Behavior
- 2. พฤติก รรม
(BEHAVIOR)
☞การตอบสนองของสิ่ง
มีช ีว ิต ต่อ การ
เปลี่ย นแปลงของสภาพ
แวดล้อ ม ทั้ง ภายนอก
ร่า งกาย และภายใน
ร่า งกายเพื่อ การอยู่ร อด
☞พฤติก รรมจึง เป็น
กลไกอย่า งหนึ่ง ในการ
- 5. การศึก ษาพฤติก รรม
ของสัต ว์
การศึก ษาพฤติก รรมสัต ว์ข องนัก
พฤติก รรมศาสตร์ มี 2 วิธ ีค ือ
1. การสำา รวจในธรรมชาติ ต้อ ง
ใช้เ ครื่อ งมือ และอุป กรณ์ต ่า งๆ
ต้อ งมีก ารติด ตามเฝ้า ดู โดยไม่
ให้ส ัต ว์ร ู้ต ัว
2. การศึก ษาในห้อ งทดลอง
- 6. พฤติก รรม
(Behavior)
การตอบสนองของสิ่ง มี
ชีว ิต ต่อ การเปลี่ย นแปลงของ
สภาพแวดล้อ ม ทั้ง ภายนอก
Gene
Behavi
ร่า งกาย และภายในร่า งกาย
Environment or
เพื่อ การอยู่ร อด
- 7. สรุป
พฤติก รรมของสัต ว์
เป็น ผลจากการ
ทำา งานร่ว มกัน
ระหว่า งปัจ จัย ทาง
พัน ธุก รรมและสภาพ
- 8. Gene - ควบคุม
พฤติก รรมซึ่ง พัฒ นาให้
เหมาะสมกับ สภาพ
แวดล้อ มโดย Natural
selection
- ควบคุม ระดับ การ
เจริญ ของ
- 9. ขั้น ตอนการเกิด
พฤติก รรม :
Integrated
Stimulus Recepter
(สิง เร้า )
่ Center
(หน่ว ยรับ
ความรู้ส ก )
ึ (สมอง,
ไขสัน หลัง )
คำา สั่ง
Behavior Effector
(หน่ว ยตอบ
สนอง)
- พฤติก รรมจะสลับ ซับ ซ้อ นมากหรือ
น้อ ยขึ้น กับ ระดับ การเจริญ ของปัจ จัย
- 10. พฤติก รรมจำา แนกได้อ อก
เป็น 2 ชนิด ใหญ่ ๆ คือ
(โดยแสดงพฤติก รรมออกมาได้
ในช่ว งชีว ิต ของสิ่ง มีช ว ิต )
ี
1. Innate Behavior :
พฤติก รรมที่ม ีม าแต่ก ำา เนิด และ
ไม่เ ปลี่ย นแปลง
2. Learned Behavior :
- 11. Innate Behavior
(Autometic responses to
the environment)
เป็น พฤติก รรมง่า ย ๆ มี
ลัก ษณะเฉพาะตัว ทีใ ช้ใ นการตอบ
่
สนองต่อ สิ่ง เร้า ชนิด ใดชนิด หนึง่
และพฤติก รรมนี้ส ัต ว์ใ น species
เดีย วกัน จะตอบสนองต่อ สิ่ง เร้า
อย่า งหนึ่ง เหมือ นกัน
- 12. 1. Orientation :
พฤติก รรมการวางตัว ของ
สัต ว์ซ ง จะเกีย วข้อ งกับ
ึ่ ่
การเคลือ นที่แ บ่ง ได้ 2 แบบ
่
1.1 Kinesis พฤติก รรม
การเคลือ นที่โ ดย
่
ตอบสนองต่อ สิ่ง เร้า ด้ว ยการ
เคลื่อ นทีห นีห รือ เข้า หา
่
โดยไม่ม ท ศ ทางี ิ
- 13. 1.2 Taxis พฤติก รรมการ
เคลื่อ นทีเ ข้า หาสิ่ง เร้า
่
อย่า งมีท ิศ ทางที่แ น่น อน
เช่น หนอนแมลงวัน , เห็บ ,
ยุง
- สัต ว์จ ะต้อ งมี Sensory
receptor ทีเ หมาะสมกับ สิ่ง เร้า
่
- ช่ว ยให้ใ ห้ส ัต ว์ห าตำา แหน่ง ของ
- 17. Learned
Behavior
Learning เป็น การเพิ่ม
fitness (การอยู่ร อดและ
สืบ พัน ธุ์) ให้แ ก่ส ัต ว์
พฤติก รรมที่ต ้อ งอาศัย
ประสบการณ์ท ี่ม ีใ นอดีต มา
ปรับ ปรุง ในพฤติก รรมที่เ กิด ขึ้น
- 18. เป็น การลดภาระการ
ตอบสนองของสัต ว์ ทำา ให้
ประหยัด พลัง งาน
พฤติก รรมทีส ัต ว์เ พิก
่
เฉยที่จ ะตอบสนองต่อ สิง เร้า ่
ทีม ิไ ด้ม ผ ลต่อ การดำา รงชีว ิต
่ ี
เมือ ได้ร บ การกระตุ้น จากสิง
่ ั ่
เร้า นัน เป็น เวลานาน
้
- 20. 2.Conditioning (การเรีย นรู้
แบบมีเ งื่อ นไข)
เป็น พฤติก รรมที่ส ิ่ง เร้า ตัว
หนึ่ง เข้า แทนสิ่ง เร้า ที่ แท้จ ริง
ตัว ่ง เร้า เดิม ) แล้ว ชัก นำา ให้เ กิI )
(สิ อย่า ง หมา + เนื้อ ( Stimulus ด
การตอบสนอง ่งชนิเนืเดีย วกัน
นำ้า ลายไหล ด ้อ ( Stimulus
หมา + เสีย งกระดิ +
II ) นำ้า ลายไหล
หมา + เสีย งกระดิ่ง
นำ้า ลายไหล
- 21. 3. Trial and Error : (การ
ลองผิด ลองถูก )
ซับ ซ้อ นมากกว่า
Habituation
เป็น พฤติก รรมที่ส ัต ว์
แสดงออกโดยบัง เอิญ
แล้ว ถ้า ได้ร างวัล ก็จ ะชัก นำา ให้
ทำา พฤติก รรมเช่น นั้น อีก :
การตอบสนอง (Response) ถูก
- 23. 4. Imprinting (ความฝัง ใจ):
การเรีย นรู้ท จ ำา กัด โดยเวลา
ี่
เป็น พฤติก รรมทีส ัต ว์ส ามารถ
่
จดจำา และผูก พัน กับ แม่ห รือ พ่อ ได้
พฤติก รรมความฝัง ใจนีจ ะ ้
เป็น การทำา งานร่ว มกัน ระหว่า ง
กรรมพัน ธุ์แ ละการเรีย นรู้ โดย
กรรมพัน ธุ์จ ะเป็น ตัว กำา หนดช่ว ง
เวลาทีจ ำา เป็น ซึ่ง จะเกิด ความ
่
- 25. 5. Insight Learning (การ
รู้จ ัก ใช้เ หตุผ ล) :
เกิด ในพวก Primates
เป็น พฤติก รรมทีม ีก าร
่
ดัด แปลงมาจากการลองผิด ลอง
ถูก โดยการเรีpattern ี้จ ะเกิด ขึInsight
สรุป Fixed-action ย นรูน
้ ้น
อย่า งรวดเร็ว โดยสัต ว์ต อบสนอง
(Innate) (Learned)
ได้ถ ูก ต้อ งเลยในครั้ง แรก
มีเ ป้า หมาย เพิ่ม โอกาส
อยู่ร อด + โอกาสสืบ พัน ธุ์
- 27. การสื่อ สารระหว่า ง
สัต ว์
พฤติก รรมสื่อ สารระหว่า งสัต ว์
(animal
communication behavior) มี
หลายลัก ษณะดัง นี้
1. การสื่อ สารด้ว ยท่า ทาง (visual
communication) การสื่อ สาร
ด้ว ยท่า ทาง พบได้ใ นสัต ว์ห ลาย
ชนิด เช่น การกระดิก หางของ
- 28. 1.1 การสื่อ สารของผึ้ง ศึก ษา
และทดลองเมื่อ ปี พ.ศ. 2488 โดย
คาร์ล ฟอน ฟริช (Karl von
Frisch) แห่ง มหาวิท ยาลัย มิว นิค
เยอรมัน ตะวัน ตก โดยฟริช พบว่า
ผึ้ง สำา รวจ(scout honeybee) มี
ความสามารถในการส่ง ข่า วให้ผ ึ้ง
งาน (worker) ทราบได้ว ่า ที่ใ ดมี
อาหารและเป็น อาหารชนิด ใด
- 29. 1.1.2 การเต้น รำา แบบส่า ยท้อ ง
(wagging dance) หรือ การเต้น
ระบำา แบบเลขแปด ซึ่ง มีค วามซับ
ซ้อ นกว่า แบบแรกเพราะจะใช้ใ น
การสือ สารบอกตำา แหน่ง ของ
่
อาหารและระยะทางของอาหาร
ได้ หลัง จากที่ผ ึ้ง สำา รวจไปพบ
แหล่ง อาหารจะกลับ มารัง แล้ว เต้น
- 31. 1.2 การสื่อสารของปลาสติกเกิลสามหนาม
(three spined stickleback) ศึกษาโดย เอน ทิน
เบอร์เกน และผู้ร่วมงาน เขาพบว่าในฤดูใบไม้
ผลิซึ่งเป็นฤดูผสมพันธุ์ ปลาตัวผู้จะมีสวนท้อง
่
เป็นสีแดงและปลาตัวเมียมีท้องป่องบวมขึ้นมา
เนื่องจากการมีไข่สแดงสดที่ท้องปลาตัวผูจะ
ี ้
กระตุ้นให้ปลาตัวเมียสนใจ และในขณะเดียวกัน
ปลาตัวผู้จะสนใจปลาตัวเมียที่ท้องป่อง ก่อให้
เกิดพฤติกรรมการผสมพันธุ์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
- 33. 2. การสื่อ สารด้ว ยเสีย ง (SOUND
COMMUNICATION)
การสือสารด้วยเสียงเป็นการสือสารที่คุ้น
่ ่
พบมากในสัตว์ชั้นสูงทั่วๆไป และยังพบใน
แมลงด้วย
2.1 ใช้บ อกชนิด ของสัต ว์ ซึ่ง อยูใ น
่
สปีช ีส เ ดีย วกัน
์
2.2 ใช้บ อกเพศว่า เป็น เพศผู้ห รือ เพศ
เมีย
2.3 ใช้บ อกตำา แหน่ง ของตนเองให้
ทราบว่า อยูท ี่จ ุด ใด
่
- 34. ชนิด ของเสีย ง
1.เสีย งเรีย กติด ต่อ (contact calls) เป็น
สัญ ญาณในการรวมกลุ่ม ของสัต ว์ช นิด
เดีย วกัน เช่น แกะ สิง โตทะเล
2.เสีย งเรีย กเตือ นภัย (warning calls)
โดยเมื่อ สัต ว์ต ัว หนึง พบว่า จะมีอ ัน ตราย
่
3.เกิด ขึน จะส่ง เสีย งร้อ งให้ส ต ว์ต ัว อื่น ๆ
้ ั
ทราบเหตุก ารณ์ท ี่เ กิด ขึ้น เช่น นก
กระรอก
4.เสีย งเรีย กคู่ (mating calls) เช่น การ
- 35. ชนิด ของเสีย ง
4. ให้เ ข้า มาผสมพัน ธุ์ การสีป ก ของ
ี
จิ้ง หรีด ตัว ผู้ร ีย กร้อ งความสนใจจาก
ตัว เมีย การขยับ ปีก ของยุง ตัว เมีย
เพื่อ ดึง ดูด ความสนใจของยุง ตัว ผูใ ห้
้
เข้า มาผสมพัน ธุ์
5. เสีย งกำา หนดสถานที่ข องวัต ถุ
(echolocation) เช่น ในโลมาและ
ค้า งคาวจะใช้
- 36. 3. การสื่อ สารด้ว ยการสัม ผัส
(TACTILE
COMMUNICATION)
• การสัมผัสเป็นสือสำาคัญอย่างหนึ่ง
่
ของสัตว์ การอุมกอดซึ่งเป็นการ
้
แสดงถึงความรัก ทารกจะมี
พัฒนาการดี ถ้าหากแม่เลียงลูกด้วย
้
นำ้านมของแม่เอง ลูกได้รับการสัมผัส
ได้รับความอบอุ่นจากแม่
• นักวิทยาศาสตร์กล่าว่า การสัมผัส
โดยการโอบกอด จะทำาให้หัวใจสูบ
- 37. 4. การสื่อ สารด้ว ยสารเคมี
(CHEMICAL
COMMUNICATION)
4.1 ฟีโรโมนที่ทำาให้เกิดพฤติกรรม
ทันที (releaser pheromone) เช่น
สารดึงดูดเพศตรงข้าม (sex
attractants) เช่น ฟีโรโมนทีผีเสือไหม
่ ้
ตัวเมียปล่อยออกมาเพือดึงดูดความ
่
สนใจของผีเสือไหมตัวผู้
้
4.2 ฟีโรโมนที่ไปกระตุน แต่ไม่เกิด
้
พฤติกรรมทันที (primer pheromone)
- 38. แอลกอฮอล์โ มเลกุล สั้น ๆ จึง ระเหยไปใน
อากาศ ได้ด ี จึง สามารถไปกระตุ้น ให้เ กิด
พฤติก รรมต่า งๆ ได้ฟ ีโ รโมนที่ส ำา คัญ ได้แ ก่
1) ฟีโ รโมนทางเพศ (sex
pheromone) พบในแมลงหลาย
ชนิด เช่น ผีเ สื้อ ไหมตัว เมีย จะ
ปล่อ ยสารแอลกอฮอล์เ รีย กว่า บอม
บายโกล (Bombygol) เพื่อ ดึง ดูด
ผีเ สื้อ ไหมตัว ผู้ใ ห้ม าหาและเกิด
การผสมพัน ธุ์ ผีเ สื้อ ไหมตัว ผู้จ ะมี
หนวด มีล ก ษณะเหมือ นฟัน หวีเ ป็น
ั
- 39. 2) ฟีโ รโมนปลุก ระดม
(aggregation pheromon) เป็น
สารที่ใ ช้ป ระโยชน์ ในการปลุก
ระดมให้ม ารวมกลุม กัน เพื่อ กิน
่
อาหารผสมพัน ธุ์ห รือ วางไข่ ใน
แหล่ง ที่เ หมาะสม เช่น ด้ว งที่
ทำา ลายเปลือ กไม้ (bark beetle)
ปล่อ ยฟีโ รโมนออกมา เพื่อ รวม
- 40. 3) ฟีโ รโมนเตือ นภัย (alarm
pheromone) สารนีจ ะปล่อ ยออก
้
มาเมื่อ มีอ ัน ตราย เช่น
มีผ ู้บ ุก รุก ผึ้ง หรือ ต่อ ทีท ำา หน้า ที่
่
เป็น ทหาร ยาม จะปล่อ ยสารเคมี
ออกมาให้ผ ึ้ง หรือ ต่อ ในรัง รู้ ผึ้ง
เมื่อ ต่อ ยผู้บ ุก รุก แล้ว จะปล่อ ยสาร
เคมีเ ตือ นภัย เรีย กว่า ไอโซเอมิล
- 41. 4) ฟีโ รโมนตามรอย (trail
rhermone) เช่น สุน ัข จะ
ปล่อ ยสารฟีโ รโมนไปกับ
ปัส สาวะตลอดทางที่ผ ่า นไป
เพื่อ เป็น เครื่อ งหมายนำา ทาง
และประกาศเขตแดน ผึ้ง และ
มดจะผลิต สารจากต่อ มดูเ ฟอร์
(Dufour’s gland) ซึ่ง อยู่ต ิด
- 42. 5) ฟีโ รโมนนางพญา (queen –
substance pheromone) สารชนิด นี้
พบในแมลงสัง คม (social insect)
เช่น ผึ้ง ตัว ต่อ แตน มด ปลวก สาร
ชนิด นี้ท ำา หน้า ที่ใ นการควบคุม สัง คม
ฟีโ รโมนของนางพญาผึ้ง คือ สารที่ม ี
ฤทธิเ ป็น กรดคือ กรดคีโ ตเดเซโนอิก
์
(keto – decenoic acid) สารนี้จ ะ
ปล่อ ยออกจากตัว นางพญา เมือ ผึ้ง ่
งานทำา ความสะอาดจะได้ร ับ กลิ่น ทาง
- 43. ข้อ ควรทราบ
สารเคมีท ี่ท ำา หน้า ที่ใ นการป้อ งกัน
ตัว ช่ว ยให้ป ลอดภัย เรีย กว่า
แอลโลโมน (allomone) เช่น
ตัว สกั๊ง จะปล่อ ยกลิน ที่เ หม็น มาก
่
ออกจากต่อ มทวารหนัก แมลงตด
เมื่อ อยู่ใ นภาวะอัน ตรายจะปล่อ ย
สารเคมีท ี่ม ีฤ ทธิ์เ ป็น กรด และมี
กลิน เหม็น มากเพื่อ ป้อ งกัน ตัว
่
- 44. 5. การสือ สารโดยใช้ร หัส แสง
่
(LUMINOUS
COMMUNICATION)
การสือสารแบบนี้ พบในสัตว์ที่มีกิจกรรมกลาง
่
คืน หรือในทีมีแสงน้อย เช่น
่ ใต้ทะเล
ลึก ซึ่งไม่มีแสง (aphontic zone) สัตว์กลุ่มนี้
เช่น หิ่งห้อย จะมีกระบวนการไบโอลูมิเนสเซน
ซ์ (bioluminescence) โดยการทำางานของ
สารลูซิเฟอริน (luciferin) กับ แก๊ส
ออกซิเจน และมีเอนไซม์ ลูซิเฟอเรส
(luciferase) เป็นตัวเร่งปฎิกิริยาและมีพลังงาน
ปลดปล่อยออกมา ในหิ่งห้อยตัวเมีย บินไม่ได้