More Related Content
More from jeerasak1210 (20)
Project1
- 1. 1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 5- 6
ปีการศึกษา 2561
ชื่อโครงงาน โรคโนโมโฟเบีย (Nomophobia)
ชื่อผู้ทาโครงงาน
นางสาวกนกพิชญ์ ไชยคาวัง เลขที่ 15 ชั้นมัธยมศึกษา 6 ห้อง 7
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2561
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
- 2. 2
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
นางสาวกนกพิชญ์ ไชยคาวัง เลขที่ 15 ม.6/7
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
โรคโนโมโฟเบีย
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
Nomophobia
ประเภทโครงงาน โครงงานที่เป็นการศึกษาทฤษฎี หลักการ
ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาวกนกพิชญ์ ไชยคาวัง
ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 2
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน (อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน) ใน
ปัจจุบันนั้นคนส่วนใหญ่มีมือถือพกติดตัวกันทุกคน ถือว่าเป็นปัจจัยที่5 ของมนุษย์กันเลยทีเดียว บ้างก็ใช้
ติดต่อทางไกล ทางใกล้ บ้างก็ใช้ทางาน บ้างก็ใช้เพื่อความบันเทิง บ้างก็ใช้เพื่อค้นคว้าข้อมูล และบ้างก็
ธุรกิจ ซึ่งในทุก เวลาต้องก้มหน้าใช้มือถือเสมอ จนกลายเป็นการเสพติด ขาดไม่ได้ และนาไปสู่โรคที่ชื่อว่า
“โรคโนโมโฟเบีย” โนโมโฟเบีย (Nomophobia) มาจากคาว่า "no mobile phone phobia" เป็นศัพท์
ที่หน่วยงายวิจัยทาง การตลาดขนาดใหญ่ (YouGov) บัญญัติขึ้นเมื่อปี 2010 เพื่อใช้เรียกอาการที่เกิด
จากความหวาดกลัว วิตกกังวลเมื่อ ขาดโทรศัพท์มือถือเพื่อติดต่อสื่อสาร และอาการนี้กาลังถูกเสนอ
จัดเป็นโรคจิตเวชประเภทหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มวิตกกังวล ทั้งนี้ ถ้าเราอยู่ในที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มี
สัญญาณอินเทอร์เน็ต หรืออยู่ๆ แบตเตอรี่โทรศัพท์กลับหมด แล้วเรา รู้สึกหงุดหงิด กระวนกระวาย
แสดงว่าเข้าข่ายอาการโนโมโฟเบีย ถ้าบางคนเป็นมากๆ อาจมีอาการเครียด ตัวสั่น เหงื่อออก คลื่นไส้
ซึ่งอาการจะหนักเบาขนาดไหนขึ้นอยู่กับแต่ละคน ผู้จัดทาจึงต้องการจะศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด
เกี่ยวกับโรคโนโมโฟเบีย แล้วนามาสารวจในกลุ่มนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่6/7 โรงเรียนยุพราช
วิทยาลัย
- 3. 3
วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ)
1. เพื่อศึกษาเกี่ยวกับโรคโนโมโฟเบีย
2. เพื่อศึกษาพฤติกรรมของคนที่เป็นโรคโนโมโฟเบีย
3. เพื่อศึกษาแนวทางการรักษาโรคโนโมโฟเบีย
4. เพื่อสารวจผู้ที่เป็นโรคโนโมโฟเบียในขอบเขตที่กาหนดไว้
ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน)
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/7 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย
หลักการและทฤษฎี (ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน)
งานวิจัยที่เป็นที่มาของโรคนี้ได้ทาการศึกษาผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ 2,163 คนในสหราชอาณาจักร
และพบว่า 53% ของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในสหราชอาณาจักรจะเกิดอาการวิตกกังวลเมื่อพบว่าโทรศัพท์
หาย แบตเตอรี่หมด หรือ อยู่ในสถานที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ อีกทั้งยังพบว่า 58% ของผู้ชาย และ
47% ของผู้หญิงที่ใช้โทรศัพท์มือถือมี อาการของ nomophobia และในจานวนนี้มีถึง 9% ของกลุ่มที่
ศึกษา ระบุว่ารู้สึกเครียดมากถ้าโทรศัพท์ของตนเองใช้ การไม่ได้ และเมื่อให้ผู้ที่ถูกสัมภาษณ์ระบุถึงระดับ
ของ ความเครียดจากการขาดโทรศัพท์มือถือนั้น ความเครียดที่ เกิดขึ้นเทียบเท่ากับความเครียดที่เกิดขึ้น
ก่อนวันแต่งงานหรือความเครียดระดับเดียวกับการไปพบทันตแพทย์เลย ทีเดียว อีกการศึกษาหนึ่งที่ทา
ในนักศึกษาวิทยาศาสตร์สุขภาพเพศชาย 547 คน พบว่า 23% มีพฤติกรรมอยู่ในเกณฑ์ ที่จะถูกวินิจฉัย
ได้ว่าเป็น nomophobia และมีอีก 64% ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการนี้ และที่น่าสนใจก็คือ 77%
ของเด็กในกลุ่มที่ถูกทาการวิจัยเช็คโทรศัพท์มือถือของตนเองบ่อยมากโดยเฉลี่ย 35 ครั้งต่อวันเลยทีเดียว
จากงานวิจัย ที่ทาพบว่า โนโมโฟเบียพบ มากที่สุดในกลุ่มคนในช่วงอายุ 18-24 ปี โดยคิดเป็นร้อยละ 77
รองลงมาคือกลุ่มคน ในช่วงอายุ 25-34 ปี และกลุ่มที่มีอายุมากกว่า 55 ปีตามลาดับ การสารวจ
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของครัวเรือนไทยว่าในช่วงปี 2546-2549 ว่า การใช้โทรศัพท์มือถือ
ของคนไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ระหว่างปี 2546-2549 โดยในปี 2549
จานวนคนไทยใช้โทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้นจากปี 2546 เกือบเท่าตัว คือ จากประชากร 100 คน มี
โทรศัพท์มือถือ ใช้ 23 คนใน ปี 2546 เพิ่มขึ้นเป็น 42 คนในปี 2549 โดยกลุ่มวัยรุ่น มีสัดส่วนผู้ใช้
โทรศัพท์เพิ่มขึ้นประมาณเท่าตัว ซึ่งมากกว่าทุก กลุ่มอายุ วัยรุ่นไทยมีและใช้โทรศัพท์มือถือเป็นอันดับ 1
ของเอเชีย และทาสถิติพูดคุยผ่านโทรศัพท์มือถือนานถึง 1.7 ชั่วโมงต่อวัน