SlideShare a Scribd company logo
1 of 20
Download to read offline
1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6
ปีการศึกษา 2560
ชื่อโครงงาน พลาสติก ( Plastic )
ชื่อผู้ทาโครงงาน
นายพนิพนธ์ อุ่นคา เลขที่ 8 ชั้น ม.6 ห้อง 15
นางสาวนภัสสร เรียบปวง เลขที่ 14 ชั้น ม.6 ห้อง 15
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน
ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
2
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม
นายพนิพนธ์ อุ่นคา เลขที่ 8
นางสาวนภัสสร เรียบปวง เลขที่ 14
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
พลาสติก
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
Plastic
ประเภทโครงงาน โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา (Educational Media)
ชื่อผู้ทาโครงงาน นายพนิพนธ์ อุ่นคา
นางสาวนภัสสร เรียบปวง
ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน
13 สัปดาห์
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน (อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน)
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า พลาสติกนั้นได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งที่สาคัญกับชีวิตของ
มนุษย์บนโลกใบนี้ทุกคน เพราะการใช้ชีวิตประจาวันของเราแทบจะเจอพลาสติกในทุกๆที่ที่เราไป ไม่ว่าจะเป็น ขวด
น้า กล่องใส่อาหาร สายไฟต่างๆ รวมไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์บางประเภท เรียกได้ว่า พลาสติกได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งใน
ชีวิตของมนุษย์ทุกคนไปเสียแล้ว พลาสติกนั้นมีประโยชน์มากมาย แต่มันก็มีโทษเช่นกัน ซึ่งที่รู้ๆกันโดยทั่วไปก็คือ
พลาสติกนั้นย่อยสลายยาก ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาต่างๆตามมา เช่น ถ้านาไปฝั่งก็ใช้พื้นที่มากและใช้เวลาย่อยสลาย
ค่อนข้างนาน หรือ หากนาไปเผาก็จะก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ ซึ่งปัญหาต่างๆของพลาสติกทาให้เกิดปัญหาเป็นวง
กว้างตามมา ที่เห็นได้ชัดในปัจจุบันเลยก็คือ ภาวะโลกร้อน จึงได้เกิดความคิดที่จะให้ผู้ที่สนใจได้เรียนรู้เรื่องราวของ
พลาสติกให้มากขึ้น ทั้งการทาพลาสติก ประเภทของพลาสติก และประโยชน์และโทษของพลาสติก เป็นต้น
3
วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ)
1. เพื่อให้รู้ความเป็นมาของพลาสติก
2. เพื่อให้รู้ประเภทของพลาสติก
3. เพื่อให้รู้ชนิดของพลาสติกที่ใช้กันในปัจจุบัน
4. เพื่อให้รู้ถึงผลกระทบทั้งด้านบวก และด้านลบของพลาสติก
ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน)
เพื่อให้ทุกคนได้รู้ ความเป็นมาของพลาสติก ประเภทของพลาสติก และผลกระทบของพลาสติก เป็นต้น
ซึ่งการที่ได้เรียนรู้เรื่องราวของพลาสติก จะทาให้รู้จักกับพลาสติกมากขึ้น และรู้วิธีอยู่ร่วมกับพลาสติกได้อย่างถูกต้อง
ไม่ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มากมายตามมา
หลักการและทฤษฎี (ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน)
ประวัติความเป็นมาของพลาสติก
พลาสติกทั่วไปที่เราคุ้นเคยและใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ได้ถูกสังเคราะห์ขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์ในช่วงร้อยกว่าปีที่ผ่าน
มานี้เองสาหรับการใช้งานในด้านต่าง ๆเช่นบรรจุภัณฑ์ อุปกรณ์ของใช้ และเครื่องมือต่างๆ หากเราจะย้อนกลับไป
ศึกษาประวัติการสังเคราะห์พลาสติกชนิดแรกของโลก คงจะต้องกลับไปเริ่มต้นที่ปี ค.ศ. 1863 เมื่อบริษัทผลิตลูก
บิลเลียดในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ประกาศให้รางวัล 10,000 เหรียญแก่ผู้ที่สามารถหาวัสดุทดแทนงาช้างเพื่อใช้ใน
การทาลูกบิลเลียด ซึ่งในขณะนั้นเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมสูง จึงเป็นเหตุให้ช้างป่าในแถบแอฟริกาจานวนมากถูกล่า
เพื่อเอางาจนเกือบสูญพันธุ์ นายจอห์น เวสลีย์ ไฮเอตต์ (John Wesley Hyatt) ช่างไม้ชาวอเมริกาก็เป็นบุคคลหนึ่งที่
สนใจและพยายามค้นหาวัสดุที่สามารถนามาใช้แทนงาช้าง หลังจากทาการทดลองอยู่หลายปี คืนหนึ่งเขาได้รับ
อุบัติเหตุจากของมีคมบาดมือขณะทาการผสมขี้เลื่อยกับกาว เขาจึงใส่แผลด้วยคอลอเดียน (colodion) ยาสมานแผล
ซึ่งทาจากไนโตรเซลลูโลสละลายอยู่ในอีเธอร์และแอลกอฮอล์ และด้วยความบังเอิญเขาได้ทายาหกลงบนพื้นโต๊ะ เมื่อ
กลับมาดูอีกครั้งพบว่า ยาแห้งเป็นแผ่นเหนียวๆ
นายไฮเอตต์ทาการทดลองต่อจนพบว่าหากเติมการบูรลงไปในของผสมอีเทอร์จะได้วัสดุซึ่งต่อมาเรียกว่า
เซลลูลอยด์ (celluloid) ซึ่งเป็นวัสดุที่มีสมบัติเหมาะสมในการนามาทาเป็นลูกบิลเลียด และผลิตภัณฑ์ต่างๆ เนื่องจาก
มีสมบัติทนทานต่อน้ามัน น้าและกรด ใส หรือทาให้มีสีสันสวยงามได้ง่าย และมีราคาถูก นิยมนามาทาเป็นลูกบิลเลียด
และคีย์เปียโนแทนงาช้างหรือทาหวีแทนกระดองสัตว์ นอกจากนี้ยังนิยมนามาทาเป็นเครื่องประดับ ปกเสื้อ กระดุม
ของเล่นเด็ก และฟิล์มภาพยนตร์และถ่ายภาพ จึงถือว่าเซลลูลอยด์เป็นพลาสติกกึ่งสังเคราะห์ชนิดแรกของโลกที่เกิด
จากการปรับปรุงโครงสร้างของเซลลูโลสซึ่งเป็นวัสดุจากธรรมชาติ นับเป็นจุดเริ่มต้นของอุสาหกรรมพลาสติก แต่
เนื่องจากเซลลูลอยส์ เป็นพลาสติกที่ติดไฟง่ายและระเบิดได้หากมีปริมาณหมู่ไนโตร (NO2) สูง จึงไม่เป็นที่นิยมในเวลา
ต่อมา ทาให้วัสดุที่ทาจากเซลลูลอยส์หาได้ไม่ง่ายนักในปัจจุบัน แต่ยังนิยมนามาทาเป็นลูกปิงปอง เซลลูลอยส์ที่ยังมีให้
เห็นกันอยู่ส่วนใหญ่จะเป็นของเก่า ซึ่งเป็นที่ต้องการของนักสะสม
4
ต่อมาในปี ค.ศ. 1907 นักเคมีชื่อ นายลีโอ เบคแลนด์ (Leo Baekeland) ได้ค้นพบวิธีการผลิตเบคเคอไลต์
(Bekelite) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพลาสติกสังเคราะห์ชนิดแรกของโลกขึ้นเป็นครั้งแรกจากสารอินทรีย์โมเลกุลเล็กๆ ซึ่งเกิด
จากการทาปฏิกิริยาระหว่างฟอร์มัลดีไฮด์และฟีนอล เบคเคอไลต์ เป็นพลาสติกแข็ง ทนความร้อนได้ดี และสามารถขึ้น
รูปให้มีรูปร่างต่างๆ ได้ตามแม่พิมพ์โดยใช้ความร้อน ทาให้มีสีสันสวยงามได้และมีราคาไม่แพง ในช่วงแรกเบเคอไลต์
ถูกนามาทาเป็นฉนวนเคลือบสายไฟและชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า ต่อมาใช้ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน ของใช้ และ
เครื่องประดับต่าง ๆ มากมายที่มีสีสันสวยงาม และราคาไม่แพง และกลายเป็นวัสดุที่ได้ชื่อว่าถูกนามาใช้งานในด้าน
ต่างๆนับพันอย่าง "the material of a thousand uses"
ในช่วงทศวรรษที่ 30-40 จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1942 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เบเคอไลต์ถูก
นามาผลิตเป็นโทรศัพท์ แว่นตาสาหรับนักบิน และด้ามอาวุธต่าง ๆ จากผลิตภัณฑ์ที่มีสีสันต่าง ๆ ที่เคยมีมากมายกลับ
กลายเป็นสีดา จนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลง เทคโนโลยีการฉีดขึ้นรูปพลาสติก (injection mold) ได้ถูกพัฒนาขึ้น และ
พลาสติกชนิดใหม่ ๆ เช่นไนลอน (nylon) ไวนิล (vinyl) หรืออะคริลิก (acrylic) ได้ถือกาเนิดขึ้นจากการค้นคว้าวิจัย
ของนักวิทยาศาสตร์ จึงมีการใช้เบเคอไลต์น้อยลงอย่างมาก อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังคงมีการใช้เบเคอไลต์เป็นสาร
เคลือบผิว และผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีคุณภาพและทนทานต่อความร้อน เป็นพิเศษ
เครื่องใช้และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ทาจากเบเคอไลต์ในอดีตได้กลับกลายมาเป็นของเก่าที่เป็นที่ต้องการของนัก
สะสมในปัจจุบัน ทาให้มีการทาของลอกเลียนแบบโดยใช้เรซินหรือพลาสติกชนิดอื่น เช่น อะคริลิก การเลือกซื้อเบเคอ
ไลต์ที่เป็นของเก่าแท้ ๆ ต้องทดสอบโดยผู้ชานาญ วิธีการที่ดีที่สุดในการตรวจสอบ คือ แช่ในน้าอุ่น ถ้าเป็นเบเคอไลต์
แท้จะมีกลิ่นคล้ายสารเคมี (ฟอร์มัลดีไฮด์) หากเป็นเซลลูลอยส์จะมีกลิ่นเหมือน วิกส์วาโปรับ (การบูร) แต่ของ
ลอกเลียนแบบจะไม่มีกลิ่นใด ๆ
กระบวนการผลิตเม็ดพลาสติก
พลาสติกที่ใช้กันมากในปัจจุบันอยู่ในรูปของผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ถุง กล่อง ท่อ แผ่นฟิล์ม ส่วนมากมี
แหล่งกาเนิดจากปิโตรเลียม ซึ่งรวมถึงน้ามันดิบ และก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นสารไฮโดรคาร์บอนที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ
ใต้ผิวดิน และมีความสาคัญต่อชีวิตมนุษย์เพราะเป็นทั้งแหล่งพลังงานและแหล่งวัตถุดิบสาหรับผลิตวัสดุสังเคราะห์
ต่างๆ ปิโตรเลียมจะอยู่ในสถานะเป็นก๊าซ ของเหลว หรือของแข็ง ขึ้นกับอุณหภูมิ, ความดัน, และจานวนหรือการ
จัดเรียงตัวของคาร์บอนในโมเลกุล โดยทั่วไปสารไฮโดรคาร์บอนที่มีคาร์บอนไม่เกิน 4 อะตอม จะมีสถานะเป็นก๊าซ ถ้า
มีคาร์บอนระหว่าง 5-19 อะตอมจะมีสถานะเป็นของเหลว และถ้ามีคาร์บอนตั้งแต่ 20 อะตอม จะมีสถานะเป็น
ของแข็ง
5
การกลั่นลาดับส่วนน้ามันดิบ ทาให้เราสามารถแยกสารประกอบไฮโดรคาร์บอนออกเป็นส่วนต่างๆ ซึ่งพบว่ามี
ปริมาณสารประกอบไฮโดรคาร์บอนสายยาวเกินกว่าความต้องการใช้งานอยู่ปริมาณมาก แต่กลับมีสารประกอบ
ไฮโดรคาร์บอนสายสั้นที่มีการนาไปใช้ประโยชน์มากกว่าอยู่น้อย จึงต้องนาสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่เกินความ
ต้องการมาผ่านกระบวนการแยกสลายเพื่อตัดความยาวให้สั้นลง ได้เป็นสารประกอบขนาดเล็ก เช่น ก๊าซเอทธิลีนและ
โพรพิลีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตพลาสติกบางชนิดโดยก๊าซเหล่านี้จะถูกส่งไปยังโรงงานผลิตเม็ดพลาสติก
กระบวนการผลิตเม็ดพลาสติกเริ่มต้นจากการนาสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีขนาดเล็กซึ่งได้จากกลั่นลาดับส่วน
น้ามันดิบมาทาปฏิกิริยากันจนได้เป็นสายโซ่ยาว เรียกว่าโพลิเมอร์ ซึ่งโพลิเมอร์แต่ละชนิดสังเคราะห์โดยใช้วัตถุดิบ
เริ่มต้นที่แตกต่างกันไป ทาให้โพลิเมอร์มีสมบัติที่แตกต่างกันออกไปด้วย โดยโพลิเมอร์ที่สังเคราะห์ได้นี้ จะถูกนาไปขึ้น
รูปเป็นเม็ดพลาสติกและผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ต่อไป ตัวอย่างเช่น การผลิตเม็ดพลาสติกโพลิเอทธิลีน (PE) โดย
เริ่มต้นจากก๊าซเอทธิลีนซึ่งถูกเก็บในถังปฏิกิริยา เมื่อเติมตัวเร่งปฏิกิริยาที่เหมาะสม จะเกิดปฏิกิริยาขึ้น โมเลกุลขนาด
เล็กๆ จานวนมากจะเข้ามาต่อกันเป็นโมเลกุลที่ยาวมากๆ ได้โพลิเอธิลีนที่มีสมบัติเหมาะสมสาหรับนาไปขึ้นรูปเป็น
ผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ขวด ถุง และของเล่น เป็นต้น
6
ปฏิกิริยาการสังเคราะห์โพลิเมอร์
ปฏิกิริยาการสังเคราะห์โพลิเมอร์ หรือที่เรียกโดยทั่วไปว่าปฏิกิริยาโพลิเมอร์ไรเซชั่น (polymerization) คือ
ปฏิกิริยาเคมีที่ทาให้โมโนเมอร์โมเลกุลเล็กๆ เกิดปฏิกิริยาต่อกันเป็นสายโซ่ยาวๆ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. การสังเคราะห์โพลิเมอร์แบบลูกโซ่ หรือรวมตัว
กระบวนการสังเคราะห์แบบรวมตัวเป็นการนาเอาโมโนเมอร์ซึ่งเป็นสารที่มีโมเลกุลขนาดเล็กและไม่อิ่มตัวคือมี
พันธะคู่ หรือพันธะสามอยู่ในโมเลกุลมาทาปฏิกิริยาซึ่งกันและกันจนได้เป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ ซึ่งการทาปฏิกิริยา
เริ่มต้นจากโมเลกุลที่มีพันธะคู่หรือพันธะสามจะถูกความร้อนและตัวเร่งปฏิกิริยา (catalyst) ที่เหมาะสม ทาให้พันธะ
1 พันธะแตกออกซึ่งว่องไวในการทาปฏิกิริยายึดติดกับพันธะที่แตกออกของโมเลกุลที่อยู่ข้างเคียงกัน เกิดการต่อกันที่
ละโมเลกุลจนได้โมเลกุลใหม่ที่มีลักษณะเป็นเป็นสายโซ่ที่ยาวขึ้น การสังเคราะห์โพลิเมอร์แบบนี้ไม่มีผลิตภัณฑ์อื่นๆ
หลุดออกมา ทาให้จานวนอะตอมของธาตุในหน่วยซ้าของโพลิเมอร์เท่ากับจานวนอะตอมในโมเลกุลของโมโนเมอร์
ตัวอย่างพลาสติกที่เกิดจากการสังเคราะห์โพลิเมอร์แบบนี้ ได้แก่โพลิไวลิลครอไรด์ โพลิโพรพิลีน และโพลิเอทธิลีน
เป็นต้น
2. การสังเคราะห์โพลิเมอร์แบบขั้น หรือควบแน่น
กระบวนการสังเคราะห์แบบควบแน่นเกิดจากโมโนเมอร์ 2 ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดเป็นสารที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก
และมีหมู่ฟังก์ชันเหมือนกันอย่างน้อย 2 หมู่ที่ปลายสุดของโมเลกุล หรืออาจเกิดจากโมโนเมอร์เพียง 1 ชนิดที่มีหมู่
ฟังก์ชันแตกต่างกันอย่างน้อย 2 หมู่ที่ปลายสุดของโมเลกุล ที่สามารถทาปฏิกิริยากันระหว่างหมู่ฟังก์ชันอย่างต่อเนื่อง
ได้ผลิตภัณฑ์เป็นโมเลกุลที่มีขนาดใหญ่ การสังเคราะห์โพลิเมอร์แบบนี้ส่วนใหญ่จะเกิดสารที่มีโมเลกุลขนาดเล็กเช่น
H2O HCl และ CH3OH เป็นผลพลอยได้ (by product) เป็นสาเหตุให้จานวนอะตอมของธาตุในหน่วยซ้าของโพลิ
เมอร์มักน้อยกว่าจานวนอะตอมในโมเลกุลของโมโนเมอร์ ตัวอย่างพลาสติกที่เกิดจากการสังเคราะห์ด้วยกระบวนการ
ควบแน่น ได้แก่ ไนลอน และโพลิเอสเทอร์ เป็นต้น
7
ประเภทและการใช้งาน
หากแบ่งประเภทของพลาสติกตามสมบัติทางความร้อน เราสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. เทอร์โมพลาสติก (Thermoplastic)
โพลิเมอร์ประเภทนี้จะมีโครงสร้างโมเลกุลของสายโซ่โพลิเมอร์เป็นแบบเส้นตรงหรือแบบกิ่งสั้นๆ
สามารถละลายได้ดีในตัวทาละลายบางชนิด เมื่อได้รับความร้อนจะอ่อนตัว และหลอมเหลวเป็นของเหลว
หนืดเนื่องจาก โมเลกุลของโพลิเมอร์ที่พันกันอยู่สามารถเคลื่อนที่ผ่านกันไปมาได้ง่ายขึ้นเมื่อได้รับความร้อน
และเมื่อเย็นตัวลงก็จะแข็งตัว ซึ่งการหลอมเหลวและเย็นตัวนี้ สามารถเกิดกลับไปกลับมาได้โดยไม่ทาให้
สมบัติทางเคมีและทางกายภาพ หรือโครงสร้างของโพลิเมอร์เปลี่ยนไปมากนัก
พลาสติกประเภทนี้สามารถขึ้นรูปโดยการฉีดขณะที่พลาสติกถูกทาให้อ่อนตัวและไหลได้ด้วยความ
ร้อนและความดัน เข้าไปในแม่แบบที่มีช่องว่างเป็นรูปร่างตามต้องการ ภายหลังจากที่พลาสติกไหลเข้าจนเต็ม
แม่พิมพ์จะถูกทาให้เย็นตัว และถอดออกจากแม่พิมพ์ ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีรูปร่างตามต้องการ สามารถนาไปใช้
งานได้ เมื่อใช้เสร็จแล้วสามารถนากลับมารีไซเคิลได้โดยการบด และหลอมด้วยความร้อนเพื่อขึ้นรูปเป็น
ผลิตภัณฑ์ใหม่ได้อีก แต่พลาสติกประเภทนี้มีข้อเสียและขีดจากัดของการใช้งาน คือไม่สามารถใช้งานที่
อุณหภูมิสูงได้ เพราะอาจเกิดการบิดเบี้ยวหรือเสียรูปทรงไป ตัวอย่างเช่น ขวดน้าดื่มไม่เหมาะสาหรับใช้บรรจุ
น้าร้อนจัดหรือเดือด
2. เทอร์โมเซตติ้ง (Thermosetting)
โพลิเมอร์ประเภทนี้จะมีโครงสร้างเป็นแบบร่างแห ซึ่งจะหลอมเหลวได้ในขั้นตอนการขึ้นรูปครั้งแรก
เท่านั้น ซึ่งในขั้นตอนนี้จะมีปฏิกิกริยาเคมีเกิดขึ้นทาให้เกิดพันธะเชื่อมโยงระหว่างโมเลกุล ทาให้โพลิเมอร์มี
รูปร่างที่ถาวร ไม่สามารถหลอมเหลวได้อีกเมื่อได้รับความร้อน และหากได้รับความร้อนสูงเกินไป จะทาให้
พันธะระหว่างอะตอมในโมเลกุลแตกออก ได้สารที่ไม่มีสมบัติของความเป็นโพลิเมอร์ต่อไป
การผลิตพลาสติกชนิดเทอร์โมเซตจะแตกต่างจากพลาสติกชนิดเทอร์โมพลาสติกคือ ในขั้นตอนแรก
ต้องทาให้เกิดปฏิกิริยาโพลิเมอไรเซชันเพียงบางส่วน มีการเชื่อมโยงโมเลกุลเกิดขึ้นบ้างเล็กน้อย และยัง
สามารถหลอมเหลวเมื่อได้รับความร้อน จึงสามารถขึ้นรูปภายใต้ความดันและอุณหภูมิสูงได้ เมื่อผลิตภัณฑ์มี
รูปร่างตามต้องการแล้ว ให้คงอุณหภูมิไว้ประมาณ 200-300 องศาเซลเซียส เพื่อให้ได้โครงสร้างแบบร่างแหที่
เสถียรและแข็งแรง สามารถนาผลิตภัณฑ์ออกจากแบบโดยไม่ต้องรอให้เย็น เนื่องจากผลิตภัณฑ์จะแข็งตัวอยู่
ภายในแม่พิมพ์ ดังนั้นการให้ความร้อนในกระบวนการผลิตพลาสติกเทอร์โมเซตกลับทาให้วัสดุแข็งขึ้น ต่าง
จากกระบวนการผลิตพลาสติกเทอร์โมพลาสติที่การให้ความร้อนจะทาให้พลาสติกนิ่ม และหลอมเหลว
8
พลาสติกเทอร์โมเซตเมื่อใช้งานเสร็จแล้วไม่สามารถนามาผ่านการหลอมและผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่หรือรี
ไซเคิล (recycle) ได้อีก และถ้าให้ความร้อนมากเกินไป จะทาให้พลาสติกเกิดการสลายตัวหรือไหม้ โดยไม่
เกิดการหลอมเหลว ตัวอย่างของพลาสติกในกลุ่มนี้เช่น เบคเคอไลต์ และเมลามีน เป็นต้น
พลาสติกที่ใช้มากในปัจจุบัน
พลาสติกที่ถูกนามาใช้ในปริมาณมากในปัจจุบันมีอยู่หลายชนิดที่สามารถนากลับมารีไซเคิลได้ จึงมีการใส่
สัญลักษณ์ตัวเลขเพื่อให้ง่ายต่อการแบ่งประเภทของพลาสติก ตัวเลขทั้ง 7 ตัวนี้ จะอยู่ในสัญลักษณ์รูปสามเหลี่ยมที่มี
ลูกศรสามตัววิ่งตามกันและมักพบบริเวณก้นของภาชนะพลาสติก
1. โพลิเอทธิลีนเทเรฟทาเลต (Poly (ethylene terephthalate), PET)
PET ทนแรงกระแทก ไม่เปราะแตกง่าย สามารถทาให้ใสมาก มองเห็นสิ่งที่บรรจุอยู่ภายในจึงนิยมใช้บรรจุน้า
ดื่ม น้ามันพืช และเครื่องสาอาง นอกจากนี้ขวด PET ยังมีสมบัติป้องกันการแพร่ผ่านของก๊าซได้เป็นอย่างดี
จึงใช้เป็นภาชนะบรรจุน้าอัดลม
PET สามารถนากลับมารีไซเคิลใช้ใหม่ได้ โดยนิยมนามาผลิตเป็นเส้นใยสาหรับทาเสื้อกันหนาว พรม และเส้น
ใยสังเคราะห์สาหรับยัดหมอน หรือเสื้อสาหรับเล่นสกี
2. โพลิเอทธิลีนความหนาแน่นสูง (High density polyethylene, HDPE)
HDPE โพลิเอทธิลีนชนิดหนาแน่นสูงมีโครงสร้างโมเลกุลเป็นสายตรง ค่อนข้างแข็งแต่ยืดได้มาก ไม่แตกง่าย
ส่วนใหญ่ทาให้มีสีสันสวยงาม ยกเว้นขวดที่ใช้บรรจุน้าดื่ม ซึ่งจะขุ่นกว่าขวด PET ราคาถูกขึ้นรูปได้ง่าย ทน
สารเคมีจึงนิยมใช้ทาบรรจุภัณฑ์สาหรับน้ายาทาความสะอาด แชมพูสระผม แป้งเด็ก และถุงหูหิ้ว นอกจากนี้
ภาชนะที่ทาจาก HDPE ยังมีสมบัติป้องกันการแพร่ผ่านของความชื้นได้ดี จึงใช้เป็นขวดนมเพื่อยืดอายุของนม
ให้นานขึ้น
HDPE สามารถนากลับมารีไซเคิลเพื่อผลิตขวดต่างๆ เช่น ขวดใส่น้ายาซักผ้า แท่งไม้เทียมเพื่อใช้ทารั้วหรือม้า
นั่งในสวน
9
3. โพลิไวนิลคลอไรด์ (Poly (vinyl chloride), PVC) PVC เป็นพลาสติกแข็งใช้ทาท่อ เช่น ท่อน้าประปา แต่
สามารถทาให้นิ่มโดยใส่สารพลาสติกไซเซอร์ ใช้ทาสายยางใส แผ่นฟิล์มสาหรับห่ออาหาร ม่านในห้องอาบน้า
แผ่นกระเบื้องยาง แผ่นพลาสติกปูโต๊ะ ขวดใส่แชมพูสระผม PVC เป็นพลาสติกที่มีสมบัติหลากหลาย สามารถ
นามาใช้ผลิตผลิตภัณฑ์อื่นได้อีกมาก เช่น ประตู หน้าต่าง วงกบ และหนังเทียม PVC สามารถนากลับมารี
ไซเคิล เพื่อผลิตท่อประปาสาหรับการเกษตร กรวยจราจร และเฟอร์นิเจอร์ หรือม้านั่งพลาสติก
4. โพลิเอทธิลีนความหนาแน่นต่า (Low density polyethylene, LDPE)
LDPE เป็นพลาสติกที่นิ่ม สามารถยืดตัวได้มาก มีความใส นิยมนามาทาเป็นฟิล์มสาหรับห่ออาหารและห่อ
ของ ถุงใส่ขนมปัง และถุงเย็นสาหรับบรรจุอาหาร
LDPE สามารถนากลับมารีไซเคิลใช้ใหม่ได้ โดยใช้ผลิตเป็นถุงดาสาหรับใส่ขยะ ถุงหูหิ้ว หรือถังขยะ
5. โพลิโพรพิลีน (Polypropylene, PP)
PP เป็นพลาสติกที่แข็ง ทนต่อแรงกระแทกได้ดี ทนต่อสารเคมี ความร้อน และน้ามัน ทาให้มีสีสันสวยงามได้
ส่วนใหญ่นิยมนามาทาภาชนะบรรจุอาหาร เช่น กล่อง ชาม จาน ถัง ตะกร้า หรือกระบอกสาหรับใส่น้าแช่
เย็น
PP สามารถนากลับมารีไซเคิลใช้ใหม่ได้ โดยนิยมผลิตเป็นกล่องแบตเตอรี่รถยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เช่น กันชน
และกรวยสาหรับน้ามัน
10
6. โพลิสไตรีน (Polystyrene, PS)
PS เป็นพลาสติกที่แข็ง ใส แต่เปราะ และแตกง่าย ราคาถูก นิยมนามาทาเป็นภาชนะบรรจุของใช้ เช่น เทป
เพลง สาลี หรือของแห้ง เช่น หมูแผ่น หมูหยอง และคุ้กกี้ เนื่องจาก PS เปราะและแตกง่าย จึงไม่นิยมนา
พลาสติกประเภทนี้มาบรรจุน้าดื่มหรือแชมพูสระผม เนื่องจากอาจลื่นตกแตกได้
มีการนาพลาสติกประเภทนี้มาใช้ทาภาชนะหรือถาดโฟมสาหรับบรรจุอาหาร โฟมจะมีน้าหนักที่เบามาก
เนื่องจากประกอบด้วย PS ประมาณ 2-5 % เท่านั้น ส่วนที่เหลือเป็นอากาศที่แทรกอยู่ในช่องว่าง
PS สามารถนากลับมาใช้ใหม่ได้ โดยนิยมผลิตเป็นไม้แขวนเสื้อ กล่องวีดีโอ ไม้บรรทัด หรือ ของใช้อื่นๆ
7. พลาสติกอื่นๆ ที่ไม่ใช่ 6 ชนิดแรก หรือไม่ทราบว่าเป็นพลาสติกชนิดใด
ปัจจุบันเรามีพลาสติกหลายชนิดให้เลือกใช้ พลาสติกที่ใช้ในครัวเรือนส่วนใหญ่สามารถนากลับมารีไซเคิลเพื่อ
หลอมใช้ใหม่ได้ การมีสัญลักษณ์ตัวเลข ทาให้เราสามารถแยกพลาสติกออกเป็นชนิดต่างๆ เพื่อนากลับมารี
ไซเคิลใช้ใหม่ได้ง่ายขึ้น
สาหรับพลาสติกในกลุ่มที่ 7 เป็นพลาสติกชนิดอื่นที่ไม่ใช่ 6 ชนิดแรก นอกจะมีตัวเลขระบุแล้ว ควรใส่
สัญลักษณ์ภาษาอังกฤษระบุชนิดของพลาสติกนั้นๆ ไว้ เพื่อสะดวกในการแยกและนากลับมารีไซเคิล เช่น โพ
ลิคาร์บอเนต (Polycarbonate, PC)
พลาสติกและสิ่งแวดล้อม
พลาสติกรีไซเคิล
พลาสติกเป็นวัสดุที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจาวันของเราเป็นอย่างมากและมีแนวโน้มการใช้งานที่เพิ่ม
มากขึ้นเพราะใช้ทดแทนทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ไม้และเหล็กได้เป็นอย่างดี และมีราคาถูก น้าหนักเบาสามารถ
ผลิตให้มีสมบัติต่างๆ ตามที่ต้องการได้จากการเลือกชนิดของวัตถุดิบ ปฏิกิริยาเคมี กระบวนการผลิตและ
กระบวนการขึ้นรูป นอกจากนี้ยังสามารถปรุงแต่งสมบัติได้ง่ายโดยการเติมสารเติมแต่ง (Additives) เช่น สาร
เสริมสภาพพลาสติก (Plasticizer) สารปรับปรุงคุณภาพ (Modifier) สารเสริม (Filler) สารคงสภาพ (Stabilizer)
สารยับยั้งปฏิกิริยา (Inhibitor) สารหล่อลื่น (Lubricant) และผงสี (Pigment) เป็นต้น
11
ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ก้าวหน้า และทันสมัยในปัจจุบันทาให้เรามีผลิตภัณฑ์พลาสติกหลากหลาย
รูปแบบ และสีสันให้เลือกใช้อย่างมากมาย ด้วยสมบัติที่โดดเด่นหลายด้านทาให้พลาสติกได้รับการยอมรับอย่าง
รวดเร็วและมีปริมาณการใช้งานเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้เกิดขยะพลาสติกในปริมาณสูงมากขึ้นตามด้วย ดังนั้น
การนาพลาสติกกลับมาใช้ใหม่หรือการ รีไซเคิลจึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมากเพราะนอกจากจะช่วยลดปริมาณ
ขยะพลาสติกแล้วยังเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าอีกด้วย การพัฒนาทางเทคโนโลยีในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทา
ให้การรีไซเคิลพลาสติกมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี โดยแบ่งเป็น 4 ประเภทหลัก คือ การรีไซเคิลแบบปฐมภูมิ (Primary
recycling) การรีไซเคิลแบบทุติยภูมิ (Secondary recycling) การ รีไซเคิลแบบตติยภูมิ (Tertiary recycling)
และการ รีไซเคิลแบบจตุภูมิ (Quaternary recycling)
1. การรีไซเคิลแบบปฐมภูมิ
เป็นการนาขวดหรือเศษพลาสติกที่เป็นประเภทเดียวกันและไม่มีสิ่งปนเปื้อน ที่เกิดในกระบวนการผลิตหรือ
ขึ้นรูปกลับมาใช้ซ้าภายในโรงงาน โดยสามารถนามาใช้ซ้าทั้งหมดหรือเติมผสมกับเม็ดใหม่ที่อัตราส่วนต่างๆ
2. การรีไซเคิลแบบทุติยภูมิ
การรีไซเคิลแบบทุติยภูมิหรือกระบวนการหลอมขึ้นรูปใหม่ เป็นการนาพลาสติกที่ผ่านการใช้งานแล้วมาทา
ความสะอาด บด หลอมและขึ้นรูปกลับไปเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกอีกครั้ง การรีไซเคิลแบบทุติยภูมินี้ยัง
สามารถแบ่งย่อยได้เป็นหลายเทคนิค คือ
o การรีไซเคิลเชิงกล (Mechanical recycling)
เป็นเทคนิคที่ง่ายและนิยมใช้มากที่สุดในปัจจุบัน โดยการเก็บพลาสติกที่ผ่านการใช้งานแล้วมาคัด
แยกตามประเภท และสีมาล้างทาความสะอาดก่อนนามาบดเป็นชิ้นเล็กๆ และหลอมเป็นเม็ด
พลาสติกเกรดสองหรือเม็ดพลาสติกรีไซเคิลเพื่อนากลับไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์
ใหม่หรือนามาผสมกับเม็ดใหม่เพื่อให้ได้สมบัติที่ต้องการก่อนนาไปผ่านกระบวนการขึ้นรูป โดย
คุณภาพของเม็ดพลาสติกรีไซเคิลนี้จะเป็นตัวกาหนดการนาไปใช้งานและปริมาณการผสมที่ต้องการ
ปัญหาในกระบวนการรีไซเคิลพลาสติกคือหลังจากผ่านกระบวนการรีไซเคิลในแต่ละครั้งพลาสติกจะ
มีคุณภาพต่าลงปฏิกิริยาการขาดของสายโซ่โมเลกุลของ ทาให้ไม่สามารถนาไปใช้ในเกิดประโยชน์
สูงสุด และมีราคาถูกลงเรื่อยๆ จนบางครั้งไม่คุ้มต่อการลงทุน สาเหตุที่สาคัญเนื่องมาจากมีการ
ปนเปื้อนของสิ่งสกปรก ฉลากเล็กๆ หรือ เศษกาวทาให้เม็ดพลาสติกรีไซเคิลมีสีเข้มขึ้นหรือ มีความ
ใสลดลง นอกจากนี้ความชื้นในพลาสติก และความร้อนที่ใช้ในการหลอมพลาสติกยังเป็นปัจจัย
สาคัญที่ทาให้เกิดการสลายตัว หรือเกิดการขาดของสายโซ่โมเลกุลของโพลิเมอร์ที่ใช้ทาพลาสติก ทา
ให้เม็ดพลาสติกรีไซเคิลมีสีเหลือง และมีสมบัติเชิงกลลดลงด้วย
o การปรับปรุงโดยวิธีทางเคมี (Chemical modification)
เนื่องจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิลมีข้อจากัดในด้านสมบัติ การขึ้นรูปและการใช้งาน ดังนั้น การปรับปรุง
โดยวิธีการทางเคมีจะช่วยลดข้อจากัดดังกล่าวหรือทาให้เม็ดรีไซเคิลมีลักษณะใกล้เคียงกับเม็ดใหม่ได้
การปรับปรุงนี้สามารถใช้ได้กับทั้งพลาสติกชนิดเดียวหรือพลาสติกผสม ถ้าเป็นพลาสติกชนิดเดียวก็
จะใช้การเติมสารเคมีหรือใช้วิธีการผ่านด้วยรังสี แต่ถ้าเป็นพลาสติกผสมมักใช้สารช่วยในการผสมให้
เข้ากันที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า Compatibilizer
12
o การหลอมอัดรีดร่วมและการฉีดร่วม (Coextrusion and Coinjection moulding)
เป็นอีกเทคนิคหนึ่งของการรีไซเคิลแบบทุติยภูมิซึ่งเหมาะสาหรับใช้ผลิตบรรจุภัณฑ์ที่ต้องสัมผัสกับ
อาหาร ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ผลิตได้จากกระบวนการนี้จะมีลักษณะโครงสร้างเป็นชั้นๆ เหมือน
แซนด์วิช โดยที่ผิวหน้าเป็นชั้นที่ผลิตจากพลาสติกใหม่ซึ่งมีความต้านทานต่อแรงดึงสูง ป้องกันการ
ขีดข่วนได้ดีและมีสีสันน่าใช้ ส่วนชั้นกลางเป็นชั้นของพลาสติกรีไซเคิล
3. การรีไซเคิลแบบตติยภูมิ
การรีไซเคิลแบบตติยภูมิแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ การรีไซเคิลทางเคมีและทางความร้อน
o การรีไซเคิลทางเคมี (chemical recycling)
เป็นกระบวนการที่ทาให้โครงสร้างสายโซ่ของพอลิเมอร์เกิดการขาดหรือแตกออก
(Depolymerisation) ได้มอนอเมอร์ (Monomer) หรือโอลิโกเมอร์ (Oligomer) เป็นผลิตภัณฑ์เมื่อ
นามาทาให้บริสุทธิ์โดยการกลั่นและตกผลึกได้เป็นสารตั้งต้นที่มีคุณภาพสูงซึ่งสามารถนาไปใช้ผลิต
เป็นเพทได้ใหม่
o การรีไซเคิลทางความร้อน (Thermolysis)
โครงสร้างของเพทสามารถเกิดการแตกหรือขาดได้โดยใช้ความร้อน เรียกว่า Thermolysis แบ่งออก
ได้เป็น 3 วิธี คือ แบบไม่ใช้ออกซิเจน (Pyrolysis )แบบใช้ออกซิเจน (Gasification) และ การเติม
ไฮโดรเจน (Hydrogenation)
Pyrolysis เป็นกระบวนการที่ทาให้สายโซ่พอลิเมอร์เกิดการแตกออกโดยใช้ความร้อนแบบไม่ใช้
ออกซิเจน ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการควบแน่นเป็น ของเหลวที่เรียกว่า น้ามันดิบสังเคราะห์ (Synthetic
crude oil) สามารถนากลับไปใช้ในโรงกลั่นและส่วนที่ไม่เกิดการควบแน่นจะถูกนากลับมาใช้เป็น
เชื้อเพลิงในการให้ความร้อนภายในกระบวนการ
Gasification เป็นกระบวนการที่ทาให้สายโซ่พอลิเมอร์ของเพทเกิดการแตกออกโดยใช้ความร้อน
แบบใช้ออกซิเจน กระบวนการนี้เกิดขึ้นที่อุณหภูมิสูงกว่า Pyrolysis ผลลัพธ์ที่ได้คือ Syngas ซึ่ง
ประกอบด้วยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์และไฮโดรเจน สามารถนามาใช้เป็นเชื้อเพลิงได้โดยตรง แต่ถ้า
ทาการแยกก่อนนามาใช้ในรูปของสารเคมีจะมีมูลค่าสูงขึ้น 2 – 3 เท่า
Hydrogenation เป็นเทคนิคที่ปรับปรุงมาจากกระบวนการกลั่นน้ามันแบบใช้ตัวเร่งปฏิกิริยา โดย
สายโซ่พอลิเมอร์ของเพทจะถูกทาให้แตกหรือขาดออกจากกันด้วยความร้อนและสัมผัสกับไฮโดรเจน
ที่มากเกินพอที่ความดันสูงกว่า 100 บรรยากาศ จนเกิดปฏิกิริยาแตกตัว (Cracking) และเกิดการ
เติมไฮโดรเจน (Hydrogenation) อย่างสมบูรณ์ ผลิตภัณฑ์ที่ได้ส่วนใหญ่เป็นเชื้อเพลิงเหลว เช่น
น้ามันแก็สโซลีนหรือดีเซล
13
กระบวนการรีไซเคิลทางความร้อนถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์และคุ้มค่ากว่าการรี
ไซเคิลทางเคมีเพราะสามารถจัดการขยะที่เป็นพลาสติกผสมที่มีสิ่งปนเปื้อนอื่นๆ ที่ไม่ใช่พลาสติกได้
ในขณะที่การรีไซเคิลทางเคมีต้องใช้พลาสติกที่มีความสะอาดค่อนข้างสูงและมีการผสมหรือปนเปื้อน
ได้เพียงเล็กน้อย ทาให้มีค่าใช้จ่ายในการเตรียมวัตถุดิบสูง อย่างไรก็ตามพลาสติกเพทที่จะนามารี
ไซเคิลทางความร้อนก็ควรมีการคัดขนาดหรือกาจัดสิ่งปนเปื้อนออกบ้าง
4. การรีไซเคิลแบบจตุภูมิ
พลาสติกสามารถนามาเผาไหม้เป็นเชื้อเพลิงทดแทน โดยการเผาไหม้ของพลาสติกให้ค่าความร้อนใกล้เคียง
กับถ่านหิน (23 MJ/kg) ช่วยในการเผาไหม้ส่วนที่เป็นขยะเปียก ทาให้ลดปริมาณเชื้อเพลิงที่ต้องใช้ในการเผา
ขยะ
แม้ว่าทุกวันนี้การรีไซเคิลพลาสติกยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก แต่ก็กาลังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เราให้ความสาคัญกับสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ การนาพลาสติกที่ผ่านการ
ใช้งานแล้วกลับมารีไซเคิลใช้ซ้าจึงเป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้เรารักษาความสวยงามและความอุดมสมบูรณ์ของ
ทรัพยากรธรรมชาติไว้ได้ ซึ่งอีกไม่นานเราก็จะก้าวข้ามเข้าสู่ศตวรรษใหม่ที่วิทยาการและเทคโนโลยีต่างๆ จะได้รับการ
พัฒนาให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น คนแห่งศตวรรษใหม่อาจต้องเปลี่ยนวิสัยทัศน์เกี่ยวกับพลาสติก เมื่อพลาสติกที่ผ่านการใช้งาน
แล้วในศตวรรษหน้าไม่ได้กลายเป็นขยะอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นทรัพยากรสาคัญในการผลิตผลิตภัณฑ์เพื่ออนุรักษ์
สิ่งแวดล้อม
ประเภทของพลาสติกย่อยสลายได้
ประเภทของพลาสติกย่อยสลายได้
โดยทั่วไป เราสามารถแบ่งกลไกการย่อยสลายของพลาสติกเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. การย่อยสลายได้โดยแสง (Photodegradation) การย่อยสลายโดยแสงมักเกิดจากการเติมสารเติมแต่งที่มี
ความว่องไวต่อแสงลงในพลาสติกหรือสังเคราะห์โคพอลิเมอร์ให้มีหมู่ฟังก์ชันหรือพันธะเคมีที่ไม่แข็งแรง
แตกหักง่ายภายใต้รังสี (UV) เช่น หมู่คีโตน (Ketone group) อยู่ในโครงสร้าง เมื่อสารหรือหมู่ฟังก์ชัน
ดังกล่าวสัมผัสกับรังสียูวีจะเกิดการแตกของพันธะกลายเป็นอนุมูลอิสระ (Free radical) ซึ่งไม่เสถียร จึงเข้า
ทาปฏิกิริยาต่ออย่างรวดเร็วที่พันธะเคมีบนตาแหน่งคาร์บอนในสายโซ่พอลิเมอร์ ทาให้เกิดการขาดของสายโซ่
แต่การย่อยสลายนี้จะไม่เกิดขึ้นภายในบ่อฝังกลบขยะ กองคอมโพสท์ หรือสภาวะแวดล้อมอื่นที่มืด หรือ
แม้กระทั่งชิ้นพลาสติกที่มีการด้วยหมึกที่หนามากบนพื้นผิว เนื่องจากพลาสติกจะไม่ได้สัมผัสกับรังสียูวี
โดยตรง
2. การย่อยสลายทางกล (Mechanical Degradation) โดยการให้แรงกระทาแก่ชิ้นพลาสติกทาให้ชิ้นส่วน
พลาสติกแตกออกเป็นชิ้น ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้โดยทั่วไปในการทาให้พลาสติกแตกเป็นชิ้นเล็กๆ
3. การย่อยสลายผ่านปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Oxidative Degradation) การย่อยสลายผ่าน)ฏิกิริยา
ออกซิเดชันของพลาสติก เป็นปฏิกิริยาการเติมออกซิเจนลงในโมเลกุลของพอลิเมอร์ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้เอง
ในธรรมชาติอย่างช้าๆ โดยมีออกซิเจน และความร้อน แสงยูวี หรือแรงทางกลเป็นปัจจัยสาคัญ เกิดเป็น
สารประกอบไฮโดรเปอร์ออกไซด์ (hydroperoxide, ROOH) ในพลาสติกที่ไม่มีการเติม สารเติมแต่งที่ทา
หน้าที่เพิ่มความเสถียร (stabilizing additive) แสงและความร้อนจะทาให้ ROOH แตกตัวกลายเป็นอนุมูล
อิสระ RO และ OH) ที่ไม่เสถียรและเข้าทาปฏิกิริยาต่อที่พันธะเคมีบนตาแหน่งคาร์บอนในสายโซ่พอลิเมอร์
14
ทาให้เกิดการแตกหักและสูญเสียสมบัติเชิงกลอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ได้รับการวิจัยและ
พัฒนาขึ้นในปัจจุบันทาให้พอลิโอเลฟินเกิดการย่อยสลายผ่านปฏิกิริยาออกซิเดชันกับออกซิเจนได้เร็วขึ้น
ภายในช่วงเวลาที่กาหนด โดยการเติมสารเติมแต่งที่เป็นเกลือของโลหะทรานสิชัน ซึ่งทาหน้าที่คะตะลิสต์เร่ง
การแตกตัวของสารประกอบไฮโดรเปอร์ออกไซด์ (Hydroperoxpide, ROOH) เป็นอนุมูลอิสระ (Free
radical) ทาให้สายโซ่พอลิเมอร์เกิดการแตกหักและสูญเสียสมบัติเชิงกลรวดเร็วยิ่งขึ้น
4. การย่อยสลายผ่านปฏิกิริยาไฮโดรไลซิส (Hydrolytic Degradation) การย่อยสลายของพอลิเมอร์ที่มีหมู่
เอสเทอร์ หรือเอไมด์ เช่น แป้ง พอลิเอสเทอร์ พอลิแอนไฮดรายด์ พอลิคาร์บอเนต และพอลิยูริเทน ผ่าน
ปฏิกิริยาก่อให้เกิดการแตกหักของสายโซ่พอลิเมอร์ ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสที่เกิดขึ้น โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 2
ประเภท คือ ประเภทที่ใช้คะตะลิสต์ (Catalytic hydrolysis) และไม่ใช้คะตะลิสต์ (Non-Catalytic
Hydrolysis) ซึ่งประเภทแรกยังแบ่งออกได้เป็น 2 แบบคือ แบบที่ใช้คะตะลิสต์จากภายนอกโมเลกุลของพอลิ
เมอร์เร่งให้เกิดการย่อยสลาย (External Catalytic Degradation) และแบบที่ใช้คะตะลิสต์จากจากภายใน
โมเลกุลของพอลิเมอร์เองในการเร่งให้เกิดการย่อยสลาย (Internal catalytic degradation) โดยคะตะลิสต์
จากภายนอกมี 2 ชนิด คือ คะตะลิสต์ที่เป็นเอนไซม์ต่างๆ (Enzyme) เช่น Depolymerase lipase
esterase และ glycohydrolase ในกรณีนี้จัดเป็นการย่อยสลายทางชีวภาพ และคะตะลิสต์ที่ไม่ใช่เอนไซม์
(Non-enzyme) เช่น โลหะแอลคาไลด์ (alkaline metal) เบส (base) และกรด(acid) ที่มีอยู่ในสภาวะ
แวดล้อมในธรรมชาติ ในกรณีนี้จัดเป็นการย่อยสลายทางเคมี สาหรับปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสแบบที่ใช้คะตะลิสต์
จากภายในโมเลกุลของพอลิเมอร์นั้นใช้หมู่คาร์บอกซิล(Carboxyl Group) ของหมู่เอสเทอร์ หรือเอไมด์
บริเวณปลายของสายโซ่พอลิเมอร์ในการเร่งปฏิกิริยาการย่อยสลายผ่าปฏิกิริยาไฮโดรไลซิส
5. การย่อยสลายทางชีวภาพ (Biodegradation) การย่อยสลายของพอลิเมอร์จากการทางานของจุลินทรีย์
โดยทั่วไปมีกระบวนการ 2 ขั้นตอน เนื่องจากขนาดของสายพอลิเมอร์ยังมีขนาดใหญ่และไม่ละลายน้า ใน
ขั้นตอนแรกของของการย่อยสลายจึงเกิดขึ้นภายนอกเซลล์โดยการปลดปล่อยเอ็นไซม์ของจุลินทรีย์ซึ่งเกิดได้
ทั้งทั้งแบบใช้ endo-enzyme หรือ เอนไซม์ที่ทาใหเกิดการแตกตัวของพันธะภายในสายโซ่พอลิเมอร์อย่างไม่
เป็นระเบียบ และแบบ exo-enzyme หรือเอนไซม์ที่ทาให้เกิดการแตกหักของพันธะทีละหน่วยจากหน่วยซ้า
ที่เล็กที่สุดที่อยู่ด้านปลายของสายโซ่พอลิเมอร์ เมื่อพอลิเมอร์แตกตัวจนมีขนาดเล็กพอจะแพร่ผ่านผนังเซลล์
เข้าไปในเซลล์ และเกิดการย่อยสลายต่อในขั้นตอนที่ 2 ได้ผลิตภัณฑ์ในขั้นตอนสุดท้าย (ultimate
biodegradation) คือ พลังงาน และสารประกอบขนาดเล็กที่เสถียรในธรรมชาติ (Mineralization) เช่น แก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์ แก๊สมีเทน น้า เกลือ แร่ธาตุต่างๆ และมวลชีวภาพ (biomass)
นอกจากนี้ยังพบว่า มีการใช้คาว่า พลาสติกย่อยสลายได้ในสภาวะแวดล้อมธรรมชาติ
(Environmentally Degradable Plastics, EDP) ซึ่งหมายถึง พลาสติกที่สามารถเกิดการเปลี่ยนแปลง
สมบัติเนื่องจากปัจจัยต่างๆ ในสภาวะแวดล้อม เช่น กรด ด่าง น้า และออกซิเจนในธรรมชาติ แสงจากดวง
อาทิตย์ แรงเค้นจากการกระทบของเม็ดฝนและแรงลม หรือจากเอนไซม์ของจุลินทรีย์ ทาให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมี กลายเป็นสารที่ถูกดูดซึม และย่อยสลายต่อได้อย่างสมบูรณ์โดยจุลินทรีย์ได้
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ น้า สารอนินทรีย์ และมวลชีวภาพ เป็นผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย โดยการย่อยสลายและ
การดูดซึมนี้ต้องเกิดขึ้นได้รวดเร็วเพียงพอที่จะไม่ทาให้เกิดการสะสมในสภาวะแวดล้อม และคาว่า พลาสติกที่
เป็นมิตรต่อสภาวะแวดล้อม (Environmental Friendly Plastics) หรือ พลาสติกสีเขียว (Green Plastics)
หมายถึง พลาสติกที่ทาให้ภาระในการจัดการขยะลดลง และส่งผลกระทบโดยรวมต่อสภาวะแวดล้อมน้อย
กว่าพลาสติกที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน
15
พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ
ในอนาคตมีแนวโน้มการใช้งานพลาสติกย่อยสลายได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากหลายสาเหตุ เช่น มีการค้นพบและพัฒนา
กระบวนการผลิตใหม่ๆ ทาให้พลาสติกมีราคาที่ต่าลงและมีสมบัติต่างๆ ดีขึ้น มีกฎข้อบังคับ รวมถึงการที่มีค่าใช้จ่ายใน
การกาจัดขยะที่สูงขึ้น ทาให้บริษัทต่างๆ ทาการผลิตพลาสติกย่อยสลายได้ที่มีสมบัติที่หลากหลายแตกต่างกัน บางครั้ง
ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่เกิดการย่อยสลายผ่านกระบวนการทางชีวภาพอย่างแท้จริง เพื่อควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์
ดังกล่าว ปัจจุบันจึงมีหลายองค์กรทั่วโลกได้ดาเนินการจัดทามาตรฐานผลิตภัณฑ์ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ
(Biodegradable Plastics) ขึ้น และให้คาจากัดความของพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพซึ่งมีความแตกต่างกัน
เล็กน้อยไว้ ดังนี้
 ASTM D6400-99 – biodegradable plastic is a degradable plastic in which the degradation
results from the action of naturally occurring microorganisms such as bacteria, fungi and
algae.
พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพคือ พลาสติกที่ย่อยสลายได้เนื่องมาจากการทางานของจุลินทรีย์ที่มีอยู่ใน
ธรรมชาติ เช่น แบคทีเรีย ราและสาหร่าย
 ISO 472:1998 – Biodegradable plastics are plastic designed to undergo a significant change
in its chemical structure under specific environmental conditions resulting in a loss of some
properties that may vary as measured by standard test methods appropriate to the plastics
and application in a period of time that determines its classification. The change in
chemical structure results from the action of naturally occurring microorganisms
พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ คือ พลาสติกที่ถูกออกแบบมาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมี
ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่กาหนดไว้โดยเฉพาะ เป็นสาเหตุทาให้สมบัติต่างๆ ของพลาสติกลดลงภายใน
ช่วงเวลาหนึ่งซึ่งสามารถวัดได้โดยใช้วิธีทดสอบมาตรฐานที่เหมาะสมกับชนิดของพลาสติกและการใช้งาน ผล
การทดสอบสามารถนามาใช้เป็นเกณฑ์ในการจาแนกประเภทของพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ โดยการ
เปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีดังกล่าวต้องเกิดจากการทางานของจุลินทรีย์ในธรรมชาติเท่านั้น
 BPS Japan (1994) – Biodegradable plastics are polymeric materials which are changed into
lower molecular weight compounds where at least one step in the degradation process is
through metabolism in the presence of naturally occurring organism.
พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ คือ วัสดุพอลิเมอร์ ที่สามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นสารประกอบที่มี
น้าหนักโมเลกุลลดต่าลงได้ โดยมีอย่างน้อย 1 ขั้นตอนในกระบวนการย่อยสลายนี้เกิดผ่านกระบวนการเมทา
บอลิซึมของจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในธรรมชาติ
 DIN FNK103.2 (1993) – A plastic materials is called biodegradable if all its organic
compounds undergo a complete biodegradation process Environmental condition and
rates of biodegradation are to be determined by standardized test methods.
วัสดุพลาสติกจะได้ชื่อว่าเป็นพลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ก็ต่อเมื่อสารประกอบอินทรีย์ทั้งหมดถูกย่อย
สลายอย่างสมบูรณ์โดยจุลินทรีย์ ที่มีอยู่ในสภาพแวดล้อม และมีอัตราการย่อยสลายอยู่ภายใต้ข้อกาหนดใน
การทดสอบตามมาตรฐาน
 CEN (1993) – A degradable material in which the degradation results from the action of
microorganisms and ultimately materials is converted to water, carbon dioxide and/or
methane and a new cell biomass
วัสดุย่อยสลายได้ คือ วัสดุที่การย่อยสลายเป็นผลมาจากการทางานของจุลินทรีย์ทาให้วัสดุเกิดการ
16
เปลี่ยนแปลงเป็นน้า แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และ/ หรือ แก๊สมีเทน และมวลชีวภาพใหม่ เป็นผลิตภัณฑ์ใน
ขั้นตอนสุดท้าย
สาหรับคาว่า biodegradation (หรือการย่อยสลายได้ทางชีวภาพ) ย่อมาจาก biotic degradation ในมาตรฐาน
ต่างๆ มีคาจากัดความที่ใช้พื้นฐานแนวคิดเดียวกัน คือ เป็นการทางานของจุลินทรีย์ที่มีต่อชิ้นวัสดุ เป็นผลให้วัสดุเกิด
การเปลี่ยนแปลงไปเป็นแก๊สคาร์บานไดออกไซด์หรือแก๊สมีเทนและน้า
การใช้งานผลิตภัณฑ์พลาสติกย่อยสลายได้
1.การใช้งานทางการแพทย์
พลาสติกย่อยสลายได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการผลิตวัสดุทางการแพทย์ เช่น ผิวหนังเทียม ยาที่ถูกออกแบบ
มาให้สามารถควบคุมการปลดปล่อยตัวยาอย่างช้าๆ ภายในร่างกายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรือไหมละลาย อุปกรณ์
ประเภทสกรู และแผ่นดามกระดูกที่ได้รับการผ่าตัดและฝังอยู่ในร่างกายที่สามารถย่อยสลายได้เองภายหลังจากการทา
หน้าที่ตามที่ได้รับการออกแบบไว้แล้วเสร็จสิ้น ทาให้ไม่ต้องทาการผ่าตัดซ้าเพื่อนาวัสดุที่ใช้ในการรักษาเสร็จแล้วออก
จากร่างกายผู้ป่วย
2.สารเคลือบกระดาษ หรือโฟม
ปัจจุบันมีการนาพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพมาใช้งานเป็นสารเคลือบกระดาษสาหรับห่อแฮมเบอร์เกอร์
หรือถ้วยน้าชนิดใช้แล้วทิ้ง
3.ฟิล์มคลุมดิน และวัสดุสาหรับการเกษตร
ฟิล์มคลุมดินสาหรับการเกษตรเป็นอุปกรณ์ทางการเกษตรที่สาคัญในการเพาะปลูกพืชบางชนิด เช่น มะเขือ
เทศ ซึ่งแผ่นฟิล์มจะช่วยป้องกันการเติบโตของวัชพืช และรักษาความชื้นในดิน การใช้ฟิล์มสามารถผลิตได้จาก
พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพจะช่วยลดขั้นตอนการเก็บและกาจัดฟิล์มภายหลังเสร็จสิ้นการใช้งาน เนื่องจาก
สามารถกาจัดโดยการไถพรวนลงดินได้โดยตรง ช่วยป้องกันการสูญเสียแร่ธาตุและสารอาหารบริเวณหน้าดินซึ่งมัก
เกิดขึ้นในขั้นตอนการเก็บและกาจัดฟิล์ม นอกจากนี้ยังมีการนาพลาสติกย่อยสลายได้มาใช้เป็นวัสดุควบคุมการ
ปลดปล่อยสารสาคัญ เช่น ตัวยา ปุ๋ย สารเคมีสาหรับการเกษตร วัสดุกักเก็บน้าสาหรับการเพาะปลูกพืชในทะเลทราย
รวมถึงถุงหรือกระถางสาหรับเพาะต้นกล้า
4. ถุงสาหรับใส่ของ (shopping bag)
ถุงพลาสติกและฟิล์มพลาสติกสาหรับการใช้งานด้านบรรจุภัณฑ์ได้รับความนิยมในการใช้งานมากขึ้นใน
ปัจจุบัน ส่งผลให้มีสัดส่วนอยู่ในขยะในปริมาณสูงและยังไม่ได้รับความนิยมนากลับมารีไซเคิลมากนักเนื่องจากมีความ
ยุ่งยากในขั้นตอนการคัดแยกและทาความสะอาด รวมถึงมีค่าใช้จ่ายในการขนส่งสูง ทาให้ไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ
พลาสติกย่อยสลายได้จึงเป็นพลาสติกที่มีศักยภาพในการนามาใช้แทนพลาสติกทั่วไปเพื่อผลิตเป็นถุงและฟิล์มในบาง
โอกาส
5.ฟิล์ม และถุงสาหรับใส่ขยะเศษอาหาร (Food Waste Film and Bags)
ฟิล์มและถุงพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพสาหรับใช้ใส่ขยะเศษอาหาร เหมาะสาหรับสถานที่ที่มีระบบการ
กาจัดขยะอินทรีย์ด้วยวิธีการคอมโพสท์ กาลังได้รับความนิยมในต่างประเทศ เนื่องจากสามารถกาจัดโดยการนามาทา
คอมโพสท์พร้อมขยะอินทรีย์อื่นๆ ทาให้เกิดความสะดวกไม่ต้องแยกทิ้ง ปัจจุบันมีความต้องการใช้ถุงพลาสติกย่อย
สลายได้สูงขึ้นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ในหลายเมืองของประเทศอิตาลี ได้ใช้พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพสาหรับ
ใส่ขยะเศษอาหารตั้งแต่ปี ค.ศ. 1998 โดยมีบริษัท Novamont ซึ่งเป็นผู้ผลิตหลักให้กับประเทศในสหภาพยุโรป ทา
การผลิตถุงย่อยสลายได้ในสภาวะคอมโพสท์ 10,000 ตันต่อปี ถุงที่ผลิตขึ้นนี้สามารถย่อยสลายได้อย่างสมบูรณ์ภายใน
8-10 สัปดาห์ภายใต้สภาวะการหมักในโรงงานคอมโพสท์เชิงอุตสาหกรรม
17
6. บรรจุภัณฑ์เพื่อการบริโภค (Consumer Packaging Materials)
ศักยภาพหนึ่งในการใช้งานพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ คือ การใช้งานด้านบรรจุภัณฑ์ ซึ่งตามปกติการ
ใช้บรรจุภัณฑ์อาหารที่ผลิตจากพลาสติกทั่วไปมักไม่ได้รับความนิยมนากลับมารีไซเคิลมากนัก เนื่องจากมีการปนเปื้อน
สูง ทาให้ไม่สะดวกต่อการเก็บและทาความสะอาด การนาพลาสติกย่อยสลายได้มาผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์สาหรับอาหาร
เช่น ถาดย่อยสลายได้สาหรับอาหารสาเร็จรูปและอาหารจานด่วน จึงเป็นแนวทางหนึ่งในการลดปัญหาด้านการจัดการ
ขยะบรรจุภัณฑ์ลงได้
7. โฟมเม็ดกันกระแทก (Loose fill)
โฟมเม็ดกันกระแทก (loose fill) โดยทั่วไปผลิตจากพอลิสไตรีน (PS) เพื่อใช้ประโยชน์ในด้านการขนส่งสินค้า
มีข้อดีคือ มีความยืดหยุ่นสามารถป้องกันสินค้าจากแรงกระแทกระหว่างการเคลื่อนย้ายและขนส่งได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ยังมีน้าหนักเบาทาให้การขนส่งสินค้าเป็นไปได้อย่างสะดวกและประหยัดเชื้อเพลิง แต่ปัญหาคือ พอลิสไตรีน
เป็นพลาสติกที่ย่อยสลายได้ยากและใช้เนื้อที่ในการจัดเก็บเพื่อการกาจัดสูง ในกรณีที่ต้องกาจัดด้วยการฝังกลบต้องใช้
เนื้อที่ในบ่อฝังกลบมาก แม้ว่าจะนามารีไซเคิลใช้ใหม่ได้แต่ยังไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายมากนัก ปัจจุบันมีการพัฒนาการ
ผลิตโฟมเม็ดกันกระแทกจากแป้งและพอลิเมอร์ชนิดอื่นที่ละลายน้าและย่อยสลายได้ทางชีวภาพขึ้น ทาให้ง่ายต่อการ
ใช้งานและสะดวกในการกาจัดเมื่อสิ้นสุดการใช้งานแล้ว
ผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อม
ผลกระทบด้านบวกต่อสภาวะแวดล้อม
การประเมินผลกระทบด้านบวกต่อสภาวะแวดล้อมของการนาพลาสติกย่อยสลายได้มาใช้งาน
ทดแทนพลาสติกทั่วไปในบางโอกาส สามารถทาได้โดยการใช้วิธีประเมินวัฏจักรชีวิต (Life cycle
assessment) ของพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ เปรียบเทียบกับพลาสติกทั่วไปที่ผลิตจากผลิตภัณฑ์
ปิโตรเลียมเพื่อประเมินผลกระทบที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและสภาพแวดล้อมด้านต่างๆ เช่น แหล่งวัตถุดิบ
ซึ่งอาจเป็นแหล่งวัตถุดิบที่ปลูกหรือผลิตทดแทนขึ้นใหม่ได้ หรือเป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ปริมาณการใช้น้าและ
พลังงานในกระบวนการผลิต การใช้สารเคมีในการเพาะปลูก และการปล่อยแก๊สเรือนกระจก เป็นต้น หากมี
การนาพลาสติกย่อยสลายได้มาใช้งาน และมีการกาจัดอย่างมีประสิทธิภาพแล้วจะก่อให้เกิดประโยชน์ในด้าน
อื่นๆ ดังต่อไปนี้
1. คอมโพสท์ที่ได้จากการย่อยสลายพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพร่วมกับขยะอินทรีย์อื่นๆ สามารถนามาใช้
ในการปรับปรุงคุณภาพดินโดยช่วยเพิ่มสารอินทรีย์ ความชื้น และสารอาหารให้แก่ดิน พร้อมทั้งช่วยลด
ปริมาณการใช้ปุ๋ยและลดการเกิดโรคในพืช การหมักพลาสติกย่อยสลายได้ทาให้เกิดการหมุนเวียนของธาตุ
ในขณะที่การใช้พลาสติกมักต้องกาจัดด้วยการฝังกลบหรือเผา
2. ลดเนื้อที่การใช้งานของบ่อฝังกลบขยะ โดยการใช้พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ และถุงที่ย่อยสลายได้ทา
ให้เพิ่มศักยภาพในการย่อยสลายของเศษอาหารหรือขยะอินทรีย์ในบ่อฝังกลบ และเพิ่มศักยภาพในการผลิต
แก๊สมีเทนสาหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงในกรณีที่บ่อฝังกลบได้ถูกออกแบบมาให้ผลิตและใช้ประโยชน์จากแก๊สมีเทน
ได้ การใช้ฟิล์มพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพเป็นวัสดุคลุมหน้าบ่อฝังกลบแทนดินในแต่ละวันเป็นการเพิ่ม
เนื้อที่ให้บ่อฝังกลบ เนื่องจากการปิดหน้าบ่อฝังกลบด้วยดินทุกวันจะใช้เนื้อที่รวม 25% ของเนื้อที่
ในบ่อฝังกลบ
3. การใช้พลังงานในการสังเคราะห์ และผลิตพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพน้อยกว่าการผลิตพลาสติกทั่วไป
ดังแสดงในตารางข้างล่างโดยเทียบกับพลังงานที่ใช้ในการผลิต HDPE และ LDPE โดยพลังงานที่ใช้ในการ
ผลิต PHA ใกล้เคียงกับที่ใช้ในการผลิต PE หากการผลิตพลาสติกย่อยสลายได้โดยใช้สารอาหารน้าตาลในน้า
ทิ้งจากโรงงานผลิตแป้ง กากน้าตาล ตะกอนจากบ่อน้าทิ้ง จะทาให้การใช้พลังงานลดลง
แบบร่างโครงงานพลาสติก
แบบร่างโครงงานพลาสติก
แบบร่างโครงงานพลาสติก

More Related Content

What's hot

โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ปัญหาเด็กติดเกม
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ปัญหาเด็กติดเกมโครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ปัญหาเด็กติดเกม
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ปัญหาเด็กติดเกมRatchasin Poomchor
 
ข้อสอบความรู้รอบตัว
ข้อสอบความรู้รอบตัว ข้อสอบความรู้รอบตัว
ข้อสอบความรู้รอบตัว Garsiet Creus
 
เปรียบเทียบสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2
เปรียบเทียบสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2เปรียบเทียบสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2
เปรียบเทียบสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2Taraya Srivilas
 
แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดประชุมสัมมนาโครงการสภานักเรียน ประจำปี ๒๕๕๘
แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดประชุมสัมมนาโครงการสภานักเรียน ประจำปี ๒๕๕๘แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดประชุมสัมมนาโครงการสภานักเรียน ประจำปี ๒๕๕๘
แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดประชุมสัมมนาโครงการสภานักเรียน ประจำปี ๒๕๕๘Duangnapa Inyayot
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง โรคซึมเศร้า
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง โรคซึมเศร้าโครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง โรคซึมเศร้า
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง โรคซึมเศร้าธนัชพร ส่งงาน
 
แบบทดสอบ ทัศนศิลป์ ม.6
แบบทดสอบ ทัศนศิลป์ ม.6แบบทดสอบ ทัศนศิลป์ ม.6
แบบทดสอบ ทัศนศิลป์ ม.6teerachon
 
บทที่ 1 ที่มาและความสำคัญ
บทที่ 1 ที่มาและความสำคัญบทที่ 1 ที่มาและความสำคัญ
บทที่ 1 ที่มาและความสำคัญneeranuch wongkom
 
โครงงานเรื่องปลูกป่าเพื่อรักษาโลก
โครงงานเรื่องปลูกป่าเพื่อรักษาโลกโครงงานเรื่องปลูกป่าเพื่อรักษาโลก
โครงงานเรื่องปลูกป่าเพื่อรักษาโลกพัน พัน
 
ถอดความบทประพันธ์เรื่อง โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ
ถอดความบทประพันธ์เรื่อง โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการถอดความบทประพันธ์เรื่อง โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ
ถอดความบทประพันธ์เรื่อง โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการsupaporn2516mw
 
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้องPongtep Treeone
 
โครงงานคัดแยกขยะ
โครงงานคัดแยกขยะโครงงานคัดแยกขยะ
โครงงานคัดแยกขยะPang Pond
 
โครงงานการประดิษฐ์กระถางจากขวดพลาสติก
โครงงานการประดิษฐ์กระถางจากขวดพลาสติกโครงงานการประดิษฐ์กระถางจากขวดพลาสติก
โครงงานการประดิษฐ์กระถางจากขวดพลาสติกพัน พัน
 
1 รายงานโครงงานวิทยาศาสตร์2557 สำรวจแมงมุม ศพว
1 รายงานโครงงานวิทยาศาสตร์2557 สำรวจแมงมุม ศพว1 รายงานโครงงานวิทยาศาสตร์2557 สำรวจแมงมุม ศพว
1 รายงานโครงงานวิทยาศาสตร์2557 สำรวจแมงมุม ศพวSircom Smarnbua
 
สารบัญภาษาไทย
สารบัญภาษาไทยสารบัญภาษาไทย
สารบัญภาษาไทยPoppy Nana
 
โครงงานแบดมินตัน
โครงงานแบดมินตันโครงงานแบดมินตัน
โครงงานแบดมินตันSupakit10
 
ตัวอย่างการเขียนโครงงาน5บท
ตัวอย่างการเขียนโครงงาน5บทตัวอย่างการเขียนโครงงาน5บท
ตัวอย่างการเขียนโครงงาน5บทSittidet Nawee
 
2557 โครงงานน้ำ
2557 โครงงานน้ำ2557 โครงงานน้ำ
2557 โครงงานน้ำBengelo
 

What's hot (20)

โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ปัญหาเด็กติดเกม
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ปัญหาเด็กติดเกมโครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ปัญหาเด็กติดเกม
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง ปัญหาเด็กติดเกม
 
ข้อสอบความรู้รอบตัว
ข้อสอบความรู้รอบตัว ข้อสอบความรู้รอบตัว
ข้อสอบความรู้รอบตัว
 
เปรียบเทียบสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2
เปรียบเทียบสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2เปรียบเทียบสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2
เปรียบเทียบสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2
 
แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดประชุมสัมมนาโครงการสภานักเรียน ประจำปี ๒๕๕๘
แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดประชุมสัมมนาโครงการสภานักเรียน ประจำปี ๒๕๕๘แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดประชุมสัมมนาโครงการสภานักเรียน ประจำปี ๒๕๕๘
แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดประชุมสัมมนาโครงการสภานักเรียน ประจำปี ๒๕๕๘
 
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง โรคซึมเศร้า
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง โรคซึมเศร้าโครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง โรคซึมเศร้า
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง โรคซึมเศร้า
 
แบบทดสอบ ทัศนศิลป์ ม.6
แบบทดสอบ ทัศนศิลป์ ม.6แบบทดสอบ ทัศนศิลป์ ม.6
แบบทดสอบ ทัศนศิลป์ ม.6
 
บทที่ 1 ที่มาและความสำคัญ
บทที่ 1 ที่มาและความสำคัญบทที่ 1 ที่มาและความสำคัญ
บทที่ 1 ที่มาและความสำคัญ
 
โครงงานเรื่องปลูกป่าเพื่อรักษาโลก
โครงงานเรื่องปลูกป่าเพื่อรักษาโลกโครงงานเรื่องปลูกป่าเพื่อรักษาโลก
โครงงานเรื่องปลูกป่าเพื่อรักษาโลก
 
ถอดความบทประพันธ์เรื่อง โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ
ถอดความบทประพันธ์เรื่อง โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการถอดความบทประพันธ์เรื่อง โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ
ถอดความบทประพันธ์เรื่อง โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ
 
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
02 บทที่ 2-เอกสารที่เกี่ยวข้อง
 
โครงงาน Hydroponic
โครงงาน Hydroponicโครงงาน Hydroponic
โครงงาน Hydroponic
 
โครงงานคัดแยกขยะ
โครงงานคัดแยกขยะโครงงานคัดแยกขยะ
โครงงานคัดแยกขยะ
 
โครงงานวิทยาศาสตร์
โครงงานวิทยาศาสตร์โครงงานวิทยาศาสตร์
โครงงานวิทยาศาสตร์
 
โครงงานการประดิษฐ์กระถางจากขวดพลาสติก
โครงงานการประดิษฐ์กระถางจากขวดพลาสติกโครงงานการประดิษฐ์กระถางจากขวดพลาสติก
โครงงานการประดิษฐ์กระถางจากขวดพลาสติก
 
บทที่1 บทนำ
บทที่1 บทนำบทที่1 บทนำ
บทที่1 บทนำ
 
1 รายงานโครงงานวิทยาศาสตร์2557 สำรวจแมงมุม ศพว
1 รายงานโครงงานวิทยาศาสตร์2557 สำรวจแมงมุม ศพว1 รายงานโครงงานวิทยาศาสตร์2557 สำรวจแมงมุม ศพว
1 รายงานโครงงานวิทยาศาสตร์2557 สำรวจแมงมุม ศพว
 
สารบัญภาษาไทย
สารบัญภาษาไทยสารบัญภาษาไทย
สารบัญภาษาไทย
 
โครงงานแบดมินตัน
โครงงานแบดมินตันโครงงานแบดมินตัน
โครงงานแบดมินตัน
 
ตัวอย่างการเขียนโครงงาน5บท
ตัวอย่างการเขียนโครงงาน5บทตัวอย่างการเขียนโครงงาน5บท
ตัวอย่างการเขียนโครงงาน5บท
 
2557 โครงงานน้ำ
2557 โครงงานน้ำ2557 โครงงานน้ำ
2557 โครงงานน้ำ
 

Similar to แบบร่างโครงงานพลาสติก

แบบเสนอโครงงาน พลาสติก
แบบเสนอโครงงาน พลาสติกแบบเสนอโครงงาน พลาสติก
แบบเสนอโครงงาน พลาสติกPanipon Ounkham
 
กิจกรรมที่ 5 โครงงานคอมพิวเตอร์
กิจกรรมที่ 5 โครงงานคอมพิวเตอร์กิจกรรมที่ 5 โครงงานคอมพิวเตอร์
กิจกรรมที่ 5 โครงงานคอมพิวเตอร์THEPHIM
 
2560 project ของวี่
2560 project ของวี่2560 project ของวี่
2560 project ของวี่Tai MerLin
 
โครงงานคอมพิวเตอร์พลาสติก
โครงงานคอมพิวเตอร์พลาสติกโครงงานคอมพิวเตอร์พลาสติก
โครงงานคอมพิวเตอร์พลาสติกPanipon Ounkham
 
2560 project
2560 project2560 project
2560 projectmidfill69
 
โครงงานสีบำบัดโรค(Color Therapy)
โครงงานสีบำบัดโรค(Color Therapy)โครงงานสีบำบัดโรค(Color Therapy)
โครงงานสีบำบัดโรค(Color Therapy)Bezegrupe
 
2560 project .doc กี้
2560 project .doc กี้2560 project .doc กี้
2560 project .doc กี้Nattarika Pijan
 
โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์เทคโนโลยีที่กำลังมาในอนาคต
โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์เทคโนโลยีที่กำลังมาในอนาคตโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์เทคโนโลยีที่กำลังมาในอนาคต
โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์เทคโนโลยีที่กำลังมาในอนาคตKantapon Knight
 
กิจกรรมที่5
กิจกรรมที่5กิจกรรมที่5
กิจกรรมที่5sirawitaoonok
 

Similar to แบบร่างโครงงานพลาสติก (20)

แบบเสนอโครงงาน พลาสติก
แบบเสนอโครงงาน พลาสติกแบบเสนอโครงงาน พลาสติก
แบบเสนอโครงงาน พลาสติก
 
Tonggyy
TonggyyTonggyy
Tonggyy
 
กิจกรรมที่ 5 โครงงานคอมพิวเตอร์
กิจกรรมที่ 5 โครงงานคอมพิวเตอร์กิจกรรมที่ 5 โครงงานคอมพิวเตอร์
กิจกรรมที่ 5 โครงงานคอมพิวเตอร์
 
2560 project
2560 project 2560 project
2560 project
 
2560 project ของวี่
2560 project ของวี่2560 project ของวี่
2560 project ของวี่
 
โครงงานคอมพิวเตอร์พลาสติก
โครงงานคอมพิวเตอร์พลาสติกโครงงานคอมพิวเตอร์พลาสติก
โครงงานคอมพิวเตอร์พลาสติก
 
2560 project
2560 project2560 project
2560 project
 
โครงงานสีบำบัดโรค(Color Therapy)
โครงงานสีบำบัดโรค(Color Therapy)โครงงานสีบำบัดโรค(Color Therapy)
โครงงานสีบำบัดโรค(Color Therapy)
 
2560 project .doc กี้
2560 project .doc กี้2560 project .doc กี้
2560 project .doc กี้
 
อันนี้
อันนี้อันนี้
อันนี้
 
2559 project (1)
2559 project  (1)2559 project  (1)
2559 project (1)
 
โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์เทคโนโลยีที่กำลังมาในอนาคต
โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์เทคโนโลยีที่กำลังมาในอนาคตโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์เทคโนโลยีที่กำลังมาในอนาคต
โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์เทคโนโลยีที่กำลังมาในอนาคต
 
Project11
Project11Project11
Project11
 
กิจกรรมที่5
กิจกรรมที่5กิจกรรมที่5
กิจกรรมที่5
 
2561 project -3
2561 project -32561 project -3
2561 project -3
 
2559 project
2559 project 2559 project
2559 project
 
2559 project
2559 project 2559 project
2559 project
 
2559 project
2559 project 2559 project
2559 project
 
Energy drink.
Energy drink.Energy drink.
Energy drink.
 
งานเอิด
งานเอิดงานเอิด
งานเอิด
 

แบบร่างโครงงานพลาสติก

  • 1. 1 แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6 ปีการศึกษา 2560 ชื่อโครงงาน พลาสติก ( Plastic ) ชื่อผู้ทาโครงงาน นายพนิพนธ์ อุ่นคา เลขที่ 8 ชั้น ม.6 ห้อง 15 นางสาวนภัสสร เรียบปวง เลขที่ 14 ชั้น ม.6 ห้อง 15 ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์ ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
  • 2. 2 ใบงาน การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์ สมาชิกในกลุ่ม นายพนิพนธ์ อุ่นคา เลขที่ 8 นางสาวนภัสสร เรียบปวง เลขที่ 14 คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้ ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย) พลาสติก ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ) Plastic ประเภทโครงงาน โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา (Educational Media) ชื่อผู้ทาโครงงาน นายพนิพนธ์ อุ่นคา นางสาวนภัสสร เรียบปวง ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์ ระยะเวลาดาเนินงาน 13 สัปดาห์ ที่มาและความสาคัญของโครงงาน (อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน) ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า พลาสติกนั้นได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งที่สาคัญกับชีวิตของ มนุษย์บนโลกใบนี้ทุกคน เพราะการใช้ชีวิตประจาวันของเราแทบจะเจอพลาสติกในทุกๆที่ที่เราไป ไม่ว่าจะเป็น ขวด น้า กล่องใส่อาหาร สายไฟต่างๆ รวมไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์บางประเภท เรียกได้ว่า พลาสติกได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งใน ชีวิตของมนุษย์ทุกคนไปเสียแล้ว พลาสติกนั้นมีประโยชน์มากมาย แต่มันก็มีโทษเช่นกัน ซึ่งที่รู้ๆกันโดยทั่วไปก็คือ พลาสติกนั้นย่อยสลายยาก ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาต่างๆตามมา เช่น ถ้านาไปฝั่งก็ใช้พื้นที่มากและใช้เวลาย่อยสลาย ค่อนข้างนาน หรือ หากนาไปเผาก็จะก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ ซึ่งปัญหาต่างๆของพลาสติกทาให้เกิดปัญหาเป็นวง กว้างตามมา ที่เห็นได้ชัดในปัจจุบันเลยก็คือ ภาวะโลกร้อน จึงได้เกิดความคิดที่จะให้ผู้ที่สนใจได้เรียนรู้เรื่องราวของ พลาสติกให้มากขึ้น ทั้งการทาพลาสติก ประเภทของพลาสติก และประโยชน์และโทษของพลาสติก เป็นต้น
  • 3. 3 วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ) 1. เพื่อให้รู้ความเป็นมาของพลาสติก 2. เพื่อให้รู้ประเภทของพลาสติก 3. เพื่อให้รู้ชนิดของพลาสติกที่ใช้กันในปัจจุบัน 4. เพื่อให้รู้ถึงผลกระทบทั้งด้านบวก และด้านลบของพลาสติก ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน) เพื่อให้ทุกคนได้รู้ ความเป็นมาของพลาสติก ประเภทของพลาสติก และผลกระทบของพลาสติก เป็นต้น ซึ่งการที่ได้เรียนรู้เรื่องราวของพลาสติก จะทาให้รู้จักกับพลาสติกมากขึ้น และรู้วิธีอยู่ร่วมกับพลาสติกได้อย่างถูกต้อง ไม่ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มากมายตามมา หลักการและทฤษฎี (ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน) ประวัติความเป็นมาของพลาสติก พลาสติกทั่วไปที่เราคุ้นเคยและใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ได้ถูกสังเคราะห์ขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์ในช่วงร้อยกว่าปีที่ผ่าน มานี้เองสาหรับการใช้งานในด้านต่าง ๆเช่นบรรจุภัณฑ์ อุปกรณ์ของใช้ และเครื่องมือต่างๆ หากเราจะย้อนกลับไป ศึกษาประวัติการสังเคราะห์พลาสติกชนิดแรกของโลก คงจะต้องกลับไปเริ่มต้นที่ปี ค.ศ. 1863 เมื่อบริษัทผลิตลูก บิลเลียดในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ประกาศให้รางวัล 10,000 เหรียญแก่ผู้ที่สามารถหาวัสดุทดแทนงาช้างเพื่อใช้ใน การทาลูกบิลเลียด ซึ่งในขณะนั้นเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมสูง จึงเป็นเหตุให้ช้างป่าในแถบแอฟริกาจานวนมากถูกล่า เพื่อเอางาจนเกือบสูญพันธุ์ นายจอห์น เวสลีย์ ไฮเอตต์ (John Wesley Hyatt) ช่างไม้ชาวอเมริกาก็เป็นบุคคลหนึ่งที่ สนใจและพยายามค้นหาวัสดุที่สามารถนามาใช้แทนงาช้าง หลังจากทาการทดลองอยู่หลายปี คืนหนึ่งเขาได้รับ อุบัติเหตุจากของมีคมบาดมือขณะทาการผสมขี้เลื่อยกับกาว เขาจึงใส่แผลด้วยคอลอเดียน (colodion) ยาสมานแผล ซึ่งทาจากไนโตรเซลลูโลสละลายอยู่ในอีเธอร์และแอลกอฮอล์ และด้วยความบังเอิญเขาได้ทายาหกลงบนพื้นโต๊ะ เมื่อ กลับมาดูอีกครั้งพบว่า ยาแห้งเป็นแผ่นเหนียวๆ นายไฮเอตต์ทาการทดลองต่อจนพบว่าหากเติมการบูรลงไปในของผสมอีเทอร์จะได้วัสดุซึ่งต่อมาเรียกว่า เซลลูลอยด์ (celluloid) ซึ่งเป็นวัสดุที่มีสมบัติเหมาะสมในการนามาทาเป็นลูกบิลเลียด และผลิตภัณฑ์ต่างๆ เนื่องจาก มีสมบัติทนทานต่อน้ามัน น้าและกรด ใส หรือทาให้มีสีสันสวยงามได้ง่าย และมีราคาถูก นิยมนามาทาเป็นลูกบิลเลียด และคีย์เปียโนแทนงาช้างหรือทาหวีแทนกระดองสัตว์ นอกจากนี้ยังนิยมนามาทาเป็นเครื่องประดับ ปกเสื้อ กระดุม ของเล่นเด็ก และฟิล์มภาพยนตร์และถ่ายภาพ จึงถือว่าเซลลูลอยด์เป็นพลาสติกกึ่งสังเคราะห์ชนิดแรกของโลกที่เกิด จากการปรับปรุงโครงสร้างของเซลลูโลสซึ่งเป็นวัสดุจากธรรมชาติ นับเป็นจุดเริ่มต้นของอุสาหกรรมพลาสติก แต่ เนื่องจากเซลลูลอยส์ เป็นพลาสติกที่ติดไฟง่ายและระเบิดได้หากมีปริมาณหมู่ไนโตร (NO2) สูง จึงไม่เป็นที่นิยมในเวลา ต่อมา ทาให้วัสดุที่ทาจากเซลลูลอยส์หาได้ไม่ง่ายนักในปัจจุบัน แต่ยังนิยมนามาทาเป็นลูกปิงปอง เซลลูลอยส์ที่ยังมีให้ เห็นกันอยู่ส่วนใหญ่จะเป็นของเก่า ซึ่งเป็นที่ต้องการของนักสะสม
  • 4. 4 ต่อมาในปี ค.ศ. 1907 นักเคมีชื่อ นายลีโอ เบคแลนด์ (Leo Baekeland) ได้ค้นพบวิธีการผลิตเบคเคอไลต์ (Bekelite) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพลาสติกสังเคราะห์ชนิดแรกของโลกขึ้นเป็นครั้งแรกจากสารอินทรีย์โมเลกุลเล็กๆ ซึ่งเกิด จากการทาปฏิกิริยาระหว่างฟอร์มัลดีไฮด์และฟีนอล เบคเคอไลต์ เป็นพลาสติกแข็ง ทนความร้อนได้ดี และสามารถขึ้น รูปให้มีรูปร่างต่างๆ ได้ตามแม่พิมพ์โดยใช้ความร้อน ทาให้มีสีสันสวยงามได้และมีราคาไม่แพง ในช่วงแรกเบเคอไลต์ ถูกนามาทาเป็นฉนวนเคลือบสายไฟและชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า ต่อมาใช้ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน ของใช้ และ เครื่องประดับต่าง ๆ มากมายที่มีสีสันสวยงาม และราคาไม่แพง และกลายเป็นวัสดุที่ได้ชื่อว่าถูกนามาใช้งานในด้าน ต่างๆนับพันอย่าง "the material of a thousand uses" ในช่วงทศวรรษที่ 30-40 จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1942 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เบเคอไลต์ถูก นามาผลิตเป็นโทรศัพท์ แว่นตาสาหรับนักบิน และด้ามอาวุธต่าง ๆ จากผลิตภัณฑ์ที่มีสีสันต่าง ๆ ที่เคยมีมากมายกลับ กลายเป็นสีดา จนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลง เทคโนโลยีการฉีดขึ้นรูปพลาสติก (injection mold) ได้ถูกพัฒนาขึ้น และ พลาสติกชนิดใหม่ ๆ เช่นไนลอน (nylon) ไวนิล (vinyl) หรืออะคริลิก (acrylic) ได้ถือกาเนิดขึ้นจากการค้นคว้าวิจัย ของนักวิทยาศาสตร์ จึงมีการใช้เบเคอไลต์น้อยลงอย่างมาก อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังคงมีการใช้เบเคอไลต์เป็นสาร เคลือบผิว และผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีคุณภาพและทนทานต่อความร้อน เป็นพิเศษ เครื่องใช้และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ทาจากเบเคอไลต์ในอดีตได้กลับกลายมาเป็นของเก่าที่เป็นที่ต้องการของนัก สะสมในปัจจุบัน ทาให้มีการทาของลอกเลียนแบบโดยใช้เรซินหรือพลาสติกชนิดอื่น เช่น อะคริลิก การเลือกซื้อเบเคอ ไลต์ที่เป็นของเก่าแท้ ๆ ต้องทดสอบโดยผู้ชานาญ วิธีการที่ดีที่สุดในการตรวจสอบ คือ แช่ในน้าอุ่น ถ้าเป็นเบเคอไลต์ แท้จะมีกลิ่นคล้ายสารเคมี (ฟอร์มัลดีไฮด์) หากเป็นเซลลูลอยส์จะมีกลิ่นเหมือน วิกส์วาโปรับ (การบูร) แต่ของ ลอกเลียนแบบจะไม่มีกลิ่นใด ๆ กระบวนการผลิตเม็ดพลาสติก พลาสติกที่ใช้กันมากในปัจจุบันอยู่ในรูปของผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ถุง กล่อง ท่อ แผ่นฟิล์ม ส่วนมากมี แหล่งกาเนิดจากปิโตรเลียม ซึ่งรวมถึงน้ามันดิบ และก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นสารไฮโดรคาร์บอนที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ใต้ผิวดิน และมีความสาคัญต่อชีวิตมนุษย์เพราะเป็นทั้งแหล่งพลังงานและแหล่งวัตถุดิบสาหรับผลิตวัสดุสังเคราะห์ ต่างๆ ปิโตรเลียมจะอยู่ในสถานะเป็นก๊าซ ของเหลว หรือของแข็ง ขึ้นกับอุณหภูมิ, ความดัน, และจานวนหรือการ จัดเรียงตัวของคาร์บอนในโมเลกุล โดยทั่วไปสารไฮโดรคาร์บอนที่มีคาร์บอนไม่เกิน 4 อะตอม จะมีสถานะเป็นก๊าซ ถ้า มีคาร์บอนระหว่าง 5-19 อะตอมจะมีสถานะเป็นของเหลว และถ้ามีคาร์บอนตั้งแต่ 20 อะตอม จะมีสถานะเป็น ของแข็ง
  • 5. 5 การกลั่นลาดับส่วนน้ามันดิบ ทาให้เราสามารถแยกสารประกอบไฮโดรคาร์บอนออกเป็นส่วนต่างๆ ซึ่งพบว่ามี ปริมาณสารประกอบไฮโดรคาร์บอนสายยาวเกินกว่าความต้องการใช้งานอยู่ปริมาณมาก แต่กลับมีสารประกอบ ไฮโดรคาร์บอนสายสั้นที่มีการนาไปใช้ประโยชน์มากกว่าอยู่น้อย จึงต้องนาสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่เกินความ ต้องการมาผ่านกระบวนการแยกสลายเพื่อตัดความยาวให้สั้นลง ได้เป็นสารประกอบขนาดเล็ก เช่น ก๊าซเอทธิลีนและ โพรพิลีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตพลาสติกบางชนิดโดยก๊าซเหล่านี้จะถูกส่งไปยังโรงงานผลิตเม็ดพลาสติก กระบวนการผลิตเม็ดพลาสติกเริ่มต้นจากการนาสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีขนาดเล็กซึ่งได้จากกลั่นลาดับส่วน น้ามันดิบมาทาปฏิกิริยากันจนได้เป็นสายโซ่ยาว เรียกว่าโพลิเมอร์ ซึ่งโพลิเมอร์แต่ละชนิดสังเคราะห์โดยใช้วัตถุดิบ เริ่มต้นที่แตกต่างกันไป ทาให้โพลิเมอร์มีสมบัติที่แตกต่างกันออกไปด้วย โดยโพลิเมอร์ที่สังเคราะห์ได้นี้ จะถูกนาไปขึ้น รูปเป็นเม็ดพลาสติกและผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ต่อไป ตัวอย่างเช่น การผลิตเม็ดพลาสติกโพลิเอทธิลีน (PE) โดย เริ่มต้นจากก๊าซเอทธิลีนซึ่งถูกเก็บในถังปฏิกิริยา เมื่อเติมตัวเร่งปฏิกิริยาที่เหมาะสม จะเกิดปฏิกิริยาขึ้น โมเลกุลขนาด เล็กๆ จานวนมากจะเข้ามาต่อกันเป็นโมเลกุลที่ยาวมากๆ ได้โพลิเอธิลีนที่มีสมบัติเหมาะสมสาหรับนาไปขึ้นรูปเป็น ผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ขวด ถุง และของเล่น เป็นต้น
  • 6. 6 ปฏิกิริยาการสังเคราะห์โพลิเมอร์ ปฏิกิริยาการสังเคราะห์โพลิเมอร์ หรือที่เรียกโดยทั่วไปว่าปฏิกิริยาโพลิเมอร์ไรเซชั่น (polymerization) คือ ปฏิกิริยาเคมีที่ทาให้โมโนเมอร์โมเลกุลเล็กๆ เกิดปฏิกิริยาต่อกันเป็นสายโซ่ยาวๆ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. การสังเคราะห์โพลิเมอร์แบบลูกโซ่ หรือรวมตัว กระบวนการสังเคราะห์แบบรวมตัวเป็นการนาเอาโมโนเมอร์ซึ่งเป็นสารที่มีโมเลกุลขนาดเล็กและไม่อิ่มตัวคือมี พันธะคู่ หรือพันธะสามอยู่ในโมเลกุลมาทาปฏิกิริยาซึ่งกันและกันจนได้เป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ ซึ่งการทาปฏิกิริยา เริ่มต้นจากโมเลกุลที่มีพันธะคู่หรือพันธะสามจะถูกความร้อนและตัวเร่งปฏิกิริยา (catalyst) ที่เหมาะสม ทาให้พันธะ 1 พันธะแตกออกซึ่งว่องไวในการทาปฏิกิริยายึดติดกับพันธะที่แตกออกของโมเลกุลที่อยู่ข้างเคียงกัน เกิดการต่อกันที่ ละโมเลกุลจนได้โมเลกุลใหม่ที่มีลักษณะเป็นเป็นสายโซ่ที่ยาวขึ้น การสังเคราะห์โพลิเมอร์แบบนี้ไม่มีผลิตภัณฑ์อื่นๆ หลุดออกมา ทาให้จานวนอะตอมของธาตุในหน่วยซ้าของโพลิเมอร์เท่ากับจานวนอะตอมในโมเลกุลของโมโนเมอร์ ตัวอย่างพลาสติกที่เกิดจากการสังเคราะห์โพลิเมอร์แบบนี้ ได้แก่โพลิไวลิลครอไรด์ โพลิโพรพิลีน และโพลิเอทธิลีน เป็นต้น 2. การสังเคราะห์โพลิเมอร์แบบขั้น หรือควบแน่น กระบวนการสังเคราะห์แบบควบแน่นเกิดจากโมโนเมอร์ 2 ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดเป็นสารที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก และมีหมู่ฟังก์ชันเหมือนกันอย่างน้อย 2 หมู่ที่ปลายสุดของโมเลกุล หรืออาจเกิดจากโมโนเมอร์เพียง 1 ชนิดที่มีหมู่ ฟังก์ชันแตกต่างกันอย่างน้อย 2 หมู่ที่ปลายสุดของโมเลกุล ที่สามารถทาปฏิกิริยากันระหว่างหมู่ฟังก์ชันอย่างต่อเนื่อง ได้ผลิตภัณฑ์เป็นโมเลกุลที่มีขนาดใหญ่ การสังเคราะห์โพลิเมอร์แบบนี้ส่วนใหญ่จะเกิดสารที่มีโมเลกุลขนาดเล็กเช่น H2O HCl และ CH3OH เป็นผลพลอยได้ (by product) เป็นสาเหตุให้จานวนอะตอมของธาตุในหน่วยซ้าของโพลิ เมอร์มักน้อยกว่าจานวนอะตอมในโมเลกุลของโมโนเมอร์ ตัวอย่างพลาสติกที่เกิดจากการสังเคราะห์ด้วยกระบวนการ ควบแน่น ได้แก่ ไนลอน และโพลิเอสเทอร์ เป็นต้น
  • 7. 7 ประเภทและการใช้งาน หากแบ่งประเภทของพลาสติกตามสมบัติทางความร้อน เราสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. เทอร์โมพลาสติก (Thermoplastic) โพลิเมอร์ประเภทนี้จะมีโครงสร้างโมเลกุลของสายโซ่โพลิเมอร์เป็นแบบเส้นตรงหรือแบบกิ่งสั้นๆ สามารถละลายได้ดีในตัวทาละลายบางชนิด เมื่อได้รับความร้อนจะอ่อนตัว และหลอมเหลวเป็นของเหลว หนืดเนื่องจาก โมเลกุลของโพลิเมอร์ที่พันกันอยู่สามารถเคลื่อนที่ผ่านกันไปมาได้ง่ายขึ้นเมื่อได้รับความร้อน และเมื่อเย็นตัวลงก็จะแข็งตัว ซึ่งการหลอมเหลวและเย็นตัวนี้ สามารถเกิดกลับไปกลับมาได้โดยไม่ทาให้ สมบัติทางเคมีและทางกายภาพ หรือโครงสร้างของโพลิเมอร์เปลี่ยนไปมากนัก พลาสติกประเภทนี้สามารถขึ้นรูปโดยการฉีดขณะที่พลาสติกถูกทาให้อ่อนตัวและไหลได้ด้วยความ ร้อนและความดัน เข้าไปในแม่แบบที่มีช่องว่างเป็นรูปร่างตามต้องการ ภายหลังจากที่พลาสติกไหลเข้าจนเต็ม แม่พิมพ์จะถูกทาให้เย็นตัว และถอดออกจากแม่พิมพ์ ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีรูปร่างตามต้องการ สามารถนาไปใช้ งานได้ เมื่อใช้เสร็จแล้วสามารถนากลับมารีไซเคิลได้โดยการบด และหลอมด้วยความร้อนเพื่อขึ้นรูปเป็น ผลิตภัณฑ์ใหม่ได้อีก แต่พลาสติกประเภทนี้มีข้อเสียและขีดจากัดของการใช้งาน คือไม่สามารถใช้งานที่ อุณหภูมิสูงได้ เพราะอาจเกิดการบิดเบี้ยวหรือเสียรูปทรงไป ตัวอย่างเช่น ขวดน้าดื่มไม่เหมาะสาหรับใช้บรรจุ น้าร้อนจัดหรือเดือด 2. เทอร์โมเซตติ้ง (Thermosetting) โพลิเมอร์ประเภทนี้จะมีโครงสร้างเป็นแบบร่างแห ซึ่งจะหลอมเหลวได้ในขั้นตอนการขึ้นรูปครั้งแรก เท่านั้น ซึ่งในขั้นตอนนี้จะมีปฏิกิกริยาเคมีเกิดขึ้นทาให้เกิดพันธะเชื่อมโยงระหว่างโมเลกุล ทาให้โพลิเมอร์มี รูปร่างที่ถาวร ไม่สามารถหลอมเหลวได้อีกเมื่อได้รับความร้อน และหากได้รับความร้อนสูงเกินไป จะทาให้ พันธะระหว่างอะตอมในโมเลกุลแตกออก ได้สารที่ไม่มีสมบัติของความเป็นโพลิเมอร์ต่อไป การผลิตพลาสติกชนิดเทอร์โมเซตจะแตกต่างจากพลาสติกชนิดเทอร์โมพลาสติกคือ ในขั้นตอนแรก ต้องทาให้เกิดปฏิกิริยาโพลิเมอไรเซชันเพียงบางส่วน มีการเชื่อมโยงโมเลกุลเกิดขึ้นบ้างเล็กน้อย และยัง สามารถหลอมเหลวเมื่อได้รับความร้อน จึงสามารถขึ้นรูปภายใต้ความดันและอุณหภูมิสูงได้ เมื่อผลิตภัณฑ์มี รูปร่างตามต้องการแล้ว ให้คงอุณหภูมิไว้ประมาณ 200-300 องศาเซลเซียส เพื่อให้ได้โครงสร้างแบบร่างแหที่ เสถียรและแข็งแรง สามารถนาผลิตภัณฑ์ออกจากแบบโดยไม่ต้องรอให้เย็น เนื่องจากผลิตภัณฑ์จะแข็งตัวอยู่ ภายในแม่พิมพ์ ดังนั้นการให้ความร้อนในกระบวนการผลิตพลาสติกเทอร์โมเซตกลับทาให้วัสดุแข็งขึ้น ต่าง จากกระบวนการผลิตพลาสติกเทอร์โมพลาสติที่การให้ความร้อนจะทาให้พลาสติกนิ่ม และหลอมเหลว
  • 8. 8 พลาสติกเทอร์โมเซตเมื่อใช้งานเสร็จแล้วไม่สามารถนามาผ่านการหลอมและผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่หรือรี ไซเคิล (recycle) ได้อีก และถ้าให้ความร้อนมากเกินไป จะทาให้พลาสติกเกิดการสลายตัวหรือไหม้ โดยไม่ เกิดการหลอมเหลว ตัวอย่างของพลาสติกในกลุ่มนี้เช่น เบคเคอไลต์ และเมลามีน เป็นต้น พลาสติกที่ใช้มากในปัจจุบัน พลาสติกที่ถูกนามาใช้ในปริมาณมากในปัจจุบันมีอยู่หลายชนิดที่สามารถนากลับมารีไซเคิลได้ จึงมีการใส่ สัญลักษณ์ตัวเลขเพื่อให้ง่ายต่อการแบ่งประเภทของพลาสติก ตัวเลขทั้ง 7 ตัวนี้ จะอยู่ในสัญลักษณ์รูปสามเหลี่ยมที่มี ลูกศรสามตัววิ่งตามกันและมักพบบริเวณก้นของภาชนะพลาสติก 1. โพลิเอทธิลีนเทเรฟทาเลต (Poly (ethylene terephthalate), PET) PET ทนแรงกระแทก ไม่เปราะแตกง่าย สามารถทาให้ใสมาก มองเห็นสิ่งที่บรรจุอยู่ภายในจึงนิยมใช้บรรจุน้า ดื่ม น้ามันพืช และเครื่องสาอาง นอกจากนี้ขวด PET ยังมีสมบัติป้องกันการแพร่ผ่านของก๊าซได้เป็นอย่างดี จึงใช้เป็นภาชนะบรรจุน้าอัดลม PET สามารถนากลับมารีไซเคิลใช้ใหม่ได้ โดยนิยมนามาผลิตเป็นเส้นใยสาหรับทาเสื้อกันหนาว พรม และเส้น ใยสังเคราะห์สาหรับยัดหมอน หรือเสื้อสาหรับเล่นสกี 2. โพลิเอทธิลีนความหนาแน่นสูง (High density polyethylene, HDPE) HDPE โพลิเอทธิลีนชนิดหนาแน่นสูงมีโครงสร้างโมเลกุลเป็นสายตรง ค่อนข้างแข็งแต่ยืดได้มาก ไม่แตกง่าย ส่วนใหญ่ทาให้มีสีสันสวยงาม ยกเว้นขวดที่ใช้บรรจุน้าดื่ม ซึ่งจะขุ่นกว่าขวด PET ราคาถูกขึ้นรูปได้ง่าย ทน สารเคมีจึงนิยมใช้ทาบรรจุภัณฑ์สาหรับน้ายาทาความสะอาด แชมพูสระผม แป้งเด็ก และถุงหูหิ้ว นอกจากนี้ ภาชนะที่ทาจาก HDPE ยังมีสมบัติป้องกันการแพร่ผ่านของความชื้นได้ดี จึงใช้เป็นขวดนมเพื่อยืดอายุของนม ให้นานขึ้น HDPE สามารถนากลับมารีไซเคิลเพื่อผลิตขวดต่างๆ เช่น ขวดใส่น้ายาซักผ้า แท่งไม้เทียมเพื่อใช้ทารั้วหรือม้า นั่งในสวน
  • 9. 9 3. โพลิไวนิลคลอไรด์ (Poly (vinyl chloride), PVC) PVC เป็นพลาสติกแข็งใช้ทาท่อ เช่น ท่อน้าประปา แต่ สามารถทาให้นิ่มโดยใส่สารพลาสติกไซเซอร์ ใช้ทาสายยางใส แผ่นฟิล์มสาหรับห่ออาหาร ม่านในห้องอาบน้า แผ่นกระเบื้องยาง แผ่นพลาสติกปูโต๊ะ ขวดใส่แชมพูสระผม PVC เป็นพลาสติกที่มีสมบัติหลากหลาย สามารถ นามาใช้ผลิตผลิตภัณฑ์อื่นได้อีกมาก เช่น ประตู หน้าต่าง วงกบ และหนังเทียม PVC สามารถนากลับมารี ไซเคิล เพื่อผลิตท่อประปาสาหรับการเกษตร กรวยจราจร และเฟอร์นิเจอร์ หรือม้านั่งพลาสติก 4. โพลิเอทธิลีนความหนาแน่นต่า (Low density polyethylene, LDPE) LDPE เป็นพลาสติกที่นิ่ม สามารถยืดตัวได้มาก มีความใส นิยมนามาทาเป็นฟิล์มสาหรับห่ออาหารและห่อ ของ ถุงใส่ขนมปัง และถุงเย็นสาหรับบรรจุอาหาร LDPE สามารถนากลับมารีไซเคิลใช้ใหม่ได้ โดยใช้ผลิตเป็นถุงดาสาหรับใส่ขยะ ถุงหูหิ้ว หรือถังขยะ 5. โพลิโพรพิลีน (Polypropylene, PP) PP เป็นพลาสติกที่แข็ง ทนต่อแรงกระแทกได้ดี ทนต่อสารเคมี ความร้อน และน้ามัน ทาให้มีสีสันสวยงามได้ ส่วนใหญ่นิยมนามาทาภาชนะบรรจุอาหาร เช่น กล่อง ชาม จาน ถัง ตะกร้า หรือกระบอกสาหรับใส่น้าแช่ เย็น PP สามารถนากลับมารีไซเคิลใช้ใหม่ได้ โดยนิยมผลิตเป็นกล่องแบตเตอรี่รถยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เช่น กันชน และกรวยสาหรับน้ามัน
  • 10. 10 6. โพลิสไตรีน (Polystyrene, PS) PS เป็นพลาสติกที่แข็ง ใส แต่เปราะ และแตกง่าย ราคาถูก นิยมนามาทาเป็นภาชนะบรรจุของใช้ เช่น เทป เพลง สาลี หรือของแห้ง เช่น หมูแผ่น หมูหยอง และคุ้กกี้ เนื่องจาก PS เปราะและแตกง่าย จึงไม่นิยมนา พลาสติกประเภทนี้มาบรรจุน้าดื่มหรือแชมพูสระผม เนื่องจากอาจลื่นตกแตกได้ มีการนาพลาสติกประเภทนี้มาใช้ทาภาชนะหรือถาดโฟมสาหรับบรรจุอาหาร โฟมจะมีน้าหนักที่เบามาก เนื่องจากประกอบด้วย PS ประมาณ 2-5 % เท่านั้น ส่วนที่เหลือเป็นอากาศที่แทรกอยู่ในช่องว่าง PS สามารถนากลับมาใช้ใหม่ได้ โดยนิยมผลิตเป็นไม้แขวนเสื้อ กล่องวีดีโอ ไม้บรรทัด หรือ ของใช้อื่นๆ 7. พลาสติกอื่นๆ ที่ไม่ใช่ 6 ชนิดแรก หรือไม่ทราบว่าเป็นพลาสติกชนิดใด ปัจจุบันเรามีพลาสติกหลายชนิดให้เลือกใช้ พลาสติกที่ใช้ในครัวเรือนส่วนใหญ่สามารถนากลับมารีไซเคิลเพื่อ หลอมใช้ใหม่ได้ การมีสัญลักษณ์ตัวเลข ทาให้เราสามารถแยกพลาสติกออกเป็นชนิดต่างๆ เพื่อนากลับมารี ไซเคิลใช้ใหม่ได้ง่ายขึ้น สาหรับพลาสติกในกลุ่มที่ 7 เป็นพลาสติกชนิดอื่นที่ไม่ใช่ 6 ชนิดแรก นอกจะมีตัวเลขระบุแล้ว ควรใส่ สัญลักษณ์ภาษาอังกฤษระบุชนิดของพลาสติกนั้นๆ ไว้ เพื่อสะดวกในการแยกและนากลับมารีไซเคิล เช่น โพ ลิคาร์บอเนต (Polycarbonate, PC) พลาสติกและสิ่งแวดล้อม พลาสติกรีไซเคิล พลาสติกเป็นวัสดุที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจาวันของเราเป็นอย่างมากและมีแนวโน้มการใช้งานที่เพิ่ม มากขึ้นเพราะใช้ทดแทนทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ไม้และเหล็กได้เป็นอย่างดี และมีราคาถูก น้าหนักเบาสามารถ ผลิตให้มีสมบัติต่างๆ ตามที่ต้องการได้จากการเลือกชนิดของวัตถุดิบ ปฏิกิริยาเคมี กระบวนการผลิตและ กระบวนการขึ้นรูป นอกจากนี้ยังสามารถปรุงแต่งสมบัติได้ง่ายโดยการเติมสารเติมแต่ง (Additives) เช่น สาร เสริมสภาพพลาสติก (Plasticizer) สารปรับปรุงคุณภาพ (Modifier) สารเสริม (Filler) สารคงสภาพ (Stabilizer) สารยับยั้งปฏิกิริยา (Inhibitor) สารหล่อลื่น (Lubricant) และผงสี (Pigment) เป็นต้น
  • 11. 11 ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ก้าวหน้า และทันสมัยในปัจจุบันทาให้เรามีผลิตภัณฑ์พลาสติกหลากหลาย รูปแบบ และสีสันให้เลือกใช้อย่างมากมาย ด้วยสมบัติที่โดดเด่นหลายด้านทาให้พลาสติกได้รับการยอมรับอย่าง รวดเร็วและมีปริมาณการใช้งานเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้เกิดขยะพลาสติกในปริมาณสูงมากขึ้นตามด้วย ดังนั้น การนาพลาสติกกลับมาใช้ใหม่หรือการ รีไซเคิลจึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมากเพราะนอกจากจะช่วยลดปริมาณ ขยะพลาสติกแล้วยังเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าอีกด้วย การพัฒนาทางเทคโนโลยีในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทา ให้การรีไซเคิลพลาสติกมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี โดยแบ่งเป็น 4 ประเภทหลัก คือ การรีไซเคิลแบบปฐมภูมิ (Primary recycling) การรีไซเคิลแบบทุติยภูมิ (Secondary recycling) การ รีไซเคิลแบบตติยภูมิ (Tertiary recycling) และการ รีไซเคิลแบบจตุภูมิ (Quaternary recycling) 1. การรีไซเคิลแบบปฐมภูมิ เป็นการนาขวดหรือเศษพลาสติกที่เป็นประเภทเดียวกันและไม่มีสิ่งปนเปื้อน ที่เกิดในกระบวนการผลิตหรือ ขึ้นรูปกลับมาใช้ซ้าภายในโรงงาน โดยสามารถนามาใช้ซ้าทั้งหมดหรือเติมผสมกับเม็ดใหม่ที่อัตราส่วนต่างๆ 2. การรีไซเคิลแบบทุติยภูมิ การรีไซเคิลแบบทุติยภูมิหรือกระบวนการหลอมขึ้นรูปใหม่ เป็นการนาพลาสติกที่ผ่านการใช้งานแล้วมาทา ความสะอาด บด หลอมและขึ้นรูปกลับไปเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกอีกครั้ง การรีไซเคิลแบบทุติยภูมินี้ยัง สามารถแบ่งย่อยได้เป็นหลายเทคนิค คือ o การรีไซเคิลเชิงกล (Mechanical recycling) เป็นเทคนิคที่ง่ายและนิยมใช้มากที่สุดในปัจจุบัน โดยการเก็บพลาสติกที่ผ่านการใช้งานแล้วมาคัด แยกตามประเภท และสีมาล้างทาความสะอาดก่อนนามาบดเป็นชิ้นเล็กๆ และหลอมเป็นเม็ด พลาสติกเกรดสองหรือเม็ดพลาสติกรีไซเคิลเพื่อนากลับไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ ใหม่หรือนามาผสมกับเม็ดใหม่เพื่อให้ได้สมบัติที่ต้องการก่อนนาไปผ่านกระบวนการขึ้นรูป โดย คุณภาพของเม็ดพลาสติกรีไซเคิลนี้จะเป็นตัวกาหนดการนาไปใช้งานและปริมาณการผสมที่ต้องการ ปัญหาในกระบวนการรีไซเคิลพลาสติกคือหลังจากผ่านกระบวนการรีไซเคิลในแต่ละครั้งพลาสติกจะ มีคุณภาพต่าลงปฏิกิริยาการขาดของสายโซ่โมเลกุลของ ทาให้ไม่สามารถนาไปใช้ในเกิดประโยชน์ สูงสุด และมีราคาถูกลงเรื่อยๆ จนบางครั้งไม่คุ้มต่อการลงทุน สาเหตุที่สาคัญเนื่องมาจากมีการ ปนเปื้อนของสิ่งสกปรก ฉลากเล็กๆ หรือ เศษกาวทาให้เม็ดพลาสติกรีไซเคิลมีสีเข้มขึ้นหรือ มีความ ใสลดลง นอกจากนี้ความชื้นในพลาสติก และความร้อนที่ใช้ในการหลอมพลาสติกยังเป็นปัจจัย สาคัญที่ทาให้เกิดการสลายตัว หรือเกิดการขาดของสายโซ่โมเลกุลของโพลิเมอร์ที่ใช้ทาพลาสติก ทา ให้เม็ดพลาสติกรีไซเคิลมีสีเหลือง และมีสมบัติเชิงกลลดลงด้วย o การปรับปรุงโดยวิธีทางเคมี (Chemical modification) เนื่องจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิลมีข้อจากัดในด้านสมบัติ การขึ้นรูปและการใช้งาน ดังนั้น การปรับปรุง โดยวิธีการทางเคมีจะช่วยลดข้อจากัดดังกล่าวหรือทาให้เม็ดรีไซเคิลมีลักษณะใกล้เคียงกับเม็ดใหม่ได้ การปรับปรุงนี้สามารถใช้ได้กับทั้งพลาสติกชนิดเดียวหรือพลาสติกผสม ถ้าเป็นพลาสติกชนิดเดียวก็ จะใช้การเติมสารเคมีหรือใช้วิธีการผ่านด้วยรังสี แต่ถ้าเป็นพลาสติกผสมมักใช้สารช่วยในการผสมให้ เข้ากันที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า Compatibilizer
  • 12. 12 o การหลอมอัดรีดร่วมและการฉีดร่วม (Coextrusion and Coinjection moulding) เป็นอีกเทคนิคหนึ่งของการรีไซเคิลแบบทุติยภูมิซึ่งเหมาะสาหรับใช้ผลิตบรรจุภัณฑ์ที่ต้องสัมผัสกับ อาหาร ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ผลิตได้จากกระบวนการนี้จะมีลักษณะโครงสร้างเป็นชั้นๆ เหมือน แซนด์วิช โดยที่ผิวหน้าเป็นชั้นที่ผลิตจากพลาสติกใหม่ซึ่งมีความต้านทานต่อแรงดึงสูง ป้องกันการ ขีดข่วนได้ดีและมีสีสันน่าใช้ ส่วนชั้นกลางเป็นชั้นของพลาสติกรีไซเคิล 3. การรีไซเคิลแบบตติยภูมิ การรีไซเคิลแบบตติยภูมิแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ การรีไซเคิลทางเคมีและทางความร้อน o การรีไซเคิลทางเคมี (chemical recycling) เป็นกระบวนการที่ทาให้โครงสร้างสายโซ่ของพอลิเมอร์เกิดการขาดหรือแตกออก (Depolymerisation) ได้มอนอเมอร์ (Monomer) หรือโอลิโกเมอร์ (Oligomer) เป็นผลิตภัณฑ์เมื่อ นามาทาให้บริสุทธิ์โดยการกลั่นและตกผลึกได้เป็นสารตั้งต้นที่มีคุณภาพสูงซึ่งสามารถนาไปใช้ผลิต เป็นเพทได้ใหม่ o การรีไซเคิลทางความร้อน (Thermolysis) โครงสร้างของเพทสามารถเกิดการแตกหรือขาดได้โดยใช้ความร้อน เรียกว่า Thermolysis แบ่งออก ได้เป็น 3 วิธี คือ แบบไม่ใช้ออกซิเจน (Pyrolysis )แบบใช้ออกซิเจน (Gasification) และ การเติม ไฮโดรเจน (Hydrogenation) Pyrolysis เป็นกระบวนการที่ทาให้สายโซ่พอลิเมอร์เกิดการแตกออกโดยใช้ความร้อนแบบไม่ใช้ ออกซิเจน ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการควบแน่นเป็น ของเหลวที่เรียกว่า น้ามันดิบสังเคราะห์ (Synthetic crude oil) สามารถนากลับไปใช้ในโรงกลั่นและส่วนที่ไม่เกิดการควบแน่นจะถูกนากลับมาใช้เป็น เชื้อเพลิงในการให้ความร้อนภายในกระบวนการ Gasification เป็นกระบวนการที่ทาให้สายโซ่พอลิเมอร์ของเพทเกิดการแตกออกโดยใช้ความร้อน แบบใช้ออกซิเจน กระบวนการนี้เกิดขึ้นที่อุณหภูมิสูงกว่า Pyrolysis ผลลัพธ์ที่ได้คือ Syngas ซึ่ง ประกอบด้วยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์และไฮโดรเจน สามารถนามาใช้เป็นเชื้อเพลิงได้โดยตรง แต่ถ้า ทาการแยกก่อนนามาใช้ในรูปของสารเคมีจะมีมูลค่าสูงขึ้น 2 – 3 เท่า Hydrogenation เป็นเทคนิคที่ปรับปรุงมาจากกระบวนการกลั่นน้ามันแบบใช้ตัวเร่งปฏิกิริยา โดย สายโซ่พอลิเมอร์ของเพทจะถูกทาให้แตกหรือขาดออกจากกันด้วยความร้อนและสัมผัสกับไฮโดรเจน ที่มากเกินพอที่ความดันสูงกว่า 100 บรรยากาศ จนเกิดปฏิกิริยาแตกตัว (Cracking) และเกิดการ เติมไฮโดรเจน (Hydrogenation) อย่างสมบูรณ์ ผลิตภัณฑ์ที่ได้ส่วนใหญ่เป็นเชื้อเพลิงเหลว เช่น น้ามันแก็สโซลีนหรือดีเซล
  • 13. 13 กระบวนการรีไซเคิลทางความร้อนถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์และคุ้มค่ากว่าการรี ไซเคิลทางเคมีเพราะสามารถจัดการขยะที่เป็นพลาสติกผสมที่มีสิ่งปนเปื้อนอื่นๆ ที่ไม่ใช่พลาสติกได้ ในขณะที่การรีไซเคิลทางเคมีต้องใช้พลาสติกที่มีความสะอาดค่อนข้างสูงและมีการผสมหรือปนเปื้อน ได้เพียงเล็กน้อย ทาให้มีค่าใช้จ่ายในการเตรียมวัตถุดิบสูง อย่างไรก็ตามพลาสติกเพทที่จะนามารี ไซเคิลทางความร้อนก็ควรมีการคัดขนาดหรือกาจัดสิ่งปนเปื้อนออกบ้าง 4. การรีไซเคิลแบบจตุภูมิ พลาสติกสามารถนามาเผาไหม้เป็นเชื้อเพลิงทดแทน โดยการเผาไหม้ของพลาสติกให้ค่าความร้อนใกล้เคียง กับถ่านหิน (23 MJ/kg) ช่วยในการเผาไหม้ส่วนที่เป็นขยะเปียก ทาให้ลดปริมาณเชื้อเพลิงที่ต้องใช้ในการเผา ขยะ แม้ว่าทุกวันนี้การรีไซเคิลพลาสติกยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก แต่ก็กาลังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เราให้ความสาคัญกับสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ การนาพลาสติกที่ผ่านการ ใช้งานแล้วกลับมารีไซเคิลใช้ซ้าจึงเป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้เรารักษาความสวยงามและความอุดมสมบูรณ์ของ ทรัพยากรธรรมชาติไว้ได้ ซึ่งอีกไม่นานเราก็จะก้าวข้ามเข้าสู่ศตวรรษใหม่ที่วิทยาการและเทคโนโลยีต่างๆ จะได้รับการ พัฒนาให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น คนแห่งศตวรรษใหม่อาจต้องเปลี่ยนวิสัยทัศน์เกี่ยวกับพลาสติก เมื่อพลาสติกที่ผ่านการใช้งาน แล้วในศตวรรษหน้าไม่ได้กลายเป็นขยะอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นทรัพยากรสาคัญในการผลิตผลิตภัณฑ์เพื่ออนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม ประเภทของพลาสติกย่อยสลายได้ ประเภทของพลาสติกย่อยสลายได้ โดยทั่วไป เราสามารถแบ่งกลไกการย่อยสลายของพลาสติกเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1. การย่อยสลายได้โดยแสง (Photodegradation) การย่อยสลายโดยแสงมักเกิดจากการเติมสารเติมแต่งที่มี ความว่องไวต่อแสงลงในพลาสติกหรือสังเคราะห์โคพอลิเมอร์ให้มีหมู่ฟังก์ชันหรือพันธะเคมีที่ไม่แข็งแรง แตกหักง่ายภายใต้รังสี (UV) เช่น หมู่คีโตน (Ketone group) อยู่ในโครงสร้าง เมื่อสารหรือหมู่ฟังก์ชัน ดังกล่าวสัมผัสกับรังสียูวีจะเกิดการแตกของพันธะกลายเป็นอนุมูลอิสระ (Free radical) ซึ่งไม่เสถียร จึงเข้า ทาปฏิกิริยาต่ออย่างรวดเร็วที่พันธะเคมีบนตาแหน่งคาร์บอนในสายโซ่พอลิเมอร์ ทาให้เกิดการขาดของสายโซ่ แต่การย่อยสลายนี้จะไม่เกิดขึ้นภายในบ่อฝังกลบขยะ กองคอมโพสท์ หรือสภาวะแวดล้อมอื่นที่มืด หรือ แม้กระทั่งชิ้นพลาสติกที่มีการด้วยหมึกที่หนามากบนพื้นผิว เนื่องจากพลาสติกจะไม่ได้สัมผัสกับรังสียูวี โดยตรง 2. การย่อยสลายทางกล (Mechanical Degradation) โดยการให้แรงกระทาแก่ชิ้นพลาสติกทาให้ชิ้นส่วน พลาสติกแตกออกเป็นชิ้น ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้โดยทั่วไปในการทาให้พลาสติกแตกเป็นชิ้นเล็กๆ 3. การย่อยสลายผ่านปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Oxidative Degradation) การย่อยสลายผ่าน)ฏิกิริยา ออกซิเดชันของพลาสติก เป็นปฏิกิริยาการเติมออกซิเจนลงในโมเลกุลของพอลิเมอร์ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้เอง ในธรรมชาติอย่างช้าๆ โดยมีออกซิเจน และความร้อน แสงยูวี หรือแรงทางกลเป็นปัจจัยสาคัญ เกิดเป็น สารประกอบไฮโดรเปอร์ออกไซด์ (hydroperoxide, ROOH) ในพลาสติกที่ไม่มีการเติม สารเติมแต่งที่ทา หน้าที่เพิ่มความเสถียร (stabilizing additive) แสงและความร้อนจะทาให้ ROOH แตกตัวกลายเป็นอนุมูล อิสระ RO และ OH) ที่ไม่เสถียรและเข้าทาปฏิกิริยาต่อที่พันธะเคมีบนตาแหน่งคาร์บอนในสายโซ่พอลิเมอร์
  • 14. 14 ทาให้เกิดการแตกหักและสูญเสียสมบัติเชิงกลอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ได้รับการวิจัยและ พัฒนาขึ้นในปัจจุบันทาให้พอลิโอเลฟินเกิดการย่อยสลายผ่านปฏิกิริยาออกซิเดชันกับออกซิเจนได้เร็วขึ้น ภายในช่วงเวลาที่กาหนด โดยการเติมสารเติมแต่งที่เป็นเกลือของโลหะทรานสิชัน ซึ่งทาหน้าที่คะตะลิสต์เร่ง การแตกตัวของสารประกอบไฮโดรเปอร์ออกไซด์ (Hydroperoxpide, ROOH) เป็นอนุมูลอิสระ (Free radical) ทาให้สายโซ่พอลิเมอร์เกิดการแตกหักและสูญเสียสมบัติเชิงกลรวดเร็วยิ่งขึ้น 4. การย่อยสลายผ่านปฏิกิริยาไฮโดรไลซิส (Hydrolytic Degradation) การย่อยสลายของพอลิเมอร์ที่มีหมู่ เอสเทอร์ หรือเอไมด์ เช่น แป้ง พอลิเอสเทอร์ พอลิแอนไฮดรายด์ พอลิคาร์บอเนต และพอลิยูริเทน ผ่าน ปฏิกิริยาก่อให้เกิดการแตกหักของสายโซ่พอลิเมอร์ ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสที่เกิดขึ้น โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทที่ใช้คะตะลิสต์ (Catalytic hydrolysis) และไม่ใช้คะตะลิสต์ (Non-Catalytic Hydrolysis) ซึ่งประเภทแรกยังแบ่งออกได้เป็น 2 แบบคือ แบบที่ใช้คะตะลิสต์จากภายนอกโมเลกุลของพอลิ เมอร์เร่งให้เกิดการย่อยสลาย (External Catalytic Degradation) และแบบที่ใช้คะตะลิสต์จากจากภายใน โมเลกุลของพอลิเมอร์เองในการเร่งให้เกิดการย่อยสลาย (Internal catalytic degradation) โดยคะตะลิสต์ จากภายนอกมี 2 ชนิด คือ คะตะลิสต์ที่เป็นเอนไซม์ต่างๆ (Enzyme) เช่น Depolymerase lipase esterase และ glycohydrolase ในกรณีนี้จัดเป็นการย่อยสลายทางชีวภาพ และคะตะลิสต์ที่ไม่ใช่เอนไซม์ (Non-enzyme) เช่น โลหะแอลคาไลด์ (alkaline metal) เบส (base) และกรด(acid) ที่มีอยู่ในสภาวะ แวดล้อมในธรรมชาติ ในกรณีนี้จัดเป็นการย่อยสลายทางเคมี สาหรับปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสแบบที่ใช้คะตะลิสต์ จากภายในโมเลกุลของพอลิเมอร์นั้นใช้หมู่คาร์บอกซิล(Carboxyl Group) ของหมู่เอสเทอร์ หรือเอไมด์ บริเวณปลายของสายโซ่พอลิเมอร์ในการเร่งปฏิกิริยาการย่อยสลายผ่าปฏิกิริยาไฮโดรไลซิส 5. การย่อยสลายทางชีวภาพ (Biodegradation) การย่อยสลายของพอลิเมอร์จากการทางานของจุลินทรีย์ โดยทั่วไปมีกระบวนการ 2 ขั้นตอน เนื่องจากขนาดของสายพอลิเมอร์ยังมีขนาดใหญ่และไม่ละลายน้า ใน ขั้นตอนแรกของของการย่อยสลายจึงเกิดขึ้นภายนอกเซลล์โดยการปลดปล่อยเอ็นไซม์ของจุลินทรีย์ซึ่งเกิดได้ ทั้งทั้งแบบใช้ endo-enzyme หรือ เอนไซม์ที่ทาใหเกิดการแตกตัวของพันธะภายในสายโซ่พอลิเมอร์อย่างไม่ เป็นระเบียบ และแบบ exo-enzyme หรือเอนไซม์ที่ทาให้เกิดการแตกหักของพันธะทีละหน่วยจากหน่วยซ้า ที่เล็กที่สุดที่อยู่ด้านปลายของสายโซ่พอลิเมอร์ เมื่อพอลิเมอร์แตกตัวจนมีขนาดเล็กพอจะแพร่ผ่านผนังเซลล์ เข้าไปในเซลล์ และเกิดการย่อยสลายต่อในขั้นตอนที่ 2 ได้ผลิตภัณฑ์ในขั้นตอนสุดท้าย (ultimate biodegradation) คือ พลังงาน และสารประกอบขนาดเล็กที่เสถียรในธรรมชาติ (Mineralization) เช่น แก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ แก๊สมีเทน น้า เกลือ แร่ธาตุต่างๆ และมวลชีวภาพ (biomass) นอกจากนี้ยังพบว่า มีการใช้คาว่า พลาสติกย่อยสลายได้ในสภาวะแวดล้อมธรรมชาติ (Environmentally Degradable Plastics, EDP) ซึ่งหมายถึง พลาสติกที่สามารถเกิดการเปลี่ยนแปลง สมบัติเนื่องจากปัจจัยต่างๆ ในสภาวะแวดล้อม เช่น กรด ด่าง น้า และออกซิเจนในธรรมชาติ แสงจากดวง อาทิตย์ แรงเค้นจากการกระทบของเม็ดฝนและแรงลม หรือจากเอนไซม์ของจุลินทรีย์ ทาให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมี กลายเป็นสารที่ถูกดูดซึม และย่อยสลายต่อได้อย่างสมบูรณ์โดยจุลินทรีย์ได้ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ น้า สารอนินทรีย์ และมวลชีวภาพ เป็นผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย โดยการย่อยสลายและ การดูดซึมนี้ต้องเกิดขึ้นได้รวดเร็วเพียงพอที่จะไม่ทาให้เกิดการสะสมในสภาวะแวดล้อม และคาว่า พลาสติกที่ เป็นมิตรต่อสภาวะแวดล้อม (Environmental Friendly Plastics) หรือ พลาสติกสีเขียว (Green Plastics) หมายถึง พลาสติกที่ทาให้ภาระในการจัดการขยะลดลง และส่งผลกระทบโดยรวมต่อสภาวะแวดล้อมน้อย กว่าพลาสติกที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน
  • 15. 15 พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ในอนาคตมีแนวโน้มการใช้งานพลาสติกย่อยสลายได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากหลายสาเหตุ เช่น มีการค้นพบและพัฒนา กระบวนการผลิตใหม่ๆ ทาให้พลาสติกมีราคาที่ต่าลงและมีสมบัติต่างๆ ดีขึ้น มีกฎข้อบังคับ รวมถึงการที่มีค่าใช้จ่ายใน การกาจัดขยะที่สูงขึ้น ทาให้บริษัทต่างๆ ทาการผลิตพลาสติกย่อยสลายได้ที่มีสมบัติที่หลากหลายแตกต่างกัน บางครั้ง ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่เกิดการย่อยสลายผ่านกระบวนการทางชีวภาพอย่างแท้จริง เพื่อควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ดังกล่าว ปัจจุบันจึงมีหลายองค์กรทั่วโลกได้ดาเนินการจัดทามาตรฐานผลิตภัณฑ์ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ (Biodegradable Plastics) ขึ้น และให้คาจากัดความของพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพซึ่งมีความแตกต่างกัน เล็กน้อยไว้ ดังนี้  ASTM D6400-99 – biodegradable plastic is a degradable plastic in which the degradation results from the action of naturally occurring microorganisms such as bacteria, fungi and algae. พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพคือ พลาสติกที่ย่อยสลายได้เนื่องมาจากการทางานของจุลินทรีย์ที่มีอยู่ใน ธรรมชาติ เช่น แบคทีเรีย ราและสาหร่าย  ISO 472:1998 – Biodegradable plastics are plastic designed to undergo a significant change in its chemical structure under specific environmental conditions resulting in a loss of some properties that may vary as measured by standard test methods appropriate to the plastics and application in a period of time that determines its classification. The change in chemical structure results from the action of naturally occurring microorganisms พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ คือ พลาสติกที่ถูกออกแบบมาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมี ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่กาหนดไว้โดยเฉพาะ เป็นสาเหตุทาให้สมบัติต่างๆ ของพลาสติกลดลงภายใน ช่วงเวลาหนึ่งซึ่งสามารถวัดได้โดยใช้วิธีทดสอบมาตรฐานที่เหมาะสมกับชนิดของพลาสติกและการใช้งาน ผล การทดสอบสามารถนามาใช้เป็นเกณฑ์ในการจาแนกประเภทของพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ โดยการ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีดังกล่าวต้องเกิดจากการทางานของจุลินทรีย์ในธรรมชาติเท่านั้น  BPS Japan (1994) – Biodegradable plastics are polymeric materials which are changed into lower molecular weight compounds where at least one step in the degradation process is through metabolism in the presence of naturally occurring organism. พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ คือ วัสดุพอลิเมอร์ ที่สามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นสารประกอบที่มี น้าหนักโมเลกุลลดต่าลงได้ โดยมีอย่างน้อย 1 ขั้นตอนในกระบวนการย่อยสลายนี้เกิดผ่านกระบวนการเมทา บอลิซึมของจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในธรรมชาติ  DIN FNK103.2 (1993) – A plastic materials is called biodegradable if all its organic compounds undergo a complete biodegradation process Environmental condition and rates of biodegradation are to be determined by standardized test methods. วัสดุพลาสติกจะได้ชื่อว่าเป็นพลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ก็ต่อเมื่อสารประกอบอินทรีย์ทั้งหมดถูกย่อย สลายอย่างสมบูรณ์โดยจุลินทรีย์ ที่มีอยู่ในสภาพแวดล้อม และมีอัตราการย่อยสลายอยู่ภายใต้ข้อกาหนดใน การทดสอบตามมาตรฐาน  CEN (1993) – A degradable material in which the degradation results from the action of microorganisms and ultimately materials is converted to water, carbon dioxide and/or methane and a new cell biomass วัสดุย่อยสลายได้ คือ วัสดุที่การย่อยสลายเป็นผลมาจากการทางานของจุลินทรีย์ทาให้วัสดุเกิดการ
  • 16. 16 เปลี่ยนแปลงเป็นน้า แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และ/ หรือ แก๊สมีเทน และมวลชีวภาพใหม่ เป็นผลิตภัณฑ์ใน ขั้นตอนสุดท้าย สาหรับคาว่า biodegradation (หรือการย่อยสลายได้ทางชีวภาพ) ย่อมาจาก biotic degradation ในมาตรฐาน ต่างๆ มีคาจากัดความที่ใช้พื้นฐานแนวคิดเดียวกัน คือ เป็นการทางานของจุลินทรีย์ที่มีต่อชิ้นวัสดุ เป็นผลให้วัสดุเกิด การเปลี่ยนแปลงไปเป็นแก๊สคาร์บานไดออกไซด์หรือแก๊สมีเทนและน้า การใช้งานผลิตภัณฑ์พลาสติกย่อยสลายได้ 1.การใช้งานทางการแพทย์ พลาสติกย่อยสลายได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการผลิตวัสดุทางการแพทย์ เช่น ผิวหนังเทียม ยาที่ถูกออกแบบ มาให้สามารถควบคุมการปลดปล่อยตัวยาอย่างช้าๆ ภายในร่างกายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรือไหมละลาย อุปกรณ์ ประเภทสกรู และแผ่นดามกระดูกที่ได้รับการผ่าตัดและฝังอยู่ในร่างกายที่สามารถย่อยสลายได้เองภายหลังจากการทา หน้าที่ตามที่ได้รับการออกแบบไว้แล้วเสร็จสิ้น ทาให้ไม่ต้องทาการผ่าตัดซ้าเพื่อนาวัสดุที่ใช้ในการรักษาเสร็จแล้วออก จากร่างกายผู้ป่วย 2.สารเคลือบกระดาษ หรือโฟม ปัจจุบันมีการนาพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพมาใช้งานเป็นสารเคลือบกระดาษสาหรับห่อแฮมเบอร์เกอร์ หรือถ้วยน้าชนิดใช้แล้วทิ้ง 3.ฟิล์มคลุมดิน และวัสดุสาหรับการเกษตร ฟิล์มคลุมดินสาหรับการเกษตรเป็นอุปกรณ์ทางการเกษตรที่สาคัญในการเพาะปลูกพืชบางชนิด เช่น มะเขือ เทศ ซึ่งแผ่นฟิล์มจะช่วยป้องกันการเติบโตของวัชพืช และรักษาความชื้นในดิน การใช้ฟิล์มสามารถผลิตได้จาก พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพจะช่วยลดขั้นตอนการเก็บและกาจัดฟิล์มภายหลังเสร็จสิ้นการใช้งาน เนื่องจาก สามารถกาจัดโดยการไถพรวนลงดินได้โดยตรง ช่วยป้องกันการสูญเสียแร่ธาตุและสารอาหารบริเวณหน้าดินซึ่งมัก เกิดขึ้นในขั้นตอนการเก็บและกาจัดฟิล์ม นอกจากนี้ยังมีการนาพลาสติกย่อยสลายได้มาใช้เป็นวัสดุควบคุมการ ปลดปล่อยสารสาคัญ เช่น ตัวยา ปุ๋ย สารเคมีสาหรับการเกษตร วัสดุกักเก็บน้าสาหรับการเพาะปลูกพืชในทะเลทราย รวมถึงถุงหรือกระถางสาหรับเพาะต้นกล้า 4. ถุงสาหรับใส่ของ (shopping bag) ถุงพลาสติกและฟิล์มพลาสติกสาหรับการใช้งานด้านบรรจุภัณฑ์ได้รับความนิยมในการใช้งานมากขึ้นใน ปัจจุบัน ส่งผลให้มีสัดส่วนอยู่ในขยะในปริมาณสูงและยังไม่ได้รับความนิยมนากลับมารีไซเคิลมากนักเนื่องจากมีความ ยุ่งยากในขั้นตอนการคัดแยกและทาความสะอาด รวมถึงมีค่าใช้จ่ายในการขนส่งสูง ทาให้ไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ พลาสติกย่อยสลายได้จึงเป็นพลาสติกที่มีศักยภาพในการนามาใช้แทนพลาสติกทั่วไปเพื่อผลิตเป็นถุงและฟิล์มในบาง โอกาส 5.ฟิล์ม และถุงสาหรับใส่ขยะเศษอาหาร (Food Waste Film and Bags) ฟิล์มและถุงพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพสาหรับใช้ใส่ขยะเศษอาหาร เหมาะสาหรับสถานที่ที่มีระบบการ กาจัดขยะอินทรีย์ด้วยวิธีการคอมโพสท์ กาลังได้รับความนิยมในต่างประเทศ เนื่องจากสามารถกาจัดโดยการนามาทา คอมโพสท์พร้อมขยะอินทรีย์อื่นๆ ทาให้เกิดความสะดวกไม่ต้องแยกทิ้ง ปัจจุบันมีความต้องการใช้ถุงพลาสติกย่อย สลายได้สูงขึ้นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ในหลายเมืองของประเทศอิตาลี ได้ใช้พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพสาหรับ ใส่ขยะเศษอาหารตั้งแต่ปี ค.ศ. 1998 โดยมีบริษัท Novamont ซึ่งเป็นผู้ผลิตหลักให้กับประเทศในสหภาพยุโรป ทา การผลิตถุงย่อยสลายได้ในสภาวะคอมโพสท์ 10,000 ตันต่อปี ถุงที่ผลิตขึ้นนี้สามารถย่อยสลายได้อย่างสมบูรณ์ภายใน 8-10 สัปดาห์ภายใต้สภาวะการหมักในโรงงานคอมโพสท์เชิงอุตสาหกรรม
  • 17. 17 6. บรรจุภัณฑ์เพื่อการบริโภค (Consumer Packaging Materials) ศักยภาพหนึ่งในการใช้งานพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ คือ การใช้งานด้านบรรจุภัณฑ์ ซึ่งตามปกติการ ใช้บรรจุภัณฑ์อาหารที่ผลิตจากพลาสติกทั่วไปมักไม่ได้รับความนิยมนากลับมารีไซเคิลมากนัก เนื่องจากมีการปนเปื้อน สูง ทาให้ไม่สะดวกต่อการเก็บและทาความสะอาด การนาพลาสติกย่อยสลายได้มาผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์สาหรับอาหาร เช่น ถาดย่อยสลายได้สาหรับอาหารสาเร็จรูปและอาหารจานด่วน จึงเป็นแนวทางหนึ่งในการลดปัญหาด้านการจัดการ ขยะบรรจุภัณฑ์ลงได้ 7. โฟมเม็ดกันกระแทก (Loose fill) โฟมเม็ดกันกระแทก (loose fill) โดยทั่วไปผลิตจากพอลิสไตรีน (PS) เพื่อใช้ประโยชน์ในด้านการขนส่งสินค้า มีข้อดีคือ มีความยืดหยุ่นสามารถป้องกันสินค้าจากแรงกระแทกระหว่างการเคลื่อนย้ายและขนส่งได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีน้าหนักเบาทาให้การขนส่งสินค้าเป็นไปได้อย่างสะดวกและประหยัดเชื้อเพลิง แต่ปัญหาคือ พอลิสไตรีน เป็นพลาสติกที่ย่อยสลายได้ยากและใช้เนื้อที่ในการจัดเก็บเพื่อการกาจัดสูง ในกรณีที่ต้องกาจัดด้วยการฝังกลบต้องใช้ เนื้อที่ในบ่อฝังกลบมาก แม้ว่าจะนามารีไซเคิลใช้ใหม่ได้แต่ยังไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายมากนัก ปัจจุบันมีการพัฒนาการ ผลิตโฟมเม็ดกันกระแทกจากแป้งและพอลิเมอร์ชนิดอื่นที่ละลายน้าและย่อยสลายได้ทางชีวภาพขึ้น ทาให้ง่ายต่อการ ใช้งานและสะดวกในการกาจัดเมื่อสิ้นสุดการใช้งานแล้ว ผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อม ผลกระทบด้านบวกต่อสภาวะแวดล้อม การประเมินผลกระทบด้านบวกต่อสภาวะแวดล้อมของการนาพลาสติกย่อยสลายได้มาใช้งาน ทดแทนพลาสติกทั่วไปในบางโอกาส สามารถทาได้โดยการใช้วิธีประเมินวัฏจักรชีวิต (Life cycle assessment) ของพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ เปรียบเทียบกับพลาสติกทั่วไปที่ผลิตจากผลิตภัณฑ์ ปิโตรเลียมเพื่อประเมินผลกระทบที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและสภาพแวดล้อมด้านต่างๆ เช่น แหล่งวัตถุดิบ ซึ่งอาจเป็นแหล่งวัตถุดิบที่ปลูกหรือผลิตทดแทนขึ้นใหม่ได้ หรือเป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ปริมาณการใช้น้าและ พลังงานในกระบวนการผลิต การใช้สารเคมีในการเพาะปลูก และการปล่อยแก๊สเรือนกระจก เป็นต้น หากมี การนาพลาสติกย่อยสลายได้มาใช้งาน และมีการกาจัดอย่างมีประสิทธิภาพแล้วจะก่อให้เกิดประโยชน์ในด้าน อื่นๆ ดังต่อไปนี้ 1. คอมโพสท์ที่ได้จากการย่อยสลายพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพร่วมกับขยะอินทรีย์อื่นๆ สามารถนามาใช้ ในการปรับปรุงคุณภาพดินโดยช่วยเพิ่มสารอินทรีย์ ความชื้น และสารอาหารให้แก่ดิน พร้อมทั้งช่วยลด ปริมาณการใช้ปุ๋ยและลดการเกิดโรคในพืช การหมักพลาสติกย่อยสลายได้ทาให้เกิดการหมุนเวียนของธาตุ ในขณะที่การใช้พลาสติกมักต้องกาจัดด้วยการฝังกลบหรือเผา 2. ลดเนื้อที่การใช้งานของบ่อฝังกลบขยะ โดยการใช้พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ และถุงที่ย่อยสลายได้ทา ให้เพิ่มศักยภาพในการย่อยสลายของเศษอาหารหรือขยะอินทรีย์ในบ่อฝังกลบ และเพิ่มศักยภาพในการผลิต แก๊สมีเทนสาหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงในกรณีที่บ่อฝังกลบได้ถูกออกแบบมาให้ผลิตและใช้ประโยชน์จากแก๊สมีเทน ได้ การใช้ฟิล์มพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพเป็นวัสดุคลุมหน้าบ่อฝังกลบแทนดินในแต่ละวันเป็นการเพิ่ม เนื้อที่ให้บ่อฝังกลบ เนื่องจากการปิดหน้าบ่อฝังกลบด้วยดินทุกวันจะใช้เนื้อที่รวม 25% ของเนื้อที่ ในบ่อฝังกลบ 3. การใช้พลังงานในการสังเคราะห์ และผลิตพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพน้อยกว่าการผลิตพลาสติกทั่วไป ดังแสดงในตารางข้างล่างโดยเทียบกับพลังงานที่ใช้ในการผลิต HDPE และ LDPE โดยพลังงานที่ใช้ในการ ผลิต PHA ใกล้เคียงกับที่ใช้ในการผลิต PE หากการผลิตพลาสติกย่อยสลายได้โดยใช้สารอาหารน้าตาลในน้า ทิ้งจากโรงงานผลิตแป้ง กากน้าตาล ตะกอนจากบ่อน้าทิ้ง จะทาให้การใช้พลังงานลดลง