More Related Content
Similar to โปรแกรมคอมพิวเตอร
Similar to โปรแกรมคอมพิวเตอร (20)
More from Tay Atcharawan (7)
โปรแกรมคอมพิวเตอร
- 1. รายงาน
วิชา เทคโนโลยีสารสนเทศ
เรื่ อง โปรแกรมคอมพิวเตอร์
จัดทาโดย
1. นายศิวกร ชาติสิงหเดช เลขที่ 6
2. นายศุภชีพ กนกพัฒนากร เลขที่ 7
3. นายธนนนท์ สงเจริ ญ เลขที่ 12
4. นางสาวดลญา เหลืองทอง เลขที่ 17
5. นางสาวนพรัตน์ โชติกปฏิพทธ์
ั เลขที่ 19
6. นางสาวอัจฉราวรรณ ฉิ มพวัน เลขที่ 24
ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 5/2
เสนอ
อาจารย์ ทรงศักดิ์ โพธิ์เอี่ยม
โรงเรี ยนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรี นคริ นทร์ กาญจนบุรี
- 2. คานา
กลุ่มของข้าพเจ้าจัดทารายงานเรื่ อง โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ขึ้นเพื่อ
ศึกษาค้นคว้ารายละเอียดเกี่ยวกับเรื่ องโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพิ่มเติม
จากความรู ้ในห้องเรี ยน และความรู ้พ้ืนฐานที่มีอยู่ เนื้อหาก็จะเกี่ยวกับ
ความหมายของโปรแกรม การแก้ไข้ปัญหา ภาษาของคอมพิวเตอร์ และ
รายละเอียดอีกมากมาย กลุ่มของข้าพเจ้าหวังว่า รายงานเรื่ องโปรแกรม
่ ้
คอมพิวเตอร์ เล่มนี้จะมีประโยชน์ตอผูที่เปิ ดดู และเปิ ดอ่านไม่มากก็นอย
้
หากผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่น้ ีดวย
้
คณะผูจดทา
้ั
- 3. สารบัญ
เรื่ อง หน้า
ความหมายและลักษณะของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 3
วิเคราะห์ปัญหา 3
ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา 3
การเขียนโปรแกรม 3
ทดสอบและแก้ไขโปรแกรม 4
จัดทาเอกสารประกอบ 4
บารุ งรักษาโปรแกรม 5
ภาษาคอมพิวเตอร์ 5
ประเภทของภาษาคอมพิวเตอร์ 5
ตัวอย่างภาษาคอมพิวเตอร์ 9
ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 13
ลักษณะของภาษา HTML 14
หลักการเขียนภาษา HTML 14
คาสัง
่ 18
คาถามท้ายบท 20
บรรณานุกรม 23
- 4. โปรแกรมคอมพิวเตอร์
ความหมายและลักษณะของโปรแกรมคอมพิวเตอร์
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Program Computer) คือ ชุดคาสังที่ใช้สาหรับแสดงและสื่อสารกับ
่
คอมพิวเตอร์ เพือให้คอมพิวเตอร์ทางานตามลาดับขั้นตอนที่เขียนไว้ในชุดคาสังนั้นๆ คาสังเหล่านี้นกพัฒนา
่ ่ ่ ั
โปรแกรมหรื อโปรแกรมเมอร์ (Programmer) จะเขียนขึ้นด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ตามลาดับขั้นตอนของการ
พัฒนาโปรแกรม ดังนี้
วิเคราะห์ ปัญหา
การวิเคราะห์ปัญหา ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
1. กาหนดวัตถุประสงค์ของงาน เพือพิจารณาว่าโปรแกรมต้องทาการประมวลผลอะไรบ้าง
่
2. พิจารณาข้ อมูลนาเข้ า เพือให้ทราบว่าจะต้องนาข้อมูลอะไรเข้าคอมพิวเตอร์ ข้อมูลมีคุณสมบัติ
่
เป็ นอย่างไร ตลอดจนถึงลักษณะและรู ปแบบของข้อมูลที่จะนาเข้า
3. พิจารณาการประมวลผล เพือให้ทราบว่าโปรแกรมมีข้นตอนการประมวลผลอย่างไรและมีเงื่อน
่ ั
ไปการประมวลผลอะไรบ้าง
4. พิจารณาข้ อสนเทศนาออก เพือให้ทราบว่ามีขอสนเทศอะไรที่จะแสดง ตลอดจนรู ปแบบและสื่อ
่ ้
ที่จะใช้ในการแสดงผล
ออกแบบวิธีการแก้ ปัญหา
การออกแบบขั้นตอนการทางานของโปรแกรมเป็ นขั้นตอนที่ใช้เป็ นแนวทางในการลงรหัสโปรแกรม
ผูออกแบบขั้นตอนการทางานของโปรแกรมอาจใช้เครื่ องมือต่างๆ ช่วยในการออกแบบ อาทิเช่น คาสัง
้ ่
ลาลอง (Pseudocode) หรื อ ผังงาน (Flow chart) การออกแบบโปรแกรมนั้นไม่ตองพะวงกับรูปแบบคาสัง
้ ่
ภาษาคอมพิวเตอร์ แต่ให้มุ่งความสนใจไปที่ลาดับขั้นตอนในการประมวลผลของโปรแกรมเท่านั้น
การเขียนโปรแกรม
การเขียนโปรแกรมเป็ นการนาเอาผลลัพธ์ของการออกแบบโปรแกรม มาเปลี่ยนเป็ นโปรแกรม
ภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาใดภาษาหนึ่ง ผูเ้ ขียนโปรแกรมจะต้องให้ความสนใจต่อรู ปแบบคาสังและกฎเกณฑ์
่
ของภาษาที่ใช้เพือให้การประมวลผลเป็ นไปตามผลลัพธ์ที่ได้ออกแบบไว้ นอกจากนั้นผูเ้ ขียนโปรแกรมควร
่
แทรกคาอธิบายการทางานต่าง ลงในโปรแกรมเพือให้โปรแกรมนั้นมีความกระจ่างชัดและง่ายต่อการ
่
ตรวจสอบและโปรแกรมนี้ยงใช้เป็ นส่วนหนึ่งของเอกสารประกอบ
ั
- 5. ทดสอบและแก้ ไขโปรแกรม
การทดสอบโปรแกรมเป็ นการนาโปรแกรมที่ลงรหัสแล้วเข้าคอมพิวเตอร์ เพือตรวจสอบ
่
รู ปแบบกฎเกณฑ์ของภาษา และผลการทางานของโปรแกรมนั้น ถ้าพบว่ายังไม่ถกก็แก้ไขให้ถูกต้องต่อไป
ู
ขั้นตอนการทดสอบและแก้ไขโปรแกรม อาจแบ่งได้เป็ น 3 ขั้น
1. สร้างแฟ้ มเก็บโปรแกรมซึ่งส่วนใหญ่นิยมนาโปรแกรมเข้าผ่านทางแป้ นพิมพ์โดยใช้โปรแกรม
ประมวลคา
2. ใช้ตวแปลภาษาคอมพิวเตอร์แปลโปรแกรมที่สร้างขึ้นเป็ นภาษาเครื่ อง โดยระหว่างการแปล
ั
จะมีการตรวจสอบความถูกต้องของรู ปแบบและกฎเกณฑ์ในการใช้ภาษา ถ้าคาสังใดมีรูปแบบไม่
่
ถูกต้องก็จะแสดงข้อผิดพลาดออกมาเพือให้ผเู ้ ขียนนาไปแก้ไขต่อไป ถ้าไม่มีขอผิดพลาด เราจะ
่ ้
ได้โปรแกรมภาษาเครื่ องที่สามารถให้คอมพิวเตอร์ประมวลผลได้
3. ตรวจสอบความถูกต้องของการประมวลผลของโปรแกรม โปรแกรมที่ถูกต้องตามรู ปแบบและ
กฎเกณฑ์ของภาษา แต่อาจให้ผลลัพธ์ของการประมวลผลไม่ถูกต้องก็ได้ ดังนั้นผูเ้ ขียนโปรแกรม
จาเป็ นต้องตรวจสอบว่าโปรแกรมประมวลผลถูกต้องตามต้องการหรื อไม่ วิธีการหนึ่งก็คือ
สมมติขอมูลตัวแทนจากข้อมูลจริ งนาไปให้โปรแกรมประมวลผลแล้วตรวจสอบผลลัพธ์วา
้ ่
ถูกต้องหรื อไม่ ถ้าพบว่าไม่ถูกต้องก็ตองดาเนินการแก้ไขโปรแกรมต่อไป การสมมติขอมูล
้ ้
ตัวแทนเพือการทดสอบเป็ นสิ่งที่มีความสาคัญเป็ นอย่างมาก
่ ลักษณะของข้อมูลตัวแทนที่ดี
ควรจะสมมติท้งข้อมูลทีถูกต้องและข้อมูลที่ผดพลาด เพือทดสอบว่าโปรแกรมที่พฒนาขึ้น
ั ่ ิ ่ ั
สามารถครอบคลุมการปฏิบติงานในเงื่อนไขต่างๆได้ครบถ้วน นอกจากนี้อาจตรวจสอบการ
ั
ทางานของโปรแกรมด้วยการสมมติตวเองเป็ นคอมพิวเตอร์ทีจะประมวลผล แล้วทาตามคาสังที
ั ่
ละคาสังของโปรแกรมนั้นๆ วิธีการนี้อาจทาได้ยากถ้าโปรแกรมมีขนาดใหญ่ หรื อมีการ
่
ประมวลผลที่ซบซ้อนั
จัดทาเอกสารประกอบ
การทาเอกสารประกอบโปรแกรมเป็ นงานที่สาคัญของการพัฒนาโปรแกรม เอกสารประกอบ
ั
โปรแกรมช่วยให้ผใช้โปรแกรมเข้าใจวัตถุประสงค์ ข้อมูลที่จะต้องใช้กบโปรแกรม ตลอดจนผลลัพธ์ที่จะได้
ู้
จากโปรแกรม การทาโปรแกรมทุกโปรแกรมจึงควรต้องทาเอกสารกากับ เพือใช้สาหรับการอ้างอิงเมื่อจะใช้
่
งานโปรแกรมและเมื่อต้องการแก้ไขปรับปรุ งโปรแกรม เอกสารประกอบโปรแกรมที่จดทา ั ควร
ประกอบด้วยหัวข้อต่อไปนี้
- 6. 1. วัตถุประสงค์
2. ประเภทและชนิดของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ทใช้ในโปรแกรม
ี่
3. วิธีการใช้โปรแกรม
4. แนวคิดเกี่ยวกับการออกแบบโปรแกรม
5. รายละเอียดโปรแกรม
6. ข้อมูลตัวแทนที่ใช้ทดสอบ
7. ผลลัพธ์ของการทดสอบ
บารุงรักษาโปรแกรม
เมี่อโปรแกรมผ่านการตรวจสอบตามขั้นตอนเรี ยบร้อยแล้ว และถูกนามาให้ผใช้ได้ใช้งาน ในช่วงแรก
ู้
ผูใช้อาจจะยังไม่คุนเคยก็อาจทาให้เกิดปั ญหาขึ้นมาบ้าง ดังนั้นจึงต้องมีผคอยควบคุมดูแลและคอยตรวจสอบ
้ ้ ู้
การทางาน การบารุ งรักษาโปรแกรมจึงเป็ นขั้นตอนที่ผเู ้ ขียนโปรแกรมต้องคอยเฝ้ าดูและหาข้อผิดพลาดของ
โปรแกรมในระหว่างที่ผใช้ใช้งานโปรแกรม และปรับปรุ งโปรแกรมเมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้น หรื อในการใช้
ู้
งานโปรแกรมไปนานๆ ผูใช้อาจต้องการเปลี่ยนแปลงการทางานของระบบงานเดิมเพือให้เหมาะกับเหตุ-
้ ่
การณ์ นักเขียนโปรแกรมก็จะต้องคอยปรับปรุ งแก้ไขโปรแกรมตามความต้องการของผูใช้ที่เปลี่ยนแปลง
้
ไปนันเอง
่
ภาษาคอมพิวเตอร์
ภาคอมพิวเตอร์หรื อภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Computer Programming Language) มีพ้นฐานมา
ื
จากการเปิ ดและปิ ดกระแสไฟฟ้ า หรื อระบบเลขฐานสอง คือ 0 และ 1 เรี ยงต่อกัน เพือแทนความหมายต่างๆ
่
ในคอมพิวเตอร์
ประเภทของภาษาคอมพิวเตอร์
ภาษาเครื่อง (Machine Language)
ก่อนปี ค.ศ. 1952 มีภาษาคอมพิวเตอร์เพียงภาษาเดียวเท่านั้นคือ ภาษาเครื่ อง (Machine
Language) ซึ่งเป็ นภาษาระดับต่าที่สุด เพราะใช้เลขฐานสองแทนข้อมูล และคาสังต่าง ๆ ทั้งหมดจะเป็ นภาษา
่
- 7. ่ั
ที่ข้ ึนอยูกบชนิดของเครื่ องคอมพิวเตอร์ หรื อหน่ วยประมวลผลที่ใช้ นันคือปต่ละเครื่ องก็จะมีรูปแบบของ
่
คาสังเฉพาะของตนเอง ซึ่งนักคานวณและนักเขียนโปรแกรมในสมัยก่อนต้องรู ้จกวิธีที่จะรวมตัวเลขเพือ
่ ั ่
่ ่
แทนคาสังต่า ๆ ทาให้การเขียนโปรแกรมยุงยากมาก นักคอมพิวเตอร์จึงได้พฒนาภาษาแอสเซมบลีข้ นมา
ั ึ
เพือให้สามารถเขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น
่
ภาษาแอสเซมบลี (Assembly Language)
ต่อมาในปี ค.ศ. 1952 ได้มีการพัฒนาโปรแกรมภาษาระดับต่าตัวใหม่ ชื่อภาษาแอสเซมบลี
(Assembly Language) โดยที่ภาษาแอสเซมบลีใช้รหัสเป็ นคาแทนคาสังภาษาเครื่ อง ทาให้นกเขียนโปรแกรม
่ ั
สามารถเขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น ถึงแม้วาการเขียนโปรแกรมจะยังไม่สะดวกเท่ากับการเขียนโปรแกรม
่
ภาษาอื่น ๆ ในสมัยนี้ แต่ถาเปรี ยบเทียบในสมัยนั้นก็ถือว่าเป็ นการพัฒนาไปสู่ยคของการเขียนโปรแกรม
้ ุ
แบบใหม่ คือใช้สญลักษณ์แทนเลข 0 และ 1 ของภาษาเครื่ อง ซึ่งสัญลักษณ์ที่ใช้จะเป็ นคาสังสั้น ๆ ที่จะได้
ั ่
ง่าย เรี ยกว่า นิมอนิกโคด (mnemonic code) เช่น
สั ญลักษณ์นิวมอนิกโคด ความหมาย
การบวก (Add)
A
การเปรี ยบเทียบ (Compare)
C
การคูณ (Muliply)
MP
การเก็บข้อมูลในหน่วยความจา
STO
(Store)
ตัวอย่ างนิวมอนิกโคด
ถึงแม้วานิวมอนิกโคดที่ใช้จะไม่ใช้คาในภาษาอังกฤษ แต่ก็เป็ นสัญลักษณ์ที่สื่อความหมายให้ผใช้
่ ู้
สามารถจดจาได้ง่ายกว่าสัญลักษณ์เลข 0 และ 1 ผูเ้ ขียนโปรแกรมภาษาแอสเซมบลียงสามารถกาหนดชื่อของ
ั
ที่เก็บข้อมูลในหน่วยความจาเป็ นคาในภาษาอังกฤษ แทนที่จะเป็ นเลขที่ตาแหน่งในหน่วยความจา เช่น
TOTAL , INCOME เป็ นต้น แต่ขอจากัดของภาษาภาษาแอสเซมบลี คือ จะแตกต่างกันไปในแต่ละเครื่ อง
้
เช่นเดียวกับภาษาเครื่ อง
ผูเ้ ขียนโปรแกรมภาษาแอสเซมบลีตองใช้ แอสเซมเบลอ (Assembler) แปลภาษาแอสเซมบลีให้เป็ น
้
ภาษาเครื่ อง เพือให้คอมพิวเตอร์ทางานตามต้องการ
่
- 8. ภาษาระดับสู ง (High Level Language)
ในปี ค.ศ. 1960 ได้มีการพัฒนา ภาษาระดับสูง (High Level Language) ขึ้น ภาษาระดับสูงจะใช้คาใน
ภาษาอังกฤษแทนคาสังต่าง ๆ รวมทั้งสามารถใช้นิพจน์ทางคณิ ตศาสตร์ได้ดวย ทาให้นกเขียนโปรแกรม
่ ้ ั
สามารถใช้เวลามุ่งไปในการศึกษาถึงทางแก้ปัญหาเท่านั้น ไม่ตองเป็ นกังวลว่าคอมพิวเตอร์จะทางานอย่างไร
้
อีกต่อไป
ภาษาระดับสูงนี้ถือว่าเป็ น ภาษายุคที่สาม (third-generation language) ซึ่งทาให้เกิดการประมวลผล
ข้อมูลเพิมมากขึ้นอย่างมหาศาลระหว่างปี ค.ศ. 1960 ถึง ค.ศ. 1970 และมีผหนมาใช้คอมพิวเตอร์กนมากขึ้น
่ ู้ ั ั
โดยสังเกตได้จามเครื่ องเมนเฟรมจากจานวนร้อยเครื่ องเพิมขึ้นเป็ นหมื่นเครื่ อง อย่างไรก็ตาม ภาษาระดับสูง
่
ก็ยงคงต้องการตัวแปลภาษาให้เป็ นภาษาเครื่ องเพือสังให้เครื่ องทางานต่อไป ตัวแปลภาษาที่นิยมใช้งานกัน
ั ่ ่
โดยทัวไปจะเป็ นแบบคอมไพเลอร์ ซึ่งแต่ละภาษาก็มีคอมไพเลอร์ไม่เหมือนกัน รวมทั้งคอมไพเลอร์แต่ละ
่
ตัวก็จะต่างกันไปบนเครื่ องแต่ละชนิดด้วย เช่น ถ้าเขียนโปรแกรมภาษา COBOL บนเครื่ อง
ไมโครคอมพิวเตอร์ ก็จะต้องเลือกใช้คอมไพเลอร์ภาษา COBOL ที่ทางานบนเครื่ องไมโครคอมพิวเตอร์ ซึ่ง
การเขียนโปรแกรมภาษาหนึ่งภาษาใดบนเครื่ องที่ต่างกันอาจจะแตกต่างกันได้ เพราะคอมไพเลอร์ที่ใช้
ต่างกันนันเอง
่
ภาษาคอมพิวเตอร์บางภาษาได้ถูออแบบมาให้ใช้แก้ปัญหางานเฉพาะบางอย่าง เช่น การควบคุม
หุ่นยนต์ การสร้างภาพกราฟฟิ ก เป็ นต้น แต่ภาษาคอมพิวเตอร์โดยมากจะมีความยืดหยุนให้ใช้งานทัว ๆ ไป
่ ่
ได้ เช่น ภาษา BASIC ภาษา COBOL หรื อภาษา FORTRAN เป็ นต้น และนอกจากนี้ยงมีภาษา C ที่ได้รับ
ั
ความนิยมมากเช่นกัน
ภาษาระดับสู งมาก (Very high-level Language)
เป็ นภาษายุคที่ 4 (fourth-generation language) หรื อ 4GLs จะเป็ นภาษาที่ใช้เขียนโปรแกรมได้ส้ น
ั
กว่าภาษาในยุคก่อน ๆ การทางานบางอย่างสามารถใช้เพียง 5 ถึง 10 บรรทัดเท่านั้น ในขณะที่ถาเขียนด้วย
้
ภาษา อาจต้องใช้ถึง 100 บรรทัด โดยพื้นฐานแล้ว ภาษาในยุคที่ 4 นี้มีคุณสมบัติที่แยกจากภาษาใยุคก่อน ๆ
อย่างชัดเจน กล่าวคือภาษาในยุคก่อนนั้นใช้หลักการของ การเขียนโปรแกรมแบบโพรซีเยอร์ (procedurl
language) ในขณะที่ภาษาในยุคที่ 4 จะเป็ นแบบ ไม่ใช้โพรซีเยอร์ (nonprocedurl language) ผูเ้ ขียนโปรแกรม
เพียงแต่กาหนดว่าต้องการให้โปรแกรมทาอะไรบ้างก็สามารถเขียนโปรแกรมได้ทนที โดยไม่ตองทราบว่า
ั ้
ทาได้อย่างไร ทาให้การเขียนโปรแกรมสามารถทาได้ง่ายและรวดเร็ว
มีนกเขียโปรแกรมกล่าวว่า ถ้าใช้ภาษาในยุคที่ 4 นี้เขียนโปรแกรมจะทาให้ได้งานที่เพิมขึ้นถึงสิบ
ั ่
เท่าตัว ตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการพิมพ์รายงานแสดงจานวนรายการสินต้าที่ขายให้ลูกค้าแต่ละคนในหนึ่งเดือน
- 9. โดยให้แสดงยอดรวมของลูกค้าแต่ละคน และให้ข้ ึนหน้าใหม่สาหรับการพิมพ์รายงานลูกค้าแต่ละคน จะ
เขียนโดยใช้ภาษาในยุคที่ 4 ได้ดงนี้
ั
TABLE FILE SALES
SUM UNIT BY MONTH BY CUSTOMER BY PROJECT
ON CUSTOMER SUBTOTAL PAGE BREAK
END
่
จากตัวอย่างจะเห็นได้วาเป็ นงานที่ซบซ้อน ซึ่งถ้าใข้ภาษา COBOL เขียนอาจจะต้องใช้ถึง 500 คาสัง
ั ่
แต่ถาใช้ภาษาในยุคที่ 4 นี้จะเป็ นสิ่งที่ทาได้ไม่ยากเลย
้
ข้ อดีของภาษาในยุคที่ 4
การเขียนโปรแกรมจะเน้นที่ผลของงานว่าต้องการอะไร ไม่สนใจว่าจะทาได้อย่างไร
ช่วยพัฒนาเนื้องาน เพราะเขียนและแก้ไขโปรแกรมได้ง่าย
้ ่ ้
ไม่ตองเสียเวลาอบรมผูเ้ ขียนโปรแกรมมากนัก ไม่วาผูที่จะมาเขียนโปรแกรมนั้นมีความรู ้ดานการ
้
เขียนโปรแกรมหรื อไม่
ผูเ้ ขียนโปรแกรมไม่ตองทราบถึงฮาร์ดแวร์ของเครื่ องและโครงสร้างโปรแกรม
้
ภาษาในยุคที่ 4 นี้ยงมีภาษาที่ใช้สาหรับเรี ยกดูขอมูลจากฐานข้อมูลได้ เรี ยกว่า ภาษาเรี ยกค้นข้อมูล
ั ้
(query language) โดยปกติแล้วการเก็บข้อมูลลงในฐานข้อมูล และการแสดงรายงานจากฐานข้อมูล จะต้องมี
การวางแผนไว้ล่วงหน้า แต่บางครั้งอาจมีการเรี ยกดูขอมูลพิเศษที่ไม่ได้มีการวางแผนไว้ ถ้าผูใช้เรี ยนรู ้ภาษา
้ ้
เรี ยกค้นข้อมูลก็จะขอดูรายงานต่าง ๆ นอกเหนือจากที่ได้มีการวางแผนไว้ได้โดยใช้เวลาไม่มากนัก ภาษา
เรี ยกค้นข้อมูลที่เป็ นมาตรฐานเรี ยกว่าSQL (Structured Query Language) และนอกจากนี้ยงมีภาษา Query Bu
ั
Example หรื อ QBE ที่ได้รับความนิยมการใช้งานมากเช่นกัน
ภาษาธรรมชาติ (Nature Language)
เป็ น ภาษายุคที่ 5 (fifth generation language) หรื อ 5GLs ธรรมชาติหมายถึงธรรมชาติของมนุษย์ คือ
ไม่ตองสนใจถึงคาสังหรื อลาดับของข้อมูลที่ถูกต้อง ผูใช้เพียงแต่พมพ์สิ่งที่ตองการลงในเครื่ องคอมพิวเตอร์
้ ่ ้ ิ ้
เป็ นคาหรื อประโยคตามที่ผใช้เข้าใจ ซึ่งจะทาให้มีรูปแบบของคาสังหรื อประโยคที่แตกต่างกันออกไปได้
ู้ ่
้ ่
มากมาย เพราะผูใช้แต่ละคนอาจจะใช้ประโยคต่างกัน ใช้คาศัพท์ตางกัน หรื อแม้กระทังบางคนอาจจะใช้
่
- 10. ศัพท์แสลงก็ได้ คอมพิวเตอร์จะพยายามแปลคาหรื อประโยคเหล่านั้นตามคาสัง แต่ถาไม่สามารถแปลให้
่ ้
เข้าใจได้ ก็จะมีคาถามกลับมาถามผูใช้เพือยืนยันความถูกต้อง ภาษาธรรมชาติจะใช้ ระบบฐานความรู ้
้ ่
(knowledge base system) ช่วยในการแปลความหมายของคาสังต่าง ๆ
่
ตัวอย่ างภาษาคอมพิวเตอร์
ั
ปั จจุบนนี้มีภาษาคอมพิวเตอร์ให้เลือกใช้มากมายหลายภาษา แต่ละภาษาก็ถูกออกแบบมาให้ใช้กบ
ั
งานด้านต่าง ๆ กัน ตัวอย่างเช่น บางภาษาก็ออกแบบมาให้ใช้แก้ปัญหาทางธุรกิจ บางภาษาก็ใช้ในการ
คานวณที่ซบซ้อน ซึ่งจะกล่าวโดยสรุ ปถึงการใช้งานของแต่ละภาษาดังนี้
ั
ภาษา BASIC
เป็ นภาษาที่ใช้ง่าย และติดตั้งอยูบนเครื่ องไมโครคอมพิวเตอร์ส่วนมาก ใช้สาหรับผูเ้ ริ่ มต้นศึกษาการ
่
เขียนโปรแกรมและผูที่เขียนโปรแกรมเป็ นงานอดิเรก นิยมใช้ในการเขียนโปรแกรมสั้น ๆ
้
ภาษา BASIC รุ่ นแรกใช้ interpreter เป็ นตัวแปลภาษา ทาให้เขียนโปรแกรม ทดสอบ และแก้ไข
โปรแกรมได้อย่างง่ายดาย แต่ก็ทางานได้ชา ทาให้ผที่เขียนโปรแกรมเชี่ยวชาญแล้วไม่นิยมใช้งาน แต่
้ ู้
ปั จจุบนนี้มีภาษา BASIC รุ่ นใหม่ออกมาซึ่งใช้ conplier เป็ นตัวแปลภาษา ทาให้ทางานได้คล่อ่งตัวขึ้น เช่น
ั
Microsoft's Quick BASIC และ Visual Basic เป็ นต้น
ภาษา COBOL
เป็ นภาษาระดับสูงที่ออกแบบมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1960 นิยมใช้สาหรับการแก้ปัญหาทางด้านธุรกิจ เช่น
การจัดเก็บ เรี ยกใช้ และประมวลผลทางด้านบัญชี ตลอดจนทางานด้านการควบคุมสินค้าคงคลัง การรับและ
จ่ายเงิน เป็ นต้น
คาสังของภาษา COBOL จะคล้ายกับภาษาอังกฤษทาให้สามารถอ่านและเขียนโปรแกรมได้ไม่ยาก
่
นัก ในยุคแรก ๆ ภาษา COBOL จะได้รับความนิยมบนเครื่ องระดับเมนเฟรม แต่ปัจจุบนนี้จะมีตวแปลภาษา
ั ั
COBOL ที่ใช้บนเครื่ องไมโครคอมพิวเตอร์ดวย รวมทั้งมีภาษา COBOL ที่ได้รับการออกแบบตามแนวทาง
้
เชิงวัตถุ (Object Oriented) เรี ยกว่า Visual COBOLซึ่ งช่วยให้โปรแกรมสามารถทาได้ง่ายขึ้น และสามารถนา
โปรแกรมที่เขียนไว้มาใช้ในการพัฒนางานอื่น ๆ อีก
- 11. ภาษา Fortran
เป็ นภาษาระดับสูงที่ได้รับการพัฒนาโดยบริ ษท IBM ตั้งแต่ปีค.ศ. 1957 ย่อมาจากคาว่า FORmula
ั
TRANslator ซึ่งถือว่าเป็ นการกาเนิดของภาษาระดับสูงภาษาแรก นิยมใช้สาหรับงานที่มีการคานวณมาก ๆ
เช่น งานทางด้านคณิ ตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ เป็ นต้น
ภาษา Pascal
เป็ นภาษาระดับสูงที่เอื้ออานวยให้ผูเ้ ขียนโปรแกรมเขียนโปรแกรมได้อย่างมีโครงสร้าง และเขียน
โปรแกรมได้ง่ายกว่าภาษาอื่น นิยมใช้บนเครื่ องไมโครคอมพิวเตอร์ เป็ นภาษาสาหรับการเรี ยนการสอน และ
การเขียนโปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ
ภาษาปาสคาลมีตวแปลภาษาทั้งที่เป็ น interpreter และ Compiler โดยจะมีโปรแกรม
ั
เทอร์โบปาสคาล (Turbo Pascal) ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทั้งในวงการศึกษาและธุรกิจ เนื่องจากได้รับการ
ปรับปรุ งให้ตวข้อเสี ยของภาษาปาสคาลรุ่ นแรก ๆ ออก
ั
ภาษา C และ C++
ภาษา C ถูกพัฒนาขึ้นโดย ในปี ค.ศ. 1972 ที่หองปฏิบติการเบลล์ของบริ ษท AT&T เป็ นภาษาที่ใช้
้ ั ั
่ ั
เขียนระบบปฏิบติการ UNIX ซึ่งเป็ นระบบปฏิบติการที่ได้รับความนิยมคูกบภาษาซี และมีการใช้งานอยูใน
ั ั ่
เครื่ องทุกระดับ
ภาษา เป็ นภาษาระดับสูงที่ได้รับความนิยมในหมู่นกเขียนโปรแกรมเป็ นอย่างมาก เนื่องจากภาษา
ั
จะเป็ นภาษาที่รวมเอกข้อดีของภาษาระดับสูงในเรื่ องของความยืดหยุนและไวยากรณ์ที่ง่ายต่อการเข้าใจ กับ
่
ข้อดีของภาษาแอสเซมบลีในเรื่ องของประสิทธิภาพและความเร็วในการทางานทาให้โปรแกรมที่พฒนาด้วย ั
ภาษาซีทางานได้เร็วกว่าโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาระดับสูงอื่น ๆ ในขณะที่การพัฒนาและแก้ไขโปรแกรม
สามารถทาได้ง่ายเช่นเดียวกันภาษาระดับสูงทัว ๆ ไป นอกจากนี้ภาษา C ยังได้มีการพัฒนาก้าวหน้าขึ้นไปอีก
่
โดยทาการประยุกต์แนวความคิดของการโปรแกรมเชิงวัตถุเข้ามาใช้ในภาษา ทาให้เกิดเป็ นภาษาใหม่คือ
C++ (++ ในความหมายของภาษาซีคือการเพิมขึ้นอีกหนึ่งนันเอง) ซึ่งเป็ นภาษาที่ได้รับความนิยมใช้งาน
่ ่
พัฒนาโปรแกรมอย่างมาก
ภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุ (Object-Oriented Programming Language)
นักเขียนโปรแกรมบางคนคิดว่าการเขียนโปรแกรมขนาดใหญ่น้ น บางครั้งก็เป็ นงานที่หนักและ
ั
เสียเวลามาก จึงได้พยายามคิดหาวิธีที่จะทาให้การเขียนโปรแกรมนั้นง่ายขึ้น และสามารถเขียนได้อย่าว
- 12. รวดเร็ ว ทาให้เกิดเทคนิค การโปรแกรมเชิงวัตถุ (Object-Oriented Programming) หรื อ OOP เพือช่วยลด
่
่
ความยุงยากของการเขียนโปรแกรม
Object-Oriented Programming ต่างจากการเขียนโปรแกรมโดยทัว ๆ ไป โดยการเขียนโปรแกรม
่
ตามปกติน้ น ผูเ้ ขียนโปรแกรมจะพิจารณาถึงขั้นตอนการแก้ปัญหาของโปรแกรมเหล่านั้น แต่เทคนิคของ
ั
OOPจะมองเป็ น วัตถุ (object) เช่น กล่องโต้ตอบ (dialog box) หรื อไอคอนบนจอภาพ เป็ นต้น โดยออบเจ็ค
ใดออบเจ็คหนึ่งจะทางานเฉพาะที่แน่นอน ถ้าผูใช้ตองการทางานชนิดนั้นก็สามารถคัดลอกไปใช้ใน
้ ้
โปรแกรมที่ตองการได้ทนที
้ ั
โปรแกรมเดลไฟ
หลักการของโปรแกรมเชิงวัตถุได้รับการพัฒนามาเป็ นเวลานานแล้ว โดยภาษาเริ่ มแรกคือ Simula-
67 ได้รับการพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 1967 และต่อมาก็มีภาษา smalltalk ซึ่งเป็ นภาษาเชิงวัตถุเต็มรู ปแบบ
นอกจากนี้ หลักการของ OOP ยังได้รับการนไปเสริ มเข้ากับภาษาโปรแกรมในยุคที่ 3 คือ C จนเกิดเป็ นภาษา
ใหม่คือ C++ รวมทั้งยังมีการเสริ มเข้ากับ การโปรแกรมแบบภาพ (visual programming) ทาให้เกิด Visual
Basic ซึ่งมีรากฐานมาจาก BASIC และ Delphi ซึ่งมีรากฐานมาจาก Pascal นอกจากนี้ ในปั จจุบนจะมีภาษาที่
ั
ใช้หลักการโปรแกรมเชิงวัตถุตวใหม่ล่าสุดซึ่งกาลังมาแรงและมีแนวโน้มว่าจะได้รบความนิยมสูงคู่กน
ั ั ั
อินเตอร์เน็ต นันคือภาษา JAVA
่
ภาษาที่ออกแบบมาสาหรับ OOP
การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ที่มี การติดต่อกับผูใช้แบบกราฟฟิ ก (Graphical User
้
Interface หรื อ GUI) เช่น Microsoft Windows และ World Wide Web จะสามารถทาได้ง่าย รวดเร็วและเสีย
ค่าใช้จ่ายไม่มากนัก ด้วยเครื่ องมือในการพัฒนาทีใช้หลักการของ OOP ซึ่งในปั จจุบนจะมีเครื่ องมือประเภท
่ ั
นี้ที่ได้รับความนิยมอย่างมากอยู่ 2 ภาษา คือ Visual Basic และ JAVA
- 13. Visual Basic
ภาษา Visual Basic พัฒนาโดย Prof. Kemeny และ Kurtz ที่เมือง Dartmouth ในปี ค.ศ. 1960 โดยมี
จุดประสงค์สาหรับใช้สอนในห้องคอมพิวเตอร์ เมื่อมีการพัฒนาเครื่ องไมโครคอมพิวเตอร์ข้ ึนในยุคแรก ๆ
จะมีหน่วยความจาไม่เพียงพอที่จะทางานกับโปรแกรมภาษาอื่น เช่น FORTRAN และ COBOL เพราะขนาด
ของตัวแปรภาษาซึ่งต้องใช้หน่วยความจาสูงมาก แต่เครื่ องเหล่านั้นสามารถใช้ภาษา BASIC ได้ เพราะภาษา
ั ้ ่
BASIC ใช้ตวแปลภาษาที่มีขนาดเล็ก และตัวแปลภาษานั้นไม่ตองเก็บอยูในหน่วยความจาทั้งหมดก็สามารถ
่
ทางานได้ เป็ นเหตุให้ภาษา BASIC ได้รับความนิยมบนเครื่ องไมโครคอมพิวเตอร์ ไม่วาเครื่ อง
ไมโครคอมพิวเตอร์จะได้รับการพัฒนาสูงขึ้นในเรื่ องของความเร็วและหน่วยความจาเท่าใดก็ตาม แต่ภาษา
Visual Basic จะแตกต่างจากภาษา BASIC โดยสิ้ นเชิง ทั้งในแง่ของหน่วยความจาที่ตองการ และวิธีการ
้
พัฒนาโปรแกรม
โปรแกรมวิชวลเบสิ ค
ภาษา Visual Basic ได้รับการออกแบบและพัฒนาโดยบริ ษท Microsoft มีจุดประสงค์ในการใช้เป็ น
ั
เครื่ องมือพัฒนาโปรแกรมที่มีการติดต่อบผูใช้เป็ นแบบกราฟฟิ ก โดยจะมีเครื่ องมื่อต่าง ๆ ที่ช่วยในการ
ั ้
พัฒนาโปรแกรมอย่างรวดเร็ ว หรื อที่นิยมเรี ยกว่า RAD (Repid Application Development) ปั จจุบนนี้มี
ั
ผูใช้งานภาษา Visual Basic เป็ นจานวนมาก โดยภาษา Visual Basic ได้รับการออกแบบให้ทางานบนระบบ
้
วินโดว์เวอร์ชนต่าง ๆ จากไมโครซอฟต์ เช่น Visual Basic 3 ทางานบนระบบวินโดว์ 3.11 ส่วน Visual
ั่
Basic 4 และ 5 ทางานบนระบบวินโดว์ 95 เป็ นต้น
JAVA
ภาษาใหม่ที่มาแรงที่สุดในปั จจุบน คงจะไม่มีภาษาไหนที่เทียบได้รบภาษาจาวาซึ่งได้รบการ
ั ั ั
พัฒนาขึ้นโดยบริ ษทซันไมโครซิสเตมส์ ในปี 1991 โดยมีเป้ าหมายที่จะสร้างผลิตภัณฑ์อิเล็คทรอนิกส์
ั
- 14. สาหรับผูบริ โภคที่ง่ายต่อการใช้ง่าย มีค่าใช้จ่ายต่า ไม่มีขอผิดพลาด และสามารถใช้กบเครื่ องใด ๆ ก็ได้ ซึ่ง
้ ้ ั
็
สิ่งเหล่านี้กได้กลายเป็ นข้อดีของจาวาที่เหนื่อกว่าภาษาอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิง การที่โปรแกรมซึ่ งเขียนขึ้น
่
ั
ด้วยจาวาสามารถนาไปใช้กบเครื่ องต่าง ๆ โดยไม่ตองทาการคอมไพล์โปรแกรมใหม่ ทาให้ไม่จากัดอยูกบ
้ ่ั
่ ่ ั
เครื่ องหรื อโอเอสตัวใดตัวหนึ่ง แม้วาการใช้งานจาวาในช่วงแรกจะจากัดอยูกบ World Wide Web (WWW)
และ Internet แต่ในปั จจุบนได้มีการนาจาวาไปประยุกต์ใช้กบงานด้านซอฟต์แวร์ต่าง ๆ อย่างมากมาย ตั้งแต่
ั ั
ซอฟต์แวร์อรรถประโยชน์ (Utility) ไปจนกระทังซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ เช่น โปรแกรมชุดจากบริ ษท Corel
่ ั
ซึ่งประกอบด้วยโปรแกรมหลัก ๆ คือ โปรแกรมเวิร์โปรเซสซิ่ ง สเปรดซีต พรี เซนเตชัน ที่เขียนขึ้นด้วยจาวา
่
ทั้งหมด
จาวายังสามารถนาไปใช้เป็ นภาษาสาหรับอุปกรณ์แบบฝังต่าง ๆ เช่น โทรศัพท์ และอุปกรณ์ขนาด
มือถือแบบต่าง ๆ เป็ นต้น รวมทั้งยังได้รับความนิยมนาไปใช้กบอุปกรณ์ที่ใช้สาหรับเข้าสู่อินเตอร์เน็ตโดยไม่
ั
ต้องใช้คอมพิวเตอร์ นอกจากนี้แล้ว จาวายังเป็ นภาษาที่ถูกใช้งานในคอมพิวเตอร์แบบเอ็นซี (NC) ซึ่งเป็ น
คอมพิวเตอร์แบบใหม่ล่าสุด ที่เน้นการทางานเป็ นเครื อข่ายว่า แอพเพลต (applet) ที่ตองการใช้งานขณะนั้น
้
มาจากเครื่ องแม่ ทาให้การติดต่อสื่อสารสารผ่านเครื อข่ายใช้ช่องทางการสื่อสารน้อยกว่าการดึงมาทั้ง
โปรแกรมเป็ นอย่างมาก
โปรแกรมพัฒนาภาษาจาวา
ตัวอย่ างการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์
ภาษาคอมพิวเตอร์แต่ละภาษาจะมีลกษณะ โครงสร้าง และหลักในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์
ั
แตกต่างกัน เครื่ องมือสาคัญในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ คือ โปรแกรมเอดิเตอร์ ใช้สาหรับแปลภาษา
คอมพิวเตอร์ที่เขียนให้คอมพิวเตอร์เข้าใจ และทางานตามที่เราต้องการ ในที่น้ ีจะยกตัวอย่างการเขียนภาษา
HTML ดังนี้
- 15. ลักษณะของภาษา HTML
ภาษา HTML เป็ นภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูงที่ใช้โปรแกรมเท็กซ์เอดิเตอร์ (Text Editor) หรื อเวิร์ด
โพรเซสเซอร์ (Word Processor) เพือเขียนชุดคาสัง โดยไม่ตองติดตั้งโปรแกรมเอดิเตอร์อ่ืนๆ เพิมเติม โดย
่ ่ ้ ่
ที่น้ ีจะเขียนภาษา HTML ด้วย Notepad
ภาษา HTML คือ ภาษาที่ใช้สาหรับเขียนเว็บเพจ เพือนาไปแสดงผลบนเว็บเบราว์เซอร์ โดยจะต้องมี
่
โครงสร้างของภาษา รู ปแบบของคาสังต่างๆ เพือให้เว็บเบราว์เซอร์สามารถเข้าใจและแสดงผลออกมาตามที่
่ ่
ต้องการ
หลักการเขียนภาษา HTML
การเปิ ดโปรแกรม Notepad ขึ้นมาทางานสามารถเปิ ดได้จากการคลิกที่ปม Start > Programs >
ุ่
Accessories > Notepad หรื อจะใช้คาสังRun > Notepad ก็ได้เช่นเดียวกันซึ่งจะได้หน้าต่างการทางานดัง
่
ภาพล่าง
ก่อนการใช้งานต้องมีการปรับแต่งฟอนต์อีกเล็กน้อย เพือให้สงเกตเห็นได้เมื่อมีการป้ อนข้อความ
่ ั
ผิดพลาดในหน้าต่างโปรแกรม ด้วยการกาหนดให้ใช้ฟอนต์ MS Sans Serif ซึ่งพิมพ์อกษรไทยได้ ขนาด 10-
ั
12 พอยต์ (แล้วแต่สายตาคนทามองได้ชดเจน ยิงโตมากพื้นที่การทางานก็จะลดลงต้องเลื่อนจอ (Scroll) ไป
ั ่
ทางขวามาก ดังภาพข้างล่างนี้
- 16. เทคนิคในการป้ อนข้อความคาสังต่างๆ ลงในโปรแกรม Notepad นั้นควรจะจัดแถวให้มีการเยืองใน
่ ้
แต่ละคาสังเป็ นคู่ๆ เพือให้สามารถตรวจสอบคู่คาสังเปิ ด/ปิ ดได้ชดเจน แยกระหว่างส่วนคาสังและข้อความ
่ ่ ่ ั ่
ออกจากกันจะดูได้ง่ายดังภาพล่างนี้
การบันทึกข้ อมูล
ที่สาคัญอย่างยิงคือการจัดเก็บไฟล์ (Save) เพราะ Notepad เป็ น Text Editor ค่าปกติของโปรแกรม
่
เมื่อจัดเก็บไฟล์จะมีสกุลเป็ น .txt เสมอ เมื่อต้องการจัดเก็บเว็บเพจที่มีสกุลของไฟล์
- 17. เป็ น .htm หรื อ .html จะต้องเปลี่ยนชนิดของการจัดเก็บจาก Text Documents (*.txt) เป็ น All Files และ
กาหนดชื่อไฟล์พร้อมสกุลเป็ น .html ดังตัวอย่างกาหนดชื่อเป็ น notepad.html
เมื่อจัดเก็บได้ถูกต้องบนแถบไตเติ้ลบาร์ของ Notepad จะปรากฏชื่อไฟล์เป็ น notepad.html ถูกต้อง
ดังภาพล่าง
เมื่อใช้บราวเซอร์ Internet Explorer เปิ ดไฟล์ ถ้ามีการตั้งชื่อไฟล์และไม่เปลี่ยนชนิดไฟล์จะได้ไฟล์
ชื่อ notepad.txt ถ้ากาหนดชื่อและสกุลไฟล์ถูกต้องแต่ไม่เปลี่ยนชนิดไฟล์จะได้ไฟล์
- 19. คาสั่ ง
คาสั่ งพืนฐาน
้
< !-- ข้อความ --> คาสัง หมายเหตุ ใช้อธิบายความหมาย ขื่อผูเ้ ขียนโปรแกรม และอื่นๆ
่
<br> คาสังขึ้นบรรทัดใหม่
่
<p> ข้อความ </p> คาสังย่อหน้าใหม่
่
<hr width = "50%" size = "3"> คาสัง ตีเส้น, กาหนดขนาดเส้น
่
คาสัง เพิมช่องว่าง
่ ่
<IMG SRC = "PHOTO.GIF"> คาสังแสดงรู ปภาพชื่อ Photo.gif
่
<CENTER> ข้อความ </CENTER> คาสังจัดให้ขอความอยูก่ ึงกลาง
่ ้ ่
<HTML> </HTML> คาสัง <HTML> คือคาสังเริ่ มต้นในการเขียนโปรแกรม HTML และมีคาสัง </HTML>
่ ่ ่
เพือบอกจุดสิ้นสุดโปรแกรม
่
่ ่ ่ ่
<HEAD> </HEAD> คาสัง <HEAD> คือคาสังบอกส่วนที่เป็ นชื่อเรื่ อง โดยมีคาสังย่อย <TITLE> อยูภายใน
<TITLE> </TITLE> คาสัง <TITLE> คือคาสังบอกชื่อเรื่ อง จะไปปรากฏที่ Title Bar
่ ่
<BODY> </BODY> คาสัง <BODY> คือคาสังบอกส่วนเนื้อเรื่ อง ที่จะถูกแสดงผลในเวปบราวเซอร์
่ ่
ประกอบด้วยรู ปภาพ ตัวอักษร ตาราง เป็ นต้น
รู ปแบบตัวอักษร
<font size = "3"> ข้อความ </font> ขนาดตัวอักษร
<font color = "red"> ข้อความ </font> สีตวอักษร
ั
<font face = "Arial"> ข้อความ </font> รู ปแบบตัวอักษร
<besefont size = "2"> ข้อความ </font> กาหนดค่าเริ่ มต้นของขนาดตัวอักษร
<b> ข้อความ </b> ตัวอักษรหนา
<i> ข้อความ </i> ตัวอักษรเอน
<u> ข้อความ </u> ขีดเส้นใต้ตวอักษร ั
<tt> ข้อความ </tt> ตัวอักษรแบบพิมพ์ดีด
หมายเหตุ เราสามารถใช้คาสังกาหนดรู ปแบบตัวอักษร หลายๆรู ปแบบได้ เช่น
่
<font face = "Arial" size = "3" color = "red"> ข้อความ </font> เป็ นต้น
จุดเชื่อมโยงข้ อมูล
<a href ="#news"> Hot News </a> ,
<a name ="news">กาหนดจุดเชื่อมชื่อ news ส่วน "a name" คือตาแหน่งที่ลิงค์ไป (เอกสารเดียวกัน)
<a href ="news.html"> Hot News </a> สร้างลิงค์ไปยังเอกสารชื่อ "news.html"
- 20. <a href ="http://www.thai.com"> Thai </a> สร้างลิงค์ไปยังเว็บไซต์อื่น
<a href ="http://www.thai.com" target = "_blank" > Thai </a> สร้างลิงค์ไปยังเว็บไซต์อื่น และเปิ ดหน้าต่าง
ใหม่
<a href ="http://www.thai.com"> <img src = "photo.gif"> </a> สร้างลิงค์โดยใช้รูปภาพชื่อ photo.gif เป็ น
ตัวเชื่อม
<a href ="mailto:yo@mail.com"> Email </a> สร้างลิงค์มายังอีเมล์
การแสดงผลแบบรายการแบบมีหมายเลขกากับ
<OL value = "1" >
<LI> รายการที่ 1
<LI> รายการที่ 2
</OL>
การแสดงผลแบบรายการ ใช้คาสัง <OL> เป็ นเริ่ มและปิ ดท้ายด้วย
่
</OL> ส่วนคาสัง <LI> เป็ นตาแหน่งของรายการที่ตองการ
่ ้
นาเสนอ เราสามารถกาหนดให้แสดงผลรายการได้หลายแบบเช่น
เรี ยงลาดับ 1,2,3... หรื อ I,II,III... หรื อ A,B,C,... ได้ท้งนี้จะต้อง
ั
เพิมคาสังเข้าไปที่ <OL value = "A"> เป็ นต้น
่ ่
การแสดงผลแบบรายการแบบมีสัญลักษณ์กากับ
<UL type = "square">
<LI> รายการที่ 1
<LI> รายการที่ 2
</UL>
การแสดงผลแบบรายการ ใช้คาสัง <UL> เป็ นเริ่ มและปิ ดท้ายด้วย
่
</UL> ส่วนคาสัง <LI> เป็ นตาแหน่งของรายการ ที่ตองการ
่ ้
นาเสนอ เราสามารถกาหนดให้แสดงผลรายการแบบต่างๆ
ดังต่อไปนี้
- รู ปวงกลมทึบ "disc"
- รู ปวงกลมโปร่ ง "circle"
- รู ปสี่เหลี่ยม "square"
ทั้งนี้จะต้องเพิมคาสังเข้าไปที่ <UL type = "square"> เป็ นต้น
่ ่
- 21. คาถามท้ ายบท
1. โปรแกรมคอมพิวเตอร์หมายถึงข้อใด
ก. ชุดคาสังที่ใช้สาหรับแสดงหรื อสื่อสารกับคอมพิวเตอร์
่
ข. ซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่ใช้สื่อสารระหว่างผูใช้คอมพิวเตอร์
้
ค. การสื่อสารข้อมูลหรื อการส่งข้อมูลจากผูนาเสนอไปยังผูรับ
้ ้
ง. เป็ นข้อมูลพื้นฐานที่นิยมใช้ในการนาเสนองาน
2. นักพัฒนาคอมพิวเตอร์หรื อสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์คือใคร
ก. โปรดิวเซอร์
ข. ดีไซเนอร์
ค. โปรแกรมเมอร์
ง. ออแกไนเซอร์
3. ลาดับขั้นตอนของการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์มีกี่ข้นตอน
ั
ก. 4 ข. 6 ค. 8 ง. 10
4. ภาษาคอมพิวเตอร์แบ่งตามลักษณะของภาษาและการใช้งานได้กี่ประเภท
ก. 2 ข. 3 ค. 4 ง. 5
5. ภาษาฟอร์แทรน เหมาะสาหรับการทางานด้านใด
ก. พาณิ ชยศาสตร์และการบัญชี , เศรษฐศาสตร์ , สังคมศาสตร์
ข. วิศวกรรมศาสตร์ , สถาปั ตยกรรมศาสตร์
ค. รัฐศาสตร์ , นิติศาสตร์
ง. วิทยาศาสตร์ , คณิ ตศาสตร์ , วิศวกรรมศาสตร์
- 22. 6. ภาษา HTML เป็ นภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูงที่ใช้คู่กบโปรแกรมใด
ั
ก. โปรแกรมเท็กซ์เอดิเตอร์(Text Editor) หรื อ เวิร์ดโพรเซอร์(Word processor)
ข. Microsoft Word หรื อ Microsoft PowerPoint
ค. เดลไฟ (Delphi)
ง. วิชวลเบสิก (Visual Basic)
7. < br > เป็ นคาสังให้โปรแกรมภาษา HTML ทาอะไร
่
ก. คาสังย่อหน้าใหม่
่
ข. คาสังเพิมช่องว่าง
่ ่
ค. คาสังตีเส้น
่
ง. คาสังขึ้นบรรทัดใหม่
่
8. การบันทึกไฟล์ ควรบันทึกเป็ นนามสกุลใด
ก. .psd
ข. .gif
ค. .txt
ง. .jpg
9. ภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใหม่ที่สุดในปั จจุบนคือภาษา
ั
ก. Visual Basic
ข. JAVA
ค. Pascal
ง. Fortran