pantugam1. พันธ ุกรรมและความหลากหลายของสิงมีชีวิต
• พันธ ุกรรม หมายถึง การถ่ายทอดลักษณะต่างๆของสิงมีชวิต ี
จากบรรพบุรษไปสูร่นลูกรุนหลาน หรือการถ่ายทอดลักษณะ
ุ ่ ุ ่
ต่างๆ จากรุ่นหนึงไปสูอีกรุ่นหนึง เรียกอีกอย่างว่า กรรมพันธ์ ุ
่
เช่น ความห่างของคิ(ว ความถนัดซ้าย – ขวา ลักษณะเส้นผม
• พันธุกรรมเหล่านีจะถูกควบคุมโดยหน่วยควบคุมลักษณะที
(
เรียกว่า ยีน ยีนจะมีอยู่เป็ นจํานวนมาก ในเซลล์ทกเซลล์
ุ
3. ลักษณะทีถ่ายทอดทางพันธ ุกรรม
• กรรมพันธุ์ หรือลักษณะต่างๆ ทางพันธุกรรม เป็ นลักษณะที
สามารถถ่ายทอดไปสูร่นต่อๆ ไปได้ โดยผ่านทางเซลล์สืบพันธุ์
่ ุ
ของพ่อและแม่ ซึง * เซลล์สืบพันธุของพ่อ(อสุจิ)
์
* เซลล์สืบพันธุของแม่(ไข่)
์
แต่ลกษณะบางอย่างเกิดขึนภายหลัง เช่น แผลจากอุบตเิ หตุ
ั ( ั
หรือเกิดจากการทําศัลยกรรม
5. ความแปรผันทางพันธ ุกรรม มีอยู่ 2 ลักษณะ คือ
• 1. ความแปรผันลักษณะทางพันธ ุกรรม ทีไม่ต่อเนือง
(discontinuous variation)
เป็ นลักษณะทางพันธุกรรมทีสามารถแยกความแตกต่างได้
อย่างชัดเจนเกิดจากอิทธิพลของกรรมพันธุเ์ พียงอย่างเดียว
เช่น มีลกยิ(ม-ไม่มลกยิ(ม มีตงหู-ไม่มตงหู ห่อลิ(นได้-ห่อลิ(นไม่ได้
ั ี ั ิ ี ิ
ความห่างของคิ(ว ความถนัดซ้าย-ขวา ฯลฯ
7. 2. ความแปรผันทางพันธ ุกรรมแบบต่อเนือง
(continuous variation)
เป็ นลักษณะทางพันธุกรรมทีไม่สามารถแยกความแตกต่างได้
อย่างเด่นชัด เช่น ความสูง นําหนัก โครงร่าง สีผว ซึงเกิดจาก
( ิ
อิทธิพลของกรรมพันธุและสิงแวดล้อมร่วมกัน เช่น ความสูง ถ้า
์
ได้รบสารอาหารถูกต้องตามหลักโภชนาการ และมีการออกกําลัง
ั
กายก็จะทําให้มร่างกายสูงได้
ี
9. โครโมโซมและยีน
• โครโมโซม คือ สารพันธุกรรมในร่างกายของมนุษย์
เป็ นตัวกําหนดลักษณะต่างๆ เช่น สีตา สีผม ลักษณะ
เส้นผม ลักษณะดวงตา ความสูง และควบคุมการ
ทํางานของร่างกาย โครโมโซมจะอยูในเซลล์ทกเซลล์ใน
่ ุ
ร่างกาย ในคนทัวไปแต่ละเซลล์จะมีจานวนโครโมโซม
ํ
อยู่ 23 คู่ หรือ 46 แท่ง
10. จํานวนโครโมโซมของสิงมีชีวิต
ควาย 30 คู่ 60 แท่ง
แมว 19 คู่ 38 แท่ง ไก่ 39 คู่ 78 แท่ง
ส ุนัข 39 คู่ 78 แท่ง ไก่งวง 40 คู่ 80แท่ง
แพะ 30 คู่ 60 แท่ง แมลงหวี 4 คู่ 8แท่ง
ม้า 32 คู่ 64 แท่ง กบ 13 คู่ 26แท่ง
หมู 19 คู่ 38 แท่ง หนู 21 คู่ 42แท่ง
แกะ 27 คู่ 54 แท่ง วัว 30 คู่ 60แท่ง
อ ูฐ 35 คู่ 70 แท่ง คน 23 คู่ 46แท่ง
ค้างคาว 22 คู่ 44 แท่ง ถัวลันเตา 7 คู่ 14แท่ง
สลามันเดอร์ 12 คู่ 24 แท่ง หัวหอม 8 คู่ 16แท่ง
คางคก 18 คู่ 36 แท่ง
12. ลักษณะของโครโมโซม
• โครโมโซมแต่ละโครโมโซมประกอบด้วย
โครมาทิด(chromatid) 2 โครมาทิดทีเหมือนกัน
ซึงเกิดจากการทีโครโมโซมจําลองตัว โครมาทิดทังสองมีสวนทีติดกันอยู่
( ่
เรียกว่า เซนโทรเมียร์ (centromere)
โครโมโซมในเซลล์ร่างกายจะมีรปร่างลักษณะทีเหมือนกันเป็ นคู่
ู
ๆ แต่ละคู่ เรียกว่า ฮอมอโลกัสโครโมโซม (homologous
chromosome)
chromosome
สําหรับลักษณะรูปร่างของโครโมโซมจะแตกต่างกัน
โดยขึนอยูกบ ตําแหน่งของเซนโทรเมียร์หรือโคนีโทคอร์
( ่ ั
(chinetochore) ซึงทําหน้าทีเป็ นแกนหลักสําคัญสําหรับ
การเคลือนไหวของโครโมโซมภายในเซลล์ ขณะทีโครโมโซมเคลือนทีเข้าสู่
ขัวเซลล์ในช่วงระยะการแบ่งเซลล์
(
14. ชนิดของโครโมโซม
• โครโมโซมในร่างกายมนุษย์ แบ่งเป็ น 2 ประเภท คือ
1. ออโตโซม (auto some) เป็ นโครโมโซมทีควบคุม
ลักษณะต่างๆ ของร่างกาย ในเซลล์ของเพศชายและเพศหญิง
จะมีออโตโซมเหมือนกัน มี 22 คู่
(จะมีการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส = 2n)
2. โครโมโซมเพศ (sex chromosome เป็ นโครโมโซม
sex chromosome)
ทีทําหน้าทีควบคุมหรือกําหนดเพศ มีอยู่ 1 คู่ คือคูที 23 (จะมี
่
การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส= n)ได้แก่
โดยในเพศหญิงมีโครโมโซมเพศแบบ XX
และเพศชายมีโครโมโซมเพศแบบ XY
15. การแบ่งเซลล์ไมโทซิส (เซลล์รางกาย)
่
1.ระยะอินเตอร์เฟส คือโครโมโซม มี
ลักษณะคล้ายเส้นใยเรียกว่า เส้นใย โครมา
ทิน
2.ระยะโพรเฟส คือ โครโมโซมหดสันเข้าจึง
6
มองเห็นเส้นโครโมโซมสันลง และมีการสร้าง
6
เส้นใยสปนเดิล
ิ
3.ระยะเมทาเฟสคือโครโมโซมเรียงตัวกัน
กลางเซลล์
4.ระยะแอนาเฟสคือโครมาติดของแต่ละ
โครโมโซมถ ูกดึงแยกจากกัน โดยเส้นใย สปน
ิ
เดิล
5.ระยะเทโลเฟส คือ เกิดการแบ่ง ไซ
โทพลาซึม โดยเยือหมเซล์คอดเข้าหากัน
ุ้
จนกระทังเซลล์แยกจากกัน
16. การแบ่งเซลล์ไมโอซิส (เซลล์สืบพันธ)์ ุ
1.ไมโอซิส 1 คือเซลล์เดิมแบ่งออกเปนเซลล์ใหม่ โดยนิวเคลียสของเซลล์ใหม่
็
จะมีจํานวนโครโมโซมเพียงครึงหนึงของเซลล์เดิม
2.ไมโอซิส 2 คือเปนการแบ่งเซลล์เหมือนกับการแบ่งไมโทซิส หลังจากมีการ
็
แบ่งเซลล์ในชันนี6แล้วจะได้เซลล์ใหม่ 4 เซลล์ และมีจํานวนโครโมโซม
6
เพียงครึงหนึงของเซลล์เดิม
23. การกําเนิดเพศชาย - เพศหญิง
• เซลล์เพศทีถูกสร้างขึนมาแต่ละเซลล์จะมีโครโมโซมเพศเพียงชุดเดียว
(
โดยที
-เซลล์สืบพันธุเ์ พศชาย (สเปิ ร์ม) จะมีเซลล์สืบพันธุ์ ซึงมีโครโมโซม
2 ชนิด คือ 22+X หรือ 22+Y
-เซลล์สืบพันธุของเพศหญิง จะมีโครโมโซมได้เพียงชนิดเดียว คือ
์
22+X ดังนันโอกาสในการเกิด
(
- ทารกเพศหญิง (โครโมโซม 44+XX)
-ทารกเพศชาย (โครโมโซม 44+XY) จึงเท่ากัน ขึนอยู่กบ ( ั
สเปิ ร์มทีเข้าผสมกับไข่จะเป็ นสเปิ ร์มชนิดใด
25. ยีน
• ยีน (Gene) หมายถึง ส่วนของ DNA ทีทําหน้าทีถ่ายทอดลักษณะทาง
พันธุกรรม
• โครโมโซม เป็ นโครงสร้างทีมี DNA และโปรตีนเป็ นองค์ประกอบ
• โครโมโซมจึงเป็ นทีอยูของยีน และในแต่ละโครโมโซมมียีนอีกมากมายมาเรียง
่
ต่อๆ กัน
• ยีนเป็ นส่วนของ DNA ทีสามารถควบคุมการแสดงออกได้ สิงมีชีวิตแต่ละ
ชนิดจะมีจานวนยีนแตกต่างกัน เช่น
ํ
- แบคทีเรีย มียีนประมาณ 4,000 ยีน
- แมลงหวี 20,000 ยีน
-มนุษย์ประมาณ 30,000 กว่ายีน
26. • ดังนัน ยีนจึงเป็ นเอกลักษณ์ของสิงมีชีวิต
(
• ยีนอยูบนโครโมโซมทีมี อยูในเซลล์ของสิงมีชีวิตทีเป็ นยูคาริโอต
่ ่
• ยีนอยูบนโครโมโซมทีมี อยูในเซลล์ของสิงมีชีวิตและอยูบน DNA ของ
่ ่ ่
สิงมีชีวิตทีเป็ นโพรคาริโอต
• เนืองจากยีนเป็ นส่วนหนึงของ DNA ซึงเป็ นองค์ประกอบของโครโมโซม
• ดังนันยีนขึนอยู่บนโครโมโซม
( (
ทอมัส ฮันต์มอร์แกน ได้พบความสัมพันธ์ของกฎและกลไกทาง
พันธุกรรมและได้ทาการวิจยทีระบุวา ตําแหน่งของยีนนันอยู่บนโครโมโซม
ํ ั ่ (
27. ประเภทของยีน
• ยีนทีควบคุมลักษณะบางอย่าง มีอยู่ 2 ชนิด คือ ยีนเด่น และ
ยีนด้อย
• ยีนเด่น (Dominant) คือ ยีนทีสามารถแสดงลักษณะ
นันออกมาได้ แม้มยีนเพียงยีนเดียว เช่น ยีนผมหยิกอยู่คกบ
( ี ู่ ั
ยีนผม เหยียด แต่แสดงลักษณะผมหยิกออกมา แสดงว่า ยีนผม
หยิกเป็ นยีนเด่น เช่น T=ความสูง, R=สีแดง, B=ผิวดํา
• ยีนด้อย (Recessive) คือ ยีนทีสามารถแสดง
ลักษณะให้ปรากฏออกมาได้ก็ตอเมือบนคูของโครโมโซมนัน ปรากฏ
่ ่ (
แต่ยีนด้อย เช่นการแสดงออกของลักษณะผมเหยียด จะต้องมียีน
ผมเหยียดบนโครโมโซมทังคู่ เช่น เตีย=t, ดํา=b, สีขาว=w
( (
28. DNA
• ดีเอ็นเอ (DNA) เป็ นสารพันธุกรรม มีชอเต็มว่า กรดดีออกซีไรโบนิวคลีอิก
ื
(Deoxyribonucleic acid) ซึงเป็ นกรดนิวคลีอิก กรดทีพบในใจกลางของ
เซลล์ทกชนิด
ุ
• ดีเอ็นเอ (DNA)คือการเรียงตัวของนิวคลีโอไทด์ ( Nucleotide ) นิวคลีโอไทด์เป็ น
โมเลกุลทีประกอบด้วย
1.นําตาลเพนโทส ( Deoxyribose Sugar ) คาร์บอน 5 อะตอม
(
2.หมู่
2. ฟอสเฟต ( Phosphate ) (ฟอสฟอรัสและออกซิเจน)
3.ไนโตรเจนเบส (Nitrogenous Base) เบสในนิวคลีโอ
ไทด์มอยู่ 4 ชนิด ได้แก่ อะดีนน (adenine, A), ไทมีน (thymine,T),
ี ี
ไซโทซีน (cytosine,C)และกัวนีน (guanine, G)
29. ขาหรือราวของบันไดสองข้างหรือนิวคลีโอไทด์ถกเชือมด้วยเบส
ู
โดยที A จะเชือมกับ T
และ C จะเชือมกับ G
(ในกรณีของดีเอ็นเอ) และข้อมูลทางพันธุกรรมในสิงมีชวิตชนิดต่างๆ
ี
เกิดขึนจากการเรียงลําดับของเบสในดีเอ็นเอนันเอง
(
• ผูคนพบดีเอ็นเอ คือ ฟรีดริช มีเชอร์ ในปี พ.ศ. 2412 (ค.ศ.
้ ้
1869) แต่ยงไม่ทราบว่ามีโครงสร้างอย่างไร
ั
• จนในปี พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953) เจมส์ ดี. วัตสัน และฟรานซิส
คริก เป็ นผูรวบรวมข้อมูล และสร้างแบบจําลองโครงสร้างของดี
้
เอ็นเอ (DNA Structure Model)จนทําให้ได้รบรางวัลโนเบล
ั
และนันนับเป็ นจุดเริมต้นของยุคเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ
31. สร ุปคือ
• ในเซลล์(นิวเคลียส) โครโมโซม ดีเอ็นเอ ยีน
*ในเซลล์ร่างกายของคน 1 เซลล์ เมือนําดีเอ็นเอทังหมดมาเรียง
(
ต่อกันจะมีความยาวรวมถึง 2.2 เมตร
*ดังนันโครโมโซมแต่ละแท่ง มีความยาวเฉลียเพียง 6 ไมโครเมตร
(
ประกอบด้วยสายดีเอ็นเอทีมีความยาวเฉลียถึง 4.8 เซนติเมตร
หรือ 48, 000 ไมโครเมตรซึงจะต้องบรรจุสายดีเอ็นเอทีมี
ความยาวถึง 8,000 เท่าของโครโมโซม จึงมี
การใช้โปรตีน(ฮีสโทน) มาช่วยในการขดตัว ของสายดีเอ็นเอให้
สันลง
(
35. * ดีเอ็นเอเป็ นส่วนประกอบของโครโมโซม เพราะฉะนันยีนจึงมีตาแหน่งอยู่บนโครโมโซม
( ํ
* ยีนในตําแหน่งเดียวกันบนโฮโมโลกัสโครโมโซมแต่ละคูจะควบคุมลักษณะเดียวกันซึง
่
อาจมีหลาย
รูปแบบ เรียกยีนทีควบคุมลักษณะเดียวกันแต่ให้รปแบบของลักษณะต่างกันว่า แอล
ู
ลีล
* ลักษณะทางพันธุกรรมทีปรากฏจะขึนอยู่กบแอลลีลในแต่ละโครโมโซม เช่น
( ั
ยีนทีควบคุมลักษณะคางบุม มี 2 แบบ คือ N และ n
๋
ดังนัน
(
- แบบของคูยีนทีควบคุมลักษณะคางบุม หรือจีโนไทป์ (ยีนภายใน) ของลักษณะ
่ ๋
คางบุมจึงมีได้ 3 แบบ คือ NN Nn และ nn
๋
- ส่วนลักษณะทีแสดงออก เรียกว่าฟโนไทป์ (ส่วนทีแสดงออก)ในกรณีนมีได้ 2
ี ี(
แบบ คือ ลักษณะคางบุมและลักษณะคางไม่บม
๋ ุ๋
38. • ยีน (Gene) สามารถเป็ นได้ทง (DNA)หรือ (RNA) ก็ได้
ั(
• แต่ในสิงมีชวิตชันสูงนันจะเป็ น DNA หมดเพราะเสถียรมากเหมาะแก่การเก็บ
ี ( (
ข้อมูล ขณะที RNA จะพบในพวกไวรัส
• ยีน (Gene) ทังหมดของสิงมีชวิตหรือเซลล์จะรวมเรียกว่า จีโนม (Genome)
( ี
และโครงสร้างของจีโนม (Genome)ในพวกโพรคารีโอต(ชันตํา=พวกไม่มเี ยือหุม
( ้
เซลล์) และยูคารีโอต(เซลล์สลับซับซ้อน=สัตว์ชนสูง) จะแตกต่างกัน
ั(
• ถ้ายีน (Gene)เกิดผิดไปจากปกติเรียกว่า การกลายพันธ์ ุ (Mutation) ซึง
เกิดเองตามธรรมชาติหรือถูกกระตุนให้เกิดก็ได้ โดยส่วนมากแล้วเมือยีนเกิด
้
ผิดปกติไปจะส่งผลเสียต่อสิงมีชวิตนันมากกว่าผลดี เช่น ในคน สามารถทําให้ป่วย
ิ (
เจ็บไข้ หรือถึงแก่ชวิตได้ โรคทีเกิดจากสาเหตุนเี( รียกว่า โรคทางพันธ ุกรรม
ี
(Genetic Disease) ซึงจะถ่ายทอดไปยังรุ่นต่อไปหรือไม่ก็ได้
39. • บิดาแห่งพันธุศาสตร์ คือ เกรเกอร์ เมนเดล
• เกรเกอร์ เมนเดล (พ.ศ. 2365-พ.ศ. 2427) เกิดทีเมืองไฮน์เซนดรอฟ ออสเตรีย เป็ นบุตรชายคนเดียวใน
จํานวนพีน้อง 3 คน ของชาวนายากจนคนหนึง โดยต่อมา เมนเดลได้ไปบวชแล้วได้รบตําแหน่งรับผิดชอบดูแล
ั
สวน
• ในปี พ.ศ. 2390 เกรเกอร์ เมนเดล เผชิญความผิดหวังนับ 20 ปี ทีเขายังคงสอนหนังสือเพือชดเชยความ
ผิดหวัง เขาทํางานในสวนของวัดทุกเวลาทีว่าง ทีนันมีพนธุพืชมากมาย แต่ละชนิดแตกต่างหลากหลายอย่าง
ั ์
ความแตกต่างนี( ทําให้เกรเกอร์นกสงสัย เขาได้ผสมพันธุถวเดียวกันและต่างพันธุ์ เป็ นจํานวนแตกต่างถึง 22
ึ ์ ั
ชนิดของต้นถัว เพือศึกษาลักษณะทังหมด เป็ นเวลารวม 8 ปี เต็มในการทดลองร่วมพันครัง พบได้ 3 สิง ดังนี(
( (
• สิงแรก เช่น ผสมพันธุถัวเมล็ดสีเหลืองกับเมล็ดสีแดง จะได้ผลิตพันธุเ์ มล็ดสีเหลืองออกมา
์
• สิงที 2 เมือผสมพันธุตางชนิดกันของผลผลิตรุ่นแรกรุ่นต่อไปจะมีเมล็ดทังสองชนิด ต้นทีมีเมล็ดสีเขียวทุกๆ
์ ่ (
ต้นจะมีสามต้นทีมีเมล็ดสีเหลือง (แสดงว่าหน่วยถ่ายพันธุทีผลิตเมล็ดสีเหลืองเป็ นหน่วยถ่ายพันธุที เด่น คือ โด
์ ์
มิแนนท์ยีน หน่วยถ่ายพันธุทีผลิตเมล็ดสีเขียวเรียกว่า รีเซสซีพยีน หรือหน่วยถ่ายพันธุดอย)
์ ์ ้
• สิงทีสาม ค้นพบกฎข้อทีสาม สมมติว่าเขาผสมพันธุถัวทีมีเมล็ดเรียบสีเหลืองกับพันธุถัวทีมีเมล็ดหยาบสีเขียว
์ ์
รุ่นแรกเมล็ดเรียบสีเหลืองจะเป็ นตัวเด่น ในรุ่นต่อไปจะมีอตราส่วนเมล็ดเรียบสีเหลือง 9 ส่วน เมล็ดหยาบสี
ั
เขียว 3ส่วน เมล็ดหยาบสีเหลือง 1 ส่วน เมล็ดหยาบสีเขียว 1 ส่วน
หลังจากนัน เมนเดลได้สงผลการทดลองนีไปยังสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งหนึง แต่กลับไม่มีผทีสนใจเลย เขาเก็บ
( ่ ( ู้
รายงานนีไว้ทีห้องสมุดและทําการทดลองต่อไป จนกระทังถึงแก่กรรม ในปี พ.ศ. 2427
(
•
42. กระบวนการถ่ายทอดลักษณะทางพันธ ุกรรม
• พันธุแท้ เรียกว่า โฮโมไซกัสโครโมโซม(ยีน) เช่น TT,tt
์
• พันธุทาง เรียกว่า เฮเตอโรไซกัสโครโมโซม(ยีน) เช่น Tt
์
พ่อสูง(Tt) แม่เตีย (tt)
(
Tt Tt tt tt
สูง(ทาง) สูง(ทาง) เตีย(แท้) เตีย(แท้)
( (
44. ยีนของหมูเลือด
่
• โดยกําหนดให้เลือด
• เลือดกรุป A เป็ น I
๊ AIA หรือ IAi
• เลือดกรุป B เป็ น I
๊ BIB หรือ IBi
• เลือดกรุป AB เป็ น IAIB
๊
• เลือดกรุป O เป็ น ii
๊
45. • หรือกําหนดให้เลือด
เลือดกรุป A เป็ น AA(แท้) หรือ Ao (ทาง)
๊
เลือดกรุป B เป็ น BB (แท้) หรือ Bo (ทาง)
๊
เลือดกรุป AB เป็ น AB (แท้)
๊
เลือดกรุป O เป็ น oo (แท้)
๊
• ถ้ากําหนดให้
พ่อAA(แท้) แม่ Ao (ทาง)
AA Ao AA Ao
46. • ถ้ากําหนดให้
พ่อAB(แท้) แม่ Bo (ทาง)
AB Ao BB Bo
จะได้หมูเ่ ลือดAB 25%
หมูเ่ ลือด A 25%
หมูเ่ ลือด B 50%
AB: A:B
1 : 1 :2
48. สรุปการให้เลือด
• หมูเ่ ลือด A ให้ได้แต่ A รับได้ A,O
• หมูเ่ ลือด B ให้ได้แต่ B รับได้ B,O
• หมูเ่ ลือด AB ให้ได้แต่ AB รับได้ทกหมู่
ุ
• หมูเ่ ลือด O ให้ได้ทกหมู่ รับได้เฉพาะ O
ุ
49. • แบบฝึ กหัด(กระบวนการถ่ายทอดทางพันธุกรรม)
1. พ่อA(ทาง) และ แม่ AB
2. พ่อA(ทาง) และ แม่ B(ทาง)
3. พ่อtt และ แม่ Tt
4. พ่อWB และ แม่ WB
5. พ่อพันธุหนูตะเภา(Bb)และแม่พนธุของหนูตะเภา(Bb)
์ ั ์
โดยกําหนด B ลักษณะสีดาํ
b ลักษณะสีขาว จะได้ลกสีดาและสีขาวเป็ นเท่าไร
ู ํ
6. การผสมพันธุตนถัวพ่อพันธุ์ (กลม,เหลือง) และ แม่พนธุ์ (ขรุขระ, เขียว)
์ ้ ั
โดย กลม=R ขรุขระ=r เหลือง=Y เขียว=y (หารุ่น หลาน)
50. พ่อพันธุ์ RrYy *แม่พนธุ์ RrYy
ั
RrYy RY Ry rY ry
RY RRYY RRYy RrYY RrYy
Ry RRYy RRyy RrYy Rryy
rY RrYY RrYy rrYY rrYy
ry RrYy Rryy rrYy rryy
51. สรุปคําตอบ
• กลม, เหลือง : 9
• กลม, เขียว : 3
• ขรุ ขระ, เหลือง : 3
• ขรุ ขระ, เขียว : 1
52. • ปั จจัยทีทําให้เกิดมิวเทชัน(การกลายพันธุ)
์
• ตัวกระตุนหรือชักนําให้เกิดมิวเทชัน จะเรียกว่าสิงก่อกลายพันธุ์ (mutagen) เช่น
้
• รังสี (radiation) รังสีทีกระตุนให้เกิดมิวเทชันมี 2 ชนิดคือ
้
– Ionizing Radiation เช่น รังสีบีตา, รังสีแกมมา, รังสีเอกซ์
้
– Non-Ionizing Radiation เช่น รังสีอลตร้าไวโอเลต ุ
• สารเคมี เช่น สารโคลซิซิน (colchicine) มีผลทําให้มการเพิมจํานวนชุดของ
ี
โครโมโซม ผลดังกล่าวนีทาให้ผลผลิตพืชเพิมขึน สารไดคลอวอส (dichlovos) ที
( ํ (
ใช้กาจัดแมลงและพาราควอต (paraquat) ทีใช้กาจัดวัชพืช ก็สามารถทําให้เกิด
ํ ํ
การผิดปกติของโครโมโซมในคนและสัตว์ได้ สิงก่อกลายพันธุหรือมิวทาเจนหลายชนิด
์
เป็ นสารก่อมะเร็ง (carcinogen) เช่น สารอะฟลาทอกซิน (aflatoxins)
จากเชือราบางชนิดทําให้เกิดมะเร็งทีตับ
(
• การจัดเรียงเบสในกระบวนการสังเคราะห์ดเี อ็นเอผิดพลาด มีผลทําให้เกิดการเพิม
หรือลดจํานวนเบสในคูสาย และทําให้เกิดการเลือนของสายDNA
่
53. • ประเภทของมิวเทชัน มิวเทชันเกิดกับเซลล์ 2 ลักษณะ คือ
• เซลล์ร่างกาย (Somatic cell) เซลล์ชนิดนีเ( มือเกิดมิวเทชัน
แล้ว จะไม่ถ่ายทอดไปยังรุนต่อไป
่
• เซลล์สืบพันธุ์ (Sex cell) เซลล์เหล่านีเ( มือเกิดมิวเทชันแล้ว
จะถ่ายทอดไปยังรุ่นต่อไปได้ ซึงมีผลต่อการเปลียนแปลงสปี ชีส์
ของสิงมีชวิตมากทีสุด และส่งผลต่อวิวฒนาการของ
ี ั
สิงมีชวิตด้วย
ี
56. โรคทางพันธ ุกรรมมาจากการผิดปกติของ
โครโมโซมร่างกายและโครโมโซมเพศ
1. ความผิดปกติของโครโมโซมร่างกาย เช่น กลุมอาการดาวน์
่
กลมอาการดาวน์ โรคนีจะมีโครโมโซมจํานวน 47 แท่งโดยมีโครโมโซมคูที 21
ุ่ ( ่
เกินมา 1 แท่งถือเป็ นความผิดปกติทางกรรมพันธุทีพบได้บอยทีสุด
์ ่
อัตราส่วน 1:800 ของทารกแรกเกิด พบในทุกเชือชาติ สามารถเกิดได้กบ
( ั
ทุกๆ คน
เด็กจะมีลกษณะทีเฉพาะ เช่น ใบหน้ามักจะกลม ศีรษะค่อนข้างเล็กและท้ายทอย
ั
แบน ดังจมูกแบน หางตาเฉียงขึนบน นิวมือและนิวเท้ามักจะสัน กล้ามเนือที
( ( ( ( ( (
อ่อนนิม มีพฒนาการและการเจริญเติบโตทีล่าช้า ซึงความรุนแรงจะมาก
ั
น้อยแตกต่างกัน ในแต่ละคน พบความผิดปกติทางร่างกายของระบบต่างๆ
ร่วมด้วย เช่น โรคหัวใจพิการแต่กาเนิด ภาวะต่อมธัยรอยด์บกพร่อง
ํ
ปั ญหาด้านการได้ยินและด้านสายตา
59. • กลมอาการ คริด ูชาต์ (Cri-du-chat
ุ่ syndrome หรือ
Cat-cry syndrome)
เป็ นความผิดปกติของโครโมโซมคูที 5 ผิดปกติไป 1
่
โครโมโซม โดยมีสวนหนึงของโครโมโซมขาดหายไปทําให้มแขน
่ ี
ข้างสันของโครโมโซมสันกว่าปกติ พบในเด็กหญิงมากกว่า
( (
เด็กชาย
ลักษณะของผูป่วย คือ มีปัญญาอ่อนศีรษะเล็กกว่าปกติ
้
การเจริญเติบโตช้าหน้ากลม ใบหูอยู่ตากว่าปกติและมีเสียงร้อง
ํ
แหลมคล้ายเสียงแมวร้อง
61. • กลมอาการเอ็ดเวิรด (Edward's syndrome) เกิดจาก
ุ่ ์
ความผิดปกติของออโทโซมโดยคูที 18 เกินมา 1 โครโมโซม
่
• ลักษณะทีปรากฏ จะมีลกษณะหัวเล็ก หน้าผากแบน คางเว้า
ั
หูผดปกติ ตาเล็ก นิวมือบิดงอ และกําเข้าหากันแน่น หัวใจ
ิ (
พิการ ปอดและระบบย่อยอาหารผิดปกติ มีลกษณะปั ญญา
ั
อ่อนร่วมอยูดวย ผูทีป่ วยเป็ นโรคนีมกจะเสียชีวิตก่อนอายุ 1
่ ้ ้ ( ั
ขวบ
63. • กลมอาการพาเทา (Patau's syndrome)
ุ่
เกิดจากความผิดปกติของออโทโซมคูที 13 เกินมา
่
1 โครโมโซม
ลักษณะทีปรากฏจะพบว่ามีอาการปั ญญาอ่อน ปากแหว่ง
เพดานโหว่ หูหนวก นิวเกิน ตาอาจพิการ หรือตาบอด
(
ส่วนใหญ่อายุสนมาก
ั(
65. 2. ความผิดปกติของโครโมโซมเพศกลม(X)
ุ่
2.1กลมอาการเทอร์เนอร์ (Turner's syndrome)
ุ่
โครโมโซม X ขาดหายไป 1 โครโมโซม ทําให้เหลือโครโมโซม X
เพียงแท่งเดียว และเหลือโครโมโซมในเซลล์ร่างกาย 45 แท่ง พบ
ได้ในเพศหญิงเป็ นแบบ 44+XO
66. ลักษณะของโครโมโซมและคนทีผิดปกติ(เทอร์เนอร์ )
•ลักษณะของผูปวย คือ
้่
•ตัวเตีย คอมีพงพืดกางเป็ นปี ก
( ั
• แนวผมท้ายทอยอยู่ตา ํ
•หน้าอกกว้าง หัวนมเล็กและอยู่ห่างกัน
•ใบหูใหญ่อยู่ตามีรปร่างผิดปกติ
ํ ู
•แขนคอก รังไข่ไม่เจริญ
•ไม่มประจําเดือน เป็ นหมัน
ี
•มีอายุยืนยาวเท่าๆ กับคนปกติทวๆ ไป
ั
67. 2.2 ซ ูเปอร์ฟเมล (Super female) โครโมโซม
ี
เพศ เป็ น XXX หรือ XXXX จึงทําให้โครโมโซมใน
เซลล์ร่างกายเป็ น 47 โครโมโซม หรือ 48 โครโมโซม
ดังนันโครโมโซมจึงเป็ นแบบ 44+XXX หรือ
(
44+XXXX
ลักษณะของผูปวย ในเพศหญิงทัวไปดูปกติ สติปัญญาตํา
้่
กว่าระดับปกติ ลูกทีเกิดมาจากแม่ทีมีโครโมโซมแบบนีอาจมี
(
ความผิดปกติเช่นเดียวกับแม่
68. 2.3 กลมอาการไคลน์เฟลเตอร์ (Klinefelter's
ุ่
syndrome) ในเพศชาย โครโมโซมเพศเป็ น XXY หรือ
XXXY จึงทําให้มโี ครโมโซมในเซลล์ร่างกายเป็ น 47
โครโมโซม หรือ 48 โครโมโซม ดังนันโครโมโซมจึงเป็ นแบบ
(
44+XXY หรือ 44+XXXY
70. 2.ความผิดปกติทีเกิดกับโครโมโซมเพศ กลม Y
ุ่
• ซ ูเปอร์เมน (Super men) ความผิดปกติทีเกิดกับโครโมโซม
Y โดยมีโครโมโซม Y เกินมาจากปกติ โครโมโซมเพศ จึงเป็ น
แบบ XYY จึงทําให้โครโมโซมในเซลล์ร่างกายเป็ น 47
โครโมโซมเป็ นแบบ 44+XYY
72. โรคความผิดปกติทางพันธ ุกรรมได้แก่
• # โรคซีสติกไฟโบรซีส (Cystic fibrosis) เป็ นความผิดปกติที
ทําให้ร่างกายสร้างเยือเมือกทีหนามากผิดปกติในปอดและลําไส้ ผูทีเป็ นโรค
้
นีจะหายใจลําบากเพราะปอดเต็มไปด้วยเยือเมือกหนาและอาจทําให้ปอดติด
(
เชือเป็ นอันตรายจากแบคทีเรียทีเจริญเติบโตในเยือเมือกนัน ถ้าเยือเมือก
( (
หนาในลําไส้ทาให้ยอยอาหารได้ยากลําบาก
ํ ่
สาเหตุ คือ การผ่าเหล่าในอัลลีลลักษณะด้อย อัลลีลทีก่อให้เกิดโรคนีพบ(
มาก ในหมูคนทีมาจากยุโรปตอนเหนือ
่
• ปั จจุบนยังไม่มีทางใดทีจะรักษาโรคซีสติกไฟโบรซีสให้หายขาดได้ มีเพียง
ั
การบรรเทาโดยการใช้ยาเพือปองกันการติดเชือจากการทํากายภาพบําบัด
้ (
เพือสลายเยือเมือกในปอด
73. • โรคซิกเกิลเซลล์ (Sickle-cell) เป็ นความผิดปกติทางพันธุกรรม
ทีเกิดขึนกับเลือด ความผิดปกตินเี( กิดจากการผ่าเหล่าทีส่งผลกระทบต่อ
(
การสังเคราะห์เฮโมโกลบิน ซึงเป็ นโปรตีนสําคัญทีทําหน้าทีนําออกซิเจน
ภายในเซลล์เม็ดเลือดแดง
• คนทีเป็ นโรคซิกเกิลเซลล์จะสร้างเฮโมโกลบินให้มรปร่างผิดปกติ เมือ
ี ู
ความเข้มข้นของออกซิเจนตํา เซลล์เม็ดเลือดแดงจะมีรปร่างผิดปกติเป็ น
ู
รูปเคียว ดังรูป
74. • เมือเซลล์เม็ดเลือดแดงมีรปร่างแบบรูปเคียวจะไม่สามารถลําเลียง
ู
ออกซิเจนได้มากเท่ากับเซลล์เม็ดเลือดแดง ซึงมีรปร่างปกติ การที
ู
รูปร่างผิดปกติจะทําให้หลอดเลือดเกิดการอุดตัน คนทีเป็ นโรคนีตอง
( ้
ทุกข์ทรมานมากกับการขาดออกซิเจนในเลือด และอ่อนเพลียไม่คอยมี ่
แรง
• ปั จจุบนยังไม่มีวิธีใดทีจะรักษาโรคซิกเกิลเซลล์ได้ บุคคลทีเป็ นโรคนีจะ
ั (
ได้รบยาเพือช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดและปองกันการอุดตันของ
ั ้
หลอดเลือดเท่านัน (
75. • # โรคฮีโมฟเลีย (Hemophilia) คือ โรคทีเกิดจาก
ิ
ความผิดปกติทางพันธุกรรม ทําให้เลือดแข็งตัวได้ชามาก้
หรือไม่แข็งตัวเลย เพราะคนทีเป็ นโรคนีไ( ม่สามารถสร้างโปรตีน
ชนิดทีจําเป็ นต่อการแข็งตัวของเลือดตามปกติได้
• คนทีเป็ นโรคนีถามีบาดแผลเลือดจะไหลไม่หยุดจะตายได้
( ้
นอกจากนีการกระทบกระแทกเพียงเล็กน้อยก็อาจทําให้เกิด
(
การฟกชําและมีอนตรายสูงจากการมีเลือดไหลภายในได้
( ั
• โรคฮีโมฟิ เลียเป็ นความผิดปกติเกียวเนืองกับเพศ ทําให้ผชาย
ู้
เป็ นโรคนีมากกว่าผูหญิง
( ้
77. โรคตาบอดสี
• สาเหตุของตาบอดสีทีเป็ นมาแต่กาเนิด ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
ํ
โดยโครโมโซม X ทําให้เพศชายถ้ามีหน่วยพันธุกรรม X ทีทําให้
เกิดตาบอดสี ก็จะแสดงอาการของตาบอดสีออกมา ในขณะทีเพศ
หญิงถ้าหน่วย X นีผดปกติเพียงหนึงหน่วย ก็ยงสามารถมองเห็น
( ิ ั
ได้ปกติเห็นปกติได้ ถ้าหน่วย X อีกตัวหนึงไม่ทาให้เกิด ตาบอดสี
ํ
79. โรคเบาหวาน
• 1 ปัจจัยเสียงต่อการเกิดโรคเบาหวาน มีอยู่ 2 อย่าง คือ ปั จจัย
ทางด้านพันธุกรรม และปั จจัยทางสิงแวดล้อม
• 1.1 ปัจจัยทางพันธ ุกรรม ขณะนียงไม่พบความผิดปกติของยีนตัวใด
( ั
ตัวหนึงทีจะอธิบายการเกิดโรคเบาหวานได้ในผูป่วยทุกราย
้
• ปั จจัยทางพันธุกรรมทีมีการค้นพบในปั จจุบน คือ ั
• การมี mutation ของ insulin พบว่าเป็ นสาเหตุของ โรคเบาหวาน
ในผูป่วยเพียงส่วนน้อยเท่านัน
้ (
• ส่วน mutation ของยีนอืน ก็มในผูป่วยบางเชือชาติเท่านัน และไม่ใช่
ี ้ ( (
สาเหตุสาคัญในผูป่วยส่วนใหญ่
ํ ้
• ในปั จจุบนจึงยังไม่อาจชี(ชดถึงยีนทีทําให้เกิดโรคเบาหวานได้ อาจเป็ นไปได้
ั ั
ว่าผูป่วย มีความผิดปกติของยีนหลายๆ ตัว ทีเกียวข้องกับการนํานําตาล
้ (
ไปใช้ให้เกิดพลังงาน
80. • 1.2 ปัจจัยทีเกียวข้องกับสิงแวดล้อม พบว่า มีปัจจัยทีเกียวข้องกับ
สิงแวดล้อมบางอย่างทีอาจเพิมอัตราเสียงต่อการเกิดโรคเบาหวานได้
• ปั จจัยเหล่านี( ได้แก่ ความอ้วน โดยเฉพาะ upper body
obesity, การขาดการออกกําลังกาย,การเปลียนแปลงวิถีการ
ดําเนินชีวิต โดยเฉพาะ การบริโภคอาหารประเภทไขมันในปริมาณสูง
81. โรคธาลัสซีเมีย
โรคธาลัสซีเมีย เกิดจากความผิดปกติของการสังเคราะห์
เฮโมโกลบินทีเกิดจากความเปลียนแปลงในอัตราการสร้างสาย
โปรตีนโกลบิน การทีมีอตราการสร้างสายโกลบินชนิดหนึงๆ
ั
หรือหลายชนิดลดลงจะรบกวนการสร้างเฮโมโกลบินและทําให้
เกิดความไม่สมดุลในการสร้างสายโกลบินปกติอืน
**แบ่งออกเป็ น 2 กลุมใหญ่ ได้แก่ แอลฟาธาลัสซีเมีย และ
่
เบต้าธาลัสซีเมีย
• แอลฟาธาลัสซีเมีย เป็ นยีนด้อยทีอยูบนโครโมโซมคูที 16
่ ่
• เบต้าธาลัสซีเมีย เป็ นยีนด้อยทีอยู่บนโครโมโซมคูที 11
่
85. เทคโนโลยีชีวภาพ ( Biotechnology)
• เทคโนโลยีชีวภาพ ( Biotechnology) คือ การใช้ความรู้
เกียวกับสิงมีชีวิตและผลิตผลของสิงมีชีวิตให้เป็ นประโยชน์กบมนุษย์
ั
ได้แก่
• ผงซักฟอกชนิดใหม่ทีมีเอนไซม์
• การทําปุ๋ ยไว้ใช้เองจากวัสดุเกษตรเหลือทิ(ง เช่น ฟางข้าว มูลสัตว์
• การขจัดปั ญหาสิงแวดล้อมเสือมโทรม เช่น ปั ญหานําทิ(งจากโรงงาน
(
อุสาหกรรม โดยการนํานําเสียไปใช้ประโยชน์แทนทีจะปล่อยทิ(งให้เน่าเหม็น
(
• รวมทังการถ่ายฝากตัวอ่อนสัตว์เพือให้ได้สตว์พนธุดไว้ใช้ดวยต้นทุนทีตํา
( ั ั ์ ี ้
กว่าเดิม
86. เทคนิคทางพันธ ุวิศวกรรม ( Genetic engineering)
• เทคนิคทางพันธ ุวิศวกรรม ( Genetic engineering) เป็ นการนํายีน
หรือ ดี เอ็น เอ จากสิงมีชวิตต่างชนิดมาต่อเข้าด้วยกัน เพือให้แสดงลักษณะทาง
ี
พันธุกรรมทีต้องการออกมา ซึงมีวิธีการ ดังนี(
1. สกัด ดีเอ็นเอ ทีต้องการออกจากเซลล์ของสิงมีชวิต ี
2. ตัด ดีเอ็นเอ ทีไม่ตองการออกโดยใช้เอ็นไซม์ตดเฉพาะ (restriction
้ ั
enzyme) คุณสมบัตตดสายดีเอ็นเอ ซึงเอ็นไซม์นนมีความจําเพาะต่อลําดับของเบสใน
ิ ั ั(
สาย ดีเอ็นเอ
3. เชือมต่อ ดีเอ็นเอ ทีตัดเข้ากับ ดีเอ็นเอ พาหะ (DNA vector) ซึงมีปลายสาย
ทีต่อเชือมมีลาดับเบสเข้า คูกนได้ เพือทําให้เกิด ดีเอ็นเอ สายผสม โดยใช้เอ็นไซม์ดี เอ็น
ํ ่ ั
เอไลเกส (DNA ligase)
4. เพิมจํานวนดีเอ็นเอทีต้องการ โดยการนําชินส่วนดีเอ็นเอทีตัดต่อแล้ว ใส่เข้าไป
(
ในเซลล์ของสิงมีชวิต (host cell) ซึงส่วนใหญ่จะเป็ นจุลินทรีย์ เช่น แบคทีเรีย เมือเพิม
ี
จํานวนเซลล์ให้มากขึนก็จะแสดงลักษณะทาง พันธุกรรมออกมาได้
(
5. คัดเลือกหาเซลล์ของสิงมีชวิตทีจะได้รบดีเอ็นเอสายผสม ซึงจะแสดงออกมาโดย
ี ั
วิธีการตรวจสอบหาการสอดใส่ยีนทีต้องการในดีเอ็นเอพาหะ และมีสมบัตตามที ิ
ต้องการไปผสมพันธุกน ์ ั
89. การดัดแปลงทางพันธ ุกรรม
• สิงมีชวิตทีได้รบการดัดแปลงพันธุกรรมโดยใช้เทคนิควิธีพนธุวิศวกรรมว่า
ี ั ั
สิงมีชวิตจีเอ็มโอ ซึงคําว่าจีเอ็มโอ (GMOs)มาจากคําว่า
ี
Genetically Modified Organisms
• สําหรับสิงมีชวิตทีได้รบการดัดแปลงพันธุกรรมอาจเป็ นจุลินทรีย์ พืช หรือสัตว์ก็ได้
ี ั
ถ้ามีการนําสิงมีชวิตดัดแปลงพันธุกรรมเหล่านีมาใช้ในขณะทียังมีชวิต อาจเรียกอีก
ี ( ี
อย่างได้ว่า แอลเอ็มโอ (LMOs) ซึงย่อมาจากคําว่า
Living Modified Organisms
• อย่างไรก็ตามการดัดแปลงพันธุกรรมโดยการใช้วิธีทางพันธุวิศวกรรมในสิงมีชวิตก็
ี
ยังมีขอกําจัด เช่น
้
*ลักษณะบางอย่างของพืชถูกควบคุมด้วยยีนหลายตัวทีมีความแตกต่างกัน
*สัตว์ไม่สามารถงอกใหม่
*ชินส่วนเพียงส่วนเดียวของร่างกายต้องใช้เวลานานในการเจริญเติบโต
(
91. ประโยชน์ของเทคโนโลยีชีวภาพ
• การทําเด็กหลอดแก้ว เป็ นวิธีการรักษาผูมบตรยากทีเก่าแก่และทํากัน
้ ี ุ
มากทีสุดในโลก
• สําเร็จครังแรกในโลกเมือปี ค.ศ. 1978 ทีประเทศอังกฤษ
(
• หลักการของเด็กหลอดแก้ว คือ การนําไข่และตัวสเปอร์มออกมาพบกัน
เพือเกิดการปฏิสนธิภายนอกร่างกาย
ทําไมต้องปฏิสนธินอกร่างกาย ก็เพราะมีความผิดปกติบางอย่าง
ทีขัดขวางหรือไม่เหมาะสมต่อการปฏิสนธิกน แบบธรรมชาติภายใน
ั
ร่างกาย เช่น ท่อนําไข่อดตัน หรือถูกตัดไป เยือบุโพรงมดลูกอยูผดที
ุ ่ ิ
พังผืดในอุงเชิงกราน เชืออสุจินอย หรือไม่แข็งแรง ในรายทีหาสาเหตุไม่
้ ( ้
พบ
92. • ขันตอนการทําเด็กหลอดแก้ว
6
1. ให้ยาฮอร์โมน เพือกระตุนให้ไข่สกหลาย ๆ ฟอง
้ ุ
2. ตรวจสอบและควบคุมการตอบสนองของรังไข่ให้เหมาะสม เพือ
ปรับขนาดยาให้ถกต้อง
ู
3. ดูดเก็บไข่ ซึงใช้เวลา 10 - 30 นาที โดยใช้ยาชาหรือยาระงับ
ความรูสึก
้
4. เก็บคัดเชืออสุจิในวันเดียวกับทีดูดเก็บไข่
(
5. ทําการปฏิสนธิของไข่กบสเปริมในห้องปฏิบตการ นาน
ั ั ิ
ประมาณ 48 - 72 ชัวโมง
6.
6 การย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสูโ่ พรงมดลูกเพือรอการฝังตัว
7. ตรวจสอบผลการตังครรภ์ ประมาณ 10-14 วัน หลังการใส่
(
ตัวอ่อน
หล ุยส์บราวน์ เด็กหลอดแก้วคนแรก
93. • การทํากิฟต์ การนําเซลล์สืบพันธุไ์ ปใส่ไว้ทีท่อนําไข่ หรือทีรูจกแพร่หลาย
้ั
โดยทัวไปว่า กิฟต์ (GIFT) หมายถึง การนําเอาไข่และตัวอสุจิไปใส่ไว้ทีท่อนําไข่
เพือให้เกิดการปฏิสนธิหรือรวมตัวกันตามธรรมชาติ
(เป็ นวิธีการทีสิ(นเปลืองค่าใช้จายและเวลาต่างๆ มาก นอกจากนัน ยังอาจเกิด
่ (
ภาวะแทรกซ้อนระหว่างการรักษาได้อีกด้วย)
หลักการทํากิฟต์ คือนําไข่และอสุจิมารวมกัน และฉีดเข้าท่อนําไข่โดยผ่านทาง
ปลายของท่อให้มการปฏิสนธิ การแบ่งตัวของตัวอ่อนและการฝังตัวเกิดขึนเองตาม
ี (
ธรรมชาติ
ขันตอนใหญ่ๆ ของการทํากิฟท์ แบ่งออกเป็น 3 ขันตอน ดังนี(
6 6
1. การนําไข่ออกมาจากรังไข่
2. การเตรียมอสุจิ
3. การนําไข่และอสุจิมาใส่ไว้ทีท่อนําไข่
ภาพการฉีดอส ุจิทีท่อรังไข่
94. • การผสมเทียมแบบไฮเทค (Intracytoplasmic
Sperm Injection) เป็ นเทคโนโลยีชวภาพทีพัฒนามาจาก
ี
การผสมในหลอดแก้ว โดยการนําอสุจิเพียงเซลล์เดียวฉีดเข้าไป
ในชัน ไซโตพลาสซึมของเซลไข่ ซึงวิธีนมโี อกาสสําเร็จ 68%
( ี(
ภาพการฉีดอส ุจิเข้าในชันไซโทพลาซึม
6
95. • การโคลน หมายถึงการสร้างสิงมีชวิตขึนมาใหม่ โดยไม่ได้อาศัย
ี (
การปฏิสนธิของเซลล์สืบพันธุเ์ พศผู้ คือสเปิ ร์ม กับเซลล์สืบพันธุ์
เพศเมีย คือไข่ ซึงเป็ นการสืบพันธุตามปกติ แต่ใช้เซลล์ร่างกาย
์
(Somatic cell) ในการสร้างสิงมีชวิตขึนมาใหม่
ี (
97. • การโคลนในพืชหรือการเพาะเลี6ยงเนื6อเยือพืช คือ
• การนําเอาเซลล์หรือเนือเยือหรืออวัยวะบางส่วนของพืช เช่น ยอด ลําต้น
(
ใบ ราก ส่วนต่าง ๆ ของดอกหรือส่วนของผล มาเลี(ยงบนอาหาร
สังเคราะห์ ซึงมีทงอาหารกึงแข็งและอาหารเหลวในสภาพทีปลอดเชือ
ั( (
• ประโยชน์ คือ
• นําไปใช้ทางด้านปรับปรุงพันธุ์
• คัดเลือกพันธุพืชให้ได้พืชทีทนต่อโรค แมลง ยากําจัดวัชพืชหรือทนต่อ
์
ดินเค็ม
• การขยายพันธุพืชให้ได้ประมาณมากในระยะเวลาอันรวดเร็ว
์
• ไม่กลายพันธุ์ การเก็บรักษาพันธุพืช และประหยัดเวลาแรงงาน
์
งบประมาณ
98. • ขันตอนการเพาะเลี6ยงเนื6อเยือพืช ดังนี(
6
1.เพาะเลี(ยงเพือกระตุนให้ชนพืชเกิดยอดใหม่
้ ิ(
2.เพาะเลี(ยงเพือกระตุนให้เกิดราก
้
3.เพาะเลี(ยงเพือกระตุนให้ชนพืชจํานวนมาก
้ ิ(
4.เก็บรักษาเนือเยือไว้ทีห้องทีควบคุมอุณหภูมิ 24 องศาเซลเซียส มี
(
ความเข้มแสง 2,000 ลักซ์ และให้แสงนาน 14 ชม./วัน
5.ย้ายปลูกและปรับสภาพต้นในวัสดุปลูกทีเป็ นขีเ( ถ้าแกลบ และเก็บรักษา
ไว้ในห้องทีควบคุมอุณหภูมิ 24 องศาเซลเซียส
6. ย้ายปลูกลงถุงดําทีมีวสดุเพาะ
ั