SlideShare a Scribd company logo
1 of 97
1
บทที่ 1
บทนํา
ความเป็นมาและความสําคัญของปัญหา
ความเข้าใจผิดทางฟิสิกส์ดาราศาสตร์มีมากมายหลายเรื่อง
จากการทบทวนงานวิจัยของ Claudine Kavanagh. (2007) พบ
ตัวอย่างความเข้าใจผิดอาทิ
− แรงโน้มถ่วงต้องการอากาศ
− วัตถุในวงโคจรมีนํ้าหนัก ดังนั้น แรงโน้มถ่วงจึงไม่มีผล
ต่อวงโคจร
− ดาวเคราะห์ที่ใกล้ดวงอาทิตย์ หรือมันหมุนตัวเร็วขึ้นใน
ที่ที่มีแรงโน้มถ่วงมาก
− แรงโน้มถ่วง ถูกมองว่าสิ้นสุดที่ชั้นบนสุดของชั้น
บรรยากาศ
− วัตถุบนดวงจันทร์จะลอยเพราะไม่มีอากาศ เนื่องจาก
ไม่มีแรงโน้มถ่วงบนดวงจันทร์
− ไม่มีแรงโน้มถ่วงในสุญญากาศ
− แรงโน้มถ่วงจะลดลงที่ระดับสูงขึ้น เนื่องจากอากาศมี
ความเบาบาง
− ไม่มีแรงโน้มถ่วงในอวกาศ
สําหรับความเข้าใจผิดที่เราจะศึกษาเป็นเรื่องเกี่ยวกับแรง
โน้มถ่วง ผู้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า “ในอวกาศไม่มีแรงโน้มถ่วง
เพราะภาพที่นักบินอวกาศพยายามลงไปเหยียบดวงจันทร์แล้วร่าง
ของนักบินอวกาศอยู่ในลักษณะดูเหมือนจะลอย” ความเข้าใจผิด
2
ในประเด็นดังกล่าวเกิดจาก สื่อภาพยนตร์ หรือภาพถ่ายที่เห็น
นักบินอวกาศลอยไปมาในอวกาศนอกยานอวกาศ
ปัญหานี้ถือเป็นเนื้อหาพื้นฐานสําหรับฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ใช้
อธิบายปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ตลอดจนอธิบาย
ปรากฏการณ์และพิสูจน์ทฤษฏีทางฟิสิกส์ เช่นแรงดึงดูด และ
ปรากฏการณ์อื่นๆ เป็นต้น ฉะนั้นจะปล่อยให้เกิดความเข้าใจผิดไม่
ได้ ผู้วิจัยเห็นความสําคัญและมีแนวคิดว่าจะศึกษาปัญหาความ
เข้าใจผิดของนักเรียนไทยโดยเลือกใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียน
โรงเรียนฟากกว๊านวิทยาคม จะเน้นปัญหาความเข้าใจผิดเรื่อง แรง
โน้มถ่วง โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนสายวิทยาศาสตร์และ
คณิตศาสตร์จํานวน 26 คน และผลิตสื่อการสอนสําหรับแก้ไข้
ปัญหาดังกล่าวต่อไป
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อศึกษาความเข้าใจผิดของนักเรียนเกี่ยวกับเรื่อง แรง
โน้มถ่วงกับอากาศ
2. เพื่อนําผลการศึกษามาวิเคราะห์และพัฒนาเป็นสื่อการ
สอน สําหรับแก้ปัญหาความเข้าใจผิด
สมมติฐานของการวิจัย
ผลการทดสอบความเข้าใจของนักเรียนที่เรียนโดยใช้สื่อ
การสอนเรื่อง แรงโน้มถ่วงกับอากาศ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
ขอบเขตของการวิจัย
3
กลุ่มเป้าหมาย หรือประชากร
กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนสาย
วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ โรงเรียนฟากกว๊านวิทยาคม
จ.พะเยา จํานวน 26 คน เป็นนักเรียนชาย 13 คน นักเรียนหญิง
13 คน ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัยคือภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา
2557 เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยเป็นเนื้อหาในกลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปี 4 หน่วยการเรียนรู้เรื่อง แรง
โน้มถ่วง
ตัวแปรที่ศึกษา
ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อการสอน
ตัวแปรตาม คือ ผลการทดสอบความเข้าใจวิชา ฟิสิกส์
เรื่องแรงโน้มถ่วง ของกลุ่มตัวอย่าง
ข อ บ เ ข ต ด้ า น เ นื้ อ ห า
การวิจัยครั้งนี้ใช้เนื้อหาเรื่อง แรงโน้มถ่วง จาก คู่มือ
รายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์เล่ม 1 ม.4-6 กลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 หน้า 85-90
ระยะเวลาที่ศึกษา
การวิจัยดําเนินในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557 ใช้เวลา
ในการศึกษาระหว่างเดือน ตุลาคม 2557 ถึง เดือนกุมภาพันธ์
2558
4
นิยามศัพท์เฉพาะ
ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ (Astrophysics) หมายถึง ศึกษาฟิสิกส์
ของเอกภพ รวมถึงสมบัติทางกายภาพ (สภาพส่องสว่าง ความหนา
แน่น อุณหภูมิ องค์ประกอบทางเคมี) ของวัตถุทางดาราศาสตร์
สื่อการสอน (Instructional Media) หมายถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ใช้
เป็นเครื่องมือ หรือช่องทางสําหรับทําให้การสอนของครูไปถึงผู้
เรียน และทําให้ผู้เรียนเรียนรู้ตามจุดประสงค์ หรือจุดมุ่งหมายที่
วางไว้เป็นอย่างดี สื่อที่ใช้ในการสอนนี้ อาจจะเป็นวัตถุสิ่งของที่มี
ตัวตน หรือไม่มีตัวตนก็ได้ เช่น วัตถุสิ่งของตามธรรมชาติ ปรากฎ
การณ์ตามธรรมชาติ วัตถุสิ่งของที่คิดประดิษฐ์หรือสร้างขึ้นสําหรับ
การสอน คําพูดท่าทาง วัสดุ และเครื่องมือสื่อสาร กิจกรรมหรือ
กระบวนการถ่ายทอดความรู้ต่างๆ (ศน.บัว,2552)
ประโยชน์ที่จะได้รับจากการวิจัย
1. ได้สื่อการสอนเรื่อง แรงโน้มถ่วงกับอากาศ ที่มี
ประสิทธิภาพ เพื่อใช้ในการแก้ไขความเข้าใจผิดในประเด็นดัง
กล่าว
2. เป็นแนวทางในการสร้างและประยุกต์ใช้สื่อการสอนใน
การเรียนการสอนวิชาฟิสิกส์หรือวิชาวิทยาศาสตร์ในเนื้อหาบท
เรียนอื่น ๆ
5
6
บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าเอกสาร และงานวิจัยที่
เกี่ยวข้องนํามาเรียบเรียงเป็นหัวข้อดังนี้
1. กฎแรงดึงดูดระหว่างมวล
2. สนามแรงโน้มถ่วง
3. ความสัมพันธ์ระหว่างแรงโน้มถ่วงกับอากาศ
4. ชุดทดลอง กระดิ่งไฟฟ้าในสุญญากาศ
5. การเลือกกลุ่มตัวอย่างของ Taro Yamane
6. สื่อการสอน
7. วิธีสอน
8. การสร้างแบบทดสอบ
9. เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
1. กฎแรงดึงดูดระหว่างมวล
เราจะพิจารณาแรงโน้มถ่วงซึ่งเป็นแรงดึงดูดระหว่างมวล
ของวัตถุ 2 ก้อน ในขั้นแรกเราจะกล่าวถึงกฎของเคปเลอร์ก่อน ใน
ศตวรรษที่ 17 [Johannes Kepler] นักดาราศาสตร์ นักโหราศาสตร์
และนักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน ผู้มีส่วนสําคัญในการปฏิวัติวงการ
วิทยาศาสตร์ เขาค้นพบกฎการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ ได้สังเกต
ปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ และค้นพบกฎการเคลื่อนที่ของดาว
เคราะห์ 3 ข้อ
7
กฎข้อที่ 1 ดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี โดยมีด
วงอาทิตย์อยู่ที่ตําแหน่งหนึ่งของจุดโฟกัสของวงรี
รูปที่ 2.1 อธิบายว่าดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์
เป็นวงรี
ที่มา :
http://www.rmutphysics.com/charud/specialnews/7/Dynamics/8
197.jpg
กฎข้อที่ 2 เวกเตอร์รัศมีจากดวงอาทิตย์ไปยังดาวเคราะห์
นั้น ภายในช่วงเวลาที่เท่ากันจะกวาดพื้นที่ไปได้เท่ากัน
8
รูปที่ 2.2 ภาพแสดงพื้นที่สามเหลี่ยม ABF เท่ากับพื้นที่
สามเหลี่ยม CDF
ที่ถูกกวาดมาในเวลาที่เท่ากัน
ที่มา :
http://www.rmutphysics.com/charud/specialnews/
7/Dynamics/8198.jpg
กฎข้อที่ 3 อัตราส่วนระหว่างครึ่งแกนเอก (semi-major
axis) ยกกําลังสาม กับคาบการโคจรของดาวเคราะห์ยกกําลังสอง
ของทุกๆดาวเคราะห์มีค่าเท่ากัน
รูปที่ 2.3 ภาพแสดงระยะแกนเอกมีค่าเท่ากับสองเอก ดัง
อธิบายได้ดังสมการ
ที่มา :
http://www.rmutphysics.com/charud/specialnews/
7/Dynamics/8199.jpg
9
สมการ a
3
/(T)
2
= ค่าคงที่
(1)
โดย a คือ ระยะครึ่งแกนเอก
T คือ คาบการโคจรรอบดวงอาทิตย์ของดาว
เคราะห์
กฎแรงดึงดูดระหว่างมวลของนิวตัน
จากการศึกษากฎของเคปเลอร์ นิวตันเสนอทฤษฎีแรงดึงดูด
ระหว่างมวล หรือที่เรียกว่า กฎความโน้มถ่วงสากล (Newton’s
law of universal gravitation)
รูปที่ 2.4 มวลสองก้อนอยู่ห่างกันเป็นระยะทาง
ที่มา :
http://www.rmutphysics.com/charud/specialnews
/7/Dynamics/8202.gif
ให้ m1 และ m2 เป็นมวลสองก้อนอยู่ห่างกันเป็นระยะทาง
ขนาดของแรงดึงดูดระหว่างมวลที่กระทําต่อมวลทั้งสองก้อนคือ
10
F = Gm1m2/r
2
(2)
Sir Henry Cavendish ได้ทําการทดลองวัดค่าคงที่โน้มถ่วง
(gravitational constant) (ค่า G)
G = 6.6730×10
-11
Nm
2
Kg
2
2. สนามแรงโน้มถ่วง
เมื่อปล่อยวัตถุ วัตถุจะตกสู่พื้นโลกเนื่องจากโลกมีสนามโน้ม
ถ่วง (gravitational field) อยู่รอบโลก สนามโน้มถ่วงทําให้เกิด
แรงดึงดูดกระทําต่อมวลของวัตถุทั้งหลาย แรงดึงดูดนี้เรียกว่า
แรงโน้มถ่วง (gravitational force) สนามโน้มถ่วงเขียนแทน
ด้วยสัญลักษณ์ g และสนามมีทิศพุ่งสู่ศูนย์กลางของโลกสนาม
โน้มถ่วง ณ ตําแหน่งต่างๆบนผิวโลกมีค่าประมาณ 9.8 นิวตันต่อ
กิโลกรัม
ตารางที่ 2.1 ค่าสนามโน้มถ่วงของโลกที่บาง
ตําแหน่งจากผิวโลก
ระยะจาก
ผิวโลก
(km)
สนามโน้ม
ถ่วง
(N/kg)
หมายเหตุ
0 9.80 -
10 9.77 เพดานบินของเครื่องบินโดยสาร
400 8.65 ความสูงของสถานีอวกาศนานาชาติ
ยานขนส่งอวกาศ
35700 0.225 ระดับความสูงของดาวเทียมสื่อสาร
11
คมนาคม
384000 0.0026 ระยะทางเฉลี่ยระหว่างโลกและดวง
จันทร์
ดาวฤกษ์ โลก ดวงจันทร์ ดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ และบริวาร
ของดาวเคราะห์ ให้ระบบสุริยะรวมทั้งสรรพวัตถุทั้งหลายก็มีสนาม
โน้มถ่วงรอบตัวเอง โดยสนามโน้มถ่วงเหล่านี้มีค่าต่างกันไป
การเคลื่อนที่ของวัตถุในสนามโน้มถ่วง
วัตถุที่อยู่ในสนามโน้มถ่วงของโลกจะถูกโลกดึงดูด แรงโน้ม
ถ่วงของโลกจะทําให้วัตถุเคลื่อนที่เร็วขึ้น นั่นคือวัตถุมีความเร่ง
เนื่องจากแรงโน้มถ่วงโลก (ท่องโลก Physics,ไม่ระบุปีที่พิมพ์)
3. ความสัมพันธ์ระหว่างแรงโน้มถ่วงกับอากาศ
“แรงโน้มถ่วงไม่ต้องการอากาศ แต่อากาศถูกแรงโน้มถ่วง
ดึงดูดไว้” นั่นคือ ไม่ว่าจะมีอากาศ หรือไม่มีอากาศ แรงโน้มถ่วงก็
ยังสามารถกระทําต่อวัตถุได้อยู่ เพราะ หากไม่มีอากาศวัตถุต่างๆก็
มีทิศทางการตกพุ่งเข้าหาโลก ส่วนอากาศที่ถูกแรงโน้มถ่วงดึงดูด
ไว้ นั้นคือ แรงโน้มถ่วงจะดึงดูดโมเลกุลอากาศให้มีความหนาแน่น
มาก
4. ชุดทดลองเรื่อง กระดิ่งไฟฟ้าในสุญญากาศ
นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษได้ทดลองนํากระดิ่งไฟฟ้า
(Electric bell ) ใส่ในภาชนะแก้วปิด (Bell Jar) แล้วต่อสายกระดิ่ง
12
ไฟฟ้ากับแบตเตอรี ให้กระดิ่งไฟฟ้าทํางาน ขณะเดียวกันก็สูบ
อากาศออก โดยใช้แวคคูอัมปั๊ม (Vacuum Pump) จะได้ยินเสียง
กระดิ่งไฟฟ้าเบาลงเรื่อยๆจนนกระทั่งสูบอากาศออกหมดทําให้
ภายในครอบแก้วเป็นสุญญากาศ
จะไม่ได้ยินเสียงกระดิ่งไฟฟ้าเลย
5. การเลือกกลุ่มตัวอย่างของ Taro Yamane
การวิจัยทางสังคมศาสตร์จําเป็นต้องอาศัยวิธีวิทยาศาสตร์ใน
การคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายที่จะทําการศึกษาซึ่งสามารถทําได้โดย
การอาศัยการสุ่มตัวอย่าง (Sampling) การสุ่มตัวอย่างเป็นการคัด
เลือกจากประชากรทั้งหมด โดยสุ่มตัวอย่างมาเพียงส่วนหนึ่ง เป็น
ตัวแทนของประชากรทั้งหมดเพื่อนํามาศึกษาองค์ความรู้ในการสุ่ม
ตัวอย่าง
5.1 ข้อมูลประชากร (Population)
ข้อมูลประชากร (Population) หมายถึง กลุ่มเป้าหมายที่
ต้องการศึกษาทั้งหมด ซึ่งอาจจะเป็น คน สัตว์ พืช วัตถุ หรือ
ปรากฏการณ์ต่างๆ เช่น ในการศึกษาความรู้ในการประกอบอาชีพ
ด้านหม่อนไหมของเกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในเขต ภาค
อีสานตอนบน ประชากรในที่นี้คือ เกษตรกร ที่มีภูมิลําเนาอยู่ใน
เขตจังหวัดต่างๆ ของภาคอีสานตอนบนในการวิจัยเชิง
สังคมศาสตร์ ประชากรแบ่งออกได้ 2 ประเภทดังนี้
1. ประชากรที่มีจํานวนจํากัด (Finite population) หมายถึง
ประชากรที่มีปริมาณซึ่งสามารถนับออกมาเป็นตัวเลขได้ครบถ้วน
13
เช่น ประชากรนิสิต หรือนักศึกษา ของมหาวิทยาลัยทุกแห่ง
ประชากรของเกษตรกรในภาคกลาง ฯลฯ
2. ประชากรที่มีจํานวนไม่จํากัด (Infinite population)
หมายถึงประชากรที่มีปริมาณซึ่งไม่สามารถนับจํานวนออกมาเป็น
ตัวเลขได้ครบถ้วน เช่น ประชากรเมล็ดถั่วเหลืองที่จําหน่ายใน
จังหวัดขอนแก่น ฯลฯ
5.2 ขนาดตัวอย่าง (Sample size)
ขนาดตัวอย่างต้องมากพอที่จะเป็นตัวแทนได้ วิธีการ
ประมาณขนาดตัวอย่างโดยใช้สูตรของ TARO YAMANE ดังนี้
n = N/1+Ne
2
(3)
เมื่อ n = ขนาดของหน่วยตัวอย่างกลุ่มเป้า
หมาย
N = ประชากรทั้งหมด
D = ระดับความมีนัยสําคัญ
5.3 ประเภทและวิธีการสุ่มตัวอย่าง
ทฤษฎีการสุ่มตัวอย่าง ได้แบ่งประเภทการสุ่มตัวอย่างออก
เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. การสุ่มตัวอย่างในเชิงเป็นไปได้ (Probability
sampling) การสุ่มตัวอย่างแบบนี้เราสามารถกําหนดได้ว่าทุกภาค
14
ส่วนของประชากรมีโอกาสได้รับเลือกเป็นตัวอย่างเท่ากัน การสุ่ม
แบบนี้มีหลายวิธีดังนี้
1.1 การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple random
sampling) หมายถึง การสุ่มตัวอย่างที่ประชากรทุกภาคส่วน
มีโอกาสเท่าเทียมกันที่จะได้รับการคัดเลือกเป็นตัวอย่างโดย
วิธีการใช้
(1) ตารางเลขสุ่ม นําจํานวนขนาดตัวอย่างไปสุ่มในตาราง
สําเร็จรูปที่นักสถิติจัดทําไว้แล้ว เพียงแต่นักวิจัยกําหนดหลัก
ที่จะใช้ว่ามีกี่หลัก และจะนับไปซ้ายขวา ขึ้นบน ลงล่าง
อย่างไรต้องกําหนดไว้และปฏิบัติอย่างนั้นตลอด สุ่มโดยการ
ชี้ตัวเลขเริ่มต้น เมื่อชี้ตรงไหนก็บอกว่าเป็นเลขประจําตัวของ
ประชากรหรือไม่ถ้าไม่ใช่ให้ข้ามไป ทําการคัดเลือกไปเรื่อยๆ
จนได้ตามจํานวนที่ต้องการ
(2) โดยวิธีการจักฉลากโดยการเขียนหมายเลขกํากับ
ประชากรตัวอย่าง แต่ละรายการก่อนแล้วจึงจับฉลากขึ้นมา
ซึ่งวิธีการจับฉลากอาจใช้ 2 แบบคือ
ก. ไม่สุ่มประชากรที่ถูกสุ่มแล้วขึ้นมาอีก (Simple
Random Sampling with out Replacement) คือ
หยิบแล้วเอาออกได้เลยไม่ต้องใส่กลับลงไปอีก
ข. สุ่มประชากรที่ถูกสุ่มแล้วขึ้นมาได้อีก (Sample
Random Sampling with Replacement) คือ หยิบขึ้น
มาแล้วก็ใส่ลงไปใหม่เพื่อให้โอกาสแก่ประชากรทุก
หน่วย มีโอกาสถูกเลือกขึ้นมาเท่าเดิม
15
1.2 การสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ (Systematic
Sampling) การสุ่มแบบนี้นักวิจัยจะต้องอาศัยบัญชีรายชื่อ
เกี่ยวกับประชากรกลุ่มเป้าหมาย โดยเลือกตามเลขที่ที่
กําหนดไว้ เช่น ประชากรจํานวน 1,000 นักวิจัยต้องการ
ตัวอย่างจํานวน 100 นักวิจัยจะต้องคัดเลือกทุกหน่วยที่ 10
เป็นต้น
1.3 การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น (Stratified Random
Sampling) การสุ่มตัวอย่างแบบนี้ต้องแยกประเภทของ
ประชากรเป็นกลุ่มย่อยหรือชั้นก่อน แล้วจึงสุ่มตัวอย่างแยก
กันคนและกลุ่มโดยวิธี Simple Random Sampling หรือ
Systematic Sampling ก็ได้ กลุ่มย่อยที่มีลักษณะเป็น
Homegeneous คือมีลักษณะเหมือนกันภายในกลุ่มเช่น การ
แยกประเภทของประชากรตามสถานการณ์เป็นสมาชิกของ
กลุ่มเกษตรกร
1.4 การสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) คือ
การสุ่มตัวอย่างประชากรโดยแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่มๆ
ให้แต่ละกลุ่มมีความเป็น Heterogeneous กัน คือมีความ
แตกต่างกันภายในกลุ่ม เช่น การสุ่มตัวอย่างโดยการแบ่ง
ตามเขตการปกครอง
1.5 การสุ่มตัวอย่างในทุกขั้นตอน (Multi Stage
Sampling) เช่น ต้องการจะทําการวิจัยโดยการสุ่มตัวอย่าง
ประชากร โดยทําการสุ่มจังหวัดที่เป็นตัวอย่างก่อน ต่อไปก็
16
สุ่มอําเภอ ตําบล หมู่บ้าน และครัวเรือนที่เป็นตัวอย่างตาม
ลําดับ
2. การสุ่มตัวอย่างในเชิงเป็นไปไม่ได้ (Non-probability
sampling) คือ การสุ่มตัวอย่างโดยไม่อาจกําหนดได้ว่าทุกส่วน
ของประชากรมีโอกาสได้รับการคัดเลือกโดยเท่ากัน ซึ่งทําให้ไม่
สามารถจะคาดคะเนหรือคํานวณหาความผิดพลาดในการสุ่มเลือก
ตัวอย่างได้ การสุ่มแบบนี้มีหลายวิธีคือ
2.1 การสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ (Accidental
Sampling) เช่น พบใครก็สัมภาษณ์ตามความพอใจของผู้
วิจัย เช่น สุ่มนักท่องเที่ยวที่จะเข้าประเทศไทยที่สนามบิน
ดอนเมือง
2.2 การสุ่มตัวอย่างโดยวิธีการจัดสรรโควตา (Quota
Sampling) การสุ่มตัวอย่างเหล่านี้ต้องแบ่งกลุ่มของ
ประชากรแล้วจัดสรรโควตาตัวอย่างไปให้แต่ละกลุ่มตาม
สัดส่วนของปริมาณประชากรในกลุ่มนั้นๆ ที่มีอยู่จากนั้นก็
ทําการสุ่มจากแต่ละกลุ่มตามโควตาที่จัดสรร ทั้งนี้เพื่อให้ได้
ตัวแทนจากกลุ่มต่างๆ อย่างเหมาะสม เช่น ชาย 80 คน หญิง
80 คน
2.3 การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive
sampling) โดยจะเลือกศึกษาจากประชากรที่มีลักษณะตรง
ตามวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาเช่น เกษตรกรที่ปลูกหม่อน
บร.60 เป็นต้น
17
2.4 การสุ่มตัวอย่างพิจารณาตามความสะดวก
(Convenience Sampling) โดยจะเลือกศึกษากลุ่มประชากร
ที่เห็นว่าง่ายต่อการศึกษา เช่น ไม่อยู่ในแดนของผู้ก่อการ
ร้าย หรือเลือกเฉพาะผู้เป็นสมาชิกของกลุ่มทางการเกษตร
กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
3. ปัจจัยที่ทําให้สําเร็จในการสุ่มตัวอย่าง (Key success
factor)
1. ฐานข้อมูล/ประชากรต้องเป็นปัจจุบัน (update
population)
2. วิธีการสุ่ม ต้องมีความน่าเชื่อถือ (มีแหล่งที่มาอ้างอิง
ได้)
3. ขนาดตัวอย่างต้องมีการกระจายตัวและครอบคลุม
ประชากรเพื่อให้มีความคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด
6. สื่อการสอน
6.1 ความหมายของสื่อการเรียนการสอน
สื่อนับเป็นสิ่งที่มีบทบาทสําคัญอย่างมากในการสอนตั้งแต่
ในอดีตจนถึงปัจจุบันเนื่องจากเป็นตัวกลางที่ช่วยให้การสื่อสาร
ระหว่างผู้สอนและผู้เรียนดําเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้
เรียนเข้าใจความหมายของเนื้อหาบทเรียนให้ตรงกับผู้สอน
ต้องการ ไม่ว่าสื่อนั้นจะอยู่ในรูปแบบใดก็ตามล้วนแต่เป็น
ทรัพยากรที่สามารถอํานวยความสะดวกในการเรียนรู้ได้ทั้งสิ้น
และคําว่า สื่อ (medium, pl. media) เป็นคํามาจากภาษาลาตินว่า
“ระหว่าง” สิ่งใดก็ตามที่บรรจุข้อมูลสารสนเทศหรือเป็นตัวกลาง
18
ข้อมูล ส่งผ่านจากผู้ส่งหรือแหล่งส่งไปยังผู้รับ(ไพศาล สุวรรณ
น้อย, 2553)
สื่อการสอน หมายถึงสิ่งใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นเทปบันทึกเสียง
สไลด์ วิทยุ โทรทัศน์ วีดีทัศน์ แผนภูมิ แผ่นซีดีสําเร็จรูป รูปภาพ
ฯลฯ ซึ่งเป็นวัสดุบรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับการเรียนการสอน หรือเป็น
อุปกรณ์เพื่อถ่ายทอดเนื้อหาสิ่งเหล่านี้เป็นวัสดุอุปกรณ์ทางกายภาพ
ที่นํามาใช้เทคโนโลยีการศึกษาเป็นสิ่งที่ใช้เป็นเครื่องมือหรือช่อง
ทางทําให้การสอนส่งไปถึงผู้เรียน สื่อการสอนถือว่ามีบทบาทมาก
ในการเรียนการสอนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากเป็น
ตัวกลางที่ช่วยให้การสื่อระหว่างผู้สอนและผู้เรียนดําเนินการไปได้
อย่างมีประสิทธิภาพ ทําให้ผู้เรียนมีความหมายของเนื้อหาบทเรียน
ได้ตรงกับที่ผู้สอนต้องการเรียนรู้ได้ทั้งสิ้น ในการใช้สื่อการสอน
นั้นผู้สอนจําเป็นต้องศึกษาถึงลักษณะคุณสมบัติของสื่อแต่ละชนิด
เพื่อเลือกสื่อให้ตรงกับวัตถุประสงค์การสอนและสามารถจัด
ประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนโดยต้องการวางแผน
อย่างเป็นระบบ (กิดานันท์ มลิทอง, 2553 )
สื่อ คือช่องทางในการติดต่อสื่อสาร สื่อ มีรากศัพท์มาจาก
ภาษาลาติน มีความหมายว่า ระหว่าง (between) หมายถึง อะไร
ก็ตามซึ่งทําการบรรทุกหรือนําพาข้อมูลหรือสารสนเทศ สื่อเป็นสิ่ง
ที่อยู่ระหว่างแหล่งกําเนิดสารกับผู้รับสาร (ไฮนิคส์ (Heinich ) และ
คณะ, ไม่ระบุปีที่พิมพ์ )
19
สื่อ คือตัวนําสารจากแหล่งกําเนิดของการสื่อสาร (ซึ่งอาจจะ
เป็นมนุษย์ หรือวัตถุที่ไม่มีชีวิต ) ไปยังผู้รับสาร (ซึ่งในกรณี ของ
การเรียนการสอนก็คือ ผู้เรียน)" (A. J. Romiszowski, ไม่ระบุปีที่
พิมพ์)
สื่อการสอน" หมายถึง บุคคล วัสดุหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่ง
ทําให้นักเรียนได้รับความรู้ ทักษะ ทัศนคติ ครู หนังสือ และสิ่ง
แวดล้อมของโรงเรียนจัดเป็นสื่อการสอนทั้งสิ้น (เกอร์ลัช และอีลีม,
ไม่ระบุปีที่พิมพ์)
สื่อการสอน หมายถึง ตัวกลางที่ช่วยนํา และถ่ายทอดข้อมูล
ความรู้จากครูผู้สอน หรือจากแหล่งความรู้ไปยังผู้เรียน เพื่อให้ผู้
เรียนสามารถบรรลุถึง วัตถุประสงค์การเรียนที่ตั้งไว้ (กิดานันท์ มลิ
ทอง, ไม่ระบุปีที่พิมพ์)
สื่อการสอน คือวัสดุ (สิ้นเปลือง) อุปกรณ์ (เครื่องมือที่ใช้ไม่
ผุพังง่าย) วิธีการ (กิจกรรม เกม การทดลอง ฯลฯ) ที่ใช้สื่อกลางให้
ผู้สอนสามารถส่ง หรือถ่ายทอดความรู้ เจตคติ (อารมณ์ ความรู้สึก
ความสนใจ ทัศนคติ และค่านิยม) และ ทักษะไปยังผู้เรียน ได้อย่าง
มีประสิทธิภาพ (ชัยยงค์ พรหมวงศ์, ไม่ระบุปีที่พิมพ์)
20
สื่อการสอน หมายถึง สิ่งที่ช่วยให้การเรียนรู้ ซึ่งครูและ
นักเรียนเป็นผู้ใช้ เพื่อให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
(ไชยยศ เรืองสุวรรณ, ไม่ระบุปีที่พิมพ์)
สื่อการสอน หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่ใช้เป็นเครื่องมือ หรือ ช่อง
ทางสําหรับทําให้การสอน ส่งไปถึงผู้เรียน ทําให้ผู้เรียนสามารถ
เกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ หรือจุดมุ่งหมายที่ผู้สอนวาดไว้ได้
เป็นอย่างดี (เปรื่อง กุมุท, ไม่ระบุปีที่พิมพ์)
สื่อการเรียนรู้ (Media for learning) มาจาภาษาลาตินว่า
“Medium” แปลว่าระหว่าง (between) หมายถึง สิ่งใดก็ตามที่
บรรจุข้อมูลเพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับการสื่อสารกันได้ ตรงตาม
วัตถุประสงค์ เมื่อนํามาใช้ในการเรียนการสอนจึงเรียกสื่อการสอน
(Instructional Media) หมายถึงสื่อชนิดใดก็ตาม เช่น เทปบันทึก
เสียง ภาพนิ่ง แผนภูมิ หนังสือ วิทยุ โทรทัศน์ สไลด์ เป็นต้น ที่
บรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับการเรียนการสอน สิ่งเหล่านี้เป็นวัสดุอุปกรณ์
ทางกายภาพที่นําเอามาใช้ในเทคโนโลยีการศึกษา เป็นเครื่องมือที่
ผู้สอนส่งไปถึงผู้เรียน ทําให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์
หรือจุดมุ่งหมาย ที่วางไว้เป็นอย่างดี (ตานันท์ มลิทอง อ้างถึงใน
อรนุช ลิมตศิริ(2543 หน้า 79))
สื่อการสอนวิทยาศาสตร์ หมายถึง สิ่งต่างๆทั้งทางกายภาพ
และจิตภาพ ที่ก่อให้เกิดสถานการณ์ ทําให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
21
เนื้อหาที่เป็นความรู้ กระบวนการวิทยาศาสตร์ และเจคติทาง
วิทยาศาสตร์ ได้แก่ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร ของจริง
และสัญลักษณ์เป็นต้น นอกจากนั้นสื่อการสอนวิทยาศาสตร์ที่นํามา
ใช้ ควรจัดให้ต่อเนื่อง สอดคล้องกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ และ
จัดระบบให้มีประสิทธิภาพตามประเภทของสื่อนั้นๆ (นิคม ทาแดง
(2527,หน้า 78-80))
6.2 ประเภทของสื่อการเรียนการสอน
สื่อการสอนมี 3 ประเภท ดังนี้
1. วัสดุ ได้แก่ สิ่งสิ้นเปลืองทั้งหลาย เช่น รูปภาพ บัตร
คํา แผนภูมิ หนังสือ แผ่นโปร่งใส เป็นต้น
2. อุปกรณ์ ได้แก่ บรรดาเครื่องมือทั้งหลาย ทั้งที่เป็น
เครื่องมือที่ใช้ร่วมกับวัสดุอื่น และสิ่งที่ใช้ในตัวของมันเอง เช่น
เครื่องฉายภาพยนตร์, เครื่องฉายสไลด์, เครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ
เป็นต้น
3. กิจกรรมหรือวิธีการ ได้แก ่่กระบวนการที่จะใช้ทั้ง
วัสดุและอุปกรณ์ประกอบกัน หรือกระบวนการของมันเองล้วนๆ
ได้แก่ การสาธิต, กลุ่มสัมพันธ์,่์ นิทรรศการ, ทัศนศึกษา,การ
อภิปราย เป็นต้น (ชัยยงค์ พรหมวงศ์, ไม่ระบุปีที่พิมพ์)
สื่อการสอนแบ่งเป็นหมวดหมู่ดังนี้
1. สิ่งพิมพ์, หนังสือแบบเรียน, หนังสืออุเทศก์, หนังสือ
อ่านประกอบ, นิตยสารหรือวารสาร
22
2. วัสดุกราฟิก, แผนภูมิ, แผนสถิติ, แผนภาพ,
โปสเตอร์, การ์ตูน
3. วัสดุและเครื่องฉาย, เครื่องฉายภาพนิ่ง, เครื่องฉาย
ภาพเคลื่อนไหว, เครื่องฉายข้ามศีรษะ, ฟิล์มสไลด์, ฟิล์ม
ภาพยนตร์, แผ่นโปร่งใส
4. วัสดุถ่ายทอดเสียง, เครื่องเล่นแผ่นเสียง, เครื่อง
บันทึกเสียง, เครื่องรับวิทยุ,เครื่องรับโทรทัศน์ (Shorse. 1960 :
11)
การจําแนกสื่อการสอนตามประสบการณ์
ประสบการณ์ตรงที่เป็นรูปธรรมจะทําให้เกิดการเรียนรู้
แตกต่างกับ
ประสบการณ์ที่เป็นนามธรรม ดังนั้นจึงจําแนกสื่อการสอนโดยยึด
ประสบการณ์เป็นหลักเรียงตามลําดับจากประสบการณ์ที่ง่ายไป
ยาก 10 ขั้น เรียกว่า กรวยประสบการณ์ (Cone of Experience)
ขั้นที่ 1 ประสบการณ์ตรง (Direct Experiences) มี
ความหมายเป็นรูปธรรมมากที่สุดทําให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จาก
ประสบการณ์จริง เช่น เล่นกีฬา ทําอาหาร ปลูกพืชผัก หรือเลี้ยง
สัตว์ เป็นต้น
ขั้นที่ 2 ประสบการณ์รอง (Verbal Symbols) เป็นกรณี
ที่ประสบการณ์หรือของจริงมีข้อจํากัด จําเป็นต้องจําลองสิ่งต่าง ๆ
เหล่านั้นมาศึกษาแทน เช่น หุ่นจําลอง ของตัวอย่าง การแสดง
เหตุการณ์จําลองทางดาราศาสตร์
23
ขั้นที่ 3 ประสบการณ์นาฏการ (Dramaticed
Experiences) เป็นประสบการณ์ที่จัดขึ้นแทนประสบการณ์ตรง
หรือเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในอดีตหรืออาจเป็นความคิด ความฝัน
สามารถเรียนด้วยประสบการณ์ตรงหรือประสบการณ์จําลองได้
เช่น การแสดงละคร บทบาทสมมุติ เป็นต้น
ขั้นที่ 4 การสาธิต (Demonstration) เป็นการอธิบาย
ข้อเท็จจริงลําดับความคิดหรือกระบวนการเหมาะสมกับเนื้อหาที่
ต้องการความเข้าใจ ความชํานาญหรือทักษะ เช่น การสาธิตการ
ผายปอดการสาธิตการเล่นของครูพละ เป็นต้น
ขั้นที่ 5 การศึกษานอกสถานที่ (Field Trips) เป็นการ
พาผู้เรียนไปศึกษาหาความรู้นอกห้องเรียน โดยมีจุดมุ่งหมายที่
แน่นอน ประสบการณ์นี้มีความเป็นนามธรรมมากกว่าการสาธิต
เพราะผู้เรียนแทบไม่ได้มีส่วนในกิจกรรมที่ได้พบเห็นนั้นเลย
ขั้นที่ 6 นิทรรศการ (Exhibits) เป็นการจัด
ประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้รับด้วยการดูเป็นส่วนใหญ่ อาจจัดแสดง
สิ่งต่าง ๆ เช่น ของจริง หุ่นจําลอง วัสดุสาธิต แผนภูมิ ภาพยนตร์
เป็นต้น
ขั้นที่ 7 โทรทัศน์และภาพยนตร์ (Television and
Motion Picture) เป็นประสบการณ์ที่เป็นนามธรรมมากกว่าการจัด
นิทรรศการ เพราะผู้เรียนเรียนรู้ได้ด้วยการดูภาพและฟังเสียง
เท่านั้น
24
ขั้นที่ 8 ภาพนิ่ง วิทยุและการบันทึกเสียง (Still Picture)
เป็นประสบการณ์ที่รับรู้ได้ทางใดทางหนึ่งระหว่างการฟังและการ
พูด ซึ่งนับเป็นนามธรรมมากขึ้น
ขั้นที่ 9 ทัศนสัญลักษณ์ (Visual Symbols) เป็นประสบ
การร์ที่เป็นนามธรรมมากที่สุด บรรยาย การปราศรัย คําโฆษณา
ฯลฯ ดังนั้นผู้เรียนควรมีพื้นฐานเช่นเดียวกับทัศนสัญลักษณ์นั้น ๆ
จะทําให้เกิดการเรียนรู้ได้อย่างดี
ขั้นที่ 10 วัจนสัญลักษณ์ (Verbal Symbols) ได้แก่ คํา
พูด คําอธิบาย หนังสือ เอกสาร แผ่นปลิว แผ่นพับ ที่ใช้ตัวอักษร
ตัวเลข แทนความหมายของสิ่งต่าง ๆ นับเป็นประสบการณ์ที่เป็น
นามธรรมมากที่สุด (Edgar Dale. 1969 : 107)
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ สิ่งของ สถานที่
เหตุการณ์ หรือความคิดก็ตามถือเป็นสื่อการสอนได้ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่
กับว่าเราเรียนรู้จากสิ่งนั้นๆหรือนําสิ่งเหล่านั้นเข้ามาสู่การเรียนรู้
ของเราหรือไม่ สื่อทั้งมวลอาจแยกเป็นประเภทใหญ่ๆได้ดังนี้
1. สื่อสิ่งพิมพ์ หมายถึง หนังสือหรือเอกสารสิ่งพิมพ์
ต่างๆ ซึ่งได้แสดงหรือจําแนกหรือเรียบเรียงสาระความรู้ต่างๆโดย
ใช้ตัวหนังสือ ที่เป็นตัวเขียนหรือตัวพิมพ์ เป็นสื่อเพื่อแสดงความ
หมาย สื่อสิ่งพิมพ์มีหลายประเภทได้แก่ เอกสาร หนังสือ ตํารา
หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร จุลสาร จดหมาย จดหมายเหตุ
บันทึก รายงาน วิทยานิพนธ์ เป็นต้น
25
2. สื่อเทคโนโลยี หมายถึง สื่อการสอนที่ได้ผลิต
ขึ้นเพื่อใช้ควบคู่กับเครื่องมือ โสตทัศนวัสดุ หรือเครื่องมือที่เป็น
เทคโนโลยีใหม่ๆ สื่อการเรียนรู้ดังกล่าว เช่น แถบบันทึกภาพพร้อม
เสียง แถบบันทึกเสียง สไลด์ สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน นอกจากนี้
สื่อเทคโนโลยี ยังหมายรวมถึงกระบวนการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ
การนําเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน เช่น การใช้
อินเตอร์เน็ตเพื่อการเรียนการสอน การศึกษาผ่านดาวเทียม
3. สื่ออื่นๆ นอกจากสิ่งพิมพ์และสื่อเทคโนโลยีแล้ว ยังมี
สื่ออื่นๆที่ส่งเสริมการเรียนการสอนซึ่งมีความสําคัญไม่ยิ่งไปกว่าสื่อ
2 ประเภทดังกล่าว เพราะสามารถอํานวยประโยชน์แก่ท้องถิ่นที่
ขาดแคลนสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อเทคโนโลยี สื่อเหล่านี้อาจแบ่งได้เป็น
4 ประเภทดังนี้
3.1 สื่อบุคคล บุคคลที่มีความรู้ความสามารถ
ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านซึ่งสามารถถ่ายทอดสาระความรู้
แนวคิด เจตคติและวิธีปฏิบัติตนไปสู่บุคคลอื่นสื่อบุคคลอาจ
เป็นบุคคลในระบบ เช่น ผู้บริหาร ครูผู้สอน ตัวผู้เรียน หรือ
อาจเป็นบุคคลภายนอก เช่น บุคลากรในท้องถิ่นที่มีความ
ชํานาญ และเชี่ยวชาญในสาขาอาชีพต่างๆ
3.2 สื่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายถึง สิ่งที่
เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือสภาพที่อยู่รอบตัวผู้เรียน เช่น
พืชผัก ผลไม้ สัตว์ชนิดต่างๆ ปรากฏการณ์แผ่นดินไหว
สภาพดินฟ้าอากาศ ห้องเรียน ห้องปฏิบัติการ แหล่งวิทย
บริการ หรือแหล่งเรียนรู้ ห้องสมุด ชุมชน สังคม วัฒนธรรม
26
สิ่งเหล่านี้เป็นสื่อที่มีความสำาคัญต่อการส่งเสริมการเรียนรู้ซึ่ง
ครูหาได้ไม่ยาก
3.3 สื่อกิจกรรม/กระบวนการ หมายถึง กิจกรรม
หรือกระบวนการที่ครูและผู้เรียนกำาหนดขึ้นเพื่อเสริมสร้าง
ประสบการณ์การเรียนรู้ ใช้ในการฝึกทักษะซึ่งต้องใช้
กระบวนการคิด การปฏิบัติ การเผชิญสถานการณ์ การ
ประยุกต์ความรู้ของผู้เรียน เช่น การแสดงละคร บทบาท
สมมติ การสาธิต สถานการณ์จำาลอง การจัดนิทรรศการ การ
ไปทัศนศึกษานอกสถานที่ การปฏิบัติตามใบงาน ฯลฯ
3.4 สื่อวัสดุ/เครื่องมือและอุปกรณ์ หมายถึง วัสดุ
ที่ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อประกอบการเรียนรู้ เช่น หุ่นจำาลอง แผนภูมิ
แผนที่ ตาราง สถิติ กราฟ นอกจากนี้ยังรวมถึงสื่อประเภท
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่จำาเป็นต้องใช้ในการปฏิบัติงานต่างๆ
เช่น อุปกรณ์ทดลองวิทยาศาสตร์ เครื่องมือวิชาช่าง เป็นต้น
สื่อต่างๆในสถานศึกษาจัดทำาหรือจัดหามาใช้เพื่อการเรียนรู้
ผู้เรียนต้องเชื่อมั่นได้ว่าให้สาระการเรียนรู้ที่ถูกต้อง มีความหมาย
และเกี่ยวพันกับการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์และมีคุณค่า ห้องสมุด
หรือศูนย์สื่อเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่สำาคัญมากที่ผู้เรียนสามารถเรียน
รู้ได้ทั้งด้วยตนเองอย่างมีอิสระและอย่างร่วมมือกันและกันระหว่าง
เพื่อนสถานศึกษาจึงต้องพัฒนาห้องสมุดให้ทำาหน้าที่อย่างเต็มที่ ยิ่ง
กว่านั้นโลกรอบตัวผู้เรียนสามารถเข้าถึงได้ด้วยเทคโนโลยี ก็เป็น
เครือข่ายการเรียนรู้ที่ไม่มีขีดจำากัดอีกทั้งยังเพิ่มพูนจนยากจะจำาได้
ทั่วถึง ผู้เรียนจึงต้องได้รับการชี้แนะและฝึกให้รู้จักคิดแสวงหา
27
แหล่งข้อมูลและวิธีการค้นคว้าจากแหล่งความรู้ต่างๆด้วยตนเอง
อย่างอิสระ ตลอดจนได้ฝึกให้สามารถคิด วิเคราะห์ เพื่อเลือกสรร
ข้อมูลมาใช้ประโยชน์ (กระทรวงศึกษาธิการ(2545,หน้า 8-9))
6.3 การใช้สื่อการเรียนการสอน
การเลือกสื่อการสอนเพื่อนำามาใช้ในการเรียนการสอนนั้น
ต้องดูที่วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมในการเรียนก่อน เพื่อที่จะได้ใช้
เป็นแนวทางในการเลือกสื่อให้ ตรงตามวัตถุประสงค์ นอกจากนั้นมี
วิธีพิจารณาในการเลือกสื่อดังนี้
1. สื่อการสอนนั้นต้องตรงตามจุดมุ่งหมายของการเรียน
2. ต้องมีเนื้อหาถูกต้อง ทันสมัย และน่าสนใจ
3. เหมาะสมกับวัย ความรู้ และประสบการณ์ของผู้เรียน
4. มีความสะดวกในการใช้งาน รวมถึงการเก็บรักษา
5. มีราคาไม่แพงเกินไป
สรุปว่า การจะเลือกสื่อมาใช้ในการเรียนการสอนอย่างมี
ประสิทธิภาพนั้น ผู้สอนจะต้องมีความรู้ความสามารถและทักษะใน
เรื่องต่าง ๆ ดังนี้
1. วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมและจุดมุ่งหมายในการเรียน
การสอน
2. จุดมุ่งหมายในการนำาสื่อมาใช้ประกอบหรือร่วมใน
กิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อใช้ในการนำาบทเรียน ใช้ในการ
ประกอบคำาอธิบาย ใช้เพื่อสรุปบทเรียน
28
3. ต้องเข้าใจลักษณะเฉพาะของสื่อแต่ละชนิด ว่า สามารถ
เร้าความสนใจและให้ความหมายต่อประสบการณ์การเรียนรู้แก่ผู้
เรียนได้อย่างไรบ้าง
4. ต้องมีความรู้เกี่ยวกับแหล่งของสื่อการเรียนการสอน ซึ่ง
สื่อบางอย่างผลิตเองจะคุ้มค่าหรือไม่ หรืออาจหายืมได้ที่ไหนบ้าง
(กิดานันท์ มลิทอง, 2543)
การเลือกสื่อการสอน
1. ควรใช้สื่อการสอนได้อย่างคล่องแคล่ว โดยต้องฝึกการ
ใช้ก่อนใช้จริงในชั้นเรียน
2. ควรแสดงสื่อการสอนให้เห็นได้ชัดเจนทั่วทั้งห้อง เช่น
การยกแบบจาลองให้ผู้เรียนดู ควรยกให้สูงในระดับอกของผู้สอน
และผู้สอนควรยืนอยู่ด้านหน้าห้องเรียนโดยพยายามยืนชิด
กระดานดาให้มากที่สุด โดยเฉพาะห้องที่มีช่องว่างเล็กน้อยระหว่าง
ที่นั่งของผู้เรียนกับกระดานดาเพื่อช่วยให้ผู้เรียนที่นั่งหน้าสุด
สามารถมองเห็นได้
3. ควรหาที่ตั้งวางหรือแขวนสื่อการสอนที่มีขนาดใหญ่และ
มีน้าหนักมาก เช่น แผนภูมิ แผนที่ หุ่นจาลองเซลล์พืช-เซลล์สัตว์
เขื่อนจาลอง ฯลฯ ในจุดที่จะทาให้ผู้เรียนเห็นได้ชัดเจนทั่วทั้งห้อง
ไม่ควรยืนถือแล้วอธิบายเพราะจะทาให้ผู้สอนไม่คล่องแคล่วเท่าที่
ควร และอาจทาให้ผู้เรียนเห็นสื่อนั้นไม่ชัดเจน เนื่องจากระหว่างที่
ผู้สอนอธิบายมักมีท่าทางเคลื่อนไหวไปมา
29
4. ควรใช้ไม้ยาวและมีปลายเรียวมน หรือใช้แสงจากปากกา
เลเซอร์ชี้แผนภูมิ แผนที่ กระดานดา แทนการใช้นิ้วมือ โดยผู้สอน
ควรยืนชิดไปด้านใดด้านหนึ่งเพื่อมิให้บังสายตาของผู้เรียนจาก
ส่วนใดส่วนหนึ่งของสื่อการสอนนั้น
5. ควรนาสื่อการสอนมาวางเรียงไว้เป็นลาดับที่หน้าชั้น
เรียนก่อนถึงเวลาจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อสะดวกในการหยิบใช้
เช่น การใช้รูปภาพหรือแผ่นใส ภาพใดแผ่นใดใช้ก่อนควรเรียงไว้
ข้างบน และควรจัดวางในลักษณะที่จะไม่หันเหความสนใจของผู้
เรียนเมื่อยังไม่ถึงเวลาใช้ เช่น ควรวางภาพคว่าหน้าลง หรือหุ่นจา
ลองที่ยังไม่ใช้ก็ควรใส่กล่องไว้ก่อน เป็นต้น
6. ควรเลือกใช้เครื่องมือประกอบการใช้สื่อการสอนให้
เหมาะสม เช่น ถ้าต้องการจะติดแผนภูมิภาพ แผนที่ ฯลฯ บน
กระดานนิเทศ ควรใช้หมุดติด แต่ถ้าจาเป็นต้องติดบนกระดานดาก็
ไม่ควรใช้หมุด ควรใช้ดินน้ามันหรือเทปกาวแทน และควรตัดเทป
กาวเป็นชิ้นๆโดยติดปลายข้างหนึ่งไว้กับแผนภูมิให้ครบทุกมุมเสีย
ก่อน เมื่อจะใช้ก็สามารถติดกระดานดาได้เลย หรือตัดเทปกาวเป็น
ชิ้นๆตามขนาดที่ต้องการเตรียมไว้ก่อนจะได้ไม่เสียเวลาในขณะใช้
จริง
7. ในบางกรณีควรมีการเตรียมความพร้อมของผู้เรียนล่วง
หน้าก่อนการใช้สื่อการสอน เช่น ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่
ต้องการให้มีการสังเกตผล ผู้สอนควรแจ้งให้ผู้เรียนทราบเสียก่อน
ว่าต้องการให้ผู้เรียนสังเกตเรื่องใด ตอนใด เพื่อให้ผู้เรียนสามารถ
ทาตามความประสงค์ของผู้สอนได้
30
8. ควรใช้สื่อการสอนให้คุ้มค่ากับเวลาที่ใช้ไปในการเตรียม
และใช้อย่างทะนุถนอม ใช้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด เช่น ได้ใช้
แผ่นใสแสดงระบบขับถ่ายของคน ในขั้นการสอนแล้ว ครูอาจใช้
แผ่นใสนั้นซ้าอีกครั้งในขั้นสรุป แต่ต้องมีวิธีใช้ที่แตกต่างกัน ขั้น
การสอนครูใช้แผ่นใสช่วยอธิบายเนื้อหาสาระ จึงควรให้ผู้เรียนได้
เห็นคาอธิบายประกอบแผ่นใสนั้น ได้แก่ ไต ต่อมหมวกไต ท่อไต
กระเพาะปัสสาวะ เส้นเลือดเข้าไต ฯลฯ แต่ถ้าใช้ในขั้นสรุป ผู้สอน
ควรใช้กระดาษแผ่นเล็กๆปิดคาอธิบายนั้นเมื่อตั้งคาถามผู้เรียนใน
แต่ละส่วน เพื่อจะได้วัดผลการเรียนในชั่วโมงนั้นด้วย การใช้สื่อ
การสอนเช่นนี้นอกจากจะทาให้ประหยัดแรงงานในการทาสื่อแล้ว
ยังใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ บรรลุผลการเรียนรู้ที่คาดหวังในแต่ละขั้น
ตอนของกิจกรรมการเรียนรู้ด้วย
9. พยายามเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีกิจกรรมร่วมหรือได้
ศึกษาสื่อการสอนนั้นๆด้วยตนเอง เช่น การให้ผู้เรียนอธิบายภาพ
ในแผ่นใส หรืออธิบายส่วนประกอบต่างๆในหุ่นจาลอง เป็นต้น
10. ควรฝึกให้ผู้เรียนเกิดระเบียบในการใช้สื่อการสอน เช่น
ในโอกาสที่ต้องการแจกสื่อการสอนไปตามโต๊ะของผู้เรียน เพื่อทา
การทดสอบ ผู้สอนควรส่งสื่อทั้งหมดให้กับผู้เรียนที่นั่งอยู่ด้านหน้า
หยิบส่วนของตนไว้แล้วส่งที่เหลือให้คนต่อไป หรือในโอกาสที่
ต้องการให้ผู้เรียนมาใช้สื่อการสอนหน้าชั้นเรียนควรฝึกให้ผู้เรียน
หันหน้าเข้าหา ชั้นเรียน และไม่ยืนบังสายตาของเพื่อนจากสื่อการ
สอนต่างๆที่ใช้
31
11. ควรคานึงถึงความปลอดภัย การใช้สื่อบางชนิด โดย
เฉพาะในกรณีที่จาเป็นให้ผู้เรียนใช้เองก็ควรกาชับผู้เรียนให้
ระมัดระวังในการใช้เป็นพิเศษ เช่น ไม่ควรวางก้านไม้ขีดที่จุดแล้ว
ทิ้งไว้บนโต๊ะ ซึ่งอาจทาให้โต๊ะเป็นรอยไหม้และอาจเกิดอุบัติเหตุ
ขึ้นได้ ควรมีฝาโลหะหรือจานแก้วหรือกระป๋องทรายสาหรับรองรับ
(ชาตรี เกิดธรรม, การเลือกสื่อการสอนวิทยาศาสตร์. คณะ
ครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ในพระบรม
ราชูปถัมภ์ วันที่สืบค้น 12 ธันวาคม 2558 )
7. วิธีสอน
7.1 วิธีการสอนได้จำาแนกไว้ 14 วิธี (ทัศนา แขมมณี)
1. วิธีสอนโดยใช้การบรรยาย (Lecture)
2. วิธีสอนโดยใช้การสาธิต (Demonstration)
3. วิธีสอนโดยใช้การทดลอง (Experiment)
4. วิธีสอนโดยใช้การนิรมัย (Deduction)
5. วิธีสอนโดยใช้การอุปนัย (Induction)
6. วิธีสอนโดยใช้การไปทัศนศึกษา (Field Trip)
7. วิธีสอนโดยใช้การอภิปรายกลุ่มย่อย (Small Group
Discussion)
8. วิธีสอนโดยใช้การแสดงละคร (Dramatization)
9. วิธีสอนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมุติ (Role Playing)
10. วิธีสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง (Case)
11. วิธีสอนโดยใช้เกม (Game)
12. วิธีสอนโดยใช้สถานการณ์จำาลอง (Simulation)
32
13. วิธีสอนโดยใช้ศูนย์การเรียน (Learning Center)
14. วิธีสอนโดยใช้บทเรียนแบบโปรแกรม (Programmed
Intruction)
ผู้วิจัยได้ศึกษาวิธีการสอนโดยใช้การสาธิต
(Demonstration) วิธีสอนแบบสาธิต หมายถึง การที่ครูหรือ
นักเรียนคนใดคนหนึ่ง แสดงบางสิ่งบางอย่างให้นักเรียนดู หรือ
ให้เพื่อนๆดู อาจเป็นการแสดงการใช้เครื่องมือแสดงให้เห็น
กระบวนการวิธีการ กลวิธีหรือการทดลองที่มีอันตราย ซึ่งไม่เหมาะ
ที่จะให้นักเรียนทำาการทดลอง การสอนวิธีนี้ช่วยให้นักเรียนเกิด
ความรู้ความเข้าใจและสามารถทำาในสิ่งนั้นได้ถูกต้อง และยัง
เป็นการสอนให้นักเรียนได้ใช้ทักษะในการสังเกต และถือว่า
เป็นการได้ประสบการณ์ตรงวิธีหนึ่ง วิธีสอนแบบสาธิต จึงเป็นการ
สอนที่ยึดผู้สอนเป็นศูนย์กลาง เพราะผู้สอนเป็นผู้วางแผน ดำาเนิน
การ และลงมือปฏิบัติ ผู้เรียนอาจมีส่วนร่วมบ้างเล็กน้อย วิธีสอน
แบบนี้จึงเหมาะสำาหรับ จุดประสงค์การสอนที่ต้องการให้ผู้เรียน
เห็นขั้นตอนการปฏิบัติ เช่น วิชาพลศึกษา ศิลปศึกษา
อุตสาหกรรมศิลป์ วิชาในกลุ่มการงานและพื้นฐานอาชีพ เป็นต้น
7.2 ความมุ่งหมาย
เพื่อแสดงให้ผู้เรียนได้เห็นขั้นตอนการปฏิบัติต่างๆ ซึ่งจะ
ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง และสามารถปฏิบัติ
ตามได้
33
7.3 เมื่อใดจึงจะใช้การสอนแบบสาธิต
1. เมื่อนำาเข้าสู่บทเรียน ผู้สอนสาธิตให้ผู้ดูเพื่อให้ผู้เรียนตั้ง
ปัญหาและเกิดความอยากรู้ อยากเห็น อยากค้นหาคำาตอบต่อไป
2. เพื่อสร้างปัญหาให้ผู้เรียนคิด
3. เพื่อต้องการสร้างความเข้าใจในความคิดรวบยอด ความ
จริงหลักทฤษฎี โดย นักเรียนสามารถมองเห็นโดยตรง
4. เมื่ออธิบายเครื่องมือวิทยาศาสตร์ส่วนไหนทำาหน้าที่อะไร
5. เมื่อเครื่องมือที่จะทำาการทดลองมีราคาแพง หรือเกิด
อันตรายได้ง่าย
6. ควรคำานึงถึงฤดูกาล
7.4 โอกาศในการใช้
เพื่อกระตุ้นความสนใจของนักเรียนให้มีความสนใจในบท
เรียนช่วยอธิบายเนื้อหาวิชาที่ยาก ต้องใช้เวลานานให้เข้าใจง่าย
ขึ้นและประหยัดเวลาเพื่อแสดงวิธีการหรือกลไกวิธีในการปฏิบัติ
งานซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำาพูด เช่น การทำากิจกรรม วิชา
ศิลปะ หัตถกรรม งานประดิษฐ์ นาฏศิลป์เพื่อช่วยสรุปบทเรียน เพื่อ
ใช้ทบทวนบทเรียน เพื่อสร้างความเข้าใจ ความคิดรวบยอด ความ
จริง หลักทฤษฎี โดยนักเรียนมองเห็นได้โดยตรง เพื่อทดสอบหรือ
ยืนยันการสังเกตในครั้งก่อนๆ ว่าผลเหมือนเดิมหรือไม่
7.5 ประเภทของการสาธิต
34
แบบที่ 1
1. สาธิตให้ดูทั้งชั้น การสาธิตให้ดูทั้งชั้นผู้สอนจะต้องระวัง
ให้ทุกคนมองเห็นและเข้าใจการสาธิตในแต่ละครั้ง อย่างไรก็ตาม
การสาธิตให้ดูทั้งชั้นย่อมมีผู้เรียนบางคนไม่เข้าใจดีพอเนื่องจาก
บางคนมีพื้นความรู้หรือประสบการณ์แตกต่างกัน
2. การสาธิตให้ดูเป็นกลุ่มหรือเป็นหมู่ เมื่อมีผู้เรียนจำานวน
หนึ่ง เรียนไม่เข้าใจดีพอ จึงจำาเป็นต้องสาธิตให้ดูใหม่เป็นกลุ่ม
เล็ก ในแต่ละชั้นเรียนอาจมีผู้เรียนได้เร็วมาก ปานกลางหรือช้า
ไปบ้าง การสาธิตให้ดูเป็นหมู่ เฉพาะที่มีความรู้ไล่เลี่ยกันจะเป็น
แรงจูงใจให้ผู้เรียนแต่ละหมู่ทำางานอย่างเต็มความสามารถของตน
3. การสาธิตให้ดูเป็นรายบุคคล เมื่อผู้สอนสาธิตให้ดูเป็นหมู่
เป็นกลุ่มแต่ผู้เรียนบางคนไม่อาจจะเข้าใจการสาธิตทั้งชั้นหรือ
เป็นกลุ่มได้ หรือผู้เรียนบางคนไม่ได้เข้าร่วม ผู้สอนจึงต้องสาธิต
ให้ดูเป็นรายบุคคล
แบบที่ 2
1. ครูแสดงการสาธิตคนเดียว ( Teacher-
Demonstration)
2. ครูและนักเรียนช่วยกันแสดงสาธิต (Teacher-Student-
Demonstration )
3. กลุ่มนักเรียนล้วนเป็นผู้สาธิต (Student Group
Demonstration )
4. นักเรียนคนเดียวเป็นผู้สาธิต (Individual Student
Demonstration )
35
5. วิทยากรเป็นผู้สาธิต ( Guest Demonstration )
8. การสร้างแบบทดสอบ
การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยใช้แบบทดสอบแบบอัตนัย เป็นแบบ
ทดสอบที่ประกอบด้วยคำาถามที่มีจำานวนข้อไม่มากนัก ไม่มีคำาตอบ
ให้เลือกตอบ ผู้ตอบจะต้องคิดหาคำาตอบเองโดยบูรณาการความรู้
และความคิดแล้วแสดงออกเป็นภาษาเขียนอย่างถูกต้องและสมเหตุ
สมผลตามหลักวิชาโดยมีขั้นตอนดังนี้
1. วางแผนการสร้างข้อสอบตั้งวัตถุประสงค์ของการสร้าง
ข้อสอบอัตนัยว่ามุ่งวัดพฤติกรรมด้านใด
2. ขั้นการสร้างแบบทดสอบจะเน้นคำาตอบสั้น ๆ เน้นคำาตอบ
ที่มีขอบเขตจำากัด
3. ขั้นคัดเลือกแบบทดสอบ จะเลือกแบบทดสอบตามจำานวน
ข้อที่ต้องการ พร้อมทั้งพิจารณาว่าจำานวนข้อที่คัดเลือกให้เหมาะ
สมกับระยะเวลาในการสอบ
4. การให้คะแนนผู้วิจัยจะวิเคราะห์เป็นส่วน ๆ เป็นวิธีการ
ตรวจให้คะแนนโดยการเปรียบเทียบคำาตอบกับคำาเฉลย
9. เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
Claudine Kavanagh. (2007). Learning about Gravity II.
Trajectories and Orbits: A Guide for Teachers and
Curriculum Developers. Astronomy Education
Review, 5(2).
36
37
บทที่ 3
วิธีดำาเนินการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้จัดทำาขึ้นเพื่อศึกษาความเข้าใจผิดของกลุ่ม
ตัวอย่างในเรื่อง ความเข้าใจผิดทางแนวคิดพื้นฐานในเนื้อหาสาระ
เกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงโดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 สายวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์
โรงเรียนฟากกว๊านวิทยาคม จังหวัดพะเยา ภาคเรียนที่ 2 ปีการ
ศึกษา 2557 จำานวน 26 คน เป็นนักเรียนชาย 13 คน นักเรียน
หญิง 13 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าประกอบด้วย
1. แผนการสาธิตกิจกรรมเรื่อง แรงโน้มถ่วงกับอากาศ
จากที่ได้ศึกษาเนื้อหาเรื่อง แรงโน้มถ่วง ผู้วิจัยได้วางแผน
กิจกรรมการสาธิต โดยการสาธิตประกอบด้วย แบบสำารวจก่อน
เรียนและหลังเรียน สื่อการสอนชุดทดลองเรื่อง กระดิ่งไฟฟ้าใน
สุญญากาศ และเอกสารประกอบการสาธิต
2. แรงโน้มถ่วง ซึ่งเป็นข้อสอบแบบอัตนัย จำานวน 6 ข้อ
2.1 จากการศึกษาเนื้อหาเรื่องแรงโน้มถ่วง ผู้วิจัยได้
ออกแบบ แบบสำารวจก่อนเรียนและหลังเรียน โดยแบบสำารวจก่อน
38
เรียนและหลังเรียนเป็นแบบสำารวจอัตนัย มีประเด็นคำาถามใกล้
เคียงกัน
2.2 นำาแบบสำารวจที่ผู้วิจัยออกแบบให้อาจารย์ที่ปรึกษา
ตรวจสอบความถูกต้องและเสนอแนะ
2.3 ผู้วิจัยนำาสิ่งที่อาจารย์ที่ปรึกษาเสนอแนะมาปรับปรุง
แก้ไข และส่งให้อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจอีกครั้ง
3. สื่อที่ใช้ในการสาธิต ชุดทดลองเรื่อง กระดิ่งไฟฟ้าใน
สุญญากาศ
3.1 ศึกษาเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องแรงโน้มถ่วง และ
ตัวอย่างสื่อการสอนจากแหล่งต่างๆ
3.2 นำาสิ่งที่ได้ศึกษามาออกแบบเป็นเป็นสื่อการสอน มี
อุปกรณ์ดังนี้
3.2.1 ชุดการทดลองสำาเร็จรูป เรื่อง กระดิ่งไฟฟ้าใน
สุญญากาศ
3.2.2 มวลแขวนสปริง
3.2.3 สเกลไม้บรรทัด
39
รูปที่ 3.1 สื่อการสอน (ชุดการทดลองกระดิ่งไฟฟ้าในสุญญากาศ)
การดำาเนินงานวิจัย
การดำาเนินงานวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้ทบทวนงานวิจัยและมี
การวางแผนการดำาเนินงาน มีขั้นตอนดังนี้
1. การทบทวนงานวิจัยในประเด็นการเรียนการสอนของ
ประเทศไทยและต่างประเทศทำาให้ผู้วิจัยเกิดความสนใจที่จะนำา
ความรู้จากการทบทวนงานวิจัยมาประยุกต์ใช้ศึกษากับนักเรียน
ไทยว่า มีความเข้าใจผิดในเนื้อหาวิชาฟิสิกส์พื้นฐานเรื่อง แรงโน้ม
ถ่วงหรือไม่
2. การวางแผนงานคือ ผู้วิจัยจะใช้แบบสำารวจความเข้าใจ
ของนักเรียนก่อน ว่ามีปัญหาความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องแรงโน้ม
40
ถ่วงหรือไม่ หลังจากนั้นจะประดิษฐ์สื่อการสอนสำาหรับการแก้
ปัญหาความเข้าใจผิดนั้น และผู้วิจัยจะใช้แบบสำารวจความเข้าใจ
กับผู้เรียนอีกครั้ง เพื่อวิเคราะห์ผลว่าการสอนโดยใช้สื่อจะช่วยให้
ผู้เรียนเข้าใจขึ้นหรือไม่
3. การออกแบบผู้วิจัยจะใช้ แบบสำารวจความเข้าใจก่อน
เรียน-หลังเรียน ใช้การตอบคำาถามแบบอัตนัยจำานวน 6 ข้อ โดย
การตั้งคำาถามเพื่อการสำารวจนั้นอยู่ในการดูแลของครูที่ปรึกษา
รวมถึงการออกแบบสื่อการสอนสำาหรับแก้ปัญหาความเข้าใจผิดดัง
กล่าวก็อยู่ในการดูแลของครูที่ปรึกษาเช่นกัน
4. การเลือกกลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียน
สายวิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ โรงเรียนฟากกว๊านวิทยาคม โดย
ใช้สูตรการเลือกกลุ่มตัวอย่างของ TARO YAMANE ใช้ความเชื่อ
มั่นที่ 85% ได้ขนาดของหน่วยตัวอย่างกลุ่มเป้าหมายจำานวน 26
คน จากประชากรทั้งหมด 60 คน
5. การวิเคราะห์ผล
การเก็บรวบรวมข้อมูล
การเก็บรวบรวมข้อมูลในครั้งนี้ผู้วิจัยทำาการเก็บรวบรวม
ข้อมูลด้วยตนเอง ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1. ทำาหนังสือขอความอนุเคราะห์ผู้บริหารโรงเรียนฟาก
กว๊านวิทยาคม เพื่อขอกลุ่มตัวอย่าง
41
2. ใช้แบบสำารวจความเข้าใจผิดก่อนเรียนเรื่อง แรงโน้ม
ถ่วง กับผู้เรียนก่อนใช้เวลา 20 นาที
3. สาธิตกิจกรรมโดยสื่อการสอนชุด กระดิ่งไฟฟ้าใน
สุญญากาศ ใช้เวลา 30 นาที
4. ใช้แบบสำารวจความเข้าใจผิดหลังเรียนเรื่อง แรงโน้มถ่วง
กับผู้เรียนอีกครั้ง ใช้เวลา 20 นาที
5. วิเคราะห์ผล ว่านักเรียนมีความที่ถูกต้องเพิ่มมากขึ้นหรือ
ไม่
6. สรุปผลการการวิจัยตามระเบียบของมหาวิทยาลัย
การวิเคราะห์ข้อมูล
คำาถามเป็นการวัดความเข้าใจ จึงใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิง
คุณภาพ เป็นการวิเคราะห์แนวโน้มของคำาตอบของคำาถามที่วัด
ความเข้าใจตามวัตถุประสงค์จากแบบสำารวจก่อนเรียนกับหลัง
เรียนมาใช้ในเปรียบเทียบว่ามีแนวโน้มไปในทิศทางใด
42
บทที่ 4
ผลการวิจัย
ผู้วิจัยได้นำาข้อมูลตัวอย่างที่เก็บรวบรวมมาได้จำานวน 26
ชุดที่มาทำา การวิเคราะห์ ด้วยวิธีการทางสถิติ (ร้อยละ) โดยจะนำา
เสนอผลการ วิเคราะห์ก่อนเรียนและหลังเรียน
ดังต่อไปนี้
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
1. สรุปความเข้าใจก่อนเรียนและหลังเรียนของกลุ่มตัวอย่าง
43
2. แนวการตอบคำาถามก่อนเรียนและหลังเรียนของกลุ่ม
ตัวอย่าง
3. สรุปผลการเปรียบเทียบการตอบคำาถามก่อนเรียนและ
หลังเรียน ของกลุ่มตัวอย่าง
สรุปความเข้าใจก่อนเรียนและหลังเรียนของกลุ่มตัวอย่าง
(ข้อที่ 1 )
รูปที่ 4.1 สรุปความเข้าใจก่อนเรียนและหลังเรียนของกลุ่มตัวอย่าง
(ข้อที่ 1)
ตารางที่ 4.1 แนวการตอบคำาถามก่อนเรียนของกลุ่ม
ตัวอย่าง (ข้อที่ 1)
คำาถามที่ 1 ถ้าไม่มีอากาศจะมีแรงโน้มถ่วงหรือไม่ เพราะเหตุใด
ถูก/
ผิด
แนวคำาตอบ
ถูก
[11]
- เพราะมันไม่เกี่ยวข้องกัน [6]
- เพราะแรงโน้มถ่วงออกมาจากใจกลางโลก
ถูก/
ผิด
แนวคำาตอบ
- เพราะอากาศไม่ใช่แรงโน้มถ่วง[3]
ก่อนเรียน หลังเรียน
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan
ส่วนเนื้อหา  Report end_arunwan

More Related Content

What's hot

ระบบส ร ยะจ_กรวาล
ระบบส ร ยะจ_กรวาลระบบส ร ยะจ_กรวาล
ระบบส ร ยะจ_กรวาลMiewz Tmioewr
 
ดาราศาสตร์และอวกาศ
ดาราศาสตร์และอวกาศดาราศาสตร์และอวกาศ
ดาราศาสตร์และอวกาศjihankanathip
 
โลกและดาราศาสตร์ เรื่อง เอกภพ
โลกและดาราศาสตร์ เรื่อง  เอกภพโลกและดาราศาสตร์ เรื่อง  เอกภพ
โลกและดาราศาสตร์ เรื่อง เอกภพMoukung'z Cazino
 
ระบบสุริยะ
ระบบสุริยะระบบสุริยะ
ระบบสุริยะsupatthra1111
 
ดวงอาทิตย์
ดวงอาทิตย์ดวงอาทิตย์
ดวงอาทิตย์Arisara Sutachai
 
บทที่ 8 เทคโนโลยีอวกาศ
บทที่ 8 เทคโนโลยีอวกาศบทที่ 8 เทคโนโลยีอวกาศ
บทที่ 8 เทคโนโลยีอวกาศTa Lattapol
 
บทที่ 1 กำเนิดเอกภพ
บทที่ 1 กำเนิดเอกภพบทที่ 1 กำเนิดเอกภพ
บทที่ 1 กำเนิดเอกภพnarongsakday
 
ดวงอาทิตย์ The sun
ดวงอาทิตย์  The sunดวงอาทิตย์  The sun
ดวงอาทิตย์ The sunnative
 
Universe
UniverseUniverse
Universeyokyoi
 
บทที่ 5 เอกภพ
บทที่ 5 เอกภพบทที่ 5 เอกภพ
บทที่ 5 เอกภพTa Lattapol
 
โครงสร้างโลกและการกำเนิดโลก
โครงสร้างโลกและการกำเนิดโลกโครงสร้างโลกและการกำเนิดโลก
โครงสร้างโลกและการกำเนิดโลกttt ttt
 
บทที่ 6 ดาวฤกษ์
บทที่ 6 ดาวฤกษ์บทที่ 6 ดาวฤกษ์
บทที่ 6 ดาวฤกษ์Ta Lattapol
 

What's hot (20)

ระบบส ร ยะจ_กรวาล
ระบบส ร ยะจ_กรวาลระบบส ร ยะจ_กรวาล
ระบบส ร ยะจ_กรวาล
 
ทฤษฏีบิกแบง
ทฤษฏีบิกแบงทฤษฏีบิกแบง
ทฤษฏีบิกแบง
 
ดาราศาสตร์และอวกาศ
ดาราศาสตร์และอวกาศดาราศาสตร์และอวกาศ
ดาราศาสตร์และอวกาศ
 
โลกและดาราศาสตร์ เรื่อง เอกภพ
โลกและดาราศาสตร์ เรื่อง  เอกภพโลกและดาราศาสตร์ เรื่อง  เอกภพ
โลกและดาราศาสตร์ เรื่อง เอกภพ
 
ระบบสุริยะ
ระบบสุริยะระบบสุริยะ
ระบบสุริยะ
 
ดวงอาทิตย์
ดวงอาทิตย์ดวงอาทิตย์
ดวงอาทิตย์
 
ระบบสุริยะ
ระบบสุริยะระบบสุริยะ
ระบบสุริยะ
 
บทที่ 8 เทคโนโลยีอวกาศ
บทที่ 8 เทคโนโลยีอวกาศบทที่ 8 เทคโนโลยีอวกาศ
บทที่ 8 เทคโนโลยีอวกาศ
 
Unit2 เอกภพและกาแล็กซี่
Unit2 เอกภพและกาแล็กซี่Unit2 เอกภพและกาแล็กซี่
Unit2 เอกภพและกาแล็กซี่
 
บทที่ 1 กำเนิดเอกภพ
บทที่ 1 กำเนิดเอกภพบทที่ 1 กำเนิดเอกภพ
บทที่ 1 กำเนิดเอกภพ
 
บทที่ 5 เอกภพ
บทที่ 5  เอกภพบทที่ 5  เอกภพ
บทที่ 5 เอกภพ
 
กลุ่มที่ 4
กลุ่มที่ 4กลุ่มที่ 4
กลุ่มที่ 4
 
ดวงอาทิตย์ The sun
ดวงอาทิตย์  The sunดวงอาทิตย์  The sun
ดวงอาทิตย์ The sun
 
Universe
UniverseUniverse
Universe
 
Astronomy V
Astronomy VAstronomy V
Astronomy V
 
บทที่ 5 เอกภพ
บทที่ 5 เอกภพบทที่ 5 เอกภพ
บทที่ 5 เอกภพ
 
123
123123
123
 
โครงสร้างโลกและการกำเนิดโลก
โครงสร้างโลกและการกำเนิดโลกโครงสร้างโลกและการกำเนิดโลก
โครงสร้างโลกและการกำเนิดโลก
 
42101 3
42101 342101 3
42101 3
 
บทที่ 6 ดาวฤกษ์
บทที่ 6 ดาวฤกษ์บทที่ 6 ดาวฤกษ์
บทที่ 6 ดาวฤกษ์
 

Similar to ส่วนเนื้อหา Report end_arunwan

กฎของคูลอมป์
กฎของคูลอมป์กฎของคูลอมป์
กฎของคูลอมป์Chakkrawut Mueangkhon
 
Solar system
Solar systemSolar system
Solar systemJiraporn
 
กำเนิดสุริยะ ม.3
กำเนิดสุริยะ ม.3กำเนิดสุริยะ ม.3
กำเนิดสุริยะ ม.3Sukumal Ekayodhin
 
สื่อประกอบการสอน เอกภพ
สื่อประกอบการสอน เอกภพสื่อประกอบการสอน เอกภพ
สื่อประกอบการสอน เอกภพsarawut chaiyong
 
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าuntika
 
ดาวเทียม(แววปราชญ์+สิรวิชญ์)402
ดาวเทียม(แววปราชญ์+สิรวิชญ์)402ดาวเทียม(แววปราชญ์+สิรวิชญ์)402
ดาวเทียม(แววปราชญ์+สิรวิชญ์)402Sirawich Wuvanich
 
โครงสร้างโลก.ppt
โครงสร้างโลก.pptโครงสร้างโลก.ppt
โครงสร้างโลก.pptMarkChaitawat
 
Astronomyม.4
Astronomyม.4Astronomyม.4
Astronomyม.4Joe Stk
 
น้ำขึ้น น้ำลง
น้ำขึ้น น้ำลงน้ำขึ้น น้ำลง
น้ำขึ้น น้ำลงseesai
 
หลุมดำและอวกาศ
หลุมดำและอวกาศหลุมดำและอวกาศ
หลุมดำและอวกาศHiran Vayakk
 
ดาวเทียม(ถิระพัฒน์+บุญอุ้ม)401
ดาวเทียม(ถิระพัฒน์+บุญอุ้ม)401ดาวเทียม(ถิระพัฒน์+บุญอุ้ม)401
ดาวเทียม(ถิระพัฒน์+บุญอุ้ม)401Png Methakullachat
 
คลื่นวิทยุ(วีรภัทร พาทิศ)402
คลื่นวิทยุ(วีรภัทร พาทิศ)402คลื่นวิทยุ(วีรภัทร พาทิศ)402
คลื่นวิทยุ(วีรภัทร พาทิศ)402Petch Tongthummachat
 

Similar to ส่วนเนื้อหา Report end_arunwan (20)

ระบบสุริยะ
ระบบสุริยะระบบสุริยะ
ระบบสุริยะ
 
กฎของคูลอมป์
กฎของคูลอมป์กฎของคูลอมป์
กฎของคูลอมป์
 
Solar system
Solar systemSolar system
Solar system
 
กำเนิดสุริยะ ม.3
กำเนิดสุริยะ ม.3กำเนิดสุริยะ ม.3
กำเนิดสุริยะ ม.3
 
ข่าวสุริยะ
ข่าวสุริยะข่าวสุริยะ
ข่าวสุริยะ
 
สื่อประกอบการสอน เอกภพ
สื่อประกอบการสอน เอกภพสื่อประกอบการสอน เอกภพ
สื่อประกอบการสอน เอกภพ
 
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
 
ดาวเทียม(แววปราชญ์+สิรวิชญ์)402
ดาวเทียม(แววปราชญ์+สิรวิชญ์)402ดาวเทียม(แววปราชญ์+สิรวิชญ์)402
ดาวเทียม(แววปราชญ์+สิรวิชญ์)402
 
Contentastrounit3
Contentastrounit3Contentastrounit3
Contentastrounit3
 
โครงสร้างโลก.ppt
โครงสร้างโลก.pptโครงสร้างโลก.ppt
โครงสร้างโลก.ppt
 
Astronomyม.4
Astronomyม.4Astronomyม.4
Astronomyม.4
 
โลกของเรา
โลกของเราโลกของเรา
โลกของเรา
 
น้ำขึ้น น้ำลง
น้ำขึ้น น้ำลงน้ำขึ้น น้ำลง
น้ำขึ้น น้ำลง
 
หลุมดำและอวกาศ
หลุมดำและอวกาศหลุมดำและอวกาศ
หลุมดำและอวกาศ
 
ดาวเทียม(กันต์+น้ำเพชร) ๔๐๑
ดาวเทียม(กันต์+น้ำเพชร) ๔๐๑ดาวเทียม(กันต์+น้ำเพชร) ๔๐๑
ดาวเทียม(กันต์+น้ำเพชร) ๔๐๑
 
Contentastrounit2
Contentastrounit2Contentastrounit2
Contentastrounit2
 
ดาวเทียม(ถิระพัฒน์+บุญอุ้ม)401
ดาวเทียม(ถิระพัฒน์+บุญอุ้ม)401ดาวเทียม(ถิระพัฒน์+บุญอุ้ม)401
ดาวเทียม(ถิระพัฒน์+บุญอุ้ม)401
 
คลื่นวิทยุ(วีรภัทร พาทิศ)402
คลื่นวิทยุ(วีรภัทร พาทิศ)402คลื่นวิทยุ(วีรภัทร พาทิศ)402
คลื่นวิทยุ(วีรภัทร พาทิศ)402
 
Ppt newton's law
Ppt newton's lawPpt newton's law
Ppt newton's law
 
Ppt newton's law
Ppt newton's lawPpt newton's law
Ppt newton's law
 

ส่วนเนื้อหา Report end_arunwan

  • 1. 1 บทที่ 1 บทนํา ความเป็นมาและความสําคัญของปัญหา ความเข้าใจผิดทางฟิสิกส์ดาราศาสตร์มีมากมายหลายเรื่อง จากการทบทวนงานวิจัยของ Claudine Kavanagh. (2007) พบ ตัวอย่างความเข้าใจผิดอาทิ − แรงโน้มถ่วงต้องการอากาศ − วัตถุในวงโคจรมีนํ้าหนัก ดังนั้น แรงโน้มถ่วงจึงไม่มีผล ต่อวงโคจร − ดาวเคราะห์ที่ใกล้ดวงอาทิตย์ หรือมันหมุนตัวเร็วขึ้นใน ที่ที่มีแรงโน้มถ่วงมาก − แรงโน้มถ่วง ถูกมองว่าสิ้นสุดที่ชั้นบนสุดของชั้น บรรยากาศ − วัตถุบนดวงจันทร์จะลอยเพราะไม่มีอากาศ เนื่องจาก ไม่มีแรงโน้มถ่วงบนดวงจันทร์ − ไม่มีแรงโน้มถ่วงในสุญญากาศ − แรงโน้มถ่วงจะลดลงที่ระดับสูงขึ้น เนื่องจากอากาศมี ความเบาบาง − ไม่มีแรงโน้มถ่วงในอวกาศ สําหรับความเข้าใจผิดที่เราจะศึกษาเป็นเรื่องเกี่ยวกับแรง โน้มถ่วง ผู้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า “ในอวกาศไม่มีแรงโน้มถ่วง เพราะภาพที่นักบินอวกาศพยายามลงไปเหยียบดวงจันทร์แล้วร่าง ของนักบินอวกาศอยู่ในลักษณะดูเหมือนจะลอย” ความเข้าใจผิด
  • 2. 2 ในประเด็นดังกล่าวเกิดจาก สื่อภาพยนตร์ หรือภาพถ่ายที่เห็น นักบินอวกาศลอยไปมาในอวกาศนอกยานอวกาศ ปัญหานี้ถือเป็นเนื้อหาพื้นฐานสําหรับฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ใช้ อธิบายปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ตลอดจนอธิบาย ปรากฏการณ์และพิสูจน์ทฤษฏีทางฟิสิกส์ เช่นแรงดึงดูด และ ปรากฏการณ์อื่นๆ เป็นต้น ฉะนั้นจะปล่อยให้เกิดความเข้าใจผิดไม่ ได้ ผู้วิจัยเห็นความสําคัญและมีแนวคิดว่าจะศึกษาปัญหาความ เข้าใจผิดของนักเรียนไทยโดยเลือกใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียน โรงเรียนฟากกว๊านวิทยาคม จะเน้นปัญหาความเข้าใจผิดเรื่อง แรง โน้มถ่วง โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนสายวิทยาศาสตร์และ คณิตศาสตร์จํานวน 26 คน และผลิตสื่อการสอนสําหรับแก้ไข้ ปัญหาดังกล่าวต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาความเข้าใจผิดของนักเรียนเกี่ยวกับเรื่อง แรง โน้มถ่วงกับอากาศ 2. เพื่อนําผลการศึกษามาวิเคราะห์และพัฒนาเป็นสื่อการ สอน สําหรับแก้ปัญหาความเข้าใจผิด สมมติฐานของการวิจัย ผลการทดสอบความเข้าใจของนักเรียนที่เรียนโดยใช้สื่อ การสอนเรื่อง แรงโน้มถ่วงกับอากาศ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ขอบเขตของการวิจัย
  • 3. 3 กลุ่มเป้าหมาย หรือประชากร กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนสาย วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ โรงเรียนฟากกว๊านวิทยาคม จ.พะเยา จํานวน 26 คน เป็นนักเรียนชาย 13 คน นักเรียนหญิง 13 คน ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัยคือภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557 เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยเป็นเนื้อหาในกลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปี 4 หน่วยการเรียนรู้เรื่อง แรง โน้มถ่วง ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อการสอน ตัวแปรตาม คือ ผลการทดสอบความเข้าใจวิชา ฟิสิกส์ เรื่องแรงโน้มถ่วง ของกลุ่มตัวอย่าง ข อ บ เ ข ต ด้ า น เ นื้ อ ห า การวิจัยครั้งนี้ใช้เนื้อหาเรื่อง แรงโน้มถ่วง จาก คู่มือ รายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์เล่ม 1 ม.4-6 กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 หน้า 85-90 ระยะเวลาที่ศึกษา การวิจัยดําเนินในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557 ใช้เวลา ในการศึกษาระหว่างเดือน ตุลาคม 2557 ถึง เดือนกุมภาพันธ์ 2558
  • 4. 4 นิยามศัพท์เฉพาะ ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ (Astrophysics) หมายถึง ศึกษาฟิสิกส์ ของเอกภพ รวมถึงสมบัติทางกายภาพ (สภาพส่องสว่าง ความหนา แน่น อุณหภูมิ องค์ประกอบทางเคมี) ของวัตถุทางดาราศาสตร์ สื่อการสอน (Instructional Media) หมายถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ใช้ เป็นเครื่องมือ หรือช่องทางสําหรับทําให้การสอนของครูไปถึงผู้ เรียน และทําให้ผู้เรียนเรียนรู้ตามจุดประสงค์ หรือจุดมุ่งหมายที่ วางไว้เป็นอย่างดี สื่อที่ใช้ในการสอนนี้ อาจจะเป็นวัตถุสิ่งของที่มี ตัวตน หรือไม่มีตัวตนก็ได้ เช่น วัตถุสิ่งของตามธรรมชาติ ปรากฎ การณ์ตามธรรมชาติ วัตถุสิ่งของที่คิดประดิษฐ์หรือสร้างขึ้นสําหรับ การสอน คําพูดท่าทาง วัสดุ และเครื่องมือสื่อสาร กิจกรรมหรือ กระบวนการถ่ายทอดความรู้ต่างๆ (ศน.บัว,2552) ประโยชน์ที่จะได้รับจากการวิจัย 1. ได้สื่อการสอนเรื่อง แรงโน้มถ่วงกับอากาศ ที่มี ประสิทธิภาพ เพื่อใช้ในการแก้ไขความเข้าใจผิดในประเด็นดัง กล่าว 2. เป็นแนวทางในการสร้างและประยุกต์ใช้สื่อการสอนใน การเรียนการสอนวิชาฟิสิกส์หรือวิชาวิทยาศาสตร์ในเนื้อหาบท เรียนอื่น ๆ
  • 5. 5
  • 6. 6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าเอกสาร และงานวิจัยที่ เกี่ยวข้องนํามาเรียบเรียงเป็นหัวข้อดังนี้ 1. กฎแรงดึงดูดระหว่างมวล 2. สนามแรงโน้มถ่วง 3. ความสัมพันธ์ระหว่างแรงโน้มถ่วงกับอากาศ 4. ชุดทดลอง กระดิ่งไฟฟ้าในสุญญากาศ 5. การเลือกกลุ่มตัวอย่างของ Taro Yamane 6. สื่อการสอน 7. วิธีสอน 8. การสร้างแบบทดสอบ 9. เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. กฎแรงดึงดูดระหว่างมวล เราจะพิจารณาแรงโน้มถ่วงซึ่งเป็นแรงดึงดูดระหว่างมวล ของวัตถุ 2 ก้อน ในขั้นแรกเราจะกล่าวถึงกฎของเคปเลอร์ก่อน ใน ศตวรรษที่ 17 [Johannes Kepler] นักดาราศาสตร์ นักโหราศาสตร์ และนักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน ผู้มีส่วนสําคัญในการปฏิวัติวงการ วิทยาศาสตร์ เขาค้นพบกฎการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ ได้สังเกต ปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ และค้นพบกฎการเคลื่อนที่ของดาว เคราะห์ 3 ข้อ
  • 7. 7 กฎข้อที่ 1 ดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี โดยมีด วงอาทิตย์อยู่ที่ตําแหน่งหนึ่งของจุดโฟกัสของวงรี รูปที่ 2.1 อธิบายว่าดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์ เป็นวงรี ที่มา : http://www.rmutphysics.com/charud/specialnews/7/Dynamics/8 197.jpg กฎข้อที่ 2 เวกเตอร์รัศมีจากดวงอาทิตย์ไปยังดาวเคราะห์ นั้น ภายในช่วงเวลาที่เท่ากันจะกวาดพื้นที่ไปได้เท่ากัน
  • 8. 8 รูปที่ 2.2 ภาพแสดงพื้นที่สามเหลี่ยม ABF เท่ากับพื้นที่ สามเหลี่ยม CDF ที่ถูกกวาดมาในเวลาที่เท่ากัน ที่มา : http://www.rmutphysics.com/charud/specialnews/ 7/Dynamics/8198.jpg กฎข้อที่ 3 อัตราส่วนระหว่างครึ่งแกนเอก (semi-major axis) ยกกําลังสาม กับคาบการโคจรของดาวเคราะห์ยกกําลังสอง ของทุกๆดาวเคราะห์มีค่าเท่ากัน รูปที่ 2.3 ภาพแสดงระยะแกนเอกมีค่าเท่ากับสองเอก ดัง อธิบายได้ดังสมการ ที่มา : http://www.rmutphysics.com/charud/specialnews/ 7/Dynamics/8199.jpg
  • 9. 9 สมการ a 3 /(T) 2 = ค่าคงที่ (1) โดย a คือ ระยะครึ่งแกนเอก T คือ คาบการโคจรรอบดวงอาทิตย์ของดาว เคราะห์ กฎแรงดึงดูดระหว่างมวลของนิวตัน จากการศึกษากฎของเคปเลอร์ นิวตันเสนอทฤษฎีแรงดึงดูด ระหว่างมวล หรือที่เรียกว่า กฎความโน้มถ่วงสากล (Newton’s law of universal gravitation) รูปที่ 2.4 มวลสองก้อนอยู่ห่างกันเป็นระยะทาง ที่มา : http://www.rmutphysics.com/charud/specialnews /7/Dynamics/8202.gif ให้ m1 และ m2 เป็นมวลสองก้อนอยู่ห่างกันเป็นระยะทาง ขนาดของแรงดึงดูดระหว่างมวลที่กระทําต่อมวลทั้งสองก้อนคือ
  • 10. 10 F = Gm1m2/r 2 (2) Sir Henry Cavendish ได้ทําการทดลองวัดค่าคงที่โน้มถ่วง (gravitational constant) (ค่า G) G = 6.6730×10 -11 Nm 2 Kg 2 2. สนามแรงโน้มถ่วง เมื่อปล่อยวัตถุ วัตถุจะตกสู่พื้นโลกเนื่องจากโลกมีสนามโน้ม ถ่วง (gravitational field) อยู่รอบโลก สนามโน้มถ่วงทําให้เกิด แรงดึงดูดกระทําต่อมวลของวัตถุทั้งหลาย แรงดึงดูดนี้เรียกว่า แรงโน้มถ่วง (gravitational force) สนามโน้มถ่วงเขียนแทน ด้วยสัญลักษณ์ g และสนามมีทิศพุ่งสู่ศูนย์กลางของโลกสนาม โน้มถ่วง ณ ตําแหน่งต่างๆบนผิวโลกมีค่าประมาณ 9.8 นิวตันต่อ กิโลกรัม ตารางที่ 2.1 ค่าสนามโน้มถ่วงของโลกที่บาง ตําแหน่งจากผิวโลก ระยะจาก ผิวโลก (km) สนามโน้ม ถ่วง (N/kg) หมายเหตุ 0 9.80 - 10 9.77 เพดานบินของเครื่องบินโดยสาร 400 8.65 ความสูงของสถานีอวกาศนานาชาติ ยานขนส่งอวกาศ 35700 0.225 ระดับความสูงของดาวเทียมสื่อสาร
  • 11. 11 คมนาคม 384000 0.0026 ระยะทางเฉลี่ยระหว่างโลกและดวง จันทร์ ดาวฤกษ์ โลก ดวงจันทร์ ดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ และบริวาร ของดาวเคราะห์ ให้ระบบสุริยะรวมทั้งสรรพวัตถุทั้งหลายก็มีสนาม โน้มถ่วงรอบตัวเอง โดยสนามโน้มถ่วงเหล่านี้มีค่าต่างกันไป การเคลื่อนที่ของวัตถุในสนามโน้มถ่วง วัตถุที่อยู่ในสนามโน้มถ่วงของโลกจะถูกโลกดึงดูด แรงโน้ม ถ่วงของโลกจะทําให้วัตถุเคลื่อนที่เร็วขึ้น นั่นคือวัตถุมีความเร่ง เนื่องจากแรงโน้มถ่วงโลก (ท่องโลก Physics,ไม่ระบุปีที่พิมพ์) 3. ความสัมพันธ์ระหว่างแรงโน้มถ่วงกับอากาศ “แรงโน้มถ่วงไม่ต้องการอากาศ แต่อากาศถูกแรงโน้มถ่วง ดึงดูดไว้” นั่นคือ ไม่ว่าจะมีอากาศ หรือไม่มีอากาศ แรงโน้มถ่วงก็ ยังสามารถกระทําต่อวัตถุได้อยู่ เพราะ หากไม่มีอากาศวัตถุต่างๆก็ มีทิศทางการตกพุ่งเข้าหาโลก ส่วนอากาศที่ถูกแรงโน้มถ่วงดึงดูด ไว้ นั้นคือ แรงโน้มถ่วงจะดึงดูดโมเลกุลอากาศให้มีความหนาแน่น มาก 4. ชุดทดลองเรื่อง กระดิ่งไฟฟ้าในสุญญากาศ นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษได้ทดลองนํากระดิ่งไฟฟ้า (Electric bell ) ใส่ในภาชนะแก้วปิด (Bell Jar) แล้วต่อสายกระดิ่ง
  • 12. 12 ไฟฟ้ากับแบตเตอรี ให้กระดิ่งไฟฟ้าทํางาน ขณะเดียวกันก็สูบ อากาศออก โดยใช้แวคคูอัมปั๊ม (Vacuum Pump) จะได้ยินเสียง กระดิ่งไฟฟ้าเบาลงเรื่อยๆจนนกระทั่งสูบอากาศออกหมดทําให้ ภายในครอบแก้วเป็นสุญญากาศ จะไม่ได้ยินเสียงกระดิ่งไฟฟ้าเลย 5. การเลือกกลุ่มตัวอย่างของ Taro Yamane การวิจัยทางสังคมศาสตร์จําเป็นต้องอาศัยวิธีวิทยาศาสตร์ใน การคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายที่จะทําการศึกษาซึ่งสามารถทําได้โดย การอาศัยการสุ่มตัวอย่าง (Sampling) การสุ่มตัวอย่างเป็นการคัด เลือกจากประชากรทั้งหมด โดยสุ่มตัวอย่างมาเพียงส่วนหนึ่ง เป็น ตัวแทนของประชากรทั้งหมดเพื่อนํามาศึกษาองค์ความรู้ในการสุ่ม ตัวอย่าง 5.1 ข้อมูลประชากร (Population) ข้อมูลประชากร (Population) หมายถึง กลุ่มเป้าหมายที่ ต้องการศึกษาทั้งหมด ซึ่งอาจจะเป็น คน สัตว์ พืช วัตถุ หรือ ปรากฏการณ์ต่างๆ เช่น ในการศึกษาความรู้ในการประกอบอาชีพ ด้านหม่อนไหมของเกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในเขต ภาค อีสานตอนบน ประชากรในที่นี้คือ เกษตรกร ที่มีภูมิลําเนาอยู่ใน เขตจังหวัดต่างๆ ของภาคอีสานตอนบนในการวิจัยเชิง สังคมศาสตร์ ประชากรแบ่งออกได้ 2 ประเภทดังนี้ 1. ประชากรที่มีจํานวนจํากัด (Finite population) หมายถึง ประชากรที่มีปริมาณซึ่งสามารถนับออกมาเป็นตัวเลขได้ครบถ้วน
  • 13. 13 เช่น ประชากรนิสิต หรือนักศึกษา ของมหาวิทยาลัยทุกแห่ง ประชากรของเกษตรกรในภาคกลาง ฯลฯ 2. ประชากรที่มีจํานวนไม่จํากัด (Infinite population) หมายถึงประชากรที่มีปริมาณซึ่งไม่สามารถนับจํานวนออกมาเป็น ตัวเลขได้ครบถ้วน เช่น ประชากรเมล็ดถั่วเหลืองที่จําหน่ายใน จังหวัดขอนแก่น ฯลฯ 5.2 ขนาดตัวอย่าง (Sample size) ขนาดตัวอย่างต้องมากพอที่จะเป็นตัวแทนได้ วิธีการ ประมาณขนาดตัวอย่างโดยใช้สูตรของ TARO YAMANE ดังนี้ n = N/1+Ne 2 (3) เมื่อ n = ขนาดของหน่วยตัวอย่างกลุ่มเป้า หมาย N = ประชากรทั้งหมด D = ระดับความมีนัยสําคัญ 5.3 ประเภทและวิธีการสุ่มตัวอย่าง ทฤษฎีการสุ่มตัวอย่าง ได้แบ่งประเภทการสุ่มตัวอย่างออก เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1. การสุ่มตัวอย่างในเชิงเป็นไปได้ (Probability sampling) การสุ่มตัวอย่างแบบนี้เราสามารถกําหนดได้ว่าทุกภาค
  • 14. 14 ส่วนของประชากรมีโอกาสได้รับเลือกเป็นตัวอย่างเท่ากัน การสุ่ม แบบนี้มีหลายวิธีดังนี้ 1.1 การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple random sampling) หมายถึง การสุ่มตัวอย่างที่ประชากรทุกภาคส่วน มีโอกาสเท่าเทียมกันที่จะได้รับการคัดเลือกเป็นตัวอย่างโดย วิธีการใช้ (1) ตารางเลขสุ่ม นําจํานวนขนาดตัวอย่างไปสุ่มในตาราง สําเร็จรูปที่นักสถิติจัดทําไว้แล้ว เพียงแต่นักวิจัยกําหนดหลัก ที่จะใช้ว่ามีกี่หลัก และจะนับไปซ้ายขวา ขึ้นบน ลงล่าง อย่างไรต้องกําหนดไว้และปฏิบัติอย่างนั้นตลอด สุ่มโดยการ ชี้ตัวเลขเริ่มต้น เมื่อชี้ตรงไหนก็บอกว่าเป็นเลขประจําตัวของ ประชากรหรือไม่ถ้าไม่ใช่ให้ข้ามไป ทําการคัดเลือกไปเรื่อยๆ จนได้ตามจํานวนที่ต้องการ (2) โดยวิธีการจักฉลากโดยการเขียนหมายเลขกํากับ ประชากรตัวอย่าง แต่ละรายการก่อนแล้วจึงจับฉลากขึ้นมา ซึ่งวิธีการจับฉลากอาจใช้ 2 แบบคือ ก. ไม่สุ่มประชากรที่ถูกสุ่มแล้วขึ้นมาอีก (Simple Random Sampling with out Replacement) คือ หยิบแล้วเอาออกได้เลยไม่ต้องใส่กลับลงไปอีก ข. สุ่มประชากรที่ถูกสุ่มแล้วขึ้นมาได้อีก (Sample Random Sampling with Replacement) คือ หยิบขึ้น มาแล้วก็ใส่ลงไปใหม่เพื่อให้โอกาสแก่ประชากรทุก หน่วย มีโอกาสถูกเลือกขึ้นมาเท่าเดิม
  • 15. 15 1.2 การสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ (Systematic Sampling) การสุ่มแบบนี้นักวิจัยจะต้องอาศัยบัญชีรายชื่อ เกี่ยวกับประชากรกลุ่มเป้าหมาย โดยเลือกตามเลขที่ที่ กําหนดไว้ เช่น ประชากรจํานวน 1,000 นักวิจัยต้องการ ตัวอย่างจํานวน 100 นักวิจัยจะต้องคัดเลือกทุกหน่วยที่ 10 เป็นต้น 1.3 การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) การสุ่มตัวอย่างแบบนี้ต้องแยกประเภทของ ประชากรเป็นกลุ่มย่อยหรือชั้นก่อน แล้วจึงสุ่มตัวอย่างแยก กันคนและกลุ่มโดยวิธี Simple Random Sampling หรือ Systematic Sampling ก็ได้ กลุ่มย่อยที่มีลักษณะเป็น Homegeneous คือมีลักษณะเหมือนกันภายในกลุ่มเช่น การ แยกประเภทของประชากรตามสถานการณ์เป็นสมาชิกของ กลุ่มเกษตรกร 1.4 การสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) คือ การสุ่มตัวอย่างประชากรโดยแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่มๆ ให้แต่ละกลุ่มมีความเป็น Heterogeneous กัน คือมีความ แตกต่างกันภายในกลุ่ม เช่น การสุ่มตัวอย่างโดยการแบ่ง ตามเขตการปกครอง 1.5 การสุ่มตัวอย่างในทุกขั้นตอน (Multi Stage Sampling) เช่น ต้องการจะทําการวิจัยโดยการสุ่มตัวอย่าง ประชากร โดยทําการสุ่มจังหวัดที่เป็นตัวอย่างก่อน ต่อไปก็
  • 16. 16 สุ่มอําเภอ ตําบล หมู่บ้าน และครัวเรือนที่เป็นตัวอย่างตาม ลําดับ 2. การสุ่มตัวอย่างในเชิงเป็นไปไม่ได้ (Non-probability sampling) คือ การสุ่มตัวอย่างโดยไม่อาจกําหนดได้ว่าทุกส่วน ของประชากรมีโอกาสได้รับการคัดเลือกโดยเท่ากัน ซึ่งทําให้ไม่ สามารถจะคาดคะเนหรือคํานวณหาความผิดพลาดในการสุ่มเลือก ตัวอย่างได้ การสุ่มแบบนี้มีหลายวิธีคือ 2.1 การสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ (Accidental Sampling) เช่น พบใครก็สัมภาษณ์ตามความพอใจของผู้ วิจัย เช่น สุ่มนักท่องเที่ยวที่จะเข้าประเทศไทยที่สนามบิน ดอนเมือง 2.2 การสุ่มตัวอย่างโดยวิธีการจัดสรรโควตา (Quota Sampling) การสุ่มตัวอย่างเหล่านี้ต้องแบ่งกลุ่มของ ประชากรแล้วจัดสรรโควตาตัวอย่างไปให้แต่ละกลุ่มตาม สัดส่วนของปริมาณประชากรในกลุ่มนั้นๆ ที่มีอยู่จากนั้นก็ ทําการสุ่มจากแต่ละกลุ่มตามโควตาที่จัดสรร ทั้งนี้เพื่อให้ได้ ตัวแทนจากกลุ่มต่างๆ อย่างเหมาะสม เช่น ชาย 80 คน หญิง 80 คน 2.3 การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) โดยจะเลือกศึกษาจากประชากรที่มีลักษณะตรง ตามวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาเช่น เกษตรกรที่ปลูกหม่อน บร.60 เป็นต้น
  • 17. 17 2.4 การสุ่มตัวอย่างพิจารณาตามความสะดวก (Convenience Sampling) โดยจะเลือกศึกษากลุ่มประชากร ที่เห็นว่าง่ายต่อการศึกษา เช่น ไม่อยู่ในแดนของผู้ก่อการ ร้าย หรือเลือกเฉพาะผู้เป็นสมาชิกของกลุ่มทางการเกษตร กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง 3. ปัจจัยที่ทําให้สําเร็จในการสุ่มตัวอย่าง (Key success factor) 1. ฐานข้อมูล/ประชากรต้องเป็นปัจจุบัน (update population) 2. วิธีการสุ่ม ต้องมีความน่าเชื่อถือ (มีแหล่งที่มาอ้างอิง ได้) 3. ขนาดตัวอย่างต้องมีการกระจายตัวและครอบคลุม ประชากรเพื่อให้มีความคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด 6. สื่อการสอน 6.1 ความหมายของสื่อการเรียนการสอน สื่อนับเป็นสิ่งที่มีบทบาทสําคัญอย่างมากในการสอนตั้งแต่ ในอดีตจนถึงปัจจุบันเนื่องจากเป็นตัวกลางที่ช่วยให้การสื่อสาร ระหว่างผู้สอนและผู้เรียนดําเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้ เรียนเข้าใจความหมายของเนื้อหาบทเรียนให้ตรงกับผู้สอน ต้องการ ไม่ว่าสื่อนั้นจะอยู่ในรูปแบบใดก็ตามล้วนแต่เป็น ทรัพยากรที่สามารถอํานวยความสะดวกในการเรียนรู้ได้ทั้งสิ้น และคําว่า สื่อ (medium, pl. media) เป็นคํามาจากภาษาลาตินว่า “ระหว่าง” สิ่งใดก็ตามที่บรรจุข้อมูลสารสนเทศหรือเป็นตัวกลาง
  • 18. 18 ข้อมูล ส่งผ่านจากผู้ส่งหรือแหล่งส่งไปยังผู้รับ(ไพศาล สุวรรณ น้อย, 2553) สื่อการสอน หมายถึงสิ่งใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นเทปบันทึกเสียง สไลด์ วิทยุ โทรทัศน์ วีดีทัศน์ แผนภูมิ แผ่นซีดีสําเร็จรูป รูปภาพ ฯลฯ ซึ่งเป็นวัสดุบรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับการเรียนการสอน หรือเป็น อุปกรณ์เพื่อถ่ายทอดเนื้อหาสิ่งเหล่านี้เป็นวัสดุอุปกรณ์ทางกายภาพ ที่นํามาใช้เทคโนโลยีการศึกษาเป็นสิ่งที่ใช้เป็นเครื่องมือหรือช่อง ทางทําให้การสอนส่งไปถึงผู้เรียน สื่อการสอนถือว่ามีบทบาทมาก ในการเรียนการสอนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากเป็น ตัวกลางที่ช่วยให้การสื่อระหว่างผู้สอนและผู้เรียนดําเนินการไปได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ทําให้ผู้เรียนมีความหมายของเนื้อหาบทเรียน ได้ตรงกับที่ผู้สอนต้องการเรียนรู้ได้ทั้งสิ้น ในการใช้สื่อการสอน นั้นผู้สอนจําเป็นต้องศึกษาถึงลักษณะคุณสมบัติของสื่อแต่ละชนิด เพื่อเลือกสื่อให้ตรงกับวัตถุประสงค์การสอนและสามารถจัด ประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนโดยต้องการวางแผน อย่างเป็นระบบ (กิดานันท์ มลิทอง, 2553 ) สื่อ คือช่องทางในการติดต่อสื่อสาร สื่อ มีรากศัพท์มาจาก ภาษาลาติน มีความหมายว่า ระหว่าง (between) หมายถึง อะไร ก็ตามซึ่งทําการบรรทุกหรือนําพาข้อมูลหรือสารสนเทศ สื่อเป็นสิ่ง ที่อยู่ระหว่างแหล่งกําเนิดสารกับผู้รับสาร (ไฮนิคส์ (Heinich ) และ คณะ, ไม่ระบุปีที่พิมพ์ )
  • 19. 19 สื่อ คือตัวนําสารจากแหล่งกําเนิดของการสื่อสาร (ซึ่งอาจจะ เป็นมนุษย์ หรือวัตถุที่ไม่มีชีวิต ) ไปยังผู้รับสาร (ซึ่งในกรณี ของ การเรียนการสอนก็คือ ผู้เรียน)" (A. J. Romiszowski, ไม่ระบุปีที่ พิมพ์) สื่อการสอน" หมายถึง บุคคล วัสดุหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่ง ทําให้นักเรียนได้รับความรู้ ทักษะ ทัศนคติ ครู หนังสือ และสิ่ง แวดล้อมของโรงเรียนจัดเป็นสื่อการสอนทั้งสิ้น (เกอร์ลัช และอีลีม, ไม่ระบุปีที่พิมพ์) สื่อการสอน หมายถึง ตัวกลางที่ช่วยนํา และถ่ายทอดข้อมูล ความรู้จากครูผู้สอน หรือจากแหล่งความรู้ไปยังผู้เรียน เพื่อให้ผู้ เรียนสามารถบรรลุถึง วัตถุประสงค์การเรียนที่ตั้งไว้ (กิดานันท์ มลิ ทอง, ไม่ระบุปีที่พิมพ์) สื่อการสอน คือวัสดุ (สิ้นเปลือง) อุปกรณ์ (เครื่องมือที่ใช้ไม่ ผุพังง่าย) วิธีการ (กิจกรรม เกม การทดลอง ฯลฯ) ที่ใช้สื่อกลางให้ ผู้สอนสามารถส่ง หรือถ่ายทอดความรู้ เจตคติ (อารมณ์ ความรู้สึก ความสนใจ ทัศนคติ และค่านิยม) และ ทักษะไปยังผู้เรียน ได้อย่าง มีประสิทธิภาพ (ชัยยงค์ พรหมวงศ์, ไม่ระบุปีที่พิมพ์)
  • 20. 20 สื่อการสอน หมายถึง สิ่งที่ช่วยให้การเรียนรู้ ซึ่งครูและ นักเรียนเป็นผู้ใช้ เพื่อให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น (ไชยยศ เรืองสุวรรณ, ไม่ระบุปีที่พิมพ์) สื่อการสอน หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่ใช้เป็นเครื่องมือ หรือ ช่อง ทางสําหรับทําให้การสอน ส่งไปถึงผู้เรียน ทําให้ผู้เรียนสามารถ เกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ หรือจุดมุ่งหมายที่ผู้สอนวาดไว้ได้ เป็นอย่างดี (เปรื่อง กุมุท, ไม่ระบุปีที่พิมพ์) สื่อการเรียนรู้ (Media for learning) มาจาภาษาลาตินว่า “Medium” แปลว่าระหว่าง (between) หมายถึง สิ่งใดก็ตามที่ บรรจุข้อมูลเพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับการสื่อสารกันได้ ตรงตาม วัตถุประสงค์ เมื่อนํามาใช้ในการเรียนการสอนจึงเรียกสื่อการสอน (Instructional Media) หมายถึงสื่อชนิดใดก็ตาม เช่น เทปบันทึก เสียง ภาพนิ่ง แผนภูมิ หนังสือ วิทยุ โทรทัศน์ สไลด์ เป็นต้น ที่ บรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับการเรียนการสอน สิ่งเหล่านี้เป็นวัสดุอุปกรณ์ ทางกายภาพที่นําเอามาใช้ในเทคโนโลยีการศึกษา เป็นเครื่องมือที่ ผู้สอนส่งไปถึงผู้เรียน ทําให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ หรือจุดมุ่งหมาย ที่วางไว้เป็นอย่างดี (ตานันท์ มลิทอง อ้างถึงใน อรนุช ลิมตศิริ(2543 หน้า 79)) สื่อการสอนวิทยาศาสตร์ หมายถึง สิ่งต่างๆทั้งทางกายภาพ และจิตภาพ ที่ก่อให้เกิดสถานการณ์ ทําให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
  • 21. 21 เนื้อหาที่เป็นความรู้ กระบวนการวิทยาศาสตร์ และเจคติทาง วิทยาศาสตร์ ได้แก่ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร ของจริง และสัญลักษณ์เป็นต้น นอกจากนั้นสื่อการสอนวิทยาศาสตร์ที่นํามา ใช้ ควรจัดให้ต่อเนื่อง สอดคล้องกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ และ จัดระบบให้มีประสิทธิภาพตามประเภทของสื่อนั้นๆ (นิคม ทาแดง (2527,หน้า 78-80)) 6.2 ประเภทของสื่อการเรียนการสอน สื่อการสอนมี 3 ประเภท ดังนี้ 1. วัสดุ ได้แก่ สิ่งสิ้นเปลืองทั้งหลาย เช่น รูปภาพ บัตร คํา แผนภูมิ หนังสือ แผ่นโปร่งใส เป็นต้น 2. อุปกรณ์ ได้แก่ บรรดาเครื่องมือทั้งหลาย ทั้งที่เป็น เครื่องมือที่ใช้ร่วมกับวัสดุอื่น และสิ่งที่ใช้ในตัวของมันเอง เช่น เครื่องฉายภาพยนตร์, เครื่องฉายสไลด์, เครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ เป็นต้น 3. กิจกรรมหรือวิธีการ ได้แก ่่กระบวนการที่จะใช้ทั้ง วัสดุและอุปกรณ์ประกอบกัน หรือกระบวนการของมันเองล้วนๆ ได้แก่ การสาธิต, กลุ่มสัมพันธ์,่์ นิทรรศการ, ทัศนศึกษา,การ อภิปราย เป็นต้น (ชัยยงค์ พรหมวงศ์, ไม่ระบุปีที่พิมพ์) สื่อการสอนแบ่งเป็นหมวดหมู่ดังนี้ 1. สิ่งพิมพ์, หนังสือแบบเรียน, หนังสืออุเทศก์, หนังสือ อ่านประกอบ, นิตยสารหรือวารสาร
  • 22. 22 2. วัสดุกราฟิก, แผนภูมิ, แผนสถิติ, แผนภาพ, โปสเตอร์, การ์ตูน 3. วัสดุและเครื่องฉาย, เครื่องฉายภาพนิ่ง, เครื่องฉาย ภาพเคลื่อนไหว, เครื่องฉายข้ามศีรษะ, ฟิล์มสไลด์, ฟิล์ม ภาพยนตร์, แผ่นโปร่งใส 4. วัสดุถ่ายทอดเสียง, เครื่องเล่นแผ่นเสียง, เครื่อง บันทึกเสียง, เครื่องรับวิทยุ,เครื่องรับโทรทัศน์ (Shorse. 1960 : 11) การจําแนกสื่อการสอนตามประสบการณ์ ประสบการณ์ตรงที่เป็นรูปธรรมจะทําให้เกิดการเรียนรู้ แตกต่างกับ ประสบการณ์ที่เป็นนามธรรม ดังนั้นจึงจําแนกสื่อการสอนโดยยึด ประสบการณ์เป็นหลักเรียงตามลําดับจากประสบการณ์ที่ง่ายไป ยาก 10 ขั้น เรียกว่า กรวยประสบการณ์ (Cone of Experience) ขั้นที่ 1 ประสบการณ์ตรง (Direct Experiences) มี ความหมายเป็นรูปธรรมมากที่สุดทําให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จาก ประสบการณ์จริง เช่น เล่นกีฬา ทําอาหาร ปลูกพืชผัก หรือเลี้ยง สัตว์ เป็นต้น ขั้นที่ 2 ประสบการณ์รอง (Verbal Symbols) เป็นกรณี ที่ประสบการณ์หรือของจริงมีข้อจํากัด จําเป็นต้องจําลองสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นมาศึกษาแทน เช่น หุ่นจําลอง ของตัวอย่าง การแสดง เหตุการณ์จําลองทางดาราศาสตร์
  • 23. 23 ขั้นที่ 3 ประสบการณ์นาฏการ (Dramaticed Experiences) เป็นประสบการณ์ที่จัดขึ้นแทนประสบการณ์ตรง หรือเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในอดีตหรืออาจเป็นความคิด ความฝัน สามารถเรียนด้วยประสบการณ์ตรงหรือประสบการณ์จําลองได้ เช่น การแสดงละคร บทบาทสมมุติ เป็นต้น ขั้นที่ 4 การสาธิต (Demonstration) เป็นการอธิบาย ข้อเท็จจริงลําดับความคิดหรือกระบวนการเหมาะสมกับเนื้อหาที่ ต้องการความเข้าใจ ความชํานาญหรือทักษะ เช่น การสาธิตการ ผายปอดการสาธิตการเล่นของครูพละ เป็นต้น ขั้นที่ 5 การศึกษานอกสถานที่ (Field Trips) เป็นการ พาผู้เรียนไปศึกษาหาความรู้นอกห้องเรียน โดยมีจุดมุ่งหมายที่ แน่นอน ประสบการณ์นี้มีความเป็นนามธรรมมากกว่าการสาธิต เพราะผู้เรียนแทบไม่ได้มีส่วนในกิจกรรมที่ได้พบเห็นนั้นเลย ขั้นที่ 6 นิทรรศการ (Exhibits) เป็นการจัด ประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้รับด้วยการดูเป็นส่วนใหญ่ อาจจัดแสดง สิ่งต่าง ๆ เช่น ของจริง หุ่นจําลอง วัสดุสาธิต แผนภูมิ ภาพยนตร์ เป็นต้น ขั้นที่ 7 โทรทัศน์และภาพยนตร์ (Television and Motion Picture) เป็นประสบการณ์ที่เป็นนามธรรมมากกว่าการจัด นิทรรศการ เพราะผู้เรียนเรียนรู้ได้ด้วยการดูภาพและฟังเสียง เท่านั้น
  • 24. 24 ขั้นที่ 8 ภาพนิ่ง วิทยุและการบันทึกเสียง (Still Picture) เป็นประสบการณ์ที่รับรู้ได้ทางใดทางหนึ่งระหว่างการฟังและการ พูด ซึ่งนับเป็นนามธรรมมากขึ้น ขั้นที่ 9 ทัศนสัญลักษณ์ (Visual Symbols) เป็นประสบ การร์ที่เป็นนามธรรมมากที่สุด บรรยาย การปราศรัย คําโฆษณา ฯลฯ ดังนั้นผู้เรียนควรมีพื้นฐานเช่นเดียวกับทัศนสัญลักษณ์นั้น ๆ จะทําให้เกิดการเรียนรู้ได้อย่างดี ขั้นที่ 10 วัจนสัญลักษณ์ (Verbal Symbols) ได้แก่ คํา พูด คําอธิบาย หนังสือ เอกสาร แผ่นปลิว แผ่นพับ ที่ใช้ตัวอักษร ตัวเลข แทนความหมายของสิ่งต่าง ๆ นับเป็นประสบการณ์ที่เป็น นามธรรมมากที่สุด (Edgar Dale. 1969 : 107) ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ สิ่งของ สถานที่ เหตุการณ์ หรือความคิดก็ตามถือเป็นสื่อการสอนได้ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่ กับว่าเราเรียนรู้จากสิ่งนั้นๆหรือนําสิ่งเหล่านั้นเข้ามาสู่การเรียนรู้ ของเราหรือไม่ สื่อทั้งมวลอาจแยกเป็นประเภทใหญ่ๆได้ดังนี้ 1. สื่อสิ่งพิมพ์ หมายถึง หนังสือหรือเอกสารสิ่งพิมพ์ ต่างๆ ซึ่งได้แสดงหรือจําแนกหรือเรียบเรียงสาระความรู้ต่างๆโดย ใช้ตัวหนังสือ ที่เป็นตัวเขียนหรือตัวพิมพ์ เป็นสื่อเพื่อแสดงความ หมาย สื่อสิ่งพิมพ์มีหลายประเภทได้แก่ เอกสาร หนังสือ ตํารา หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร จุลสาร จดหมาย จดหมายเหตุ บันทึก รายงาน วิทยานิพนธ์ เป็นต้น
  • 25. 25 2. สื่อเทคโนโลยี หมายถึง สื่อการสอนที่ได้ผลิต ขึ้นเพื่อใช้ควบคู่กับเครื่องมือ โสตทัศนวัสดุ หรือเครื่องมือที่เป็น เทคโนโลยีใหม่ๆ สื่อการเรียนรู้ดังกล่าว เช่น แถบบันทึกภาพพร้อม เสียง แถบบันทึกเสียง สไลด์ สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน นอกจากนี้ สื่อเทคโนโลยี ยังหมายรวมถึงกระบวนการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ การนําเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน เช่น การใช้ อินเตอร์เน็ตเพื่อการเรียนการสอน การศึกษาผ่านดาวเทียม 3. สื่ออื่นๆ นอกจากสิ่งพิมพ์และสื่อเทคโนโลยีแล้ว ยังมี สื่ออื่นๆที่ส่งเสริมการเรียนการสอนซึ่งมีความสําคัญไม่ยิ่งไปกว่าสื่อ 2 ประเภทดังกล่าว เพราะสามารถอํานวยประโยชน์แก่ท้องถิ่นที่ ขาดแคลนสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อเทคโนโลยี สื่อเหล่านี้อาจแบ่งได้เป็น 4 ประเภทดังนี้ 3.1 สื่อบุคคล บุคคลที่มีความรู้ความสามารถ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านซึ่งสามารถถ่ายทอดสาระความรู้ แนวคิด เจตคติและวิธีปฏิบัติตนไปสู่บุคคลอื่นสื่อบุคคลอาจ เป็นบุคคลในระบบ เช่น ผู้บริหาร ครูผู้สอน ตัวผู้เรียน หรือ อาจเป็นบุคคลภายนอก เช่น บุคลากรในท้องถิ่นที่มีความ ชํานาญ และเชี่ยวชาญในสาขาอาชีพต่างๆ 3.2 สื่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายถึง สิ่งที่ เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือสภาพที่อยู่รอบตัวผู้เรียน เช่น พืชผัก ผลไม้ สัตว์ชนิดต่างๆ ปรากฏการณ์แผ่นดินไหว สภาพดินฟ้าอากาศ ห้องเรียน ห้องปฏิบัติการ แหล่งวิทย บริการ หรือแหล่งเรียนรู้ ห้องสมุด ชุมชน สังคม วัฒนธรรม
  • 26. 26 สิ่งเหล่านี้เป็นสื่อที่มีความสำาคัญต่อการส่งเสริมการเรียนรู้ซึ่ง ครูหาได้ไม่ยาก 3.3 สื่อกิจกรรม/กระบวนการ หมายถึง กิจกรรม หรือกระบวนการที่ครูและผู้เรียนกำาหนดขึ้นเพื่อเสริมสร้าง ประสบการณ์การเรียนรู้ ใช้ในการฝึกทักษะซึ่งต้องใช้ กระบวนการคิด การปฏิบัติ การเผชิญสถานการณ์ การ ประยุกต์ความรู้ของผู้เรียน เช่น การแสดงละคร บทบาท สมมติ การสาธิต สถานการณ์จำาลอง การจัดนิทรรศการ การ ไปทัศนศึกษานอกสถานที่ การปฏิบัติตามใบงาน ฯลฯ 3.4 สื่อวัสดุ/เครื่องมือและอุปกรณ์ หมายถึง วัสดุ ที่ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อประกอบการเรียนรู้ เช่น หุ่นจำาลอง แผนภูมิ แผนที่ ตาราง สถิติ กราฟ นอกจากนี้ยังรวมถึงสื่อประเภท เครื่องมือและอุปกรณ์ที่จำาเป็นต้องใช้ในการปฏิบัติงานต่างๆ เช่น อุปกรณ์ทดลองวิทยาศาสตร์ เครื่องมือวิชาช่าง เป็นต้น สื่อต่างๆในสถานศึกษาจัดทำาหรือจัดหามาใช้เพื่อการเรียนรู้ ผู้เรียนต้องเชื่อมั่นได้ว่าให้สาระการเรียนรู้ที่ถูกต้อง มีความหมาย และเกี่ยวพันกับการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์และมีคุณค่า ห้องสมุด หรือศูนย์สื่อเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่สำาคัญมากที่ผู้เรียนสามารถเรียน รู้ได้ทั้งด้วยตนเองอย่างมีอิสระและอย่างร่วมมือกันและกันระหว่าง เพื่อนสถานศึกษาจึงต้องพัฒนาห้องสมุดให้ทำาหน้าที่อย่างเต็มที่ ยิ่ง กว่านั้นโลกรอบตัวผู้เรียนสามารถเข้าถึงได้ด้วยเทคโนโลยี ก็เป็น เครือข่ายการเรียนรู้ที่ไม่มีขีดจำากัดอีกทั้งยังเพิ่มพูนจนยากจะจำาได้ ทั่วถึง ผู้เรียนจึงต้องได้รับการชี้แนะและฝึกให้รู้จักคิดแสวงหา
  • 27. 27 แหล่งข้อมูลและวิธีการค้นคว้าจากแหล่งความรู้ต่างๆด้วยตนเอง อย่างอิสระ ตลอดจนได้ฝึกให้สามารถคิด วิเคราะห์ เพื่อเลือกสรร ข้อมูลมาใช้ประโยชน์ (กระทรวงศึกษาธิการ(2545,หน้า 8-9)) 6.3 การใช้สื่อการเรียนการสอน การเลือกสื่อการสอนเพื่อนำามาใช้ในการเรียนการสอนนั้น ต้องดูที่วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมในการเรียนก่อน เพื่อที่จะได้ใช้ เป็นแนวทางในการเลือกสื่อให้ ตรงตามวัตถุประสงค์ นอกจากนั้นมี วิธีพิจารณาในการเลือกสื่อดังนี้ 1. สื่อการสอนนั้นต้องตรงตามจุดมุ่งหมายของการเรียน 2. ต้องมีเนื้อหาถูกต้อง ทันสมัย และน่าสนใจ 3. เหมาะสมกับวัย ความรู้ และประสบการณ์ของผู้เรียน 4. มีความสะดวกในการใช้งาน รวมถึงการเก็บรักษา 5. มีราคาไม่แพงเกินไป สรุปว่า การจะเลือกสื่อมาใช้ในการเรียนการสอนอย่างมี ประสิทธิภาพนั้น ผู้สอนจะต้องมีความรู้ความสามารถและทักษะใน เรื่องต่าง ๆ ดังนี้ 1. วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมและจุดมุ่งหมายในการเรียน การสอน 2. จุดมุ่งหมายในการนำาสื่อมาใช้ประกอบหรือร่วมใน กิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อใช้ในการนำาบทเรียน ใช้ในการ ประกอบคำาอธิบาย ใช้เพื่อสรุปบทเรียน
  • 28. 28 3. ต้องเข้าใจลักษณะเฉพาะของสื่อแต่ละชนิด ว่า สามารถ เร้าความสนใจและให้ความหมายต่อประสบการณ์การเรียนรู้แก่ผู้ เรียนได้อย่างไรบ้าง 4. ต้องมีความรู้เกี่ยวกับแหล่งของสื่อการเรียนการสอน ซึ่ง สื่อบางอย่างผลิตเองจะคุ้มค่าหรือไม่ หรืออาจหายืมได้ที่ไหนบ้าง (กิดานันท์ มลิทอง, 2543) การเลือกสื่อการสอน 1. ควรใช้สื่อการสอนได้อย่างคล่องแคล่ว โดยต้องฝึกการ ใช้ก่อนใช้จริงในชั้นเรียน 2. ควรแสดงสื่อการสอนให้เห็นได้ชัดเจนทั่วทั้งห้อง เช่น การยกแบบจาลองให้ผู้เรียนดู ควรยกให้สูงในระดับอกของผู้สอน และผู้สอนควรยืนอยู่ด้านหน้าห้องเรียนโดยพยายามยืนชิด กระดานดาให้มากที่สุด โดยเฉพาะห้องที่มีช่องว่างเล็กน้อยระหว่าง ที่นั่งของผู้เรียนกับกระดานดาเพื่อช่วยให้ผู้เรียนที่นั่งหน้าสุด สามารถมองเห็นได้ 3. ควรหาที่ตั้งวางหรือแขวนสื่อการสอนที่มีขนาดใหญ่และ มีน้าหนักมาก เช่น แผนภูมิ แผนที่ หุ่นจาลองเซลล์พืช-เซลล์สัตว์ เขื่อนจาลอง ฯลฯ ในจุดที่จะทาให้ผู้เรียนเห็นได้ชัดเจนทั่วทั้งห้อง ไม่ควรยืนถือแล้วอธิบายเพราะจะทาให้ผู้สอนไม่คล่องแคล่วเท่าที่ ควร และอาจทาให้ผู้เรียนเห็นสื่อนั้นไม่ชัดเจน เนื่องจากระหว่างที่ ผู้สอนอธิบายมักมีท่าทางเคลื่อนไหวไปมา
  • 29. 29 4. ควรใช้ไม้ยาวและมีปลายเรียวมน หรือใช้แสงจากปากกา เลเซอร์ชี้แผนภูมิ แผนที่ กระดานดา แทนการใช้นิ้วมือ โดยผู้สอน ควรยืนชิดไปด้านใดด้านหนึ่งเพื่อมิให้บังสายตาของผู้เรียนจาก ส่วนใดส่วนหนึ่งของสื่อการสอนนั้น 5. ควรนาสื่อการสอนมาวางเรียงไว้เป็นลาดับที่หน้าชั้น เรียนก่อนถึงเวลาจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อสะดวกในการหยิบใช้ เช่น การใช้รูปภาพหรือแผ่นใส ภาพใดแผ่นใดใช้ก่อนควรเรียงไว้ ข้างบน และควรจัดวางในลักษณะที่จะไม่หันเหความสนใจของผู้ เรียนเมื่อยังไม่ถึงเวลาใช้ เช่น ควรวางภาพคว่าหน้าลง หรือหุ่นจา ลองที่ยังไม่ใช้ก็ควรใส่กล่องไว้ก่อน เป็นต้น 6. ควรเลือกใช้เครื่องมือประกอบการใช้สื่อการสอนให้ เหมาะสม เช่น ถ้าต้องการจะติดแผนภูมิภาพ แผนที่ ฯลฯ บน กระดานนิเทศ ควรใช้หมุดติด แต่ถ้าจาเป็นต้องติดบนกระดานดาก็ ไม่ควรใช้หมุด ควรใช้ดินน้ามันหรือเทปกาวแทน และควรตัดเทป กาวเป็นชิ้นๆโดยติดปลายข้างหนึ่งไว้กับแผนภูมิให้ครบทุกมุมเสีย ก่อน เมื่อจะใช้ก็สามารถติดกระดานดาได้เลย หรือตัดเทปกาวเป็น ชิ้นๆตามขนาดที่ต้องการเตรียมไว้ก่อนจะได้ไม่เสียเวลาในขณะใช้ จริง 7. ในบางกรณีควรมีการเตรียมความพร้อมของผู้เรียนล่วง หน้าก่อนการใช้สื่อการสอน เช่น ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ ต้องการให้มีการสังเกตผล ผู้สอนควรแจ้งให้ผู้เรียนทราบเสียก่อน ว่าต้องการให้ผู้เรียนสังเกตเรื่องใด ตอนใด เพื่อให้ผู้เรียนสามารถ ทาตามความประสงค์ของผู้สอนได้
  • 30. 30 8. ควรใช้สื่อการสอนให้คุ้มค่ากับเวลาที่ใช้ไปในการเตรียม และใช้อย่างทะนุถนอม ใช้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด เช่น ได้ใช้ แผ่นใสแสดงระบบขับถ่ายของคน ในขั้นการสอนแล้ว ครูอาจใช้ แผ่นใสนั้นซ้าอีกครั้งในขั้นสรุป แต่ต้องมีวิธีใช้ที่แตกต่างกัน ขั้น การสอนครูใช้แผ่นใสช่วยอธิบายเนื้อหาสาระ จึงควรให้ผู้เรียนได้ เห็นคาอธิบายประกอบแผ่นใสนั้น ได้แก่ ไต ต่อมหมวกไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ เส้นเลือดเข้าไต ฯลฯ แต่ถ้าใช้ในขั้นสรุป ผู้สอน ควรใช้กระดาษแผ่นเล็กๆปิดคาอธิบายนั้นเมื่อตั้งคาถามผู้เรียนใน แต่ละส่วน เพื่อจะได้วัดผลการเรียนในชั่วโมงนั้นด้วย การใช้สื่อ การสอนเช่นนี้นอกจากจะทาให้ประหยัดแรงงานในการทาสื่อแล้ว ยังใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ บรรลุผลการเรียนรู้ที่คาดหวังในแต่ละขั้น ตอนของกิจกรรมการเรียนรู้ด้วย 9. พยายามเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีกิจกรรมร่วมหรือได้ ศึกษาสื่อการสอนนั้นๆด้วยตนเอง เช่น การให้ผู้เรียนอธิบายภาพ ในแผ่นใส หรืออธิบายส่วนประกอบต่างๆในหุ่นจาลอง เป็นต้น 10. ควรฝึกให้ผู้เรียนเกิดระเบียบในการใช้สื่อการสอน เช่น ในโอกาสที่ต้องการแจกสื่อการสอนไปตามโต๊ะของผู้เรียน เพื่อทา การทดสอบ ผู้สอนควรส่งสื่อทั้งหมดให้กับผู้เรียนที่นั่งอยู่ด้านหน้า หยิบส่วนของตนไว้แล้วส่งที่เหลือให้คนต่อไป หรือในโอกาสที่ ต้องการให้ผู้เรียนมาใช้สื่อการสอนหน้าชั้นเรียนควรฝึกให้ผู้เรียน หันหน้าเข้าหา ชั้นเรียน และไม่ยืนบังสายตาของเพื่อนจากสื่อการ สอนต่างๆที่ใช้
  • 31. 31 11. ควรคานึงถึงความปลอดภัย การใช้สื่อบางชนิด โดย เฉพาะในกรณีที่จาเป็นให้ผู้เรียนใช้เองก็ควรกาชับผู้เรียนให้ ระมัดระวังในการใช้เป็นพิเศษ เช่น ไม่ควรวางก้านไม้ขีดที่จุดแล้ว ทิ้งไว้บนโต๊ะ ซึ่งอาจทาให้โต๊ะเป็นรอยไหม้และอาจเกิดอุบัติเหตุ ขึ้นได้ ควรมีฝาโลหะหรือจานแก้วหรือกระป๋องทรายสาหรับรองรับ (ชาตรี เกิดธรรม, การเลือกสื่อการสอนวิทยาศาสตร์. คณะ ครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ในพระบรม ราชูปถัมภ์ วันที่สืบค้น 12 ธันวาคม 2558 ) 7. วิธีสอน 7.1 วิธีการสอนได้จำาแนกไว้ 14 วิธี (ทัศนา แขมมณี) 1. วิธีสอนโดยใช้การบรรยาย (Lecture) 2. วิธีสอนโดยใช้การสาธิต (Demonstration) 3. วิธีสอนโดยใช้การทดลอง (Experiment) 4. วิธีสอนโดยใช้การนิรมัย (Deduction) 5. วิธีสอนโดยใช้การอุปนัย (Induction) 6. วิธีสอนโดยใช้การไปทัศนศึกษา (Field Trip) 7. วิธีสอนโดยใช้การอภิปรายกลุ่มย่อย (Small Group Discussion) 8. วิธีสอนโดยใช้การแสดงละคร (Dramatization) 9. วิธีสอนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมุติ (Role Playing) 10. วิธีสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง (Case) 11. วิธีสอนโดยใช้เกม (Game) 12. วิธีสอนโดยใช้สถานการณ์จำาลอง (Simulation)
  • 32. 32 13. วิธีสอนโดยใช้ศูนย์การเรียน (Learning Center) 14. วิธีสอนโดยใช้บทเรียนแบบโปรแกรม (Programmed Intruction) ผู้วิจัยได้ศึกษาวิธีการสอนโดยใช้การสาธิต (Demonstration) วิธีสอนแบบสาธิต หมายถึง การที่ครูหรือ นักเรียนคนใดคนหนึ่ง แสดงบางสิ่งบางอย่างให้นักเรียนดู หรือ ให้เพื่อนๆดู อาจเป็นการแสดงการใช้เครื่องมือแสดงให้เห็น กระบวนการวิธีการ กลวิธีหรือการทดลองที่มีอันตราย ซึ่งไม่เหมาะ ที่จะให้นักเรียนทำาการทดลอง การสอนวิธีนี้ช่วยให้นักเรียนเกิด ความรู้ความเข้าใจและสามารถทำาในสิ่งนั้นได้ถูกต้อง และยัง เป็นการสอนให้นักเรียนได้ใช้ทักษะในการสังเกต และถือว่า เป็นการได้ประสบการณ์ตรงวิธีหนึ่ง วิธีสอนแบบสาธิต จึงเป็นการ สอนที่ยึดผู้สอนเป็นศูนย์กลาง เพราะผู้สอนเป็นผู้วางแผน ดำาเนิน การ และลงมือปฏิบัติ ผู้เรียนอาจมีส่วนร่วมบ้างเล็กน้อย วิธีสอน แบบนี้จึงเหมาะสำาหรับ จุดประสงค์การสอนที่ต้องการให้ผู้เรียน เห็นขั้นตอนการปฏิบัติ เช่น วิชาพลศึกษา ศิลปศึกษา อุตสาหกรรมศิลป์ วิชาในกลุ่มการงานและพื้นฐานอาชีพ เป็นต้น 7.2 ความมุ่งหมาย เพื่อแสดงให้ผู้เรียนได้เห็นขั้นตอนการปฏิบัติต่างๆ ซึ่งจะ ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง และสามารถปฏิบัติ ตามได้
  • 33. 33 7.3 เมื่อใดจึงจะใช้การสอนแบบสาธิต 1. เมื่อนำาเข้าสู่บทเรียน ผู้สอนสาธิตให้ผู้ดูเพื่อให้ผู้เรียนตั้ง ปัญหาและเกิดความอยากรู้ อยากเห็น อยากค้นหาคำาตอบต่อไป 2. เพื่อสร้างปัญหาให้ผู้เรียนคิด 3. เพื่อต้องการสร้างความเข้าใจในความคิดรวบยอด ความ จริงหลักทฤษฎี โดย นักเรียนสามารถมองเห็นโดยตรง 4. เมื่ออธิบายเครื่องมือวิทยาศาสตร์ส่วนไหนทำาหน้าที่อะไร 5. เมื่อเครื่องมือที่จะทำาการทดลองมีราคาแพง หรือเกิด อันตรายได้ง่าย 6. ควรคำานึงถึงฤดูกาล 7.4 โอกาศในการใช้ เพื่อกระตุ้นความสนใจของนักเรียนให้มีความสนใจในบท เรียนช่วยอธิบายเนื้อหาวิชาที่ยาก ต้องใช้เวลานานให้เข้าใจง่าย ขึ้นและประหยัดเวลาเพื่อแสดงวิธีการหรือกลไกวิธีในการปฏิบัติ งานซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำาพูด เช่น การทำากิจกรรม วิชา ศิลปะ หัตถกรรม งานประดิษฐ์ นาฏศิลป์เพื่อช่วยสรุปบทเรียน เพื่อ ใช้ทบทวนบทเรียน เพื่อสร้างความเข้าใจ ความคิดรวบยอด ความ จริง หลักทฤษฎี โดยนักเรียนมองเห็นได้โดยตรง เพื่อทดสอบหรือ ยืนยันการสังเกตในครั้งก่อนๆ ว่าผลเหมือนเดิมหรือไม่ 7.5 ประเภทของการสาธิต
  • 34. 34 แบบที่ 1 1. สาธิตให้ดูทั้งชั้น การสาธิตให้ดูทั้งชั้นผู้สอนจะต้องระวัง ให้ทุกคนมองเห็นและเข้าใจการสาธิตในแต่ละครั้ง อย่างไรก็ตาม การสาธิตให้ดูทั้งชั้นย่อมมีผู้เรียนบางคนไม่เข้าใจดีพอเนื่องจาก บางคนมีพื้นความรู้หรือประสบการณ์แตกต่างกัน 2. การสาธิตให้ดูเป็นกลุ่มหรือเป็นหมู่ เมื่อมีผู้เรียนจำานวน หนึ่ง เรียนไม่เข้าใจดีพอ จึงจำาเป็นต้องสาธิตให้ดูใหม่เป็นกลุ่ม เล็ก ในแต่ละชั้นเรียนอาจมีผู้เรียนได้เร็วมาก ปานกลางหรือช้า ไปบ้าง การสาธิตให้ดูเป็นหมู่ เฉพาะที่มีความรู้ไล่เลี่ยกันจะเป็น แรงจูงใจให้ผู้เรียนแต่ละหมู่ทำางานอย่างเต็มความสามารถของตน 3. การสาธิตให้ดูเป็นรายบุคคล เมื่อผู้สอนสาธิตให้ดูเป็นหมู่ เป็นกลุ่มแต่ผู้เรียนบางคนไม่อาจจะเข้าใจการสาธิตทั้งชั้นหรือ เป็นกลุ่มได้ หรือผู้เรียนบางคนไม่ได้เข้าร่วม ผู้สอนจึงต้องสาธิต ให้ดูเป็นรายบุคคล แบบที่ 2 1. ครูแสดงการสาธิตคนเดียว ( Teacher- Demonstration) 2. ครูและนักเรียนช่วยกันแสดงสาธิต (Teacher-Student- Demonstration ) 3. กลุ่มนักเรียนล้วนเป็นผู้สาธิต (Student Group Demonstration ) 4. นักเรียนคนเดียวเป็นผู้สาธิต (Individual Student Demonstration )
  • 35. 35 5. วิทยากรเป็นผู้สาธิต ( Guest Demonstration ) 8. การสร้างแบบทดสอบ การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยใช้แบบทดสอบแบบอัตนัย เป็นแบบ ทดสอบที่ประกอบด้วยคำาถามที่มีจำานวนข้อไม่มากนัก ไม่มีคำาตอบ ให้เลือกตอบ ผู้ตอบจะต้องคิดหาคำาตอบเองโดยบูรณาการความรู้ และความคิดแล้วแสดงออกเป็นภาษาเขียนอย่างถูกต้องและสมเหตุ สมผลตามหลักวิชาโดยมีขั้นตอนดังนี้ 1. วางแผนการสร้างข้อสอบตั้งวัตถุประสงค์ของการสร้าง ข้อสอบอัตนัยว่ามุ่งวัดพฤติกรรมด้านใด 2. ขั้นการสร้างแบบทดสอบจะเน้นคำาตอบสั้น ๆ เน้นคำาตอบ ที่มีขอบเขตจำากัด 3. ขั้นคัดเลือกแบบทดสอบ จะเลือกแบบทดสอบตามจำานวน ข้อที่ต้องการ พร้อมทั้งพิจารณาว่าจำานวนข้อที่คัดเลือกให้เหมาะ สมกับระยะเวลาในการสอบ 4. การให้คะแนนผู้วิจัยจะวิเคราะห์เป็นส่วน ๆ เป็นวิธีการ ตรวจให้คะแนนโดยการเปรียบเทียบคำาตอบกับคำาเฉลย 9. เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง Claudine Kavanagh. (2007). Learning about Gravity II. Trajectories and Orbits: A Guide for Teachers and Curriculum Developers. Astronomy Education Review, 5(2).
  • 36. 36
  • 37. 37 บทที่ 3 วิธีดำาเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้จัดทำาขึ้นเพื่อศึกษาความเข้าใจผิดของกลุ่ม ตัวอย่างในเรื่อง ความเข้าใจผิดทางแนวคิดพื้นฐานในเนื้อหาสาระ เกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงโดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 สายวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ โรงเรียนฟากกว๊านวิทยาคม จังหวัดพะเยา ภาคเรียนที่ 2 ปีการ ศึกษา 2557 จำานวน 26 คน เป็นนักเรียนชาย 13 คน นักเรียน หญิง 13 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าประกอบด้วย 1. แผนการสาธิตกิจกรรมเรื่อง แรงโน้มถ่วงกับอากาศ จากที่ได้ศึกษาเนื้อหาเรื่อง แรงโน้มถ่วง ผู้วิจัยได้วางแผน กิจกรรมการสาธิต โดยการสาธิตประกอบด้วย แบบสำารวจก่อน เรียนและหลังเรียน สื่อการสอนชุดทดลองเรื่อง กระดิ่งไฟฟ้าใน สุญญากาศ และเอกสารประกอบการสาธิต 2. แรงโน้มถ่วง ซึ่งเป็นข้อสอบแบบอัตนัย จำานวน 6 ข้อ 2.1 จากการศึกษาเนื้อหาเรื่องแรงโน้มถ่วง ผู้วิจัยได้ ออกแบบ แบบสำารวจก่อนเรียนและหลังเรียน โดยแบบสำารวจก่อน
  • 38. 38 เรียนและหลังเรียนเป็นแบบสำารวจอัตนัย มีประเด็นคำาถามใกล้ เคียงกัน 2.2 นำาแบบสำารวจที่ผู้วิจัยออกแบบให้อาจารย์ที่ปรึกษา ตรวจสอบความถูกต้องและเสนอแนะ 2.3 ผู้วิจัยนำาสิ่งที่อาจารย์ที่ปรึกษาเสนอแนะมาปรับปรุง แก้ไข และส่งให้อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจอีกครั้ง 3. สื่อที่ใช้ในการสาธิต ชุดทดลองเรื่อง กระดิ่งไฟฟ้าใน สุญญากาศ 3.1 ศึกษาเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องแรงโน้มถ่วง และ ตัวอย่างสื่อการสอนจากแหล่งต่างๆ 3.2 นำาสิ่งที่ได้ศึกษามาออกแบบเป็นเป็นสื่อการสอน มี อุปกรณ์ดังนี้ 3.2.1 ชุดการทดลองสำาเร็จรูป เรื่อง กระดิ่งไฟฟ้าใน สุญญากาศ 3.2.2 มวลแขวนสปริง 3.2.3 สเกลไม้บรรทัด
  • 39. 39 รูปที่ 3.1 สื่อการสอน (ชุดการทดลองกระดิ่งไฟฟ้าในสุญญากาศ) การดำาเนินงานวิจัย การดำาเนินงานวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้ทบทวนงานวิจัยและมี การวางแผนการดำาเนินงาน มีขั้นตอนดังนี้ 1. การทบทวนงานวิจัยในประเด็นการเรียนการสอนของ ประเทศไทยและต่างประเทศทำาให้ผู้วิจัยเกิดความสนใจที่จะนำา ความรู้จากการทบทวนงานวิจัยมาประยุกต์ใช้ศึกษากับนักเรียน ไทยว่า มีความเข้าใจผิดในเนื้อหาวิชาฟิสิกส์พื้นฐานเรื่อง แรงโน้ม ถ่วงหรือไม่ 2. การวางแผนงานคือ ผู้วิจัยจะใช้แบบสำารวจความเข้าใจ ของนักเรียนก่อน ว่ามีปัญหาความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องแรงโน้ม
  • 40. 40 ถ่วงหรือไม่ หลังจากนั้นจะประดิษฐ์สื่อการสอนสำาหรับการแก้ ปัญหาความเข้าใจผิดนั้น และผู้วิจัยจะใช้แบบสำารวจความเข้าใจ กับผู้เรียนอีกครั้ง เพื่อวิเคราะห์ผลว่าการสอนโดยใช้สื่อจะช่วยให้ ผู้เรียนเข้าใจขึ้นหรือไม่ 3. การออกแบบผู้วิจัยจะใช้ แบบสำารวจความเข้าใจก่อน เรียน-หลังเรียน ใช้การตอบคำาถามแบบอัตนัยจำานวน 6 ข้อ โดย การตั้งคำาถามเพื่อการสำารวจนั้นอยู่ในการดูแลของครูที่ปรึกษา รวมถึงการออกแบบสื่อการสอนสำาหรับแก้ปัญหาความเข้าใจผิดดัง กล่าวก็อยู่ในการดูแลของครูที่ปรึกษาเช่นกัน 4. การเลือกกลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียน สายวิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ โรงเรียนฟากกว๊านวิทยาคม โดย ใช้สูตรการเลือกกลุ่มตัวอย่างของ TARO YAMANE ใช้ความเชื่อ มั่นที่ 85% ได้ขนาดของหน่วยตัวอย่างกลุ่มเป้าหมายจำานวน 26 คน จากประชากรทั้งหมด 60 คน 5. การวิเคราะห์ผล การเก็บรวบรวมข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูลในครั้งนี้ผู้วิจัยทำาการเก็บรวบรวม ข้อมูลด้วยตนเอง ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ 1. ทำาหนังสือขอความอนุเคราะห์ผู้บริหารโรงเรียนฟาก กว๊านวิทยาคม เพื่อขอกลุ่มตัวอย่าง
  • 41. 41 2. ใช้แบบสำารวจความเข้าใจผิดก่อนเรียนเรื่อง แรงโน้ม ถ่วง กับผู้เรียนก่อนใช้เวลา 20 นาที 3. สาธิตกิจกรรมโดยสื่อการสอนชุด กระดิ่งไฟฟ้าใน สุญญากาศ ใช้เวลา 30 นาที 4. ใช้แบบสำารวจความเข้าใจผิดหลังเรียนเรื่อง แรงโน้มถ่วง กับผู้เรียนอีกครั้ง ใช้เวลา 20 นาที 5. วิเคราะห์ผล ว่านักเรียนมีความที่ถูกต้องเพิ่มมากขึ้นหรือ ไม่ 6. สรุปผลการการวิจัยตามระเบียบของมหาวิทยาลัย การวิเคราะห์ข้อมูล คำาถามเป็นการวัดความเข้าใจ จึงใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิง คุณภาพ เป็นการวิเคราะห์แนวโน้มของคำาตอบของคำาถามที่วัด ความเข้าใจตามวัตถุประสงค์จากแบบสำารวจก่อนเรียนกับหลัง เรียนมาใช้ในเปรียบเทียบว่ามีแนวโน้มไปในทิศทางใด
  • 42. 42 บทที่ 4 ผลการวิจัย ผู้วิจัยได้นำาข้อมูลตัวอย่างที่เก็บรวบรวมมาได้จำานวน 26 ชุดที่มาทำา การวิเคราะห์ ด้วยวิธีการทางสถิติ (ร้อยละ) โดยจะนำา เสนอผลการ วิเคราะห์ก่อนเรียนและหลังเรียน ดังต่อไปนี้ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สรุปความเข้าใจก่อนเรียนและหลังเรียนของกลุ่มตัวอย่าง
  • 43. 43 2. แนวการตอบคำาถามก่อนเรียนและหลังเรียนของกลุ่ม ตัวอย่าง 3. สรุปผลการเปรียบเทียบการตอบคำาถามก่อนเรียนและ หลังเรียน ของกลุ่มตัวอย่าง สรุปความเข้าใจก่อนเรียนและหลังเรียนของกลุ่มตัวอย่าง (ข้อที่ 1 ) รูปที่ 4.1 สรุปความเข้าใจก่อนเรียนและหลังเรียนของกลุ่มตัวอย่าง (ข้อที่ 1) ตารางที่ 4.1 แนวการตอบคำาถามก่อนเรียนของกลุ่ม ตัวอย่าง (ข้อที่ 1) คำาถามที่ 1 ถ้าไม่มีอากาศจะมีแรงโน้มถ่วงหรือไม่ เพราะเหตุใด ถูก/ ผิด แนวคำาตอบ ถูก [11] - เพราะมันไม่เกี่ยวข้องกัน [6] - เพราะแรงโน้มถ่วงออกมาจากใจกลางโลก ถูก/ ผิด แนวคำาตอบ - เพราะอากาศไม่ใช่แรงโน้มถ่วง[3] ก่อนเรียน หลังเรียน