More Related Content Similar to อารยธรรมอินเดีย Similar to อารยธรรมอินเดีย (19) อารยธรรมอินเดีย3. ที่ตั้ง(แหล่งกำ เนิด) : ลุ่มแม่น้ำสินธุ ทำงตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียโบรำณ
(ปัจจุบันส่วนใหญ่อยู่ที่ประเทศปำกีสถำน)
ชื่อสินธุ: ภำษำสันสกฤต เป็นท่มีำของคำ ว่ำอินเดีย
4. - ที่รำบลุ่มกว้ำงใหญ่
- เกิดจำกเทือกเขำในทิเบตทำงเหนือ
- มีแม่น้ำสำขำจำ นวนมำกไหลลงทะเลอำหรับ
- อุดมสมบูรณ์
- ติดต่อกับดินแดนเมโสโปเตเมีย
5. Group A Group B
Class 1 82 95
Class 2 76 88
Class 3 84 90
• First bullet point here
• Second bullet point here
• Third bullet point here
-อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่โลหะจำ พวกทองคำ และสำ ริด
- เป็นแบบลมมรสุม
- ฤดูร้อน : มีลมที่พัดตำมมหำสมุทรอินเดียทำ ให้ฝนตกทำงเหนือ
- ฤดูหนำว : มีลมที่พัดผ่ำนมหำสมุทรอินเดียทำ ให้ที่รำบลุ่มแม่น้ำคงคำมีฝนตกชุก
ที่รำบลุ่มแม่น้ำสินธุและที่รำบสูงภำคกลำงแห้งแล้ง
*กำรเกษตรใช้น้ำจำกแม่น้ำเป็นหลัก
6. TWO CONTENT LAYOUT
WITH SMARTART
มีผลต่อควำมเป็นมำของประวัตศิำสตร์และอำรยธรรม
• First bullet point here
- • Second ทิศเหนือ : bullet มีเทือกpoint เขำหิมำhere
ลัยขนำนยำวเป็นพGroup
รมแดน
• Task 1
• Task 2
- • Third ทิศตะวัbullet นตกเฉียpoint งเหนือ here
: ที่รำบลุ่มแม่น้ำสินธุและA
ทะเลทรำยธำร์ที่แห้งแล้ง
- ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ : ที่รำบลุ่มแม่น้ำคงคำและแม่น้ำGroup
สำขำ
• Task 1
- ทิศใต้: ลุ่มแม่น้ำสินธุ ที่รำบสูงเดกกันที่ขนำบข้ำงด้วยเทือกเขำB
ฆำตฝั่งตะ• วัTask นตกและ
2
Group
C
ตะวันออก ซึ่งขนำนกับชำยฝั่งทะเล
*ปัจจัยทั้งหมดนี้ทำ ให้อินเดียแบ่งออกเป็นส่วนเพรำะติดต่อกันลำ บำก
*อินเดียมักถูกรุกรำนจำกชำติอื่นทำงงช่องเขำไคเบอร์(Kyber)และช่องเขำโบลัน(Bolan)ตั้งแต่สมัยโบรำณ
7. สองฝั่งของแม่น้ำสินธุ พบแหล่งโบรำณคดีกว่ำ60แห่ง เมืองที่สำ คัญและเป็นสูนย์กลำงของอำรยธรรมคือ
เมืองฮำรัปปำ(Harappa)ในแคว้นปัญจำบ และ เมืองโมเฮนโจดำโร(Mohen jodaro)ในแคว้นซินด์
โดยที่เมืองทำ สองเมืองนี้ได้แสดงถึงควำมเจริญของชำวสินธุเนื่องจำกมีกำรแบ่งพื้นที่อย่ำงเป็นสัดส่วนพบ
อำคำรบ้ำนเรือน ป้อมปรำกำรที่ประกอบพิธีทำงศำสนำ ถนน ห้องน้ำแบบยืนอำบ(ไม่พบในที่อื่น) รูปปั้นดินเผำ ฯ
ชนเผ่ำพื้นเมือง : ชำวทรำวิฑ หรือ ดรำวิเดียน(Dravidian)(อยู่ก่อนที่ชำวอำรยันจะอพยพเข้ำมำ)
8. - ทำ จำกเขำสัตว์ กระดูกสัตว์ หินและสำ ริด
- พบดวงตรำกับเครื่องประดับต่ำงๆคล้ำยกับดินแดนเมโสโปเตเมีย จึงเชื่อว่ำทั้ง2ดินแดนติดต่อ
ค้ำขำยกัน
- พบดวงตรำที่เป็นรูปพระศิวะท่ถีูกล้อมรอบด้วย เสือ สิงห์ กระทิง แรด และพบศิวลึงค์
*ทั้งหมดนี้แสดงถึงศิลปกรรมต่ำงๆที่มีควำมละเอียดและประณีต
*พบแผ่นประทับตรำลวดลำยคนและสัตว์ และจำรึกตัวอักษรท่ยีังไม่มีใครอ่ำนออก
9. - แสดงถึงควำมเจริญ
- มีกำรนำฝ้ำยมำทำ เป็นเครื่องนุ่งห่ม
- มีเครื่องประดับหลำยชนิดที่ทำ ด้วย ทองคำ เงิน งำช้ำง ทองแดง หินที่มีค่ำ เช่น
สร้อยคอ ต่ำงหู แหวน กำ ไลแขน กำ ไลข้อเท้ำ
10. มี 2 สำเหตุสำ คัญคือ 1.น้ำท่วมและพำยุทรำย 2.กำรรุกรำนของชนเผ่ำอินโด-อำรยันชนเผ่ำอำรยัน
- เดิมอยู่ที่ทะเลสำบแคสเปียน
- มีรูปร่ำงสูงใหญ่ ผิวขำว จมูกโด่ง
- เป็นพวกกึ่งเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์
- เมื่อเข้ำมำรุกรำนทำ ให้ชำวดรำวิเดียนต้องอพยพไปทำงใต้ บำงส่วนแต่งงำนกับชำวอำรยัน หรือไม่ก็กลำยเป็น
ทำส เป็นเหตุให้เกิดกำรแบ่งชนชั้นวรรณะในอินเดียในเวลำต่อมำ
- อำชีพสำ คัญคือกำรเลี้ยงปศุสัตว์ วัวเป็นสิ่งที่แสดงถึงควำมมัง่มี
11. - กำรรวมกลุ่มเริ่มจำก ครอบครัว ญำติ และชนเผ่ำ
- สินค้ำส่งออกที่สำ คัญที่ส่งไปยังอียิปต์และเมโสโปเตเมียคือ ผ้ำไหม เครื่องเทศ น้ำหอม
- นิยมจัดงำนเลี้ยง มีกำรดื่มของมึนเมำ และมีกำรเล่นดนตรี
- เชี่ยวชำญกำรรบ กำรผลิตอำวุธโดยเฉพำะธนู
- สร้ำงรถม้ำที่เบำและเคลื่อนที่ได้เร็วได้
*นับจำกสมัยอำรยันจะปรำกฏหลักฐำนที่ทำ ให้สำมำรถศึกษำอำรยธรรมต่ำงๆของอินเดียได้มำกขึ้น
12. คัมภีร์พระเวท (เก่ำแก่ท่สีุดของอินเดีย) กล่ำวว่ำ แต่ละชนเผ่ำเป็นอิสระ ไม่ขึ้นต่อกัน
แต่ละเผ่ำมีรำชำเป็นผู้ปกครองแต่ไม่ได้มีสิทฺธ์ิขำด อำ นำจกำรปกครองจะขึ้นอยู่กับท่ปีระชุมเผ่ำซึ่ง
ประกอบด้วยสภำกับสมติิ และผู้ท่จีะดำ รงตำ แหน่งรำชำก็จะต้องผ่ำนควำมเห็นชอบจำกท่ปีระชุมนี้ก่อน
ต่อมำเมื่อชนเผ่ำอำรยันขยำยตัวออกไปทำง
ตะวันออก ทำงเหนือ และลุ่มแม่น้ำคงคำ จึงมีกำร
รวมตัวกันเป็นเมือง ดำเนินกำรปกครองแบบรำชำธิป
ไตย กษัตริย์เปรียบเหมือนสมมุติเทพเป็นดั่งสมมุติ
เทพ สภำกับสมิติจึงหมดควำมสำ คัญไป
15. 1.สมัยมหำกำพย์(900-600B.C.)
มีอยู่2 เรื่องคือ
1. รำมำยณะ หรือ รำมเกียรต์ิ(ของไทย) แต่งโดย ฤำษีวำลมิกิ
2.มหำภำรตะ แต่งโดย ฤำษีวยำสะ เป็นวรรณคดีที่สะท้อนสภำพกำรปกครอง สังคม เศรษฐกิจ
ของชำวอำรยันในสมัยนั้นได้เป็นอย่ำงดี รวมถึงยังแสดงให้เห็นถึงอำรยธรรมอันรุ่งเรืองที่
สืบทอดมำถึงปัจจุบัน
ศำสนำของชำวอำรยันในสมัยแรกๆคือ กำรบูชำยัน บูชำภูตผีปีศำจ และอำ นำจทำง
ธรรมชำติ ต่อมำจึงบูชำรูปปั้นของเทวะและเทวี โดยที่มีเทพเจ้ำสูงสุดคือพระอินทร์ ซ่งึต่อมำได้
กลำยมำเป็นต้นแบบของศำสนำฮินดู
17. 1.สมัยจักรวรรดมิคธ (600B.C.)
อยู่บริเวรตะวันออกของลุ่มน้ำคงคำ เป็นแคว้นที่มีอำ นำจมำกที่สุดในศตวรรษที่6
ก่อนคริสต์ศักรำช กษัตริย์ที่มีชื่อเสียง 2 พระองค์คือ
1. พระเจ้ำพิมพิสำร 2. พระเจ้ำอชำตศูตร
ทั้งสองพระองค์ได้อุปถัมภ์พระพุทธศำสนำเป็นอยำ่งมำกจนเผยแผ่พระพุทธศำสนำไปได้
อย่ำงกว้ำงไกกล และยังขยำยอำณำจักรอย่ำงกว้ำงขวำง จนปรำกฏเป็นอำณำจักรใหญ่ครั้งแรก
ของอินเดีย ในกำรปกครองกษัตริย์มีอำ นำจสูงสุด มีผู้ช่วย 3ฝ่ำย คือ ฝ่ำยบริหำร ฝ่ำยตุลำกำร
และฝ่ำยกำรทหำร รวมเรียกว่ำ มหำมำตระ กำรเกษตรเป็นอำชีพหลักของประชำชน
18. 2.สมัยจักรวรรดเิมำรยะ(กลำงศตวรรษที่4 ก่อนคริสต์ศักรำช)
ขึ้นปกครองหลังจำกรำชวงศ์นันทะของมคธเสื่อมอำ นำจลง ครอบคลุมพื้นที่ภำคเหนือของ
อินเดียในปัจจุบันจัดระเบียบกำรปกครองโดยกำรรวมอำ นำจไว้ที่กษัตริย์และเมืองหลวง กษัตริย์มี
อำ นำจสูงสุดในกำรบริหำร มีเสนำบดี(ข้ำรำชกำรระดับสูง)และสภำแห่งรัฐ(สภำที่ปรึกษำ) ช่วยในเรื่อง
ของกำรตรำกฎหมำย กำรศำล และกำรทหำร และสมำชิกทั้งสองสภำนี้กษัตริย์จะเป็นผู้แต่งตั้ง
และจะควบคุมเมืองต่ำงๆด้วยกำรตั้งหน่วยงำนกระจำยอยุ่ทัว่ไป ควำมเจริญเห็นได้จำกกำรสร้ำงถนน
เชื่อมหัวเมือง กำรสำ รวจสำ มะโนประชำกร กองทัพขนำดใหญ่ ระบบชลประทำน หน่วยสืบรำชกำรลับ
ใบผ่ำนทำงคนต่ำงชำติ และกำรสร้ำงมหำวิทยำลัยหลำยแห่ง กษัตริย์ที่มีชื่อเสียงคือ พระเจ้ำอโศก
มหำรำช ทรงนับถือ ทำ นุบำ รุงพระพุทธศำสนำ ทรงนำหลักธรรมมำใช้บริหำรบ้ำนเมือง ให้สิทธิในกำร
นับถือศำสนำของประชำชน และปลดข้อห้ำมบำงอย่ำงในศำสนำพรำหมณ์ แต่เมื่อสิ้นสมัยของ
พระองค์ สมัยของจักรวรรดิเมำรยะก็สิ้นสุดลงอย่ำงรวดเร็ว
19. 3.สมัยกำรแบ่งแยกและกำรรุกรำนจำกภำยนอก (ประมำณ 183 ปีก่อนคริสต์ศักรำช-ค.ศ.300)
กำรเสื่อมของรำชวงศ์เมำรยะ มีผลกระทบต่ออินเดีย 2 ประกำร คือ
1.อำณำจักรน้อยใหญ่แยกตัวไปอย่ำงอิสระ 2.เกิดกำรรุกรำนจำกภำยนอก
แต่กำรรุกรำนจำกภำยนอกนี้กำรส่งผลให้เกิดกำรขยำยตัวทำงกำรค้ำ และควำม
หลำกหลำยทำงวัฒนธรรม โดยชนต่ำงชำติจะเข้ำมำทำงภำคตะวันตกเฉียงเหนือและภำคเหนือ
ชนชำติเหล่ำนี้ได้แก่ กรีก อิหร่ำน(เปอร์เซีย) ศกะ และกุษำณะ ทั้งหมดนี้ถึงจะเป็นชนชำติ
ปกครองแต่ก็ได้รับวัฒนธรรมอินเดยีมำเป็นของตนเอง และเกิดกำรถ่ำยทอดวัฒนธรรมของ
ตนเองให้ โดยเฉพำะ ปรัชญำ วิทยำกำร ศิลปกรรมบำงแขนง ได้แก่ สถำปัตยกรรมและ
ประติมำกรรม ในสมัยนี้แคว้นที่มีอำ นำจคือ คันธำระ กษัตริย์ที่มีชื่อเสียงคือ พระเจ้ำกนิษกะ ทรง
นับถือพระพุทธศำสนำนิกำยมหำยำน และเผยแผ่ศำสนำไปยังจีน ทิเบต และญ่ปีุ่น
20. 4.สมัยจักรวรรดคิุปตะ(ค.ศ.320-535)
กำรแบ่งแยกทำงกำรเมอืงทำงภำคเหนือยุติลง(คริสต์ศตวรรษที่2) เมื่อพระเจ้ำจันทรคุปต์ที่1
แห่งรำชวงศ์คุปตะปรำบปรำมและรวบให้เข้ำมำอยู่ใต้กำรปกครองเดียวกัน และตั้งกรุงปำฏลีบุตรเป็น
รำชธำนี ยุคนี้ได้รับกำรยกย่องว่ำเป็นยุคทองของอินเดีย เนื่องจำกพระเจ้ำจันทรคุปต์ท่1ี ทรงพยำยำมที่
จะฟื้นฟูอำณำจักรวรรดิมคธให้รุ่งเรื่องอีกครั้งหนึ่ง นอกจำกศิลปะและวรรณคดีแล้ว ยุคนี้ยังเป็น
ศูนย์กลำงทำงกำรศึกษำ มีมหำวิทยำลัยมำกมำย เช่น มหำวิทยำลัยนำลันทำ มหำวิทยำลัยพำรำณสี
มหำวิทยำลัยอะชันตำ มีเมืองสำญจี เป็นศูนย์กลำงกำรศึกษำพระพุทธศำสนำ มีกำรทำ สบู่และซีเมนต์
กำรแพทย์มีวิธีละเทคนิคในกำรรักษำสูงโดยเฉพำะกำรผ่ำตัด ซ่งึชำวยุโรปได้นำไปใช้ด้วย ในสมัยนี้ถึงแม้
กษัตริย์จะนับถือศำสนำพรำหมณ์แต่ก็อุปถัมภ์พุทธศำสนำเป็นอย่ำงดีมีกำรเผยแผ่และรับเอำศำสนำพุทธ
เข้ำมำด้วย หลังสิ้นสมัยพระเจ้ำจันทรคุปต์ที่2 รำชวงศ์คุปตะกับเสื่อมอำ นำจและสิ้นสดุลงในท่สีุด
21. 5.หลังสมัยจักรวรรดิคุปตะ(ปลำยคริสต์ศตวรรษที่5 เป็นต้นมำ)
หลังจำกที่รำชวงศ์คุปตะเสื่อมอำ นำจลงไปต่ำงชำติก็เข้ำมำรุกรำน อินเดียทำงเหนือ
แบ่งเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย มีรำชวงศ์ต่ำงๆเข้ำมำปกครอง เช่น รำชวงศ์ปำละ และ รำชวงศ์
ซ่งึเป็นรำชวงศ์สุดท้ำยก่อนท่มีุสลิมจะยึดครอง
ชนต่ำงชำติท่เีข้ำมำในอินเดียทำงเหนือส่วนใหญ่นับถือศำสนำ พรำหมณ์-ฮนิดู ทำ ให้สิ่ง
ที่เกี่ยวข้อกับพระพุทธศำสนำถูกทำ ลำย แต่ทำงตอนใต้นั้นพระพุทธศำสนำยังคงร่งุเรือง จนถึง
คริสต์ศตวรรษที่4-9 ซึ่งเป็นช่วงที่เรืองอำ นำจของรำชวงศ์ปัลลวะ(เริ่มท่คีริสต์ศตวรรษที่3)
ชำวปัลลวะนับถือศำสนำพรำหมณ์-ฮินดู ศำสนำพุทธและศำสนำเชนจึงค่อยๆเสื่อมลง
23. 3.สมัยมุสลิม(ปลำยคริสต์ศตวรรษที่10-คริสต์ศตวรรษที่19)
มุสลิมที่เข้ำมำรุกรำนอินเดีย คือมุสลิมเชื้อสำยเติร์กจำกเอเชียกลำง ซึ่งเข้ำมำปกครองลุ่ม
น้ำสินธุในตอนปลำยคริสต์ศตวรรษที่10 โดยใช้อัฟกำนิสถำนเป็นฐำนท่ขียำยอำ นำจเข้ำไปใน
อินเดีย พวกเติร์กตั้งรำชวงศ์ปกครองอินเดียภำคเหนือ โดยมีเมืองเดลีเป็นเมืองหลวง
(ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่13 เป็นต้นมำ)
พวกเติร์กเผยแผ่ศำสนำอิสลำมโดยกำรปรำบปรำมและบังคับให้คนอินดียเปลี่ยนศำสนำ
ทำ ลำยศำสนสถำนของศำสนำอื่น ประกำศให้อิสลำมเป็นศำสนำประจำ ชำติ และเก็บภำษีจำก
รำษฎรท่ไีม่ใช่มุสลิมในอัตรำสูง เรียกว่ำ ภำษีจิซยำ(jizya) ส่งผลให้สังคมแตกแยก เป็นควำม
ขัดแย้งรุนแรงระหว่ำงฮินดูและมุสลิมมำจนถึงปัจจุบัน
24. กำรเข้ำมำของศำสนำอิสลำมทำ ลำยพระพุทธศำสนำและศำสนำพรำหมณ์-ฮินดูอย่ำงมำก เช่น กำร
ทำ ลำยมหำวิทยำลัยนำลันทำ และเพรำะเหตุนี้จึงทำ ให้เกิดศำสนำใหม่ที่เป็นกำรผสมระหว่ำงศำสนำพรำหมณ์-
ฮินดูและศำสนำอิสลำม เรียกศำสนำใหม่นี้ว่ำ ศำสนำสิข (ค.ศ.1469)โดยมีผู้ก่อตั้งคือ ท่ำนคุรุนำนัก และมี
ศูนย์กลำงอยู่ที่แคว้นปัญจำบ
ในต้นคริสต์ศตวรรษที่16 พวกมุคัลล้มอำ นำจของสุลต่ำนแห่งและสถำปนำรำชวงศ์มุคัลขึ้นมำ ปกครอง
อินเดียระหว่ำงค.ศ.1526-1857 จนตกเป็นอำณำนิคมของอังกฤษในปลำยคริสต์ศวรรษที่19
กษัตริย์ที่มีชื่อเสียงในรำชวงศ์มุคัลคือ พระเจ้ำอักบำร์มหำรำช(Akbar the Great ค.ศ.1556-1605) ทรงได้รับ
กำรยกย่องจำกประชำชนว่ำเป็นมหำรำช ถึงแม้ว่ำพระองค์จะเป็นมุสลิมแต่ทรงให้สิทธิในกำรนับถือศำสนำและให้
ควำมเสมอภำคต่อชำวฮินดู เช่น กำรยกเลิกภำษีจิซยำ รวมถึงให้เข้ำรับรำชกำรในรำชสำ นักได้อีกด้วย
25. กำรเข้ำมำของศำสนำอิสลำมได้ฝังรำกลึกในอินเดียเห็นได้จำกกำรที่ประเทศปำกีสถำนที่ในอดีตเคย
เป็นส่วนหนึ่งของอินเดียได้ใช้ศำสนำอิสลำมเป็นศำสนำประจำ ชำติ
แต่ถึงศำสนำอิสลำมจะมีข้อดีในกำรให้ควำมเสมอภำคอย่ำงเท่ำเทียมของทุกคนแต่ว่ำส่วนใหญ่แล้วชำวฮินดูก็ยัง
นับถือศำสนำฮินดูอยู่ดีเพรำะเชื่อว่ำกำรปฏิบัติหน้ำที่ตำมวรรณจะทำ ให้ได้เกิดในสถำนะที่ดียิ่งขึ้นในชำติหน้ำ
ต่อมำในสมัยพระเจ้ำออรังเซบ(Aurangzeb ค.ศ.1658-1707) ได้กลับมำบีบคั้นคนที่นับถือศำสนำ
ฮินดูอีกครั้งเช่น มีกำรเก็บภำษีจิซยำ และปลดข้ำรำชกำรชำวฮินดูออก เป็นกำรจุดชนวนให้เกิดกำรกบฏหลำย
ครั้ง จนหลังหมดสมัยพระเจ้ำออรังเซบ รำชวงศ์มุคัลอ่อนแอลงเรื่อยๆ เมื่ออังกฤษเข้ำมำในอินเดียในยุค
จักรวรรดินิยม รำชวงศ์มุคัลทำ สงครำมแพ้เรื่อยมำจนสุดท้ำยก็ตกอยู่ภำยใต้กำรปกครองขององักฤษ
โดยตรงในค.ศ.1858
27. 2.ปรัชญำและลัทธิศำสนำของสังคมอินเดีย
อินเดียเป็นแหล่งกำ เนิดศำสนำสำ คัญหลำยๆศำสนำในโลกตะวันออก โดยท่หีลัก
คำ สอนของพุทธศำสนำและศำสนำเชน เป็นผลมำจำกกำรไตร่ตรองอย่ำงลึกซึ้งทำง
ปรัชญำ เพื่อหำสัจจะกำรดำ เนินชีวิต และหลุดพ้นจำกกำรเวียนว่ำยตำยเกิด ส่วนหลัก
ของศำสนำพรำหมณ์-ฮินดู เป็นกำรคิดค้นสร้ำงระบบปรัชญำเพื่อสนับสนุนควำมเชื่อ
และควำมศรัทธำท่มีีตอ่พระเจ้ำ เป็นกำรอธิบำยอุดมคตทิำงจริยธรรม และถือว่ำกำร
บวงสรวงเทพเจ้ำเป็นศำสนกิจท่สีำ คัญท่ตี้องปฏิบัติ
29. ควำมเกี่ยวข้อง : ควำมเชื่อศำสนำ
เริ่มปรำกฏหลักฐำน : อำรยธรรมลุ่มน้ำสินธุ 2500 B.C ต่อมำชำวอำรยันเข้ำมำ แต่ไม่ได้ปรำกฏ
หลักฐำนงำนทำงศิลปะ วิวัฒนำกำรทำงศิลปจึงขำดหำยไปเป็นเวลำเกือบ 1000 ปี
จนถึงสมัยพุทธกำลจึงได้ ปรำกฏหลักฐำนทำงศิลปะที่ชัดเจนขึ้นทำงภำคตะวันตกเฉียงเหนือ
แถบลุ่มน้ำสินธุ ได้รับอิทธิพล จำกจักรวรรดิเปอร์เชียและศิลปะแบบเฮลเลนิสติกของกรีท
ศิลปะภำยนอก : - สมัยแรกรำชวงศ์เมำรยะ พระพุทธศำสนำเป็นแรงบันดำลใจ
- รำชวงศ์คุปตะ เป็นช่วงที่เป็นยุคทองทำงศิลปะของอินเดีย จนกระทั้งหลังจำก
คริสต์ศตวรรษที่ 12-13 แบบอย่ำงของอิสลำมได้เข้ำมำแพร่ขยำย
31. รำชวงศ์คุปตะ และหลังจำกนั้น : เป็นแบบควบคู่ พระพุทธศำสนำ ละพรำหมณ์-ฮินดู
สมัยมุสลิม : กำรผสมระหว่ำงศิลปะฮินดู และเปอรร์เซีย เช่น สุสำนตำชมะฮัล
เป็นสถำปัตยกรรมหินอ่อนที่มีชื่อเสียงมำก สร้ำงในสมัยพระเจ้ำชำห์จะฮำน
32. รำชวงศ์เมำรยะ (ประติมำกรรมรุ่นแรกๆ) : ประติมำกรรมลอยตัวขนำดใหญ่ สลักจำกหิน มีรูปร่ำงหนักแข็ง
กระด้ำง แสดงท่ำหยุดนิ่ง ส่วนประติมำกรรมภำพเป็น
ลักษณะสลักนูนต่ำ ส่วนเนื้อหำ เกี่ยวกับทำงด้ำนศำสนำ
.
พระพุทธรูปสมัยแรก : แบบคันธำระรับอิทธิพลจำกศิลปะกรีทพบมำกในที่รำชวงศ์กุษำณะปกครอง
.
ศิลปะมถุรำ : ผสมแบบคันธำระกับลักษณะพื้นเมือง
.
ศิลปะแบบอมรำวดี : แบบผสมของกรีท
สมัยคุปตะ : แสดงลักษณะอินเดียที่แท้จริง มีทั้งพระพุทธรูปเทวรูปในศำสนำพรำหมณ์-ฮินดู มักมีขนำดใหญ่โต
.
หลังจำกสมัยคุปตะ : เริ่มสร้ำงตำมกฏเกณฑ์มำกขึ้นไม่ค่อยเป็นธรรมชำติ
33. รำชวงศ์เมำรยะ : ส่วนใหญ่สูญหำยไปหมดเพรำะเป็นจิตกรรมเก่ำท่สีุดปัจจุบันที่ยังเหลือพบ
ท่เีพดำนถ้ำ โยคีมำรำ วำดขึ้นด้วยสีดำ ขำว และแดงเป็นภำพเขียนอย่ำงง่ำย
สมัยศิลปะอมรำวดี : ภำพจิตกรรมฝำผนังถ้ำ ที่อชันตะ แสดงให้ดห็นถึงควำมงดงำมของลำยเส้น
สมัยคุปตะ – หลังสมัยคุปตะ : เป็นสมัยที่ร่งุเรืองท่สีุด ภำพจิตกรรมฝำผนังถ้ำ ที่อชันตะเล่ำเรื่อง
ชำดกต่ำงๆ รำว 30 และภำพเกี่ยวกับประเพณีชีวิตประจำ วัน
ของประชำชนและกำรใช้ชีวิตในรำชสำ นัก
34. ถือเป็นศิลปะชั้นสูง และเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมเพื่อบูชำเทพเจ้ำตำมคัมภีร์พระเวทอัน
ศักด์ิสิทธ์ิ เกี่ยวข้องกับชีวิตของชำวอินเดีย ทำงด้ำนศำสนำ และชีวิตประจำ วัน
นำฏศิลป์กับกำรฟ้อนรำ : กำ เนิดจำกวัด รำชสำ นัก และท้องถิ่นพื้นบ้ำน นำฏศิลป์ในอินเดยีเป็น
แบบแผน เพรำะในตำ รำนำฏยศำสตร์ เรียบเรียงโดย ภรตมุนี
กำรดนตรีหรือสังคีตศิลป์ : สมัยพระเวท บทสวดสรรเสริญเทพเจ้ำทั้งหลำยถือเป็นแบบแผนกำรร้อง
ท่เีก่ำแก่ท่สีุดในสังคีตศิลป์ ของอินเดีย แบ่งเป็นดนตรีศำสนำ
ดนตรีรำชสำ นัก ดนตรีท้องถิ่น นิยมบรรเลงประกอบกำรแสดงละคร
36. 2. วรรณกรรมตันติสันสกฤต(วรรณกรรมสันสกฤตแบบแผน)
วรรณกรรมซ่งึใช้ภำษำสันสกฤตท่พีัฒนำมำจำกพระเวท รูปแบบคำ ประพันธ์มักเป็น
ร้อยกรองท่เีรียกวำ่ โศลก งำนสำ คัญคือ มหำภำรตะ และ รำมำยณะ คอืมหำกำพย์สำ คัญท่สีุด
ของสังคมและสะท้อนให้เห็นสังคม 1000 – 500 B.C ซ่งึเรียกว่ำ ยุคมหำกำพย์ แต่ถ้ำเป็นบท
ละครเรื่องที่มีชื่อเสียงมำก ได้แก่
เรื่อง ศกุนตลำ แต่งโดยกำลิทำส กวีเอกสมัยคุปตะ
3. วรรณกรรมสันสกฤตผสม
เป็นภำษำสันสกฤตท่ตีำ่งจำกภำษำพระเวท และตันติสันสกฤต ใช้เขียนหลักธรรม
เรื่องรำวพระพุทธศำสนำ เป็นประเภท ร้อยแก้ว
งำนสำ คัญ ได้แก่ พุทธจริต ของอัศวโฆษ
38. 1. ภำษำศำสตร์
ภำษำสันสกฤตมีควำมสำ คัญตอ่อำรยธรรมอินเดยีเพรำะเป็นภำษำท่ใีช้อยู่ในคัมภีร์เวท
ซึ่งเชื่อว่ำ พระผู้เป็นเจ้ำประทำน
ชำวอินเดียให้ควำมสำ คัญในเรื่องภำษำมำกจึงมีกำรแต่งหนังสือศัพทำนุกรม หรือโกศะ
แต่พอมุสลิมเติร์กเข้ำมำปกครองได้เอำภำษำสันสกฤต ภำษำบิฟ และอินเดียมำผสมกันจึง
เกิดเป็นภำษำใหม่ คือภำษำอูรูด
39. 2. ธรรมศำสตร์และ นิติศำสตร์
.
กฏหมำย ศำสนบัญญัติ จำรีตประเพณี ศีลธรรม และหน้ำที่ ซึ่งมีพื้นฐำนมำ
จำกคัมภีร์พระเวท หนังสือเล่มแรกท่รีวบรวมกฏเกี่ยวกับฆรำวำทคือ มนูสมฤติ
(มำนวธรรมศำสตร์) กล่ำวถึงกฎหมำยแพ่ง-อำญำ หน้ำท่ขีองวรรณะต่ำงๆ ชีวิตของ
คฤหัสถ์กำรออกบวช ชีวิตภพหน้ำ และกำรเข้ำถึงโมกษะเป็นกำรแสดงให้เห็น
ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงเทพเจ้ำกับมนุษย์ สังคมมนุษย์ และอุดมคติของมนุษย์ภำยใต้
กฎเกณฑ์และหน้ำท่ที่รีวมกันเรียกว่ำ ธรรมศำสตร์
42. 4. ชโยติษ (ดำรำศำสตร์ โหรำศำสตร์ และคณิตศำสตร์)
ใช้ประกอบกับคัมภีร์ ในระยะแรกหมำยถึงดำรำศำสตร์เพื่อใช้ประกอบพิธีต่ำงๆ
และดวงดำวยังทำ ให้เกิดศำสตร์กำรคำ นวณก็คือคณิตศำสตร์ และชำวอินเดียยังเป็นชนชำติ
แรกที่ประดิษเลขศูนย์ขึ้นมำต่อมำชำวอำหรับได้ไปถ่ำยทอดให้ชำวยุโรป
43. 3.1 กำรแพร่ขยำยและกำรถ่ำยทอดอำรยธรรมจีน
อำรยธรรมจีนแพร่ขยำยอย่ำงกว้ำงขวำงทั้งในเอเชียและยุโรป ดินแดนที่เคยตกอยู่ภำยใต้กำร
ปกครองของจีนมำนำน เช่น เกำหลีและเวียดนำมจะได้รับอำรยธรรมจีนอยำ่งสมบูรณ์
ส่วนดินแดนในเอเชียที่ไม่ได้อยู่ใต้กำรปกครองของจีน จะได้รับอิทธิพลของอำรยธรรมจีน
แตกต่ำงกันไป เช่น ญ่ปีุ่น ซึ่งมีวัฒนธรรมที่ดีอยู่แล้วจะเลือกรับวัฒนธรรมมำผสมกับของตัวเอง เช่น
ลัทธิขงจื๊อ ตัวอักษร กำรออกเสียง วรรณคดี กำรแต่งโคลงกลอน ส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น
นอกจำกเวียดนำมที่อยู่ใต้อำ นำจของจีนอย่ำงเต็มรูปแบบแล้ว ชำติอื่นจะยอมรับระบบบรรณำกำรของ
จีนเพื่อผลประโยชน์ทำงกำรค้ำ เพรำะจีนจะค้ำขำยกับประเทศที่ยอมรับระบบบรรณำกำรของตน
เท่ำนั้น
44. สำ หรับเอเชียใต้ ประเทศที่มีกำรแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับอินเดียอย่ำงใกล้ชิดคือ อินเดีย
สองประเทศนี้จะมีกำรแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในเรื่องของพระพุทธศำสนำ แต่ส่วนมำกจะเป็นอำรย
ธรรมอินเดียที่ไปปรำกฎในจีน ส่วนวัฒนธรรมจีนที่ปรำกฎในอินเดียนั้นกลับไม่ปรำกฎให้เห็น
เด่นชัด
.
ส่วนในเอเชียกลำงแลัตะวันออกกลำงนั้น จะมีเส้นทำงสำยไหมเป็นสื่อกลำงกำร
แลกเปลี่ยนอำรยธรรมระหว่ำงจีนและตะวันตก โดยในตอนแรกนั้นจะมีพวกมุสลิมเป็นผู้ช่วยใน
กำรแลกเปลี่ยน แต่หลังจำกที่มองโกลชนะจีนและยุโรปก็ทำ ให้เส้นทำงสำยนี้ปลอยภัยขึ้น
จนถึงปลำยคริสต์ศตรรษี่19 มหำอำ นำจตะวันตกหลำยประเทศ ต่ำงพำกันแย่งชิงอำ นำจทำง
กำรเมืองของจีน และแสวงหำผลประโยชน์ทำงเศรษกิจจำกจีน จนให้ท่สีุดจีนก็ไม่สำมำรถต่อต้ำน
ได้ ผลกระทบของกำรรับวัฒนธรรมยุโรปในจีนจึงเพิ่มสูงขึ้น
45. อำรยธรรมอินเดียได้แพร่ขยำยไปสู่ภูมภิำคต่ำงๆทัว่ทวีปเอเชีย ผ่ำนทำง กำรค้ำ ศำสนำ
กำรเมือง กำรทหำร จนกลำยเป็นส่วนหนึ่งของอำรยธรรมในสังคมนั้นๆ
ในเอเชียตะวันออก พระพุทธศำสนำนิกำยมหำยำน มีอิทธิพลลึกซึ้งต่อชำวจีน ทั้งด้ำน
สำสนำและศิลปะ
.
ในเอเชียกลำง มีพัฒนำกำรทำงประวัตศำสตร์ร่วมกับอินเดียมำตั้งแต่สมัยแรกๆ
ท่เีห็นได้ชัดคือ ศำสนสถำน สิ่งก่อสร้ำง ศิลปวัตถุในพระพุทธศำสนำนิกำยมหำยำน แต่นับจำก
คริสต์ศตวรรษที่7 เป็นต้นมำ อิทธิพลของพวกมุสลิมในตะวันออกกลำงขยำยเข้ำมำ อำรยธรรม
อิสลำมจึงเข้ำมำแทนที่และมีอิทธิพลเหนือชนกลุ่มอื่นๆมำจนถึงปัจจุบัน
46. ในตะวันออกกลำง มีกำรติดต่อกับอินเดียมำตั้งแต่อำรยธรรมลุ่มน้ำสินธุ จนกระทัง่ถึง
ศตวรรษท่6ีก่อนคริสต์ศักรำช เปอร์เซียและกรีกได้เข้ำมำมีอำ นำจกำรปกครองลุ่มน้ำสินธุ
ตำมลำ ดับแทน
ต่อมำอินเดียจึงได้รับอำรยธรรมของทั้งเปอร์เซียและกรีกมำ โดยที่เปอร์เซียจะรับในเรื่อง
ของกำรปกครองและสถำปัตยกรรม เช่น วัง กำรเจำะภูเขำป็นถ้ำ เพื่อใช้ประกอบพิธีทำงศำสนำ
ส่วนกรีกจะนับในเรื่องของศิลปกรรม ประติมำกรรม เช่นพระพุทธรูป ศิลปะคันธำระ และใน
เรื่องของคณิตศำสตร์ ได้แก่พีชคณิต ตรีโกณมิติ
47. อำรยธรรมอินเดียที่ถ่ำยทอดให้กับดินแดนในตะวันออกกลำงนั้นเริ่มตั้งแต่คริสต์ศตวรรษท่7ี
โดยที่พวกมุสลิมอำหรับนำวิทยำกำรต่ำงๆของอินเดียไปใช้ ได้แก่ ทำงกำรแพทย์ คณิตศำสตร์ และ
ดำรำศำสตร์
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นภูมิภำคที่ปรำกฏอำรยธรรมอินเดียชัดเจนที่สุด พ่อค้ำ
พรำหมณ์ และพระภิกษุเดินทำงมำสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และนำอำรยธรรมอินเดียมำเผยแพร่
ส่วนคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็มำท่อีินเดีย(แสวงบุญ/ค้ำขำย)และรับวัฒนธรรมกลับไปเผยแพร่
ในดินแดนของตน โดยที่อำรยธรรมที่ได้รับจำกอินเดียมำปรำกฎชัดอยู่ท่เีอเชียตะวันออกเฉียงใต้มี
แทบทุกด้ำน โดยเฉพำะ ศำสนำ ควำมเชื่อ กำรปกครอง จนถูกหลอมรวมกลำยมำเป็นรำกฐำนที่
สำ คัญที่สุดของประเทศต่ำงๆในภูมิภำคนี้ ศิลปกรรมของอินเดียทุกยุคสมัย ปรำกฏชัดอยู่ตำมศำสน
สถำนและศิลปวัตถุทัว่ดนิแดนเอเชียตะวนออกเฉียงใต้ และตัวอักษรอินเดียก็นับเป็นมรดกสำ คัญที่
ตกทอดมำจนถึงภูมิภำคนี้ด้วย
48. บทสรุป
อารยธรรมตะวันออกท่สีา คัญ คือ อารยธรรมจีนและอินเดยี ซึ่งทั้ง2 อารยธรรมนี้มี
ความเป็นมาท่ยีาวนานตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ถึงปัจจุบัน และอารยธรรมทั้ง2 แห่งนี้ไดใ้ห้
อิทธิพลทางดา้น สังคมและวัฒนธรรม ศิลปกรรม ตลอดจนวิทยาการต่างๆใหแ้ก่ภูมิภาคอ่นืใน
โลก