More Related Content
Similar to เรื่อง เครื่องใช้ไฟฟ้าเส็จแล้ว
Similar to เรื่อง เครื่องใช้ไฟฟ้าเส็จแล้ว (20)
เรื่อง เครื่องใช้ไฟฟ้าเส็จแล้ว
- 2. 1. นาย เกริกฤทธิ์ ชัยวร เลขที่ 1 ชัน ม.3/2 ้
2. นาย กฤษดากรณ์ สายปน ิ เลขที่ 2 ชัน ม.3/2 ้
3. นาย เจษฎากร เมืองช ุม เลขที่ 3 ชัน ม.3/2
้
4. นาย จาต ุรงค์ พระวิฑ ูรย์ เลขที่ 4 ชัน ม.3/2
้
5. นาย จิราย ุทธ จันสม เลขที่ 5 ชัน ม.3/2
้
6. เด็กหญิง วิช ุดา ดวงแก้ว เลขที่ 36 ชัน ม.3/2
้
- 3. เครืองใช้ไฟฟา คือ อุปกรณ์ที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟาเป็ นพลังงานรูป
่ ้ ้
อื่น เพื่อนาไปใช้ในชีวิตประจาวัน ได้แก่
1. เครื่องใช้ไฟฟาที่ให้แสงสว่าง
้
2. เครื่องใช้ไฟฟาที่ให้ความร้อน
้
3. เครื่องใช้ไฟฟาที่ให้พลังงานกล
้
4. เครื่องใช้ไฟฟาที่ให้พลังงานเสียง
้
นอกจากนียงมีเครื่องใช้ไฟฟาที่สามารถเปลี่ยนเป็ นพลังงานรูปอื่น
้ ั ้
หลายรูปในเวลาเดียวกัน
- 4. เครืองใช้ไฟฟาคือ อุปกรณ์ที่เปลียนพลังงานไฟฟา ที่เป็ น
่ ้ ่ ้
พลังงานรูปอื่น เพื่อนาไปใช้ในชีวิตประจาวันไม่วาจะเป็ น
่
เครื่องใช้ไฟฟาที่ใช้ภายในบ้านในสานักงาน ตลอดจน
้
เครื่องมือ เครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม ล้วนแต่ตอง ้
อาศัยพลังงานจากไฟฟาทังสิน
้ ้ ้
- 5. เนืองจากเครื่องใช้ไฟฟาที่ให้พลังงานความร้อนจะมีกระแสไฟฟาปริมาณมา
่ ้ ้
ไหลผ่าน มากกว่าเครื่องใช้ประเภทอื่นๆ จึงควรใช้ดวยความระมัดระวัง
้
ดังนี้
1. หมันตรวจสอบดูแลสายไฟ เต้ารับ เต้าเสียบ ให้อยู่ใน
่
สภาพเรียบร้อยไม่ชารุด
2. เมื่อเลิกใช้งานต้องถอดเต้าเสียบออกจากเต้ารับทุกครังไม่
้
ควรเสียบทิ้งไว้
ในการเลือกเครื่องใช้ไฟฟาทุกชนิดต้องพิจารณาถึงคุณภาพของ
้
เครื่องใช้ไฟฟา รูจกวิธีใช้ที่ถกต้อง รูจกวิธีปองกันอันตรายจากไฟฟารัว
้ ้ั ู ้ั ้ ้ ่
และไฟฟาลักวงจรและตรวจดูแลอุปกรณ์อยูเ่ สมอ
้
- 6. หลอดไฟ เป็ นอุปกรณ์ทใช้เปลี่ยนพลังงานไฟฟาเป็ นแสงสว่างให้เราสามารถ
ี่ ้
มองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ ซึ่ง โธมัส เอดิสน เป็ นผูประดิษฐ์หลอดไฟเป็ นครั้งแรก โดย
ั ้
ใช้คาร์บอนเส้นเล็กๆ เป็ นไส้หลอดและได้มการพัฒนาเรื่อยมาเป็ นลาดับ
ี
รูป หลอดไฟของเอดิสน ั
รูป พัฒนาการของหลอดไฟฟา ้
ประเภทของหลอดไฟ
1. หลอดไฟฟ้าธรรมดา มีไส้หลอดทีทาด้วยลวดโลหะทีมจดหลอมเหลวสูง เช่น
่ ่ ี ุ
ทังสเตนเส้นเล็กๆ ขดเอาไว้เหมือนขดลวดสปริงภายในหลอดแก้วสูบอากาศออก
หมดแล้วบรรจุกาซเฉื่อย เช่น อาร์กอน (Ar) ไว้ ก๊าซนีชวยปองกันไม่ให้หลอด
๊ ้่ ้
ไฟฟาดา ลักษณะของหลอดไฟเป็ นดังรูป
้
รูป ส่วนประกอบของหลอดไฟฟาแบบเขียว้ ้
- 7. หลักการทางานของหลอดไฟฟาธรรมดา
้
กระแสไฟฟาไหลผ่านไส้หลอดซึ่งมีความต้านทานสูง พลังงานไฟฟาจะ
้ ้
เปลี่ยนเป็ นพลังงานความร้อน ทาให้ไส้หลอดร้อนจัดจนเปล่งแสง
ออกมาได้ การเปลี่ยนพลังงานเป็ นดังนี้
พลังงานไฟฟา >>>พลังงานความร้อน >>>พลังงานแสง
้
- 8. 2. หลอดเรื่องแสง หรือ หลอดฟล ูออเรสเซนต์ (fluorescent) เป็ น
อุปกรณ์ที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟาเป็ นพลังงานแสงสว่าง ซึ่งมีการ
้
ประดิษฐ์ในปี ค.ศ. 1938 โดยมีรปร่างหลายแบบ อาจทาเป็ นหลอด
ู
ตรง สัน ยาว ขดเป็ นวงกลมหรือครึ่งวงกลม เป็ นต้น
้
ส่วนประกอบของหลอดเรืองแสง
ตัวหลอดมีไส้โลหะทังสเตนติดอยูที่ปลายทัง 2 ข้าง ของหลอดแก้ว ซึ่ง
่ ้
ผิวภายในของหลอดฉาบด้วยสารเรื่องแสง อากาศในหลอดแก้วถูก
สูบออกจนหมดแล้วใส่ไอปรอทไว้เล็กน้อย ดังรูป
- 9. รูป หลอดเรืองแสง
อุปกรณ์ที่ใช้เพื่อให้หลอดเรืองแสงทางาน
1. สตาร์ตเตอร์ (starter) ทาหน้าที่เป็ นสวิตซ์อตโนมัตในขณะหลอดเรือง
ั ิ
แสง ยังไม่ตดและหยุดทางานเมือหลอดติดแล้ว
ิ ่
2. แบลลัสต์ (Ballast) ทาหน้าที่เพิ่มความต่างศักย์ เพื่อให้หลอดไฟเรืองแสง
ติดในตอนแรกและทาหน้าที่ ควบคุมกระแสไฟฟาที่ผานหลอด ให้ลดลงเมือ
้ ่ ่
หลอดติดแล้ว
รูป สตาร์ตเตอร์และแบลลัสต์
การใช้หลอดเรืองแสงต้องต่อวงจรเข้ากับสตาร์ตเตอร์และแบลลัสต์ แล้วจึงต่อ
เข้ากับสายไฟฟาในบ้าน
้
รูป ก. การต่อวงจรไฟฟาของหลอดเรืองแสง
้
- 10. เมือกระแสไฟฟาผ่านไอปรอท จะคายพลังงานไฟฟาให้แก่ไอปรอท ซึ่งจะทาให้อะตอม
่ ้ ้
ของไอปรอทอยูในสภาวะถูกกระตุน (exited state) เป็ นผลให้อะตอมปรอทคายพลังงาน
่ ้
ออกมาเพื่อ ลดระดับพลังงานในตัวเองในรูปของรังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งมองไม่เห็น
เมือรังสีชนิดนีไ้ ปกระทบกับสารวาวแสงที่ฉาบไว้ที่ผวด้านในของหลอดฟลูออเรสเซนต์
่ ิ
สารเหล่านีจะเปล่งแสงได้ โดยให้แสงสีตางๆตามชนิดของสารวาวแสงที่ฉาบไว้ภายใน
้ ่
หลอดนัน เช่น แคดเมียมบอเรท (Cadmium borate) ให้ แสงสีชมพู แคดเมียมซิลิเคท
้
(Cadmium silicate) ให้แสงสีชมพูอ่อน แมกนีเซียมทังสเตท (Magnesium tungstate) ให้
แสงสีขาวอมฟา แคลเซียมทังสเตท (Calcium tungstate) ให้แสงสีนาเงิน ซิงค์ซิลิเคท
้ ้
(Zinc silicate) ให้แสงสีเขียว ซิงค์เบริลเลียมซิลิเคท (Zinc Beryllium silicate) ให้แสงสี
เหลืองนวล นอกจากนียงอาจผสมสารวาวแสงเหล่านี้ เพื่อให้ได้แสงสีผสมที่แตกต่าง
้ ั
กันออกไปได้อีกด้วย
- 11. • ข้อเปรียบเทียบระหว่างหลอดไฟฟากับหลอดฟล ูออเรสเซนต์ ซึ่งใช้
้
พลังงานไฟฟาเท่ากัน
้
• หลอดไฟฟาสว่างน้อยกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์ เมือมีจานวนวัตต์
้ ่
เท่ากัน
• หลอดไฟฟามีอายุการใช้งานสันกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์
้ ้
• ขณะใช้งานอุณหภูมของหลอดไฟฟาสูงกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์
ิ ้
• หลอดไฟฟาเสียค่าใช้จายในการติดตังน้อยกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์
้ ่ ้
เพราะหลอดฟลูออเรสเซนต์ตองต่อวงจรเข้ากับแบลลัสต์และสตาร์ตเตอร์เส
้
มอ
- 12. หลอดคอมแพคฟล ูออเรสเซนต์
หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์หรือที่เรียกกันทัวไปว่าหลอด
่
ตะเกียบ หลอดคอมแพค
ฟลูออเรสเซนต์มี 2 ชนิด คือ ชนิดที่มีแบลลัสต์ภายใน สามารถใช้
แทนหลอดไฟฟาแบบมีเขียวและแบบเกลียวได้ อีกชนิดหนึงเป็ นแบบ
้ ้ ่
ที่มแบลลัสต์อยูภายนอกจะมีขาเสียบ เพื่อต่อเข้ากับแบลลัสต์ สมบัติ
ี ่
ที่สาคัญของหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ คือ ช่วยประหยัด
พลังงานไฟฟา และมีอายุการใช้งาน ที่ยาวนานกว่าหลอดฟลูออเรส
้
เซนต์
- 13. เครืองขยายเสียง(Amplifier)
่
เครื่องใช้ไฟฟาที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟาเป็ นพลังงานเสียง ได้แก่ เครื่องรับ
้ ้
วิทยุ เครื่องขยายเสียง เครื่องบันทึกเสียง ฯลฯ
คือ เครื่องใช้ไฟฟาที่เปลียนพลังงานไฟฟาเป็ นพลังงานเสียงโดยรับ
้ ่ ้
สัญญาณไฟฟาจากไมโครโฟน หัวเทป หรือจาก เครื่องกาเนิด
้
สัญญาณไฟฟาจากเสียงต่างๆ มาขยายสัญญาณไฟฟาจนมีกาลังมาก
้ ้
พอจึงส่งออกสูลาโพงเสียง
่
เครื่องขยายเสียงจะต้องมีสวนประกอบดังนี้
่
1. ไมโครโฟน เปลี่ยนพลังงานเสียงให้เป็ นสัญญาณไฟฟา ้
2. เครื่องขยายสัญญาณไฟฟา ขยายสัญญาณไฟฟาให้แรงขึน
้ ้ ้
3. ลาโพง เปลี่ยนสัญญาณไฟฟาให้เป็ นพลังงานเสียง
้
- 14. เครืองบันทึกเสียง (Tape recorder)
่
เครื่องบันทึกเสียง ขณะบันทึกด้วยการพูดผ่านไมโครโฟน ซึ่งจะเปลียน ่
พลังงานเสียงเป็ นสัญญาณไฟฟา แล้วบันทึกลงในแถบบันทึกเสียง
้
ซึ่งฉาบด้วยสารแม่เหล็กในรูปของสัญญาณแม่เหล็ก
เมือนาแถบบันทึกเสียงที่บนทึกได้มาเล่น สัญญาณแม่เหล็กจะถูก
่ ั
เปลี่ยนกลับเป็ นสัญญาณไฟฟา และสัญญาณนีจะถูกขยายให้แรง
้ ้
ขึนด้วยอุปกรณ์ไฟฟาจนทาให้ลาโพงสันสะเทือนเป็ นเสียงขึนอีกครั้ง
้ ้ ่ ้
หนึง ่
ในการใช้เครื่องใช้ไฟฟาที่ให้พลังงานเสียง พวก วิทยุ หรือเครื่องเสียง
้
ประเภทต่างๆ ส่วนใหญ่สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟาไม่มาก แต่ทงนี้
้ ั้
ขึนอยูกบ กาลังไฟฟา ของเครื่องเสียงนันๆ และขึนอยูกบความดัง
้ ่ ั ้ ้ ้ ่ ั
ของเสียงในการเปิ ดฟังด้วย
- 15. ประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้ าที่ให้พลังงานกล
มอเตอร์ เป็ นเครื่องใช้ไฟฟาที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟาเป็ นพลังงาน
้ ้
กล ประกอบด้วยขดลวดที่พนรอบแกนโลหะที่วางอยูระหว่างขัวแม่เหล็ก
ั ่ ้
โดยเมือผ่านกระแสไฟฟาเข้าไปยังขดลวดที่อยูระหว่างขัวแม่เหล็ก จะทาให้
่ ้ ่ ้
ขดลวดหมุนไปรอบแกน และเมือสลับขัวไฟฟา การหมุนของขดลวดจะหมุน
่ ้ ้
กลับทิศทางเดิม
มอเตอร์ มี 2 ประเภท คือ มอเตอร์กระแสตรง และมอเตอร์ผานเข้าไปใน
่
ขดลวดอาร์เมเจอร์เพือทาให้เกิดการดูดและผลักกันของแม่เหล็กถาวรกับ
่
แม่เหล็กระแสสลับ
1.มอเตอร์กระแสตรง เป็ นมอเตอร์ที่ตองใช้ไฟฟากระแสตรงไฟฟาที่เกิดจาก
้ ้ ้
ขดลวดมอเตอร์จึงหมุนได้
- 16. 2.มอเตอร์กระแสสลับ เป็ นมอเตอร์ที่ตองใช้กบไฟฟากระแสสลับ โดย
้ ั ้
ใช้หลักการดูดและผลักกันของแม่เหล็กถาวรกับแม่เหล็กไฟฟาจาก้
ขดลวดมาทาให้เกิดการหมุนของมอเตอร์
ข้อควรระวังในการใช้เครื่องใช้ไฟฟาที่มมอเตอรเป็ นส่วนประกอบ คือ
้ ี
ห้ามใช้เครื่องใช้ประเภทนีในช่วงที่ไฟตก หรือแรงดันไฟฟาไม่ถึง
้ ้
220 โวลต์ เนืองจากมอเตอร์จะไม่หมุนและทาให้เกิดกระแสไฟฟาดัน
่ ้
กลับ จะทาให้ขดลวดร้อนจัดจนเกิดไหม้เสียหายได้
ขณะที่มอเตอร์กาลังหมุนจะเกิดการเหนียวนาไฟฟาขึนทาให้เกิด
่ ้ ้
กระแสไฟฟาซ้อนขึนภายในขดลวด แต่มทิศทางการไหลสวนทางกับ
้ ้ ี
กระแสไฟฟาที่มาจากแหล่งกาเนิดพลังงานไฟฟาเดิม ทาให้ขดลวด
้ ้
ของมอเตอร์ไม่รอนจนเกิดไฟไหม้ได้
้
- 17. 1.พัดลม
พัดลม พัดลม แบ่งได้เปน 2 ประเภท คือ
็
- พัดลมตังพื้นหรือตังโต๊ะ นิยมใช้โดยทัวไป
้ ้ ่
- พัดลมติดเพดาน จะกินไฟมากกว่าแบบตังพื้นหรือตังโต๊ะ 1 เท่าตัว ฉะนัน
้ ้ ้
ควรเลือกใช้พดลม ตังพื้นหรือตังโต๊ะ เพราะกินไฟน้อยกว่าแบบติดเพดานถึง
ั ้ ้
ร้อยละ 50
- 18. - เต้าเสียบพัดลมควรมีสายดิน
- บริเวณที่ตงพัดลมไม่ควรมีวสดุตดไฟ เช่น ผ้าม่าน กระดาษ
ั้ ั ิ
- อย่าเปิ ดพัดลมเพื่อระบายอากาศในบริเวณที่มกาซหุงต้มทินเนอร์
ี ๊
หรือนามันเชือเพลิง
้ ้
- พัดลมที่เปิ ดแล้วไม่หมุน ให้รีบปิ ดและส่งซ่อม ทันที
- ไม่ควรใช้พดลมไอนา เพราะมีผลให้เกิดปอดชืน
ั ้ ้
การบาร ุงรักษา
- อย่าเปิ ดพัดลมทิ้งไว้โดยไม่มคนอยู่ เพราะอาจเกิดอัคคีภยได้
ี ั
- ปรับระดับความเร็วลมให้เหมาะสม
- ควรปิ ดพัดลมและดึงปลักออกทุกๆ ครั้งเมือเลิกใช้
๊ ่
- 19. เครื่ องใช้ ไฟฟาที่ให้ แสงสว่ าง
้
หลอดไฟฟา เป็ นเครื่องใช้ไฟฟาที่มใช้ในทุกบ้านที่มีการใช้
้ ้ ี
พลังงานไฟฟา เป็ นเครื่องใช้ที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟา ไปเป็ นพลังงานแสง
้ ้
หลอดไฟฟาที่ใช้ทวไป มี 3 ชนิด คือ
้ ั่
1. หลอดไฟฟาแบบธรรมดา
้
2. หลอดเรื่องแสงหรือหลอดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent
Lamp)
3. หลอดไฟโฆษณาหรือหลอดนีออน
- 20. หลอดไฟฟาแบบธรรมดา มีการเปลี่ยนรูปพลังงานจากพลังงานไฟฟาเป็ น
้ ้
พลังงานความร้อน แล้วจึงเปลี่ยนเป็ นพลังงานแสง หลอดไฟฟาแบบธรรมดามี
้
2 แบบ คือแบบเกลียวและแบบเขียว มีสวนประกอบดังนี้
้ ่
1.ไส้หลอด ทาด้วยโลหะที่มีจดหลอดเหลวสูง ทนความร้อนได้มาก มีความ
ุ
ทานสูง เช่น ทังสเตน
2.หลอดแก้ว ทาจากแก้วที่ทนความร้อนได้ดี ไม่แตกง่าย สูบอากาศออกจน
หมดภายในบรรจุกาซไนโตรเจนและอาร์กอนเล็กน้อย ก๊าซชนิดนีทาปฏิกริยายาก
๊ ้ ิ
ช่วยปองกันไม่ให้ไส้หลอดระเหิดไปจับที่หลอดแก้ว และช่วยไม่ให้ไส้หลอดไม่ขาด
้
ง่าย ถ้าบรรจุกาซออกซิเจนจะทาปฏิกิริยากับไส้หลอด ซึ่งทาให้ไส้หลอดขาดง่าย
๊
- 21. 3.ขัวหลอดไฟ เป็ นจุดต่อวงจรไฟฟา มี 2 แบบ คือ แบบเขียวและ
้ ้ ้
แบบเกลียว
เนืองจากหลอดไฟฟาประเภทนีให้แสงสว่างได้ดวยการเปลี่ยน
่ ้ ้ ้
พลังงานไฟฟาเป็ นพลังงานความร้อนก่อนทีจะให้แสงสว่างออกมา
้ ่
จึงทาให้สิ้นเปลี่อง พลังงานไฟฟา มากกว่าหลอดชนิดอื่น ใน
้
ขนาด กาลังไฟฟา ของหลอดไฟซึ่งจะกาหนดไว้ที่หลอดไฟทุกดวง
้
เช่น หลอดไฟฟาขนาด 100 วัตต์ เป็ นต้น
้ ้
- 22. หลอดเรืองแสงหรือหลอดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent Lamp) ทาด้วย
หลอดแก้วที่สบอากาศออกจนหมดแล้วบรรจุไอปรอทไว้เล็กน้อย มีไส้ทปลาย
ู ี่
หลอดทังสองข้าง หลอดเรืองแสงอาจทาเป็ นหลอดตรง หรือครึ่งวงกลมก็
้
ได้ ส่วนประกอบและการทางานของหลอดเรืองแสง มีดงนี้ ั
1. ตัวหลอด ภายในสูบอากาศออกจนหมดแล้วบรรจุไอปรอทและก๊าซ
อาร์กอน เล็กน้อย ผิวด้านในของหลอดเรืองแสงฉาบด้วยสารเรืองแสงชนิด
ต่างๆ แล้วแต่ความต้องการให้เรืองแสงเป็ นสีใด เช่น ถ้าต้องการให้เรืองแสงสี
เขียว ต้องฉาบด้วยสารซิงค์ซิลิเคต แสงสีขาวแกมฟาฉาบด้วยมักเนเซียมทังสเตน
้
แสงสีชมพูฉาบด้วยแคดเนียมบอเรต เป็ นต้น
2. ไส้หลอด ทาด้วยทังสเตนหรือวุลแฟรมอยู่ที่ปลายทังสองข้าง เมื่อ
้
กระแสไฟฟาผ่านไส้หลอดจะทาให้ไส้หลอดร้อนขึน ความร้อนที่เกิดขึนจะทาให้ไอ
้ ้ ้
ปรอทที่บรรจุไว้ในหลอดกลายเป็ นไอมากขึน แต่ขณะนันกระแสไฟฟายังผ่านไอ
้ ้ ้
ปรอทไม่สะดวก เพราะปรอทยังเป็ นไอน้อยทาให้ความต้านทานของหลอดสูง
- 23. • 3. สตาร์ตเตอร์ ทาหน้าที่เป็ นสวิตซ์ไฟฟาอัตโนมัตของวงจรโดยต่อขนานกับ
้ ิ
หลอด ทาด้วยหลอดแก้วภายในบรรจุกาซนีออนและแผ่นโลหะคู่ที่งอตัวได้ เมื่อ
๊
ได้รบความร้อน เมื่อกระแสไฟฟาผ่านก๊าซนีออน ก๊าซนีออนจะติดไฟเกิดความ
ั ้
ร้อนขึน ทาให้แผ่นโลหะคู่งอจนแตะติดกันทาให้กลายเป็ นวงจรปิ ดทาให้
้
กระแสไฟฟาผ่านแผ่นโลหะได้ครบวงจร ก๊าซนีออนที่ตดไฟอยู่จะดับและเย็นลง
้ ิ
แผ่นโลหะคู่จะแยกออกจากกันทาให้เกิดความต้านทานสูงขึนอย่างทันทีซึ่ง ้
ขณะเดียวกันกระแสไฟฟาจะผ่านไส้หลอดได้มากขึนทาให้ไส้หลอดร้อนขึน
้ ้ ้
มาก ปรอทก็จะเป็ นไอมากขึนจนพอที่นากระแสไฟฟาได้
้ ้
4. แบลลัสต์ เป็ นขดลวดที่พนอยู่บนแกนเหล็ก ขณะกระแสไฟฟาไหล
ั ้
ผ่านจะเกิดการเหนียวนาแม่เหล็กไฟฟาทาให้เกิดแรงเคลื่อนไฟฟาเหนียวนาขึน
่ ้ ้ ่ ้
เมื่อแผ่นโลหะคู่ในสตาร์ตเตอร์แยกตัวออกจากกันนันจะเกิดวงจรเปิ ด
้
ชัวขณะ แรงเคลื่อนไฟฟาเหนียวนาที่เกิดขึนในแบลลัสต์จึงทาให้เกิดความต่าง
่ ้ ่ ้
ศักย์ระหว่างไส้หลอดทังสองข้างสูงขึนเพียงพอที่จะทาให้กระแสไฟฟาไหลผ่านไอ
้ ้ ้
ปรอทจากไส้หลอดข้างหนึงไปยังไส้หลอดอีกข้างหนึงได้ แรงเคลื่อนไฟฟา
่ ่ ้
เหนียวนาที่เกิดจากแบลลัสต์นนจะทาให้เกิดกระแสไฟฟาเหนียวนาไหลสวนทาง
่ ั้ ้ ่
กับกระแสไฟฟาจากวงจรไฟฟาในบ้าน ทาให้กระแส ไฟฟาที่จะเข้าสูวงจรของ
้ ้ ้ ่
หลอดเรืองแสงลดลง
- 24. 1. เมื่อให้พลังงานไฟฟาเท่ากันจะให้แสงสว่างมากกว่าหลอดไฟฟาแบบ
้ ้
ธรรมดาประมาณ 4 เท่า และมีอายุการใช้งานนานกว่าหลอดไฟฟาธรรมดา ้
ประมาณ 8 เท่า
2. อุณหภูมิของหลอดไม่สงเท่ากับหลอดไฟฟาแบบธรรมดา
ู ้
3. ถ้าต้องการแสงสว่างเท่ากับหลอดไฟฟาธรรมดา จะใช้วตต์ที่ตากว่า จึง
้ ั ่
เสียค่าไฟฟาน้อยกว่า
้
1. เมื่อติดตังจะเสียค่าใช้จ่ายสูงกว่าหลอดไฟฟาแบบธรรมดา เพราะต้อง
้ ้
ใช้แบลลัสต์และสตาร์ตเตอร์ เสมอ
2. หลอดเรืองแสงมักระพริบเล็กน้อยไม่เหมาะในการใช้อ่านหนังสือ
- 25. • ตัวเลขที่ปรากฏบนหลอดไฟฟาธรรมดาและหลอดเรืองแสงซึ่ง
้
บอก กาลังไฟฟาเป็ นวัตต์(W) เป็ นการบอกถึงปริมาณพลังงาน
้
ไฟฟาที่ใช้ไปใน 1 วินาที เช่น 20 W หมายถึง หลอดไฟฟานีจะใช้
้ ้ ้
พลังงานไป 20 จูลในเวลา 1 วินาที ดังนันหลอดไฟฟาและหลอด
้ ้
เรืองแสงที่มกาลังไฟฟามาก เมือใช้งานก็ยิ่งสินเปลืองกระแสไฟฟา
ี ้ ่ ้ ้
มาก ทาให้เสียค่าใช้จายมากขึนด้วย ปั จจุบนมีการผลิตหลอดไฟ
่ ้ ั
พร้อมอุปกรณ์ประกอบ เช่น บัลลาสต์ แบบประหยัดพลังงานขึนมา ้
ใช้หลายชนิด เช่น หลอดตะเกียบ หลอดผอม บัลลาสต์เบอร์ 5 เป็ น
ต้น
- 26. หลอดไฟโฆษณาหรือหลอดนีออน เป็ นหลอดแก้วที่ถกลนไฟแล้วดัดให้
ู
เป็ นรูปหรือตัวอักษร ไม่มไส้หลอดแต่ที่ปลายทังสองข้างจะมีขวไฟฟาทาด้วย
ี ้ ั้ ้
โลหะ ต่อกับแหล่งกาเนิดไฟฟา ที่มความต่างศักย์สงประมาณ 10,000
้ ี ู
โวลต์ ภายในหลอดสูบอากาศออกจนหมดแล้วใส่กาซบางชนิดที่ให้แสงสี
๊
ต่างๆออกมาเมือมีกระแสไฟฟาผ่าน เช่นก๊าซนีออนให้แสงสีแดงหรือส้ม ก๊าซ
่ ้
ฮีเลียมให้แสงสีชมพู ความต่างศักย์ที่สงมากๆ จะทาให้กาซที่บรรจุไว้ใน
ู ๊
หลอดเกิดการแตกตัวเป็ นอิออน และนาไฟฟาได้ เมือกระแสไฟฟาผ่านก๊าซ
้ ่ ้
เหล่านีจะทาให้กาซร้อนติดไฟให้แสงสีตางๆได้
้ ๊ ่
- 27. 1. ใช้หลอดเรืองแสงจะให้แสงสว่างมากกว่าหลอดธรรมดา
ประมาณ 4 เท่า เมือใช้พลังงานไฟฟาเท่ากัน และอายุการใช้งานจะ
่ ้
ทนกว่าประมาณ 8 เท่า
2. ใช้แสงสว่างให้เหมาะกับการใช้งาน ที่ใดต้องการแสงสว่างไม่มากนัก
ควรติดไฟน้อยดวง
3. ทาความสะอาดโปะไฟ จะให้แสงสว่างเต็มที่
๊
4. ปิ ดไฟทุกครั้งที่ไม่จาเป็ นต้องใช้