More Related Content
Similar to สายคู่บิดเกลียว(ปัณฑารีย์ อรัชพร)406 (20)
สายคู่บิดเกลียว(ปัณฑารีย์ อรัชพร)406
- 1. สายคู่บิดเกลียว
นาเสนอ
อ.ปิยวรรณ รัตนภานุศร
สมาชิก
1.อรัชพร ตรงศิริวัฒน์ เลขที่ 14 ม.4/6
2.ปัณฑารีย์ บุญนุ่ม เลขที่ 27 ม.4/6
- 2. สายคู่บิดเกลียว (Twisted Pair Wire)
เป็นสายชนิดที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการนามาใช้งานตาม
ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ทั่วไป สายชนิดนี้ได้ชื่อมาจากลักษณะ
องค์ประกอบภายในของสาย ที่เป็นสายลวดทองแดงสองเส้นนามาพัน
เกลียวเข้าด้วยกัน
จานวนรอบหรือความถี่ ในการพันเกลียวนั้นมีผลโดยตรงต่อกาลัง
ของสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้น ถ้าจานวนรอบสูงก็จะทาให้สนามแม่เหล็ก
มีกาลังแรงขึ้น สามารถป้องกัน สัญญาณรบกวนได้ดีขึ้น แต่ถ้าจานวน
รอบต่า ก็จะเกิดสนามแม่เหล็กกาลังอ่อน ซึ่งป้องกันสัญญาณรบกวนได้
น้อยลงก็ใช้สายเปลืองน้อยลงเช่นกัน
- 3. สายคู่บิดเกลียว ประกอบด้วยสายทองแดงจานวนหนึ่ง หรือ
หลายคู่สาย ห่อหุ้มสายด้วยฉนวนบางๆ เพือป้องกันไม่ให้เกิดการ
่
ลัดวงจร แล้วนามาพันเกลียวเข้าด้วยกันเป็นคู่ ทุกคู่จะถูกห่อหุ้มฉนวน
อีกชั้นหนึ่งรวมกันเป็นสายขนาดใหญ่เพียงสายเดียว
สายคู่บิดเกลียวแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ
• แบบไม่มีฉนวนหุ้ม (UTP : Unshielded Twisted Pair)
• แบบมีฉนวนหุ้ม (STP : Shielded Twisted Pair)
- 4. สายคู่บดเกลียวแบบไม่มีฉนวนหุม
ิ ้
(UTP : Unshielded Twisted Pair)
สาย UTP เป็นสายที่พบเห็นกันมาก มักจะใช้เชือมโยง
่
คอมพิวเตอร์ไปยังอุปกรณ์สื่อสารตามมาตรฐานที่กาหนด ยาวของ
สายในการเชื่อมต่อได้ไม่เกิน 100 เมตร มีจานวนสายบิดเกลียวภายใน
4 คู่ คู่สายในสายคู่ตีเกลียวไม่หุ้มฉนวนคล้ายสายโทรศัพท์ มีหลาย
เส้นซึ่งแต่ละเส้นก็จะมีสีแตกต่างกัน และตลอดทั้งสายหุ้มด้วย
พลาสติก (Plastic Cover) ปัจจุบันเป็นสายที่ได้รับความนิยมมาก
ที่สุด เนื่องจากราคาถูกและติดตั้งได้ง่าย
- 7. มาตรฐานสายสัญญาณ
สมาคมอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ หรือ EIA (Electronics
Industries Association) และสมาคมอุตสาหกรรมโทรคมนาคม
หรือ TIA (Telecommunication Industries Association)
ได้ร่วมกันกาหนดมาตรฐาน EIA/TIA 568 ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้
ในการผลิตสาย UTP โดยมาตรฐานนี้ได้แบ่งประเภทของสายออกเป็น
หลายประเภทโดยแต่ละประเภทเรียกว่า Category N โดย N คือ
หมายเลขที่บอกประเภท ส่วนสถาบันมาตรฐานนานาชาติ
(International Organization for Standardization) ได้กาหนด
มาตรฐานนี้เช่นกัน โดยจะเรียกสายแต่ละประเภทเป็น Class A-F
- 8. คุณสมบัติทั่วไปของสายแต่ละประเภทเป็นดังนี้
• Category 1/Class A : ใช้ในระบบโทรศัพท์อย่างเดียว ไม่สามารถใช้
ในการส่ง ข้อมูลแบบดิจิตอลได้
• Category 2/Class B : รองรับแบนด์วิธได้ 4 MHz ส่งข้อมูลแบบดิจิตอล
ได้ 4 MHz ประกอบด้วยสายคู่บิดเกลียวอยู่ 4 คู่
• Category 3/Class C : ส่งข้อมูลได้ 16 Mbps และมีสายคู่บิดเกลียว 4 คู่
• Category 4 : ส่งข้อมูลได้ 20 Mbps และมีสายคู่บิดเกลียว 4 คู่
• Category 5/Class D : ส่งข้อมูลได้ 100 Mbps และมีสายคู่บิดเกลียว 4 คู่
• Category 5 Enhanced (5e) : มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับ Class D แต่คุณภาพ
ของสายดีกว่า ใช้รองรับการส่งข้อมูลแบบฟูลล์ดูเพล็กซ์ที่ 1,000 Mbps ใช้ 4 คู่สาย
• Category 6/Class E : ส่งข้อมูลได้ 10,000 Mbps รองรับแบนด์วิธได้
250 MHz
• Category 7/Class F : รองรับแบนด์วิธได้ 600 MHz อยู่ในระหว่างการวิจัย
- 9. ข้อดีของสาย UTP
- ราคาถูก
- ติดตั้งง่ายเนื่องจากน้าหนักเบา
- มีความยืดหยุ่น และสามารถโค้งงอได้มาก
ข้อเสียของสาย UTP
- ไม่เหมาะในการเชือมต่อกับอุปกรณ์ทห่างไกลมาก เพราะสัญญาณที่
่ ี่
วิ่งบนสายจะถูกลดทอนลงไปตามความยาวของสาย (มีความยาวของ
สายในการเชื่อมต่อได้ไม่เกิน 100 เมตร)
- 10. สายคู่บดเกลียวแบบมีฉนวนหุม
ิ ้
(STP : Shielded Twisted Pair)
นาสายคู่พันเกลียวมารวมอยู่และมีการเพิมฉนวนป้องกันสัญญาณ
่
รบกวน มีคุณสมบัติเป็นเกราะในการป้องกันสัญญาณรบกวนจาก
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าต่างๆ เรียกเกราะนี้ว่า ชิลด์ (Shield) และเป็น
สายสัญญาณที่ได้รับการพัฒนาต่อจากสาย UTP โดยเพิ่มการชีลด์กัน
สัญญาณรบกวนเพื่อทาให้คุณสมบัติโดยรวมของสัญญาณดีมากขึ้น
มีเรื่องเกี่ยวกับอัตราการบั่นทอนครอสทอร์ก
- 12. ข้อดีของสาย STP
- ส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงกว่า UTP
- ป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นวิทยุ
ข้อเสียของสาย STP
- มีขนาดใหญ่และไม่ค่อยยืดหยุ่นในการงอพับสายมากนัก
- ราคาแพงกว่าสาย UTP