SlideShare a Scribd company logo
1 of 37
สมาชิกในกลุ่ม
1.นางสาวศิรประภา จารักษา เลขที่.26 ม.5/5
2.นางสาวเบญญาภา วจีภิวัฒน์ เลขที่28 ม.5/5
3.นางสาวพัชราภรณ์ ดีปักษี เลขที่.33 ม.5/5
4.นางสาววราวรรณ พลโคตร เลขที่.34 ม.5/5
การติดต่อสื่อสารเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นควบคู่มากับมนุษย์ เนื่องจากมนุษย์
ต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม โดยใช้ภาษาเป็นสื่อในการสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกัน
และกัน ซึ่งปัจจุบันการสื่อสารข้อมูลมีการพัฒนาเจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น มีการ
ส่งข้อมูลในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยสามารถส่งผ่านข้อมูลได้ทุกประเภท ไม่ว่า
จะเป็นตัวอักษร ตัวเลข สัญลักษณ์ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียงผ่าน
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งการเรียนรู้เกี่ยวกับการสื่อสารข้อมูลและเครือข่าย
คอมพิวเตอร์ เป็นพื้นฐานสาคัญในการทาความเข้าใจเพื่อการพัฒนา และ
สามารถใช้เทคโนโลยีสาหรับการติดต่อสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความหมายระบบของระบบสื่อสาร
การสื่อสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ หมายถึง การโอนถ่าย (Transmission) ข้อมูล
หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้ส่งต้นทางกับผู้รับปลายทาง ทั้งข้อมูล
ประเภท ข้อความ รูปภาพ เสียง หรือข้อมูลสื่อผสมโดยผู้ส่งต้นทางส่งข้อมูลผ่าน
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีหน้าที่แปลงข้อมูลเหล่านั้นให้อยู่ใน
รูปสัญญาณทางไฟฟ้ า (Electronic data) จากนั้นถึงส่งไปยังอุปกรณ์หรือ
คอมพิวเตอร์ปลายทาง
ประสิทธิภาพของระบบสื่อสารข้อมูลขึ้นอยู่กับปัจจัย 4 ประการ ดังนี้
1.ตรงเป้ าหมาย ข้อมูลจะต้องส่งไปยังกลุ่มเป้ าหมายที่ต้องการเท่านั้น
2.ความถูกต้องระบบการสื่อสารข้อมูลจะต้องมีความถูกต้องและเที่ยงตรงและ
สามารถปรับให้เป็นข้อมูลที่ถูกต้องได้
3.ความทันสมัย ระบบสื่อสารข้อมูลที่ดีจะต้องมีการส่งที่มีความสัมพันธ์กับเวลาจริง
4.ความความเคลื่อน เช่นการส่งวีดีโอหากส่งข้อมูลไม่สัมพันธ์กัน
ก็จะทาให้ได้ผลลัพธ์ข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริง
องค์ประกอบของระบบสื่อสารข้อมูล
1. ผู้ส่ง เป็นสิ่งที่ทาหน้าที่ส่งข้อมูลข่าวสารออกไปยังจุดหมายปลายทางที่ต้องการ ซึ่งอาจเป็น
บุคคลหรืออุปกรณ์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ เป็นต้น
2. ข้อมูลข่าวสาร เป็นสิ่งที่ผู้ส่งต้องการส่งไปให้ผู้รับที่อยู่ปลายทางซึ่งอาจเป็นเสียง ข้อความ
หรือภาพ เพื่อสื่อสารให้เกิดความเข้าใจตรงกัน
3. สื่อกลาง หรือช่องทางการสื่อสาร เป็นสิ่งที่ช่วยให้ข้อมูลข่าวสารเดินทางจากผู้ส่งไปยังผู้รับ
ได้โดยสะดวก ซึ่งมีหลายรูปแบบ ดังนี้
* สายสัญญาณชนิดต่างๆ เช่น สายโทรศัพท์ สายเคเบิล เส้นใยแก้วนาแสง เป็นต้น
* คลื่นสัญญาณชนิดต่างๆ เช่น คลื่นวิทยุ คลื่นไมโครเวฟ คลื่นแสง คลื่นอินฟราเรด
* อุปกรณ์เสริมชนิดต่างๆ เช่น เสาอากาศวิทยุ เสาอากาศโทรศัพท์ ดาวเทียม โมเด็ม
4. ผู้รับ เป็นสิ่งที่ทาหน้าที่รับข้อมูลข่าวสารจากผู้ส่ง ซึ่งส่งผ่านสื่อกลางชนิดต่างๆ เช่น เครื่อง
คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุ เป็นต้น
การที่จะส่งข้อมูลข่าวสารจากผู้ส่งไปยังผู้รับได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น จะขาดส่วนประกอบใด
ส่วนประกอบหนึ่งที่กล่าวมาแล้วไม่ได้ และต้องรู้จักเลือกใช้อุปกรณ์และวิธีการให้เหมาะสมกับ
ลักษณะงาน
5. โปรโตคอล (Protocol) เป็นข้อกาหนดหรือข้อตกลงถึงกฎระเบียบและวิธีการที่ใช้ในการสื่อสาร
เพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับมีความเข้าใจตรงกัน
ทิศทางของการสื่อสาร
การสื่อสารข้อมูลระหว่างผู้รับกับผู้ส่งสามารถแบ่งได้เป็น 3ประเภท
1. การสื่อสารข้อมูลทิศทางเดียว (Simplex Transmission) เป็นการ
ติดต่อสื่อสารเพียงทิศทางเดียว คือผู้ส่งจะส่งข้อมูลเพียงฝั่งเดียวและโดยฝั่งรับไม่มีการ
ตอบกลับ เช่น การกระจายเสียงของสถานีวิทยุ การส่ง e-mail เป็นต้น
2. การสื่อสารข้อมูลสองทิศทางสลับกัน (Half Duplex Transmission)
สามารถส่งข้อมูลในเวลาใดเวลาหนึ่ง ไปในทิศทางเดียวเท่านั้น ทั้งฝ่ายส่งและฝ่ายรับ
หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือ ผู้ส่งสามารถส่งข้อมูลไปให้แก่ผู้รับ ส่วนผู้รับก็สามารถโต้ตอบ
กลับได้ แต่ไม่สามารถส่งสวนทางกันได้ในเวลาเดียวกัน เช่นการส่งวิทยุของตารวจ
3. การสื่อสารข้อมูลสองทิศทางพร้อมกัน (Full Duplex Transmission)
สามารถส่งข้อมูลในเวลาใดเวลาหนึ่ง ได้ทั้ง2ทิศทาง ทั้งฝ่ายส่งและฝ่ายรับ หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือ
ผู้ส่งและผู้รับ สามารถโต้ตอบสวนทางกันได้ในเวลาเดียวกัน เช่น การส่งสัญญาณ
โทรศัพท์ สนทนา msn , Facebook
ประเภทของสัญญาณ
ข้อมูลที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ ต้องเป็นข้อมูลที่อยู่ในรูป
สัญญาณทางไฟฟ้ า ซึ่งสามารถจาแนกสัญญาณได้ 2ลักษณะ
1.สัญญาณแบบดิจิทัล(Digitals signal)
เป็นสัญญาณที่ถูกแบ่งเป็นช่วงๆ อย่างไม่ต่อเนื่อง (Discrete)โดยลักษณะของ
สัญญาณจะแบ่งออกเป็นสองระดับเพื่อแทนสถานะสองสถานะ คือ สถานะของ
บิต 0 และสถานะของบิต 1 โดยแต่ละสถานะคือ การให้แรงดันทางไฟฟ้ าที่แตกต่าง
กัน การทางานในคอมพิวเตอร์ใช้สัญญาณดิจิทัล
2.สัญญาณอนาลอก(Analog Signal)
เป็นสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าที่มีความต่อเนื่องของสัญญาณ โดยไม่เปลี่ยนแปลง
แบบทันที่ทันใดเหมือนกับสัญญาณดิจิทัล เช่น เสียงพูด หรืออุณหภูมิในอากาศเมื่อ
เทียบกับเวลาที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
โพรโทคอล
โพรโทคอล (protocol) คือ ข้อตกลงอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับวิธีที่คอมพิวเตอร์
จะจัดรูปแบบและตอบรับข้อมูลระหว่างการสื่อสาร ซึ่งโพรโทคอลจะมีหลายมาตรฐาน และในแต่
ละโพรโทคอลจะมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป
การติดต่อสื่อสารข้อมูลผ่านทางเครือข่ายนั้น จาเป็นต้องมีโพรโทคอลที่เป็น
ข้อกาหนดตกลงในการสื่อสารขึ้น เพื่อช่วยให้ระบบสองระบบที่แตกต่างกันสามารถสื่อสารกัน
อย่างเข้าใจได้ โพรโทคอลนี้เป็นข้อตกลงที่กาหนดเกี่ยวกับการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์
ต่างๆ ทั้งวิธีการส่งและรับข้อมูล วิธีการตรวจสอบข้อผิดพลาดของการส่งและการรับข้อมูล
การแสดงผลข้อมูลเมื่อส่งและรับกันระหว่างเครื่องสองเครื่อง ดังนั้น จะเห็นได้กว่าโพรโทคอลมี
ความสาคัญมากในการสื่อสารบนเครือข่าย ซึ่งหากไม่มีโพรโทคอลแล้ว การสื่อสารบนเครือข่าย
คงไม่สามารถเกิดขึ้นได้
ในปัจจุบันการทางานของเครือข่ายใช้มาตรฐานโพรโทคอลต่างๆ ร่วมกันทางาน
มากมาย นอกจากโพรโทคอลระดับประยุกต์แล้ว การดาเนินการภายในเครือข่ายยังมีโพร
โทคอลย่อยที่ช่วยทาให้
การทางานของเครือข่ายมีประสิทธิภาพขึ้น ซึ่งโพรโทคอลที่ใช้ในการสื่อสารใน
ปัจจุบันมีหลายประเภท ตัวอย่างเช่น
1) โพรโทคอลเอชทีทีพี (Hyper Tex Transfer Protocol : HTTP) เป็นโพรโท
คอลหลักในการใช้งานเวิลด์ไวด์เว็บ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นช่องทางสาหรับเผยแพร่และ
แลกเปลี่ยนภาษาเอชทีเอ็มแอล (Hyper Text Markup Language : HTML) ใช้ร้องขอหรือตอบ
กลับระหว่างเครื่องลูกข่าย ที่ใช้โปรแกรมค้นดูเว็บกับเครื่องแม่ข่าย(web server) โดยทางาน
อยู่บนโพรโทคอลทีซีพี (Transfer Control Protocol : TCP)
2)โพรโทคอลทีซีพี/ไอพี (Transfer Control Protocol/Internet Protocol :
TCP/IP) เป็นโพรโทคอลที่ใช้ในการสื่อสารในระบบอินเทอร์เน็ต โดยมีการระบุผู้รับ ผู้ส่งใน
เครือข่าย และแบ่งข้อมูลออกเป็นแพ็กเก็ตส่งผ่านไปทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งหากการส่งข้อมูล
เกิดความผิดพลาดจะมีการร้องขอให้ส่งข้อมูลใหม่
3)โพรโทคอลเอสเอ็มทีพี (Simple Mail Transfer Protocol : SMTP) คือ
โพรโทคอลสาหรับส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์(electronic mail) หรืออีเมล (Email) ไป
ยังจุดหมายปลายทาง
4)บลูทูธ (Bluetooth) เป็นโพรโทคอลที่ใช้คลื่นวิทยุความถี่ 2.4 GHz ใน
การรับส่งข้อมูล คล้ายกับระบบแลนไร้สาย เพื่อได้ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์สามารถ
ติดต่อสื่อสารกับอุปกรณ์ต่อพ่วงไร้สาย เช่น เครื่องพิมพ์ เมาส์ คีย์บอร์ด
โทรศัพท์เคลื่อนที่ หูฟัง เป็นต้น เข้าด้วยกันได้สะดวก
ปัจจุบันมีโพรโทคอลในระดับประยุกต์ใช้งานมากมาย นอกจากโพโทคอลที่กล่าวมา
ข้างต้น เช่น การโอนย้ายแฟ้ มข้อมูลระหว่างกัน ใช้โพรโทคอลชื่อเอฟทีพี (File
Transfer Protocol : FTP)การโอนย้ายข่าวสารระหว่างกันใช้โพรโทคอลชื่อเอ็นเอ็นทีพี
(Network News Transfer Protocol : NNTP)เป็นต้น จะเห็นได้ว่าการใช้เครือข่าย
คอมพิวเตอร์ในทุกวันนี้ เป็นผลมาจากการพัฒนาโพรโทคอลต่างๆขึ้นใช้งาน ซึ่งการ
ทางานอย่างใดอย่างหนึ่งจาเป็นต้องผ่านการใช้งานโพรโทคอลต่างๆ หลายโพรโท
คอลร่วมกัน
โครงสร้างของเครือข่าย (Network Topology )
คือการออกแบบและการติดต่อเชื่อมโยงกันของเครือข่ายทางกายภาพ โดยทั่วไปโทโปโลจี
พื้นฐานมีอยู่ 3 ประเภท ดังนี้
1) แบบดาว (Star Network)
เป็นเครือข่ายที่คอมพิวเตอร์ทุกตัวและอุปกรณ์อื่นเชื่อมกับโฮสต์คอมพิวเตอร์ที่อยู่
และการสื่อสารทั้งหมดระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ภายในเครือข่ายต้องผ่านโฮสต์
คอมพิวเตอร์ เนื่องจากโฮสต์คอมพิวเตอร์เป็นตัวควบคุมอุปกรณ์อื่นทั้งหมดใน
เครือข่าย เครือข่ายแบบดาวเหมาะสาหรับการประมวลผลที่มีลักษณะรวมศูนย์
อย่างไรก็ตามข้อจากัดของแบบนี้ คือ หากใช้โฮสต์คอมพิวเตอร์ก็จะทาให้ระบบ
ทั้งหมดทางานไม่ได้
2) แบบบัส (Bus Network)
เป็นการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์โดยใช้สายวงจรเดียว ซึ่งอาจจะเป็นสายเกลียวคู่สาย
โคแอกเชียล หรือ สายใยแก้วก็ได้ สัญญาณสามารถสื่อสารได้ 2 ทางในเครือข่าย
โดยมีซอฟต์แวร์คอยช่วยแยกว่าอุปกรณ์ใดจะเป็นตัวรับข้อมูล หากมีคอมพิวเตอร์
ตัวใดในระบบล้มเหลวจะไม่มีผล ต่อคอมพิวเตอร์อื่น อย่างไรก็ตามช่องทางในระบบ
เครือข่ายแบบนี้สามารถจัดการรับข้อมูลได้ครั้งละ 1 ชุดเท่านั้น ดังนั้นจึงเกิดปัญหา
การจราจรของข้อมูลได้ในกรณีที่มีผู้ต้องการใช้งานพร้อมกัน โทโปโลจีแบบนี้นิยมใช้
ในวงแลน
3) แบบวงแหวน (Ring Network)
คอมพิวเตอร์ทุกตัวเชื่อมโยงเป็นวงจรปิด ทาให้การส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ตัว
หนึ่งไปยังอีก ตัวหนึ่งโดยเดินทางไปในทิศทางเดียว คอมพิวเตอร์แต่ละตัวทางาน
โดยอิสระ หากมีตัวใด ตัวหนึ่งเสียระบบการสื่อสารในเครือข่ายได้รับการ
กระทบกระเทือน ยกเว้นจะมีวงแหวนคู่ในการรับส่ง ข้อมูลในทิศทางต่างๆ กัน เพื่อ
เป็นเส้นทางสารองในการป้ องกันไม่ให้เครือข่ายหยุดทางานโดยสิ้นเชิง
นอกจากโทโปโลจีทั้ง 3 แบบที่กล่าวข้างต้น อาจจะพบโทโปโลจีแบบอื่นๆ เช่น แบบ
โครงสร้างลาดับชั้น (Hierarchical Network) ซึ่งมีลักษณะโครงสร้างคล้ายต้นไม้
(Tree) หรือมีแบบผสม (Hybrid) อย่างไรก็ตามโทโปโลจีแต่ละประเภทจะมีข้อดีและ
ข้อจากัดแตกต่างกันผู้พัฒนาระบบจะต้องพิจารณาถึงความเร็ว ความเชื่อถือได้
และความสามารถของเครือข่ายในการทางาน หรือการแก้ไขข้อบกพร่องในกรณีที่
อุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่ง ในระบบมีปัญหาตลอดจนลักษณะทางกายภาพ เช่น
ระยะห่างของ node และต้นทุนของทั้งระบบ
รูปแบบการประมวลผลแบบกระจายเครือข่าย (Organizational
Distributed Processing)
วิธีการประมวลผลของเครือข่ายคอมพิวเตอร์มี 3 รูปแบบ คือ
1.Terminal-to-Host Processing
2. File Server Processing
3. Client/Server
เครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (computer network) เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์
และอุปกรณ์ต่อพ่วงเข้าด้วยกัน เพื่อให้สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้
เครือข่ายคอมพิวเตอร์แบ่งออกตามการเชื่อมโยงได้เป็น 4 ชนิด ดังนี้
-เครือข่ายส่วนบุคคล หรือ แพน (Personal Area Network : PAN) เป็น
เครือข่ายที่ใช่ส่วนบุคคล ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อแบบไร้สายในระยะใกล้
เช่น เช่น Bluetooth ตัวอย่าง เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูล
ระหว่าง PDA กับ Desktop โดยมีระยะทางไม่เกิน 1เมตร และมีอัตราการ
รับส่งข้อมูลความเร็วสูงมาก (สูงถึง 480 Mbps)การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์
กับโทรศัพท์มือถือ การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับเครื่องพีดีเอ เป็นต้น
PDA ย่อมาจาก Personal Digital Assistant หมายถึง คอมพิวเตอร์แบบ
พกพาขนาดเล็กเท่าฝ่ ามือ มีโปรแกรมพื้นฐาน เช่น Spread Sheet
ต่างๆ ช่วยจดบันทึก และการนัดหมายต่างๆ (Palm)
เกิน 1เมตร และมีอัตราการรับส่งข้อมูลความเร็วสูงมาก (สูงถึง 480 Mbps)
-เครือข่ายเฉพาะที่ หรือ (Local Area Network : LAN)เป็นเครือข่ายขนาด
เล็กซึ่งเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสารที่อยู่ในท้องที่บริเวณเดียวกันเข้า
ด้วยกัน เช่น ภายในอาคาร หรือภายในอง๕การที่มีระยะทางไม่ไกลมากนัก เป็นต้น
โดยคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะต่อเข้ากับอุปกรณ์เครือข่าย เช่น ฮับ สวิตช์ เป็นต้น
ซึ่งอุปกรณ์เครือข่ายแต่ละตัวจะเชื่อมต่อกันโดยใช้สายตีเกลียวคู่ สายใยแก้วนาแสง
หรือคลื่นวิทยุ และเครือข่ายแลนจะเชื่อมต่อถึงกันด้วยอุปกรณ์จัด
เส้นทาง (router) การสร้างเครือข่ายแลนนี้แต่ละองค์กร สามารถดาเนินการเองได้
โดยการวางสายสัญญาณสื่อสารภายในอาคารหรือภายในพื้นที่ของตนเอง
เครือข่ายแลนมีตั้งแต่เครือข่ายขนาดเล็กที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ตั้งแต่สองเครื่องขึ้น
ไปภายในห้องเดียวกัน จนถึงเชื่อมโยงระหว่างห้องหรือองค์กรขนาดใหญ่ เช่น
ภายในสานักงาน ภายในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย เป็นต้น ทาให้เครื่อง
คอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องที่เชื่อมต่อกัน สามารถส่งข้อมูลแลกเปลี่ยนกันได้อย่าง
สะดวก รวดเร็ว และยังสามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันได้อีกด้วย
-เครือข่ายนครหลวง หรือแมน (Metropolitan Area Network : MAN) เป็นเครือข่ายที่
เชื่อมโยง
แลนที่อยู่ห่างกัน เช่น ระหว่างสานักงานที่อยู่คนละอาหาร ระบบเคเบิลทีวีตามบ้านใน
ปัจจุบัน เป็นต้น โดยมีลักษณะการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ที่มีระห่างไกลกันในช่วง 5-
40 กิโลเมตร ผ่านสายสื่อสารประเภทสายใยแก้วนาแสงสายโคแอกเชียล หรืออาจใช้
คลื่นไมโครเวฟ
- เครือข่ายวงกว้าง หรือแวน (Wide Area Network : WAN) เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ขนาดใหญ่
ที่เชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ในระยะห่างไกล มีการติดต่อสื่อสารกันในบริเวณกว้าง เช่น
เชื่อมโยงระหว่างจังหวัด ระหว่างประเทศ เป็นต้น
อุปกรณ์สื่อสารในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
การเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ให้กลายเป็นระบบเครือข่ายได้นั้น จะต้องอาศัย
อุปกรณ์สื่อสารในระบบเครื่องคอมพิวเตอร์ (network device) ซึ่งทาหน้าที่รับและส่ง
ข้อมูลโดยผ่านทางสื่อกลาง ไม่ว่าจะเป็นสื่อกลางแบบใช้สาย และสื่อกลางแบบไร้สาย ซึ่ง
อุปกรณ์สื่อสารในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีดังนี้
1)เครื่องทวนสัญญาณ (repeater) เป็นอุปกรณ์ที่ทาหน้าที่รับสัญญาณ
ดิจิทัล แล้วส่งต่อออกไปยังอุปกรณ์ตัวอื่น เหตุที่ต้องใช้อุปกรณ์ทวนสัญญาณ
เนื่องจากการส่งสัญญาณไปในตัวกลางที่เป็นสายสัญญาณนั้น เมื่อระยะทางมากขึ้น
แรงดันของสัญญาณจะลดลงเรื่อยๆ ทาให้ไม่สามารถส่งสัญญาณในระยะทางไกลๆ ได้
ดังนั้น การใช้อุปกรณ์ทวนสัญญาณจะทาให้สามารถส่งสัญญาณไปได้ไกลขึ้น โดย
สัญญาณไม่สูญหาย
2)ฮับ (hub) เป็นอุปกรณ์ที่ทาหน้าที่รวมสัญญาณที่มาจากอุปกรณ์รับส่ง หรือ
เครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องเข้าด้วยกัน สัญญาณที่ส่งมาจากฮับจะกระจายไปยังทุก
เครื่องที่ต่อยู่กับฮับ ซึ่งแต่ละเครื่องจะเลือกรับเฉพาะข้อมูลที่ส่งมาถึงตนเองเท่านั้น
3)บริดจ์ (bridge) ใช้ในการเชื่อมต่อเครือข่ายหลายเครือข่ายเข้าด้วยกัน โดย
จะต้องเป็นเครือข่ายที่ใช้โพรโทคอลตัวเดียวกัน ซึ่งมีความสามารถมากกว่าฮับและอุปกรณ์
ทวนสัญญาณ คือ สามารถกรองข้อมูลที่จะส่งต่อได้ โดยการตรวจสอบว่า ข้อมูลที่ส่งนั้นมี
ปลายทางอยู่ที่ใด หากเครื่องปลายทางอยู่ภายในเครือข่ายเดียวกันกับเครื่องส่ง ก็จะส่ง
ข้อมูลนั้นไปในเครือข่ายเดียวกันเท่านั้น ไม่ส่งไปยังเครือข่ายอื่น แต่หากข้อมูลมีปลายทาง
อยู่ที่เครือข่ายอื่น ก็จะส่งข้อมูลไปในเครือข่ายที่มีเครื่องปลายทางอยู่เท่านั้น ทาให้สามารถ
จัดการกับความหนาแน่นของข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
4)อุปกรณ์จัดเส้นทาง (router) สามารถกรองข้อมูลได้เช่นเดียวกับบริดจ์
แต่จะมีความสามารถมากกว่า ตรงที่สามารถหาเส้นทางในการส่งกลุ่มข้อมูล (data
packer) ไปยังเครื่องปลายทางในระยะทางที่สั้นที่สุดได้
5)สวิตช์ (switch) นาความสามารถของฮับกับบริดจ์มารวมกัน แต่การส่ง
ข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่งจะไม่กระจายไปยังคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง
เหมือนกับฮับ เพราะสวิตช์จะทาหน้าที่รับกลุ่มข้อมูลมาตรวจสอบก่อนว่าเป็นของ
คอมพิวเตอร์เครื่องใด แล้วนาข้อมูลนั้นส่งต่อไปยังคอมพิวเตอร์เป้ าหมาย ซึ่งช่วย
ลดปัญหาการชนหรือความคับคั่งของข้อมูล
6)เกตเวย์ (gateway) เป็นอุปกรณ์ที่ทาหน้าที่เชื่อมต่อเครือข่ายต่างๆ เข้า
ด้วยกัน ไม่ว่าเครือข่ายนั้นจะใช้โพรโทคอลตัวใดก็ตาม เนื่องจากเกตเวย์สามารถ
แปลงรูปแบบแพ็กเก็ตของโพรโทคอลหนึ่งไปเป็นรูปแบบของอีกโพรโทคอลหนึ่งได้
เพื่อให้เหมาะสามกับการใช้งานในเครือข่าย ทาให้สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่นๆ
ได้อย่างไม่มีข้อจากัด แต่ในปัจจุบันนี้ได้รวมการทางานของเกตเวย์ไว้ในอุปกรณ์จัด
เส้นทาง (router) แล้ว ทาให้อุปกรณ์จัดเส้นทางสามารถทางานเป็นเกตเวย์ได้ จึงไม่
จาเป็นต้องซื้อเกตเวย์อีก
เทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลในเครือข่ายคอมพิวเตอร์
เทคโนโลยีในการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก
ได้แก่ เทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลแบบใช้สาย และเทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลแบบไร้สาย
ดังนี้
เทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลแบบใช้สาย เทคโนโลยีการส่งข้อมูลแบบใช้สาย แบ่งออก
ตามชนิด
ของสายสื่อสารได้ 3 ชนิด ดังนี้
1)สายตีเกลียวคู่ (twisted pair cable) ประกอบด้วยเส้นลวดทองแดง 2 เส้น
ที่หุ้มด้วยฉนวนพลาสติก พันบิดกันเป็นเกลียว เพื่อลดการรบกวนจากคลื่น
แม่เหล็กไฟฟ้ าจากคู่สายข้างเคียงภายในเคเบิลเดียวกัน หรือจากภายนอก เนื่องจาก
สายตีเกลียวคู่นี้ยอมให้สัญญาณไฟฟ้ าความถี่สูงผ่านได้ สาหรับอัตราการส่งข้อมูล
ผ่านสายตีเกลียวคู่จะขึ้นอยู่กับความหนาของสาย คือ สายทองแดงที่มีเส้นผ่าน
ศูนย์กลางกว้าง จะสามารถส่งสัญญาณไฟฟ้ ากาลังแรงได้ ทาให้สามารถส่งข้อมูลได้
ด้วยความเร็วสูง โดยทั่วไปใช้สาหรับส่งข้อมูลดิจิตอล สามารถใช้ส่งข้อมูลได้ถึง 100
เมกะบิตต่อวินาที ในระยะทางไม่เกินร้อยเมตร เนื่องจากราคาไม่แพงมาก ใช้ส่งข้อมูลได้
ดีจึงมีการใช้งานอย่างกว้างขวาง สายตีเกลียวคู่มี 2 ชนิด ดังนี้
1. แบบไม่มีฉนวนหุ้ม (UTP : Unshielded Twisted Pair)
2.แบบมีฉนวนหุ้ม (STP : Shielded Twisted Pair)
สายคู่บิดเกลียวแบบไม่มีฉนวนหุ้ม (UTP : Unshielded Twisted Pair)
สาย UTP เป็นสายที่พบเห็นกันมาก มักจะใช้เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ไปยังอุปกรณ์
สื่อสารตามมาตรฐานที่กาหนด สาหรับสายประเภทนี้จะมีความยาวของสายในการ
เชื่อมต่อได้ไม่เกิน 100 เมตร และสาย UTP มีจานวนสายบิดเกลียวภายใน 4 คู่ คู่
สายในสายคู่ตีเกลียวไม่หุ้มฉนวนคล้ายสายโทรศัพท์ มีหลายเส้นซึ่งแต่ละเส้นก็จะมีสี
แตกต่างกัน และตลอดทั้งสายนั้นจะถูกหุ้มด้วยพลาสติก (Plastic Cover) ปัจจุบัน
เป็นสายที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากราคาถูกและติดตั้งได้ง่าย แสดงดังรูป
รูปแสดงสายคู่บิดเกลียวแบบไม่มีฉนวนหุ้ม (UTP : Unshielded Twisted
Pair)
ข้อดีของสาย UTP
- ราคาถูก
- ติดตั้งง่ายเนื่องจากน้าหนักเบา
- มีความยืดหยุ่น และสามารถโค้งงอได้มาก
ข้อเสียของสาย UTP
- ไม่เหมาะในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่ห่างไกล มาก เพราะสัญญาณที่วิ่งบนสายจะ
ถูกลดทอนลงไปตามความยาวของสาย (มีความยาวของสายในการเชื่อมต่อได้ไม่
เกิน 100 เมตร)
สายคู่บิดเกลียวแบบมีฉนวนหุ้ม (STP : Shielded Twisted Pair)
สายสัญญาณ STP มีการนาสายคู่พันเกลียวมารวมอยู่และมีการเพิ่มฉนวนป้ องกัน
สัญญาณรบกวน ซึ่งร่างแหนี้จะมีคุณสมบัติเป็นเกราะในการป้ องกันสัญญาณ
รบกวนจากคลื่นแม่ เหล็กไฟฟ้ าต่างๆ เรียกเกราะนี้ว่า ชิลด์ (Shield) และเป็น
สายสัญญาณที่ได้รับการพัฒนาต่อจากสายUTP โดยเพิ่มการชีลด์กันสัญญาณ
รบกวนเพื่อทาให้คุณสมบัติโดยรวมของสัญญาณดีมาก ขึ้น คุณลักษณะของ
สาย STP ก็เหมือนกับสายUTP คือมีเรื่องเกี่ยวกับอัตราการบั่นทอนครอสทอร์ก
รูปแสดงสายคู่บิดเกลียวแบบมีฉนวนหุ้ม (STP : Shielded Twisted Pair)
ข้อดีของสาย STP
- ส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงกว่า UTP
- ป้ องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า และคลื่นวิทยุ
ข้อเสียของสาย STP
- มีขนาดใหญ่และไม่ค่อยยืดหยุ่นในการงอพับสายมากนัก
- ราคาแพงกว่าสาย UTP
1) สายโคแอกซ์ (coaxial cable) มีลักษณะเช่นเดียวกับสายที่ต่อมาจากเสา
อากาศประกอบด้วยลวดทองแดงที่เป็นแกนหุ้มด้วยฉนวนชั้นหนึ่ง เพื่อป้ องกัน
กระแสไฟฟ้ ารั่ว จากนั้นจะหุ้มด้วยตัวนาซึ่งทาจากลวดทองแดงถักเป็นเปียเพื่อ
ป้ องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าและสัญญาณรบกวนอื่นๆ ก่อนจะหุ้ม
ชั้นนอกสุดด้วยฉนวนพลาสติก สัญญาณไฟฟ้ าสามารถผ่านได้สูงมาก นิยมใช้เป็น
ช่องสื่อสารเชื่อมโยงผ่านใต้ทะเลและใต้ดิน สายโคแอกซ์ที่ใช้ทั่วไปมี 2 ชนิด คือ 50
โอห์ม ซึ่งใช้ส่งข้อมูลดิจิตอล และชนิด 75 โอห์ม ซึ่งใช้ส่งข้อมูลสัญญาณอะนาล็อก
2)สายใยแก้วนาแสง (fiber optic cable) หรือเส้นใยนาแสง แกนกลางของ
สายประกอบด้วยเส้นใยแก้วหรือพลาสนิกขนาดเล็กภายในกลวง หลายๆ เส้น อยู่
รวมกัน เส้นใยแต่ละเส้นมีขนาดเล็กประมาณเส้นผมของมนุษย์ เส้นใยแต่ละเส้น
ห่อหุ้มด้วยเส้นใยอีกชนิดหนึ่งก่อนจะหุ้มชั้นนอกสุดด้วยฉนวน การส่งข้อมูลผ่าน
ทางสื่อกลางชนิดนี้จะแตกต่างจากชนิดอื่นๆ ซึ่งจะใช้เลเซอร์วิ่งผ่านช่องกลวงของ
เส้นใยแต่ละเส้น และอาศัยหลักการหักเหของแสง โดยใช้เส้นใยชั้นนอกเป็นกระจก
สะท้อนแสง สามารถส่งข้อมูลด้วยอัตราความหนาแน่นของสัญญาณข้อมูลที่สูง
มาก และไม่มีการก่อกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า ทาให้สามารถส่งข้อมูลทั้ง
ตัวอักษร ภาพ กราฟิก เสียง หรือวีดีทัศน์ได้ในเวลาเดียวกัน แต่ยังมีข้อเสีย
เนื่องจากการบิดงอของสายสัญญาณจะทาให้เส้นใยหัก จึงไม่สามารถใช้สื่อกลางนี้
เดินทางตามมุมตึกได้ สายใยแก้ว นาแสง มีลักษณะพิเศษที่ใช้สาหรับเชื่อมโยงแบบ
จุดไปจุด จึงเหมาะที่จะใช้กับการเชื่อมโยงระหว่างอาคารกับอาคารหรือระหว่างเมือง
กับเมือง
เทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลแบบไร้สาย
เทคโนโลยีการส่งข้อมูลแบบไร้สาย อาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าเป็นสื่อกลางนาสัญญาณ
ซึ่งสามารถแบ่งตามช่วงความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าได้ 4 ชนิด ดังนี้
1) อินฟราเรด (infrared) เป็นลักษณะของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าที่ใช้ในการส่ง
ข้อมูลระยะใกล้ๆ ในช่วงความถี่ที่แคบมาก ใช้ช่องทางสื่อสารน้อย มักใช้กับการ
สื่อสารข้อมูลที่ไม่มีสิ่งกีดขวางระหว่างตัวส่งกับตัวรับสัญญาณ โดยต้องใช้วิธีการ
สื่อสารตามแนวเส้นตรง ระยะทางไม่เกิน 1-2 เมตร ความเร็วประมาณ 4-16 เม
กะบิตต่อวินาที เช่น การส่งสัญญาณจากรีโมตคอนโทรลไปยังโทรทัศน์ การ
เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์สองเครื่องโดยผ่านพอร์ตไออาร์ดีเอ เป็นต้น
2)คลื่นวิทยุ(radio frequency) ใช้ส่งสัญญาณไปในอากาศ โดยมีตัวกระจาย
สัญญาณส่งไปยังตัวรับสัญญาณ และใช้คลื่นวิทยุในช่วงความถี่ต่างๆ กัน มี
ความเร็วต่าประมาณ 2 เมกะบิตต่อวินาที เช่น การสื่อสารในระบบวิทยุเอฟ
เอ็ม (Frequency Modulation : FM) เอเอ็ม (Amplitude Modulation : AM) การสื่อสาร
โดยใช้ระบบไร้สาย (Wi-Fi) และบลูทูธ
3)ไมโครเวฟ (microwave) จะใช้การส่งสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าไปใน
อากาศ พร้อมกับข้อมูลที่ต้องการส่ง และต้องมีสถานนีที่ทาหน้าทีส่งและรับข้อมูล
และเนื่องจากสัญญาณไมโครเวฟจะเดินทางเป็นเส้นตรงไม่สามารถเลี้ยวหรือโค้ง
ตามขอบโลกได้ จึงต้องมีการตั้งสถานีรับ-ส่งข้อมูลเป็นระยะๆ และส่งข้อมูลต่อกัน
เป็นทอดๆ ระหว่างสถานีต่อสถานี จนกว่าจะถึงสถานีปลายทาง และแต่ละสถานีจะ
ตั้งอยู่ในที่สูง เช่น ดาดฟ้ าของตึกสูง ยอดเขา เป็นต้น เพื่อหลีกเลี่ยงการชนสิ่งกีด
ขวางในแนวการเดินทางของสัญญาณ เหมาะกับการส่งข้อมูลในพื้นที่ห่างไกล และ
ทุรกันดาร
4)ดาวเทียม (satellite) เป็นสถานีรับส่งสัญญาณไมโครเวฟบนท้องฟ้ า ซึ่ง
ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจากัดของสถานีรับ-ส่งไมโครเวฟบนผิวโลก
เพื่อใช้เป็นสถานีรับส่งสัญญาณไมโครเวฟบนอวกาศ และทวนสัญญาณในแนวโคจร
ของโลกซึ่งจะต้องมีสถานีภาคพื้นดิน ทาหน้าที่รับและส่งสัญญาณขึ้นไปบน
ดาวเทียมที่โคจรอยู่สูงจากพื้นโลกประมาณ 35,600 ไมล์ โดยดาวเทียมเหล่านั้นจะ
เคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เท่ากับการหมุนของโลก จึงเสมือนกับดาวเทียมนั้นอยู่นิ่ง
กับที่ขณะโลกหมุนรอบตัวเอง ทาให้การส่งสัญญาณไมโครเวฟจากสถานีหนึ่งขึ้นไป
บนดาวเทียมและการกระจายสัญญาณจากดาวเทียมลงมายังสถานีตามจุดต่างๆ
บนผิวโลกเป็นไปอย่างแม่นยา
แหล่งที่มา
www.wikipedia.org/wiki/IEEE_802.11
www.slideshare.net/krujarin/12-9017214
www.tamkungna.ob.tc/page23.htm
data-communication2009.blogspot.comdata-
communication2009.blogspot.com
http://datacommunication2009.blogspot.com/2009/12/3.html

More Related Content

What's hot

ความหมายและพัฒนาการอินเทอร์เน็ต
ความหมายและพัฒนาการอินเทอร์เน็ตความหมายและพัฒนาการอินเทอร์เน็ต
ความหมายและพัฒนาการอินเทอร์เน็ตpatchu0625
 
สรุปอินเตอร์เน็ตและการสืบค้นข้อมูล
สรุปอินเตอร์เน็ตและการสืบค้นข้อมูลสรุปอินเตอร์เน็ตและการสืบค้นข้อมูล
สรุปอินเตอร์เน็ตและการสืบค้นข้อมูลHappy Sara
 
อินเทอร์เน็ตเพื่องานเลขานุการ
อินเทอร์เน็ตเพื่องานเลขานุการอินเทอร์เน็ตเพื่องานเลขานุการ
อินเทอร์เน็ตเพื่องานเลขานุการPrapaporn Boonplord
 
หน่วยที่ 3 อินเทอร์เน็ตและการใช้งาน
หน่วยที่  3 อินเทอร์เน็ตและการใช้งานหน่วยที่  3 อินเทอร์เน็ตและการใช้งาน
หน่วยที่ 3 อินเทอร์เน็ตและการใช้งานอรยา ม่วงมนตรี
 
การกำหนดที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต
การกำหนดที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตการกำหนดที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต
การกำหนดที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตปิยะดนัย วิเคียน
 
บทที่ 5 อินเทอร์เน็ตและการสืบค้น
บทที่ 5 อินเทอร์เน็ตและการสืบค้นบทที่ 5 อินเทอร์เน็ตและการสืบค้น
บทที่ 5 อินเทอร์เน็ตและการสืบค้นxsitezaa
 
รายงานอินเทอร์เน็ต
รายงานอินเทอร์เน็ตรายงานอินเทอร์เน็ต
รายงานอินเทอร์เน็ตnatlove220
 
ความหมายและพัฒนาการของอินเทอร์เน็ต
ความหมายและพัฒนาการของอินเทอร์เน็ตความหมายและพัฒนาการของอินเทอร์เน็ต
ความหมายและพัฒนาการของอินเทอร์เน็ตHaprem HAprem
 
บทบาทของการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
บทบาทของการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์บทบาทของการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
บทบาทของการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ปิยะดนัย วิเคียน
 
เครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์เครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์hisogakung
 

What's hot (20)

ความหมายและพัฒนาการอินเทอร์เน็ต
ความหมายและพัฒนาการอินเทอร์เน็ตความหมายและพัฒนาการอินเทอร์เน็ต
ความหมายและพัฒนาการอินเทอร์เน็ต
 
สรุปอินเตอร์เน็ตและการสืบค้นข้อมูล
สรุปอินเตอร์เน็ตและการสืบค้นข้อมูลสรุปอินเตอร์เน็ตและการสืบค้นข้อมูล
สรุปอินเตอร์เน็ตและการสืบค้นข้อมูล
 
สื่อกลางในการสื่อสารข้อมูล
สื่อกลางในการสื่อสารข้อมูลสื่อกลางในการสื่อสารข้อมูล
สื่อกลางในการสื่อสารข้อมูล
 
อินเทอร์เน็ตเพื่องานเลขานุการ
อินเทอร์เน็ตเพื่องานเลขานุการอินเทอร์เน็ตเพื่องานเลขานุการ
อินเทอร์เน็ตเพื่องานเลขานุการ
 
อินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ตอินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ต
 
หน่วยที่ 3 อินเทอร์เน็ตและการใช้งาน
หน่วยที่  3 อินเทอร์เน็ตและการใช้งานหน่วยที่  3 อินเทอร์เน็ตและการใช้งาน
หน่วยที่ 3 อินเทอร์เน็ตและการใช้งาน
 
อินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ตอินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ต
 
การกำหนดที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต
การกำหนดที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตการกำหนดที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต
การกำหนดที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต
 
บทที่ 5 อินเทอร์เน็ตและการสืบค้น
บทที่ 5 อินเทอร์เน็ตและการสืบค้นบทที่ 5 อินเทอร์เน็ตและการสืบค้น
บทที่ 5 อินเทอร์เน็ตและการสืบค้น
 
Lernning 09
Lernning 09Lernning 09
Lernning 09
 
รายงานอินเทอร์เน็ต
รายงานอินเทอร์เน็ตรายงานอินเทอร์เน็ต
รายงานอินเทอร์เน็ต
 
ความหมายและพัฒนาการของอินเทอร์เน็ต
ความหมายและพัฒนาการของอินเทอร์เน็ตความหมายและพัฒนาการของอินเทอร์เน็ต
ความหมายและพัฒนาการของอินเทอร์เน็ต
 
เฉลยแบบทดสอบปลายภาค ม.5
เฉลยแบบทดสอบปลายภาค ม.5เฉลยแบบทดสอบปลายภาค ม.5
เฉลยแบบทดสอบปลายภาค ม.5
 
Computer
ComputerComputer
Computer
 
บทบาทของการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
บทบาทของการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์บทบาทของการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
บทบาทของการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
เครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์เครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
เวิลด์ไวด์เว็บ
เวิลด์ไวด์เว็บเวิลด์ไวด์เว็บ
เวิลด์ไวด์เว็บ
 
22
2222
22
 
17
1717
17
 
โพรโทคอล
โพรโทคอลโพรโทคอล
โพรโทคอล
 

Similar to ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์

การสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูล
การสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลการสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูล
การสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลMareeyalosocity
 
แบบฝึกหัดบทที่ 4
แบบฝึกหัดบทที่ 4แบบฝึกหัดบทที่ 4
แบบฝึกหัดบทที่ 4Chutikan Mint
 
Comunication netw01 11
Comunication netw01 11Comunication netw01 11
Comunication netw01 11paween
 
บริการต่างๆ
บริการต่างๆบริการต่างๆ
บริการต่างๆearthatkk
 
บริการต่างๆ
บริการต่างๆบริการต่างๆ
บริการต่างๆearthatkk
 
66666.pdfเเเเเเ
66666.pdfเเเเเเ66666.pdfเเเเเเ
66666.pdfเเเเเเBeeHand Behide
 
บริการต่างๆ
บริการต่างๆบริการต่างๆ
บริการต่างๆearthatkk
 
กลุ่ม5 เครือข่ายคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร
กลุ่ม5 เครือข่ายคอมพิวเตอร์และการสื่อสารกลุ่ม5 เครือข่ายคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร
กลุ่ม5 เครือข่ายคอมพิวเตอร์และการสื่อสารPeerapat Thungsuk
 
สื่อการเรียน เรื่อง พัฒนาการของการติดต่อสื่อสาร
สื่อการเรียน เรื่อง พัฒนาการของการติดต่อสื่อสารสื่อการเรียน เรื่อง พัฒนาการของการติดต่อสื่อสาร
สื่อการเรียน เรื่อง พัฒนาการของการติดต่อสื่อสารKhunakon Thanatee
 
บทที่ 3 : ระบบเครือข่ายและการสื่อสาร
บทที่ 3 : ระบบเครือข่ายและการสื่อสารบทที่ 3 : ระบบเครือข่ายและการสื่อสาร
บทที่ 3 : ระบบเครือข่ายและการสื่อสารTodsapol Aryuyune
 
สื่อการสอน Internet 2559
สื่อการสอน Internet  2559สื่อการสอน Internet  2559
สื่อการสอน Internet 2559kkrunuch
 
การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลchukiat008
 
การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลchukiat008
 
ใบความรู้ที่ 2
ใบความรู้ที่ 2ใบความรู้ที่ 2
ใบความรู้ที่ 2Nattapon
 
ใบความรู้ที่ 1
ใบความรู้ที่ 1ใบความรู้ที่ 1
ใบความรู้ที่ 1Nattapon
 
บทที่ 1 เทคโนโลยีสาสนเทศ
บทที่ 1 เทคโนโลยีสาสนเทศบทที่ 1 เทคโนโลยีสาสนเทศ
บทที่ 1 เทคโนโลยีสาสนเทศBeauso English
 

Similar to ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (20)

การสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูล
การสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลการสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูล
การสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูล
 
แบบฝึกหัดบทที่ 4
แบบฝึกหัดบทที่ 4แบบฝึกหัดบทที่ 4
แบบฝึกหัดบทที่ 4
 
Comunication netw01 11
Comunication netw01 11Comunication netw01 11
Comunication netw01 11
 
บริการต่างๆ
บริการต่างๆบริการต่างๆ
บริการต่างๆ
 
บริการต่างๆ
บริการต่างๆบริการต่างๆ
บริการต่างๆ
 
66666.pdfเเเเเเ
66666.pdfเเเเเเ66666.pdfเเเเเเ
66666.pdfเเเเเเ
 
บริการต่างๆ
บริการต่างๆบริการต่างๆ
บริการต่างๆ
 
กลุ่ม5 เครือข่ายคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร
กลุ่ม5 เครือข่ายคอมพิวเตอร์และการสื่อสารกลุ่ม5 เครือข่ายคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร
กลุ่ม5 เครือข่ายคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร
 
สื่อการเรียน เรื่อง พัฒนาการของการติดต่อสื่อสาร
สื่อการเรียน เรื่อง พัฒนาการของการติดต่อสื่อสารสื่อการเรียน เรื่อง พัฒนาการของการติดต่อสื่อสาร
สื่อการเรียน เรื่อง พัฒนาการของการติดต่อสื่อสาร
 
บทที่ 3 : ระบบเครือข่ายและการสื่อสาร
บทที่ 3 : ระบบเครือข่ายและการสื่อสารบทที่ 3 : ระบบเครือข่ายและการสื่อสาร
บทที่ 3 : ระบบเครือข่ายและการสื่อสาร
 
สื่อการสอน Internet 2559
สื่อการสอน Internet  2559สื่อการสอน Internet  2559
สื่อการสอน Internet 2559
 
Education
EducationEducation
Education
 
ใบความรู้ที่ 1
ใบความรู้ที่ 1ใบความรู้ที่ 1
ใบความรู้ที่ 1
 
การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล
 
การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล
 
Jenjira2
Jenjira2Jenjira2
Jenjira2
 
ใบความรู้ที่ 2
ใบความรู้ที่ 2ใบความรู้ที่ 2
ใบความรู้ที่ 2
 
Lernning 05
Lernning 05Lernning 05
Lernning 05
 
ใบความรู้ที่ 1
ใบความรู้ที่ 1ใบความรู้ที่ 1
ใบความรู้ที่ 1
 
บทที่ 1 เทคโนโลยีสาสนเทศ
บทที่ 1 เทคโนโลยีสาสนเทศบทที่ 1 เทคโนโลยีสาสนเทศ
บทที่ 1 เทคโนโลยีสาสนเทศ
 

ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์

  • 1.
  • 2. สมาชิกในกลุ่ม 1.นางสาวศิรประภา จารักษา เลขที่.26 ม.5/5 2.นางสาวเบญญาภา วจีภิวัฒน์ เลขที่28 ม.5/5 3.นางสาวพัชราภรณ์ ดีปักษี เลขที่.33 ม.5/5 4.นางสาววราวรรณ พลโคตร เลขที่.34 ม.5/5
  • 3. การติดต่อสื่อสารเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นควบคู่มากับมนุษย์ เนื่องจากมนุษย์ ต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม โดยใช้ภาษาเป็นสื่อในการสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกัน และกัน ซึ่งปัจจุบันการสื่อสารข้อมูลมีการพัฒนาเจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น มีการ ส่งข้อมูลในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยสามารถส่งผ่านข้อมูลได้ทุกประเภท ไม่ว่า จะเป็นตัวอักษร ตัวเลข สัญลักษณ์ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียงผ่าน เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งการเรียนรู้เกี่ยวกับการสื่อสารข้อมูลและเครือข่าย คอมพิวเตอร์ เป็นพื้นฐานสาคัญในการทาความเข้าใจเพื่อการพัฒนา และ สามารถใช้เทคโนโลยีสาหรับการติดต่อสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • 4. ความหมายระบบของระบบสื่อสาร การสื่อสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ หมายถึง การโอนถ่าย (Transmission) ข้อมูล หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้ส่งต้นทางกับผู้รับปลายทาง ทั้งข้อมูล ประเภท ข้อความ รูปภาพ เสียง หรือข้อมูลสื่อผสมโดยผู้ส่งต้นทางส่งข้อมูลผ่าน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีหน้าที่แปลงข้อมูลเหล่านั้นให้อยู่ใน รูปสัญญาณทางไฟฟ้ า (Electronic data) จากนั้นถึงส่งไปยังอุปกรณ์หรือ คอมพิวเตอร์ปลายทาง
  • 5. ประสิทธิภาพของระบบสื่อสารข้อมูลขึ้นอยู่กับปัจจัย 4 ประการ ดังนี้ 1.ตรงเป้ าหมาย ข้อมูลจะต้องส่งไปยังกลุ่มเป้ าหมายที่ต้องการเท่านั้น 2.ความถูกต้องระบบการสื่อสารข้อมูลจะต้องมีความถูกต้องและเที่ยงตรงและ สามารถปรับให้เป็นข้อมูลที่ถูกต้องได้ 3.ความทันสมัย ระบบสื่อสารข้อมูลที่ดีจะต้องมีการส่งที่มีความสัมพันธ์กับเวลาจริง 4.ความความเคลื่อน เช่นการส่งวีดีโอหากส่งข้อมูลไม่สัมพันธ์กัน ก็จะทาให้ได้ผลลัพธ์ข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริง
  • 6. องค์ประกอบของระบบสื่อสารข้อมูล 1. ผู้ส่ง เป็นสิ่งที่ทาหน้าที่ส่งข้อมูลข่าวสารออกไปยังจุดหมายปลายทางที่ต้องการ ซึ่งอาจเป็น บุคคลหรืออุปกรณ์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ เป็นต้น 2. ข้อมูลข่าวสาร เป็นสิ่งที่ผู้ส่งต้องการส่งไปให้ผู้รับที่อยู่ปลายทางซึ่งอาจเป็นเสียง ข้อความ หรือภาพ เพื่อสื่อสารให้เกิดความเข้าใจตรงกัน 3. สื่อกลาง หรือช่องทางการสื่อสาร เป็นสิ่งที่ช่วยให้ข้อมูลข่าวสารเดินทางจากผู้ส่งไปยังผู้รับ ได้โดยสะดวก ซึ่งมีหลายรูปแบบ ดังนี้ * สายสัญญาณชนิดต่างๆ เช่น สายโทรศัพท์ สายเคเบิล เส้นใยแก้วนาแสง เป็นต้น * คลื่นสัญญาณชนิดต่างๆ เช่น คลื่นวิทยุ คลื่นไมโครเวฟ คลื่นแสง คลื่นอินฟราเรด * อุปกรณ์เสริมชนิดต่างๆ เช่น เสาอากาศวิทยุ เสาอากาศโทรศัพท์ ดาวเทียม โมเด็ม 4. ผู้รับ เป็นสิ่งที่ทาหน้าที่รับข้อมูลข่าวสารจากผู้ส่ง ซึ่งส่งผ่านสื่อกลางชนิดต่างๆ เช่น เครื่อง คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุ เป็นต้น การที่จะส่งข้อมูลข่าวสารจากผู้ส่งไปยังผู้รับได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น จะขาดส่วนประกอบใด ส่วนประกอบหนึ่งที่กล่าวมาแล้วไม่ได้ และต้องรู้จักเลือกใช้อุปกรณ์และวิธีการให้เหมาะสมกับ ลักษณะงาน 5. โปรโตคอล (Protocol) เป็นข้อกาหนดหรือข้อตกลงถึงกฎระเบียบและวิธีการที่ใช้ในการสื่อสาร เพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับมีความเข้าใจตรงกัน
  • 7. ทิศทางของการสื่อสาร การสื่อสารข้อมูลระหว่างผู้รับกับผู้ส่งสามารถแบ่งได้เป็น 3ประเภท 1. การสื่อสารข้อมูลทิศทางเดียว (Simplex Transmission) เป็นการ ติดต่อสื่อสารเพียงทิศทางเดียว คือผู้ส่งจะส่งข้อมูลเพียงฝั่งเดียวและโดยฝั่งรับไม่มีการ ตอบกลับ เช่น การกระจายเสียงของสถานีวิทยุ การส่ง e-mail เป็นต้น 2. การสื่อสารข้อมูลสองทิศทางสลับกัน (Half Duplex Transmission) สามารถส่งข้อมูลในเวลาใดเวลาหนึ่ง ไปในทิศทางเดียวเท่านั้น ทั้งฝ่ายส่งและฝ่ายรับ หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือ ผู้ส่งสามารถส่งข้อมูลไปให้แก่ผู้รับ ส่วนผู้รับก็สามารถโต้ตอบ กลับได้ แต่ไม่สามารถส่งสวนทางกันได้ในเวลาเดียวกัน เช่นการส่งวิทยุของตารวจ
  • 8. 3. การสื่อสารข้อมูลสองทิศทางพร้อมกัน (Full Duplex Transmission) สามารถส่งข้อมูลในเวลาใดเวลาหนึ่ง ได้ทั้ง2ทิศทาง ทั้งฝ่ายส่งและฝ่ายรับ หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือ ผู้ส่งและผู้รับ สามารถโต้ตอบสวนทางกันได้ในเวลาเดียวกัน เช่น การส่งสัญญาณ โทรศัพท์ สนทนา msn , Facebook
  • 9. ประเภทของสัญญาณ ข้อมูลที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ ต้องเป็นข้อมูลที่อยู่ในรูป สัญญาณทางไฟฟ้ า ซึ่งสามารถจาแนกสัญญาณได้ 2ลักษณะ 1.สัญญาณแบบดิจิทัล(Digitals signal) เป็นสัญญาณที่ถูกแบ่งเป็นช่วงๆ อย่างไม่ต่อเนื่อง (Discrete)โดยลักษณะของ สัญญาณจะแบ่งออกเป็นสองระดับเพื่อแทนสถานะสองสถานะ คือ สถานะของ บิต 0 และสถานะของบิต 1 โดยแต่ละสถานะคือ การให้แรงดันทางไฟฟ้ าที่แตกต่าง กัน การทางานในคอมพิวเตอร์ใช้สัญญาณดิจิทัล 2.สัญญาณอนาลอก(Analog Signal) เป็นสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าที่มีความต่อเนื่องของสัญญาณ โดยไม่เปลี่ยนแปลง แบบทันที่ทันใดเหมือนกับสัญญาณดิจิทัล เช่น เสียงพูด หรืออุณหภูมิในอากาศเมื่อ เทียบกับเวลาที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
  • 10. โพรโทคอล โพรโทคอล (protocol) คือ ข้อตกลงอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับวิธีที่คอมพิวเตอร์ จะจัดรูปแบบและตอบรับข้อมูลระหว่างการสื่อสาร ซึ่งโพรโทคอลจะมีหลายมาตรฐาน และในแต่ ละโพรโทคอลจะมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป การติดต่อสื่อสารข้อมูลผ่านทางเครือข่ายนั้น จาเป็นต้องมีโพรโทคอลที่เป็น ข้อกาหนดตกลงในการสื่อสารขึ้น เพื่อช่วยให้ระบบสองระบบที่แตกต่างกันสามารถสื่อสารกัน อย่างเข้าใจได้ โพรโทคอลนี้เป็นข้อตกลงที่กาหนดเกี่ยวกับการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ ต่างๆ ทั้งวิธีการส่งและรับข้อมูล วิธีการตรวจสอบข้อผิดพลาดของการส่งและการรับข้อมูล การแสดงผลข้อมูลเมื่อส่งและรับกันระหว่างเครื่องสองเครื่อง ดังนั้น จะเห็นได้กว่าโพรโทคอลมี ความสาคัญมากในการสื่อสารบนเครือข่าย ซึ่งหากไม่มีโพรโทคอลแล้ว การสื่อสารบนเครือข่าย คงไม่สามารถเกิดขึ้นได้
  • 11. ในปัจจุบันการทางานของเครือข่ายใช้มาตรฐานโพรโทคอลต่างๆ ร่วมกันทางาน มากมาย นอกจากโพรโทคอลระดับประยุกต์แล้ว การดาเนินการภายในเครือข่ายยังมีโพร โทคอลย่อยที่ช่วยทาให้ การทางานของเครือข่ายมีประสิทธิภาพขึ้น ซึ่งโพรโทคอลที่ใช้ในการสื่อสารใน ปัจจุบันมีหลายประเภท ตัวอย่างเช่น 1) โพรโทคอลเอชทีทีพี (Hyper Tex Transfer Protocol : HTTP) เป็นโพรโท คอลหลักในการใช้งานเวิลด์ไวด์เว็บ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นช่องทางสาหรับเผยแพร่และ แลกเปลี่ยนภาษาเอชทีเอ็มแอล (Hyper Text Markup Language : HTML) ใช้ร้องขอหรือตอบ กลับระหว่างเครื่องลูกข่าย ที่ใช้โปรแกรมค้นดูเว็บกับเครื่องแม่ข่าย(web server) โดยทางาน อยู่บนโพรโทคอลทีซีพี (Transfer Control Protocol : TCP) 2)โพรโทคอลทีซีพี/ไอพี (Transfer Control Protocol/Internet Protocol : TCP/IP) เป็นโพรโทคอลที่ใช้ในการสื่อสารในระบบอินเทอร์เน็ต โดยมีการระบุผู้รับ ผู้ส่งใน เครือข่าย และแบ่งข้อมูลออกเป็นแพ็กเก็ตส่งผ่านไปทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งหากการส่งข้อมูล เกิดความผิดพลาดจะมีการร้องขอให้ส่งข้อมูลใหม่
  • 12. 3)โพรโทคอลเอสเอ็มทีพี (Simple Mail Transfer Protocol : SMTP) คือ โพรโทคอลสาหรับส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์(electronic mail) หรืออีเมล (Email) ไป ยังจุดหมายปลายทาง 4)บลูทูธ (Bluetooth) เป็นโพรโทคอลที่ใช้คลื่นวิทยุความถี่ 2.4 GHz ใน การรับส่งข้อมูล คล้ายกับระบบแลนไร้สาย เพื่อได้ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์สามารถ ติดต่อสื่อสารกับอุปกรณ์ต่อพ่วงไร้สาย เช่น เครื่องพิมพ์ เมาส์ คีย์บอร์ด โทรศัพท์เคลื่อนที่ หูฟัง เป็นต้น เข้าด้วยกันได้สะดวก ปัจจุบันมีโพรโทคอลในระดับประยุกต์ใช้งานมากมาย นอกจากโพโทคอลที่กล่าวมา ข้างต้น เช่น การโอนย้ายแฟ้ มข้อมูลระหว่างกัน ใช้โพรโทคอลชื่อเอฟทีพี (File Transfer Protocol : FTP)การโอนย้ายข่าวสารระหว่างกันใช้โพรโทคอลชื่อเอ็นเอ็นทีพี (Network News Transfer Protocol : NNTP)เป็นต้น จะเห็นได้ว่าการใช้เครือข่าย คอมพิวเตอร์ในทุกวันนี้ เป็นผลมาจากการพัฒนาโพรโทคอลต่างๆขึ้นใช้งาน ซึ่งการ ทางานอย่างใดอย่างหนึ่งจาเป็นต้องผ่านการใช้งานโพรโทคอลต่างๆ หลายโพรโท คอลร่วมกัน
  • 13. โครงสร้างของเครือข่าย (Network Topology ) คือการออกแบบและการติดต่อเชื่อมโยงกันของเครือข่ายทางกายภาพ โดยทั่วไปโทโปโลจี พื้นฐานมีอยู่ 3 ประเภท ดังนี้ 1) แบบดาว (Star Network) เป็นเครือข่ายที่คอมพิวเตอร์ทุกตัวและอุปกรณ์อื่นเชื่อมกับโฮสต์คอมพิวเตอร์ที่อยู่ และการสื่อสารทั้งหมดระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ภายในเครือข่ายต้องผ่านโฮสต์ คอมพิวเตอร์ เนื่องจากโฮสต์คอมพิวเตอร์เป็นตัวควบคุมอุปกรณ์อื่นทั้งหมดใน เครือข่าย เครือข่ายแบบดาวเหมาะสาหรับการประมวลผลที่มีลักษณะรวมศูนย์ อย่างไรก็ตามข้อจากัดของแบบนี้ คือ หากใช้โฮสต์คอมพิวเตอร์ก็จะทาให้ระบบ ทั้งหมดทางานไม่ได้
  • 14. 2) แบบบัส (Bus Network) เป็นการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์โดยใช้สายวงจรเดียว ซึ่งอาจจะเป็นสายเกลียวคู่สาย โคแอกเชียล หรือ สายใยแก้วก็ได้ สัญญาณสามารถสื่อสารได้ 2 ทางในเครือข่าย โดยมีซอฟต์แวร์คอยช่วยแยกว่าอุปกรณ์ใดจะเป็นตัวรับข้อมูล หากมีคอมพิวเตอร์ ตัวใดในระบบล้มเหลวจะไม่มีผล ต่อคอมพิวเตอร์อื่น อย่างไรก็ตามช่องทางในระบบ เครือข่ายแบบนี้สามารถจัดการรับข้อมูลได้ครั้งละ 1 ชุดเท่านั้น ดังนั้นจึงเกิดปัญหา การจราจรของข้อมูลได้ในกรณีที่มีผู้ต้องการใช้งานพร้อมกัน โทโปโลจีแบบนี้นิยมใช้ ในวงแลน
  • 15. 3) แบบวงแหวน (Ring Network) คอมพิวเตอร์ทุกตัวเชื่อมโยงเป็นวงจรปิด ทาให้การส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ตัว หนึ่งไปยังอีก ตัวหนึ่งโดยเดินทางไปในทิศทางเดียว คอมพิวเตอร์แต่ละตัวทางาน โดยอิสระ หากมีตัวใด ตัวหนึ่งเสียระบบการสื่อสารในเครือข่ายได้รับการ กระทบกระเทือน ยกเว้นจะมีวงแหวนคู่ในการรับส่ง ข้อมูลในทิศทางต่างๆ กัน เพื่อ เป็นเส้นทางสารองในการป้ องกันไม่ให้เครือข่ายหยุดทางานโดยสิ้นเชิง นอกจากโทโปโลจีทั้ง 3 แบบที่กล่าวข้างต้น อาจจะพบโทโปโลจีแบบอื่นๆ เช่น แบบ โครงสร้างลาดับชั้น (Hierarchical Network) ซึ่งมีลักษณะโครงสร้างคล้ายต้นไม้ (Tree) หรือมีแบบผสม (Hybrid) อย่างไรก็ตามโทโปโลจีแต่ละประเภทจะมีข้อดีและ ข้อจากัดแตกต่างกันผู้พัฒนาระบบจะต้องพิจารณาถึงความเร็ว ความเชื่อถือได้ และความสามารถของเครือข่ายในการทางาน หรือการแก้ไขข้อบกพร่องในกรณีที่ อุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่ง ในระบบมีปัญหาตลอดจนลักษณะทางกายภาพ เช่น ระยะห่างของ node และต้นทุนของทั้งระบบ
  • 17. เครือข่ายคอมพิวเตอร์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (computer network) เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่อพ่วงเข้าด้วยกัน เพื่อให้สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ เครือข่ายคอมพิวเตอร์แบ่งออกตามการเชื่อมโยงได้เป็น 4 ชนิด ดังนี้ -เครือข่ายส่วนบุคคล หรือ แพน (Personal Area Network : PAN) เป็น เครือข่ายที่ใช่ส่วนบุคคล ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อแบบไร้สายในระยะใกล้ เช่น เช่น Bluetooth ตัวอย่าง เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูล ระหว่าง PDA กับ Desktop โดยมีระยะทางไม่เกิน 1เมตร และมีอัตราการ รับส่งข้อมูลความเร็วสูงมาก (สูงถึง 480 Mbps)การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ กับโทรศัพท์มือถือ การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับเครื่องพีดีเอ เป็นต้น
  • 18. PDA ย่อมาจาก Personal Digital Assistant หมายถึง คอมพิวเตอร์แบบ พกพาขนาดเล็กเท่าฝ่ ามือ มีโปรแกรมพื้นฐาน เช่น Spread Sheet ต่างๆ ช่วยจดบันทึก และการนัดหมายต่างๆ (Palm) เกิน 1เมตร และมีอัตราการรับส่งข้อมูลความเร็วสูงมาก (สูงถึง 480 Mbps)
  • 19. -เครือข่ายเฉพาะที่ หรือ (Local Area Network : LAN)เป็นเครือข่ายขนาด เล็กซึ่งเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสารที่อยู่ในท้องที่บริเวณเดียวกันเข้า ด้วยกัน เช่น ภายในอาคาร หรือภายในอง๕การที่มีระยะทางไม่ไกลมากนัก เป็นต้น โดยคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะต่อเข้ากับอุปกรณ์เครือข่าย เช่น ฮับ สวิตช์ เป็นต้น ซึ่งอุปกรณ์เครือข่ายแต่ละตัวจะเชื่อมต่อกันโดยใช้สายตีเกลียวคู่ สายใยแก้วนาแสง หรือคลื่นวิทยุ และเครือข่ายแลนจะเชื่อมต่อถึงกันด้วยอุปกรณ์จัด เส้นทาง (router) การสร้างเครือข่ายแลนนี้แต่ละองค์กร สามารถดาเนินการเองได้ โดยการวางสายสัญญาณสื่อสารภายในอาคารหรือภายในพื้นที่ของตนเอง เครือข่ายแลนมีตั้งแต่เครือข่ายขนาดเล็กที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ตั้งแต่สองเครื่องขึ้น ไปภายในห้องเดียวกัน จนถึงเชื่อมโยงระหว่างห้องหรือองค์กรขนาดใหญ่ เช่น ภายในสานักงาน ภายในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย เป็นต้น ทาให้เครื่อง คอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องที่เชื่อมต่อกัน สามารถส่งข้อมูลแลกเปลี่ยนกันได้อย่าง สะดวก รวดเร็ว และยังสามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันได้อีกด้วย
  • 20. -เครือข่ายนครหลวง หรือแมน (Metropolitan Area Network : MAN) เป็นเครือข่ายที่ เชื่อมโยง แลนที่อยู่ห่างกัน เช่น ระหว่างสานักงานที่อยู่คนละอาหาร ระบบเคเบิลทีวีตามบ้านใน ปัจจุบัน เป็นต้น โดยมีลักษณะการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ที่มีระห่างไกลกันในช่วง 5- 40 กิโลเมตร ผ่านสายสื่อสารประเภทสายใยแก้วนาแสงสายโคแอกเชียล หรืออาจใช้ คลื่นไมโครเวฟ
  • 21. - เครือข่ายวงกว้าง หรือแวน (Wide Area Network : WAN) เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ขนาดใหญ่ ที่เชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ในระยะห่างไกล มีการติดต่อสื่อสารกันในบริเวณกว้าง เช่น เชื่อมโยงระหว่างจังหวัด ระหว่างประเทศ เป็นต้น
  • 22. อุปกรณ์สื่อสารในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ให้กลายเป็นระบบเครือข่ายได้นั้น จะต้องอาศัย อุปกรณ์สื่อสารในระบบเครื่องคอมพิวเตอร์ (network device) ซึ่งทาหน้าที่รับและส่ง ข้อมูลโดยผ่านทางสื่อกลาง ไม่ว่าจะเป็นสื่อกลางแบบใช้สาย และสื่อกลางแบบไร้สาย ซึ่ง อุปกรณ์สื่อสารในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีดังนี้ 1)เครื่องทวนสัญญาณ (repeater) เป็นอุปกรณ์ที่ทาหน้าที่รับสัญญาณ ดิจิทัล แล้วส่งต่อออกไปยังอุปกรณ์ตัวอื่น เหตุที่ต้องใช้อุปกรณ์ทวนสัญญาณ เนื่องจากการส่งสัญญาณไปในตัวกลางที่เป็นสายสัญญาณนั้น เมื่อระยะทางมากขึ้น แรงดันของสัญญาณจะลดลงเรื่อยๆ ทาให้ไม่สามารถส่งสัญญาณในระยะทางไกลๆ ได้ ดังนั้น การใช้อุปกรณ์ทวนสัญญาณจะทาให้สามารถส่งสัญญาณไปได้ไกลขึ้น โดย สัญญาณไม่สูญหาย
  • 23. 2)ฮับ (hub) เป็นอุปกรณ์ที่ทาหน้าที่รวมสัญญาณที่มาจากอุปกรณ์รับส่ง หรือ เครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องเข้าด้วยกัน สัญญาณที่ส่งมาจากฮับจะกระจายไปยังทุก เครื่องที่ต่อยู่กับฮับ ซึ่งแต่ละเครื่องจะเลือกรับเฉพาะข้อมูลที่ส่งมาถึงตนเองเท่านั้น 3)บริดจ์ (bridge) ใช้ในการเชื่อมต่อเครือข่ายหลายเครือข่ายเข้าด้วยกัน โดย จะต้องเป็นเครือข่ายที่ใช้โพรโทคอลตัวเดียวกัน ซึ่งมีความสามารถมากกว่าฮับและอุปกรณ์ ทวนสัญญาณ คือ สามารถกรองข้อมูลที่จะส่งต่อได้ โดยการตรวจสอบว่า ข้อมูลที่ส่งนั้นมี ปลายทางอยู่ที่ใด หากเครื่องปลายทางอยู่ภายในเครือข่ายเดียวกันกับเครื่องส่ง ก็จะส่ง ข้อมูลนั้นไปในเครือข่ายเดียวกันเท่านั้น ไม่ส่งไปยังเครือข่ายอื่น แต่หากข้อมูลมีปลายทาง อยู่ที่เครือข่ายอื่น ก็จะส่งข้อมูลไปในเครือข่ายที่มีเครื่องปลายทางอยู่เท่านั้น ทาให้สามารถ จัดการกับความหนาแน่นของข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • 24. 4)อุปกรณ์จัดเส้นทาง (router) สามารถกรองข้อมูลได้เช่นเดียวกับบริดจ์ แต่จะมีความสามารถมากกว่า ตรงที่สามารถหาเส้นทางในการส่งกลุ่มข้อมูล (data packer) ไปยังเครื่องปลายทางในระยะทางที่สั้นที่สุดได้ 5)สวิตช์ (switch) นาความสามารถของฮับกับบริดจ์มารวมกัน แต่การส่ง ข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่งจะไม่กระจายไปยังคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง เหมือนกับฮับ เพราะสวิตช์จะทาหน้าที่รับกลุ่มข้อมูลมาตรวจสอบก่อนว่าเป็นของ คอมพิวเตอร์เครื่องใด แล้วนาข้อมูลนั้นส่งต่อไปยังคอมพิวเตอร์เป้ าหมาย ซึ่งช่วย ลดปัญหาการชนหรือความคับคั่งของข้อมูล
  • 25. 6)เกตเวย์ (gateway) เป็นอุปกรณ์ที่ทาหน้าที่เชื่อมต่อเครือข่ายต่างๆ เข้า ด้วยกัน ไม่ว่าเครือข่ายนั้นจะใช้โพรโทคอลตัวใดก็ตาม เนื่องจากเกตเวย์สามารถ แปลงรูปแบบแพ็กเก็ตของโพรโทคอลหนึ่งไปเป็นรูปแบบของอีกโพรโทคอลหนึ่งได้ เพื่อให้เหมาะสามกับการใช้งานในเครือข่าย ทาให้สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่นๆ ได้อย่างไม่มีข้อจากัด แต่ในปัจจุบันนี้ได้รวมการทางานของเกตเวย์ไว้ในอุปกรณ์จัด เส้นทาง (router) แล้ว ทาให้อุปกรณ์จัดเส้นทางสามารถทางานเป็นเกตเวย์ได้ จึงไม่ จาเป็นต้องซื้อเกตเวย์อีก
  • 26. เทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีในการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ เทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลแบบใช้สาย และเทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลแบบไร้สาย ดังนี้ เทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลแบบใช้สาย เทคโนโลยีการส่งข้อมูลแบบใช้สาย แบ่งออก ตามชนิด ของสายสื่อสารได้ 3 ชนิด ดังนี้ 1)สายตีเกลียวคู่ (twisted pair cable) ประกอบด้วยเส้นลวดทองแดง 2 เส้น ที่หุ้มด้วยฉนวนพลาสติก พันบิดกันเป็นเกลียว เพื่อลดการรบกวนจากคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้ าจากคู่สายข้างเคียงภายในเคเบิลเดียวกัน หรือจากภายนอก เนื่องจาก สายตีเกลียวคู่นี้ยอมให้สัญญาณไฟฟ้ าความถี่สูงผ่านได้ สาหรับอัตราการส่งข้อมูล ผ่านสายตีเกลียวคู่จะขึ้นอยู่กับความหนาของสาย คือ สายทองแดงที่มีเส้นผ่าน ศูนย์กลางกว้าง จะสามารถส่งสัญญาณไฟฟ้ ากาลังแรงได้ ทาให้สามารถส่งข้อมูลได้ ด้วยความเร็วสูง โดยทั่วไปใช้สาหรับส่งข้อมูลดิจิตอล สามารถใช้ส่งข้อมูลได้ถึง 100 เมกะบิตต่อวินาที ในระยะทางไม่เกินร้อยเมตร เนื่องจากราคาไม่แพงมาก ใช้ส่งข้อมูลได้ ดีจึงมีการใช้งานอย่างกว้างขวาง สายตีเกลียวคู่มี 2 ชนิด ดังนี้
  • 27. 1. แบบไม่มีฉนวนหุ้ม (UTP : Unshielded Twisted Pair) 2.แบบมีฉนวนหุ้ม (STP : Shielded Twisted Pair) สายคู่บิดเกลียวแบบไม่มีฉนวนหุ้ม (UTP : Unshielded Twisted Pair) สาย UTP เป็นสายที่พบเห็นกันมาก มักจะใช้เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ไปยังอุปกรณ์ สื่อสารตามมาตรฐานที่กาหนด สาหรับสายประเภทนี้จะมีความยาวของสายในการ เชื่อมต่อได้ไม่เกิน 100 เมตร และสาย UTP มีจานวนสายบิดเกลียวภายใน 4 คู่ คู่ สายในสายคู่ตีเกลียวไม่หุ้มฉนวนคล้ายสายโทรศัพท์ มีหลายเส้นซึ่งแต่ละเส้นก็จะมีสี แตกต่างกัน และตลอดทั้งสายนั้นจะถูกหุ้มด้วยพลาสติก (Plastic Cover) ปัจจุบัน เป็นสายที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากราคาถูกและติดตั้งได้ง่าย แสดงดังรูป
  • 28. รูปแสดงสายคู่บิดเกลียวแบบไม่มีฉนวนหุ้ม (UTP : Unshielded Twisted Pair) ข้อดีของสาย UTP - ราคาถูก - ติดตั้งง่ายเนื่องจากน้าหนักเบา - มีความยืดหยุ่น และสามารถโค้งงอได้มาก ข้อเสียของสาย UTP - ไม่เหมาะในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่ห่างไกล มาก เพราะสัญญาณที่วิ่งบนสายจะ ถูกลดทอนลงไปตามความยาวของสาย (มีความยาวของสายในการเชื่อมต่อได้ไม่ เกิน 100 เมตร)
  • 29. สายคู่บิดเกลียวแบบมีฉนวนหุ้ม (STP : Shielded Twisted Pair) สายสัญญาณ STP มีการนาสายคู่พันเกลียวมารวมอยู่และมีการเพิ่มฉนวนป้ องกัน สัญญาณรบกวน ซึ่งร่างแหนี้จะมีคุณสมบัติเป็นเกราะในการป้ องกันสัญญาณ รบกวนจากคลื่นแม่ เหล็กไฟฟ้ าต่างๆ เรียกเกราะนี้ว่า ชิลด์ (Shield) และเป็น สายสัญญาณที่ได้รับการพัฒนาต่อจากสายUTP โดยเพิ่มการชีลด์กันสัญญาณ รบกวนเพื่อทาให้คุณสมบัติโดยรวมของสัญญาณดีมาก ขึ้น คุณลักษณะของ สาย STP ก็เหมือนกับสายUTP คือมีเรื่องเกี่ยวกับอัตราการบั่นทอนครอสทอร์ก รูปแสดงสายคู่บิดเกลียวแบบมีฉนวนหุ้ม (STP : Shielded Twisted Pair)
  • 30. ข้อดีของสาย STP - ส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงกว่า UTP - ป้ องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า และคลื่นวิทยุ ข้อเสียของสาย STP - มีขนาดใหญ่และไม่ค่อยยืดหยุ่นในการงอพับสายมากนัก - ราคาแพงกว่าสาย UTP
  • 31. 1) สายโคแอกซ์ (coaxial cable) มีลักษณะเช่นเดียวกับสายที่ต่อมาจากเสา อากาศประกอบด้วยลวดทองแดงที่เป็นแกนหุ้มด้วยฉนวนชั้นหนึ่ง เพื่อป้ องกัน กระแสไฟฟ้ ารั่ว จากนั้นจะหุ้มด้วยตัวนาซึ่งทาจากลวดทองแดงถักเป็นเปียเพื่อ ป้ องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าและสัญญาณรบกวนอื่นๆ ก่อนจะหุ้ม ชั้นนอกสุดด้วยฉนวนพลาสติก สัญญาณไฟฟ้ าสามารถผ่านได้สูงมาก นิยมใช้เป็น ช่องสื่อสารเชื่อมโยงผ่านใต้ทะเลและใต้ดิน สายโคแอกซ์ที่ใช้ทั่วไปมี 2 ชนิด คือ 50 โอห์ม ซึ่งใช้ส่งข้อมูลดิจิตอล และชนิด 75 โอห์ม ซึ่งใช้ส่งข้อมูลสัญญาณอะนาล็อก
  • 32. 2)สายใยแก้วนาแสง (fiber optic cable) หรือเส้นใยนาแสง แกนกลางของ สายประกอบด้วยเส้นใยแก้วหรือพลาสนิกขนาดเล็กภายในกลวง หลายๆ เส้น อยู่ รวมกัน เส้นใยแต่ละเส้นมีขนาดเล็กประมาณเส้นผมของมนุษย์ เส้นใยแต่ละเส้น ห่อหุ้มด้วยเส้นใยอีกชนิดหนึ่งก่อนจะหุ้มชั้นนอกสุดด้วยฉนวน การส่งข้อมูลผ่าน ทางสื่อกลางชนิดนี้จะแตกต่างจากชนิดอื่นๆ ซึ่งจะใช้เลเซอร์วิ่งผ่านช่องกลวงของ เส้นใยแต่ละเส้น และอาศัยหลักการหักเหของแสง โดยใช้เส้นใยชั้นนอกเป็นกระจก สะท้อนแสง สามารถส่งข้อมูลด้วยอัตราความหนาแน่นของสัญญาณข้อมูลที่สูง มาก และไม่มีการก่อกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า ทาให้สามารถส่งข้อมูลทั้ง ตัวอักษร ภาพ กราฟิก เสียง หรือวีดีทัศน์ได้ในเวลาเดียวกัน แต่ยังมีข้อเสีย เนื่องจากการบิดงอของสายสัญญาณจะทาให้เส้นใยหัก จึงไม่สามารถใช้สื่อกลางนี้ เดินทางตามมุมตึกได้ สายใยแก้ว นาแสง มีลักษณะพิเศษที่ใช้สาหรับเชื่อมโยงแบบ จุดไปจุด จึงเหมาะที่จะใช้กับการเชื่อมโยงระหว่างอาคารกับอาคารหรือระหว่างเมือง กับเมือง
  • 33. เทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลแบบไร้สาย เทคโนโลยีการส่งข้อมูลแบบไร้สาย อาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าเป็นสื่อกลางนาสัญญาณ ซึ่งสามารถแบ่งตามช่วงความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าได้ 4 ชนิด ดังนี้ 1) อินฟราเรด (infrared) เป็นลักษณะของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าที่ใช้ในการส่ง ข้อมูลระยะใกล้ๆ ในช่วงความถี่ที่แคบมาก ใช้ช่องทางสื่อสารน้อย มักใช้กับการ สื่อสารข้อมูลที่ไม่มีสิ่งกีดขวางระหว่างตัวส่งกับตัวรับสัญญาณ โดยต้องใช้วิธีการ สื่อสารตามแนวเส้นตรง ระยะทางไม่เกิน 1-2 เมตร ความเร็วประมาณ 4-16 เม กะบิตต่อวินาที เช่น การส่งสัญญาณจากรีโมตคอนโทรลไปยังโทรทัศน์ การ เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์สองเครื่องโดยผ่านพอร์ตไออาร์ดีเอ เป็นต้น
  • 34. 2)คลื่นวิทยุ(radio frequency) ใช้ส่งสัญญาณไปในอากาศ โดยมีตัวกระจาย สัญญาณส่งไปยังตัวรับสัญญาณ และใช้คลื่นวิทยุในช่วงความถี่ต่างๆ กัน มี ความเร็วต่าประมาณ 2 เมกะบิตต่อวินาที เช่น การสื่อสารในระบบวิทยุเอฟ เอ็ม (Frequency Modulation : FM) เอเอ็ม (Amplitude Modulation : AM) การสื่อสาร โดยใช้ระบบไร้สาย (Wi-Fi) และบลูทูธ
  • 35. 3)ไมโครเวฟ (microwave) จะใช้การส่งสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าไปใน อากาศ พร้อมกับข้อมูลที่ต้องการส่ง และต้องมีสถานนีที่ทาหน้าทีส่งและรับข้อมูล และเนื่องจากสัญญาณไมโครเวฟจะเดินทางเป็นเส้นตรงไม่สามารถเลี้ยวหรือโค้ง ตามขอบโลกได้ จึงต้องมีการตั้งสถานีรับ-ส่งข้อมูลเป็นระยะๆ และส่งข้อมูลต่อกัน เป็นทอดๆ ระหว่างสถานีต่อสถานี จนกว่าจะถึงสถานีปลายทาง และแต่ละสถานีจะ ตั้งอยู่ในที่สูง เช่น ดาดฟ้ าของตึกสูง ยอดเขา เป็นต้น เพื่อหลีกเลี่ยงการชนสิ่งกีด ขวางในแนวการเดินทางของสัญญาณ เหมาะกับการส่งข้อมูลในพื้นที่ห่างไกล และ ทุรกันดาร
  • 36. 4)ดาวเทียม (satellite) เป็นสถานีรับส่งสัญญาณไมโครเวฟบนท้องฟ้ า ซึ่ง ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจากัดของสถานีรับ-ส่งไมโครเวฟบนผิวโลก เพื่อใช้เป็นสถานีรับส่งสัญญาณไมโครเวฟบนอวกาศ และทวนสัญญาณในแนวโคจร ของโลกซึ่งจะต้องมีสถานีภาคพื้นดิน ทาหน้าที่รับและส่งสัญญาณขึ้นไปบน ดาวเทียมที่โคจรอยู่สูงจากพื้นโลกประมาณ 35,600 ไมล์ โดยดาวเทียมเหล่านั้นจะ เคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เท่ากับการหมุนของโลก จึงเสมือนกับดาวเทียมนั้นอยู่นิ่ง กับที่ขณะโลกหมุนรอบตัวเอง ทาให้การส่งสัญญาณไมโครเวฟจากสถานีหนึ่งขึ้นไป บนดาวเทียมและการกระจายสัญญาณจากดาวเทียมลงมายังสถานีตามจุดต่างๆ บนผิวโลกเป็นไปอย่างแม่นยา