SlideShare a Scribd company logo
1 of 23
เรื่องยุคประวัติศาสตร์สมัยโบราณ
จัดทำโดย
นำย อภิรัตน์ ก๋ำใจ ม5.1 เลขที่ 3
นำย สุกิจ(อัครวิชช์) จิตตำงกูร ม5.1 เลขที่ 5
นำย ธนดล จันทรำพูน ม5.1 เลขที่ 24
นำย ชนำธิป แสนโชคพำณิชย์ ม5.1 เลขที่ 31
นำย ภูมิบดินทร์ ไชยศรี ม5.1 เลขที่ 32
สมัยโบราณ
สมัยก่อนประวัติศาสตร์ คือ ช่วงเวลาที่มนุษย์ยังไม่มีตัวอักษรจดบันทึก
เรื่องราวของสังคม นักโบราณคดีเป็นผู้ศึกษาเรื่องราวของสมัยก่อน
ประวัติศาสตร์เป็นหลักโดยศึกษาจากซากพิมพ์ดึกดาบรรพ์หรือพิมพ์หิน
โบราณสถาน โบราณวัตถุ โครงกระดูก สิ่งของเครื่องใช้ ภาพวาดตามผนังหรือ
บนสิ่งของต่างๆ เป็นต้น โดยสมัยก่อนประวัติศาสตร์มีการแบ่งเป็นยุคย่อย คือ
ยุคหินกับยุคโลหะ ทั้งนี้ยุคหินยังมีการแบ่งออกเป็นยุคหินเก่า ยุคหินกลาง
และ ยุคหินใหม่ ส่วนยุคโลหะก็มีการแบ่งเป็นยุคสาริดกับยุคเหล็กเป็นยุคที่
มนุษย์เริ่มรู้จักนาหินมาปรับใช้เป็นเครื่องมือเครื่องใช้หรืออุปกรณ์และอาวุธ
นักโบราณคดีกาหนดให้ยุคหินของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ (สากล) อยู่
ระหว่าง 2.5 ล้านปี ถึงประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว แต่เนื่องจากสิ่งที่เหลือเป็น
หลักฐานอยู่จนถึงปัจจุบันมีเพียงชนิดเดียวคือหิน ดังนั้นเราจึงเรียกยุคนี้ว่า ยุค
หิน ทั้งนี้ยุคหินตามพัฒนาการเทคโนโลยีการทาเครื่องมือเครื่องใช้ยังแบ่ง
ออกเป็น 3 ยุคย่อย คือ ยุคหินเก่า ยุคหินกลาง และยุคหินใหม่ ดังนี้
1. ยุคหิน (Stone Age)
• 1.1 ยุคหินเก่า (Paleolithic Period หรือ Stone Age)อยู่ระหว่าง 2,500,000 -10,000 ปี
มาแล้ว มนุษย์ในยุคนี้อาศัยอยู่ในถ้าหรือเพิงผา ยังไม่มีความคิดสร้างที่อยู่อาศัยโดยใช้
วัสดุธรรมชาติหรือตั้งรกรากถาวรดารงชีวิตด้วยการล่าสัตว์ หาปลา และเก็บหาผลไม้
ในป่ า เมื่ออาหารตามธรรมชาติหมดก็อพยพไปหาแหล่งอาหารที่อื่นต่อไป มนุษย์ยุค
หินเก่ารู้จักประดิษฐ์เครื่องมืออย่างหยาบๆ เครื่องมือที่ใช้ทั่วไป คือ เครื่องมือหิน
กะเทาะ ที่มีลักษณะหยาบ ใหญ่ หนา กะเทาะเพียงด้านเดียวหรือสองด้าน ไม่มีการฝน
ให้เรียบ มนุษย์ยุคหินเก่ารู้จักนาหนังสัตว์มาทาเป็นเครื่องนุ่งห่ม รู้จักใช้ไฟเพื่อให้
ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ให้แสงสว่าง ให้ความปลอดภัย และหุงหาอาหาร มีการฝังศพ
ทาพิธีกรรมเกี่ยวกับการตาย และมีการนาเครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธต่างๆ ของผู้ตาย
ฝังไว้ในหลุมด้วย นอกจากนี้มนุษย์ยุคหินเก่ายังรู้จักสร้างสรรค์งานศิลปะ ซึ่งพบ
ภาพวาดตามผนังถ้าที่ใช้สีฝุ่ นสีต่างๆ ได้แก่ สีดา น้าตาล ส้ม แดงอ่อน และเหลือง ภาพ
ที่วาดส่วนใหญ่เป็นภาพสัตว์ เช่น วัวกระทิง ม้าป่ า กวางแดง เป็นต้น ภาพวาดที่มี
ชื่อเสียงของมนุษย์ยุคหินเก่าอยู่ที่ถ้าลาสโกประเทศฝรั่งเศส
• 1.2 ยุคหินกลาง (Mesolithic Period หรือ Middle Stone Age) อยู่ระหว่าง 10,000-
6,000 ปีมาแล้ว มนุษย์ยุคนี้รู้จักทาเครื่องมือหินที่มีความประณีตมากขึ้นด้วยการ
กระเทาะ ผิวด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้งสองด้านออกให้เกิดความคม ทาให้เครืองมือหิน
ในยุคนี้มีรูปทรงที่เหมาะแก่การใช้งานมากขึ้นกว่าเดิม เครื่องมือยุคหินกลางที่พบมีทั้ง
เครื่องมือสับ ตัด ขุด และทุบ
• หลักฐานเครื่องมือหินของมนุษย์ในยุคหินกลางพบในทวีปยุโรปและทวีปเอเชีย โดย
พบครั้งแรกในเวียดนามเรียกว่าวัฒนธรรมฮัวบิเนียน จัดเป็นวัฒนธรรมยุคหินกลาง
ของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทยด้วย
• 1.3 ยุคหินใหม่ (Neolithic Period หรือ New Stone Age) อยู่ระหว่าง 6,000 -4,000 ปี
มาแล้ว มนุษย์ยุคนี้มีความเจริญทางวัตถุมากกว่ายุคหินกลาง รู้จักควบคุมธรรมชาติ
มากขึ้น รู้จักพัฒนาการทาเครื่องมือหินอย่างประณีตโดยมีการขัดฝนหินทั้งชิ้นให้เป็น
รูปร่างลักษณะต่างๆ เพื่อให้เครื่องมือมีประสิทธิภาพในการใช้สอยมากขึ้นกว่า
เครื่องมือรุ่นก่อนหน้านี้ เช่น มีดหินที่สามารถตัดเฉือนได้แบบมีดโลหะ มีการต่อด้าม
ยาวเพื่อใช้แผ่นหินลับคมเป็นเสียมขุดดิน หรือต่อด้ามไม้สาหรับจับเป็นขวานหิน
สามารถปั้นหม้อดินและใช้ไฟเผา สามารถทอผ้าจากเส้นใยพืชและทอเป็นเชือกทาเป็น
แหหรืออวนจับปลา ลักษณะสาคัญอีกประการหนึ่งที่จาแนกมนุษย์ยุคหินใหม่ออกจาก
มนุษย์ยุคหินกลางก็คือการที่มนุษย์ยุคนี้รู้จักการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ในระดับที่
ซับซ้อนมากขึ้น เช่น มีการปลูกข้าวและพืชอื่นๆ เช่น ถั่ว ฟัก บวบ และเลี้ยงสัตว์หลาย
ชนิดมากขึ้น เช่น แพะ แกะ และ วัว ซึ่งก็คงทั้งไว้ใช้งานและเป็นอาหาร
• วัฒนธรรมยุคหินใหม่พบอยู่ทั่วโลก แต่หลักฐานสาคัญที่มีลักษณะโดดเด่น คือ การ
สร้างอนุสาวรีย์หิน (Megalithic)ที่มีชื่อเสียง คือ สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) ในประเทศ
อังกฤษ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อใช้คานวณเวลาทางดาราศาสตร์ เพื่อพิธีกรรม เพื่อ
บวงสรวงดวงอาทิตย์ และเพื่อผลผลิตทางการเพาะปลูก
• 2. ยุคโลหะ (Metal Age) เริ่มเมื่อประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว มนุษย์ยุคนี้มีความก้าวหน้า
ทางเทคโนโลยีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอันแสดงถึงการพัฒนาความสามารถทางความคิด
ด้วยการมีควาสามารถ นาโลหะมาทาเป็นเครื่องมือเครื่องใช้นั่นเอง ในระยะแรกของ
ยุคโลหะจะพบว่าพวกเขารู้จักหลอมทองแดงและดีบุกซึ่งเป็นโลหะที่ใช้อุณหภูมิไม่สูง
นักในการหลอม ต่อมาจึงพัฒนาความรู้และเทคโนโลยีขึ้นมาจนสามารถหลอมเหล็กได้
ซึ่งการหลอมเหล็กต้องใช้อุณหภูมิสูง นักโบราณคดีจึงแบ่งยุคโลหะออกเป็น 2 ยุคตาม
ความแตกต่างของระดับเทคโนโลยีและวัสดุที่นามาใช้ทาเครื่องมือเครื่องใช้ ดังนี้
• 2.1 ยุคสาริด (Bronze Age) การเริ่มต้นของยุคสาริดในแต่ละภูมิภาคจะต่างกันไป แต่
ส่วนใหญ่จะเริ่มระหว่างประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว ในช่วงเวลานี้มนุษย์รู้จักนาทองแดง
ผสมกับดีบุกหลอมรวมกันกลายเป็นโลหะผสมที่เราเรียกว่า สาริด มาใช้ทาเป็น
เครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธที่มีคุณภาพดีกว่าที่ทาจากหินขัดมาก การดารงชีวิตของ
มนุษย์ยุคนี้ก็เปลี่ยนไปจากการเป็นชุมชนเกษตรกรรมเล็กๆ กลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่
ที่เราเรียกว่าชุมชนเมือง มีการจัดแบ่งความสัมพันธ์ของคนในสังคมตาม
ความสัมพันธ์และความสามารถ ซึ่งพัฒนาการนี้ทาให้สังคมมีความมั่นคงและมีการ
สั่งสมอารยธรรมได้อย่างรวดเร็วกว่าที่ผ่านมา แหล่งอารยธรรมสาคัญที่มีพัฒนาการ
จากสังคมสมัยหินใหม่สู่สมัยสาริด เช่น แหล่งอารยธรรมเมโสโปเตเมียในภูมิภาค
เอเชีย-ตะวันตก แหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้าไนล์ในประเทศอียิปต์ แหล่งอารยธรรมลุ่ม
แม่น้าสินธุในประเทศอินเดีย และแหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้าฮวงเหอในประเทศจีน
เป็นต้น
• 2.2 ยุคเหล็ก (Iron Age) เริ่มเมื่อประมาณ 3,200 ปีมาแล้ว เป็นช่วงของการ
พัฒนาการทางเทคโนโลยีที่ต่อเนื่องจากยุคสาริด หลังจากที่มนุษย์สามารถนา
ทองแดงมาผสมกับดีบุกและหลอมเป็นโลหะผสมได้แล้ว มนุษย์ก็คิดค้นหาวิธีนา
เหล็กซึ่งเป็นโลหะที่มีความแข็งและทนทานกว่าสาริดมาทาเป็นเครื่องมือ
เครื่องใช้และอาวุธ ด้วยการใช้อุณหภูมิในการหลอมที่สูงกว่าการหลอมสาริด
แล้วจึงตีโลหะเหล็กในขณะที่ยังร้อนอยู่ให้เป็นรูปทรงที่ต้องการ เนื่องจากเหล็ก
ใช้ทาเครื่องมือเครื่องใช้มีความเหมาะสมกับงานการเกษตรที่ต้องใช้ความ
แข็งแรงมากกว่าสาริด และมีความทนทานกว่าด้วย จึงทาให้มนุษย์ยุคเหล็ก
สามารถทาการเกษตรได้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้เหล็กยังใช้ทาอาวุธที่มี
ความแข็งแกร่งและทนทานกว่าสาริด จึงทาให้สังคมมนุษย์ยุคนี้ที่พัฒนาเข้าสู่ยุค
เหล็กและเข้าสู่ความเป็นรัฐได้ด้วยการมีกองทัพที่มีประสิทธิภาพกว่า สามารถ
ปกป้องเขตแดนของตนเองได้ดีกว่า ทาให้สังคมเมืองของตนมีความมั่นคง
ปลอดภัย และในที่สุดก็สามารถขยายอิทธิพลไปยังดินแดนอื่นๆ ได้ในเวลา
ต่อมา
สมัยประวัติศาสตร์ของตะวันตก แบ่งออกเป็น 4 ยุค ดังนี้
1.ยุคโบราณ
1.1 อารยธรรมลุ่มแม่น้าไทกริส-ยูเฟรติสหรือ เมโสโปเตเมีย
อารยธรรมลุ่มแม่น้าไทกรีส-ยูเฟรทีสหรือ เมโสโปเตเมีย เป็นอู่
อารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกสมัยโบราณ โดยตั้งอยู่
ระหว่างแม่น้า 2 สาย คือแม่น้าไทกรีส (Tigris) และแม่น้ายูเฟรตีส
(Euphrates) ซึ่งปัจจุบันนี้ อยู่ในเขตแดนของประเทศอิรักซึ่งมีกรุง
แบกแดด เป็นเมืองหลวง แม่น้าทั้ง 2 สายมีต้นน้าอยู่ในอาร์มีเนีย
และเอเซียไมเนอร์ไหลลงสู่ทะเลที่อ่าวเปอร์เซีย บริเวณที่ราบลุ่ม
แม่น้าไทกรีส และยูเฟรตีส ตอนล่างเรียกว่าบาบิโลเนีย
(Babylonia) เป็นเขตซึ่งอยู่ติดกับอ่าวเปอร์เซีย
• อาณาบริเวณที่เรียกว่าเมโสโปเตเมีย อาณาเขตติดต่อดังนี้
• ทิศเหนือ ติดต่อกับ ทะเลดา และทะสาบแคสเปียน
• ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ติดต่อกับ คาบสมุทรอาระเบีย ซึ่งล้อมรอบด้วย
ทะเลแดง และมหาสมุทรอินเดีย
• ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ที่ราบซีเรีย และปาเลสไตน์
• ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ที่ราบสูงอิหร่าน
• บริเวณแม่น้า ไทกริส-ยูเฟรติส หรือบริเวณประเทศอิรักในปัจจุบัน ใน
อดีตเป็นดินแดนที่มีร่องรอยความเจริญรุ่งเรืองมาก่อน จนกลายเป็นอู่
อารยธรรมของโลก ดินแดนแห่งนี้เป็นเขตที่มีความอุดมสมบูรณ์
เนื่องจากมีแม่น้า 2 สายมาบรรจบกัน จึงเหมาะต่อการเพาะปลูกและเลี้ยง
สัตว์ จึงมีชื่ออีกอย่างว่าหนึ่ง ดินแดนพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์
(The Fertile Crescent) หรือวงโค้วแห่งความอุดมสมบูรณ์ หรือที่รู้จัก
กัน คือ ดินแดนเมโสโปเตเมีย
ดินแดนเมโสโปเตเมีย
• ได้พบหลักฐานที่ยืนยันว่าดินแดนบริเวณนี้เป็นแหล่งอารยธรรมโบราณในแถบ
เอเชียไมเนอร์ สองฝั่งแม่น้าทั้งสองเป็นที่ราบอุดมสมบูรณ์ ตั้งแต่ ฝั่งตะวันออกของ
ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จนกระทั่งที่ไหลลงสู่อ่าวเปอร์เซีย เป็นแหล่งที่มีการเพาะปลูก
และเลี้ยงสัตว์ เช่นเดียวกับประเทศอียิปต์ และผู้ที่เข้าครอบครองดินแดนแถบนี้
ส่วนมากจะเป็นพวกเร่ร่อนในทะเลทราย ถ้ากลุ่มใดเข้มแข็งก็มีอานาจปกครองอาณา
บริเวณที่อุดมสมบูรณ์ พวกที่อ่อนแอก็จะเร่ร่อนต่อไป หรืออยู่ในอานาจผู้ที่แข็งแรง
กว่า การปกครองแต่ละเมืองจึงเป็นแบบนครรัฐ มีอิสระ ชนชาติต่างๆ ที่อาศัยอยู่ใน
แถบนี้มีหลายเผ่าพันธุ์ กลุ่มชนต่างๆ ที่สร้างสรรค์อารยธรรมและมีหลักฐานปรากฏอยู่
คือ ชำวสุเมเรียน ชำวแอคคัค ชำวอมอไรต์ ชำวฮิตไทต์ แอสสิเรียน แคสเดีย
• 1. ชาวสุเมเรียน (Sumerians)
• ชนชาติสุเมเรียน (Sumerian) เป็นชนชาติแรกที่สร้างความเจริญขึ้นในบริเวณ
เมโสโปเตเมีย ซึ่งเชื่อกันว่า ชาวสุเมเรี่ยนได้อพยพมาจากที่ราบสูงอิหร่าน และได้มา
ตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณตอนล่างสุดของลุ่มแม่น้าไทกริสและยูเฟรติสตรงส่วนที่ติดกับ
อ่าวเปอร์เซีย โดยเรียกบริเวณนี้ว่า ซูเมอร์ (Sumer) นักประวัติศาสตร์ถือว่า ซู
เมอร์ คือ แหล่งกาเนิดของนครรัฐ (city-state) แห่งแรกของโลก
• การตั้งถิ้นฐานเริมแรกของชาวสุเมเรียนนั้นเป็นเพียงหมูบ้านกสิกรรม ต่อมาเมื่อ
รวมกันและได้มีการสร้างชลประทานขึ้น ทาให้หมูบ้านได้รวมเป็นศูนย์กลางการ
ปกครองในลักษณะของเมือง เมืองที่สาคัญได้แก่ อิเรค (Erech) อิริดู
(Eridu) เออร์ (Ur) ลาร์ซา (Larsa) ลากาซ (Lagash) อุมมา
(Umma)นิปเปอร์ (Nippur) คิช (Kish) เป็นต้น เมืองต่างๆเหล่านี้มีฐานะ
เป็นศูนย์กลางของการปกครองที่ไม่ขึ้นต่อกันที่เรียกว่า “นครรัฐ” โดยแต่ละนครรัฐ
ดูแลความเป็นอยู่ของคนในนครรัฐของตน
• ความเจริญของอารยธรรมสุเมเรียน ได้แก่
• 1.การประดิษฐ์ตัวอักษร อารยธรรมสุเมเรียนเป็นชนชาติแรกในดินแดนเมโสโปเตเมีย
ที่รู้จักการประดิษฐ์ตัวอักษรได้เมื่อ300 ปีก่อนคริสต์ศักราช เริ่มแรกตัวอักษรของชาวสุ
เมเรียนเป็นตัวอักษรภาพ ต่อมาได้มี การดัดแปลงคิดสัญลักษณ์ต่างๆ ใช้แทนภาพ ทา
ให้ง่ายต่อการบันทึกยิ่งขึ้น เครื่องหมายบางตัวใช้แทนเสียงในการผสมคา มีจานวน
มากกว่า 350 เครื่องหมาย หลักฐานตัวอักษรของชาวสุเมเรียนพบในแผ่นดินเผา
ตัวอักษรเขียนด้วยก้านอ้อในขณะที่ดินเหนียวยังอ่อนตัวแล้วนาไปตากแดดหรือเผาให้
แห้ง ตัวอักษรจึงมีลักษณะคล้ายลิ่ม จึงเรียกว่า อักษรลิ่มหรือคูนิ
ฟอร์ม (Cuneiform) เนื่องจากคาว่า Cuneiform มาจากภาษาละติน
ว่า Cuneus แปลว่า ลิ่ม
• อักษรลิ่มของชำวสุเมเรียน
• 2.วรรณกรรม วิธีการเขียนตัวอักษรลิ่มไม่สะดวกต่องานเขียนที่มีขนาดยาวๆ เพราะ
แผ่นดินเหนียวแผ่นหนึ่งบรรจุข้อความได้เพียงเล็กน้อย แต่ชาวสุเมเรียนมี
วรรณกรรมที่ท่องจาสืบต่อกันมา เช่น นิยาย กาพย์ กลอน ส่วนเรื่องสั้นมีจารึกไว้ใน
แผ่นดินเผา งานเขียนส่วนใหญ่เขียนโดยนักบวช จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อศาสนา
เป็นส่วนใหญ่ เช่น โคลงสดุดีเทพเจ้า เพลงสวดเป็นต้น วรรณกรรมที่มีชื่อเสียง คือ
มหากาพย์กิลกาเมช (Gilgamesh Epic) กล่าวถึงการผจญภัยของกษัตริย์ของนครเออ
รุค ซึ่งสันนิษฐานว่าคงมีอิทธิพลต่อพระคัมภีร์เก่าเล่มแรกๆ ของพวกฮิบรู
• 3. สถาปัตยกรรม การก่อสร้างของชาวสุเมเรี ยนส่วนใหญ่มักทาด้วยอิฐ ซึ่งทาจากดิน
เหนียวที่ตากแห้ง เรียกว่า sun-dried brick หรืออิฐตากแห้ง อิฐบางชนิดเป็นอิฐเผา
หรืออบให้แห้ง เรียกว่า baked – brick จะทนทานและป้องกันความชื้นได้ดี กว่าอิฐ
ตากแห้งจงใช้ในการก่อสร้างที่ต้องการความมั่นคงถาวร เช่น กาแพงที่นครคิช ที่มี
ซากพระราชวังที่ก่อสร้างด้วยอิฐสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงของชาวสุเมเรียน คือ ซิกกู
แรต (Ziggurat) ซึ่งมีลักษณะคล้ายพีระมิดของอียิปต์ สร้างขึ้นบนฐานที่ยกสูงจาก
ระดับพื้นดินมีบันไดทอดยาวขึ้นไป ข้างบนเป็นวิหารเทพเจ้า พบที่นครเออร์ เป็นซิกกู
แรตที่มีฐานยาว 200 ฟุต กว้าง 150 ฟุต สูง 70 ฟุต สันนิษฐานว่าอาจเป็น Tower of
Babel หรือเทาเวอร์ ออฟ บาเบิล ตามที่ปรากฏในพระคัมภีร์ของชาวฮิบรู
• ซิกกูแรตสถำปัตยกรรมของชำวสุเมเรียน
• 4.ปฏิทินและการชั่งตวงวัดปฏิทินของชาวสุเมเรียนเป็นปฏิทินแบบจันทรคติ
คือ เดือนหนึ่งมี 29 1/2 วัน ปีหนึ่งมี 12 เดือน แต่ละเดือนแบ่งออกเป็น 4 สัปดาห์
สัปดาห์หนึ่งมี 7-8 วัน ส่วนระบบการชั่ง ตวง วัด ของชาวสุเมเรียนแบ่งออกเป็น ทา
เลนท์ (talent) เชเคิล (shekel)และมีนา (mina) ดังนั้น 1 เชคเคิล เป็น 1 มีนา 60 มีนา
เป็น 1 ทาเลนท์ (1 มีนา ประมาณ 1 ปอนด์กว่า) เรียกว่าใช้ระบบฐาน 60 ซึ่งมีอิทธิพล
ต่อการแบ่งเวลาในปัจจุบัน (คือ 60 วินาที เป็น 1 นาที 60 นาที เป็น 1 ชั่วโมง)
• 2.ชาวแอคคัค (Akkad)
•
เป็นพวกเร่ร่อนเผ่าเซมิติกที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณซีเรียและทะเลทรายอาหรับ ได้เข้า
มารุกรานยึดครองพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมโสโปเตเมียเมื่อประมาณ
2,300 ปี ก่อนคริสต์ศักราชโดยมีผู้นาชาวแอคคัดคือ ซาร์กอน (Sargon) ได้ยกทัพยึด
ครองนครรัฐของชาวสุเมเรียนในซูเมอร์และรวบรวมดินแดนตั้งแต่ฝั่งทะเลเมดิเตอร์
เนียนไปจนถึงอ่าวเปอร์เซียเข้าเป็นจักรวรรดิแรกในเมโสโปเตเมีย แต่ยึดครองได้ไม่
นานก็ถูกชาวสุเมเรียนล้มล้างอานาจและจัดตั้งนครรัฐขึ้นมาปกครองใหม่
• 3. ชาวอมอไรต์ (Amorite)
•
เป็นชนเผ่าเซเมติกอพยพจากทะเลทรายอาระเบีย เข้ามายึดครองนครรัฐของ
ชาวสุเมเรียนและสถาปนาจักรวรรดิ บาบิโลเนียขึ้นเมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อน
คริสต์ศักราช โดยมีนครบาบิโลนเป็นศูนย์กลางการปกครอง ซึ่งมีกษัตริย์ที่
สาคัญคือพระเจ้าฮัมมูราบี (Hammurabi) ที่ได้รวบรวมกลุ่มต่างๆ ในเมโสโปเต
เมียให้อยู่ภายใต้อานาจการปกครอง ซึ่งผลงานสาคัญของพระองค์คือประมวล
กฎหมายฮั มมู ราบี (The Hammura-bi’s Code) เป็นกฎหมายที่ผสมผสาน
วัฒนธรรมชาวอาหรับกฎของเผ่าเซมิติกและจารีตประเพณีของพวกสุเมเรียน
กฎหมายนี้ครอบคลุมด้านชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคม เศรษฐกิจการถือ
ครองที่ดินการทามาหากินและอื่นๆ นอกจากนี้ก็กาหนดบทลงโทษที่เรียกว่า การ
ลงโทษแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน (an eye for an eye, and a tooth for a
tooth) กล่าวคือ ถ้าผู้ทาผิดทาให้ใครตาบอด ผู้ทาผิดนั้นก็จะถูกลงโทษด้วยการ
ถูกทาให้ตาบอดเช่น กันจักรวรรดิบาบิโลเนียถูกชาวฮิตไทต์ (Hittite) รุกรานและ
ล่มสลายลงเมื่อ 1,600 ปีก่อนคริสต์ศักราช
จารึกประมวลกฎหมายของพระเจ้าฮัมมูราบี
• 4. ชาวฮิตไทต์ (Hittite)
• เป็นชนเผ่าอินโดยูโรเปียนที่ตั้งถิ่นฐานทางตอนใต้รัสเซียได้อพยพขยายตัวมาตาม
แม่น้ายูเฟรทีส และเข้าโจมตีทางเหนือของซีเรียและปล้นสะดมกรุงบาบิโลเนียของ
พวกอมอไรต์เมื่อประมาณ 1,595 ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกอมอไรต์จึงหมดอานาจลง
ช่วงเวลาที่พวกฮิตไทต์มีอานาจในเมโสโปเตเมียนั้นเป็นเวลาเดียวกับที่อียิปต์เรือง
อานาจ ทาให้ทั้งสองอาณาจักรทาสงครามแย่งชิงดินแดนเมโสโปเตเมีย ภายหลังสงบ
ศึกจึงแบ่งพื้นที่กันยึดครอง กล่าวกันว่าพวกฮิตไทต์มีความสามารถในการรบมาก โดย
เป็นชนเผ่าแรกที่นาเหล็กมาใช้ในการทาอาวุธรู้จักใช้ม้ารถเทียมม้าทาให้กองทัพ
เข้มแข็งและเคลื่อนที่ได้รวดเร็ว
• 5.แอสสิเรียน (Assyrian)
• เป็นชนชาตินักรบ มีวินัย กล้าหาญ มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงนิเนเวห์
(Nineveh) ได้สร้างอารยธรรมการสลักภาพนูนต่า ด้านการรบและการล่าสัตว์ มี
การสร้างวังขนาดใหญ่ และสร้างห้องสมุดแห่งแรกของโลก โดยพระเจ้าแอสซูรบานิ
ปาลที่เมืองนิเนเวห์
• 6.แคสเดีย(Chaldea) หรือพวกบาบิโลเนียใหม่
• เป็นชนเผ่าฮีบรู ในสมัยพระเจ้าเนบูคัดเดรดซาร์(Nebuchadrezzar) ได้สร้าง
พระราชวังขนาดใหญ่และสร้างสวนพฤกษชาติ บนพระราชวัง เรียกว่า “สวนลอย
แห่งกรุงบาบิโลน (Hanging Gardens of Babylon) นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
นอกจากนั้นพวก คาลเดีย ยังมีความรู้เรื่องการชลประทาน ดาราศาสตร์ และคานวณ
การโคจรของดวงอาทิตย์ ในรอบปีได้อย่างถูกต้อง
ภาพวาดสวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน

More Related Content

What's hot

การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์แบบสากล
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์แบบสากลการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์แบบสากล
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์แบบสากลKamonchanok VrTen Poppy
 
ประวัติศาสตร์ ม.1
ประวัติศาสตร์ ม.1ประวัติศาสตร์ ม.1
ประวัติศาสตร์ ม.1school
 
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์Noo Suthina
 
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7(4,10)
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7(4,10)การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7(4,10)
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7(4,10)mintmint2540
 
สรุป การแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์สากล
สรุป การแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์สากลสรุป การแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์สากล
สรุป การแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์สากลKittayaporn Changpan
 
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่4,10
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่4,10การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่4,10
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่4,10mintmint2540
 
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.1
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.1 การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.1
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.1 Noo Suthina
 
ประวัติศาสตร์สากล
ประวัติศาสตร์สากลประวัติศาสตร์สากล
ประวัติศาสตร์สากลSompak3111
 
ม4 การตั้งถิ่นฐานในดินแดนไทย
ม4 การตั้งถิ่นฐานในดินแดนไทยม4 การตั้งถิ่นฐานในดินแดนไทย
ม4 การตั้งถิ่นฐานในดินแดนไทยทศวรรษ โตเสือ
 
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์sw110
 
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์Pannaray Kaewmarueang
 
เรื่องที่ 2 ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
เรื่องที่ 2 ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์เรื่องที่ 2 ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
เรื่องที่ 2 ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์numattapon
 
Unit1 e0b980e0b8a7e0b8a5e0b8b2e0b981e0b8a5e0b8b0e0b8a2e0b8b8e0b884e0b8aae0b8a...
Unit1 e0b980e0b8a7e0b8a5e0b8b2e0b981e0b8a5e0b8b0e0b8a2e0b8b8e0b884e0b8aae0b8a...Unit1 e0b980e0b8a7e0b8a5e0b8b2e0b981e0b8a5e0b8b0e0b8a2e0b8b8e0b884e0b8aae0b8a...
Unit1 e0b980e0b8a7e0b8a5e0b8b2e0b981e0b8a5e0b8b0e0b8a2e0b8b8e0b884e0b8aae0b8a...krunrita
 
อารยธรรมจีนPdf
อารยธรรมจีนPdfอารยธรรมจีนPdf
อารยธรรมจีนPdfkruchangjy
 
1.2 ประวัติศาสตร์ (รวม) new
1.2 ประวัติศาสตร์ (รวม) new 1.2 ประวัติศาสตร์ (รวม) new
1.2 ประวัติศาสตร์ (รวม) new Jitjaree Lertwilaiwittaya
 
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ponderingg
 

What's hot (18)

การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์แบบสากล
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์แบบสากลการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์แบบสากล
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์แบบสากล
 
ประวัติศาสตร์ ม.1
ประวัติศาสตร์ ม.1ประวัติศาสตร์ ม.1
ประวัติศาสตร์ ม.1
 
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
 
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7(4,10)
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7(4,10)การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7(4,10)
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7(4,10)
 
สรุป การแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์สากล
สรุป การแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์สากลสรุป การแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์สากล
สรุป การแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์สากล
 
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่4,10
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่4,10การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่4,10
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่4,10
 
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.1
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.1 การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.1
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.1
 
ประวัติศาสตร์สากล
ประวัติศาสตร์สากลประวัติศาสตร์สากล
ประวัติศาสตร์สากล
 
ม4 การตั้งถิ่นฐานในดินแดนไทย
ม4 การตั้งถิ่นฐานในดินแดนไทยม4 การตั้งถิ่นฐานในดินแดนไทย
ม4 การตั้งถิ่นฐานในดินแดนไทย
 
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
 
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
 
เรื่องที่ 2 ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
เรื่องที่ 2 ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์เรื่องที่ 2 ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
เรื่องที่ 2 ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
 
History 1
History 1History 1
History 1
 
Unit1 e0b980e0b8a7e0b8a5e0b8b2e0b981e0b8a5e0b8b0e0b8a2e0b8b8e0b884e0b8aae0b8a...
Unit1 e0b980e0b8a7e0b8a5e0b8b2e0b981e0b8a5e0b8b0e0b8a2e0b8b8e0b884e0b8aae0b8a...Unit1 e0b980e0b8a7e0b8a5e0b8b2e0b981e0b8a5e0b8b0e0b8a2e0b8b8e0b884e0b8aae0b8a...
Unit1 e0b980e0b8a7e0b8a5e0b8b2e0b981e0b8a5e0b8b0e0b8a2e0b8b8e0b884e0b8aae0b8a...
 
A2 thai-history
A2 thai-historyA2 thai-history
A2 thai-history
 
อารยธรรมจีนPdf
อารยธรรมจีนPdfอารยธรรมจีนPdf
อารยธรรมจีนPdf
 
1.2 ประวัติศาสตร์ (รวม) new
1.2 ประวัติศาสตร์ (รวม) new 1.2 ประวัติศาสตร์ (รวม) new
1.2 ประวัติศาสตร์ (รวม) new
 
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
 

Similar to เรื่องยุคประวัติศาสตร์สมัยโบราณ 1

การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่4,10
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่4,10การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่4,10
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่4,10mintmint2540
 
สังคม ม.6.7 เลขที่4,10
สังคม ม.6.7 เลขที่4,10สังคม ม.6.7 เลขที่4,10
สังคม ม.6.7 เลขที่4,10mintmint2540
 
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่ 4,10
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่ 4,10การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่ 4,10
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่ 4,10mintmint2540
 
1.1 การแบ่งยุคสมัยปวศ.
1.1 การแบ่งยุคสมัยปวศ.1.1 การแบ่งยุคสมัยปวศ.
1.1 การแบ่งยุคสมัยปวศ.Jitjaree Lertwilaiwittaya
 
ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอีสาน1
ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอีสาน1ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอีสาน1
ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอีสาน1teacherhistory
 
ประวัติศาสตร์ ม.2
ประวัติศาสตร์ ม.2ประวัติศาสตร์ ม.2
ประวัติศาสตร์ ม.2Arom Chumchoengkarn
 
ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอีสาน2
ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอีสาน2ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอีสาน2
ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอีสาน2teacherhistory
 
วิวัฒนาการชนชั้นของสังคม
วิวัฒนาการชนชั้นของสังคมวิวัฒนาการชนชั้นของสังคม
วิวัฒนาการชนชั้นของสังคมnoonam2538
 
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์Gob_duangkamon
 
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์.pptx
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์.pptxการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์.pptx
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์.pptxNualmorakot Taweethong
 
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์Gob_duangkamon
 
บทที่ 1 วิธีการทางประวัติศาสตร์ และการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
บทที่ 1 วิธีการทางประวัติศาสตร์  และการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์บทที่ 1 วิธีการทางประวัติศาสตร์  และการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
บทที่ 1 วิธีการทางประวัติศาสตร์ และการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์krunumc
 
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์Gob_duangkamon
 
ศิลปะยุคกลาง
ศิลปะยุคกลางศิลปะยุคกลาง
ศิลปะยุคกลางพัน พัน
 
ประวัติศาสตร์ โบราณ
ประวัติศาสตร์ โบราณประวัติศาสตร์ โบราณ
ประวัติศาสตร์ โบราณpair pair
 
จารึกอักษรบนกระดองเต่า
จารึกอักษรบนกระดองเต่าจารึกอักษรบนกระดองเต่า
จารึกอักษรบนกระดองเต่าSRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
 

Similar to เรื่องยุคประวัติศาสตร์สมัยโบราณ 1 (20)

การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่4,10
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่4,10การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่4,10
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่4,10
 
สังคม ม.6.7 เลขที่4,10
สังคม ม.6.7 เลขที่4,10สังคม ม.6.7 เลขที่4,10
สังคม ม.6.7 เลขที่4,10
 
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่ 4,10
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่ 4,10การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่ 4,10
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่ 4,10
 
1.1 การแบ่งยุคสมัยปวศ.
1.1 การแบ่งยุคสมัยปวศ.1.1 การแบ่งยุคสมัยปวศ.
1.1 การแบ่งยุคสมัยปวศ.
 
ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอีสาน1
ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอีสาน1ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอีสาน1
ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอีสาน1
 
ประวัติศาสตร์ ม.2
ประวัติศาสตร์ ม.2ประวัติศาสตร์ ม.2
ประวัติศาสตร์ ม.2
 
ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอีสาน2
ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอีสาน2ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอีสาน2
ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอีสาน2
 
Unit2 การสร้างสรรค์อารยธรรม
Unit2 การสร้างสรรค์อารยธรรมUnit2 การสร้างสรรค์อารยธรรม
Unit2 การสร้างสรรค์อารยธรรม
 
วิวัฒนาการชนชั้นของสังคม
วิวัฒนาการชนชั้นของสังคมวิวัฒนาการชนชั้นของสังคม
วิวัฒนาการชนชั้นของสังคม
 
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
 
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์.pptx
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์.pptxการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์.pptx
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์.pptx
 
Tutor social science
Tutor social scienceTutor social science
Tutor social science
 
Pawat
PawatPawat
Pawat
 
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
 
บทที่ 1 วิธีการทางประวัติศาสตร์ และการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
บทที่ 1 วิธีการทางประวัติศาสตร์  และการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์บทที่ 1 วิธีการทางประวัติศาสตร์  และการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
บทที่ 1 วิธีการทางประวัติศาสตร์ และการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
 
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
 
มังกรหยกแกะสลักยุค
มังกรหยกแกะสลักยุคมังกรหยกแกะสลักยุค
มังกรหยกแกะสลักยุค
 
ศิลปะยุคกลาง
ศิลปะยุคกลางศิลปะยุคกลาง
ศิลปะยุคกลาง
 
ประวัติศาสตร์ โบราณ
ประวัติศาสตร์ โบราณประวัติศาสตร์ โบราณ
ประวัติศาสตร์ โบราณ
 
จารึกอักษรบนกระดองเต่า
จารึกอักษรบนกระดองเต่าจารึกอักษรบนกระดองเต่า
จารึกอักษรบนกระดองเต่า
 

เรื่องยุคประวัติศาสตร์สมัยโบราณ 1

  • 1. เรื่องยุคประวัติศาสตร์สมัยโบราณ จัดทำโดย นำย อภิรัตน์ ก๋ำใจ ม5.1 เลขที่ 3 นำย สุกิจ(อัครวิชช์) จิตตำงกูร ม5.1 เลขที่ 5 นำย ธนดล จันทรำพูน ม5.1 เลขที่ 24 นำย ชนำธิป แสนโชคพำณิชย์ ม5.1 เลขที่ 31 นำย ภูมิบดินทร์ ไชยศรี ม5.1 เลขที่ 32
  • 2. สมัยโบราณ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ คือ ช่วงเวลาที่มนุษย์ยังไม่มีตัวอักษรจดบันทึก เรื่องราวของสังคม นักโบราณคดีเป็นผู้ศึกษาเรื่องราวของสมัยก่อน ประวัติศาสตร์เป็นหลักโดยศึกษาจากซากพิมพ์ดึกดาบรรพ์หรือพิมพ์หิน โบราณสถาน โบราณวัตถุ โครงกระดูก สิ่งของเครื่องใช้ ภาพวาดตามผนังหรือ บนสิ่งของต่างๆ เป็นต้น โดยสมัยก่อนประวัติศาสตร์มีการแบ่งเป็นยุคย่อย คือ ยุคหินกับยุคโลหะ ทั้งนี้ยุคหินยังมีการแบ่งออกเป็นยุคหินเก่า ยุคหินกลาง และ ยุคหินใหม่ ส่วนยุคโลหะก็มีการแบ่งเป็นยุคสาริดกับยุคเหล็กเป็นยุคที่ มนุษย์เริ่มรู้จักนาหินมาปรับใช้เป็นเครื่องมือเครื่องใช้หรืออุปกรณ์และอาวุธ นักโบราณคดีกาหนดให้ยุคหินของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ (สากล) อยู่ ระหว่าง 2.5 ล้านปี ถึงประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว แต่เนื่องจากสิ่งที่เหลือเป็น หลักฐานอยู่จนถึงปัจจุบันมีเพียงชนิดเดียวคือหิน ดังนั้นเราจึงเรียกยุคนี้ว่า ยุค หิน ทั้งนี้ยุคหินตามพัฒนาการเทคโนโลยีการทาเครื่องมือเครื่องใช้ยังแบ่ง ออกเป็น 3 ยุคย่อย คือ ยุคหินเก่า ยุคหินกลาง และยุคหินใหม่ ดังนี้
  • 3. 1. ยุคหิน (Stone Age) • 1.1 ยุคหินเก่า (Paleolithic Period หรือ Stone Age)อยู่ระหว่าง 2,500,000 -10,000 ปี มาแล้ว มนุษย์ในยุคนี้อาศัยอยู่ในถ้าหรือเพิงผา ยังไม่มีความคิดสร้างที่อยู่อาศัยโดยใช้ วัสดุธรรมชาติหรือตั้งรกรากถาวรดารงชีวิตด้วยการล่าสัตว์ หาปลา และเก็บหาผลไม้ ในป่ า เมื่ออาหารตามธรรมชาติหมดก็อพยพไปหาแหล่งอาหารที่อื่นต่อไป มนุษย์ยุค หินเก่ารู้จักประดิษฐ์เครื่องมืออย่างหยาบๆ เครื่องมือที่ใช้ทั่วไป คือ เครื่องมือหิน กะเทาะ ที่มีลักษณะหยาบ ใหญ่ หนา กะเทาะเพียงด้านเดียวหรือสองด้าน ไม่มีการฝน ให้เรียบ มนุษย์ยุคหินเก่ารู้จักนาหนังสัตว์มาทาเป็นเครื่องนุ่งห่ม รู้จักใช้ไฟเพื่อให้ ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ให้แสงสว่าง ให้ความปลอดภัย และหุงหาอาหาร มีการฝังศพ ทาพิธีกรรมเกี่ยวกับการตาย และมีการนาเครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธต่างๆ ของผู้ตาย ฝังไว้ในหลุมด้วย นอกจากนี้มนุษย์ยุคหินเก่ายังรู้จักสร้างสรรค์งานศิลปะ ซึ่งพบ ภาพวาดตามผนังถ้าที่ใช้สีฝุ่ นสีต่างๆ ได้แก่ สีดา น้าตาล ส้ม แดงอ่อน และเหลือง ภาพ ที่วาดส่วนใหญ่เป็นภาพสัตว์ เช่น วัวกระทิง ม้าป่ า กวางแดง เป็นต้น ภาพวาดที่มี ชื่อเสียงของมนุษย์ยุคหินเก่าอยู่ที่ถ้าลาสโกประเทศฝรั่งเศส
  • 4. • 1.2 ยุคหินกลาง (Mesolithic Period หรือ Middle Stone Age) อยู่ระหว่าง 10,000- 6,000 ปีมาแล้ว มนุษย์ยุคนี้รู้จักทาเครื่องมือหินที่มีความประณีตมากขึ้นด้วยการ กระเทาะ ผิวด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้งสองด้านออกให้เกิดความคม ทาให้เครืองมือหิน ในยุคนี้มีรูปทรงที่เหมาะแก่การใช้งานมากขึ้นกว่าเดิม เครื่องมือยุคหินกลางที่พบมีทั้ง เครื่องมือสับ ตัด ขุด และทุบ • หลักฐานเครื่องมือหินของมนุษย์ในยุคหินกลางพบในทวีปยุโรปและทวีปเอเชีย โดย พบครั้งแรกในเวียดนามเรียกว่าวัฒนธรรมฮัวบิเนียน จัดเป็นวัฒนธรรมยุคหินกลาง ของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทยด้วย
  • 5. • 1.3 ยุคหินใหม่ (Neolithic Period หรือ New Stone Age) อยู่ระหว่าง 6,000 -4,000 ปี มาแล้ว มนุษย์ยุคนี้มีความเจริญทางวัตถุมากกว่ายุคหินกลาง รู้จักควบคุมธรรมชาติ มากขึ้น รู้จักพัฒนาการทาเครื่องมือหินอย่างประณีตโดยมีการขัดฝนหินทั้งชิ้นให้เป็น รูปร่างลักษณะต่างๆ เพื่อให้เครื่องมือมีประสิทธิภาพในการใช้สอยมากขึ้นกว่า เครื่องมือรุ่นก่อนหน้านี้ เช่น มีดหินที่สามารถตัดเฉือนได้แบบมีดโลหะ มีการต่อด้าม ยาวเพื่อใช้แผ่นหินลับคมเป็นเสียมขุดดิน หรือต่อด้ามไม้สาหรับจับเป็นขวานหิน สามารถปั้นหม้อดินและใช้ไฟเผา สามารถทอผ้าจากเส้นใยพืชและทอเป็นเชือกทาเป็น แหหรืออวนจับปลา ลักษณะสาคัญอีกประการหนึ่งที่จาแนกมนุษย์ยุคหินใหม่ออกจาก มนุษย์ยุคหินกลางก็คือการที่มนุษย์ยุคนี้รู้จักการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ในระดับที่ ซับซ้อนมากขึ้น เช่น มีการปลูกข้าวและพืชอื่นๆ เช่น ถั่ว ฟัก บวบ และเลี้ยงสัตว์หลาย ชนิดมากขึ้น เช่น แพะ แกะ และ วัว ซึ่งก็คงทั้งไว้ใช้งานและเป็นอาหาร • วัฒนธรรมยุคหินใหม่พบอยู่ทั่วโลก แต่หลักฐานสาคัญที่มีลักษณะโดดเด่น คือ การ สร้างอนุสาวรีย์หิน (Megalithic)ที่มีชื่อเสียง คือ สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) ในประเทศ อังกฤษ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อใช้คานวณเวลาทางดาราศาสตร์ เพื่อพิธีกรรม เพื่อ บวงสรวงดวงอาทิตย์ และเพื่อผลผลิตทางการเพาะปลูก
  • 6. • 2. ยุคโลหะ (Metal Age) เริ่มเมื่อประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว มนุษย์ยุคนี้มีความก้าวหน้า ทางเทคโนโลยีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอันแสดงถึงการพัฒนาความสามารถทางความคิด ด้วยการมีควาสามารถ นาโลหะมาทาเป็นเครื่องมือเครื่องใช้นั่นเอง ในระยะแรกของ ยุคโลหะจะพบว่าพวกเขารู้จักหลอมทองแดงและดีบุกซึ่งเป็นโลหะที่ใช้อุณหภูมิไม่สูง นักในการหลอม ต่อมาจึงพัฒนาความรู้และเทคโนโลยีขึ้นมาจนสามารถหลอมเหล็กได้ ซึ่งการหลอมเหล็กต้องใช้อุณหภูมิสูง นักโบราณคดีจึงแบ่งยุคโลหะออกเป็น 2 ยุคตาม ความแตกต่างของระดับเทคโนโลยีและวัสดุที่นามาใช้ทาเครื่องมือเครื่องใช้ ดังนี้
  • 7. • 2.1 ยุคสาริด (Bronze Age) การเริ่มต้นของยุคสาริดในแต่ละภูมิภาคจะต่างกันไป แต่ ส่วนใหญ่จะเริ่มระหว่างประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว ในช่วงเวลานี้มนุษย์รู้จักนาทองแดง ผสมกับดีบุกหลอมรวมกันกลายเป็นโลหะผสมที่เราเรียกว่า สาริด มาใช้ทาเป็น เครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธที่มีคุณภาพดีกว่าที่ทาจากหินขัดมาก การดารงชีวิตของ มนุษย์ยุคนี้ก็เปลี่ยนไปจากการเป็นชุมชนเกษตรกรรมเล็กๆ กลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ ที่เราเรียกว่าชุมชนเมือง มีการจัดแบ่งความสัมพันธ์ของคนในสังคมตาม ความสัมพันธ์และความสามารถ ซึ่งพัฒนาการนี้ทาให้สังคมมีความมั่นคงและมีการ สั่งสมอารยธรรมได้อย่างรวดเร็วกว่าที่ผ่านมา แหล่งอารยธรรมสาคัญที่มีพัฒนาการ จากสังคมสมัยหินใหม่สู่สมัยสาริด เช่น แหล่งอารยธรรมเมโสโปเตเมียในภูมิภาค เอเชีย-ตะวันตก แหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้าไนล์ในประเทศอียิปต์ แหล่งอารยธรรมลุ่ม แม่น้าสินธุในประเทศอินเดีย และแหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้าฮวงเหอในประเทศจีน เป็นต้น
  • 8. • 2.2 ยุคเหล็ก (Iron Age) เริ่มเมื่อประมาณ 3,200 ปีมาแล้ว เป็นช่วงของการ พัฒนาการทางเทคโนโลยีที่ต่อเนื่องจากยุคสาริด หลังจากที่มนุษย์สามารถนา ทองแดงมาผสมกับดีบุกและหลอมเป็นโลหะผสมได้แล้ว มนุษย์ก็คิดค้นหาวิธีนา เหล็กซึ่งเป็นโลหะที่มีความแข็งและทนทานกว่าสาริดมาทาเป็นเครื่องมือ เครื่องใช้และอาวุธ ด้วยการใช้อุณหภูมิในการหลอมที่สูงกว่าการหลอมสาริด แล้วจึงตีโลหะเหล็กในขณะที่ยังร้อนอยู่ให้เป็นรูปทรงที่ต้องการ เนื่องจากเหล็ก ใช้ทาเครื่องมือเครื่องใช้มีความเหมาะสมกับงานการเกษตรที่ต้องใช้ความ แข็งแรงมากกว่าสาริด และมีความทนทานกว่าด้วย จึงทาให้มนุษย์ยุคเหล็ก สามารถทาการเกษตรได้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้เหล็กยังใช้ทาอาวุธที่มี ความแข็งแกร่งและทนทานกว่าสาริด จึงทาให้สังคมมนุษย์ยุคนี้ที่พัฒนาเข้าสู่ยุค เหล็กและเข้าสู่ความเป็นรัฐได้ด้วยการมีกองทัพที่มีประสิทธิภาพกว่า สามารถ ปกป้องเขตแดนของตนเองได้ดีกว่า ทาให้สังคมเมืองของตนมีความมั่นคง ปลอดภัย และในที่สุดก็สามารถขยายอิทธิพลไปยังดินแดนอื่นๆ ได้ในเวลา ต่อมา
  • 9. สมัยประวัติศาสตร์ของตะวันตก แบ่งออกเป็น 4 ยุค ดังนี้ 1.ยุคโบราณ 1.1 อารยธรรมลุ่มแม่น้าไทกริส-ยูเฟรติสหรือ เมโสโปเตเมีย อารยธรรมลุ่มแม่น้าไทกรีส-ยูเฟรทีสหรือ เมโสโปเตเมีย เป็นอู่ อารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกสมัยโบราณ โดยตั้งอยู่ ระหว่างแม่น้า 2 สาย คือแม่น้าไทกรีส (Tigris) และแม่น้ายูเฟรตีส (Euphrates) ซึ่งปัจจุบันนี้ อยู่ในเขตแดนของประเทศอิรักซึ่งมีกรุง แบกแดด เป็นเมืองหลวง แม่น้าทั้ง 2 สายมีต้นน้าอยู่ในอาร์มีเนีย และเอเซียไมเนอร์ไหลลงสู่ทะเลที่อ่าวเปอร์เซีย บริเวณที่ราบลุ่ม แม่น้าไทกรีส และยูเฟรตีส ตอนล่างเรียกว่าบาบิโลเนีย (Babylonia) เป็นเขตซึ่งอยู่ติดกับอ่าวเปอร์เซีย
  • 10. • อาณาบริเวณที่เรียกว่าเมโสโปเตเมีย อาณาเขตติดต่อดังนี้ • ทิศเหนือ ติดต่อกับ ทะเลดา และทะสาบแคสเปียน • ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ติดต่อกับ คาบสมุทรอาระเบีย ซึ่งล้อมรอบด้วย ทะเลแดง และมหาสมุทรอินเดีย • ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ที่ราบซีเรีย และปาเลสไตน์ • ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ที่ราบสูงอิหร่าน • บริเวณแม่น้า ไทกริส-ยูเฟรติส หรือบริเวณประเทศอิรักในปัจจุบัน ใน อดีตเป็นดินแดนที่มีร่องรอยความเจริญรุ่งเรืองมาก่อน จนกลายเป็นอู่ อารยธรรมของโลก ดินแดนแห่งนี้เป็นเขตที่มีความอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากมีแม่น้า 2 สายมาบรรจบกัน จึงเหมาะต่อการเพาะปลูกและเลี้ยง สัตว์ จึงมีชื่ออีกอย่างว่าหนึ่ง ดินแดนพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์ (The Fertile Crescent) หรือวงโค้วแห่งความอุดมสมบูรณ์ หรือที่รู้จัก กัน คือ ดินแดนเมโสโปเตเมีย
  • 11. ดินแดนเมโสโปเตเมีย • ได้พบหลักฐานที่ยืนยันว่าดินแดนบริเวณนี้เป็นแหล่งอารยธรรมโบราณในแถบ เอเชียไมเนอร์ สองฝั่งแม่น้าทั้งสองเป็นที่ราบอุดมสมบูรณ์ ตั้งแต่ ฝั่งตะวันออกของ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จนกระทั่งที่ไหลลงสู่อ่าวเปอร์เซีย เป็นแหล่งที่มีการเพาะปลูก และเลี้ยงสัตว์ เช่นเดียวกับประเทศอียิปต์ และผู้ที่เข้าครอบครองดินแดนแถบนี้ ส่วนมากจะเป็นพวกเร่ร่อนในทะเลทราย ถ้ากลุ่มใดเข้มแข็งก็มีอานาจปกครองอาณา บริเวณที่อุดมสมบูรณ์ พวกที่อ่อนแอก็จะเร่ร่อนต่อไป หรืออยู่ในอานาจผู้ที่แข็งแรง กว่า การปกครองแต่ละเมืองจึงเป็นแบบนครรัฐ มีอิสระ ชนชาติต่างๆ ที่อาศัยอยู่ใน แถบนี้มีหลายเผ่าพันธุ์ กลุ่มชนต่างๆ ที่สร้างสรรค์อารยธรรมและมีหลักฐานปรากฏอยู่ คือ ชำวสุเมเรียน ชำวแอคคัค ชำวอมอไรต์ ชำวฮิตไทต์ แอสสิเรียน แคสเดีย
  • 12. • 1. ชาวสุเมเรียน (Sumerians) • ชนชาติสุเมเรียน (Sumerian) เป็นชนชาติแรกที่สร้างความเจริญขึ้นในบริเวณ เมโสโปเตเมีย ซึ่งเชื่อกันว่า ชาวสุเมเรี่ยนได้อพยพมาจากที่ราบสูงอิหร่าน และได้มา ตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณตอนล่างสุดของลุ่มแม่น้าไทกริสและยูเฟรติสตรงส่วนที่ติดกับ อ่าวเปอร์เซีย โดยเรียกบริเวณนี้ว่า ซูเมอร์ (Sumer) นักประวัติศาสตร์ถือว่า ซู เมอร์ คือ แหล่งกาเนิดของนครรัฐ (city-state) แห่งแรกของโลก • การตั้งถิ้นฐานเริมแรกของชาวสุเมเรียนนั้นเป็นเพียงหมูบ้านกสิกรรม ต่อมาเมื่อ รวมกันและได้มีการสร้างชลประทานขึ้น ทาให้หมูบ้านได้รวมเป็นศูนย์กลางการ ปกครองในลักษณะของเมือง เมืองที่สาคัญได้แก่ อิเรค (Erech) อิริดู (Eridu) เออร์ (Ur) ลาร์ซา (Larsa) ลากาซ (Lagash) อุมมา (Umma)นิปเปอร์ (Nippur) คิช (Kish) เป็นต้น เมืองต่างๆเหล่านี้มีฐานะ เป็นศูนย์กลางของการปกครองที่ไม่ขึ้นต่อกันที่เรียกว่า “นครรัฐ” โดยแต่ละนครรัฐ ดูแลความเป็นอยู่ของคนในนครรัฐของตน • ความเจริญของอารยธรรมสุเมเรียน ได้แก่
  • 13. • 1.การประดิษฐ์ตัวอักษร อารยธรรมสุเมเรียนเป็นชนชาติแรกในดินแดนเมโสโปเตเมีย ที่รู้จักการประดิษฐ์ตัวอักษรได้เมื่อ300 ปีก่อนคริสต์ศักราช เริ่มแรกตัวอักษรของชาวสุ เมเรียนเป็นตัวอักษรภาพ ต่อมาได้มี การดัดแปลงคิดสัญลักษณ์ต่างๆ ใช้แทนภาพ ทา ให้ง่ายต่อการบันทึกยิ่งขึ้น เครื่องหมายบางตัวใช้แทนเสียงในการผสมคา มีจานวน มากกว่า 350 เครื่องหมาย หลักฐานตัวอักษรของชาวสุเมเรียนพบในแผ่นดินเผา ตัวอักษรเขียนด้วยก้านอ้อในขณะที่ดินเหนียวยังอ่อนตัวแล้วนาไปตากแดดหรือเผาให้ แห้ง ตัวอักษรจึงมีลักษณะคล้ายลิ่ม จึงเรียกว่า อักษรลิ่มหรือคูนิ ฟอร์ม (Cuneiform) เนื่องจากคาว่า Cuneiform มาจากภาษาละติน ว่า Cuneus แปลว่า ลิ่ม • อักษรลิ่มของชำวสุเมเรียน
  • 14. • 2.วรรณกรรม วิธีการเขียนตัวอักษรลิ่มไม่สะดวกต่องานเขียนที่มีขนาดยาวๆ เพราะ แผ่นดินเหนียวแผ่นหนึ่งบรรจุข้อความได้เพียงเล็กน้อย แต่ชาวสุเมเรียนมี วรรณกรรมที่ท่องจาสืบต่อกันมา เช่น นิยาย กาพย์ กลอน ส่วนเรื่องสั้นมีจารึกไว้ใน แผ่นดินเผา งานเขียนส่วนใหญ่เขียนโดยนักบวช จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อศาสนา เป็นส่วนใหญ่ เช่น โคลงสดุดีเทพเจ้า เพลงสวดเป็นต้น วรรณกรรมที่มีชื่อเสียง คือ มหากาพย์กิลกาเมช (Gilgamesh Epic) กล่าวถึงการผจญภัยของกษัตริย์ของนครเออ รุค ซึ่งสันนิษฐานว่าคงมีอิทธิพลต่อพระคัมภีร์เก่าเล่มแรกๆ ของพวกฮิบรู
  • 15. • 3. สถาปัตยกรรม การก่อสร้างของชาวสุเมเรี ยนส่วนใหญ่มักทาด้วยอิฐ ซึ่งทาจากดิน เหนียวที่ตากแห้ง เรียกว่า sun-dried brick หรืออิฐตากแห้ง อิฐบางชนิดเป็นอิฐเผา หรืออบให้แห้ง เรียกว่า baked – brick จะทนทานและป้องกันความชื้นได้ดี กว่าอิฐ ตากแห้งจงใช้ในการก่อสร้างที่ต้องการความมั่นคงถาวร เช่น กาแพงที่นครคิช ที่มี ซากพระราชวังที่ก่อสร้างด้วยอิฐสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงของชาวสุเมเรียน คือ ซิกกู แรต (Ziggurat) ซึ่งมีลักษณะคล้ายพีระมิดของอียิปต์ สร้างขึ้นบนฐานที่ยกสูงจาก ระดับพื้นดินมีบันไดทอดยาวขึ้นไป ข้างบนเป็นวิหารเทพเจ้า พบที่นครเออร์ เป็นซิกกู แรตที่มีฐานยาว 200 ฟุต กว้าง 150 ฟุต สูง 70 ฟุต สันนิษฐานว่าอาจเป็น Tower of Babel หรือเทาเวอร์ ออฟ บาเบิล ตามที่ปรากฏในพระคัมภีร์ของชาวฮิบรู • ซิกกูแรตสถำปัตยกรรมของชำวสุเมเรียน
  • 16. • 4.ปฏิทินและการชั่งตวงวัดปฏิทินของชาวสุเมเรียนเป็นปฏิทินแบบจันทรคติ คือ เดือนหนึ่งมี 29 1/2 วัน ปีหนึ่งมี 12 เดือน แต่ละเดือนแบ่งออกเป็น 4 สัปดาห์ สัปดาห์หนึ่งมี 7-8 วัน ส่วนระบบการชั่ง ตวง วัด ของชาวสุเมเรียนแบ่งออกเป็น ทา เลนท์ (talent) เชเคิล (shekel)และมีนา (mina) ดังนั้น 1 เชคเคิล เป็น 1 มีนา 60 มีนา เป็น 1 ทาเลนท์ (1 มีนา ประมาณ 1 ปอนด์กว่า) เรียกว่าใช้ระบบฐาน 60 ซึ่งมีอิทธิพล ต่อการแบ่งเวลาในปัจจุบัน (คือ 60 วินาที เป็น 1 นาที 60 นาที เป็น 1 ชั่วโมง)
  • 17. • 2.ชาวแอคคัค (Akkad) • เป็นพวกเร่ร่อนเผ่าเซมิติกที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณซีเรียและทะเลทรายอาหรับ ได้เข้า มารุกรานยึดครองพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมโสโปเตเมียเมื่อประมาณ 2,300 ปี ก่อนคริสต์ศักราชโดยมีผู้นาชาวแอคคัดคือ ซาร์กอน (Sargon) ได้ยกทัพยึด ครองนครรัฐของชาวสุเมเรียนในซูเมอร์และรวบรวมดินแดนตั้งแต่ฝั่งทะเลเมดิเตอร์ เนียนไปจนถึงอ่าวเปอร์เซียเข้าเป็นจักรวรรดิแรกในเมโสโปเตเมีย แต่ยึดครองได้ไม่ นานก็ถูกชาวสุเมเรียนล้มล้างอานาจและจัดตั้งนครรัฐขึ้นมาปกครองใหม่
  • 18. • 3. ชาวอมอไรต์ (Amorite) • เป็นชนเผ่าเซเมติกอพยพจากทะเลทรายอาระเบีย เข้ามายึดครองนครรัฐของ ชาวสุเมเรียนและสถาปนาจักรวรรดิ บาบิโลเนียขึ้นเมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อน คริสต์ศักราช โดยมีนครบาบิโลนเป็นศูนย์กลางการปกครอง ซึ่งมีกษัตริย์ที่ สาคัญคือพระเจ้าฮัมมูราบี (Hammurabi) ที่ได้รวบรวมกลุ่มต่างๆ ในเมโสโปเต เมียให้อยู่ภายใต้อานาจการปกครอง ซึ่งผลงานสาคัญของพระองค์คือประมวล กฎหมายฮั มมู ราบี (The Hammura-bi’s Code) เป็นกฎหมายที่ผสมผสาน วัฒนธรรมชาวอาหรับกฎของเผ่าเซมิติกและจารีตประเพณีของพวกสุเมเรียน กฎหมายนี้ครอบคลุมด้านชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคม เศรษฐกิจการถือ ครองที่ดินการทามาหากินและอื่นๆ นอกจากนี้ก็กาหนดบทลงโทษที่เรียกว่า การ ลงโทษแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน (an eye for an eye, and a tooth for a tooth) กล่าวคือ ถ้าผู้ทาผิดทาให้ใครตาบอด ผู้ทาผิดนั้นก็จะถูกลงโทษด้วยการ ถูกทาให้ตาบอดเช่น กันจักรวรรดิบาบิโลเนียถูกชาวฮิตไทต์ (Hittite) รุกรานและ ล่มสลายลงเมื่อ 1,600 ปีก่อนคริสต์ศักราช
  • 20. • 4. ชาวฮิตไทต์ (Hittite) • เป็นชนเผ่าอินโดยูโรเปียนที่ตั้งถิ่นฐานทางตอนใต้รัสเซียได้อพยพขยายตัวมาตาม แม่น้ายูเฟรทีส และเข้าโจมตีทางเหนือของซีเรียและปล้นสะดมกรุงบาบิโลเนียของ พวกอมอไรต์เมื่อประมาณ 1,595 ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกอมอไรต์จึงหมดอานาจลง ช่วงเวลาที่พวกฮิตไทต์มีอานาจในเมโสโปเตเมียนั้นเป็นเวลาเดียวกับที่อียิปต์เรือง อานาจ ทาให้ทั้งสองอาณาจักรทาสงครามแย่งชิงดินแดนเมโสโปเตเมีย ภายหลังสงบ ศึกจึงแบ่งพื้นที่กันยึดครอง กล่าวกันว่าพวกฮิตไทต์มีความสามารถในการรบมาก โดย เป็นชนเผ่าแรกที่นาเหล็กมาใช้ในการทาอาวุธรู้จักใช้ม้ารถเทียมม้าทาให้กองทัพ เข้มแข็งและเคลื่อนที่ได้รวดเร็ว
  • 21. • 5.แอสสิเรียน (Assyrian) • เป็นชนชาตินักรบ มีวินัย กล้าหาญ มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงนิเนเวห์ (Nineveh) ได้สร้างอารยธรรมการสลักภาพนูนต่า ด้านการรบและการล่าสัตว์ มี การสร้างวังขนาดใหญ่ และสร้างห้องสมุดแห่งแรกของโลก โดยพระเจ้าแอสซูรบานิ ปาลที่เมืองนิเนเวห์
  • 22. • 6.แคสเดีย(Chaldea) หรือพวกบาบิโลเนียใหม่ • เป็นชนเผ่าฮีบรู ในสมัยพระเจ้าเนบูคัดเดรดซาร์(Nebuchadrezzar) ได้สร้าง พระราชวังขนาดใหญ่และสร้างสวนพฤกษชาติ บนพระราชวัง เรียกว่า “สวนลอย แห่งกรุงบาบิโลน (Hanging Gardens of Babylon) นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก นอกจากนั้นพวก คาลเดีย ยังมีความรู้เรื่องการชลประทาน ดาราศาสตร์ และคานวณ การโคจรของดวงอาทิตย์ ในรอบปีได้อย่างถูกต้อง