More Related Content
Similar to เด็กปัญญาเลิศ....11
Similar to เด็กปัญญาเลิศ....11 (20)
เด็กปัญญาเลิศ....11
- 2. ความหมาย
เด็กที่มีความสามารถทางปัญญา
สูงกว่าเด็กทั่วไป และความถนัดเฉพาะ
ทางอยู่ระดับสูงกว่าเด็กอืนในวัยเดียวกัน
่
นอกจากนี้ยงมีสมรรถนะในการคิด
ั
ประดิษฐ์ สรรค์สร้างสิ่งใหม่ๆให้แก่โลก
มนุษย์
- 3. เด็กที่มความสามารถพิเศษเฉพาะด้านสามารถ สังเกตได้จาก
ี
พฤติกรรมเหล่านี้
1.แสดงความสามารถในการใช้ศัพท์ได้สูงกว่าวัย เช่น ลูกอายุ 2
ขวบ สามารถพูดว่า “แม่หมากาลังมาหาลูกหมาแล้ว” แทนที่จะพูด
ว่า “หมา หมา” เป็นต้น
2. ช่างสังเกต และตื่นตัวอยู่เสมอ เด็กที่เก่งมักจะสังเกตใน
รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ และจาได้ดี
3. สามารถอธิบายเรื่องราวที่ได้ทามาในวันนั้นได้อย่างดี
4. มีสมาธิ ตั้งใจทาอย่างใจจด ใจจ่อ ในเรื่องที่ตนสนใจ
5. มีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถแสดงออกมาได้ เป็นต้น
- 4. คาที่ใช้เรียกเด็กฉลาดอาจมีหลายคา เช่น คาว่า เด็กอัจฉริยะ
เด็กปรีชาญาณ เด็กเก่ง และคาสุดท้ายที่นามาใช้ในวงการศึกษา คือ
เด็กปัญญาเลิศ คาภาษาอังกฤษที่ใช้ในวงการนี้มีหลายคาเช่นกัน เช่น
Gifted หมายถึง ผู้ที่มีความฉลาดเฉลียวหรือผู้มีปัญญา
เลิศ
Talented หมายถึง ผู้ที่มีความสามารถเฉพาะทาง เช่น
ด้านดนตรี ศิลปะ กีฬา
Genius หมายถึง ผู้ที่ระดับสติปัญญาสูง มีผลงานการ
ประดิษฐ์คิดค้นทางวิทยาศาสตร์มากมาย
- 5. ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ
1) มีพัฒนาการทางร่างกายและจิตใจเร็วกว่าเด็กปกติ
2) มีความสามารถในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่าง
รวดเร็วและง่ายดาย
3) มีความอยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง ชอบชักถาม
4) มีความสามารถในการแก้ปัญหา การใช้สามัญสานึก
และสามารถนาความรู้ที่มีไปใช้ได้ในชีวิตจริง
5) มีเหตุผล ความคิดดี
6) จดจาสิ่งที่เคยเห็นเคยอ่านได้รวดเร็วและแม่นยา
- 8. พฤติกรรมบางอย่างในห้องเรียน
1) เข้าใจได้ง่าย และรวดเร็ว มักมีคาถามชวนคิด
2) สมาธิในการเรียนและการทางานดี
3) สนใจและสนุกกับปัญหาที่ยากซับซ้อน
4) อ่านหนังสือได้เร็วกว่าอายุ
5) ชอบประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ๆ หรือในแนวใหม่ๆ
6) ใช้ภาษาได้ดี รู้จักคาศัพท์กว้างขวางเกินวัย ชอบเรียนหนังสือ
7) แก้ปัญหาด้วยวิธีการหลากหลาย
8) มีลักษณะเป็นผู้นาในกลุมเด็กวัยเดียวกัน
่
- 9. เด็กปัญญาเลิศจะมีปัญหาด้านอารมณ์และจิตใจ ซึ่งสามารถ
แยกแยะได้ 8 ประการดังนี้
1. เด็กที่มีความสามารถพิเศษจานวนไม่นอย มีความรู้สึก
้
โดดเดี่ยวอ้างว้าง เพราะคนไม่ค่อยเข้าใจความคิดและความรู้สึก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กกลุ่มทีมีความสามารถสูงๆจะรู้สึกว่าทาไม
่
คนอื่นคิดและรู้สึกไม่เหมือนเขา จนรู้สึกว่าตัวเองเป็นมนุษย์ต่างดาว
ไม่เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ เด็กจึงมีพฤติกรรมตอบสนองไปในรูปแบบ
ต่างๆ แล้วแต่พื้นฐานจิตใจรอบรมเลี้ยงดู และวิธีคิดของเด็กๆ
- 10. 2. รู้สึกว่าตัวเองต่าต้อยด้อยค่า ไม่มีคุณค่าในตัวเอง ทาให้
ขาดความมั่นใจ ขาดการตัดสินใจที่ดีในอนาคต
3. รู้สึกว่ามีปัญหาในการปรับตัว ไม่สามารถมีความรู้สึก
นึกคิดคล้อยไปกับสังคมหรือผสมผสานกับกลุ่มที่ตัวเองต้องไป
เกี่ยวข้องได้ เพราะระบบคิดต่างกัน
4. มีความเครียดสูง จากสาเหตุต่างๆ ทั้งในเรื่องความ
คาดหวังและการที่ตัวเองอยู่ในสภาพที่โดนกดดันโดยระบบ
การศึกษาที่น่าเบื่อ และต้องปฏิบัติในสิ่งที่ตัวเองไม่สนใจ
5. ขาดความมั่นใจในตัวเอง เป็นโรคที่พบมากในขณะนี้
ทีเ่ ด็กไม่กล้าแสดงออก เป็นผลให้เกิดความล้มเหลวในการเรียนการ
งาน
- 11. 6. กลัวความล้มเหลว ในกรณีที่เด็กแสดงออกถึงความโดดเด่น
ผู้คนใกล้ชิดก็มักจะคาดหวัง หรือโดยนิสัยพื้นฐานเด็กกลุ่มนี้มีรสนิยม
ทางปัญญา สูงกว่าปกติอยู่แล้ว มีแนวโน้มที่จะทาอะไรสมบูรณ์
ไม่มีที่ติอยู่แล้ว เลยทาให้หลีกเลี่ยงสถานการณ์ล้มเหลวหลายๆอย่าง
7. ขาดสมาธิ หรือที่เรียกกันทางวิชาการว่า โรคสมาธิบกพร่อง
ที่เป็นโรคฮิตอันดับแรกกับเด็กทั่วไปทั้งเด็กปกติและเด็กพิเศษ
8. ทางานไม่ค่อนเสร็จ มีความคิดดีๆ พูดอะไรเข้าใจรวดเร็ว
คิดเก่ง คิดไว แต่พอลงมือทาไม่ค่อยอดทนทาให้สาเร็จ
- 12. ประเภทของเด็กอัจฉริยะ
ความสามารถทางอารมณ์
เป็นทักษะและความสามารถที่เราจาเป็นต้องใช้ในการ
อยู่ร่วมกับผู้อื่นในการติดต่อสื่อสาร ทาความเข้าใจ คนที่มี
ความสามารถทางสังคมจะมีความสามารถที่จะเข้าใจผู้อื่น เร็วต่อ
ความรู้สึกของผู้อื่น เข้าใจภาษากาย มีความสามารถในการ
บริหารจัดการ ควบคุมอารมณ์ตนเอง เข้าใจเกี่ยวกับความรู้สึก
ของตนเอง รับรู้ภาวะทางอารมณ์ของตนเอง ความอดกลั้นอดทน
ทางอารมณ์ได้ดี รวมถึงความสามารถในการแสดงออกอย่าง
ถูกต้องเหมาะสมตามกาลเทศะ นอกเหนือไปจากการมองเห็น
และเข้าใจทัศนะของคนอื่นได้ดี คนที่มีความสามารถทางด้าน
มนุษยธรรมจะมีความ
- 13. ความสามารถทางกีฬา
เป็นความสามารถในการควบคุม
กล้ามเนื้อ ควบคุมการเคลื่อนไหว ความ
ยืดหยุ่น ทั้งกล้ามเนื้อเล็กและกล้ามเนื้อ
ใหญ่ รวมถึงการใช้กล้ามเนื้อร่างกาย
ในการแสดงออกถึงความรู้สึกหรือ
ความคิด เช่น นักกีฬา นาฏศิลป์ นักแสดง
นักปั้น
- 14. ความสามารถทางศิลปะ
เป็นความสามารถสร้างมิติประมวลความคิด หรือสร้างความคิด
จากการเห็นในรูปแบบต่างๆ ในความคิด เช่น ความสามารถในการพลิก
หมุนภาพที่เห็นเป็นมุมต่างๆ มองเห็นภาพต่างๆ อย่างทะลุปรุโปร่ง เช่น
กลุ่มศิลปินที่สามารถรังสรรค์จากการเห็นให้เป็นผลงานที่เป็นนามธรรม
ความงดงาม หรือเป็นตัวแทนของ ความรู้สึกนึกคิด เช่น กลุ่มศิลปิน นัก
ประดิษฐ์
- 15. ความสามารถทางวิทยาศาสตร์
เป็นความสามารถในการสังเกต
วิเคราะห์ พิสูจน์ คัดแยก ศึกษา อธิบาย รวมถึง
เขาใจในปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือการ
เกิดปรากฏการณ์สิ่งต่างๆ ทางธรรมชาติ
ความสามารถในการมองเห็นโครงสร้างของ
ระบบธรรมชาติ ความเข้าใจในความสัมพันธ์
และผลกระทบที่จะเกิด เช่น ความสัมพันธ์
ระหว่างพืช - สัตว์ เช่น นักวิทยาศาสตร์
นักธรรมชาติวิทยา เกษตรกร นักวิจัย นัก
ภูมิศาสตร์
- 16. ความสามารถทางภาษา
เป็นความสามารถในการทาความ
เข้าใจความหมายทางภาษา การใช้ภาษาใน
รูปแบบต่างๆ เพื่อมาถ่ายทอดความคิด
จินตนาการ ความรู้ อารมณ์หรือความดื่มด่า
ลึกซึ้งทางความคิด อารมณ์ ตลอดจน
จินตนาการอันหลากหลายที่อาจเป็น
ความสามารถในการใช้ภาษาทางด้านการ
เขียนหรือการพูด เช่น นักเขียน นักแปล
นักภาษาศาสตร์ จินตกวี นักพูด โฆษก
- 17. ความสามารถทางช่างเทคนิคและ
อิเล็กทรอนิกส์
เป็นความสามารถในการรับรู้เรียนรู้
เกี่ยวกับเครื่องจักรกลที่ต้องใช้ทักษะกลไกใน
เรื่องของอุปกรณ์และการทางานของ
เครื่องจักร เครื่องยนต์ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์
หรือเครื่องมือต่างๆ สามารถมองเห็น
องค์ประกอบ หรือการทางานของอุปกรณ์
สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ อย่างรวดเร็ว ง่ายดาย เช่น
ช่าง นักอิเล็กทรอนิกส์ มีทักษะในการใช้ตา
ประสาน ประกอบอุปกรณ์หรือสร้าง
ประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ได้อย่างดี
- 18. ความสามารถทางการคิด
คือ ความสามารถในการเรียนรู้ จดจา วิเคราะห์สังเคราะห์
จินตนาการ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า และ ระยะยาว การมองเห็น
ความสัมพันธ์ของสิ่งที่เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม รวมทั้งความสามารถ
ในการประมวลความคิดรูปแบบ ต่างๆ เพื่อตอบสนองสถานการณ์ได้อย่าง
เหมาะสม ตัวอย่างคนที่มีความสามารถด้านนี้ ได้แก่ นักคิด นักวางแผน
นักประดิษฐ์
- 19. ความสามารถทางดนตรี
เป็นความสามารถในการรับรู้ทางการได้ยินที่ละเอียดอ่อน เฉียบไว
ถ่ายโยงความสามารถในการรับรู้ทางการได้ยินที่ลึกซึ้ง ทั้งความสูงต่าของเสียง ความถี่
ของเสียง จังหวะของเสียงไปสู่จิตใจ อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดมา ถักทอเป็นรูปแบบทาง
ความสามารถที่เกี่ยวข้องกับเสียง เช่น ดนตรี การร้องเพลง การแต่งเพลง การพากย์
หนัง การเลียนเสียงสัตว์ หรือผู้ที่ฝึกนกเขาชวา หรือตัดสินความสามารถในการขันของ
นกเขาชวา ต้องมีความสามารถในการรับรู้ทางเสียงที่เฉียบคม เป็นต้น
- 20. ความต้องการพิเศษ
เด็กปัญญาเลิศ เป็นเด็กที่เรียนสิ่งต่างๆ ได้รวดเร็ว
ดังนั้น หากเนื้อหา และวิธีการสอนที่ใช้กับเด็กปกติ จึงมักทา
ให้เด็กเหล่านี้เบื่อง่าย เพราะไม่ท้าทายความคิด หากครูไม่
เข้าใจก็จะกลายเป็นเด็กที่มีปญหา ก่อกวนความสงบสุขของ
ั
ชั้นไปได้ ทางโรงเรียนจึงควรจัดบริการสอนเสริมให้กับเด็ก
ซึ่งอาจทาในรูปของ
- 21. 1) การจัดชั้นพิเศษ โดยคัดแยกเด็กเก่งมาเรียนในกลุ่ม
เดียวกัน และจัดหลักสูตรพิเศษให้สอดคล้องกับความสนใจและ
ความสามารถของเด็ก
2) การสอนเร่ง เป็นการเรียนหลักสูตรปกติในเวลาที่
น้อยลง เช่น การเรียนข้ามชั้น ควบชั้น เป็นต้น
3) การสอนเพิ่ม เป็นการเสริมความรู้และประสบการณ์
ของเด็กให้กว้างขวางและลึกซึ้งมากขึ้น นอกเหนือจาก กิจกรรมใน
ชั้นเรียน และ / หรือให้โอกาสได้ฝึกฝนเล่าเรียนในแขนงวิชาที่เด็ก
มีความถนัดเป็นพิเศษ
- 22. วิธีสอนเด็กปัญญาเลิศในชั้นเรียนร่วม มีดังนี้
1. การเรียนรู้แบบรู้แจ้ง ให้เด็กได้มีโอกาส
เรียนรู้อย่างเป็นขั้นตอน ตามระดับความสามารถของเด็ก
โดยไม่มีการเร่งรัดเกี่ยวกับเวลามากนัก ให้เด็กเรียนไปเรื่อย
ๆ ตามความสามารถ จนกระทั่งเด็กเรียนด้วยตนเองครบ
หน่วยของเนื้อหาที่ครูกาหนด
2. การจัดหลักสูตรให้กะทัดรัด มุ่งเน้นให้เด็ก
ได้มุ่งเรียนในเนื้อหาวิชาที่เป็นจุดสาคัญจริง ๆ ในบางครั้ง
จึงจาเป็นต้องตัดกิจกรรมการเรียนบางอย่างออกไป เมื่อครู
เห็นว่าเด็กมีทักษะแล้ว แต่ครูจะต้องแน่ใจว่าเด็กมีพื้นฐาน
แล้ว จึงจะเรียนเนื้อหาวิชาที่ยากขึ้นได้
- 23. 3. การคิดเชิงวิจารณ์ สอนให้รู้จักคิด รู้จักใช้
เหตุผลก่อนตัดสินใจและไม่ได้หลงเชื่อใครง่าย ๆ
4. ศูนย์การเรียน เป็นการจัดมุมใดมุมหนึ่งให้เป็น
มุมหรือศูนย์ที่เน้นเนื้อหาวิชาใดวิชาหนึ่งตามเนื้อหาใน
หลักสูตร แล้วให้เด็กเข้าศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง เพื่อให้
เด็กได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง
5. การคิดระดับสูงเป็นการเรียนรู้ตามแนวความคิดของ
นักการศึกษาชาวอเมริกัน ชื่อ Benjamine Bloom จะสอน
ให้เด็กนาไปใช้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินผล
6. การศึกษาด้วยตัวเอง เป็นการศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ในแนวลึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เด็กให้ความสนใจอย่างมาก
แต่ครูจะต้องคอยให้คาแนะนาเด็ก
- 25. 11. การเข้าเรียนก่อนเกณฑ์
12. การเรียนตามความสามารถของตนเอง เป็นการให้
เรียนด้วยตนเองเป็นชุด ๆ ตามความสามารถของเด็ก ไม่มีการ
กาหนดเวลา จะเรียนกี่ชุดหรือทุกชุดก็ได้
13. การเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยเมื่ออายุยังน้อย
หากระเบียบการต่าง ๆ เปิดกว้างกว่านี้
14. การเรียนทางไปรษณีย์
15. การเรียนล่วงหน้า เป็นการอนุญาตให้นักเรียนในระดับ
มัธยมปลายเข้าไปเลือกเรียนบางรายวิชาในระดับมหาวิทยาลัยได้ และ
เก็บสะสมหน่วยกิตไว้ เมื่อเด็กเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยจริง จะช่วยให้
เด็กเรียนจบระดับมหาวิทยาลัยเร็วขึ้น
- 26. 16. การแก้ปัญหา เป็นการฝึกให้เด็กแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่
เกิดขึ้น ทั้งการเรียน และสังคม เป็นการสอนให้เด็กรู้จักการวิเคราะห์
ปัญหาว่าปัญหาเกิดมาจากอะไร มีที่มาอย่างไร
17. การจัดหลักสูตรฉบับย่อ เป็นการจัดหลักสูตรที่
เข้มข้น เพื่อให้เรียนในเวลาที่สั้นลง
18. การนับหน่วยกิตโดยการสอบ เป็นการสอบโดยที่เด็ก
ไม่ต้องมาเรียน ให้เด็กเรียนด้วยตนเองที่บ้าน เมื่อสิ้นภาคเรียนให้เด็กเข้า
สอบ และเก็บสะสมหน่วยกิตไว้ เมื่อหน่วยกิต ครบตามหลักสูตรก็ถือว่า
สาเร็จการศึกษา
- 27. 19. การทาสัญญา เป็นการทาสัญญาที่มีการลงนามเป็นลายลักษณ์อักษร
ภายในจะต้องมีจุดมุ่งหมายชัดเจน มีขอบข่ายเนื้อหาวิชาที่เด็กจะต้องรู้ภายในเวลาที่
กาหนด และเด็กต้องนาเนื้อหาวิชามาเสนอครู เมื่อสัญญาสิ้นสุดลง
20. ความคิดสร้างสรรค์ เป็นการ สอนและส่งเสริมให้เด็กใช้ความคิด
จินตนาการ ควรตั้งคาถามให้ปลายเปิด ที่มีคาตอบมากมาย ให้อิสระแก่เด็ก ไม่ควร
ตาหนิหรือลงโทษเด็ก ควรมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาเสียก่อน จึงจะสามารถใช้วิธี
ประยุกต์และสร้างสรรค์เกี่ยวกับเนื้อหาวิชาที่เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- 29. จัดทำโดย
นางสาวนฤมล อมรศักดิ์สวัสดิ์ รหัส 118
นางสาวเบญจรัตน์ มีฉลาด รหัส 121
นางสาวปาริฉตร
ั ด้วงบุญมา รหัส 124
นางสาวรุ่งนภา ด่านอินถา รหัส 135
นายวิทยา นามณี รหัส 137
สาขาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์