More Related Content
Similar to อารยธรรมอินเดีย2 (20)
อารยธรรมอินเดีย2
- 1. วิชำ ส33102
เรื่อง อำรยธรรมอินเดีย
ผู้จัดทำ
1. นางสาวกุลนิภา ธารธนานุกร ม.6.1 เลขที่ 3
2. นางสาวพรณิชา แก้วคูณ ม.6.1 เลขที่ 16
นำเสนอ
อ.ปรางค์สุวรรณ ศักด์ิโสภณกุล
ปีกำรศึกษำ 2557
โรงเรียนสตรีวิทยำ
- 5. ภูมิประเทศ
-ลุ่มแม่น้า สินธุเป็นที่ราบลุ่มแม่น้า กว้างใหญ่ มีต้นกา เนิดมา
จากเทือกเขาในทิเบต ไหลลงสู่ทะเลอาหรับ
-พื้นที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ด้วยแร่โลหะ
จา พวกทองและโลหะที่นา มาทา สา ริด
ภูมิอำกำศ
-เป็นแบบลมมรสุม แห้งแล้งและมีอากาศร้อนจัด
น้า ที่ใช้ในการเกษตรมาจากแม่น้า เป็นหลัก
- 6. ลักษณะทตี่ั้ง
ตอนเหนือ
-มีเทือกเขาหิมาลัยที่สูงชันกั้น
-มีช่องแคบไคเบอร์ทางตะวันตกเฉียงเหนือที่ติดต่อกับดินแดน
อื่นทางตะวันตกได้ เช่นเปอร์เซีย กรีก และโรมัน
-อินเดียตอนเหนือจึงรับอารยธรรมผ่านทางช่องแคบไคเบอร์
ทั้งที่มาจากการติดต่อค้าขายและรุกรานของชาติอื่นๆ เช่น พวก
อารยันและมุสลิม
- 7. ตะวันตกและตะวันออก
-เป็นที่ราบลุ่มแม่น้า สินธุ แม่น้า คงคา และแม่น้า สาขา
-มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การประกอบเกษตรกรรม
-เป็นบ่อเกิดของศาสนา ความเชื่อและพิธีกรรมต่างๆ
ในอารยธรรมอินเดีย
ตอนกลำง
-เป็นเขตที่ราบสูงเดกกันที่แห้งแล้งและทุรกันดาร เพราะถูก
ขนาบด้วยเทือกเขาสูง
-เป็นพื้นที่เกษตรกรรมของชาวอินเดีย (เป็นเขตเศรษฐกิจ)
-ยังคงอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรป่าไม้และแร่ธาตุต่างๆ
- 10. ชาวพื้นเมือง
-ชนเผ่าทราวิฑหรือดราวิเดียน
-มีรูปร่างเล็ก ผิวคล้า
-เป็นที่เกลียดชังของชาวอารยันผู้ดา รงอารยธรรมเมโสโปเตเมีย
-โดนดูถูกว่า เป็นพวกที่มีความล้าหลัง มีวิถีชีวิต วัฒนธรรม
ประเพณีที่แปลกประหลาด
-มีภาษาและอักษรทมิฬ บ่งบอกถึงความเป็นรัฐชาติในอดีต
-ปัจจุบันกลายเป็นชนกลุ่มน้อย ที่มีภาษาตนเอง
- 12. เมืองโบราณที่สา คัญ (ศูนย์กลางอารยธรรม)
-เมืองฮารัปปาและโมเฮนโจดาโร
-ปัจจุบันอยู่ในประเทศปากีสถาน
-มีอาคารบ้านเรือนที่ก่อด้วยอิฐและดินเป็นจา นวนมาก
-มีประตู หน้าต่าง พื้นบ่อ ท่อระบายน้า ที่สร้างด้วยอิฐ
- 13. -มีที่อาบน้า ใหญ่มีถนนกว้าง มีทางระบายน้า อย่างดี
-แสดงให้เห็นว่าผู้สร้างต้องเป็นผู้ชา นาญการในการ
ออกแบบก่อสร้างดีมาก
-ขุดพบตึกหลายชั้นที่เมืองโมเฮ็นโจดาโร สันนิษฐานว่าเมื่อ
เมืองชั้นหนึ่งถูกทับถมขึ้นมาด้วยการพอกพูนของแผ่นดินหรือน้า
ท่วม ก็มีการสร้างเมืองใหม่ลงบนที่เก่าตามแผนผังเมืองเก่า
- 14. เครื่องมือเครื่องใช้
-พบเครื่องมือที่ทา จากเขาสัตว์ กระดูกสัตว์ หิน และ สา ริด
-พบดวงตรากับเครื่องประดับต่างๆ ซึ่งมีลักษณะเดียวกับที่
พบบริเวณเมโสโปเตเมีย
-เชื่อว่าในแถบนี้มีการติดต่อกับชุมชนเมโสโปเตเมีย
ความเชื่อ
-พบดวงตรารูปเทวดา ล้อมด้วยเสือ สิงห์
กระทิง แรด สันนิษฐานว่าหมายถึงพระศิวะ
-พบศิวลึงค์ สัญลักษณ์ของนิกายไศวะ
ในศาสนาพราหมณ์
- 18. อำรยธรรมลุ่มน้ำสินธุ
-รุ่งเรืองอยู่ราว 1000 ปี
-เสื่อมลงราว 1500 ปีก่อนคริสต์ศักราช
+สาเหตุ -ภัยธรรมชาติ คือน้า ท่วมและพายุทราย
-การถูกรุกรานจากพวกอารยัน
ชนเผ่ำอินโด-อำรยันรุกรำน
-อพยพเข้ามาอยู่ในแถบลุ่มน้า สินธุ
-พวกดราวิเดียน ต้องอพยพลงใต้
-บางส่วนแต่งงานหรือไม่ก็กลายเป็นทาสพวกอารยัน
-ทา ให้เกิดการแบ่งชั้นวรรณะในอินเดียต่อมา
- 20. กำรปกครองแบบชนเผ่ำอำรยัน
สมัยแรก
-แยกกันอยู่เป็นชนเผ่า แต่ละเผ่ามีหัวหน้าเป็นผู้ปกครอง
-มีที่ประชุมเผ่า ประกอบด้วยสภา(ที่ประชุมของบุคคลสา คัญ)และ
สมิติ(ที่ประชุมของราษฎร)
-การขึ้นครองราชย์ราชา ต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุม
สมัยหลัง
-ขยายตัวไปทางตะวันออก เหนือและบริเวณลุ่มน้า คงคา
-ปกครองแบบราชาธิปไตย
-ราชาทรงเป็นเหมือนสมมติเทพ
-สภาและสมิติเริ่มหมดความสา คัญไป
- 22. สมัยมหำกำพย์ (900-600 ปีก่อนคริสต์ศักรำช)
-เกิดอาณาจักรใหม่บริเวณลุ่มน้า คงคามีลักษณะเป็นนครรัฐ
-ปกครองแบบราชาธิปไตย ราชามีฐานะเป็นสมมุติเทพ
-มีการแบ่งวรรณะชัดเจน 4 วรรณะ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทร
-มีการติดต่อค้าขายทางเรือ กับอาณาจักรเมโสโปเตเมีย อียิปต์อาราเบีย
- 23. รำมำยณะ (Ramayana)
-แต่งโดย ฤๅษีวาลมิกิ
-แพร่ไปสู่หลายประเทศในเอเชีย
ในเมืองไทยเรียกว่า รามเกียรต์ิ
ในลาวเรียกว่าพระลักษณ์พระราม
ในอินโดนีเซียเรียก รามายณะ
-เนื้อหากล่าวถึงสงครามระหว่างมนุษย์กับยักษ์ ซึ่งหมายถึงการ
ขยายอา นาจลงภาคใต้ของชนเผ่าอารยันในระยะเริ่มแรก
-เป็นวรรณกรรมยาวเป็นที่สองรองมาจาก มหาภารตะ มีโศลก
24,000 บท แบ่งออกเป็น 7 กัณฑ์
- 24. มหำภำรตะ (Mahabharata)
-เป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุด มีโศลกมากถึง 100,000 บท
-แต่งโดยฤๅษีวยาสะหรือ กฤษณะ ไทวปายน
-กล่าวถึงการทา สงครามกันระหว่างตระกูลเการพและปาณฑพ หมายถึง
การขยายอา นาจของชนเผ่าอารยันจนกลายเป็นแคว้นต่างๆ
-ตอนสา คัญของเรื่องได้ถูกแยกประพันธ์เป็นคัมภีร์ภควัทคีตา(ศาสนาฮินดู)
-มีอิทธิพลต่อชาวอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดูมาถึงปัจจุบัน
- 25. สมัยจักรวรรดิ (600 ปีก่อนคริสต์ศักรำช-ปลำยค.ศ.ที่10)
-ปกครองแบบสาธารณรัฐไม่จา กัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน
-ไม่ขัดขวางการแสดงออกซึ่งความคิดที่เป็นอิสระและเป็นของตัวเอง
-เกิดนักคิด และผู้นา ทางลัทธิศาสนาใหม่เช่น สมเด็จพระสมัมาสมั
พุทธเจ้าเป็นสมัยที่มีความสา คัญต่อการวางรากฐานของแบบแผนทาง
สังคมศิลปะ และวัฒนธรรมอินเดีย ที่สืบทอดมาถึงปัจจุบัน
- 28. การปกครอง
-กษัตริย์มีอา นาจสูงสุด
-มีขุนนาง3ฝ่าย (มหามาตระ) คือฝ่ายบริหาร ตุลาการ และการทหาร
ศูนย์กลางของพระพุทธศาสนา
-ได้รับการอุปถัมภ์จากพระเจ้าพิมพิสารและพระเจ้าอชาตศัตรู
-ทา ให้พระพุทธศาสนาได้รับการเผยแพร่ไปอย่างกว้างไกล
-ขณะเดียวกันศาสนาพราหมณ์ก็เสื่องลง
- 30. ระเบียบการปกครอง
-รวมอา นาจไว้ที่กษัตริย์และเมืองหลวง
-กษัตริย์มีอา นาจสูงสุดในการบริหาร ตรากฎหมาย การศาลและการทหาร
-มีสภาเสนาบดี(ข้าราชการระดับสูง)และสภาแห่งรัฐ(ที่ปรึกษา)เป็นผู้ช่วย
-มีการจัดตั้งหน่วยงานกระจายอยู่ เพื่อรายงานมายังเมืองหลวง
-มีการสร้างถนน สารวจสามะโนครัว มีระบบชลประทาน
-มีการสร้างมหาวิทยาลัยหลายแห่ง
- 31. พระเจ้าอโศกมหาราช
-กษัตริย์องค์ที่ 3 ของราชวงศ์เมารยะ
-เดิมเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่โหดร้าย ชอบการทา สงครามจน
ได้รับสมญานามว่า จัณฑาโศกราช (พระเจ้าอโศกผู้โหดเหี้ยม)
-หลังจากที่พระองค์หันมานับถือพระพุทธศาสนา พระองค์ก็
ทรงกลายเป็นองค์เอกอัครพุทธศาสนูปถัมภก์
-ทรงบา รุงพระพุทธศาสนาให้มีความเจริญรุ่งเรืองและแผ่ขยาย
มากที่สุดในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา
- 33. สมัยแบ่งแยกและกำรรุกรำนจำกภำยนอก (183 ปีก่อนค.ศ.-ค.ศ.300)
กษัตริย์ที่มีชื่อเสียง
พระเจ้ากนิษกะ
-เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์กุษาณะ
-ทรงเป็นผู้กา หนดมหาศักราชขึ้น
-ทรงเป็นองค์อัครราชูปถัมภ์ที่ยิ่งใหญ่ของพุทธศาสนานิกายมหายาน
-ได้รับขนานนามว่า "พระเจ้าอโศกองค์ที่ 2"
-ทรงได้เผยแพร่ศาสนาไป จีน ญี่ปุ่น และทิเบต
- 35. แคว้นที่มีอา นาจ
-แคว้นคันธาระ ในเขตลุ่มน.สินธุ ตั้งอยู่ทางเหนือหรือ
ตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย
ผลกระทบจากการเสื่อมอา นาจลงของจักรวรรดิเมารยะ
-อาณาจักรแบ่งแยก มีการทา สงครามแย่งชิงอา นาจกัน
-มีการรุกรานจากภายนอก
+กรีก
+อิหร่าน/เปอร์เซีย
+ศกะ/ศากยะ(Scythian)
+กุษาณะ(ตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย)
- 40. ด้านวิทยาศาสตร์
-นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงคือ อารยภตา
-ศึกษาทางด้านดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์
-มีการประดิษฐ์คิดค้นหลายอย่าง เช่นการทา สบู่และซีเมนต์
ด้านการแพทย์
-ได้รับการยกย่องว่ามีวิธีการและเทคนิคสูงในการรักษา
โดยเฉพาะในการผ่าตัด
-มีการรักษาความสะอาดและป้องกันเชื้อโรคอย่างเคร่งครัด
-การใช้ยาประเภทต่างๆ ก็นับว่ามีความก้าวหน้า
-แพทย์อินเดียรู้จักใช้ยาหลายขนานก่อนชาวยุโรป และยาบาง
ชนิดยังคงใช้รักษาโรคมาจนปัจจุบัน
- 41. ด้านศาสนา
-สมัยพระเจ้าสมุทรคุปต์ ทรงอนุญาตให้
ชาวลังกาสร้างวัดของพุทธศาสนานิกายเถรวาท
ขึ้นในจักรวรรดิได้
-สมัยพระเจ้าจันทรคุปต์ที่2 มีการส่งเสริม
พระพุทธศาสนาไปต่างแดน จากการที่หลวงจีนฟา
เหียนเดินทางนาพระไตรปิฎกจากอินเดียกลับไปจีน
หลวงจีนฟาเหียน
รัชสมัยของพระเจ้าจันทรคุปต์ที่ 2 สิ้นสุดลงใน ค.ศ.413 หลังจากนั้น
อาณาจักรของราชวงศ์คุปตะก็เริ่มแตกแยก และสิ้นสุดลงในที่สุด
- 46. ราชวงศ์มุคัล (ค.ศ.1526-1857)
-ล้มอา นาจสุลต่านแห่งเดลี
-พระเจ้าอักบาร์มหาราช
+ทรงครองราชย์ ขณะมีพระชนมายุ 13ปีเศษ
+แม้จะทรงเป็นมุสลิม แต่ก็ทรงให้เสรีภาพใน
การนับถือศาสนาแก่ประชาชน
+ยกเลิกการเก็บภาษีจิซยา
+ทรงริเริ่มศาสนาใหม่ที่เรียกว่า ดินอิอิลาฮี หรือ ศาสนาแห่ง
พระเจ้า ซึ่งเป็นความพยายามที่จะรวมศาสนาอิสลามเข้ากับ ฮินดู คริสต์
เชน และอื่นๆ แต่ไม่สาเร็จ เพราะทรงสิ้นพระชนม์ก่อน
- 49. สมัยพระเจ้าออรังเซบ (ค.ศ.1658-1707)
-ใช้นโยบายกดขี่บังคับพวกฮินดู
+เก็บภาษีจิซยาใหม่
+เทวสถานฮินดูถูกทา ลาย
+ข้าราชการฮินดูถูกปลด
-ราชวงศ์มุคัลอ่อนแอลง
-อังกฤษเข้ามารุกราน ทา ให้ต้องทา สงครามและเสียดินแดนหลายครั้ง
-อินเดียตกอยู่ภายในการปกครองของอังกฤษ ค.ศ.1858โดยมีสมเด็จ
สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย
พระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งอังกฤษทรงดา รงตา แหน่งสมเด็จพระเจ้า
จักรพรรดินีแห่งอินเดีย
- 51. ระบบวรรณะ
แบ่งออกเป็น 4 วรรณะ
วรรณะพราหมณ์ → เกิดจากโอษฐ์ของพระพรหม มีหน้าที่
ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา มีสีเครื่องแต่งกายประจา
วรรณะ คือสีขาวซึ่งแสดงถึงความบริสุทธ์ิ
- 52. วรรณะกษัตริย์ → เกิดจากพระอุระของพระพรหม มี
หน้าที่สู้รบปกป้องประชาชน, เป็นผู้นา ของรัฐ สีเครื่อง
แต่งกายประจา วรรณะคือสีแดงซึ่งหมายถึงนักรบ
- 53. วรรณะไวศยะหรือแพศย์ → เกิดจากพระเพลา (ตัก) ของ
พระพรหม มีสีเครื่องแต่งกายประจา วรรณะคือ สีเหลือง
เป็นพวกแสวงหาทรัพย์สมบัติ ได้แก่พวก พ่อค้า คหบดี
เศรษฐี และเกษตรกร ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคม
- 54. วรรณะศูทร → เกิดจากพระบาท(เท้า) ของพระพรหม
มีสีเครื่องแต่งกายประจา วรรณะคือสีดา หรือสีอื่น ๆ ที่
ไม่มีความสดใส มีหน้าที่เป็นกรรมกร ลูกจ้างคอยรับใช้
ให้บริการกับวรรณะอื่นๆ
- 56. ปรัชญำและลัทธิศำสนำของสังคมอินเดีย
อินเดียเป็นแหล่งกา เนิดศาสนาสา คัญของโลกตะวันออก ได้แก่
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู พระพุทธศาสนา และศาสนาเชน
ปรัชญาอินเดีย หมายถึงปรัชญาทุกสานักหรือทุกระบบที่
เกิดขึ้นในอินเดีย หรือที่คิดสร้างสรรค์ขึ้นไว้โดยศาสดา
และนักคิดที่เคยมีชีวิตอยู่หรือกา ลังมีชีวิตอยู่ในอินเดีย
- 57. หลักคา สอนของพระพุทธศาสนาและศาสนาเชนเป็นผลมา
จากการคิดไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งทางปรัชญา การหลุดพ้น
จากการเวียนว่ายตายเกิด
หลักธรรมของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีรากฐานมาจากการ
คิดค้นสร้างระบบปรัชญา เพื่อสนับสนุนความเชื่อและ
ความศรัทธาที่มีต่อพระเจ้า
- 63. 1. สถำปัตยกรรม : เน้นประโยชน์ใช้สอยมำกกว่ำควำมสวยงำม
สถาปัตยกรรมที่เป็นศิลปะอย่างชัดเจนปรากฏขึ้นในสมัย
ราชวงศ์เมารยะ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากจักรวรรดิเปอร์เซีย ได้แก่
สถูป เสาหิน ตลอดจนฐานรากของพระราชวัง สถาปัตยกรรม
ดังกล่าวมักเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาเพื่อแสดงถึงความ
ศักด์ิสิทธ์ิของสถานที่หรือเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงเหตุการณ์สา คัญ
- 66. 2. ประติมำกรรม : สลักจำกหิน มีรูปร่ำงหนัก แข็งกระด้ำง
แสดงท่ำหยุดนิ่ง
นอกจากนี้ก็มีประติมากรรมภาพสลักนูนต่า เป็นภาพพุทธ
ประวัติ ภาพชาดก
→
- 70. 3. จิตรกรรม : จิตรกรรมเก่ำสุดที่ยังเหลืออยู่ในปัจจุบันพบที่
เพดำนถ้ำโยคีมำรำ วำดขึ้นด้วยสีดำ ขำว และแดง ค่อนข้ำงหยำบ
จิตรกรรมสมัยศิลปะอมรำวดีเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังถ้า
ที่อชันตะ
- 72. 4. นำฏศิลป์และสังคีตศิลป์ : เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมเพื่อ
บูชำเทพเจ้ำ มีควำมเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของชำวอินเดีย
ทำงด้ำนศำสนำและชีวิตประจำวัน
ภารตนาฏยัม
- 73. 5. วรรณกรรม : เริ่มจำกกำรเป็นบทสวดในพิธีบูชำเทพเจ้ำ
เน้นหนักไปทำงด้ำนศำสนำ แบ่งตำมพัฒนำกำรทำงภำษำ
ออกเป็น 4 กลุ่ม
วรรณกรรมภาษาพระเวท→ใช้ภาษาสันสกฤตโบราณของ
พวกอารยัน ประกอบด้วย
ฤคเวท : ใช้สวดสรรเสริญพระเจ้า
- 75. อาถรรพเวท : เป็นบทที่
รวบรวมเวทมนตร์
คาถาอาคม→
วรรณกรรมตันติ
สันสกฤต : รูปแบบคา
ประพันธ์มักเป็นร้อย
กรอง เรียกว่า โศลก
มหาภารตะ
- 76. วรรณกรรม
สันสกฤตที่แต่ง
เป็นบทละครที่มี
ชื่อเสียงมาก→
ศกุนตลา
วรรณกรรมสันสกฤตผสม
: ใช้เขียนหลักธรรมและ
เรื่องราวทาง
พระพุทธศาสนา เป็นงาน
นิพนธ์แบบร้อยแก้ว
พุทธจริต
- 79. 1. ภำษำศำสตร์ : ภำษำสันสกฤตมีควำมสำคัญ เป็นภำษำที่ใช้
อยู่ในคัมภีร์พระเวท
มีตา ราว่าด้วยไวยากรณ์หลายเรื่อง : นิรุกตะ
อัษฎาธยายี
เมื่อมุสลิมเติร์กเข้าปกครองอินเดียตอนเหนือได้นาเอาภาษา
สันสกฤต อารบิก และเปอร์เซียมาผสมกันเป็นภาษาใหม่
เรียกว่า ภำษำอูรดู ซึ่งเป็นภาษาที่มุสลิมใช้พูดกันในอินเดีย
ปัจจุบัน
- 80. 2. ธรรมศำสตร์และนิติศำสตร์
ธรรมศาสตร์→กฎหมาย ศาสนบัญญัติ จารีตประเพณี
ศีลธรรม และหน้าที่ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากธรรมสูตร
มนูสมฤติ / มานวธรรมศาสตร์
- 82. 3. แพทยศำสตร์ : กำรแพทย์ของอินเดียมีมำนำนแล้ว แพทย์ที่มี
ชื่อเสียงมำกของอินเดียโบรำณคือ หมอชีวกโกมำรภัทร
หมอชีวกโกมารภัทร
- 83. 4. ชโยติษ(ดำรำศำสตร์ โหรำศำสตร์ และคณิตศำสตร์) : ฤกษ์
ยำมมีควำมสำคัญมำก จึงต้องอำศัยวิถีโคจรของดวงอำทิตย์
ดวงดำวที่โคจรมำอยู่ในตำ แหน่งต่ำงๆในแต่ละช่วงเวลำ
←การดูฤกษ์ยาม
ชาวอินเดียเป็นชนชาติแรกที่ประดิษฐ์เลข 0 ขึ้นใช้ ทา ให้มี
หลักหน่วย หลักสิบ หลักร้อย หลักพัน ในการคา นวณได้โดย
ไม่สับสน