บทที่2
- 2. ประวัติความเป็นมา
เป็นภาษาที่ถูกพัฒนาโดย Dr.Jame Gosling บริษัท Sun Microsystems เดิมที
ชื่อ ภาษาโอ๊ค (Oak) เป็นชื่อต้นไม้ ใหญ่ที่อยู่ในบริเวณบ้าน ที่ทีมวิศวกรของ
ซัน ทางานอยู่ นามาใช้ในการพัฒนาโปรแกรมขนาดจิ๋วสาหรับ อุปกรณ์
เครื่องใช้อิเล็คทรอนิกส์ ได้ทาการพัฒนาต่อมาเรื่อยๆ และได้เปลี่ยนชื่อใหม่
เป็น ภาษาจาวา (Java) ตามชื่อกาแฟที่ทีมพัฒนาดื่ม
- 3. จุดเด่น
1) เป็นภาษาสาหรับการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP: Object
Oriented Programming)
2) Java คือ platform independence หมายความว่าความสามารถของ
โปรแกรมที่เขียนด้วย java
สามารถทางานได้ในระบบปฏิบัติการที่ต่างกัน โดยไม่ต้องดัดแปลง
แก้ไขใหม่
3) Free และ เป็นโปรแกรมประเภท Open Source
- 4. โครงสร้าง ภาษา Java (Java Structure)
1. เครื่องหมาย ในการควบคุม Structure
1.1 Comment คือข้อความที่แทรกเข้าไปในโปรแกรม แต่ไม่มีผลต่อการ
ทางานของโปรแกรม เช่นในกรณีที่เราต้องการอธิบาย Source code ไว้ใน
โปรแกรม วิธีการคือ
- comment ทีละ บรรทัด ใช้เครื่องหมาย // ตามด้วยข้อความที่ต้องการ
comment
- 5. 1.2 Keyword คือคาที่ถูกกาหนดไว้ใช้เองแล้วในภาษา Java ไม่สามารถ
นามาใช้ในการตั้งชื่อภายใน โปรแกรมได้ ตัวอย่างเช่น class,boolean,char
เป็นต้น
1.3 Identifiers คือชื่อที่ผู้เขียนตั้งขึ้นมา เพื่อใช้แทนอะไรก็ได้ไม่ว่าจะเป็น
method ,ตัวแปร หรือ class ชื่อที่ถูกต้องควรประกอบด้วย ตัวอักษร ,
ตัวเลข ,_,$ และจะต้องขึ้นต้นด้วย ตัวอักษรเท่านั้น
- 6. 1.4 Separators คือ อักษร หรือ เครื่องหมายที่ใช้แบ่งแยกคาในภาษา มี
ดังต่อไปนี้
- เครื่องหมาย () ใช้สาหรับ
1. ต่อท้ายชื่อ method ไว้ให้ใส่ parameter
เช่น private void hello( );
2. ระบุเงื่อนไขของ if ,while,for ,do
เช่น if ( i=0 )
3. ระบุชื่อชนิดข้อมูลในการ ทา casting
เช่น String a=( String )x;
- เครื่องหมาย{ }ใช้สาหรับ
กาหนดขอบเขตของ method แล class
- 8. ตัวอย่าง example1.java
public class example1 {
public static void main(String[] args) {
System.out.println("Hello World.");
System.out.print("Hello World. ");
System.out.print("My");
System.out.print(" name");
System.out.print(" is");
System.out.print(" JAVA.");
}
}
- 9. การดาเนินการทางคณิตศาสตร์
ในภาษาจาวา ประโยค (statement) จะจบด้วยเครื่องหมาย ;
(semicolon) เสมอ ดังนั้นโปรแกรมสามารถเขียน statement ได้มากกว่า
หนึ่งสเตจเม็นต์ในหนึ่งบรรทัดของ source code หรือสามารถ
เขียน statement โดยมีความยาวมากกว่าหนึ่งบรรทัดก็สามารถทาได้
Expression หมายถึง ประโยคในภาษา Java ที่ได้รับการยอมรับว่าอยู่ใน
รูปแบบที่ได้กาหนดไว้ การเขียน code ให้มีรูปแบบที่เหมาะสม อ่านได้ง่าย
จะทาให้การพัฒนาโปรแกรมเป็นไปได้ด้วยความรวดเร็วและ เป็นที่ยอมรับ
ตามระบบสากล
- 11. 3) การประมวลผลข้อมูลต่างชนิดกัน
- ถ้าตัวแปรใดเป็น double ตัวแปรที่นามาประมวลผลด้วยจะถูกเปลี่ยนให้
เป็น double ก่อนการประมวลผล
- ถ้าตัวแปรใดเป็น float ตัวแปรที่นามาประมวลผลด้วยจะถูกเปลี่ยนให้
เป็น float ก่อนการประมวลผล
- ถ้าตัวแปรใดเป็น long ตัวแปรที่นามาประมวลผลด้วยจะถูกเปลี่ยนให้
เป็น long ก่อนการประมวลผล
4) การประมวลผลตัวเลขที่มีขนาดใหญ่
Java จะมี class BigInteger ที่สามารถเรียกใช้เพื่อประมวลผลตัวเลขที่มีค่า
มากกว่า int ที่จะเก็บค่าได้
- 12. ลาดับที่ เครื่องหมาย ลาดับที่ เครื่องหมาย
1 วงเล็บ ( ) 6 = =, !=
2 ++,-- 7 &&
3 *, /, % 8 ||
4 +, - 9 =, +=, -=, *=, /=, %=
5 <, <=, >, >=
ตัวดาเนินการ ความหมาย
+= การบวก
-= การลบ
*= การคูณ
/= การหาร (ได้ผลหาร)
%= การหาร (ได้เศษจากการหาร)
ลาดับขั้นการประมวลผลของเครื่องหมาย
ตัวดาเนินการ ความหมาย
++Variable เพิ่มค่าหนึ่งค่าก่อนการเข้าถึง
Variable++ เพิ่มค่าหนึ่งค่าหลังการเข้าถึง
- -Variable ลดค่าหนึ่งค่าก่อนการเข้าถึง
Variable- - ลดค่าหนึ่งค่าหลังการเข้าถึง
- 13. การคานวณแบบย่อ (Shortcut Operator)
ตัวดาเนินการ ความหมาย
+= การบวก
-= การลบ
*= การคูณ
/= การหาร (ได้ผลหาร)
%= การหาร (ได้เศษจากการหาร)
ตัวดาเนินการ ความหมาย
++Variable เพิ่มค่าหนึ่งค่าก่อนการเข้าถึง
Variable++ เพิ่มค่าหนึ่งค่าหลังการเข้าถึง
- -Variable ลดค่าหนึ่งค่าก่อนการเข้าถึง
Variable- - ลดค่าหนึ่งค่าหลังการเข้าถึง
- 17. คลาสสตริง
การสร้าง String
String เป็น Class หนึ่งใน Package ของภาษาจาวาชื่อ java.lang ทาหน้าที่ใน
การเก็บข้อมูลที่เป็น “ชุดของตัวอักษร” ซึ่งปกติชนิดของข้อมูลของภาษา
จาวาก็มี ชนิดเป็น character แต่เก็บข้อมูลได้เพียง 1 ตัวอักษรเท่านั้น
ดังนั้นจึงลาบากในการ นามาใช้กับข้อมูลที่มากกว่า 1 ตัวอักษร หรือที่
เรียกว่า “String” ดังนั้น ภาษาจาวา
จึงได้สร้าง Class สาเร็จรูปมาให้สามารถเรียกใช้ได้ทันที
เรียกว่า “String” ทั้งหมดคือที่มาของคาว่า String Class
- 18. การสร้าง Object เพื่อใช้กับ String ได้ 6 รูปแบบคือ
รูปแบบที่ 1
String ชื่อObject = new String(ข้อความ);
รูปแบบที่ 2
String ชื่อObject = ข้อความ;
รูปแบบที่ 3
String (char chars[]);
เป็นการสร้าง String ที่นา Array ชื่อ Chars มาเป็นข้อมูลใน String
- 19. รูปแบบที่ 4
String (char chars[], int startIndex, int numChars);
เป็นการเก็บข้อมูลเพียงบางส่วนของ Array ไว้ใน String โดยที่
- startIndex คือกาหนดตาแหน่งเริ่มต้นใน array ที่ต้องการ
เก็บ
- numChars คือกาหนดจานวนตัวอักษรที่ต้องการเก็บโดย
นับจาก ตาแหน่งที่ระบุใน startIndex
ตัวอย่างการใช้งาน
char chars[]={‘a’, ’b’, ’c’, ‘d’, ‘e’, ‘f’};
String message = new String(chars, 2, 3);
ผลที่ได้ก็คือ message จะเก็บค่า cde
- 20. รูปแบบที่ 5
String (ชื่อStringเดิม);
เป็นการสร้าง String ใหม่โดยใช้โครงสร้างของ String เดิม
ผลที่ได้ก็คือ String ใหม่จะมีข้อมูลเดียวกับ String เดิมที่ใช้เป็นต้นแบบใน
การสร้าง
รูปแบบที่ 6
เป็นการเก็บ Array ของรหัส ASCII ไว้ใน String
- String (byte asciiChars[]);