เทคนิคการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย

1. เทคนิคการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ
ที่ใช้ในงานวิจัย I

2. การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย
การตรวจสอบ
เครื่องมือวิจัย
ความเที่ยง
แบบสอบถาม แบบทดสอบ
ความตรง
ตรงพยากรณ์
ตรงโครงสร้าง
ความเป็นปรนัย
สัมประสิทธิ์อัลฟ่า ยาก
เชื่อมั่น
ตรงเนื้อหา
I O C
อานาจจาแนก
(รศ. ดร. บุญใจ ศรีสถิตย์นรากูล, 2555)

3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ก่อนที่จะนาไปใช้เก็บข้อมูลจริง จะต้องผ่านการตรวจหา
คุณภาพก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าเป็น เครื่องมือที่มีคุณภาพ สามารถวัดในสิ่งที่ต้องการจะวัด
ได้ คุณภาพของเครื่องมือมี 5 องค์ประกอบ :
1. ความยากง่าย (Difficulty)
2. อานาจจาแนก (Discrimination)
3. ความเป็นปรนัย (Objectivity)
4. ความเที่ยงตรง (Validity)
5. ความเชื่อมั่น (Reliability)
การหาคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บ
รวบรวมข้อมูล
แบบสอบถาม แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์
แบบทดสอบ เครื่องมือวัดต่าง ๆ

4. 1.ความยากง่าย (Difficulty)
ระดับความยากง่ายของข้อสอบ
หากผู้เรียนทาได้มาก แสดงว่าง่าย
หากผู้เรียนทาได้น้อย แสดงว่ายาก
ค่า P ที่ใช้ได้ก็คือ .20 - .80 ค่า P ที่เหมาะสม คือ .50 สูตรที่ใช้คือ
P = ความยากง่าย
R = จานวนผู้เรียนที่ตอบคาถามข้อนั้นถูกต้อง
N = จานวนผู้เรียนทั้งหมด
N
R
P =

5. 2.การหาค่าอานาจจาแนก
การตรวจให้คะแนน
นาแบบทดสอบไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างแล้วตรวจให้คะแนน เรียงลาดับคะแนนจากสูงไปต่า
คัดเลือกออกมา 25% จากกลุ่มสูงเป็นกลุ่มเก่ง คัดเลือก 25%จากกลุ่มล่างเป็นกลุ่มอ่อน แทนค่าใน
สูตร r หรือ D
Ru = จานวนกลุ่มตัวอย่างที่ถูกในกลุ่มเก่ง
RL = จานวนกลุ่มตัวอย่างที่ถูกในกลุ่มอ่อน
N = จานวนกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด
2
N
D RR LU −
=

6. 2.การหาค่าอานาจจาแนก
การใช้ตารางสาเร็จรูปของจุงเตฟาน
นาแบบทดสอบไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างแล้วตรวจให้คะแนน เรียงลาดับคะแนนจาก
สูงไปต่า คัดเลือกออกมา 27% จากกลุ่มสูงเป็นกลุ่มเก่ง คัดเลือก 27%จากกลุ่มล่างเป็น
กลุ่มอ่อน แทนค่าในสูตรการใช้สัดส่วน จากนั้นเปิดตารางสาเร็จรูปเพื่อหาค่าอานาจ
จาแนก

7. 2.การหาค่าอานาจจาแนก
การหาค่าสหสัมพันธ์ Point-Biserial Correlation
คาตอบถูกเป็น 1 และผิดเป็น 0 แล้วนามาแทนค่าในสูตร
pq
S
XX
t
fp
bispr ..
−
=
= ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างที่ทาข้อสอบนั้นได้
= ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างที่ทาข้อสอบนั้นไม่ได้
= ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
= สัดส่วนของกลุ่มตัวอย่างที่ทาข้อสอบนั้นได้
= สัดส่วนของกลุ่มตัวอย่างที่ทาข้อสอบนั้นไม่ได้
X p
X f
St
p
q

8. ความสามารถของแบบทดสอบ ในการจาแนกกลุ่มออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ เช่น
เก่ง-อ่อน เห็นด้วย-ไม่เห็นด้วย เขียนแทนด้วย D มีค่าระหว่าง -1.00 ถึง +1.00 มี
ความหมายดังนี้ :
D > .40 : ดีมาก
D > .30 - .39 : ดี
D > .20 - .29 : พอใช้ได้
D < .19 : ยังต้องปรับปรุง
D ติดลบ : ใช้ไม่ได้ ต้องตัดทิ้ง
2.ค่าอานาจจาแนก (Discrimination)

9. RPRE = จานวนผู้ทดสอบที่ตอบถูกก่อนเรียน
RPOST = จานวนผู้ทดสอบที่ตอบถูกหลังเรียน
S = ดัชนีในการวัดผลการสอบ
T = จานวนผู้ทดสอบทั้งหมด
การวิเคราะห์ดัชนีการวัดผลการสอบ
ค่า S ที่เหมาะสม = 0.5 ขึ้นไป
T
S =
Rpost - Rpre
ประสิทธิภาพในการจาแนก ผู้เรียนรู้แล้วกับผู้ที่ยังไม่เรียนรู้

10. การวิเคราะห์ดัชนีการวัดผลการสอบ
ข้อที่
นักศึกษาจานวน 20 คน
ตอบถูก ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ก่อนเรียน
Rpre
หลังเรียน
Rpost
1 5 17 0.60 เป็นข้อสอบที่ดี
2 12 17 0.25 เป็นข้อสอบไม่ดี
3 3 18 0.75 เป็นข้อสอบที่ดี
4 3 19 0.80 เป็นข้อสอบที่ดี
5 14 19 0.25 เป็นข้อสอบไม่ดี
T
Rpost- Rpre

11. แบบทดสอบ (Test)
เครื่องมือวัดความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ สติปัญญา หรือความถนัดของผู้เข้า
ทดสอบ และให้ผลเป็นตัวเลข จาแนกเป็น 3 ประเภท
 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (achievement test)
 แบบทดสอบวัดบุคลิกภาพ (personality test)
 แบบทดสอบวัดความถนัด (aptitude test)