More Related Content
Similar to Network001 (20)
Network001
- 6. ความหมายของการสื่อสารโทรคมนาคมและการสื่อสารข้อมูล (ต่อ)
การสื่อสารข้อมูล (Data communication)หมายถึงการส่งข้อมูลหรือ
ข่าวสาร จากผู้ส่งต้นทางไปยังผู้รับปลายทางที่อยู่ห่างไกลโดยผ่านช่อง
ทางการสื่อสารเพื่อเป็นสื่อกลางในการส่งข้อมูลซึ่งอาจจะเป็นแบบใช้
สาย หรือไม่ใช้สายก็ได้ส่วนข้อมูลหรือข่าวสารนั้นอาจจะเป็นข้อความ
เสียงภาพเคลื่อนไหวหรือข้อมูลที่เป็นมัลติมีเดียก็ได้ดังนั้นการสื่อสาร
ข้อมูลจึงเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารโทรคมนาคมโดยเน้นการส่งผ่าน
ข้อมูล โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายเป็นหลัก
- 9. ปัจจัยที่ควรคานึงถึงในการเลือกตัวกลาง
อัตราเร็วในการส่งผ่านข้อมูล(Transmission Rate)
ระยะทาง ระหว่างอุปกรณ์ที่ต้องการเชื่อมต่อ
ค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง ค่าใช้จ่ายประจา และค่าบารุงรักษา
ความสะดวกในการติดตั้ง บางพื้นที่อาจเหมาะกับการเดินสายหรือบางพื้นที่
อาจจะเหมาะกับสื่อแบบไร้สาย
ความทนทานต่อสภาพแวดล้อม
วิธีที่ใช้ในการสื่อสารเช่นการสื่อสารข้อมูลแบบอนุกรมหรือแบบขนานทิศทาง
ที่ใช้ส่งข้อมูลเป็นแบบทางเดียว กึ่งสองทางหรือแบบสองทางเป็นต้น
- 10. ชนิดของสัญญาณที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูล
สัญญาณอนาล็อก (Analog Signal)
สัญญาณอนาล็อก คือสัญญาณที่อยู่ในรูปแบบของคลื่น (Waveform) ที่มี
ความต่อเนื่องกัน (Continuous) มีการเปลี่ยนแปลงระดับของสัญญาณขึ้น
‟ ลงตามขนาดของสัญญาณ (Amplitude) และมีความถี่ (Frequency) ที่
เรียกว่า Hertz(Hz) ตัวอย่างของสัญญาณอนาล็อกเช่น เสียงพูด (Voice)
กระแสไฟฟ้าสลับเป็นต้น
- 14. ประเภทของการรับ- ส่งสัญญาณข้อมูล (ต่อ)
แบบอนุกรม(SerialTransmission)
•รับส่งข้อมูลครั้งละ1 บิตเรียงตามลาดับกันไป
„ ใช้สายสื่อสารเพียงเส้นเดียวเท่านั้น
„ สามารถส่งไปได้ในระยะทางที่ไกลๆ
„ นิยมใช้ในการสื่อสารข้อมูลผ่านทาง
สายโทรศัพท์เมาส์ และ COM Port
- 15. ประเภทของการรับ- ส่งสัญญาณข้อมูล (ต่อ)
AsynchronousTransmission
เพิ่มบิตควบคุม StartBit, Stop Bit และ Parity Bit เพื่อใช้แบ่งข้อมูลออกมาเป็น1 ตัวอักขระ
(1 Character) ความเร็วในการรับส่งข้อมูลจะช้าเนื่องจากต้องมีการเพิ่มทั้ง3 บิตนั้นลงไปยัง
ตัวอักขระทุกตัว พบการรับส่งข้อมูลแบบนี้ได้ในอุปกรณ์ที่มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลต่า
เช่นโมเด็ม คีย์บอร์ดเป็นต้น
SynchronousTransmission
เพิ่มไบต์ที่เป็น Header Trailer และParity Bit ไว้ที่ส่วนหัวและท้ายของแพ็คเก็ตข้อมูลทาให้
สามารถรับ‟ ส่งข้อมูลได้เป็นจานวนมากซึ่งการรับส่งข้อมูลนั้นทั้งฝั่งรับและฝั่งส่งจะต้อง
ทางานให้สอดคล้องโดยใช้สัญญาณนาฬิกา (Clock) ที่มีความถี่เท่ากันหากใช้ความถี่ไม่
เท่ากันจะทาให้การรับ - ส่งข้อมูลผิดพลาดวิธีนี้จะเหมาะกับระบบที่ต้องมีการรับ‟ ส่งข้อมูล
ตลอดเวลา
- 18. ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบเครือข่าย (Network)คือ กลุ่มของเทคโนโลยี(ประกอบด้วยฮาร์ดแวร์
ซอฟต์แวร์ ตัวกลางและอื่นๆ) ที่สามารถเชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน
ทาให้เครื่องคอมพิวเตอร์เหล่านั้นสามารถติดต่อสื่อสารกันและเปลี่ยน
สารสนเทศระหว่างกันและใช้แหล่งข้อมูลร่วมกันแบบเรียลไทม์(real time)
ในปัจจุบันองค์กรบางองค์กรใช้ระบบรวมศูนย์กลางคือ ใช้เครื่องเมนเฟรมและ
เครื่องเทอร์มินัลแต่ในขณะเดียวกันระบบธุรกิจและโรงเรียนจานวนมากได้
เปลี่ยนจากระบบรวมศูนย์กลางเป็นระบบเครือข่ายแบบใช้เครื่องพีซีเพราะมี
ความยืดหยุ่นมากกว่าการใช้เครื่องเมนเฟรมร่วมกับเครื่องเทอร์มินัล
- 22. ชนิดของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (ต่อ)
ชนิดของเครือข่ายแลน (แบ่งตามการจัดการทรัพยากรของเครือข่ายคอมพิวเตอร์)
แบบลูกข่าย/แม่ข่าย(Client/Server)
มีแม่ข่าย(Server) ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ที่มักจะใช้ควบคุมการทางานในเครือข่ายเป็นผู้
ให้บริการแก่คอมพิวเตอร์ลูกข่าย(Client) ที่เชื่อมต่อในเครือข่ายแลน
- แบบแม่ข่ายกาหนดหน้าที่เฉพาะ (Delicate Server)
- แบบแม่ข่ายไม่กาหนดหน้าที่เฉพาะ (Non delicate server)
แบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer)
คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องในเครือข่ายมีสถานะเท่าเทียมกันหมดคอมพิวเตอร์แต่ละ
เครื่องสามารถเป็นผู้ให้บริการและผู้รับบริการในขณะใดขณะหนึ่ง
- 23. ชนิดของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (ต่อ)
เครือข่ายระยะไกลหรือเครือข่ายแวน
แวน คือ ระบบเครือข่ายแลนสองระบบเครือข่ายหรือมากกว่าเชื่อมต่อกันโดย
ส่วนมากจะครอบคลุมพื้นที่กว้าง ตัวอย่างเช่น บริษัทแห่งหนึ่งมีสานักงานขนาด
ใหญ่ และฝ่ายการผลิตตั้งอยู่ที่เมืองหนึ่งฝ่ายการตลาดตั้งอยู่อีกเมืองหนึ่งแต่ละ
แผนกต้องมีการใช้ทรัพยากรข้อมูลและโปรแกรม นอกจากนี้แต่ละแผนก
ต้องการใช้ข้อมูลร่วมกับแผนกอื่นด้วยจึงต้องมีการระบบแวน
- 25. โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (ต่อ)
ข้อดีของการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบบัส (Bus Network)
การใช้สายส่งข้อมูลจะใช้สายส่งข้อมูลร่วมกันทาให้ใช้สายส่งข้อมูลได้อย่างงเต็ม
ประสิทธิภาพช่วยลดค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและการบารุง
เครือข่ายแบบบัสมีโครงสร้างที่ง่ายและมีความน่าเชื่อถือเนื่องจากใช้สายส่งข้อมูลเพียง
เส้นเดียว
การเพิ่มจุดใช้บริการใหม่เข้าไปในเครือข่ายสามารถทาได้ง่ายเนื่องจากจุดใหม่จะใช้สาย
ส่งข้อมูลที่มีอยู่แล้วได้
- 26. โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (ต่อ)
ข้อเสียของการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบบัส (Bus Network)
การหาข้อผิดพลาดทาได้ยากเนื่องจากในเครือข่ายจะไม่มีศูนย์กลางในการควบคุมอยู่ที่
จุดใดจุดหนึ่ง ดังนั้นการตรวจสอบข้อผิดพลาดจึงต้องทาจากหลายๆ จุดในเครือข่าย
ในกรณีที่เกิดการเสียหายในสายส่งข้อมูล จะทาให้ทั้งเครือข่ายไม่สามารถทางานได้
เมื่อมีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอาจทาให้เกิดการชนกันของข้อมูลเมื่อมีการับส่งข้อมูล
- 29. โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (ต่อ)
ข้อเสียของการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบสตาร์ (Star Network)
เนื่องจากแต่ละจุดจะต่อโดยตรงกับโฮสต์คอมพิวเตอร์ ดังนั้นจึงต้อง
ใช้สายส่งข้อมูลจานวนมากทาให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการ
ติดตั้งและบารุงรักษา
การเพิ่มจุดใหม่เข้าในระบบจะต้องเดินสายจากโฮสต์คอมพิวเตอร์
ออกมาส่งผลให้การขยายระบบทาได้ยาก
การทางานขึ้นอยู่กับโฮสต์คอมพิวเตอร์ถ้าโฮสต์คอมพิวเตอร์เกิด
เสียหายขึ้นก็จะไม่สามารถใช้งานเครือข่ายได้
- 31. โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (ต่อ)
ข้อดีของการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบริง (Ring Network)
ใช้สายส่งข้อมูลน้อยความยาวของสายส่งข้อมูลจะใกล้เคียงกับแบบบัสแต่
จะน้อยกว่าแบบสตาร์ ทาให้เพิ่มความน่าเชื่อถือของการส่งข้อมูลได้มากขึ้น
เหมาะสาหรับใช้กับเคเบิลเส้นใยแก้วนาแสง เนื่องจากจะช่วยให้ส่งข้อมูลได้
ด้วยความเร็วสูงข้อมูลในวงแหวนจะเดินทางเดียว ในการส่งแต่ละจุดจะ
เชื่อมกับจุดติดกันด้วยสายส่งข้อมูลทาให้สามารถเลือกได้ว่าจะใช้สายส่ง
ข้อมูลแบบไหนในแต่ละส่วนของระบบเช่น เลือกใช้เคเบิลใยแก้วนาแสงใน
ส่วนที่ใช้ในโรงงานซึ่งมีปัญหาด้านสัญญาณไฟฟ้ารบกวนมากเป็นต้น
- 32. โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (ต่อ)
ข้อเสียของการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบริง (RingNetwork)
การส่งข้อมูลบนวงแหวนจะต้องผ่านทุกๆ จุดที่อยู่ในวงแหวนดังนั้นหากมี
จุดใดจุดหนึ่งเสียหายทั้งเครือข่ายก็จะไม่สามารถติดต่อกันได้จนกว่าจะนา
จุดที่เสียหายออกไปหรือแก้ไขให้ใช้งานได้
ในการตรวจสอบข้อผิดพลาดอาจต้องทดสอบระหว่างจุดกับจุดถัดไปเพื่อหา
ดูว่าจุดใดเสียหาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากและเสียเวลามาก
ยากต่อการเพิ่มจุดใช้งานใหม่
- 34. โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (ต่อ)
การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบไร้สาย (WirelessNetwork)
เริ่มแรกนั้นสามารถรับส่งข้อมูลได้2 Mbps (Megabits per Second)จน
พัฒนาให้สามารถส่งข้อมูลได้11 Mbps ด้วยราคาที่ถูกลง ทาให้เครือข่ายไร้สาย
ได้รับความนิยมมากขึ้นซึ่งเครือข่ายไร้สายนี้จะใช้เทคโนโลยีที่สามารถส่งข้อมูล
ไปบนความถี่ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้ซึ่งเรียกว่า“SpreadSpectrum”โดย
ข้อมูลที่แยกส่งออกไปนั้นจะประกอบกันเหมือนเดิมที่ตัวรับสัญญาณ
เครือข่ายไร้สายจะช่วยอานวยความสะดวกและความคล่องตัวในการใช้งาน
เครือข่ายไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนภายในบริเวณพื้นที่ของเครือข่ายก็สามารถเข้าถึง
ข้อมูลและใช้ข้อมูลได้อย่างเต็มที่เช่นเดียวกับเครือข่ายปกติ
- 37. อุปกรณ์เครือข่าย(Network Devices)
อุปกรณ์ทวนสัญญาณ (Repeater)
อุปกรณ์ทวนสัญญาณทางานในLayer ที่ 1 ของOSI Modelเป็นอุปกรณ์ที่ทา
หน้าที่รับสัญญาณดิจิตอลเข้ามาแล้วสร้างใหม่ (Regenerate)ให้เป็นเหมือน
สัญญาณข้อมูลเดิมที่ส่งมาจากต้นทาง จากนั้นค่อยส่งต่อออกไปยังอุปกรณ์ตัวอื่น
ทาให้สามารถส่งสัญญาณไปได้ไกลขึ้นโดยที่สัญญาณไม่สูญหาย
- 38. อุปกรณ์เครือข่าย(Network Devices) (ต่อ)
ฮับ (Hub)
Hub ใช้ในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับเครือข่ายจะมี “พอร์ต(Port)” ใช้
เชื่อมต่อระหว่าง Hub กับเครื่องคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์เครือข่ายตัวอื่นๆ Hub
จะทวนสัญญาณและส่งต่อข้อมูลนั้นออกไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่
เชื่อมต่ออยู่กับ Hub
- 39. อุปกรณ์เครือข่าย(Network Devices) (ต่อ)
บริดจ์ (Bridge)
บริดจ์ทางานในLayer ที่ 2 ของ OSIMode ใช้เชื่อมต่อ Segmentของเครือข่าย2
Segmentหรือมากกว่าเข้าด้วยกันโดยจะต้องเป็นเครือข่ายที่ใช้DataLink
Protocol ตัวเดียวกันและ NetworkProtocol ตัวเดียวกัน เช่น ต่อ Ethernet LAN
(ใช้Topology แบบบัส และใช้โปรโตคอล Ethernet) 2 Segmentเข้าด้วยกัน
Bridge สามารถกรองข้อมูลที่จะส่งต่อได้โดยตรวจสอบว่าข้อมูลที่ส่งนั้นมี
ปลายทางอยู่ที่ใดทาให้สามารถจัดการกับความหนาแน่นของข้อมูลได้มี
ประสิทธิภาพมากขึ้น
- 40. อุปกรณ์เครือข่าย(Network Devices) (ต่อ)
เราเตอร์ (Router)
เราเตอร์ ทางานในLayer ที่ 3 ของOSI Modelใช้เชื่อมต่อเครือข่าย 2 เครือข่าย
หรือมากกว่าเข้าด้วยกันโดยที่เครือข่ายนั้นจะต้องใช้NetworkProtocolตัว
เดียวกันแต่ใช้DataLink Protocolต่างกันได้(ต่อ EthernetLAN เข้ากับ Token
LAN ได้) Router สามารถกรองข้อมูลได้เช่นเดียวกับBridge และสามารถหา
เส้นทางในการส่งแพ็คเก็ตข้อมูลไปยังเครื่องปลายทางได้สั้นที่สุดด้วย
- 41. OSIModel (Open Systems Interconnection Model)
หน่วยงานกาหนดมาตรฐานสากลหรือ ISO ระบุว่าควรแบ่งโปรโตคอล
ออกเป็น7 เลเยอร์ (Layer) และในแต่ละเลเยอร์ควรมีหน้าที่อะไรบ้าง
ดังนั้นเมื่อบริษัทต่างๆ ได้ผลิตโปรโตคอลใหม่ขึ้นมาก็ออกแบบให้
สอดคล้องกับOSIModel นี้เพื่อให้สามารถติดต่อสื่อสารกับระบบของ
ต่างบริษัทได้
- 42. OSIModel (Open Systems Interconnection Model)(ต่อ)
Application Layer
ประกอบไปด้วยApplication Protocol ต่างๆ ที่มีผู้นิยมใช้
งานเช่น E-mail, File Transfer เป็นต้น
Presentation Layer
จัดการเกี่ยวกับรูปแบบของข้อมูลโดยการแปลงข้อมูลให้อยู่
ในรูปแบบที่เป็นมาตรฐานที่ทุกเครื่องเข้าใจ
Session Layer
สร้างการเชื่อมต่อเชิงตรรกะระหว่างเครื่องสองเครื่องทาการ
Synchronize ข้อมูลเพื่อป้ องกันปัญหาการเชื่อมต่อหลุด
Transport Layer
ตัดข้อมูลออกเป็นsegment ตรวจสอบความครบถ้วน
ให้บริการเรื่องคุณภาพ
Network layer
แปลงข้อมูลเป็นpacketและกาหนดเส้นทาง
Data LinkLayer
อธิบายการส่งข้อมูลไปบนสื่อกลางเพิ่มHeader และTrailer
เพื่อใช้ในการตรวจสอบต่างๆ
PhysicalLayer
ทาหน้าที่ดูแลการส่งข้อมูลที่เป็นBitไปในช่องทางการ
สื่อสาร
- 45. โปรโตคอล(Protocol) (ต่อ)
HTTP (HyperTextTransferProtocol)
โปรโตคอลที่ใช้ในการส่งเว็บเพจ(WebPage) ที่อยู่บนเครื่องเซิร์ฟเวอร์มาให้
เครื่องไคลเอ็นท์ที่ทาการร้องขอไปทาให้ผู้ใช้งานสามารถท่องไปในเว็บไซต์ต่าง
ๆ ทั่วโลกได้
FTP (File TransferProtocol )
โปรโตคอลที่ใช้ในการส่งโอนไฟล์ข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเตอร์โดยจะเรียกการ
โอนไฟล์จากเครื่องเซิร์ฟเวอร์มาที่เคลื่อนไคลเอ็นท์ว่า“Download”และเรียกการ
โอนไฟล์จากเครื่องไคลเอ็นท์ไปไว้ที่เครื่องเซิร์ฟเวอร์ว่า“Upload”
- 47. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารในธุรกิจ
Videoconference
เป็นการรวมเทคโนโลยี2 อย่าง เข้าไว้ด้วยกันนั่นคือเทคโนโลยีวีดีโอและ
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ จุดประสงค์ของการใช้เทคโนโลยีVideoconferenceนั้น
เพื่อสนับสนุนการประชุมทางไกลเป็นหลัก
Videoconferenceเป็นเทคโนโลยีที่ต้องใช้อุปกรณ์ได้แก่เครื่อง
คอมพิวเตอร์พร้อมการ์ดเสียงกล้องถ่ายวีดีโอขนาดเล็กไมโครโฟนลาโพง (หรือ
หูฟังหรือ Head-Set)และต้องมีโปรแกรมที่ใช้ควบคุมการรับส่งข้อความภาพ
และเสียง ตลอดจนไฟล์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งทั้งหมดจะทาให้ผู้ร่วม
ประชุมเห็นภาพและได้ยินเสียงของผู้ร่วมประชุมคนอื่นๆ ได้
- 50. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารในธุรกิจ(ต่อ)
GroupWare
Group Wareคือ โปรแกรมที่ช่วยสนับสนุนให้มีการแบ่งปันสารสนเทศผ่านทาง
เครือข่าย(LAN และ WAN)โดยGroupWareเป็นองค์ประกอบของแนวความคิด
อิสระที่เรียกว่า“Workgroup Computing” ซึ่งประกอบไปด้วยฮาร์ดแวร์และ
ซอฟต์แวร์ต่างๆ ของเครือข่ายซึ่งจะทาให้ผู้ร่วมงานทุกคนสามารถสื่อสารถึงกัน
และร่วมกันจัดการโครงการต่างๆ ร่วมประชุมตามหมายกาหนดการตลอดจน
ร่วมกันตัดสินใจเป็นกลุ่มได้
- 52. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารในธุรกิจ(ต่อ)
EDI(ElectronicData Interchange)
EDI คือ การแลกเปลี่ยนเอกสารทางธุรกิจระหว่างบริษัทคู่ค้าในรูปแบบ
มาตรฐานสากลจากเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังเครื่อง
คอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งโดยระบบEDI จะมีองค์ประกอบที่สาคัญอยู่
2 อย่างคือ การใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์แทนเอกสารที่เป็นกระดาษและ
เอกสารอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ต้องอยู่ในรูปแบบมาตรฐานสากลด้วยสอง
องค์ประกอบนี้ให้ทุกธุรกิจสามารถแลกเปลี่ยนเอกสารกันได้ทั่วโลก
- 53. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารในธุรกิจ(ต่อ)
GPS (GlobalPositioning System)
ระบบ GPSประกอบไปด้วยเทคโนโลยีที่ใช้ตรวจสอบตาแหน่งที่ตั้งของ
GPSReceiver(อุปกรณ์รับสัญญาณ) ผ่านทางดาวเทียม
ปัจจุบันนี้ได้มีผู้นาระบบGPSไปประยุกต์ใช้มากมาย ตัวอย่างเช่น การ
ป้องกันการโจรกรรมทรัพย์สินการนาร่องเรือเดินสมุทรการควบคุมการบิน
อัตโนมัติเป็นต้น นอกจากนี้ยังมีผู้นาไปใช้ในโครงการวิจัยสัตว์ป่าโดยฝังGPS
Receiverไว้ที่ในตัวสัตว์(GPSReceiverจะถูกออกแบบและสร้างมาให้เล็กเป็น
พิเศษ) เพื่อเฝ้าสะกดรอยตามหรือหากนาไปฝังไว้ในตัวนักโทษก็จะทาให้การ
ติดตามจับกุมนักโทษแหกคุกทาได้ง่ายขึ้น
- 54. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารในธุรกิจ(ต่อ)
อินเตอร์เน็ต (Internet)
อินเตอร์เน็ตคือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่มาก ซึ่งเกิดจากการเชื่อม
เครือข่ายย่อยๆ จานวนมากเข้าไว้ด้วยกันทาให้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องทั่วโลกไม่
ว่าจะเป็นชนิดใดหรือขนาดใดตาม สามารถส่งผ่านและแลกเปลี่ยนข้อมูลและ
สารสนเทศซึ่งกันและกันได้โดยใช้โปรโตคอลเป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสาร
และแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกันเหมือนเส้นใยแมงมุมหรือที่นิยมเรียก
กันโดยทั่วไปว่า“เวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web:WWW)”