More Related Content
Similar to สตรอเบอร์รี่ (20)
สตรอเบอร์รี่
- 1. สตรอเบอร์รี่ (Strawberry)
สตรอเบอร์รี่ (Strawberry) เป็นพืชในวงศ์กุหลาบ มีผลสุก ที่สามารถรับประทานได้ในอดีตมี
การปลูกไว้เป็นพืชคลุมดินให้กับต้นไม้ชนิดอื่นๆ สตรอเบอรี่ในโลกนี้มีมากกว่า 20 สปีชีส์ และ
มีลูกผสมมากมาย แต่สตรอว์เบอร์รีที่นิยมปลูกมากในปัจจุบันก็คือสตรอว์เบอร์รีสวน (Fragaria
× ananassa) ผลของสตรอว์เบอร์รีมีรสชาติหลากหลายขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ มีตั้งแต่รสหวานจนถึง
เปรี้ยว
สตรอเบอร์รี่ เป็นพืชล้มลุก แตกกิ่งก้านแผ่ปกคลุมดิน ใบจะรวมกันอยู่ 3 ใบใน 1 ก้าน ขอบใบมี
รอยหยัก มีดอกสีขาว สีเหลือง หรือชมพูแล้วแต่สายพันธุ์ ผลมีก้านยาวเชื่อมกับต้น มีกลีบเลี้ยง
บนขั้วของผล เมื่อผลอ่อนจะมีสีขาว เหลืองนวล เมื่อสุกจะเป็นสีชมพู หรือแดง รสชาดเปรี้ยวถึง
หวาน
สายพันธุ์ที่นิยมปลูกในประเทศไทย
พันธุ์พระราชทาน 16
พันธุ์พระราชทาน 20
พันธุ์พระราชทาน 50 (เป็นพันธุ์ที่มูลนิธิโครงการหลวงส่งเสริมให้ปลูก) เป็นพันธุ์ที่เกิด
จากการผสมในประเทศสหรัฐอเมริกา และนาเข้ามาคัดเลือกโดยการผสมตัวเองตั้งแต่ปี พ.ศ.
2536 เจริญเติบโตและให้ผลผลิตได้ดีในสภาพอากาศเย็นปานกลาง ทรงพุ่มปานกลางถึงค่อนข้าง
แน่น ผลผลิตมีคุณภาพดีโดยเฉพาะใกล้สุกเต็มที่ น้าหนักต่อผล 12 -18 กรัม รูปร่างเป็นลิ่มสีแดง
ถึงสีแดงเข้มค่อนข้างแข็ง ไม่ต้านทานต่อไร แต่ต้านทานราแป้งได้ดี
พันธุ์พระราชทาน 70 (เป็นพันธุ์ที่มูลนิธิโครงการหลวงส่งเสริมให้ปลูก) เป็นสายพันธุ์
จากประเทศญี่ปุ่น ใบมีลักษณะกลมใหญ่ และสีเขียวเข้มไม่ทนต่อราแป้ง แต่ทนต่อโรคเหี่ยว ให้
ผลผลิตค่อนข้างสูง น้าหนักต่อผล 11.5 - 13.0 กรัม ผลมีลักษณะทรงกลมหรือทรงกรวย สีแดง
สดใสแต่ไม่สม่าเสมอ เนื้อและผลค่อนข้างแข็ง มีกลิ่นหอม มีความฉ่าและรสชาติหวาน
เปอร์เซ็นต์ความหวาน 9.6° Brix
- 2. พันธุ์พระราชทาน 72 (เป็นพันธุ์ที่มูลนิธิโครงการหลวงส่งเสริมให้ปลูก) เป็นสายพันธุ์
นาเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น ชื่อพันธุ์ TOCHIOTOME ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 น้าหนักต่อผล 14 กรัม
เนื้อผลแข็งกว่าพันธุ์พระราชทาน 70 แต่มีความหวานน้อยกว่าคือ 9.3° Brix มีกลิ่นหอมเมื่อเริ่ม
สุก เนื้อภายในผลมีสีขาว ผิวผลเมื่อสุกเต็มที่จะมีสีแดงถึงแดงจัด เงาเป็นมันที่ผิวผล ทนต่อการ
ขนส่งมากกว่าพันธุ์อื่น
พันธุ์พระราชทาน 80 (เป็นพันธุ์ที่มูลนิธิโครงการหลวงส่งเสริมให้ปลูก ตั้งแต่ปีพ พ.ศ.
2552 เป็นต้นมา) เป็นสายพันธุ์ที่มาจากประเทศญี่ปุ่น ชื่อพันธุ์ Royal Queen ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ
ก้านใบและลาต้นจะมีสีแดงสด ผมมีลักษณะเป็นรูปทรงกรวยสวยงาม ผลมีขนาดปานกลาง
น้าหนักเฉลี่ย 15 กรัม ผลมีกลิ่นหอม รสหวานฉ่า อีกทั้งยังมีความต้านทานต่อโรคและแมลงได้
เป็นอย่่างดี
พันธุ์ 329 (Yale) เป็นพันธุ์ที่กรมส่งเสริมการเกษตรส่งเสริมให้กับเกษตรกรปลูก เป็น
พันธุ์ที่นาเข้ามาจากประเทศอิสราเอล ผลมีขนาดใหญ่กว่าพันธุ์ 80 รูปร่างแบน เนื้อแข็งรสหวาน
อมเปรี้ยว ทนต่อการขนส่งได้ดี
สตรอเบอรี่ พันธุ์ 80 (Royal Queen)
การขยายพันธุ์สตรอเบอร์รี่ ทาได้หลายวิธี เช่น
1. การใช้ไหล ขยายต้นไหลจากต้นแม่พันธุ์
2. การแยกต้น หรือแยกกอจากต้นหลัก
3. การใช้เมล็ด ใช้ในกรณีที่มีการผสมพันธุ์เพื่อให้ได้พันธุ์ใหม่เกิดขึ้น
4. การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นการผลิตเพื่อให้ได้ต้นพันธุ์ที่ปลอดโรคและมีความสมบูรณ์ที่สุด
- 4. * ไม่ควรกลบวัสดุปลูกต้นสตรอเบอร์รี่ลึกเกินไป เพราะจะทาให้เชื้อโรคเข้าทาลายต้นสตรอ
เบอร์รี่ได้ง่าย หรือตื้นเกินไปเพราะทาให้รากแห้งและมีผลต่อการเจริญเติบโตของต้นสตรอเบอร์
รี่ได้ควรกลบวัสดุปลูกในระดับเดียวกับภาพที่แสดงไว้ด้านบน
2. หลังย้ายปลูกสัปดาห์แรกไม่ควรให้ปุ๋ ยเคมี เนื่องจากจะทาให้รากพืชปรับตัวไม่ทันและตายได้
ควรเริ่มให้เมื่อผ่านไปแล้วประมาณ 7 - 10 วัน
3. การให้น้าควรดูวัสดุปลูกเป็นหลัก โดยให้มีความชื้นสม่าเสมอ อย่าให้แฉะหรือแห้งเกินไป
4. ในช่วงที่ปลูกเพื่อต้องการเก็บผล เมื่อต้นสตรอเบอร์รี่สร้างไหลออกมาให้ตัดไหลทิ้งเพื่อ
บังคับให้ต้นสตรอเบอร์รี่สร้างตาดอกและเป็นการรักษาพลังงานของต้นเพื่อไว้เลี้ยงผลอีกด้วย
5. เมื่อต้นสตรอเบอร์รี่ เริ่มสมบูรณ์จะสร้างหน่อขึ้นมาข้างลาต้น ให้ผู้ปลูกไว้หน่อนั้น
ประมาณ 6 - 8 หน่อต่อ 1 ต้น ที่เหลือให้ตัดหรือขุดออกไปปลูกต่อเพื่อไม่ให้กอนั้นแน่นเกินไป
จนกระทบต่อการเจริญเติบโตได้
6. หากเป็นการใช้ระบบน้าหยดให้ตั้งเวลาการให้น้าออกเป็น 4 ช่วง คือ เช้า - สาย - บ่าย - เย็น
7. ช่วงสัปดาห์แรก ของการนาไหลลงปลูกต้องให้น้าค่อนข้างบ่อยในวันหนึ่งอาจจะต้องให้น้า
อย่างน้อย 3 - 4 ครั้งต่อวันโดยสังเกตุที่ตัววัสดุปลูกอย่าให้แห้งหรือแฉะเกินไป และให้นา
กระถางไว้กลางแจ้งที่มีแดด ห้ามนาไปไว้ในที่ร่มไม่โดนแดดเพราะจะทาให้รากเน่าได้ช่วง
สัปดาห์แรกนี้ห้ามใส่ปุ๋ ยเคมีเด็ดขาดเพราะรากสตรอเบอรี่ยังอ่อนและกาลังปรับตัวอยู่ และระวัง
เรื่องน้าที่นามารดด้วยควรหลีกเลี่ยง การใช้น้าที่มีครอรีนสูง เช่นน้าประปา ทาการเด็ดกาบใบ
ล่างของต้นไหลสตรอเบอรี่ออก ให้เลือใบประมาณ 2-3 ใบ วิธีการเด็ดใบล่างออก จะทาให้สต
รอเบอรี่แตกยอดใหม่ได้เร็วและเจริญเติบโตได้เร็วขึ้น
8. หลัง 1 สัปดาห์หลังย้ายปลูกเมื่อสตรอเบอรี่เริ่มมียอดให้ขึ้นมาให้เราเริ่มให้ปุ๋ ย A,B ใน
อัตราส่วน 1 - 2 ซีซี/น้า 1 ลิตร หรือมี ค่า EC อยู่ที่ประมาณ 1.3 - 1.6 ms/cmรดหรือให้กับระบบ
น้าหยด สัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง ช่วงนี้อยู่ที่ 6.0 - 6.3 พร้อมกับคอยตัดแต่งใบล่างที่แห้งออกด้วย
หากช่วงนี้ต้นสร้างไหลออกมาแต่เราต้องการ ปลูกเพื่อเก็บผลให้เราตัดสายไหลดังกล่าวออกไป
ด้วย เพื่อให้อาหารไปเลี้ยงต้นหลักได้อย่างเต็มที่
- 5. 9. หลังครบ 2 สัปดาห์ให้เราเพิ่มปุ๋ ย A,B อัตราส่วน 3 - 4 ซีซี/น้า 1 ลิตร และมีการเสริมปุ๋ ย C
อัตราส่วน 2 ซีซี/น้า 1 ลิตร สัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง หรือมีค่า EC อยู่ที่ประมาณ 1.8 - 2.2 ms/cm ค่า
pH ช่วงนี้อยู่ที่ 6.3 - 6.5 และทาการเด็บกาบใบล่างที่เหลืองหรือที่ไม่ได้รับการสังเคราะห์แสง
ออก
8. เมื่อปลูกไปได้ประมาณ 40 - 60 วันหากต้นมีความสมบูรณ์ และได้รับอากาศเย็นในช่วง
กลางคืน อุณหภูมิประมาณ 12 - 17 องศา C เป็นช่วงอุณหภูมิที่สตรอเบอรี่จะมีความสมบูรณ์ใน
การสร้างตาดอก และเมื่อดอกได้รับการผสมเกสรก็จะมีการติดผลต่อไป รวมระยะเวลาเฉลี่ยใน
การปลูกตั้งแต่ จนเก็บเกี่ยวประมาณ 50 - 60 วันหลังย้ายปลูก ในช่วงที่สตรอเบอรี่เริ่มติดดอกให้
เราจะใช้A,B 3 - 4 ซีซีต่อน้า 1 ลิตร ค่า EC อยู่ที่ประมาณ 1.8 - 2.2 ms/cm และเสริมปุ๋ ย C ลงไป
ในน้าที่ใช้รด ในอัตราส่วน 1 ซีซี/น้า 1 ลิตร และช่วงที่ ติดผลนี้ให้เสริมด้วยปุ๋ ย K ในอัตราส่วน
3 ซีซี/น้า 1 ลิตรให้ไปพร้อมกับน้าที่ใช้รด สัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง ค่า pH ในช่วงนี้อยู่ที่ 6.5 - 6.8
หมายเหตุเพิ่มเติม
1. สตรอบเบอรี่เป็นพืชที่ระบบรากตื้น การให้น้าควรให้อย่างสม่าเสมอต่อวัน โดยให้ไม่มากแต่
ให้บ่อยๆ เพื่อให้รากได้รับความชื้นอย่างเหมาะสม หากมากไปจะทาให้รากเน่า ถ้าน้อยไปจะทา
ให้ต้นหยุดการเจริญเติบโต
2. ศัตรูพืชสาหรับสตรอเบอรี่ได้แก่ เพลี้ยอ่อน, ไรแดง, เพลี้ยไฟ, หนอนกระทู้, ทาก ฯลฯ ให้
เลือกใช้สารสกัดจากธรรมดชาติในการป้องกัน
3. โรคที่เกิดกับสตรอเบอรี่ได้แก่โรค แอนแทรคโนส, โรคใบจุด, โรครากเน่า, โรคที่เกิดจากเชื้อ
ไวรัส ที่มีพาหะมาจากเพลี้ยไฟ หรือเพลี้ยอ่อน
4. กรณีต้นสตรอเบอรี่แตกกอ ออกมาเพิ่มให้ตัดกออกให้เหลือแค่ 3 - 5 กอต่อต้นพอ
- 6. 5. อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของสตรอเบอรี่คือ ช่วงกลางวัน 25 องศา C และช่วง
กลางคืน 18 องศา C
6. การสร้างตาดอก อุณหภูมิต่ากว่า 24 องศา C อุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดคือ 12 องศา c ในด้าน
ช่วงแสงที่น้อยกว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน จะเป็นปัจจัยในการกระตุ้นการพัฒนาตาดอก ช่วงแสงที่
เหมาะสมที่สตรอเบอรี่ควรได้รับคือ 8 ชั่วโมงต่อวัน การปลูกในเขตร้อน เราสามารถสร้างปัจจัย
ดังกล่าวได้โดยช่วงกลางคือ นาต้นสตรอเบอรี่มาวางไว้ในที่มีอุณปภูมิต่ากว่า 18 องศา เป็น
ระยะเวลาติดต่อกัน 2 สัปดาห์ สตรอเบอรี่ก็จะสร้างตาดอกออกมาได้เช่นกัน
โรค แมลง และศัตรูพืชสาหรับสตรอเบอร์รี่
1.โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส
จะแสดงอาการใบหงิก ย่น หรือมีอาการใบด่าง ใบผิดรูปร่าง ใบม้วนขึ้น ต้นเตี้ย แคระแก
รน ข้อสั้น ทรงพุ่มมีใบแน่นขนาดใบเล็กกว่าปกติ ต้นพืชอ่อนแอ ชะงักการเจริญเติบโตและทา
ให้ผลผลิตลดลง
พบว่าแมลงพวกปากดูด ได้แก่ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ และไส้เดือนฝอยบางชนิดเป็นพาหะของโรค
โรคนี้เมื่อเกิดแล้ว ไม่สามารถรักษาให้หายได้นอกจากการป้องกันโดยคัดเลือกกล้าที่ไม่เป็นโรค
ซึ่งเกิดจากต้นแม่พันธุ์ที่ได้จากวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมาปลูก ทาการอบดินเพื่อทาลายไส้เดือน
ฝอยที่เป็นพาหะของโรคไวรัส กาจัดแมลงพวกเพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน ซึ่งเป็นพาหะของโรค เมื่อ
พบว่ามีต้นที่แสดงอาการผิดปกติดังกล่าวให้ขุดออกไปเผาทาลายทันที และการบารุงพืชให้
แข็งแรงอยู่เสมอจะช่วยต้านทานเชื้อโรคได้
การป้องกันกาจัดแมลงพาหะของเชื้อไวรัส
* ใช้สารสกัดสะเดา ฉีดพ่นเพื่อขับไล่และยับยั้งการกินอาหาร การเจริญเติบโตของแมลง ได้แก่
เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ
* ใช้กับดักกาวเหนียวสีเหลือง วิธีการนี้สามารถดักจับตัวเต็มวัยของแมลงศัตรูพืช เช่น เพลี้ยไฟ
ผีเสื้อต่างๆที่เป็นตัวแก่ของศัตรูพืช ทาให้ลดปริมาณศัตรูพืชลงได้ การวางกับดักกาวเหนียวสี
- 7. เหลือง ควรวางให้อยู่ระดับสูงเหนือยอดต้นสตรอเบอรี่ประมาณ 1 ฟุต ในฤดูหนาวซึ่งมีการ
ระบาดของแมลงน้อย อาจวางกับดัก 15 - 20 กับดัก/ไร่ แต่ในฤดูร้อนและฤดูฝน ซึ่งจะมีการ
ระบาดของแมลงศัตรูพืช ควรวางกับดัก 60 - 80 กับดัก/ไร่
2. โรคแอนแทรคโนส (โรคกอเน่า)
เกิดจากเชื้อราคอลเล็คโตตริคัม จะแสดงอาการเริ่มจากแผลเล็กๆ สีม่วงแดงบนไหล แล้ว
ลุกลามไปตลอดความยาวของสายไหล แผลที่ขยายยาวมากขึ้นจะเปลี่ยนเป็นสีน้าตาล รอบนอก
ของแผลเป็นสีเหลืองอมชมพูซีด แผลที่แห้งเป็นสีน้าตาลทาให้เกิดรอยคอดของไหลบริเวณที่
เป็นแผล ต้นไหลอาจจะยังไม่ตาย แต่เมื่อย้ายต้นไหลที่มีการติดเชื้อลงมาปลูกบริเวณพื้นราบ
หากสภาพอากาศเหมาะสมกับ
การเจริญเติบโตของเขื้อ(อากาศร้อนชื้น) สตรอเบอรี่จะแสดงอาการใบเฉาและต่อมาจะเหี่ยว
อย่างรวดเร็ว พบว่าเนื้อเยื่อส่วนกอด้านในมีลักษณะเน่าแห้ง มีสีน้าตาลแดง หรือบางส่วนเป็น
แผลขีดสีน้าตาลแดง และต้นจะตายในที่สุด โรคนี้สามารถเกิดที่ผลสตรอเบอรี่ได้ด้วย พบอาการ
เป็นแผลลักษณะวงรี สีน้าตาลเข้ม แผลบุ๋มลึกลงไปในผิวผล เมื่ออากาศชื้นสามารถมองเห็นหยด
สีส้ม ซึ่งเป็นกลุ่มของสปอร์ขยายพันธุ์ของเชื่อราอยู่ในบริเวณแผล
การป้องกันและกาจัดโรค
ในฤดูกาลผลิตผลสตรอเบอรี่ในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนเมษายน ควรวางแผนจัดการในการ
ผลิต
ต้นไหลให้ปราศจากเชื้อโรคทั้งที่เป็นอาการแบบต่างๆของโรคแอนแทรคโนสที่ปรากฎให้เห็น
ได้แก่ อาการโรคใบจุดดา, ขอบใบไหม้, แผลบนก้านใบ และแผลบนสายไหลตลอดจนต้นไหล
ที่มีการติดเชื้อแบบแฝง โดยที่ต้นไหลยังแสดงอาการปกติ แต่จะตายเมื่อมรการย้ายลงมาปลูก
บริเวณพื้นที่ราบ ในสภาพอากาศเหมาะสมกับการเจริญของเชื้อ
- 8. 3.โรคใบจุด
โรคนี้จะปรากฎกับต้นแม่และต้นกล้า พบอาการระบาดรุนแรงในแปลงที่ปลูกกันมานาน
การควบคุมโรคไม่ดีพอ แปลงที่มีวัชพืชมาก อาการเริ่มแรกจะเห็นแผลขนาดเล็กสีม่วงแก่บน
ใบ ต่อมาแผลขยายขนาด รอบแผลสีม่วงแดง กลางแผลสีน้าตาลอ่อนถึงขาวหรือเทา แผล
ค่อนข้างกลมคล้ายตานก สีอาจเปลี่ยนไปบ้างแล้วแต่ความรุนแรงของโรคและการตอบสนอง
ของพืช อาการอาจปรากฎบนก้านใบ หรือบางครั้งพบอาการที่ผลด้วย
การป้องกันกาจัดโรค
ถ้าพบอาการของโรคที่ใบให้เด็ดใบที่เป็นโรคออกแล้วนาไปเผาทาลาย อย่าทิ้งไว้บริเวณแปลง
ปลูก
เพราะจะทาให้เป็นแหล่งสะสมของโรคต่อไป บารุงพืชให้แข็งแรงในระยะปลูกเพื่อผลิตไหล
อย่าปล่อยให้วัชพืชขึ้นรก
เพราะวัชพืชเป็นแหล่งอาศัยของโรค ควรดูแลความสะอาดของแปลงอยู่เสมอ โดยเฉพาะช่วงฤดู
ฝน
4. โรคเหี่ยว
เป็นผลมาจากอาการรากเน่าโคนเน่า ซึ่งเกิดจากเชื้อราไฟทอปทอร่า จะพบการตายของราก
โดยเริ่มจากปลายรากแล้วลุกลามต่อไปรากแขนงจะเน่าบริเวณท่อน้าท่ออาหารเป็นสีแดง อาการ
เน่าสามารถลามขึ้นไปจนถึงโคนต้น ถ้าหากอาการไม่รุนแรงพืชจะแสดงอาการเพียงแคระแกรน
แต่ถ้าอาการรุนแรงจะเหี่ยวทั้งต้น ใบเป็นสีเหลืองจนถึงสีแดง และทาให้พืชตายได้ภายใน 2 - 3
วัน เมื่อถอนต้นดูพบว่าก้านใบจะหลุดออกจากกอได้ง่าย ท่อลาเลียงภายในรากถูกทาลายจนเน่า
ทั้งหมด
- 9. ศัตรูที่สาคัญของ สตรอเบอรี่
1. ไรสองจุด
เป็นศัตรูที่สาคัญของการผลิตผลสตรอเบอรี่ ไรจะดูดน้าเลี้ยงจากใบสตรอเบอรี่โดยเฉพาะ
บริเวณใต้ใบ ทาให้ผิวใบบริเวณที่ไรดูดทาลายมีลักษณะกร้าน ใต้ใบเปลี่ยนเป็นสีน้าตาลแดง ผิว
ใบด้านบนจะเห็นเป็นจุดด่างขาวเล็กๆ กระจายอยู่ทั่วไป เมื่อการทาลายรุนแรงขึ้น จุดด่างขาว
เล็กๆเหล่านี้จะค่อยๆแผ่ขยายติดต่อกันไปเป็นบริเวณกว้าง จนทาให้ทั่วทั้งใบมีลักษณะเหลืองซีด
ใบร่วง เป็นผลทาให้สตรอเบอรี่ชงักการเจริญเติบโต ต้นแคระแกรน ให้ผลผลิตน้อยลง พบ
ระบาดมากในสภาพอากาศแห้งความชื้นต่า
การป้องกันและกาจัดไรสองจุด
1. การให้น้าแบบใช้สปริงเกอร์จะช่วยลดประชากรไรได้เพราะจะเป็นการชะล้างไรให้หลุดจาก
ใบพืช ชะล้างฝุ่นละอองที่ไรชอบหลบอาศัยอยู่
2. หมั่นทาความสะอาดแปลง ไม่ให้มีวัชพืชขึ้นในแปลงปลูก
3. ไม่ควรปลูกพืชผักโดยเฉพาะ เช่น กระเทียม, ขึ้นฉ่าย แซมในแถวปลูกสตรอเบอรี่ เพราะเป็น
การเพิ่มพืชอาศัยให้ไรสองจุด
2. หนอนด้วงขาว
เป็นหนอนของด้วงปีกแข็ง ตัวสีขาว ปากมีลักษณะปากกัด สีน้าตาลอ่อน เจริญเติบโตจาก
ไข่ที่อยู่
ใต้ดิน จะเริ่มกัดกินรากสตรอเบอรี่ในช่วงปลายฤดูฝน ทาให้รากไม่สามารถดูดน้าได้เมื่อใบคาย
น้าจึงทาให้ใบเหี่ยว รูใบปิด ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่สามารถฟุ้งกระจายเข้าสู่ใบ การ
สังเคราะห์แสงจะลดลง ทาให้ต้นสตรอเบอรี่อ่อนแอ ชงักการเจริญเติบโต เมื่อพบอาการดังกล่าว
ให้ขุดหาหนอนแล้วทาลาย ในการเตรียมแปลงให้ย่อยดินให้ละเอียด โดยเฉพาะพื้นที่เปิดใหม่
ใกล้ป่าหรือใกล้กองปุ๋ ยหมัก ใช้สารเคมีประเภทคลอร์ไพริฟอสราดบริเวณที่พบ สารเคมีดังกล่าว
เป็นสารเคมีกาจัดแมลงประเภทสัมผัสและกินตาย มีพิษตกค้าง 20 - 25 วันในดิน
- 10. 3. เพลี้ยอ่อน
เป็นแมลงปากดูด จะดูดน้าเลี้ยงของใบ ก้านใบ ด้านท้ายลาตัวเพลี้ยอ่อนมีท่อยื่นออกมา 2
ท่อ
ใช้ปล่อยสารน้าหวานเป็นอาหารของเชื้อรา ทาให้พืชสกปรกเกิดราดา พืชสังเคราะแสงได้ลดลง
ทาให้ชงักการเจริญเติบโต ใบหงิกย่น เพลี้ยอ่อนจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มตามส่วนยอดช่อดอกและ
ขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว
* นอกจากศัตรูดังกล่าวแล้ว ยังพบว่าทากและหนูเป็นศัตรูสาคัญที่เข้าทาลายผลสตรอเบอรี่ได้
การติดดอก, ออกผล และ การเก็บเกี่ยว
ต้นสตรอเบอรี่จะเริ่มแทงช่อดอกประมาณเดือนพฤศจิกายน เมื่ออุณหภูมิลดต่าลงและช่วง
แสงของวันสั้นเข้า คือ ประมาณหนึ่งเดือนหลังจากปลูก เมื่อดอกบานมีการผสมเกสรแล้ว
ประมาณหนึ่งเดือน ผลจะเริ่มทยอยแก่พร้อมที่จะเก็บเกี่ยวได้โดยผลสุกมากที่สุดในช่วงเดือน
มีนาคมและจะวายประมาณปลายเดือนเมษายน
สตรอเบอรี่นอกจากเป็นอาหารแล้วยังใช้เป็นสมุนไพรได้เนื่องจากผลสตรอเบอรี่อุดมด้วย
วิตามินซีและธาตุเหล็ก มีคุณประโยชน์ต่อระบบเลือดและหัวใจ ลูกสีแดงสดอุดมด้วยซูเปอร์ไฟ
เบอร์เพคติน ซึ่งสามารถช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลได้ระดับหนึ่ง นอกจากนั้นยังช่วยให้
ระบบทางเดินอาหารทางานได้สะดวก มีสรรพคุณเป็นยาระบายอย่างอ่อน ยาขับปัสสาวะและ
สามารถยับยั้งสารก่อมะเร็งกลุ่มไนโตรซามึนได้(สารกลุ่มนี้กระตุ้นการเกิดมะเร็งใน
ลาไส้) เนื่องจากมีโพลีฟินอลปริมาณสูง
สาหรับการปลูกสตรอเบอร์รี่แบบรากแช่ในสารละลาย
การปลูกสตรอเบอร์รี่แบบรากแช่ในสารละลายนั้นไม่สามารถนาเอาต้นไหลที่ได้จากการ
ปลูกบนดินหรือวัสดุปลูกอื่นๆมาปลูกได้เนื่องจากระบบรากของพืชที่ปลูกแบบรากแช่กับการ
ปลูกในวัสดุปลูกต่างกันถ้านาเอาต้นที่ปลูกแบบวัสดุปลูกมาก่อนมาย้ายลงปลูกแบบรากแช่ใน
สารละลายส่วนใหญ่ต้นเกล้านั้นจะตาย ดังนั้นก่อนปลูกสตรอเบอร์รี่แบบรากแช่ในสารละลาย
นั้นผู้ปลูกต้องมีการเตรียมต้นเกล้าสาหรับการปลูกแบบนี้ก่อน โดยสามารถทาได้2 วิธีคือ
- 12. 1.4 ให้นาต้นไหลที่ทาการตัดแล้วย้ายลงปลูกในแปลงปลูกได้โดยช่วงแรกให้ใช้EC ประมาณ
1.2 - 1.4
1.5 เมื่อปลูกได้ประมาณ 2 สัปดาห์ให้เปลี่ยนน้าในระบบใหม่ และปรับ EC เป็น 1.5 - 1.7
1.6 เมื่อปลูกได้ประมาณ 2 สัปดาห์ให้เปลี่ยนน้าในระบบใหม่ และปรับ EC เป็น 1.7 - 2.0 และ
ให้เลี้ยงด้วย EC ในระดับนี้ไปตลอด และให้ปุ๋ ย C เสริม โดยฉีดพ่น 2 - 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ใน
ระหว่างนี้ถ้าต้องการปลูกเพื่อเก็บผลก็ให้ตัดไหลที่งอกออกมาทิ้งให้หมด เพื่อให้ต้นสะสม
อาหารและมีความสมบูรณ์พร้อมที่จะออกดอก
1.7 เมื่อสตรอเบอรี่ เริ่มติดผลได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ให้เสริมปุ๋ ย K ด้วยการฉีดพ่นสัปดาห์ละ 1 -
2 ครั้ง เพื่อให้ผลสตรอเบอร์รี่สมบูรณ์และเพิ่มน้าตาลให้กับผลมากขึ้น
- 13. ตัวอย่าง การทาต้นไหลเพื่อนาไปปลูกต่อ
2. การเตรียมต้นเกล้าจากการเพาะเมล็ด
สตรอเบอร์รี่เป็นพืชเมืองหนาวที่ ขยายพันธุ์ด้วยการสร้างไหล และการใช้เมล็ด สาหรับ
เมล็ดสตรอเบอร์รี่ที่ใช้ในการปลูกนั้นจะแบ่งการเตรียมเมล็ด ออกเป็น 2 ช่วง ก่อนปลูกคือ
1. ช่วงระยะพักตัว กล่าวคือ ตามธรรมชาติของพืชในเขตหนาวเมล็ดของพืชเหล่านี้เมื่อเข้าสู่ฤดู
หนาวจะมีระยะฟักตัวเพื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในเมล็ดเพื่อให้พร้อมต่อการงอกเมื่อถึงฤดู
และมีปัจจัยที่เหมาะสมต่อการงอก
ดังนั้นเราจะสังเกตุได้ว่าเมล็ดพืชในเขตหนาวถ้าเราเก็บมาใหม่ๆ แล้วนามาเพาะทาไมจึงมี
เปอร์เซ็นต์การงอกต่า นั้นเป็นเพราะว่าเมล็ดเหล่านั้นยังไม่เข้าสู่ระยะฟักตัวเพื่อเปลี่ยนเคมีใน
เมล็ดดังกล่าวมาแล้ว แต่เมื่อเรานาเมล็ดไปเก็บในตู้เย็นหรือที่มีอุณหภูมิตาเป็นระยะเวลาหนึ่ง
แล้วนาเมล็ดนั้นมาเพราะจะทาให้เปอร์เซ็นต์การงอกของเมล็ดนั้นสูงขึ้นกว่าเมล็ดที่ไม่ได้ผ่าน
ระยะฟักตัว โดยสตรอเบอร์รี่มีระยะฟักตัวอยู่ที่ประมาณ 2 - 4 สัปดาห์ ในอุณหภูมิต่ากว่า 7 องศา
เซลเซียส
2. ช่วงระยะเวลาการงอก โดยปกติของเมล็ดสตรอเบอร์รี่เมื่อผ่านระยะฟักตัวมาแล้วประมาณ 2
- 4 สัปดาห์ เมื่อถูกกระตุ้นด้วยปัจจัยการงอก คือ น้า, อุณหภูมิ และอ๊อกซิเจน เมล็ดจะเริ่มงอก
ภายใน 7 - 14 วัน
- 15. 1. นาเมล็ดที่ผ่านการฟักตัวแล้วมาแช่ในน้าสะอาด โดยเทน้าเก่าออกส่วนหนึ่ง และเติมน้าใหม่
เข้าไปแทนทุกวัน สาเหตุที่ต้องทาอย่างนี้คือ เมื่อเราแช่เมล็ดสตรอเบอร์รี่ เมล็ดจะคายเคมีที่ทาให้
น้าเปลี่ยนเป็นสีน้าตาลและมีเมือกออกมาคลุมตัวเมล็ดเอาไว้ถ้าเราไม่เปลี่ยนถ่ายน้าทุกวันจะทา
ให้น้ามีอ๊อกซิเจนต่า และเมล็ดจะเน่าได้
2. หลังจากผ่านไปประมาณ 7 วัน จะมีรากเล็กๆ สีขาวยาวประมาณ 1 - 2 มิลลิเมตร งอกออกมา
จากเมล็ด ในช่วงนี้เมล็ดจะมีการคายเมือกหุ้มเมล็ดออกมามากทาให้เมล็ดที่แช่เกาะกันเป็นกลุ่ม
ให้เราใช้ตะเกียบ ค่อยๆคนให้เมล็ดแยกออกจากกัน จากนั้นให้แยกเมล็ดที่งอกออกมานาไปเพาะ
ในฟองน้าเหมือนกับการปลูกสลัดในระบบไฮโดรฯ ต่อไป
3. อนุบาลเกล้าสตรอเบอร์รี่ในถาดอนุบาลด้วยน้าเปล่า (วันที่ 1 - 7) คอยรักษาระดับน้าให้อยู่
ประมาณ 2 ส่วน 3 ของก้อนฟองน้า และให้โดยแสงราไรอย่าให้โดนแดดโดยตรง
4. เมื่ออนุบาลครบ 7 วันก็เริ่มให้ปุ๋ ย อ่อนๆ ด้วยใช้EC ประมาณ 0.8 - 1.1 เมื่อครบ 14 วันก็ย้าย
ลงแปลงปลูกได้โดยใช้EC ที่ 1.2 - 1.4 จนครบ 1 เดือน ก็ปรับ EC เป็น 1.5 - 1.7 (ให้เปลี่ยนน้า
ทุกๆ 2 สัปดาห์) และให้ปุ๋ ย C เสริม โดยฉีดพ่น 2 - 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ในระหว่างนี้ถ้าต้องการ
ปลูกเพื่อเก็บผลก็ให้ตัดไหลที่งอกออกมาทิ้งให้หมด เพื่อให้ต้นสะสมอาหารและมีความสมบูรณ์
พร้อมที่จะออกดอก
5. เมื่อสตรอเบอรี่ เริ่มติดผลได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ให้เสริมปุ๋ ย K ด้วยการฉีดพ่นสัปดาห์ละ 1 - 2
ครั้ง เพื่อให้ผลสตรอเบอร์รี่สมบูรณ์และเพิ่มน้าตาลให้กับผลมากขึ้น
หมายเหตุ
1. ค่า pH ที่เหมาะสมสาหรับสตรอเบอร์รี่ อยู่ที่ 6.0 - 6.8 และ EC สาหรับต้นที่โตแล้วอยู่ที่ 1.7 -
2.3
2. ควรเปลี่ยนน้าใหม่ทุกๆ 2 สัปดาห์
3. ควรฉีดพ่นปุ๋ ย C และสารกาจัดและป้องกันโรคและแมลง ทุกๆ 7 - 10 วัน