่นเดียวกับเฮลมุท วำลคำ นักเล่นออร์แกนชำวเยอรมัน ผู้ที่ตำบอดตั้งแต่เกิด แต่ก็ได้หัดเล่นเพลงของบำคโดยอำศัยกำรฟังอย่ำงตั้งอกตั้งใจ §แนวคิด « บำคเป็นคนประเภทที่เห็นคนอื่นๆเป็นเพียงเด็กน้อยในสำยตำของเขำ » โรเบิร์ต อเล็กซำนเดอร์ ชูมันน์ « หำกไม่มีบำค เทววิทยำคงขำดเป้ำหมำย กำรสร้ำงโลกของพระเจ้ำกลำยเป็นเพียงตำนำน และควำมว่ำงเปล่ำกลำยเป็นสิ่งที่ไม่อำจปฏิเสธได้», « หำกมีใครสักคนที่เป็นหนี้บุญคุณบำคทุกอย่ำง นั่นคงเป็นพระเจ้ำ », ซิโอร็อง, Syllogismes de l'amertume สำนักพิมพ์กัลลิมำร์ « ดนตรีของบำคมีแนวโน้มจะกลำยเป็นสิ่งมีชีวิต มีชีพจร และอำรมณ์ควำมรู้สึก» ปิแอร์ วิดำล « มีบำคก่อน...แล้วจึงมีคนอื่นๆตำมมำ » พำโบล คำซำลส์ « ถึงแม้ข้ำพเจ้ำจะมีควำมรักในศิลปินคนอื่น – ไม่ได้รักเบโทเฟน และโมซำร์ทน้อยไปกว่ำกัน – ข้ำพเจ้ำก็ไม่อำจเห็นด้วยกับคำกล่ำวของคำซำลส์ได้ บำคโดดเด่นกว่ำพวกเขำเหล่ำนั้นทั้งหมด » ปอล โทเทลลิเยร์ §บทประพันธ์ที่ส่าคัญ คันตาต้า BWV 4, BWV 6, BWV 78, BWV 106, BWV 140, BWV 136, BWV 198, BWV 146, BWV 177, BWV 127, BWV 35, BWV 51, BWV 56, BWV 82, BWV 201, BWV 205, BWV 208, BWV 211, BWV 212. BWV 245 ; เซนต์แมทธิวแพชชั่น, BWV 244 ; แมส ในบันไดเสียงบีไมเนอร์, BWV 232 ; คริสต์มาส โอราทอริโอ, BWV 248 ; มักนิฟิคัท, BWV 243 ; โมเต็ต, BWV 225 ถึง BWV 231 ; ท็อคคาต้า และ ฟิวก์ ในบันไดเสียง ดีไมเนอร์ สาหรับออร์แกน, BWV 565 และบทเพลงพรีลูด แอนด์ ฟิวก์อีกหลำยบท เป็นต้นว่ำ BWV 542, 543, 544, 545, 582; โกลด์แบร์ก วาริเอชั่น, BWV 988 ; พาร์ติต้าหกบทสาหรับคลาวิคอร์ด, BWV 825 ถึง BWV 830 ; อินเวนชั่นและซิมโฟนี, BWV 772 ถึง BWV 801 ; อินเวนชั่น, BWV 772 : สื่อ:Bach-invention-01.mid ซิมโฟนี, BWV 787 : สื่อ:Bwv787.mid เว็ลเท็มเพปร์คลาเวียร์, BWV 846 ถึง BWV 893 ; พรีลูดหมายเลข 1, BWV 846 : สื่อ:Wtk1-prelude1.mid โซนาต้า และพาร์ติต้าสาหรับเดี่ยวไวโอลิน, BWV 1001 ถึง BWV 1006 ;
  • 15. สวีทสาหรับเดี่ยวเชลโล, BWV 1007 ถึง BWV 1012 ; สวีทสาหรับเดี่ยวเชลโล, BWV 1008, โน้ตแผ่น : http://wikisource.org/wiki/Suite_pour_violoncelle%2C_II#Courante โซนาต้าสาหรับฟลู้ต, BWV 1013, BWV 1020, BWV 1030 ถึง BWV 1035 ; บรันเด็นเบอร์ก คอนแชร์โต หกบท, BWV 1046 ถึง BWV 1051 ; คอนแชร์โตสาหรับไวโอลิน, BWV 1041, BWV 1042, BWV 1043 ; คอนแชร์โตสาหรับฮาร์ปซิคอร์ด, BWV 1052 ถึง BWV 1065 ; สวีทสาหรับออร์เคสตร้า, BWV 1066 ถึง BWV 1070 ; มิวสิกคัล ออฟเฟอริ่ง, BWV 1079 ; อาร์ต ออฟ ฟิวก์, BWV 1080; Violin Sonata No. 1 in G minor(BWV 1001) ในลำยมือของบำค §การจัดเรียงผลงานการประพันธ์ ผลงำนดนตรีของบำคเรียงลำดับตัวเลขตำมหลังคำว่ำ BWV ซึ่งเป็นตัวย่อของ Bach Werke Verzeichnis แปลว่ำ แคตตาล็อกผลงานของบาค ตีพิมพ์ขึ้นในปี ค.ศ. 1950 เรียบเรียงโดยโวล์ฟกัง ชมีเดอร์ (Wolfgang Schmieder). แคตตำล็อกนี้ไม่ได้ถูกเรียงลำดับตำมเวลำที่ประพันธ์ แต่เรียงตำมลักษณะของบทประพันธ์. เช่น BWV 1-224 เป็นผลงำนคันตำต้ำ, BWV 225–48 เป็นผลงำนสำหรับกลุ่มนักร้องประสำนเสียง, BWV 250–524 เป็นผลงำนขับร้องและดนตรีศำสนำ, BWV 525–748 เป็นผลงำนสำหรับออร์แกน, BWV 772–994 เป็นผลงำนสำหรับเครื่องดนตรีคีย์บอร์ด, BWV 995–1000 เป็นผลงำนสำหรับลิวท์, BWV 1001–40 เป็นผลงำนดนตรีเชมเบอร์(chamber music), BWV 1041–71 เป็นผลงำนสำหรับวงดุริยำงค์ และ BWV 1072–1126
  • 16. เป็นผลงำนแคนนอน และ ฟิวก์ ในขั้นตอนกำรจัดเรียงแคตตำล็อกนี้ ชมีเดอร์เรียบเรียงตำม Bach Gesellschaft Ausgabe ที่เป็นผลงำนของบำคแบบครบถ้วนที่ตีพิมพ์ขึ้นในระหว่ำงปี ค.ศ. 1850-1905. ลุดวิจ ฟาน เบโทเฟน ลุดวิจ ฟำน เบทโฮเฟิน ใน ค.ศ. 1820 ลุดวิจ ฟาน เบทโฮเฟิน (เยอรมัน: Ludwig van Beethoven, เสียงอ่ำน: [ˈ luː tvɪ ç fan ˈ beː t.hoː fn̩]; 16 ธันวำคม ค.ศ. 1770 - 26 มีนำคม ค.ศ. 1827) เป็นคีตกวีและนักเปียโนชำวเยอรมัน เกิดที่เมืองบอนน์ ประเทศเยอรมนี เบทโฮเฟินเป็นตัวอย่ำงของศิลปินยุคโรแมนติกผู้โดดเดี่ยว และไม่เป็นที่เข้ำใจของบุคคลในยุคเดียวกันกับเขำ ในวันนี้เขำได้กลำยเป็นคีตกวีที่มีคนชื่นชมยกย่องและฟังเพลงของเขำกันอย่ำงกว้ำงขวำงมำกที่สุดคนหนึ่ง ตลอดชีวิตของเขำมีอุปสรรคนำนัปกำรที่ต้องฝ่ำฟัน ทำให้เกิดควำมเครียดสะสมในใจเขำ ในรูปภำพต่ำง ๆ ที่เป็นรูปเบทโฮเฟิน สีหน้ำของเขำหลำยภำพแสดงออกถึงควำมเครียด แต่ด้วยจิตใจที่แข็งแกร่งของเขำ ก็สำมำรถเอำชนะอุปสรรคต่ำง ๆ ในชีวิตของเขำได้ ตำนำนที่คงอยู่นิรันดร์เนื่องจำกได้รับกำรยกย่องจำกคีตกวีโรแมนติกทั้งหลำย เบทโฮเฟินได้กลำยเป็นแบบอย่ำงของพวกเขำเหล่ำนั้นด้วยควำมเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียมทำน ซิมโฟนีของเขำ (โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งซิมโฟนีหมำยเลข 5 ซิมโฟนีหมำยเลข 6 ซิมโฟนีหมำยเลข 7 และ ซิมโฟนีหมำยเลข 9) และคอนแชร์โตสำหรับเปียโนที่เขำประพันธ์ขึ้น (โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งคอนแชร์โตหมำยเลข 4 และหมำยเลข 5) เป็นผลงำนที่ได้รับควำมนิยมมำกที่สุด แต่ก็ มิได้รวมเอำควำมเป็นอัจฉริยะทั้งหมดของคีตกวีไว้ในนั้น §ประวัติ[แก้]
  • 17. บ้ำนเกิดของเบทโฮเฟินที่เมืองบอนน์ ภำพวำด ลุดวิจ ฟำน เบทโฮเฟิน ในค.ศ. 1783 ภำพวำด ลุดวิจ ฟำน เบทโฮเฟิน ในค.ศ. 1803 ภำพวำด ลุดวิจ ฟำน เบทโฮเฟิน ในค.ศ. 1815
  • 18. ภำพวำด ลุดวิจ ฟำน เบทโฮเฟิน ในค.ศ. 1823 ลุดวิจ ฟำน เบโธเฟนเกิดที่เมืองบอนน์ (ประเทศเยอรมนี) เมื่อวันที่ 16 ธันวำคม ค.ศ. 1770 และได้เข้ำพิธีศีลจุ่มในวันที่ 17 ธันวำคม ค.ศ. 1770 เป็นลูกชำยคนรองของโยฮันน์ ฟำน เบโธเฟน (Johann van Beethoven) กับ มำเรีย มักเดเลนำ เคเวริค (Maria Magdelena Keverich) ขณะที่เกิดบิดำมีอำยุ 30 ปี และมำรดำมีอำยุ 26 ปี ชื่อต้นของเขำเป็นชื่อเดียวกับปู่ และพี่ชำยที่ชื่อลุดวิจเหมือนกัน แต่เสียชีวิตตั้งแต่อำยุยังน้อย ครอบครัวของเขำมีเชื้อสำยเฟลมิช (จำกเมืองเมเชเลนในประเทศเบลเยียม) ซึ่งก็เป็นเหตุผลว่ำเหตุใด นำมสกุลของเขำจึงขึ้นต้นด้วย ฟาน ไม่ใช่ ฟอน ตำมที่หลำยคนเข้ำใจ บิดำเป็นนักนักร้องในคณะดนตรีประจำรำชสำนัก และเป็นคนที่ขำดควำมรับผิดชอบ ซ้ำยังติดสุรำ รำยได้เกินครึ่งหนึ่งของครอบครัวถูกบิดำของเขำใช้เป็นค่ำสุรำ ทำให้ครอบครัวยำกจนขัดสน บิดำของเขำหวังจะให้เบโธเฟนได้กลำยเป็นนักดนตรีอัจฉริยะอย่ำง โมสำร์ท นักดนตรีอีกคนที่โด่งดังในช่วงยุคที่เบทโฮเฟินยังเด็ ก จึงเริ่มสอนดนตรีให้ใน ค.ศ. 1776 ขณะที่เบทโฮเฟินอำยุ 5 ขวบ แต่ด้วยควำมหวังที่ตั้งไว้สูงเกินไป (ก่อนหน้ำเบโธเฟนเกิด โมสำร์ทสำมำรถเล่นดนตรีหำเงินให้ครอบครัวได้ตั้งแต่อำยุ 6 ปี บิดำของเบโธเฟนตั้งควำมหวังไว้ให้เบโธเฟนเล่นดนตรีหำเงินภำยในอำยุ 6 ปีให้ได้เหมือนโมสำร์ท) ประกอบกับเป็นคนขำดควำมรับผิดชอบเป็นทุนเดิม ทำให้กำรสอนดนตรีของบิดำนั้นเข้มงวด โหดร้ำยทำรุณ เช่น ขังเบโธเฟนไว้ในห้องกับเปียโน 1 หลัง , สั่งห้ำมไม่ให้เบโธเฟนเล่นกับน้อง ๆ เป็นต้น ทำให้เบทโฮเฟินเคยท้อแท้กับเรื่องดนตรี แต่เมื่อได้เห็นสุขภำพมำรดำที่เริ่มกระเสำะกระแสะด้วยวัณโรค ก็เกิดควำมพยำยำมสู้เรียนดนตรีต่อไป เพื่อหำเงินมำสร้ำงควำมมั่นคงให้ครอบครัว ค.ศ. 1777 เบทโฮเฟินเข้ำเรียนโรงเรียนสอนภำษำละตินสำหรับประชำชนที่เมืองบอนน์ ค.ศ. 1778 กำรฝึกซ้อมมำนำนสองปีเริ่มสัมฤทธิ์ผล เบโธเฟินสำมำรถเปิดคอนเสิร์ตเปียโนในที่สำธำรณะได้เป็นครั้งแรกในเดือนมีนำคม ขณะอำยุ 7 ปี 3 เดือน ที่เมืองโคโลญจน์ (Cologne) แต่บิดำของเบทโฮเฟินโกหกประชำชนว่ำเบทโฮเฟินอำยุ 6 ปี เพรำะหำกอำยุยิ่งน้อย ประชำชนจะยิ่งให้ควำมสนใจมำกขึ้น ในฐำนะนักดนตรีที่เก่งตั้งแต่เด็ก
  • 19. หลังจำกนั้น เบทโฮเฟินเรียนไวโอลินและออร์แกนกับอำจำรย์หลำยคน จนใน ค.ศ. 1781เบทโฮเฟินได้เป็นศิษย์ของคริสเตียน กอตท์โลบ นีเฟ (Christian Gottlob Neefe) ซึ่งเป็นอำจำรย์ที่สร้ำงควำมสำมำรถในชีวิตให้เขำมำกที่สุด นีเฟสอนเบทโฮเฟินในเรื่องเปียโนและกำรแต่งเพลง ค.ศ. 1784 เบทโฮเฟินได้เล่นออร์แกนในคณะดนตรีประจำรำชสำนัก ในตำแหน่งนักออร์แกนที่สอง มีค่ำตอบแทนให้พอสมควร แต่เงินส่วนใหญ่ที่หำมำได้ ก็หมดไปกับค่ำสุรำของบิดำเช่นเคย ค.ศ. 1787 เบทโฮเฟินเดินทำงไปยังเมืองเวียนนำ(Vienna) เพื่อศึกษำดนตรีต่อ เขำได้พบโมสำร์ท และมีโอกำสเล่นเปียโนให้โมสำร์ทฟัง เมื่อโมสำร์ทได้ฟังฝีมือของเบทโฮเฟินแล้ว กล่ำวกับเพื่อนว่ำเบทโฮเฟินจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในโลกดนตรีต่อไป แต่อยู่เมืองนี้ได้ไม่ถึง 2 สัปดำห์ ก็ได้รับข่ำวว่ำอำกำรวัณโรคของมำรดำกำเริบหนัก จึงต้องรีบเดินทำงกลับบอนน์ หลังจำกกลับมำถึงบอนน์และดูแลมำรดำได้ไม่นำน มำรดำของเขำก็เสียชีวิตลงในวันที่ 17 กรกฎำคม ค.ศ. 1787ด้วยวัย 43 ปี เบทโฮเฟินเศร้ำโศกซึมเซำอย่ำงรุนแรง ในขณะที่บิดำของเขำก็เสียใจไม่แพ้กัน แต่กำรเสียใจของบิดำนั้น ทำให้บิดำของเขำดื่มสุรำหนักขึ้น ไร้สติ จนในที่สุดก็ถูกไล่ออกจำกคณะดนตรีประจำรำชสำนัก เบทโฮเฟินในวัย 16 ปีเศษ ต้องรับบทเลี้ยงดูบิดำและน้องชำยอีก 2 คน ค.ศ. 1788 เบทโฮเฟินเริ่มสอนเปียโนให้กับคนในตระกูลบรอยนิงค์ เพื่อหำเงินให้ครอบครัว ค.ศ. 1789 เบทโฮเฟินเข้ำเป็นนักศึกษำไม่คิดหน่วยกิตในมหำวิทยำลัยบอนน์ ค.ศ. 1792 เบทโฮเฟินตั้งรกรำกที่กรุงเวียนนำ ประเทศออสเตรีย เบทโฮเฟินมีโอกำสศึกษำดนตรีกับโยเซฟ ไฮเดิน หลังจำกเขำเดินทำงมำเวียนนำได้ 1 เดือน ก็ได้รับข่ำวว่ำบิดำป่วยหนักใกล้จะเสียชีวิต (มำเวียนนำครั้งก่อน อยู่ได้ครึ่งเดือนมำรดำป่วยหนัก มำเวียนนำครั้งนี้ได้หนึ่งเดือนบิดำป่วยหนัก) แต่ครั้งนี้เขำตัดสินใจไม่กลับบอนน์ แบ่งหน้ำที่ในบอนน์ให้น้องทั้งสองคอยดูแล และในปีนั้นเองบิดำของเบทโฮเฟินก็สิ้นใจลงโดยไม่มีเบทโฮเฟินกลับไปดูใจ แต่เบทโฮเฟินเองก็ประสบควำมสำเร็จในกำรแสดงคอนเสิร์ตในฐำนะนักเปียโนเอก และเป็นผู้ที่สำมำรถเล่นได้โดยคิดทำนองขึ้นมำสด ๆ ทำให้เขำเป็นที่รู้จักอย่ำงกว้ำงขวำงในแวดวงและครอบครัวขุนนำง ค.ศ. 1795 เขำเปิดกำรแสดงดนตรีในโรงละครสำธำรณะในเวียนนำ และแสดงต่อหน้ำประชำชน ทำให้เบทโฮเฟินเริ่มเป็นที่รู้จักของประชำชนมำกขึ้น ค.ศ. 1796 ระบบกำรได้ยินของเบทโฮเฟินเริ่มมีปัญหำ เขำเริ่มไม่ได้ยินเสียงในสถำนที่กว้ำง ๆ และเสียงกระซิบของผู้คน เขำตัดสินใจปิดเรื่องหูตึงนี้เอำไว้ เพรำะในสังคมยุคนั้น ผู้ที่ร่ำงกำยมีปัญหำ(พิกำร) จะถูกกลั่นแกล้ง เหยียดหยำม จนในที่สุดผู้พิกำรหลำยคนกลำยเป็นขอทำน ดังนั้น เขำต้องประสบควำมสำเร็จให้ได้เสียก่อนจึงจะเปิดเผยเรื่องนี้ จำกนั้นเขำก็เริ่มประพันธ์บทเพลงขึ้นมำ แล้วจึงหันเหจำกนักดนตรีมำเป็นผู้ประพันธ์เพลง เขำสร้ำงสรรค์ผลงำนที่มีแนวแตกต่ำงไปจำกดนตรียุคคลำสสิกคือ ใช้รูปแบบยุคคลำสสิก แต่ใช้เนื้อหำจำกจิตใจ ควำมรู้สึกในกำรประพันธ์เพลง จึงทำให้ผลงำนเป็นตัวของตัวเอง เนื้อหำของเพลงเต็มไปด้วยกำรแสดงออกของอำรมณ์อย่ำงเด่นชัด ค.ศ. 1801 เบทโฮเฟินเปิดเผยเรื่องปัญหำในระบบกำรได้ยินให้ผู้อื่นฟังเป็นครั้งแรก แต่ครั้งนี้สังคมยอมรับ ทำให้เขำไม่จำเป็นต้องปกปิดเรื่องอำกำรหูตึงอีก หลังจำกนั้น ก็เป็นยุคที่เขำประพันธ์เพลงออกมำมำกมำย แต่เพลงที่เขำประพันธ์นั้นจะมีปัญหำตรงที่ล้ำสมัยเกินไป ผู้ฟังเพลงไม่เข้ำใจในเนื้อหำ แต่ในภำยหลัง เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ผู้คนเริ่มเข้ำใจในเนื้อเพลงของเบทโฮเฟิน บทเพลงหลำยเพลงเหล่ำนั้นก็เป็นที่นิยมล้นหลำมมำถึงปัจจุบัน
  • 20. เมื่อเบทโฮเฟินโด่งดังก็ย่อมมีผู้อิจฉำ มีกลุ่มที่พยำยำมแกล้งเบทโฮเฟินให้ตกต่ำ จนเบทโฮเฟินคิดจะเดินทำงไปยังเมืองคำสเซล ทำให้มีกลุ่มผู้ชื่นชมในผลงำนของเบทโฮเฟินมำขอร้องไม่ให้เขำไปจำกเวียนนำ พร้อมทั้งเสนอตัวให้กำรสนับสนุนกำรเงิน โดยมีข้อสัญญำว่ำเบทโฮเฟินต้องอยู่ในเวียนนำ ทำให้เขำสำมำรถอยู่ได้อย่ำงสบำย ๆ และผลิตผลงำนตำมที่ต้องกำรโดยไม่ต้องรับคำสั่งจำกใคร เบทโฮเฟินโด่งดังมำกในฐำนะคีตกวี อำกำรสูญเสียกำรได้ยินมีมำกขึ้น แต่เขำพยำยำมสร้ำงสรรค์ผลงำนจำกควำมสำมำรถและสภำพที่ตนเป็นอยู่ มีผลงำนชั้นยอดเยี่ยมให้กับโลกแห่งเสียงเพลงเป็นจำนวนมำก ผลงำนอันโด่งดังในช่วงนี้ได้แก่ ซิมโฟนีหมำยเลข 5 ที่เบทโฮเฟินถ่ำยทอดท่วงทำนองออกมำเป็นจังหวะ สั้น - สั้น - สั้น - ยาว อำกำรไม่ได้ยินรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และ ซิมโฟนีหมำยเลข 9 ที่เขำประพันธ์ออกมำเมื่อหูหนวกสนิทตั้งแต่ปี ค.ศ. 1819 เป็นต้นมำ รวมทั้งบทเพลงควอเต็ตเครื่องสำยที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเขำก็ประพันธ์ออกมำในช่วงเวลำนี้เช่นกัน ในช่วงนี้ เบทโฮเฟินมีอำรมณ์แปรปรวน เนื่องจำกปัญหำเกี่ยวกับหลำนชำยที่เขำรับมำอุปกำระ เขำถูกหำว่ำเป็นคนบ้ำ และถูกเด็ก ๆ ขว้ำงปำด้วยก้อนหินเมื่อเขำออกไปเดินตำมท้องถนน แต่ก็ไม่มีใครสำมำรถปฏิเสธควำมเป็นอัจฉริยะของเขำได้ แต่ภำยหลังเขำก็ได้พูดคุยปรับควำมเข้ำใจกับหลำนชำยเป็นที่เรียบร้อย ค.ศ. 1826 โรคเรื้อรังในลำไส้ที่เบทโฮเฟินเป็นมำนำนก็กำเริบหนัก หลังจำกรักษำแล้ว ได้เดินทำงมำพักฟื้นที่บ้ำนน้องชำยบนที่รำบสูง แต่อำรมณ์แปรปรวนก็ทำให้เขำทะเลำะกับน้องชำยจนได้ เขำตัดสินใจเดินทำงกลับเวียนนำในทันที แต่รถม้ำที่นั่งมำไม่มีเก้ำอี้และหลังคำ เบทโฮเฟินทนหนำวมำตลอดทำง ทำให้เป็นโรคปอดบวม แต่ไม่นำนก็รักษำหำย 12 ธันวำคม ค.ศ. 1826 โรคเรื้อรังในลำไส้และตับของเบทโฮเฟินกำเริบหนัก อำกำรทรุดลงตำมลำดับ 26 มีนำคม ค.ศ. 1827 เบทโฮเฟินเสียชีวิตลง พิธีศพของเขำจัดขึ้นอย่ำงอลังกำรในโบสถ์เซนต์ ตรินิตี โดยมีผู้มำร่วมงำนกว่ำ 20,000 คน ศพของเขำถูกฝังอยู่ที่สุสำนกลำงในกรุงเวียนนำ §รูปแบบทางดนตรีและนวัตกรรม[แก้] ในประวัติศำสตร์ดนตรีแล้ว ผลงำนของเบทโฮเฟินแสดงถึงช่วงรอยต่อระหว่ำงยุคคลำสสิก (ค.ศ. 1750 - ค.ศ. 1810) กับยุคโรแมนติก (ค.ศ. 1810 - ค.ศ. 1900) ในซิมโฟนีหมำยเลข 5 ของเขำ เบทโฮเฟินได้นำเสนอทำนองหลักที่เน้นอำรมณ์รุนแรงในท่อนท่อน เช่นเดียวกับในอีกสำมท่อนที่เหลือ (เป็นรูปแบบที่พบเห็นได้บ่อยในผลงำนประพันธ์ช่วงวัยเยำว์ของเขำ) ช่วงต่อระหว่ำงท่อนที่สำมกับท่อนสุดท้ำย เป็นทำนองหลักของอัตทำกำโดยไม่มีกำรหยุดพัก และท้ำยสุด ซิมโฟนีหมำยเลข 9 ได้มีกำรนำกำรขับร้องประสำนเสียงมำใช้ในบทเพลงซิมโฟนีเป็นครั้งแรก (ในท่อนที่สี่) ผลงำนทั้งหลำยเหล่ำนี้นับเป็นนวัตกรรมทำงดนตรีอย่ำงแท้จริง เขำได้ประพันธ์อุปรำกรเรื่อง "ฟิเดลิโอ" โดยใช้เสียงร้องในช่วงควำมถี่เสียงเช่นเดียวกับเครื่องดนตรีในวงซิมโฟนี โดยมิได้คำนึงถึ งขีดจำกัดของนักร้องประสำนเสียงแต่อย่ำงใด หำกจะนับว่ำผลงำนของเขำประสบควำมสำเร็จต่อสำธำรณชน นั่นก็เพรำะแรงขับทำงอำรมณ์ที่มีอยู่อย่ำงเปี่ยมล้นในงำนของเขำ ในแง่ของเทคนิคทำงดนตรีแล้ว เบทโฮเฟินได้ใช้ทำนองหลักหล่อเลี้ยงบทเพลงทั้งท่อน และนับเป็นผลสัมฤทธิ์ทำงดนตรีที่ไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งควำมเข้มข้นทำงจังหวะที่มีควำมแปลกใหม่อยู่ในนั้น เบทโฮเฟินได้ปรับแต่งทำนองหลัก และเพิ่มพูนจังหวะต่ำง ๆ เพื่อพัฒนำกำรของบทเพลงเดียวกันตั้งแต่ต้นจนจบ
  • 21. เขำใช้เทคนิคนี้ในผลงำนเลื่องชื่อหลำยบท ไม่ว่ำจะเป็นท่อนแรกของเปียโนคอนแชร์โตหมำยเลข 4 (ที่ใช้ตั้งแต่ห้องแรก) ท่อนแรกของซิมโฟนีหมำยเลข 5 (ที่ใช้ตั้งแต่ห้องแรกเช่นกัน) ท่อนที่สองของซิมโฟนีหมำยเลข 7 (ในจังหวะอนำเปสต์) กำรนำเสนอควำมสับสนโกลำหลของท่วงทำนองในรูปแบบแปลกใหม่ตลอดเวลำ ควำมเข้มข้นของท่วงทำนองตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นที่ย้อนกลับมำสู่โสตประสำทของผู้ฟังอยู่เรื่อย ๆ อย่ำงไม่หยุดยั้ง ส่งผลให้เกิดควำมประทับใจต่อผู้ฟังอย่ำงถึงขีดสุด เบทโฮเฟินยังเป็นบุคคลแรก ๆ ที่ศึกษำศำสตร์ของวงออร์เคสตรำอย่ำงพิถีพิถัน ไม่ว่ำจะเป็นกำรพัฒนำบทเพลง กำรต่อบทเพลงเข้ำด้วยกันโดยเปลี่ยนรูปแบบ และโดยเฉพำะอย่ำงยิ่งในโน้ตแผ่นที่เขำเขียนให้เครื่องดนตรีชิ้นต่ำง ๆ นั้น ได้แสดงให้เห็นวิธีกำรนำเอำทำนองหลักกลับมำใช้ในบทเพลงเดียวกันในรูปแบบที่มีเอกลักษณ์ โดยมีกำรปรับเปลี่ยนเสียงประสำนเล็กน้อยในแต่ละครั้ง กำรปรับเปลี่ยนโทนเสียงและสีสันทำงดนตรีอย่ำงไม่หยุดยั้ง เปรียบได้กับกำรเริ่มบทสนทนำใหม่ โดยที่ยังรักษำจุดอ้ำงอิงของควำมทรงจำเอำไว้ สำธำรณชนในขณะนี้จะรู้จักผลงำนซิมโฟนีและคอนแชร์โตของเบทโฮเฟินเสียเป็นส่วนใหญ่ มีน้อยคนที่ทรำบว่ำผลงำนกำรคิดค้นแปลกใหม่ที่สุดของเบทโฮเฟินนั้นได้แก่เชมเบอร์มิวสิค โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งโซนำตำสำหรับเ ปียโน 32 บท และบทเพลงสำหรับวงควอเต็ตเครื่องสำย 16 บท นั้น นับเป็นผลงำนสร้ำงสรรค์ทำงดนตรีอันเจิดจรัส --- โซนำตำสำหรับเครื่องดนตรีสองหรือสำมชิ้นนับเป็นผลงำนสุดคลำสสิก --- บทเพลงซิมโฟนีเป็นผลงำนคิดค้นรูปแบบใหม่ --- ส่วนบทเพลงคอนแชร์โตนั้น ก็นับว่ำควรค่ำแก่กำรฟัง §ผลงำนซิมโฟนี[แก้] โยเซฟ ไฮเดินได้ประพันธ์ซิมโฟนีไว้กว่ำ 104 บท โมสำร์ทประพันธ์ไว้กว่ำ 40 บท หำกจะนับว่ำมีคีตกวีรุ่นพี่เป็นตัวอย่ำงที่ดีแล้ว เบทโฮเฟินไม่ได้รับถ่ำยทอดมรดกด้ำนควำมรวดเร็วในกำรประพันธ์มำด้วย เพรำะเขำประพันธ์ซิมโฟนีไว้เพียง 9 บทเท่ำนั้น และเพิ่งจะเริ่มประพันธ์ซิมโฟนีหมำยเลข 10 แต่สำหรับซิมโฟนีทั้งเก้ำบทของเบทโฮเฟินนั้น ทุกบทต่ำงมีเอกลักษณ์เฉพำะตัว ซิมโฟนีสองบทแรกของเบทโฮเฟินได้รับแรงบันดำลใจและอิทธิพลจำกดนตรีในยุคคลำสสิก อย่ำงไรก็ดี ซิมโฟนีหมำยเลข 3 ที่มีชื่อเรียกว่ำ "อิรอยก้า" จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในกำรเรียบเรียงวงออร์เคสตรำของเบทโฮเฟิน ซิมโฟนีบทนี้แสดงถึงควำมทะเยอทะยำนทำงดนตรีมำกกว่ำบทก่อน ๆ โดดเด่นด้วยควำมสุดยอดของเพลงทุกท่อน และกำรเรียบเรียงเสียงประสำนของวงออร์เคสตรำ เพรำะแค่ท่อนแรกเพียงอย่ำงเดียวก็มีควำมยำวกว่ำซิมโฟนีบทอื่น ๆ ที่ประพันธ์กันในสมัยนั้นแล้ว ผลงำนอันอลังกำรชิ้นนี้ได้ถูกประพันธ์ขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นโปเลียน โบนำปำร์ต และส่งเบทโฮเฟินขึ้นสู่ตำแหน่งสุดยอดสถำปนิกทำงดนตรี และเป็นคีตกวีคนแรกแห่งยุคโรแมนติก แม้ว่ำจะถูกมองว่ำเป็นซิมโฟนีที่สั้นกว่ำและคลำสสิกกว่ำซิมโฟนีบทก่อนหน้ำ ท่วงทำนองของโศกนำฏกรรมในท่อนโหมโรงทำให้ซิมโฟนีหมำยเลข 4 เป็นส่วนสำคัญของพัฒนำกำรทำงรูปแบบของเบทโฮเฟิน ต่อจำกนั้นก็ตำมมำด้วยซิมโฟนีสุดอลังกำรสองบทที่ถูกประพันธ์ขึ้นในคืนเดียวกัน อันได้แก่ซิมโฟนีหมำยเลข 5 และซิมโฟนีหมำยเลข 6 - หมำยเลข 5 นำเสนอทำนองหลักเป็นโน้ตสี่ตัว สั้น - สั้น - สั้น - ยาว สำมำรถเทียบได้กับซิมโฟนีหมำยเลข 3 ในแง่ของควำมอลังกำร และยังนำเสนอรูปแบบทำงดนตรีใหม่ด้วยกำรนำทำนองหลักของโน้ตทั้งสี่ตัวกลับมำใช้ตลอดทั้งเพลง ส่วนซิมโฟนีหมำยเลข 6 ที่มีชื่อว่ำ พาสโทราล นั้นชวนให้นึกถึงธรรมชำติที่เบทโฮเฟินรักเป็นหนักหนำ