SlideShare a Scribd company logo
1 of 14
Part of speech
Partof Speech คือ คำภำษำอังกฤษที่เรำใช้พูดหรือเขียนทุกคำในแต่ละประโยคล้วนถือเป็น
Partof Speech หรือเป็น “ส่วนของคำพูด” ทั้งสิ้นคำแต่ละคำใน Partof Speech แบ่งออกเป็น 8ชนิด
1.Noun คำนำม
Noun คือ คำนำมภำษำอังกฤษเรียกคำนำมว่ำ “Noun” เป็นคำที่ใช้เรียกแทน คน สัตว์ สิ่งของ
สถำนที่ ควำมรู้สึก อำรมณ์ สภำวะ .. ซึ่งคำนำมมีทั้งรูปธรรมที่สำมำรถจับต้องได้
และนำมธรรมที่ไม่สำมำรถจับต้องได้ ซึ่งในภำษำไทยมักจะขึ้นต้นด้วยคำว่ำ กำร..หรือ …ควำม เช่น
กำรทำงำน ควำมรัก
เป็นต้น แบ่งเป็น
1.1 คำนำมทั่วไป (Common Noun)
คำนำมทั่วไปคือ คำที่ใช้แทนคน สัตว์ สิ่งของ สถำนที่ ทั่วๆ ไป ไม่เป็นกำรเจำะจง
คน: boy, girl, man, woman, father, mother, son, daughter, king, queen, teacher, doctor, student, nurse
สัตว์:cat, dog, bird, lion, tiger, fish, fly, spider, snake, whale
สิ่งของ:car, pen, map, bed, table, pillow, telephone, window, champoo, soap, powder, radio
สถำนที่:church, school, post office, police station, bank, market, hotel, hospital, restaurant, railway station
1.2 คำนำมเฉพำะ (Proper Noun)
คือ ชื่อของคน สัตว์ สิ่งของ สถำนที่
คน:Sam Smith, David Beckham, Barak Obama, Britney Spears, Simon, Somsee, Somchai, Saichon
สัตว์:Simba, Angel,Jerry, Buddy, Adam, Alwin, Bruno, Pluto, Kenney, Braily, Toto
สิ่งของ: ปกติจะเป็นยี่ห้อของสินค้ำต่ำงๆ เช่น Toyota, Lux, Samsung, Sony, Apple, Pantine, Panasonic
สถำนที่: หมู่บ้ำน เมือง ประเทศ ทวีป เช่น London, Tokyo, Canada, Italy, Asia, Africa, Singapore, China
ชื่อองค์กรต่ำงๆ:บริษัท ห้ำงร้ำน โรงเรียน โรงแรม เช่นOxford University, Toyota Corporation, DBS Bank
วัน เดือน วันหยุด : December, June, Monday, Sunday, Valentine, Christmas
สัญชำติ : Thai, Japanese, Chinese, American, English, Australian
สิ่งก่อสร้ำง : Big Ben, Buckingham Palace, the Taj Mahal, the Great wall of China, theStatue of Liberty
ธรรมชำติ: แม่น้ำ ลำคลอง ทะเลทะเลทรำย มหำสมุทร ภูเขำ เกำะ เช่น theNile River, Mount Fuji
**คำนำมเฉพำะจะขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่เสมอ ไม่ว่ำจะอยู่ส่วนไหนของประโยค
1.3 คำนำมนับได้ (CountableNoun)
นำมนับได้ คือ นำมที่นับได้เป็นตัว ๆเวลำนับก็นับตัวของมันเลย (มีหลำยชิ้นส่วนประกอบกัน)
เช่น cat แมว boy เด็กผู้ชำย pen ปำกกำ school โรงเรียน เป็นต้น
-acat แมวหนึ่งตัว / five cats แมวห้ำตัว
-aman ผู้ชำยหนึ่งคน / two men ผู้ชำยสองคน
-acar รถยนต์หนึ่งคัน / many cars รถยนต์หลำยคัน
-atown เมื่องหนึ่งแห่ง / ten towns เมืองสิบแห่ง
หลักกำรและกำรใช้ CountableNouns
1. สำมำรถใช้จำนวนนับ ( 1,2,3,…) นำหน้ำเพื่อนับจำนวนได้
-3cats, 5 apples, ten birds
2. สำมำรถใช้ a และ an นำหน้ำได้
-apen, a dog, a ruler
-an elephant, an orange, an ear, anegg
3. สำมำรถทำเป็นรูปพหูพจน์ได้
-dog= dogs, cat= cats
-pen =pens , egg = eggs
4. ใช้ How many + นำมพหูพจน์ เพื่อถำมจำนวน
-How manybirds are there in the zoo?
-There are ten birds.
1.4 คำนำมนับไม่ได้ (UncountableNoun)
นำมนับไม่ได้ คือนำมที่ไม่สำมำรถแยกนับได้ว่ำมีกี่คน กี่ตัว กี่สิ่ง หรือไม่นิยมนับ ดังนี้
1) เป็นผง, เป็นของเหลว, เป็นเม็ด หรือเป็นเส้นเล็กๆ เช่นsand , rice ,hair , flour , sugar, ink
2) คงสภำพเดิม แม้ว่ำจะถูกตัดหรือแบ่ง เช่นmeat, coffee, bread, soap
หลักกำรและกำรใช้ Uncountable Nouns
1. ไม่สำมำรถใช้จำนวนนับ ( 1,2,3,…) นำหน้ำเพื่อนับจำนวนได้
- oil, soap, water
2. ไม่สำมำรถใช้ a และan นำหน้ำได้
-tea, coffee
3. ไม่สำมำรถทำเป็นรูปพหูพจน์ได้ เป็นได้เพียงรูปเอกพจน์เท่ำนั้น
- tea = teas coffee =coffees ผิดนะครับ
4. ใช้ Howmuch+ นำม เพื่อถำมปริมำณ
- How much sugar do youwant?
- How much milk do youdrink aday?
5. เป็นได้เฉพำะนำมเอกพจน์ ใช้กริยำเอกพจน์
-Water is cool.
-Sugar is sweet.
1.5 คำนำมเอกพจน์ (SingularNoun)
นำมเอกพจน์ หมำยถึง นำมที่มีจำนวนเดียว (คนเดียว, ตัวเดียว, อันเดียว, แห่งเดียว)
-คนเดียว เช่น a man, a doctor, a boy, a sister, abrother, a king
-ตัวเดียว เช่น a dog, a pig, abird, a cat, a lion, a cow, a tiger
-อันเดียว เช่น an apple, a book, a car, a pen, a house, a fan
-สถำนที่เดียว เช่น a school, a bank, a station, a temple
1.6 คำนำมพหูพจน์ (Plural Noun)
นำมพหูพจน์ หมำยถึง นำมที่มีหลำยจำนวน (หลำยคน, หลำยตัว, หลำยอัน, หลำยแห่ง)
-หลำยคน เช่น men, doctors, boys, sisters, brothers, kings
-หลำยตัว เช่น dogs, pigs, birds, cats, lions, cows, tigers
-หลำยอัน เช่น apples, books, cars, pens, houses, fans
-หลำยสถำนที่ เช่น schools, banks, stations, temples
กำรเปลี่ยนคำนำมเอกพจน์เป็นพหูพจน์
1.เติม es ท้ำยคำนำมที่ลงท้ำยด้วย s, ss, sh, ch, x เช่นbus เปลี่ยนเป็น buses แปลว่ำ รถประจำทำง
2.เติม es ท้ำยคำนำมที่ลงท้ำยด้วย oและหน้ำ oเป็นพยัญชนะ เช่น heroเปลี่ยนเป็น heroes แปลว่ำ
วีรบุรุษ
* ถ้ำหำกว่ำหน้ำ oเป็นสระ ให้เติม s
radio เปลี่ยนเป็น radios แปลว่ำ วิทยุ
*เติม s สำหรับคำต่อไปนี้
photo เปลี่ยนเป็น photos แปลว่ำ รูปภำพ
3.คำนำมที่ลงท้ำยด้วย yและหน้ำ yเป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es เช่นfly
เปลี่ยนเป็น flies แปลว่ำ แมลงวัน
*ถ้ำหำกว่ำหน้ำ y เป็นสระ ให้เติม s เช่น day เปลี่ยนเป็น days แปลว่ำ วัน
4.นำมที่ลงท้ำยด้วย f หรือ feให้เปลี่ยน f หรือ fe เป็น v แล้วเติม es เช่นthief เปลี่ยนเป็น thieves
* เติม s สำหรับคำต่อไปนี้ chief เปลี่ยนเป็น chief s แปลว่ำ หัวหน้ำ
5.นำมที่ทำให้เป็นพหูพจน์ โดยกำรเปลี่ยนแปลงสระภำยใน เช่นman เปลี่ยนเป็น menแปลว่ำ ผู้ชำย
6.นำมที่ทำให้เป็นพหูพจน์ โดยกำรเติม enหรือ ren เช่นox แปลว่ำ วัวตัวผู้ เปลี่ยนเป็น oxen
7.คำนำมที่มีรูปเหมือนกัน ทั้งเอกพจน์ และพหูพจน์ เช่น fish พหูพจน์คือ fish แปลว่ำ ปลำ
8.คำนำมที่มีรูปเป็นเอกพจน์ แต่มีควำมหมำยเป็นพหูพจน์ เช่น cattle แปลว่ำ วัวควำย, ปศุสัตว์
9.คำนำมที่มีรูปเป็นพหูพจน์เสมอ ไม่มีรูปเอกพจน์ เช่น shorts แปลว่ำ กำงเกงขำสั้น
10.คำนำมที่มีรูปเป็นพหูพจน์ แต่มีควำมหมำยเป็นเอกพจน์ เช่น politics แปลว่ำ กำรเมือง
11.คำนำมผสม ทำให้เป็นพหูพจน์ที่คำนำมหลัก หรือ ทำทั้ง 2ส่วนเช่น father-in-law เปลี่ยนเป็น
fathers-in-law
2. Pronounคำสรรพนำม
Pronoun อ่ำนว่ำ โพร’เนำนฺ หมำยถึง คำสรรพนำม ก็คือคำที่ใช้แทนคำนำม (Noun)
และทำหน้ำที่เช่นเดียวกับคำนำมในภำษำอังกฤษ โดย Pronoun (คำสรรพนำม) แบ่งออกเป็น 5 ประเภท
2.1. Personal Pronouns
Personal Pronouns หมำยถึง คำสรรพนำมที่ใช้แทนนำมบุรุษที่ 1(ผู้พูด) นำมบุรุษที่ 2
(ผู้ฟัง) นำมบุรุษที่ 3(ผู้ที่ถูกกล่ำวถึง อำจเป็นคน สัตว์ และสิ่งของ)
Personal Pronouns แบ่งได้ 2 รูป คือ
1. Personal Pronouns รูปประธำน หมำยถึง คำสรรพนำมที่ใช้เป็นประธำน ได้แก่ I, You, We,
They, He, She, It เป็นต้น
2. Personal Pronouns รูปกรรม หมำยถึง คำสรรพนำมที่ใช้เป็นกรรมของประโยค
หลักกำรใช้ Personal Pronouns
1. หลัง than , as….as จะใช้รูปประธำนหรือรูปกรรม ต้องดูควำมหมำยของประโยค ถ้ำมี verb
ตำมมำใช้รูปประธำน ถ้ำเป็นกรรมของ verb ที่อยู่ข้ำงหน้ำใช้รูปกรรม
2. หลังกิริยำที่บอกสภำพ ได้แก่be , seem , look , like , appear มักจะใช้รูปกรรม เช่น
His father looks like him.
3. หลัง between …and …., let, except ใช้ในรูปกรรม เช่น Let us goout.There are some problems
between you and me.
2.2. Possessive Pronouns
Possessive Pronouns หมำยถึง คำสรรพนำมที่แสดงควำมเป็นเจ้ำของเช่น his , hers ,theirs , mine,
ours ,yours
หลักกำรใช้ Possessive Pronouns
1. ใช้เป็นประธำนของกิริยำหรือเป็นกรรมของกิริยำ หรือของบุพบท
-Hercar is red, but yours is blue. (yours แทน your car)
2. ใช้หลัง of หมำยถึง หนึ่งในบรรดำ (คน , ตัว , สิ่ง , อัน) ทั้งหลำยเหล่ำนี้
-John is a teacher of mine. (mine แทน myteacher)
2.3. Reflexive and Emphasizing Pronouns
Reflexive and Emphasizing Pronouns หมำยถึง Pronouns ที่ลงท้ำยด้วย self และ
selvesโดยทำหน้ำที่แตกต่ำงกัน
หลักกำรใช้ Reflexive Pronouns และ Emphasizing Pronouns
1. Reflexive Pronouns ใช้เป็นกรรมของประโยค
เมื่อกำรกระทำนั้นสะท้อนถึงประธำนหรือผู้พูดเป็นผู้รับกำรกระทำนั้นเอง ประธำนและกรรมจะเป็นคน
หรือสิ่งเดียวกัน
-Isaw myself in the mirror.
2. ใช้เน้นประธำน ซึ่งจะอยู่หลังประธำนหรือท้ำยประโยค
-I go toschool by myself.
2.4. IndefinitePronouns
Indefinite Pronouns คือ
คำสรรพนำมที่ไม่ชี้เฉพำะเจำะจงว่ำเป็นใครสิ่งใดหรืออันใดจะมีทั้งเอกพจน์และพหูพจน์
1. Indefinite Pronouns แบบเอกพจน์ ได้แก่a person ,anybody, one ,someone, anyone, each,
either, neither, everybody, everyone ,another ,anything , something ,the other, nothing
,much ,everything ,nobody ,no one, somebody
หมำยเหตุ – กำรใช้one….another , one… the other
1.1. ถ้ำหมำยควำมว่ำ “ไม่…ใดก็…หนึ่ง” หรือ “อีกหนึ่ง” ใช้oneคู่กับ another ได้
1.2. ถ้ำมีเพียงสองจำนวน หรือ สองส่วนเท่ำนั้น ใช้one คู่กับ the other ได้ เช่น
- Mary buys twobicycles, one for her daughter , and the otherfor her son.
2. Indefinite Pronouns แบบพหูพจน์ ใช้คำสรรพนำมรูปพหูพจน์ กิริยำจะเป็นพหูพจน์ด้วย
เช่น both , few, many several.
2.5. RelativePronouns
Relative Pronouns คือ สรรพนำมที่ใช้แทนคำนำมที่อยู่ข้ำงหน้ำ โดยทำหน้ำที่เชื่อม clauses
เข้ำด้วยกัน เช่น who , whom , whose , which , that , as
Relative Pronouns แบ่งตำมหน้ำที่ได้ดังนี้
1. Personal (คน) ได้แก่
who ใช้แทนคำนำมที่ทำหน้ำที่เป็นประธำนทั้งเอกพจน์และพหูพจน์
-Astudent whopays attention in the class gets a goodgrade.
-People wholive in Bangkok cope with thetraffic problem.
whom ใช้แทนคำนำมที่ทำหน้ำที่เป็นกรรมทั้งเอกพจน์และพหูพจน์
-The teacher whom I metyesterday is your uncle.
whose ใช้แทนคำนำมที่ทำหน้ำที่แสดงควำมเป็นเจ้ำของ
-This woman whose purse was lost is going to see thepolice.
2. Non-Personal (สัตว์, สิ่งของ) ได้แก่
which ใช้แทนคำนำมที่ทำหน้ำที่เป็นประธำนและกรรม
-The gift which I bought yesterday is so expensive.
*ในกรณีที่ which เป็น กรรมของ preposition จะต้องเอำpreposition มำไว้ข้ำงหน้ำ which ด้วย
-This is the house in which Mary lives.
-This is the thesis to which John refer.
*หำกเป็นกำรใช้เกี่ยวกับสถำนที่ in which , to which เช่น
-This is the house in which Mary lives. เป็น
-This is the house where Mary lives.
3. Adjective คำคุณศัพท์
Adjective (แอด’เจคทิฟว) หมำยถึง
คำที่ทำหน้ำที่ขยำยคำนำมหรือคำสรรพนำมเพื่อให้มีควำมสมบูรณ์มำกขึ้น เช่น
คำที่แสดงจำนวน, แสดงควำมเป็นเจ้ำของ, แสดงขนำด, รูปร่ำง, น้ำหนัก, ควำมสูง, บอกสี, เชื้อชำติ,ภำษำ
เป็นต้น โดยปกติแล้วในภำษำอังกฤษสำมำรถแบ่ง adjective ออกเป็น 11 ประเภท ดังนี้
1.Demonstrative adjective
ใช้เพื่อชี้เฉพำะเช่นthis, that, these, those, such
-I used to buythis kind of shirts.
2.Descriptive adjective
ใช้บอกลักษณะ เช่น good, pretty, happy, sorry, rich
-Shebrushed her long brownhair.
3.Distributive adjective
ใช้เพื่อแบ่งแยก เช่นeach, every, either, neither
-Every boy has one or the other pet.
4.Emphasizing adjective
ใช้เพื่อเน้นควำมเช่นown, very
5.Exclamatory adjective
ใช้เพื่อแสดงกำรอุทำน มักขึ้นต้นด้วย what
-What abeautiful flower is it.
6.Interrogative adjective
ใช้เพื่อแสดงเป็นคำถำม เช่น what, which, whose
-What movie are you watching.
7.Numeral adjective
ใช้บอกจำนวน เช่น one, three, first, second, double, triple
-The hand has five fingers.
8.Possessive adjective
ใช้แสดงควำมเป็นเจ้ำของ เช่น my, our, your, his, her
-Allan sold his dog.
9.Proper adjective
ใช้บอกสัญชำติ เช่น my, our,your, his, her
-Thai, English, Japanese
-I am Thai.
10.Quantitative adjective
ใช้บอกปริมำณ เช่นmuch, many, some, any, little
-Shehas alittle knowledge.
11.Relative adjective
ใช้ขยำยนำมที่ตำมหลัง
พร้อมทั้งทำหน้ำที่เป็นคำสันธำนเชื่อมประโยคหลังของตัวเองเข้ำกับประโยคข้ำงหน้ำ ได้แก่what,
whichever
-Give mewhat money you have.
ตำแหน่งกำรวำง Adjectives (คำคุณศัพท์)
1. adjective นำหน้ำคำนำม เช่นa beautiful woman, arich man
2. adjective อยู่หลัง linking verb (Verbto be , become , get , grow, feel , look , appear , seem ,
smell etc. คำกิริยำเหล่ำนี้ต้องตำมหลังด้วย Adjectives เสมอ เช่นJohn looks smart.
3. อยู่หลัง adjective หลำยตัวด้วยกัน โดยขยำยคำนำม หรือสรรพนำมได้ เช่น old blue shirt
4. adjective อยู่หลังคำนำมหรือคำสรรพนำมที่เป็นกรรมของกิริยำบำงคำ เช่น
like , get, make , etc. เช่น You made me happy.
เกณฑ์ในกำรเปลี่ยน Adjective ให้เป็นขั้นกว่ำและขั้นสูงสุด
1. คำ Adjective พยำงค์เดียวเติม er เมื่อเป็นขั้นกว่ำและเติม est เมื่อเป็นขั้นสูงสุด
old older oldest
2. คำ Adjective พยำงค์เดียวลงท้ำยด้วย e เติม r เมื่อเป็นขั้นกว่ำ และเติม st เมื่อเป็นขั้นสูงสุด
late later latest
3. คำ Adjective ที่ลงท้ำยด้วย y หน้ำy เป็นพยัญชนะควรเปลี่ยน yเป็น iแล้วเติม er เมื่อเป็นขั้นกว่ำ
และเติม est เมื่อเป็นขั้นสูงสุด
early earlier earliest
4. คำ Adjective
พยำงค์เดียวที่มีตัวสะกดตัวเดียวและสระตัวเดียว จะต้องเพิ่มตัวสะกดตัวสุดท้ำยอีกหนึ่งตัวก่อนแล้วเติม
er เมื่อเป็นขั้นกว่ำ และเติม est เมื่อเป็นขั้นสูงสุด
big bigger biggest
5. คำ Adjective ที่มีสองพยำงค์และเสียงเน้นหนักที่พยำงค์แรก อำจจะเติม er หลังคำ Adjective หรือ
moreหน้ำ Adjective เมื่อเป็นขั้นกว่ำ และ เติม est หลังคำ Adjective หรือ most หน้ำAdjective
เมื่อเป็นขั้นสูงสุด
quiet quieter quietest
6. คำ Adjective ที่มีสองพยำงค์ขึ้นไป เติม more เมื่อเป็นขั้นกว่ำ และเติม most
เมื่อเป็นขั้นสูงสุดหน้ำคำคุณศัพท์
beautiful more beautiful most beautiful
7. คำ Adjective บำงตัวเปลี่ยนรูปเมื่อเป็นขั้นกว่ำและขั้นสูงสุด
bad worse worst
8. คำ Adjective ที่มำจำก participle เติม more เมื่อเป็นขั้นกว่ำ และเติม most เมื่อเป็นขั้นสูงสุด
excited moreexcited most excited
4. Verb คำกริยำ
Verbs คือคำกริยำที่แสดงอำกำรเคลื่อนไหวของประธำน (Subject)
เพื่อให้ทรำบกำรกระทำของประธำน แบ่งออกเป็น 3ชนิด ดังนี้
1.Transitive Verbs คือ กริยำที่ยังไม่มีควำมหมำยสมบูรณ์ในตัวเอง
ต้องมีกรรมมำรับจึงจะทำให้มีควำมหมำยขึ้น เช่นCows eat grass. ต้องมี grass
ซึ่งเป็นกรรมมำรับไว้เพื่อทำให้ประโยคสมบูรณ์ขึ้น
2. Intransitive Verbs คือ กริยำที่มีควำมหมำยสมบูรณ์ได้ด้วยตัวเอง เช่น John
is swimming ไม่จำเป็นต้องมีกรรม ประโยคก็สมบูรณ์
3. Auxiliary Verbs คือ กริยำช่วย
เป็นกริยำที่ช่วยให้กริยำหลักมีควำมหมำยสมบูรณ์ขึ้นตำมเหตุกำรณ์ต่ำงๆ
หลักกำรใช้ Auxiliary Verbs โดยสรุปดังนี้
1.กริยำที่ตำมหลัง Auxiliary Verbs จะต้องอยู่ในรูป infinitive without to เสมอ เช่น
-Shecan speak English.
2.ในกรณีเป็นประโยคคำถำม จะต้องนำ Auxiliary Verbs ไว้หน้ำประโยค หรือ
กรณีเป็นประโยคปฎิเสธจะต้องเติม not หลัง Auxiliary Verbs เช่น
-Shecan speak English.
3.จะใช้Auxiliary Verbs ในกำรตอบคำถำมแบบย่อได้
-Doyou want tosee myuncle? Yes, I do. หรือ No, I don’t.
4. จะใช้ในประโยค Question Tag เช่น
-Shecan speak English, can’t she ?
5. จะใช้ในประโยคที่มี too, so, either, neither เช่น
-Shespeaks English and so do you.
5. Preposition คำบุพบท
Preposition คือ คำบุพบท ได้แก่คำที่ใช้แสดงสถำนที่ ตำแหน่ง กำรเคลื่อนไหว ทิศทำง เวลำ
ลักษณะ และควำมสัมพันธ์ คำบุพบทในภำษำอังกฤษอำจเป็นคำคำเดียว เช่น at, between, from สองคำ เช่น
next to, outof, across from หรือสำมคำ เช่น in frontof, in back of, on topof เป็นต้น
คำบุพบทตำมด้วยคำนำม คำสรรพนำม หรือกลุ่มคำนำม/นำมวลี (noun phrase)
5.1คำบุพบทแสดงสถำนที่ (preposition of place) ได้แก่at, on, in
at ใช้เมื่อกล่ำวถึงจุดหรือตำแหน่งของพื้นที่หรือเนื้อที่ที่มีลักษณะเป็นมิติเดียว ซึ่งบ่อยครั้งมัก
เป็นจุดในกำรเดินทำงหรือสถำนที่พบปะ เช่นTurn left atthe traffic lights..
at
ยังอำจใช้เมื่อกล่ำวถึงอำคำรหรือสถำนที่เมื่อเรำกำลังนึกถึงสิ่งที่คนทำภำยในอำคำรหรือสถำนที่เหล่ำนั้น เช่น
-Busaba is astudent atSukhothai Thammathirat Open University.
on ใช้เมื่อกล่ำวถึงพื้นผิวที่มีลักษณะสองมิติ เช่น beach, ceiling, computer or TV screen,
grass, the page of a book, wall, roof, road, table, shelf เป็นต้น เช่น
-I love lying on the beach.
in ใช้เมื่อกล่ำวถึงที่ ที่ว่ำง หรือเนื้อที่ที่มีลักษณะสำมมิติ เช่น box, city, country, cupboard, drawer,
house, library, room,car, pocket, building, village เป็นต้น
-What’s in the box?
-I live in Bangkok, butmy daughter lives in London..
5.2 คำบุพบทแสดงตำแหน่ง (preposition of position/location)
เช่น above ( ข้ำงบน เหนือ) , across from ( อีกฝั่งหนึ่งของ) , at the topof ( ด้ำนบนสุดของ) , at the
bottom of ( ด้ำนล่ำงสุดของ) , at the back of ( ด้ำนหลัง) , behind/in back of ( ข้ำงหลัง) , beside ( ข้ำง ๆ)
between ( ระหว่ำง) , by ( ข้ำง ๆใกล้ถัดจำก ติดกับ) , in frontof ( ข้ำงหน้ำ) , in the middle of ( ตรงกลำง) ,
near ( ใกล้) , next to ( ถัดจำก ติดกับ) , on topof ( บน ด้ำนบนของ) , opposite ( ตรงข้ำม) , underneath (
ข้ำงใต้ข้ำงล่ำง) เป็นต้น
5.3คำบุพบทแสดงกำรเคลื่อนไหว (preposition of motion)
เช่นaway, from…to,into, through, toward(s), out of เป็นต้น
5.4คำบุพบทแสดงทิศทำง (preposition of direction)
เช่น across, along, up, away from,down, to, from เป็นต้น
5.5 คำบุพบทแสดงเวลำ (preposition of time)
1.at ใช้กับเวลำตำมนำฬิกำและในสำนวน เช่น atdawn, at noon, at midday, at night, at
midnight, at bedtime, at lunchtime, at dinnertime, at sunrise, atsunset, at present, at themoment, atthe
same time เป็นต้น
2 .in ใช้กับเดือน ปี ทศวรรษ ศตวรรษ ฤดูกำล และสำนวน the first/second/third, etc./last
week
-InThailand, the weather’s great in December.
3 .on ใช้กับวันต่ำง ๆ ของสัปดำห์ วันที่ และในสำนวน เช่น on Monday morning, on
Friday evening, on Saturdaynight, on the weekend, onweekends เป็นต้น
4 .before ( ก่อน)
-We gotthere before anyone else.
-The year beforelast , I worked as a volunteer in a school in Pattani Province.
5. after ( ภำยหลัง หลังจำก).
-Can you come and see me again the dayafter tomorrow?
-After Wednesday we will begin our vacation.
6. during ( ระหว่ำง ในระหว่ำง)
-I’llbe really busy during the week.
-I always wake upduring thenight ..
7 .by( ภำยใน ไม่ภำยหลังจำก/ไม่ช้ำกว่ำ = nolater than)
-You must be in the office by 8:30 a.m.
5.6 คำบุพบทแสดงลักษณะ (preposition of manner)
เช่น in, with, without เป็นต้น เช่นHe spoke in a low voice.
5.7 คำบุพบทแสดงควำมสัมพันธ์ (preposition of relationship)
เช่น for, from,of, about, with, in เป็นต้น เช่นShe was sorry for him when he heard the truth.
6. Adverb กริยำวิเศษณ์
Adverbs หมำยถึง คำที่ทำหน้ำที่ขยำยกริยำ คำคุณศัพท์ กริยำวิเศษณ์ แบ่งออกเป็น 7 ชนิด คือ
1. Adverb of manner คือคำกริยำวิเศษณ์ที่บอกคุณลักษณะ เช่นfast , well , hardetc.
2. Adverb of place คือคำกริยำวิเศษณ์ที่บอกสถำนที่ เช่น there , here, up, down etc.
3. Adverb of time คือคำกริยำวิเศษณ์ที่บอกเวลำ เช่น now, today , soon etc.
4. Adverb of frequency คือคำกริยำวิเศษณ์ที่บอกควำมถี่ เช่นoften , always , usually etc.
5. Adverb of degree คือคำกริยำวิเศษณ์ที่บอกระดับ เช่น rather , too , very etc.
6. Interrogative Adverbs คือคำกริยำวิเศษณ์ที่เป็นคำถำม เช่น where, when , why etc.
7. Relative Adverbs คือกริยำวิเศษณ์ที่เป็นคำเชื่อม เช่น when , where , why etc.
หลักกำรเปลี่ยน Adverb เป็นขั้นกว่ำและขั้นสูงสุด มีดังนี้
1. ถ้ำมีพยำงค์เดียวเติม er เมื่อเป็นขั้นกว่ำ และเติม est เมื่อเป็นขั้นสูงสุด
2. ถ้ำมี 2 พยำงค์ขึ้นไปเติม more หน้ำadverb เมื่อเป็นขั้นกว่ำ และเติม most หน้ำ adverb
เมื่อเป็นขั้นสุด
3. adverb บำงตัวเปลี่ยนรูปเมื่อเป็นขั้นกว่ำและขั้นสุด
Adverb clauses
Adverb clauses คืออนุประโยคที่ทำหน้ำที่เหมือน Adverb แบ่งได้ดังนี้
1. Adverb Clause of Time คืออนุประโยคที่ทำหน้ำที่ขยำยกริยำ
เพื่อบอกให้ทรำบกำรกระทำนั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เช่น when ,while , since , as soon as , as long as , before,
after , until
2. Adverb Clause of
Place คืออนุประโยคที่ทำหน้ำที่ขยำยกริยำเพื่อบอกให้ทรำบว่ำกำรกระทำนั้นเกิดขึ้นที่ไหน เช่นwhere , as
far as , wherever
3.Adverb Clause of Cause คืออนุประโยคที่ทำหน้ำที่ขยำยกริยำ
เพื่อบอกให้ทรำบกำรกระทำนั้นเกิดขึ้นเพรำะอะไร เช่น because , since , as
4.Adverb Clause of Purpose คืออนุประโยคที่ทำหน้ำที่ขยำยกริยำ
เพื่อบอกให้ทรำบกำรกระทำนั่นเกิดขึ้นด้วยควำมมุ่งหมำยอะไร เช่น that, so that , in order that , lest , for
fear that
5. Adverb Clause of
Result คืออนุประโยคที่บอกผลที่เกิดจำกกำรกระทำอย่ำงใดอย่ำงหนึ่ง ได้แก่so +adj or adv + that
6. Adverb Clause of
Condition คืออนุประโยคที่บอกให้ทรำบว่ำกำรกระทำนั้นเกิดขึ้นด้วยเงื่อนไขอะไร เช่นif , if only , unless
, as long as , so long as
7.Adverb Clause of Concession คืออนุประโยคที่แสดงกำรยอมรับอย่ำงใดอย่ำงหนึ่ง เช่น though
, although , even though , however , whatever
8. Adverb Clause of
Manner คืออนุประโยคที่ทำหน้ำที่ขยำยกริยำเพื่อบอกอำกำรของกำรกระทำว่ำกระทำไปอย่ำงไร เช่นas ,
as if , as though
9.Adverb Clause of Comparison คืออนุประโยคที่ใช้ในกำรเปรียบเทียบ ปกติจะอยู่หลัง
as หรือ than
– ประโยคบอกเล่ำ as + adj หรือ (adv) +as
– ประโยคปฏิเสธ notso(as) + adj หรือ (adv) + as
7. Conjunction คำสันธำน
Conjunctive Adverb
Conjunctive Adverb เป็น Transitional words ที่ทำหน้ำที่เป็นตัวเชื่อมระหว่ำง 2ประโยค
โดยเพิ่มเติมข้อมูลจำกที่กล่ำวมำ เปรียบเทียบ อธิบำย เช่น however ,furthermore, accordingly
Correlation Conjunction
Correlation Conjunction เป็นสันธำน
หรือตัวเชื่อมที่ใช้เป็นคู่ในกำรเชื่อมข้อควำมหรือประโยค เช่น either…..or neither…..nor both…..and
not only…..but..also
Coordinate Conjunctions
มักใช้เชื่อม 2ส่วนที่เสมอภำคกัน เช่น เชื่อมระหว่ำงนำมกับนำม หรือ
คำวิเศษณ์กับคำวิเศษณ์ หรือ กริยำกับกริยำ หรือ ประโยคกับประโยค
ตัวอย่ำง Coordinate Conjunctions ได้แก่and ใช้เชื่อมแสดงควำมคล้อยตำม และเพิ่มเติมข้อมูล
or, nor แสดงกำรเลือกหรือเปรียบเทียบ so มักนำหน้ำผล for มักจะนำหน้ำสำเหตุหรือ เหตุผล
but, yet ใช้แสดงควำมขัดแย้ง
8. Interjection คำอุทำน
Interjection เป็นคำ วลี หรือประโยคที่อุทำน หรือพูดออกมำเพื่อแสดงควำมรู้สึกหรืออำรมณ์ ตกใจ
เจ็บปวด ตื่นเต้น โกรธ สนุกสนำน โดยมีเครื่องหมำย ! (Exclamation Mark) ปิดท้ำย ตัวอย่ำงเช่น Oh! Ah!
Yum! Hooray! That’s amazing!
*Interjection เวลำอยู่ในประโยคมักวำงไว้ข้ำงหน้ำสุด โดยมีเครื่องหมำย ! (Exclamation Mark)
หรือ , (Comma)
ตัวอย่ำงประโยคภำษำอังกฤษ
-Hey! Come on!
-Oh, That is a surprise.
-Good! now we can move on.
-Wow! I wonthe game!
Interjection ที่ตำมหลังด้วย , จะเป็นกำรอุทำนแบบเบำๆ ไม่รุนแรงนัก ถ้ำตำมหลังด้วยเครื่องหมำย !
ชื่อถึง อำรมณ์ ควำมรู้สึก หรือควำมประหลำดใจอย่ำงมำก
Interjection ที่ขึ้นต้นด้วย What และ How วิธีกำรใช้ดังนี้
-What +a….! เช่น What a pity!
-What +a (an) + adjective ดูหนัง+ คำนำมเอกพจน์นับได้ เช่นWhat an amazing car!
-What +a (an) + adjectiveคำนำมเอกพจน์นับได้ + ประธำน +กิริยำ! เช่นWhat a
beautiful dayit is!
-What +a (an) + adjectiveคำนำมเอกพจน์นับไม่ได้ (+ประธำน +กิริยำ)! เช่นWhat
pleasant -weather!
-What +adjective + คำนำมพหูพจน์ เช่น What lovely children!
-What +adjective + คำนำมพหูพจน์ + ประธำน +กริยำ! เช่นWhat stupid things you say!
-How +adjective! เช่น How sweet!
-How +adjective/adverb + ประธำน + กริยำ! เช่น How nice it is!
-How +adjective + กริยำ +ประธำน เช่น How clever am I!
“How adjective + กริยำ +ประธำน” กำรอุทำนแบบนี้มักจะพบใน American English
Interjection ที่ใช้so และ such ร่วมอยู่ด้วย
-so +adjective! เช่น You areso smeet!
-such + a/an+ (adjective) + คำนำมเอกพจน์นับได้! เช่นSuch a great experience!
-such + (adjective) + คำนำมเอกพจน์นับไม่ได้หรือคำนำมพหูพจน์! เช่น They are such
kind people!
นอกจำกใช้สื่ออำรมณ์ควำมรู้สึกต่ำงๆแล้ว interjection
ยังสำมำรถนำมำใช้เพื่อกำรอวยพร โห่ร้อง หรือแสดงควำมชื่นชมยินดีได้อีกด้วย เช่น Long live the
king!

More Related Content

What's hot

ลักษณะของคำภาษาไทย
ลักษณะของคำภาษาไทยลักษณะของคำภาษาไทย
ลักษณะของคำภาษาไทยSiraporn Boonyarit
 
การสร้างคำในภาษาไทย
การสร้างคำในภาษาไทยการสร้างคำในภาษาไทย
การสร้างคำในภาษาไทยbambookruble
 
Parts of speech
Parts of speechParts of speech
Parts of speechKwan Jai
 
สรุปสังคม O-net
สรุปสังคม O-netสรุปสังคม O-net
สรุปสังคม O-netWarissa'nan Wrs
 
ครั้ง๗
ครั้ง๗ครั้ง๗
ครั้ง๗vp12052499
 
แผ่นพับการสร้างคำ
แผ่นพับการสร้างคำแผ่นพับการสร้างคำ
แผ่นพับการสร้างคำKORKORAWAN
 
แกรมม่า 33 หน้า
แกรมม่า 33 หน้าแกรมม่า 33 หน้า
แกรมม่า 33 หน้าTriwat Talbumrung
 
4.ใบความรู้แผน ๑ หน่วย ๒
4.ใบความรู้แผน ๑ หน่วย ๒4.ใบความรู้แผน ๑ หน่วย ๒
4.ใบความรู้แผน ๑ หน่วย ๒Boom Beautymagic
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่องสื่อการสอนภาษาไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่องสื่อการสอนภาษาไทยโครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่องสื่อการสอนภาษาไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่องสื่อการสอนภาษาไทยNook Kanokwan
 
เอกสารประกอบวิชาอังกฤษ
เอกสารประกอบวิชาอังกฤษเอกสารประกอบวิชาอังกฤษ
เอกสารประกอบวิชาอังกฤษnaaikawaii
 
เรียนรู้เรื่อง Phrase วลี หรือกลุ่มคำ
เรียนรู้เรื่อง Phrase วลี หรือกลุ่มคำเรียนรู้เรื่อง Phrase วลี หรือกลุ่มคำ
เรียนรู้เรื่อง Phrase วลี หรือกลุ่มคำSiriporn Sonangam
 
บทที่ 3 a an some any (23 27)
บทที่ 3 a an some any (23 27)บทที่ 3 a an some any (23 27)
บทที่ 3 a an some any (23 27)Kruthai Kidsdee
 

What's hot (20)

ลักษณะของคำภาษาไทย
ลักษณะของคำภาษาไทยลักษณะของคำภาษาไทย
ลักษณะของคำภาษาไทย
 
การสร้างคำในภาษาไทย
การสร้างคำในภาษาไทยการสร้างคำในภาษาไทย
การสร้างคำในภาษาไทย
 
Parts of speech
Parts of speechParts of speech
Parts of speech
 
สรุปสังคม O-net
สรุปสังคม O-netสรุปสังคม O-net
สรุปสังคม O-net
 
ครั้ง๗
ครั้ง๗ครั้ง๗
ครั้ง๗
 
แผ่นพับการสร้างคำ
แผ่นพับการสร้างคำแผ่นพับการสร้างคำ
แผ่นพับการสร้างคำ
 
ใบความรู้การใช้ประโยคเพื่อสื่อสาร
ใบความรู้การใช้ประโยคเพื่อสื่อสารใบความรู้การใช้ประโยคเพื่อสื่อสาร
ใบความรู้การใช้ประโยคเพื่อสื่อสาร
 
คำประสม
คำประสมคำประสม
คำประสม
 
การสร้างคำในภาษาไทย
การสร้างคำในภาษาไทยการสร้างคำในภาษาไทย
การสร้างคำในภาษาไทย
 
แกรมม่า 33 หน้า
แกรมม่า 33 หน้าแกรมม่า 33 หน้า
แกรมม่า 33 หน้า
 
การสร้างคำ
การสร้างคำการสร้างคำ
การสร้างคำ
 
Unit 1 nouns & articles
Unit 1   nouns & articlesUnit 1   nouns & articles
Unit 1 nouns & articles
 
4.ใบความรู้แผน ๑ หน่วย ๒
4.ใบความรู้แผน ๑ หน่วย ๒4.ใบความรู้แผน ๑ หน่วย ๒
4.ใบความรู้แผน ๑ หน่วย ๒
 
ภาษาไทย
ภาษาไทยภาษาไทย
ภาษาไทย
 
คำสมาส
คำสมาสคำสมาส
คำสมาส
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่องสื่อการสอนภาษาไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่องสื่อการสอนภาษาไทยโครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่องสื่อการสอนภาษาไทย
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่องสื่อการสอนภาษาไทย
 
Grammar
GrammarGrammar
Grammar
 
เอกสารประกอบวิชาอังกฤษ
เอกสารประกอบวิชาอังกฤษเอกสารประกอบวิชาอังกฤษ
เอกสารประกอบวิชาอังกฤษ
 
เรียนรู้เรื่อง Phrase วลี หรือกลุ่มคำ
เรียนรู้เรื่อง Phrase วลี หรือกลุ่มคำเรียนรู้เรื่อง Phrase วลี หรือกลุ่มคำ
เรียนรู้เรื่อง Phrase วลี หรือกลุ่มคำ
 
บทที่ 3 a an some any (23 27)
บทที่ 3 a an some any (23 27)บทที่ 3 a an some any (23 27)
บทที่ 3 a an some any (23 27)
 

Similar to Report (20)

Kitaya2013 tabletnotest
Kitaya2013 tabletnotestKitaya2013 tabletnotest
Kitaya2013 tabletnotest
 
โครงสร้างทางไวยากรณ์
โครงสร้างทางไวยากรณ์โครงสร้างทางไวยากรณ์
โครงสร้างทางไวยากรณ์
 
Unit 1
Unit 1Unit 1
Unit 1
 
Favourites
FavouritesFavourites
Favourites
 
Subject-verb agreement
Subject-verb agreementSubject-verb agreement
Subject-verb agreement
 
1276933222 morpheme
1276933222 morpheme1276933222 morpheme
1276933222 morpheme
 
หลักภาษา
หลักภาษาหลักภาษา
หลักภาษา
 
บทที่ 5 pronous and possessives
บทที่ 5 pronous and possessivesบทที่ 5 pronous and possessives
บทที่ 5 pronous and possessives
 
Verbs1
Verbs1Verbs1
Verbs1
 
Verbs1
Verbs1Verbs1
Verbs1
 
Phrases ppt
Phrases pptPhrases ppt
Phrases ppt
 
Noun
NounNoun
Noun
 
Noun
NounNoun
Noun
 
Mother pdf2013
Mother pdf2013Mother pdf2013
Mother pdf2013
 
Mother pdf2013
Mother pdf2013Mother pdf2013
Mother pdf2013
 
English conversation
English conversationEnglish conversation
English conversation
 
ภาษาไทย
ภาษาไทยภาษาไทย
ภาษาไทย
 
thai Research
thai  Researchthai  Research
thai Research
 
Thai
ThaiThai
Thai
 
Thai
ThaiThai
Thai
 

Report

  • 1. Part of speech Partof Speech คือ คำภำษำอังกฤษที่เรำใช้พูดหรือเขียนทุกคำในแต่ละประโยคล้วนถือเป็น Partof Speech หรือเป็น “ส่วนของคำพูด” ทั้งสิ้นคำแต่ละคำใน Partof Speech แบ่งออกเป็น 8ชนิด 1.Noun คำนำม Noun คือ คำนำมภำษำอังกฤษเรียกคำนำมว่ำ “Noun” เป็นคำที่ใช้เรียกแทน คน สัตว์ สิ่งของ สถำนที่ ควำมรู้สึก อำรมณ์ สภำวะ .. ซึ่งคำนำมมีทั้งรูปธรรมที่สำมำรถจับต้องได้ และนำมธรรมที่ไม่สำมำรถจับต้องได้ ซึ่งในภำษำไทยมักจะขึ้นต้นด้วยคำว่ำ กำร..หรือ …ควำม เช่น กำรทำงำน ควำมรัก เป็นต้น แบ่งเป็น 1.1 คำนำมทั่วไป (Common Noun) คำนำมทั่วไปคือ คำที่ใช้แทนคน สัตว์ สิ่งของ สถำนที่ ทั่วๆ ไป ไม่เป็นกำรเจำะจง คน: boy, girl, man, woman, father, mother, son, daughter, king, queen, teacher, doctor, student, nurse สัตว์:cat, dog, bird, lion, tiger, fish, fly, spider, snake, whale สิ่งของ:car, pen, map, bed, table, pillow, telephone, window, champoo, soap, powder, radio สถำนที่:church, school, post office, police station, bank, market, hotel, hospital, restaurant, railway station 1.2 คำนำมเฉพำะ (Proper Noun) คือ ชื่อของคน สัตว์ สิ่งของ สถำนที่ คน:Sam Smith, David Beckham, Barak Obama, Britney Spears, Simon, Somsee, Somchai, Saichon สัตว์:Simba, Angel,Jerry, Buddy, Adam, Alwin, Bruno, Pluto, Kenney, Braily, Toto สิ่งของ: ปกติจะเป็นยี่ห้อของสินค้ำต่ำงๆ เช่น Toyota, Lux, Samsung, Sony, Apple, Pantine, Panasonic สถำนที่: หมู่บ้ำน เมือง ประเทศ ทวีป เช่น London, Tokyo, Canada, Italy, Asia, Africa, Singapore, China ชื่อองค์กรต่ำงๆ:บริษัท ห้ำงร้ำน โรงเรียน โรงแรม เช่นOxford University, Toyota Corporation, DBS Bank วัน เดือน วันหยุด : December, June, Monday, Sunday, Valentine, Christmas สัญชำติ : Thai, Japanese, Chinese, American, English, Australian สิ่งก่อสร้ำง : Big Ben, Buckingham Palace, the Taj Mahal, the Great wall of China, theStatue of Liberty ธรรมชำติ: แม่น้ำ ลำคลอง ทะเลทะเลทรำย มหำสมุทร ภูเขำ เกำะ เช่น theNile River, Mount Fuji **คำนำมเฉพำะจะขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่เสมอ ไม่ว่ำจะอยู่ส่วนไหนของประโยค 1.3 คำนำมนับได้ (CountableNoun) นำมนับได้ คือ นำมที่นับได้เป็นตัว ๆเวลำนับก็นับตัวของมันเลย (มีหลำยชิ้นส่วนประกอบกัน) เช่น cat แมว boy เด็กผู้ชำย pen ปำกกำ school โรงเรียน เป็นต้น -acat แมวหนึ่งตัว / five cats แมวห้ำตัว
  • 2. -aman ผู้ชำยหนึ่งคน / two men ผู้ชำยสองคน -acar รถยนต์หนึ่งคัน / many cars รถยนต์หลำยคัน -atown เมื่องหนึ่งแห่ง / ten towns เมืองสิบแห่ง หลักกำรและกำรใช้ CountableNouns 1. สำมำรถใช้จำนวนนับ ( 1,2,3,…) นำหน้ำเพื่อนับจำนวนได้ -3cats, 5 apples, ten birds 2. สำมำรถใช้ a และ an นำหน้ำได้ -apen, a dog, a ruler -an elephant, an orange, an ear, anegg 3. สำมำรถทำเป็นรูปพหูพจน์ได้ -dog= dogs, cat= cats -pen =pens , egg = eggs 4. ใช้ How many + นำมพหูพจน์ เพื่อถำมจำนวน -How manybirds are there in the zoo? -There are ten birds. 1.4 คำนำมนับไม่ได้ (UncountableNoun) นำมนับไม่ได้ คือนำมที่ไม่สำมำรถแยกนับได้ว่ำมีกี่คน กี่ตัว กี่สิ่ง หรือไม่นิยมนับ ดังนี้ 1) เป็นผง, เป็นของเหลว, เป็นเม็ด หรือเป็นเส้นเล็กๆ เช่นsand , rice ,hair , flour , sugar, ink 2) คงสภำพเดิม แม้ว่ำจะถูกตัดหรือแบ่ง เช่นmeat, coffee, bread, soap หลักกำรและกำรใช้ Uncountable Nouns 1. ไม่สำมำรถใช้จำนวนนับ ( 1,2,3,…) นำหน้ำเพื่อนับจำนวนได้ - oil, soap, water 2. ไม่สำมำรถใช้ a และan นำหน้ำได้ -tea, coffee 3. ไม่สำมำรถทำเป็นรูปพหูพจน์ได้ เป็นได้เพียงรูปเอกพจน์เท่ำนั้น - tea = teas coffee =coffees ผิดนะครับ 4. ใช้ Howmuch+ นำม เพื่อถำมปริมำณ - How much sugar do youwant? - How much milk do youdrink aday? 5. เป็นได้เฉพำะนำมเอกพจน์ ใช้กริยำเอกพจน์ -Water is cool.
  • 3. -Sugar is sweet. 1.5 คำนำมเอกพจน์ (SingularNoun) นำมเอกพจน์ หมำยถึง นำมที่มีจำนวนเดียว (คนเดียว, ตัวเดียว, อันเดียว, แห่งเดียว) -คนเดียว เช่น a man, a doctor, a boy, a sister, abrother, a king -ตัวเดียว เช่น a dog, a pig, abird, a cat, a lion, a cow, a tiger -อันเดียว เช่น an apple, a book, a car, a pen, a house, a fan -สถำนที่เดียว เช่น a school, a bank, a station, a temple 1.6 คำนำมพหูพจน์ (Plural Noun) นำมพหูพจน์ หมำยถึง นำมที่มีหลำยจำนวน (หลำยคน, หลำยตัว, หลำยอัน, หลำยแห่ง) -หลำยคน เช่น men, doctors, boys, sisters, brothers, kings -หลำยตัว เช่น dogs, pigs, birds, cats, lions, cows, tigers -หลำยอัน เช่น apples, books, cars, pens, houses, fans -หลำยสถำนที่ เช่น schools, banks, stations, temples กำรเปลี่ยนคำนำมเอกพจน์เป็นพหูพจน์ 1.เติม es ท้ำยคำนำมที่ลงท้ำยด้วย s, ss, sh, ch, x เช่นbus เปลี่ยนเป็น buses แปลว่ำ รถประจำทำง 2.เติม es ท้ำยคำนำมที่ลงท้ำยด้วย oและหน้ำ oเป็นพยัญชนะ เช่น heroเปลี่ยนเป็น heroes แปลว่ำ วีรบุรุษ * ถ้ำหำกว่ำหน้ำ oเป็นสระ ให้เติม s radio เปลี่ยนเป็น radios แปลว่ำ วิทยุ *เติม s สำหรับคำต่อไปนี้ photo เปลี่ยนเป็น photos แปลว่ำ รูปภำพ 3.คำนำมที่ลงท้ำยด้วย yและหน้ำ yเป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es เช่นfly เปลี่ยนเป็น flies แปลว่ำ แมลงวัน *ถ้ำหำกว่ำหน้ำ y เป็นสระ ให้เติม s เช่น day เปลี่ยนเป็น days แปลว่ำ วัน 4.นำมที่ลงท้ำยด้วย f หรือ feให้เปลี่ยน f หรือ fe เป็น v แล้วเติม es เช่นthief เปลี่ยนเป็น thieves * เติม s สำหรับคำต่อไปนี้ chief เปลี่ยนเป็น chief s แปลว่ำ หัวหน้ำ 5.นำมที่ทำให้เป็นพหูพจน์ โดยกำรเปลี่ยนแปลงสระภำยใน เช่นman เปลี่ยนเป็น menแปลว่ำ ผู้ชำย 6.นำมที่ทำให้เป็นพหูพจน์ โดยกำรเติม enหรือ ren เช่นox แปลว่ำ วัวตัวผู้ เปลี่ยนเป็น oxen 7.คำนำมที่มีรูปเหมือนกัน ทั้งเอกพจน์ และพหูพจน์ เช่น fish พหูพจน์คือ fish แปลว่ำ ปลำ 8.คำนำมที่มีรูปเป็นเอกพจน์ แต่มีควำมหมำยเป็นพหูพจน์ เช่น cattle แปลว่ำ วัวควำย, ปศุสัตว์ 9.คำนำมที่มีรูปเป็นพหูพจน์เสมอ ไม่มีรูปเอกพจน์ เช่น shorts แปลว่ำ กำงเกงขำสั้น
  • 4. 10.คำนำมที่มีรูปเป็นพหูพจน์ แต่มีควำมหมำยเป็นเอกพจน์ เช่น politics แปลว่ำ กำรเมือง 11.คำนำมผสม ทำให้เป็นพหูพจน์ที่คำนำมหลัก หรือ ทำทั้ง 2ส่วนเช่น father-in-law เปลี่ยนเป็น fathers-in-law 2. Pronounคำสรรพนำม Pronoun อ่ำนว่ำ โพร’เนำนฺ หมำยถึง คำสรรพนำม ก็คือคำที่ใช้แทนคำนำม (Noun) และทำหน้ำที่เช่นเดียวกับคำนำมในภำษำอังกฤษ โดย Pronoun (คำสรรพนำม) แบ่งออกเป็น 5 ประเภท 2.1. Personal Pronouns Personal Pronouns หมำยถึง คำสรรพนำมที่ใช้แทนนำมบุรุษที่ 1(ผู้พูด) นำมบุรุษที่ 2 (ผู้ฟัง) นำมบุรุษที่ 3(ผู้ที่ถูกกล่ำวถึง อำจเป็นคน สัตว์ และสิ่งของ) Personal Pronouns แบ่งได้ 2 รูป คือ 1. Personal Pronouns รูปประธำน หมำยถึง คำสรรพนำมที่ใช้เป็นประธำน ได้แก่ I, You, We, They, He, She, It เป็นต้น 2. Personal Pronouns รูปกรรม หมำยถึง คำสรรพนำมที่ใช้เป็นกรรมของประโยค หลักกำรใช้ Personal Pronouns 1. หลัง than , as….as จะใช้รูปประธำนหรือรูปกรรม ต้องดูควำมหมำยของประโยค ถ้ำมี verb ตำมมำใช้รูปประธำน ถ้ำเป็นกรรมของ verb ที่อยู่ข้ำงหน้ำใช้รูปกรรม 2. หลังกิริยำที่บอกสภำพ ได้แก่be , seem , look , like , appear มักจะใช้รูปกรรม เช่น His father looks like him. 3. หลัง between …and …., let, except ใช้ในรูปกรรม เช่น Let us goout.There are some problems between you and me. 2.2. Possessive Pronouns Possessive Pronouns หมำยถึง คำสรรพนำมที่แสดงควำมเป็นเจ้ำของเช่น his , hers ,theirs , mine, ours ,yours หลักกำรใช้ Possessive Pronouns 1. ใช้เป็นประธำนของกิริยำหรือเป็นกรรมของกิริยำ หรือของบุพบท -Hercar is red, but yours is blue. (yours แทน your car) 2. ใช้หลัง of หมำยถึง หนึ่งในบรรดำ (คน , ตัว , สิ่ง , อัน) ทั้งหลำยเหล่ำนี้ -John is a teacher of mine. (mine แทน myteacher) 2.3. Reflexive and Emphasizing Pronouns Reflexive and Emphasizing Pronouns หมำยถึง Pronouns ที่ลงท้ำยด้วย self และ selvesโดยทำหน้ำที่แตกต่ำงกัน
  • 5. หลักกำรใช้ Reflexive Pronouns และ Emphasizing Pronouns 1. Reflexive Pronouns ใช้เป็นกรรมของประโยค เมื่อกำรกระทำนั้นสะท้อนถึงประธำนหรือผู้พูดเป็นผู้รับกำรกระทำนั้นเอง ประธำนและกรรมจะเป็นคน หรือสิ่งเดียวกัน -Isaw myself in the mirror. 2. ใช้เน้นประธำน ซึ่งจะอยู่หลังประธำนหรือท้ำยประโยค -I go toschool by myself. 2.4. IndefinitePronouns Indefinite Pronouns คือ คำสรรพนำมที่ไม่ชี้เฉพำะเจำะจงว่ำเป็นใครสิ่งใดหรืออันใดจะมีทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ 1. Indefinite Pronouns แบบเอกพจน์ ได้แก่a person ,anybody, one ,someone, anyone, each, either, neither, everybody, everyone ,another ,anything , something ,the other, nothing ,much ,everything ,nobody ,no one, somebody หมำยเหตุ – กำรใช้one….another , one… the other 1.1. ถ้ำหมำยควำมว่ำ “ไม่…ใดก็…หนึ่ง” หรือ “อีกหนึ่ง” ใช้oneคู่กับ another ได้ 1.2. ถ้ำมีเพียงสองจำนวน หรือ สองส่วนเท่ำนั้น ใช้one คู่กับ the other ได้ เช่น - Mary buys twobicycles, one for her daughter , and the otherfor her son. 2. Indefinite Pronouns แบบพหูพจน์ ใช้คำสรรพนำมรูปพหูพจน์ กิริยำจะเป็นพหูพจน์ด้วย เช่น both , few, many several. 2.5. RelativePronouns Relative Pronouns คือ สรรพนำมที่ใช้แทนคำนำมที่อยู่ข้ำงหน้ำ โดยทำหน้ำที่เชื่อม clauses เข้ำด้วยกัน เช่น who , whom , whose , which , that , as Relative Pronouns แบ่งตำมหน้ำที่ได้ดังนี้ 1. Personal (คน) ได้แก่ who ใช้แทนคำนำมที่ทำหน้ำที่เป็นประธำนทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ -Astudent whopays attention in the class gets a goodgrade. -People wholive in Bangkok cope with thetraffic problem. whom ใช้แทนคำนำมที่ทำหน้ำที่เป็นกรรมทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ -The teacher whom I metyesterday is your uncle. whose ใช้แทนคำนำมที่ทำหน้ำที่แสดงควำมเป็นเจ้ำของ -This woman whose purse was lost is going to see thepolice.
  • 6. 2. Non-Personal (สัตว์, สิ่งของ) ได้แก่ which ใช้แทนคำนำมที่ทำหน้ำที่เป็นประธำนและกรรม -The gift which I bought yesterday is so expensive. *ในกรณีที่ which เป็น กรรมของ preposition จะต้องเอำpreposition มำไว้ข้ำงหน้ำ which ด้วย -This is the house in which Mary lives. -This is the thesis to which John refer. *หำกเป็นกำรใช้เกี่ยวกับสถำนที่ in which , to which เช่น -This is the house in which Mary lives. เป็น -This is the house where Mary lives. 3. Adjective คำคุณศัพท์ Adjective (แอด’เจคทิฟว) หมำยถึง คำที่ทำหน้ำที่ขยำยคำนำมหรือคำสรรพนำมเพื่อให้มีควำมสมบูรณ์มำกขึ้น เช่น คำที่แสดงจำนวน, แสดงควำมเป็นเจ้ำของ, แสดงขนำด, รูปร่ำง, น้ำหนัก, ควำมสูง, บอกสี, เชื้อชำติ,ภำษำ เป็นต้น โดยปกติแล้วในภำษำอังกฤษสำมำรถแบ่ง adjective ออกเป็น 11 ประเภท ดังนี้ 1.Demonstrative adjective ใช้เพื่อชี้เฉพำะเช่นthis, that, these, those, such -I used to buythis kind of shirts. 2.Descriptive adjective ใช้บอกลักษณะ เช่น good, pretty, happy, sorry, rich -Shebrushed her long brownhair. 3.Distributive adjective ใช้เพื่อแบ่งแยก เช่นeach, every, either, neither -Every boy has one or the other pet. 4.Emphasizing adjective ใช้เพื่อเน้นควำมเช่นown, very 5.Exclamatory adjective ใช้เพื่อแสดงกำรอุทำน มักขึ้นต้นด้วย what -What abeautiful flower is it.
  • 7. 6.Interrogative adjective ใช้เพื่อแสดงเป็นคำถำม เช่น what, which, whose -What movie are you watching. 7.Numeral adjective ใช้บอกจำนวน เช่น one, three, first, second, double, triple -The hand has five fingers. 8.Possessive adjective ใช้แสดงควำมเป็นเจ้ำของ เช่น my, our, your, his, her -Allan sold his dog. 9.Proper adjective ใช้บอกสัญชำติ เช่น my, our,your, his, her -Thai, English, Japanese -I am Thai. 10.Quantitative adjective ใช้บอกปริมำณ เช่นmuch, many, some, any, little -Shehas alittle knowledge. 11.Relative adjective ใช้ขยำยนำมที่ตำมหลัง พร้อมทั้งทำหน้ำที่เป็นคำสันธำนเชื่อมประโยคหลังของตัวเองเข้ำกับประโยคข้ำงหน้ำ ได้แก่what, whichever -Give mewhat money you have. ตำแหน่งกำรวำง Adjectives (คำคุณศัพท์) 1. adjective นำหน้ำคำนำม เช่นa beautiful woman, arich man 2. adjective อยู่หลัง linking verb (Verbto be , become , get , grow, feel , look , appear , seem , smell etc. คำกิริยำเหล่ำนี้ต้องตำมหลังด้วย Adjectives เสมอ เช่นJohn looks smart. 3. อยู่หลัง adjective หลำยตัวด้วยกัน โดยขยำยคำนำม หรือสรรพนำมได้ เช่น old blue shirt 4. adjective อยู่หลังคำนำมหรือคำสรรพนำมที่เป็นกรรมของกิริยำบำงคำ เช่น like , get, make , etc. เช่น You made me happy.
  • 8. เกณฑ์ในกำรเปลี่ยน Adjective ให้เป็นขั้นกว่ำและขั้นสูงสุด 1. คำ Adjective พยำงค์เดียวเติม er เมื่อเป็นขั้นกว่ำและเติม est เมื่อเป็นขั้นสูงสุด old older oldest 2. คำ Adjective พยำงค์เดียวลงท้ำยด้วย e เติม r เมื่อเป็นขั้นกว่ำ และเติม st เมื่อเป็นขั้นสูงสุด late later latest 3. คำ Adjective ที่ลงท้ำยด้วย y หน้ำy เป็นพยัญชนะควรเปลี่ยน yเป็น iแล้วเติม er เมื่อเป็นขั้นกว่ำ และเติม est เมื่อเป็นขั้นสูงสุด early earlier earliest 4. คำ Adjective พยำงค์เดียวที่มีตัวสะกดตัวเดียวและสระตัวเดียว จะต้องเพิ่มตัวสะกดตัวสุดท้ำยอีกหนึ่งตัวก่อนแล้วเติม er เมื่อเป็นขั้นกว่ำ และเติม est เมื่อเป็นขั้นสูงสุด big bigger biggest 5. คำ Adjective ที่มีสองพยำงค์และเสียงเน้นหนักที่พยำงค์แรก อำจจะเติม er หลังคำ Adjective หรือ moreหน้ำ Adjective เมื่อเป็นขั้นกว่ำ และ เติม est หลังคำ Adjective หรือ most หน้ำAdjective เมื่อเป็นขั้นสูงสุด quiet quieter quietest 6. คำ Adjective ที่มีสองพยำงค์ขึ้นไป เติม more เมื่อเป็นขั้นกว่ำ และเติม most เมื่อเป็นขั้นสูงสุดหน้ำคำคุณศัพท์ beautiful more beautiful most beautiful 7. คำ Adjective บำงตัวเปลี่ยนรูปเมื่อเป็นขั้นกว่ำและขั้นสูงสุด bad worse worst 8. คำ Adjective ที่มำจำก participle เติม more เมื่อเป็นขั้นกว่ำ และเติม most เมื่อเป็นขั้นสูงสุด excited moreexcited most excited 4. Verb คำกริยำ Verbs คือคำกริยำที่แสดงอำกำรเคลื่อนไหวของประธำน (Subject) เพื่อให้ทรำบกำรกระทำของประธำน แบ่งออกเป็น 3ชนิด ดังนี้ 1.Transitive Verbs คือ กริยำที่ยังไม่มีควำมหมำยสมบูรณ์ในตัวเอง ต้องมีกรรมมำรับจึงจะทำให้มีควำมหมำยขึ้น เช่นCows eat grass. ต้องมี grass ซึ่งเป็นกรรมมำรับไว้เพื่อทำให้ประโยคสมบูรณ์ขึ้น
  • 9. 2. Intransitive Verbs คือ กริยำที่มีควำมหมำยสมบูรณ์ได้ด้วยตัวเอง เช่น John is swimming ไม่จำเป็นต้องมีกรรม ประโยคก็สมบูรณ์ 3. Auxiliary Verbs คือ กริยำช่วย เป็นกริยำที่ช่วยให้กริยำหลักมีควำมหมำยสมบูรณ์ขึ้นตำมเหตุกำรณ์ต่ำงๆ หลักกำรใช้ Auxiliary Verbs โดยสรุปดังนี้ 1.กริยำที่ตำมหลัง Auxiliary Verbs จะต้องอยู่ในรูป infinitive without to เสมอ เช่น -Shecan speak English. 2.ในกรณีเป็นประโยคคำถำม จะต้องนำ Auxiliary Verbs ไว้หน้ำประโยค หรือ กรณีเป็นประโยคปฎิเสธจะต้องเติม not หลัง Auxiliary Verbs เช่น -Shecan speak English. 3.จะใช้Auxiliary Verbs ในกำรตอบคำถำมแบบย่อได้ -Doyou want tosee myuncle? Yes, I do. หรือ No, I don’t. 4. จะใช้ในประโยค Question Tag เช่น -Shecan speak English, can’t she ? 5. จะใช้ในประโยคที่มี too, so, either, neither เช่น -Shespeaks English and so do you. 5. Preposition คำบุพบท Preposition คือ คำบุพบท ได้แก่คำที่ใช้แสดงสถำนที่ ตำแหน่ง กำรเคลื่อนไหว ทิศทำง เวลำ ลักษณะ และควำมสัมพันธ์ คำบุพบทในภำษำอังกฤษอำจเป็นคำคำเดียว เช่น at, between, from สองคำ เช่น next to, outof, across from หรือสำมคำ เช่น in frontof, in back of, on topof เป็นต้น คำบุพบทตำมด้วยคำนำม คำสรรพนำม หรือกลุ่มคำนำม/นำมวลี (noun phrase) 5.1คำบุพบทแสดงสถำนที่ (preposition of place) ได้แก่at, on, in at ใช้เมื่อกล่ำวถึงจุดหรือตำแหน่งของพื้นที่หรือเนื้อที่ที่มีลักษณะเป็นมิติเดียว ซึ่งบ่อยครั้งมัก เป็นจุดในกำรเดินทำงหรือสถำนที่พบปะ เช่นTurn left atthe traffic lights.. at ยังอำจใช้เมื่อกล่ำวถึงอำคำรหรือสถำนที่เมื่อเรำกำลังนึกถึงสิ่งที่คนทำภำยในอำคำรหรือสถำนที่เหล่ำนั้น เช่น -Busaba is astudent atSukhothai Thammathirat Open University. on ใช้เมื่อกล่ำวถึงพื้นผิวที่มีลักษณะสองมิติ เช่น beach, ceiling, computer or TV screen, grass, the page of a book, wall, roof, road, table, shelf เป็นต้น เช่น
  • 10. -I love lying on the beach. in ใช้เมื่อกล่ำวถึงที่ ที่ว่ำง หรือเนื้อที่ที่มีลักษณะสำมมิติ เช่น box, city, country, cupboard, drawer, house, library, room,car, pocket, building, village เป็นต้น -What’s in the box? -I live in Bangkok, butmy daughter lives in London.. 5.2 คำบุพบทแสดงตำแหน่ง (preposition of position/location) เช่น above ( ข้ำงบน เหนือ) , across from ( อีกฝั่งหนึ่งของ) , at the topof ( ด้ำนบนสุดของ) , at the bottom of ( ด้ำนล่ำงสุดของ) , at the back of ( ด้ำนหลัง) , behind/in back of ( ข้ำงหลัง) , beside ( ข้ำง ๆ) between ( ระหว่ำง) , by ( ข้ำง ๆใกล้ถัดจำก ติดกับ) , in frontof ( ข้ำงหน้ำ) , in the middle of ( ตรงกลำง) , near ( ใกล้) , next to ( ถัดจำก ติดกับ) , on topof ( บน ด้ำนบนของ) , opposite ( ตรงข้ำม) , underneath ( ข้ำงใต้ข้ำงล่ำง) เป็นต้น 5.3คำบุพบทแสดงกำรเคลื่อนไหว (preposition of motion) เช่นaway, from…to,into, through, toward(s), out of เป็นต้น 5.4คำบุพบทแสดงทิศทำง (preposition of direction) เช่น across, along, up, away from,down, to, from เป็นต้น 5.5 คำบุพบทแสดงเวลำ (preposition of time) 1.at ใช้กับเวลำตำมนำฬิกำและในสำนวน เช่น atdawn, at noon, at midday, at night, at midnight, at bedtime, at lunchtime, at dinnertime, at sunrise, atsunset, at present, at themoment, atthe same time เป็นต้น 2 .in ใช้กับเดือน ปี ทศวรรษ ศตวรรษ ฤดูกำล และสำนวน the first/second/third, etc./last week -InThailand, the weather’s great in December. 3 .on ใช้กับวันต่ำง ๆ ของสัปดำห์ วันที่ และในสำนวน เช่น on Monday morning, on Friday evening, on Saturdaynight, on the weekend, onweekends เป็นต้น 4 .before ( ก่อน) -We gotthere before anyone else. -The year beforelast , I worked as a volunteer in a school in Pattani Province. 5. after ( ภำยหลัง หลังจำก). -Can you come and see me again the dayafter tomorrow? -After Wednesday we will begin our vacation.
  • 11. 6. during ( ระหว่ำง ในระหว่ำง) -I’llbe really busy during the week. -I always wake upduring thenight .. 7 .by( ภำยใน ไม่ภำยหลังจำก/ไม่ช้ำกว่ำ = nolater than) -You must be in the office by 8:30 a.m. 5.6 คำบุพบทแสดงลักษณะ (preposition of manner) เช่น in, with, without เป็นต้น เช่นHe spoke in a low voice. 5.7 คำบุพบทแสดงควำมสัมพันธ์ (preposition of relationship) เช่น for, from,of, about, with, in เป็นต้น เช่นShe was sorry for him when he heard the truth. 6. Adverb กริยำวิเศษณ์ Adverbs หมำยถึง คำที่ทำหน้ำที่ขยำยกริยำ คำคุณศัพท์ กริยำวิเศษณ์ แบ่งออกเป็น 7 ชนิด คือ 1. Adverb of manner คือคำกริยำวิเศษณ์ที่บอกคุณลักษณะ เช่นfast , well , hardetc. 2. Adverb of place คือคำกริยำวิเศษณ์ที่บอกสถำนที่ เช่น there , here, up, down etc. 3. Adverb of time คือคำกริยำวิเศษณ์ที่บอกเวลำ เช่น now, today , soon etc. 4. Adverb of frequency คือคำกริยำวิเศษณ์ที่บอกควำมถี่ เช่นoften , always , usually etc. 5. Adverb of degree คือคำกริยำวิเศษณ์ที่บอกระดับ เช่น rather , too , very etc. 6. Interrogative Adverbs คือคำกริยำวิเศษณ์ที่เป็นคำถำม เช่น where, when , why etc. 7. Relative Adverbs คือกริยำวิเศษณ์ที่เป็นคำเชื่อม เช่น when , where , why etc. หลักกำรเปลี่ยน Adverb เป็นขั้นกว่ำและขั้นสูงสุด มีดังนี้ 1. ถ้ำมีพยำงค์เดียวเติม er เมื่อเป็นขั้นกว่ำ และเติม est เมื่อเป็นขั้นสูงสุด 2. ถ้ำมี 2 พยำงค์ขึ้นไปเติม more หน้ำadverb เมื่อเป็นขั้นกว่ำ และเติม most หน้ำ adverb เมื่อเป็นขั้นสุด 3. adverb บำงตัวเปลี่ยนรูปเมื่อเป็นขั้นกว่ำและขั้นสุด Adverb clauses Adverb clauses คืออนุประโยคที่ทำหน้ำที่เหมือน Adverb แบ่งได้ดังนี้ 1. Adverb Clause of Time คืออนุประโยคที่ทำหน้ำที่ขยำยกริยำ เพื่อบอกให้ทรำบกำรกระทำนั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เช่น when ,while , since , as soon as , as long as , before, after , until
  • 12. 2. Adverb Clause of Place คืออนุประโยคที่ทำหน้ำที่ขยำยกริยำเพื่อบอกให้ทรำบว่ำกำรกระทำนั้นเกิดขึ้นที่ไหน เช่นwhere , as far as , wherever 3.Adverb Clause of Cause คืออนุประโยคที่ทำหน้ำที่ขยำยกริยำ เพื่อบอกให้ทรำบกำรกระทำนั้นเกิดขึ้นเพรำะอะไร เช่น because , since , as 4.Adverb Clause of Purpose คืออนุประโยคที่ทำหน้ำที่ขยำยกริยำ เพื่อบอกให้ทรำบกำรกระทำนั่นเกิดขึ้นด้วยควำมมุ่งหมำยอะไร เช่น that, so that , in order that , lest , for fear that 5. Adverb Clause of Result คืออนุประโยคที่บอกผลที่เกิดจำกกำรกระทำอย่ำงใดอย่ำงหนึ่ง ได้แก่so +adj or adv + that 6. Adverb Clause of Condition คืออนุประโยคที่บอกให้ทรำบว่ำกำรกระทำนั้นเกิดขึ้นด้วยเงื่อนไขอะไร เช่นif , if only , unless , as long as , so long as 7.Adverb Clause of Concession คืออนุประโยคที่แสดงกำรยอมรับอย่ำงใดอย่ำงหนึ่ง เช่น though , although , even though , however , whatever 8. Adverb Clause of Manner คืออนุประโยคที่ทำหน้ำที่ขยำยกริยำเพื่อบอกอำกำรของกำรกระทำว่ำกระทำไปอย่ำงไร เช่นas , as if , as though 9.Adverb Clause of Comparison คืออนุประโยคที่ใช้ในกำรเปรียบเทียบ ปกติจะอยู่หลัง as หรือ than – ประโยคบอกเล่ำ as + adj หรือ (adv) +as – ประโยคปฏิเสธ notso(as) + adj หรือ (adv) + as 7. Conjunction คำสันธำน Conjunctive Adverb Conjunctive Adverb เป็น Transitional words ที่ทำหน้ำที่เป็นตัวเชื่อมระหว่ำง 2ประโยค โดยเพิ่มเติมข้อมูลจำกที่กล่ำวมำ เปรียบเทียบ อธิบำย เช่น however ,furthermore, accordingly Correlation Conjunction Correlation Conjunction เป็นสันธำน หรือตัวเชื่อมที่ใช้เป็นคู่ในกำรเชื่อมข้อควำมหรือประโยค เช่น either…..or neither…..nor both…..and not only…..but..also
  • 13. Coordinate Conjunctions มักใช้เชื่อม 2ส่วนที่เสมอภำคกัน เช่น เชื่อมระหว่ำงนำมกับนำม หรือ คำวิเศษณ์กับคำวิเศษณ์ หรือ กริยำกับกริยำ หรือ ประโยคกับประโยค ตัวอย่ำง Coordinate Conjunctions ได้แก่and ใช้เชื่อมแสดงควำมคล้อยตำม และเพิ่มเติมข้อมูล or, nor แสดงกำรเลือกหรือเปรียบเทียบ so มักนำหน้ำผล for มักจะนำหน้ำสำเหตุหรือ เหตุผล but, yet ใช้แสดงควำมขัดแย้ง 8. Interjection คำอุทำน Interjection เป็นคำ วลี หรือประโยคที่อุทำน หรือพูดออกมำเพื่อแสดงควำมรู้สึกหรืออำรมณ์ ตกใจ เจ็บปวด ตื่นเต้น โกรธ สนุกสนำน โดยมีเครื่องหมำย ! (Exclamation Mark) ปิดท้ำย ตัวอย่ำงเช่น Oh! Ah! Yum! Hooray! That’s amazing! *Interjection เวลำอยู่ในประโยคมักวำงไว้ข้ำงหน้ำสุด โดยมีเครื่องหมำย ! (Exclamation Mark) หรือ , (Comma) ตัวอย่ำงประโยคภำษำอังกฤษ -Hey! Come on! -Oh, That is a surprise. -Good! now we can move on. -Wow! I wonthe game! Interjection ที่ตำมหลังด้วย , จะเป็นกำรอุทำนแบบเบำๆ ไม่รุนแรงนัก ถ้ำตำมหลังด้วยเครื่องหมำย ! ชื่อถึง อำรมณ์ ควำมรู้สึก หรือควำมประหลำดใจอย่ำงมำก Interjection ที่ขึ้นต้นด้วย What และ How วิธีกำรใช้ดังนี้ -What +a….! เช่น What a pity! -What +a (an) + adjective ดูหนัง+ คำนำมเอกพจน์นับได้ เช่นWhat an amazing car! -What +a (an) + adjectiveคำนำมเอกพจน์นับได้ + ประธำน +กิริยำ! เช่นWhat a beautiful dayit is! -What +a (an) + adjectiveคำนำมเอกพจน์นับไม่ได้ (+ประธำน +กิริยำ)! เช่นWhat
  • 14. pleasant -weather! -What +adjective + คำนำมพหูพจน์ เช่น What lovely children! -What +adjective + คำนำมพหูพจน์ + ประธำน +กริยำ! เช่นWhat stupid things you say! -How +adjective! เช่น How sweet! -How +adjective/adverb + ประธำน + กริยำ! เช่น How nice it is! -How +adjective + กริยำ +ประธำน เช่น How clever am I! “How adjective + กริยำ +ประธำน” กำรอุทำนแบบนี้มักจะพบใน American English Interjection ที่ใช้so และ such ร่วมอยู่ด้วย -so +adjective! เช่น You areso smeet! -such + a/an+ (adjective) + คำนำมเอกพจน์นับได้! เช่นSuch a great experience! -such + (adjective) + คำนำมเอกพจน์นับไม่ได้หรือคำนำมพหูพจน์! เช่น They are such kind people! นอกจำกใช้สื่ออำรมณ์ควำมรู้สึกต่ำงๆแล้ว interjection ยังสำมำรถนำมำใช้เพื่อกำรอวยพร โห่ร้อง หรือแสดงควำมชื่นชมยินดีได้อีกด้วย เช่น Long live the king!