การศึกษา
- 4. ปัจจัยที่กำหนด พฤติกรรมของมนุษย์ การรับรู้ (Perception) การเรียนรู้ (Learning) สติปัญญาและความคิด (Intelligence and Thought) ความเชื่อและค่านิยม (Belief and Value) เจตคติ (Attitude) อารมณ์ (Emotion) แรงจูงใจ (Motivation)
- 5. การรับรู้ คือ การสัมผัสที่มีความหมาย เริ่มจากการใช้ ประสาทสัมผัส และเป็น การ แปลความหมาย การสัมผัสที่ได้รับ ให้เข้าใจทั้งตนเองและผู้อื่น โดยต้อง อาศัย ประสบการณ์เดิม หรือความรู้เดิม 1. การรับรู้ (Perception)
- 11. 4. การใช้ความรู้เดิม 4.1 เป็นความรู้ถูกต้อง แน่นอน และชัดเจน 4.2 ต้องมีปริมาณมากหรือสะสมไว้ มากๆหรือรู้หลายๆอย่าง ช่วยให้แปล ความหมายได้ถูกต้อง
- 15. การสัมผัสกับการรับรู้ 1. การมองเห็น แสงจะกระตุ้นเซลล์ ประสาทรับความรู้สึกในจอตา เซลล์ประสาทตาจะนำเอากระแส ความรู้สึกที่ตาส่งไปยังสมอง
- 19. 2. การได้ยิน เมื่อมีการสั่นสะเทือน หรือคลื่นเสียงจะเป็นตัวกระตุ้นที่ อวัยวะรับการรู้สึกทางเสียง รับกัน เป็นทอดๆจาก หูส่วนนอก หูส่วน กลาง และหูส่วนใน
- 22. 3. การได้กลิ่น เกิดจากสิ่งเร้าจำพวก สารเคมีที่ลอยอยู่ในอากาศไปกระตุ้น ความรู้สึกในจมูกที่มีเซลล์ประสาท รับกลิ่น และจะกระตุ้นให้เกิดกระแส ประสาทซึ่งจะถูกส่งไปยังอวัยวะ
- 25. 4. การรู้รส สารเคมีไปกระตุ้นปุ่มรับรู้ รสที่มีกระจายอยู่ทั่วบริเวณลิ้นด้านบน และข้างๆ
- 27. 5. การสัมผัสผิว ผลกระทำของตัวรับ ความรู้สึก 3 ชนิดที่ทำงานผสมผสานกัน คือ แรงกด อุณหภูมิ และความเจ็บปวด ยังมีความรู้สึกการเคลื่อนไหวและการ ทรงตัว
- 30. ทัศนมายา (Illusion) หมายถึง การรับรู้สิ่งเร้าต่างๆ ผิดพลาด อันเนื่องมาจากสิ่งเร้าเอง หรือส่วน ประกอบอื่นๆ มาตกแต่ง หรือความเชื่อ ที่บุคคลมีอยู่ในการรับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
- 39. ความหมาย 2. การเรียนรู้ (Learning) วุฒิภาวะ (Maturity) หมายถึง กระบวนการของความเจริญเติบโต หรือการเปลี่ยนแปลงในร่างกายมนุษย์
- 41. การเรียนรู้ (Learning) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมหรือ การแสดงออกที่มีผลจากประสบการณ์ หรือการฝึก การเรียนรู้มี 3 ชนิดคือ
- 42. 1. การเรียนรู้แบบการวางเงื่อนไข (Condition Learning) 1.1 การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก (Classical Condition Learning) 1.2 การวางเงื่อนไขแบบการกระทำ (Operant Condition Learning)
- 52. ทฤษฎีการเรียนรู้ 1. กลุ่มทฤษฎีพฤติกรรมนิยม 1.1 ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไข แบบคลาสสิก 1.2 ทฤษฎีการเรียนรู้เงื่อนไข การกระทำ
- 55. 2. กลุ่มทฤษฎีปัญญาสังคม พัฒนา มาจากทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมของ แบนดูร่า อธิบายว่า การเรียนรู้ของ มนุษย์ส่วนหนึ่งเกิดจาก การเลียนแบบ จากตัวแบบ (Model)
- 57. 3. สติปัญญาและความคิด (Intelligence and Thought) ความหมาย สติปัญญา (Intelligence) หมายถึง สภาพของสมองที่แสดงความสามารถ ในด้าน การจำ การคิด ( คิดอย่างมีเหตุผล
- 59. แหล่งของสติปัญญา 1. อวัยวะรับความรู้สึกเกี่ยวกับการสัมผัส 2. กล้ามเนื้อ 3. สมองและระบบประสาทส่วนกลาง
- 62. 2. อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมต่อ ความสามารถทางสติปัญญา * ฐานะทางสังคม * เศรษฐกิจของครอบครัว * โอกาสในการศึกษา * ภาวะโภชนาการในระยะแรกๆ ของชีวิต
- 65. ฌอง เอสกิโรล์ (Jean Esquirol) * แบ่งระดับความเสื่อมของสมอง ออกเป็น 2 ลักษณะใหญ่ๆ โดยใช้ ความสามารถทางภาษาเป็นเกณฑ์
- 66. ลักษณะที่ 1 ลักษณะโง่ 1) โง่น้อย ใช้ภาษาเข้าใจ ใกล้เคียงกับคนปกติ แต่เรียนรู้ และรับรู้ช้ากว่า 2) โง่มาก เข้าใจคำพูดที่เป็น ประโยคได้ รู้คำศัพท์น้อยลง
- 67. ลักษณะที่ 2 ลักษณะปัญญาอ่อน 1) ปัญญาอ่อนน้อย เข้าใจภาษา พูดเป็นคำๆ 2) ปัญญาอ่อนปานกลาง เข้าใจ การแสดงกิริยาท่าทางมากกว่า เข้าใจภาษาพูดและภาษาเขียน ชอบร้องไห้
- 72. * ในปี ค . ศ 1848 เซอแกวงฝึกฝน บุคคลด้วยวิธีการต่างๆที่เรียกว่า “ การฝึกการสัมผัส (Sense-training) และ “การฝึกกล้ามเนื้อ (Muscle -training)”
- 76. * สนใจเรื่องพันธุกรรม ต้องการวัด คุณลักษณะของคนที่เกี่ยวข้องกัน ทางสายโลหิต โดยสร้างเครื่องมือ ที่สามารถวัดลักษณะทางกายและ จิตใจ เรียกว่า “ Galton Bar”
- 77. * Galton Bar สามารถวัดลักษณะ ใหญ่ๆได้ 3 ประเภท 1) ความเร็วในการมองเห็น (Keeness of Vision) 2) ความเร็วในการได้ยิน (Keeness of Hearing)
- 78. 3) การประสานงานของอวัยวะ ต่างๆ (Motor Coordination) * ผลการทดสอบพบว่าคนที่เกี่ยวข้อง ทางสายโลหิตมีลักษณะคล้ายคลึงกัน
- 81. วัดด้านต่างๆ เช่น ความแข็งแกร่งของ กล้ามเนื้อ ความรวดเร็วในการเคลื่อนไหว ความไวต่อความรู้สึกเจ็บปวด ความเฉียบคมในการมองเห็นและการได้ยิน การจำแนกน้ำหนัก ความไวในการตอบ - สนอง ความจำ ความแม่นยำในการ เคลื่อนไหวด้วยมือ ฯลฯ
- 84. * ปี ค . ศ 1905 อัลเฟรด บิเนต์ และ ธีโอดอร์ ซีมอง สร้างแบบทดสอบชื่อ “ บิเนต์ - ซีมอง สเกล (Binet-Simon Scale)” โดยเน้นหนักด้านการตัดสินใจ ความเข้าใจในสิ่งต่างๆและความมีเหตุผล
- 85. * ปี ค . ศ . 1908 แบบทดสอบชุด บิเนต์ - ซีมองปรับปรุงให้สามารถ วัดเชาวน์ปัญญาเด็กที่มีอายุระหว่าง 3-11 ปี
- 86. * ปี ค . ศ . 1911 แบบทดสอบชุด บิเนต์ - ซีมองปรับปรุงให้สามารถ วัดเชาวน์ปัญญาเด็กที่มีอายุระหว่าง 3-18 ปี
- 87. * ปี ค . ศ . 1916 เลวิส เอ็ม เทอร์แมน นำแบบทดสอบชุดบิเนต์ - ซีมอง ของปี ค . ศ . 1905 ไปปรับปรุงใหม่ ใช้ชื่อว่า “ แบบทดสอบสแตนฟอร์ด - บิเนต์ วัดเชาวน์ปัญญาเด็กที่มีอายุระหว่าง 2-16 ปี”
- 88. * แต่ละระดับอายุจะมี 6 ข้อทดสอบ ให้คะแนนเป็นอายุสมอง (Mental age) ข้อละ 2 เดือนของระดับอายุ นั้น จะใช้อายุสมองเป็นเกณฑ์ใน การเปรียบเทียบ
- 90. * มีความเห็นว่าการรู้อายุสมอง (Mental age หรือ MA) เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถ บอกได้ว่าฉลาดหรือโง่ จนกว่าจะได้เทียบ กับอายุจริง (Chronological age หรือ CA)
- 94. * ค . ศ . 1949 เวคสเลอร์สร้างแบบทดสอบ เชาวน์ปัญญาเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี เรียกว่า Wechsler Intelligence Scale for Children หรือ WISC
- 95. * ปี ค . ศ . 1955 The Wechsler Bellevue Intelligence Scale) เปลี่ยนชื่อเป็น Wechsler Adult Intelligence Scale หรือ WAIS
- 96. * ปี ค . ศ . 1960 เวคสเลอร์สร้างแบบ ทดสอบเชาวน์สำหรับเด็กอายุ 4-6 ปีครึ่ง ชื่อว่า Wechsler Preschool and Primary Scale of Intelligence หรือ WPPSI
- 98. * ศาสตราจารย์ ดร . ชัชวาล แพรัตกุล เป็นบุคคลแรกที่สร้างแบบทดสอบ มาตรฐานวัดความถนัดทางการเรียน เมื่อปี พ . ศ . 2513
- 102. ความคิด (Thought) 1. การคิดที่ไม่มีจุดมุ่งหมายหรือ การคิดแบบเชื่อมโยง (Associative Thinking) คือการปล่อยจิตใจไป เรื่อยๆ ไม่มีจุดหมายปลายทางที่แน่ชัด
- 103. 1) การเชื่อมโยงเสรี (Free Association) 2) การฝันกลางวัน (Day Dreaming) หรือ เพ้อฝัน (Fantasy) 3) การฝันขณะหลับ (Night Dreaming)
- 104. 2. การคิดที่มีจุดมุ่งหมาย (Directed Thinking) เป็นการคิดทบทวน เพื่อหาคำตอบที่ดีที่สุด 1) การอุปนัย (Induction) หมายถึง การสรุปกฎเกณฑ์จากผลการสังเกต เป็นบางส่วน
- 105. 2) การนิรนัย (Deduction) หมายถึง การคิดจากข้อความหนึ่งไปยังอีก ข้อความหนึ่งตามหลักตรรกวิทยา 3) การแก้ปัญหา (Problem Solving)
- 106. ทฤษฎีพัฒนาการการคิดของฌอง เพียเจท์ 1. ขั้นใช้ประสาทสัมผัสและกล้ามเนื้อ (Sensorimotor phase) อายุ 0-2 ปี เด็กพัฒนาสติปัญญา โดยการเรียนรู้สิ่งแวดล้อมด้วยการใช้ ประสาทสัมผัส และการเคลื่อนไหว เพื่อรับรู้และกระทำต่างๆ
- 107. 2. ขั้นเริ่มคิดเริ่มเข้าใจ (Preopera- tional thought period) 2.1 คิดเบื้องต้น (Preopera- tional) 2-4 ปี 2.2 คิดออกเอง โดยไม่ต้อง ใช้เหตุผล (Intuitive) 4-7 ปี
- 109. 4. ขั้นใช้ความคิดเชิงนามธรรม (Cognitive Thought หรือ Formal operation) 12 ปีขึ้นไป คิดรวบยอด คิดในเชิงวิเคราะห์ สังเคราะห์ ตีความหมาย ตั้งข้อ สมมติฐานและทดสอบข้อสมมติฐานได้
- 112. 2. โรงเรียน 1) โรงเรียนสามารถตอบสนองความ ต้องการและความสนใจของเด็ก 2) ครูต้องเรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติ ของเด็ก 3) เนื้อหาในหลักสูตรและวิธีสอน ควรสอดคล้องกับธรรมชาติของเด็ก
- 114. 4. ความเชื่อและค่านิยม (Belief and Value) ความเชื่อ หมายถึง ความคิดและความเข้าใจของ บุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งอันเป็นเหตุ ให้บุคคลแสดงพฤติกรรม
- 115. ประเภทของความเชื่อ โรคีช ประเภทของความเชื่อมี 4 ประเภท 1. ความเชื่อตามที่เป็นอยู่ สิ่งใดจริง - เท็จ ถูก - ผิด 2. ความเชื่อเชิงประเมินค่า แฝงความ รู้สึก
- 117. การเกิดความเชื่อ 1. การเกิดของความเชื่อที่เกิดจาก ประสบการณ์ตรง 2. การเกิดของความเชื่อที่เกิดจากการ อนุมาน
- 118. * การอนุมานลักษณะเดียวกันของ ที่หมายประเภทเดียวกัน * การอนุมานจากความเชื่อหลายอย่าง ที่เกิดจากประสบการณ์ตรง * การอนุมานจากความเชื่ออย่างเดียว ที่ได้รับข่าวสารมา
- 120. การเปลี่ยนความเชื่อ 1. การเปลี่ยนความเชื่อที่เกิดจาก ประสบการณ์ตรง 2. การเปลี่ยนความเชื่อที่เกิดจากการ ได้รับข่าวสาร
- 122. ค่านิยม หมายถึง ความคิดของบุคคลที่มีต่อ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ว่าสิ่งนั้นมีคุณค่า
- 124. ความสำคัญของค่านิยม 1. ค่านิยมเป็นตัวนำทางในการดำเนินชีวิต 2. ค่านิยมเป็นมาตรฐานในการตัดสินใจ ตนเองและผู้อื่น 1) ค่านิยมนำบุคคลให้มีจุดยืนในเรื่องที่ โต้แย้งกันทางสังคม
- 125. 2) ค่านิยมกำหนดล่วงหน้าให้บุคคลชอบ อุดมการณ์ทางการเมืองหรือศาสนา บางแนวมากกว่าบางแนว 3) ค่านิยมชี้แนะการแสดงตนต่อผู้อื่น 4) ค่านิยมการแนะยกย่องและตำหนิ ตนเองและผู้อื่น
- 126. 5) ค่านิยมช่วยให้บุคคลเปรียบเทียบ ความสามารถและจริยธรรมของตนกับ ผู้อื่น 6) ค่านิยมเป็นมาตรฐานให้บุคคลมี อิทธิพลต่อคนอื่น 7) ค่านิยมช่วยให้บุคคลหาเหตุผล เข้าข้างตนเองได้
- 127. 3. ค่านิยมเป็นตัวก่อหรือขจัดความ ขัดแย้งในตนเองและผู้อื่น 1) ค่านิยมเป็นตัวก่อหรือขจัด ความขัดแย้งในตนเอง * ความขัดแย้งแบบรักพี่เสียดายน้อง * * ความขัดแย้งแบบหนีเสือปะจระเข้ *
- 129. 5. เจตคติ (Attitude) หมายถึง ความรู้สึก ความคิดเห็น หรือท่าทีของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
- 133. 6. อารมณ์ (Emotion) * มาจากภาษาลาติน “ Emovere” หมายถึง “ to Stir” หรือ “ up Set” หมายถึง ความรีบด่วน หรือ ความปั่นป่วน อันเนื่องมาจากความ เร่าร้อนหรือความตื่นเต้น
- 135. อารมณ์ แบ่งเป็น 2 ประเภท 1. อารมณ์ที่ให้ความสุข ได้แก่ อารมณ์สนุก อารมณ์รัก เป็นต้น 2. อารมณ์ที่ให้ความทุกข์ ได้แก่ อารมณ์โกรธ อารมณ์เศร้า อารมณ์ กลัว อารมณ์กังวล อารมณ์สงสาร
- 147. ทฤษฎีต่างๆเกี่ยวกับอารมณ์ 1. ทฤษฎีของเจมส์ - เลงก์ (James-Lange Theory of Emotion) 2. ทฤษฎีของแคนนอน - บาร์ด (Cannon-Bard) 3. ทฤษฎีอารมณ์ของแมคดูกัลล์ (McDougall Theory)
- 149. * วิลเลี่ยม เจมส์ เชื่อว่า เมื่อร่างกาย ได้รับการกระตุ้นจากสิ่งเร้า จะแสดง ปฏิกิริยาโต้ตอบต่อสิ่งเร้านั้นทันที พฤติกรรมดังกล่าวจะบ่งบอกว่าบุคคล นั้นกำลังเผชิญกับสภาพอารมณ์ชนิดใด
- 151. * คาร์ล เลงก์ นักสรีรวิทยาชาวเดนมาร์ก เชื่อว่าอารมณ์เป็นผลที่เกิดจากการมี ปฏิกิริยาโต้ตอบต่อสิ่งเร้าต่างๆ มากกว่า จะเป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายแสดง พฤติกรรมต่างๆออกมา
- 152. * สรุป * สิ่งเร้าต่างๆเป็นตัวการที่ทำให้เกิด การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา หมายถึงการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมของ ระบบอวัยวะภายใน และพฤติกรรม การแสดงออกที่สามารถสังเกตได้ อย่างชัดเจน
- 154. ทฤษฎีของแคนนอน - บาร์ด (Cannon-Bard) * วอลเตอร์ บี แคนนอน เสนอแนวคิด ทางประสาทสรีรวิทยา เรียกว่า ทฤษฎี ศูนย์ประสาท (Central Neural Theory)
- 155. กล่าวว่า สิ่งเร้าในสภาวะแวดล้อมต่างๆ จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมในศูนย์ ของสมองได้แก่ ทาลามัส เป็นอันดับแรก กระแสประสาทจากทาลามัสจะถูกส่งไปยัง สมองส่วนผิวทำให้รับรู้สภาพอารมณ์ต่างๆ
- 157. * ฟิลิป บาร์ด นักสรีรวิทยาชาวอเมริกัน กล่าวว่า สมองมีศูนย์กลางเฉพาะที่ทำ หน้าที่เกี่ยวกับกระบวนการทางอารมณ์ ศูนย์กลางดังกล่าวอยู่ในบริเวณ ทาลามิค - ไฮโปทาลามิค ซึ่งทำให้การตอบสนอง ทางกายและอารมณ์เกิดขึ้นเวลาเดียวกัน
- 158. กล่าวคือ หลังจากการรับรู้สิ่งเร้าแล้ว กระแสประสาทจะผ่านไปยังทาลามัส แล้วส่วนหนึ่งจะแยกไปยัง สมองส่วนผิว ทำให้เกิดการรับรู้ภาวะอารมณ์ อีกส่วน หนึ่งแยกไป กล้ามเนื้อและระบบอวัยวะ ภายใน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการ ทำงานของระบบต่างๆไปพร้อมกัน
- 161. ทฤษฎีอารมณ์ของแมคดูกัลล์ (McDougall Theory) เชื่อว่า อารมณ์เป็นสภาพที่อยู่ในจิตสำนึก และสัญชาตญาณติดตัวมาแต่เกิด เป็น ปฏิกิริยาที่ควบคู่กัน เช่น สัญชาตญาณหนีภัยคู่กับอารมณ์กลัว สัญชาตญาณต่อสู้คู่กับอารมณ์โกรธ
- 162. การควบคุมอารมณ์ 1. ฝึกระงับอารมณ์ที่รุนแรง อดทน 2. พยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่จะ ก่อให้เกิดความเครียด 3. เมื่อมีเรื่องทำให้ไม่สบายใจ ระบาย ให้ผู้ที่ไว้ใจฟัง
- 164. 7. แรง จูงใจ (motivation) หมายถึง กระบวนการที่บุคคลถูก กระตุ้นจากปัจจัยต่างๆ ทำให้เกิด แรงผลักดันให้แสดงพฤติกรรม ออกมาเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ตามที่ผู้ทำการชักจูงใจกำหนด
- 165. * พฤติกรรมที่ถูกกระตุ้นหรือถูกเร้า ให้แสดงออกมาเรียกว่าพฤติกรรม ที่ถูกจูงใจ ซึ่งจะแสดงออกมา 3 ลักษณะ 1. มีพลัง แสดงออกด้วยกิริยา อย่างใดอย่างหนึ่งในลักษณะที่เป็น การเพิ่มพลัง
- 166. 2. มีทิศทาง ต้องมุ่งไปทางใด ทางหนึ่ง 3. การดำรงไว้ เป็นการรักษา ระดับของพฤติกรรมให้ดำรงอยู่
- 167. * สิ่งที่จะมาเร้าหรือผลักดันให้เกิด พฤติกรรมต่างๆขึ้นมาได้นั้น ต้องเป็น สิ่งที่จะทำให้บุคคลเกิดความต้องการ และเกิดความสนใจ อาจเป็น สิ่งเร้า ภายนอกที่มาล่อหรือสิ่งเร้าภายใน * การจูงใจเป็นกระบวนการที่ ไม่อยู่นิ่ง เกิดต่อเนื่องเป็นวัฏจักร
- 168. องค์ประกอบของการจูงใจ 1. ภาวะที่กำลังถูกเร้า ได้แก่ ความต้องการ แรงขับหรือแรงจูงใจ 2. พฤติกรรมที่ถูกจูงใจ เกิดขึ้น เพราะถูกเร้า
- 170. ความต้องการ แรงขับ หรือแรงจูงใจ เกิดความพึงพอใจ เป้าหมาย รางวัล หรือสิ่งล่อใจ พฤติกรรมที่ถูก จูงใจหรือถูกเร้า
- 171. ลักษณะของการจูงใจ 1. การจูงใจภายใน (intrinsic motivation) เป็นสภาวะที่บุคคลต้องการที่จะกระทำหรือ เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างด้วยตนเอง โดย ไม่ต้องอาศัยการชักจูงจากสิ่งเร้าภายนอก ได้แก่ ความต้องการ ความรู้สึกนึกคิด ความสนใจ หรือเจตคติ ของแต่ละบุคคล
- 172. 2. การจูงใจภายนอก (extrinsic motivation) เป็นสภาวะที่บุคคลรับการกระตุ้นจาก สิ่งเร้าภายนอก เร้าให้เกิดความต้องการ และแสดงพฤติกรรมไปสู่เป้าหมายนั้น ได้แก่ การเสริมแรงด้วยสิ่งล่อใจ รางวัล
- 173. ความต้องการ * กระบวนการจูงใจจะเกิดขึ้นตลอดเวลา เนื่องจากร่างกายมีความต้องการและ แรงขับ * ความต้องการเกิดจากความขาดแคลน ภายในร่างกาย ทำให้ร่างกายขาดความ สมดุลย์
- 174. ความต้องการแบ่งเป็น 2 ประเภท 1. ความต้องการทางด้านร่างกาย เป็นความต้องการที่มีพลังผลักดัน ทางร่างกาย ได้แก่ ความต้องการ เพื่อให้อวัยวะภายในร่างกายทำงาน ตามปกติ หรืออยู่ในภาวะสมดุลย์
- 175. เช่น ความต้องการอาหาร น้ำ อากาศ การพักผ่อนนอนหลับ การขับถ่าย การออกกำลังกาย ความต้องการทางเพศ ความ ต้องการการเคลื่อนไหว
- 176. 2. ความต้องการทางด้านจิตใจและสังคม เป็นความต้องการที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ และอารมณ์ ได้แก่ ความต้องการความ ปลอดภัย ความรักความอบอุ่น การ ยอมรับนับถือ ความสำเร็จ ความต้องการ ให้สังคมยอมรับ ความต้องการเกียรติยศ ชื่อเสียง
- 181. 4. ความต้องการยิ่งอยู่ในระดับสูง ความรีบด่วนที่จะตอบสนองเพื่อ คงชีวิตอยู่จะยิ่งน้อยลง เลื่อนระยะ เวลาออกไปได้มาก และมีโอกาส หายไปได้ง่าย 5. ความต้องการต่างๆในแต่ละระดับ จะเกี่ยวเนื่อง และเหลื่อมล้ำกัน
- 182. แรงขับ หมายถึง สภาพเร้าอันเกิดจากความ ต้องการภายในตัวอินทรีย์ ทำให้เกิด กิจกรรมต่างๆ เช่น ความหิว
- 184. ประเภทของแรงขับ 1. แรงขับปฐมภูมิ (Primary Drive) 2. แรงขับทุติยภูมิ (Secondary Drive)
- 185. 1.1 แรงขับทางด้านสรีระ (Physiological Drive) 1. แรงขับปฐมภูมิ (Primary Drive) 1.2 แรงขับทั่วไป (General Drive)
- 186. 1.1 แรงขับทางด้านสรีระ (Physiological Drive) * เกิดจากความต้องการของร่างกาย หรือสภาวะภายในร่างกาย ถ้าร่างกาย ขาดแคลน เสียสมดุลย์
- 188. แรงขับทางด้านสรีระ ได้แก่ ( ก ) ความอุ่น ความเย็นและความเจ็บปวด อวัยวะรับสัมผัสจะรับความอุ่น ความเย็น และความเจ็บปวด ส่งไปยังสมองส่วน ไฮโปทาลามัส
- 190. ( ข ) ความหิว เกิดจากการขาดสารเคมี บางอย่างในเลือด ทำให้กระเพาะอาหาร หดตัว รู้สึกเจ็บแสบในกระเพาะอาหาร
- 191. ( ค ) ความกระหาย เกิดจากปริมาณน้ำ ของเซลล์ในร่างกายลดลง โดยเฉพาะ ที่ไฮโปทาลามัสมีนิวโรนกลุ่มหนึ่ง มี่เร็วต่อการสูญเสียน้ำของร่างกาย ส่งกระแสความรู้สึกไปยังสมอง ทำให้รู้สึกกระหายน้ำ
- 192. ( ง ) การนอนหลับ เป็นแรงขับที่ต้องการ ให้อยู่เฉยๆ ให้ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่ สึกหรอ และขจัดความเมื่อยล้า
- 193. ( จ ) แรงขับทางเพศ มีองค์ประกอบ 2 ประการคือ 1) ฮอร์โมนเพศ ต่อมเพศ (Gonad gland) ในเพศชายอัณฑะ จะสร้างฮอร์โมนเพศเรียกว่าแอนโดรเจน และรังไข่ ในเพศหญิงจะสร้างเอสโตรเจน ทำหน้าที่พัฒนาลักษณะทุติยภูมิทางเพศ 2) การเรียนรู้
- 194. ( ฉ ) แรงขับในการเป็นแม่ ได้รับอิทธิพล จากฮอร์โมนโปรแลคตินที่ต่อมพิทูอิทารี หลั่งออกมาขณะตั้งครรภ์ และหลังจาก คลอดแล้วทำให้แม่มีความต้องการปกปัก รักษาลูก หรือเตรียมตัวเพื่อที่จะเลี้ยงลูก
- 195. 1.2 แรงขับทั่วไป เป็น แรงจูงใจ ทางจิตวิทยา หรือแรงจูงใจที่ เกิดจากความต้องการพื้นฐาน ทางจิตใจ ได้แก่
- 196. ( ก ) การประกอบกิจกรรม ธรรมชาติของสัตว์มีการเคลื่อนไหว และโต้ตอบต่อสิ่งแวดล้อมอยู่ตลอด เวลา ( ข ) ความอยากรู้อยากเห็น ความสนใจในสิ่งแปลกๆใหม่ๆ ซึ่ง ความสนใจนั้นจะเร้าให้เกิดพฤติกรรม
- 197. ( ค ) การจับต้อง เป็นแรงขับที่จะ หยิบฉวย จับต้อง ทำโน่นทำนี่ กับวัตถุหรือสิ่งของ ( ง ) ความกลัว จะเร้าให้คนหรือ สัตว์พยายามหลีกหนีจากสภาพการณ์ หรือวัตถุที่ทำให้เกิดความกลัว ความกลัวส่วนใหญ่เกิดจากการเรียนรู้
- 198. ( จ ) ความรัก เป็นแรงขับที่มีพลังมาก ต่อพฤติกรรมของมนุษย์ เกิดขึ้นได้เอง ตามวุฒิภาวะหรือเกิดจากการเรียนรู้
- 199. 2. แรงขับทุติยภูมิ (Secondary Drive) * เป็นแรงขับที่เกิดจากการเรียนรู้ เรียกว่าแรงจูงใจทางสังคม ได้แก่ ( ก ) ความผูกพันกับบุคคลอื่น ( ข ) การเป็นที่ยอมรับของสังคม
- 200. ( ค ) ฐานะตำแหน่ง ( ง ) ความรู้สึกมั่นคง ( จ ) ความสำเร็จ ( ฉ ) ความเป็นอิสระ
- 201. การจูงใจในมนุษย์ * แรงจูงใจที่สามารถเร้าให้แสดง พฤติกรรมออกมา เรียกว่า ตัวเร้า แรงจูงใจ (motivational arousal)
- 204. 3. แรงจูงใจต่างกัน อาจทำให้บุคคล แสดงออกมาเหมือนกัน 4. แรงจูงใจหลายอย่างแสดงออกมา ในรูปปลอมแปลงได้ ได้แก่ การ แสดงออกมาในรูปความฝัน อาการ ทางประสาท