SlideShare a Scribd company logo
1 of 28
Download to read offline
วิจัยรายงานผลการจัดกิจกรรมภายใต้โครงการ
ASEAN Youth Anti-Drug
(3 Spots: Skit – Radio - Media Anti-Ice)
ประกอบการนาเสนอผลงานในโครงการ
Thailand Youth Initiative Against Drugs
สารบัญ
บทที่ 1 บทนา....................................................................................................................................................3
ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา.....................................................................................................3
วัตถุประสงค์ของการวิจัย............................................................................................................................3
สมมติฐานของการวิจัย................................................................................................................................3
ความสาคัญของการวิจัย..............................................................................................................................4
ขอบเขตของการวิจัย....................................................................................................................................4
บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ................................................................................................5
ความรู้เกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ.................................................................................................................5
ความหมายของยาเสพติดให้โทษ..........................................................................................................5
ประเภทของยาเสพติดให้โทษ...............................................................................................................5
ชนิดของยาเสพติดให้โทษในปัจจุบัน...................................................................................................6
โทษและภัยของยาเสพติด...................................................................................................................11
ความรู้เกี่ยวกับยาไอซ์................................................................................................................................12
ความหมายของยาไอซ์........................................................................................................................12
โทษของการใช้ยาไอซ์........................................................................................................................12
นโยบายและยุทธศาสตร์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา..................................13
นโยบายรัฐเกี่ยวกับยาเสพติด..............................................................................................................13
นโยบายด้านการป้ องกันยาเสพติดของกระทรวงศึกษาธิการ.............................................................15
ยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด..........................................................................................15
บทที่ 3 ระเบียบวิธีการดาเนินการวิจัย.............................................................................................................19
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง........................................................................................................................19
การออกแบบรวบรวมข้อมูลเพื่อเป็นแนวทางในการสร้างเครื่องมือวิจัย..................................................20
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย...........................................................................................................................21
การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย............................................................................................................21
การเก็บรวบรวมข้อมูล..............................................................................................................................22
การวิเคราะห์ข้อมูล....................................................................................................................................22
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล.........................................................................................................................24
แบบประเมินความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมต่อต้านยาไอซ์ในโรงเรียน...............................................24
บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ....................................................................................................25
บทที่ 1
บทนา
ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา
ปัจจุบันนี้ปัญหายาเสพติดกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง โดยเฉพาะยาไอซ์ที่ปัจจุบันนี้กาลังระบาดหนัก
ในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ชอบออกเที่ยวกลางคืน นอกจากนั้นแล้วนักเรียนและเยาวชนในพื้นที่จุดเสี่ยงหลาย
ที่ ก็กาลังประสบปัญหาการแพร่ระบาดของยาไอซ์ในชุมชนรอบโรงเรียนเช่นกัน ถ้าหากปัญหาการแพร่
ระบาดของยาไอซ์ยังไม่ได้รับการแก้ไข หรือควบคุมให้ลดน้อยลง อาจส่งผลให้การแพร่ระบาดของยาไอซ์
ลุกลามเข้ามาถึงในโรงเรียน ทุกคนล้วนตระหนักดีกว่า โรงเรียนคือสถานที่ราชการ และเป็นสถานที่ซึ่งธารง
ไว้ซึ่งคุณงามความดี การที่จะทาให้นักเรียนในโรงเรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับโทษภัยของยาไอซ์นั้น ไม่ใช่เรื่อง
ยาก แต่เป็นเรื่องที่ต้องคิดกันว่าทาอย่าง นักเรียนจึงจะสามารถปฏิบัติตามที่โรงเรียนแนะนาได้
กลุ่มเยาวชนต้นกล้าความดี โรงเรียนภัทรบพิตร อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์มีกลุ่มประชากรจานวน
1,661 คน และบุคคลกรทางการศึกษามากกว่า 90 คน ได้ตระหนักเห็นความสาคัญการให้ความรู้ความเข้าใจ
การเข้าถึงเพื่อศึกษาปัญหาและการดึงให้ทุกฝ่ายให้มีส่วนร่วมในการดาเนินการเพื่อหาแนวทางการป้องกันยา
เสพติด จึงได้จัดทาวิจัยเพื่อศึกษาการจัดกิจกรรมต่อต้านยาไอซ์ในโรงเรียนโดยใช้ชื่อโครงการว่า ASEAN
Youth Anti-Drug (3 Spots: Skit – Radio - Media Anti-Ice) ซึ่งได้รับงบประมาณสนับสนุนการดาเนิน
กิจกรรมจากสานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เพื่อดูว่าผลการจัดกิจกรรมต่อต้านยา
ไอซ์มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด ต่อการสร้างความเข้าใจ และสร้างเกราะป้องกันนักเรียนในโรงเรียน
จากพิษภัยของยาไอซ์
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อศึกษาถึงผลการจัดกิจกรรมต่อต้านยาไอซ์ในโรงเรียน
2. เพื่อศึกษาเจตคติต่อการเข้าร่วมกิจกรรมต่อต้านยาไอซ์ของนักเรียนในโรงเรียน
สมมติฐานของการวิจัย
1. นักเรียนโรงเรียนภัทรบพิตร อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกัน
ตนเองจากยาไอซ์
2. นักเรียนโรงเรียนภัทรบพิตร อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์เกิดเจตคติที่ดีต่อการเข้าร่วมกิจกรรมต่อต้าน
ยาไอซ์ในโรงเรียน
ความสาคัญของการวิจัย
ผลการวิจัยครั้งนี้จะเป็นตัวบ่งบอกได้ว่า นักเรียนโรงเรียนภัทรบพิตร อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
มีความรู้สึก และเจตคติอย่างไรต่อการจัดกิจกรรมต่อต้านยาไอซ์ในโรงเรียน ซึ่งในอนาคตสามารถนาไป
ปรับปรุงเป็นกิจกรรมเสริมการเรียนการสอนในชั่วโมงเรียนได้ เพื่อให้นักเรียนเกิดการตื่นตัวในการดูแล
รักษาตนเองหลีกเลี่ยงยาเสพติดทุกชนิด เข้าใจ และช่วยเหลือผู้อื่นได้ถูกต้อง
ขอบเขตของการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้ มุ่งศึกษาผลการจัดกิจกรรมต่อต้านยาไอซ์ในโรงเรียน ดังนี้
1. เนื้อหาของการวิจัย เป็นการวิจัยตามสภาพจริง เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างสม่าเสมอ
ซึ่งจัดทาในลักษณะของการวิจัยเชิงคุณภาพ
2. ประชากรกลุ่มตัวอย่าง
2.1 ประชากร ได้แก่ ผู้อานวยการโรงเรียน รองผู้อานวยการโรงเรียน ครูในโรงเรียน และ
นักเรียนในโรงเรียน ปีการศึกษา 2555 จานวนทั้งสิ้น 1,761 คน
2.2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนโรงเรียนภัทรบพิตร ปีการศึกษา 2555 จานวน 1,661 คน
โดยแบ่งเป็น 2 ระดับคือ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 400 คน และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 200 คน
การสุ่มแบบเจาะจง (Purposive sampling)
3. ตัวแปรที่ใช้วิจัย
3.1 ตัวแปรต้น คือ นักเรียนโรงเรียนภัทรบพิตร อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
3.2 ตัวแปรตาม คือ อัตราส่วนของจานวนนักเรียนที่มีความคิดเห็นต่อการจัดกิจกรรมต่อต้าน
ยาไอซ์ในโรงเรียนระดับความพึงพอใจ ระดับ 3 (ดี) ขึ้นไป
บทที่ 2
แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาการดาเนินงานป้ องกันและแก้ไขปัญหายาไอซ์ในโรงเรียนภัทรบพิตร
อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
1. ความรู้เกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ
1.1 ความหมายของยาเสพติดให้โทษ
1.2 ประเภทของยาเสพติดให้โทษ
1.3 ชนิดของยาเสพติดให้โทษในปัจจุบัน
1.4 โทษและภัยของยาเสพติด
2. ความรู้เกี่ยวกับยาไอซ์
2.1 ความหมายของยาไอซ์
2.2 โทษของการใช้ยาไอซ์
3. นโยบายและยุทธศาสตร์ในการป้ องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา
3.1 นโยบายรัฐเกี่ยวกับยาเสพติด
3.2 นโยบายด้านการป้ องกันยาเสพติดของกระทรวงศึกษาธิการ
3.3 ยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด
ความรู้เกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ
ความหมายของยาเสพติดให้โทษ
ยาเสพติดให้โทษ หมายความว่า สารเคมี หรือวัตถุชนิดใดๆ ซึ่งเมื่อเสพเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะโดย
รับประทาน ดม สูบ ฉีด หรือด้วยประการใดๆ แล้ว ทาให้เกิดผลต่อร่างกายและจิตใจในลักษณะสาคัญเช่น
ต้องเพิ่มขนาดการเสพเรื่อยๆ มีอาการถอนยา เมื่อขาดยามีความต้องการเสพทั้งทางร่างกายและจิตอย่าง
รุนแรงอยู่ตลอดเวลาและสุขภาพโดยทั่วไปจะทรุดโทรมลง กลับให้รวมถึงพืช หรือ ส่วนของพืชที่เป็น หรือ
ให้ผลผลิตเป็นยาเสพติดให้โทษ หรืออาจใช้ผลิตเป็นยาเสพติดให้โทษและสารเคมี ที่ใช้ในการผลิตยาเสพติด
ให้โทษดังกล่าวด้วย (กรมสามัญศึกษา, 2540: 3-4)
ประเภทของยาเสพติดให้โทษ
จาแนกตามการออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท แบ่งเป็น 4 ประเภท
1. ประเภทกดประสาท ได้แก่ ฝิ่น มอร์ฟีน เฮโรอีน ยานอนหลับ ยาระงับประสาท ยากล่อม
ประสาทเครื่องดื่มมึนเมา ทุกชนิด รวมทั้ง สารระเหย เช่น ทินเนอร์ แล็กเกอร์ น้ามันเบนซิน
กาว เป็นต้น มักพบว่าผู้เสพติดมี ร่างกายซูบซีด ผอมเหลือง อ่อนเพลีย ฟุ้งซ่าน อารมณ์
เปลี่ยนแปลงง่าย
2. ประเภทกระตุ้นประสาท ได้แก่ ยาบ้า ยาอี กระท่อม โคเคน มักพบว่าผู้เสพติดจะมีอาการ
หงุดหงิด กระวนกระวาย จิตสับสนหวาดระแวง บางครั้งมีอาการคลุ้มคลั่ง หรือทาในสิ่งที่คน
ปกติ ไม่กล้าทา เช่น ทาร้ายตนเอง หรือฆ่าผู้อื่น เป็นต้น
3. 3. ประเภทหลอนประสาท ได้แก่ แอลเอสดี และ เห็ดขี้ควาย เป็นต้น ผู้เสพติดจะมีอาการ
ประสาทหลอน ฝันเฟื่องเห็นแสงสีวิจิตรพิสดาร หูแว่ว ได้ยินเสียง ประหลาดหรือเห็นภาพ
หลอนที่น่าเกลียดน่ากลัว ควบคุมตนเองไม่ได้ในที่สุดมักป่วยเป็นโรคจิต
4. ประเภทออกฤทธิ์ผสมผสาน คือทั้งกระตุ้นกดและหลอนประสาทร่วมกันได้แก่ ผู้เสพติดมักมี
อาการหวาดระแวง ความคิดสับสนเห็นภาพลวงตา หูแว่ว ควบคุมตนเองไม่ได้และป่วยเป็นโรค
จิตได้
ชนิดของยาเสพติดให้โทษในปัจจุบัน
ยาเสพติด ซึ่งเป็นปัญหาของชาติอยู่ในขณะนี้ มีประวัติความเป็นมาอย่างไรเป็นสิ่งที่น่าสนใจ
เพราะมนุษย์ได้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดมาเป็นเวลาช้านาน บางชนิดก็ให้ทั้งคุณประโยชน์และโทษ บางชนิด
ก็มีแต่โทษภัยเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันมียาเสพติดชนิดต่าง ๆ ในท้องตลาดมากกว่า 120 ชนิด อย่างไรก็ตามยา
เสพติดชนิดแรกที่คนไทยรู้จักก็คือ
1. ยาไอซ์(Ice)
อุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล (2553) กล่าวว่า ยา ICE หรือ ไอซ์ นั้น มันมีชื่อทางเคมีว่า เมทแอมเฟ
ตามีนไฮโดรคลอไรด์ที่อยู่ในรูป เมทแอมเฟตามีนในรูปผลึกใส Crystal Methamphetamines
Hydrochloride ความบริสุทธิ์สูง สังเคราะห์จากสารอีเฟดรีน (Ephedrine) ชื่อ “ICE” เรียกตาม
ลักษณะที่ปรากฏ คือ ก้อนผลึกใสเหมือนน้าแข็งปัจจุบันจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ตาม
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522
ดังนั้น ยา ไอซ์ ก็คือยาบ้า หรือ เมทแอมเฟตามีน ในรูปแบบที่บริสุทธ์มีลักษณะเป็นผลึกใส
เหมือนแก้ว จึงเรียกว่า ICE ตามรูปแบบยา นิยมเรียกกันในหมู่ผู้เสพ และเนื่องจากมีราคาแพงกว่า
ยาบ้า จึงมักใช้กันในกลุ่มไฮโซ ดารา กลุ่มนักเที่ยวที่มีอานาจการจับจ่ายสูง
ยาไอซ์มีชื่อหลากไปแล้วแต่แหล่ง ไอซ์คือชื่อตามท้องถนน ที่เรียกดังนี้เพราะมักปรากฏใน
รูปแบบของผลึกโปร่งใสคล้ายกระจกหรือก้อนน้าแข็ง ซึ่งอาจมีสีสันหลากกันไป จะเป็นสีชมพูสี
ฟ้าหรือเขียว ชื่ออื่นๆของไอซ์ ได้แก่ meth, crystal meth, shabu, glass, krank, tweak และ tina
แล้วแต่จะนิยมเรียกในแหล่งนั้นๆ
ไอซ์จะไม่มีกลิ่นและมีอันตรายสูงกว่าโคเคนมาก อานุภาพในการทาให้ผุ้เสพต้องการและ
หันไปเสพติดจะรุนแรงกว่า สีของไอซ์จะมีอยู่หลายสี แต่ละสีจะบ่งบอกถึงระดับความบริสุทธิ์และ
ความรุนแรงของไอซ์
ไอซ์ที่มีลักษณะเป็นผลึกใส คือไอซ์ที่ผลิตจากน้า (Water-base) จะเผาไหม้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเผาแล้วจะเหลือ คราบลักษณะคล้ายน้านม ไอซ์ที่มีสีเหลืองจะผลิตจากน้ามัน (Oil-base) ซึ่งจะ
เผาไหม้ได้ช้ากว่าจะมีคราบเป็น สีน้าตาลหรือสีดาเมื่อเผาไหม้แล้ว ยาเสพติดประเภทนี้ เมื่อเผาไหม้
แล้วจะไม่มีกลิ่น จึงทาให้ผู้เสพนิยมเพราะ ไม่มีกลิ่นผิดปกติ เหมือนกัญชา อีกสาเหตุหนึ่งที่ทาให้
คนนิยมคือราคาถูกกว่าโคเคนมากในย่านอเมริกาใต้และให้ผลในด้านการเปี่ยมสุขที่นานกว่า แต่
คุณครับ คุณไม่รู้หรอกว่าไอซมีพลานุภาพด้านเสพติดต่อร่างกายของเราที่รุนแรงกว่าเฮโรอีน ตอน
เสพก้อเพลินตามปัจจัยปรุงแต่ง แต่พอยาหมดฤทธิ์ไปแล้วสภาวะเปี่ยมสุขก้อจะละลายกลายมาเป็น
อาการซึมเศร้า (Depression หรือ Crash) ที่ยาวนานมากๆเป็นระยะเวลา หลาย ๆ วัน
2. ยาบ้า (Amphetamine)
ยาบ้า เป็นชื่อที่ใช้เรียกยาเสพติดที่มีส่วนผสมของสารเคมีประเภท แอมเฟตามีน
(Amphetamine) สารประเภทนี้แพร่ระบาดอยู่ 3 รูปแบบ ด้วยกัน คือ แอมเฟตามีนซัลเฟต
(Amphetamine Sulfate) เมทแอมเฟตามีน (Methamphetamine) และเมทแอมเฟตามีนไฮโดรคลอ
ไรด์ (Methamphetamine Hydrochloride) ซึ่งจากผลการตรวจพิสูจน์ยาบ้าปัจจุบัน ที่พบอยู่ใน
ประเทศไทยมักพบว่า เกือบทั้งหมดมีเมทแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์ผสมอยู่
ยาบ้า จัดอยู่ในกลุ่มยาเสพติดที่ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท มีลักษณะเป็นยาเม็ดกลมแบน
ขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6-8 มิลลิเมตร ความหนาประมาณ 3 มิลลิเมตร น้าหนักเม็ดยา
ประมาณ 80-100 มิลลิกรัม มีสีต่างๆ กัน เช่น สีส้ม สีน้าตาล สีม่วง สีชมพู สีเทา สีเหลืองและสีเขียว
มีสัญลักษณ์ ที่ปรากฎบนเม็ดยา เช่น ฬ, m, M, RG, WY สัญลักษณ์รูปดาว, รูปพระจันร์เสี้ยว, 99
หรืออาจเป็นลักษณะของเส้นแบ่งครึ่งเม็ด ซึ่งสัญลักษณ์เหล่านี้ อาจปรากฏบนเม็ดยาด้านใดด้าน
หนึ่ง หรือทั้งสองด้าน หรืออาจเป็นเม็ดเรียบทั้งสองด้านก็ได้
การออกฤทธิ์ของยากลุ่มแอมเฟตามีน ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1. ออกฤทธิ์กระตุ้นต่อระบบประสาทส่วนกลางให้ตื่นตัวตลอดเวลา นอนไม่หลับ
2. ทาให้ความดันโลหิตสูงขึ้น หัวใจเต้นเร็วและแรงขึ้น
3. กดศูนย์ควบคุมการอยากอาหาร ทาให้เบื่ออาหาร ทานน้อยลง เป็นยาลดน้าหนักได้
4. กระตุ้นศูนย์หายใจ ทาให้หายใจเร็วและแรงขึ้น
5. กระตุ้นระบบสมองส่วนหน้า ทาให้เกิดอาการความคิดความอ่านแจ่มใสชั่วขณะ บางราย
จะมีอาการสั่น
3. สาระเหย (Volatile Solvent)
องค์การอนามัยโลกได้ให้ความหมายของยาเสพติด หรือยาเสพติดให้โทษ ว่าหมายถึง ยา
หรือสารที่สามารถมีปฏิกิริยาต่อร่างกาย ทาให้เกิดการติดยาทางร่างกายหรือจิตใจ ทาให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงทางสรีระวิทยาของร่างกาย เมื่อหยุดใช้ยาจะเกิดอาการเนื่องจากการหยุดยา คือ
หงุดหงิด ตื่นเต้น หาวนอน น้ามูกน้าตาไหล เหงื่อออกมาก ขนลุก ตะคริว นอนไม่หลับ คลื่นไส้
อาเจียน ปวดศรีษะ
ในกรณีสารระเหย การติดทางจิตใจมีแน่นอน เนื่องจากผู้ที่จะเสพติดสารระเหยมักมี
บุคคลิกภาพและสุขภาพจิตผิดปกติอยู่ก่อนแล้วต้องการใช้สารระเหยเพื่อหลีกเลี่ยงอารมณ์ซึมเศร้า
กังวล ฯลฯ องค์การอนามัยโลกได้จัดตัวทาละลายที่ระเหยง่าย เช่น ethyl acetate ซึ่งพบในลูกโป่ง
วิทยาศาสตร์ และสารบางตัวเช่น thinners ซึ่งพบในกาวต่างๆ เป็นสารระเหยเป็นต้น เนื่องจากสาร
ดังกล่าวเป็นปัญหาต่อการเสพติด
สารระเหย (Volatile Substances)
สารระเหยหมายถึง สารประกอบอินทรีย์เคมีประเภท ไฮโดรคาร์บอน์ที่ได้มาจากน้ามันปิ
โตรเลี่ยมและก๊าซธรรมชาติ เป็นสารที่ระเหยได้ง่ายในอุณหภูมปกติ สารเหล่านี้เป็นส่วนผสมใน
ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์ที่พบเห็นได้บ่อยๆ เช่น ทินเนอร์ แลคเกอร์
สารระเหยเมื่อแบ่งตามคุณสมบัติทางกายภาพ แบ่งออกเป็น 3 พวกใหญ่ๆ คือ
1. สารระเหย (Volatile Substance) เป็นสารประกอบอินทรีย์เคมีที่ได้มาจากน้ามันปิโต
รเลี่ยมและก๊าซธรรมชาติ เป็นสารที่ระเหยได้ง่ายในอุณหภูมิห้อง จึงนิยมใช้กันมากในอุตสาหกรรม
การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในทางอุตสาหกรรมที่มีคุณสมบัติแห้งระเหยได้เร็ว
2. ตัวทาละลาย (Solvents) เป็นสารที่เป็นของเหลวใช้เป็นส่วนผสมทั้งในผลิตภัณฑ์ที่ใช้
ในทางอุตสาหกรรม และผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในครัวเรือน เช่น เฮกเซน มีอยู่ในพลาสติก ซิเมนต์โทลูอีน
ไซลีน มีอยู่ในกาวติดเครื่องบินเด็กเล่น แลกเกอร์ ทินเนอร์ อะซิโตน ในรูปน้ายาล้างเล็บ เบนซิน ใน
น้ายาทาความสะอาด
3. ละอองลอย (Aerosol) ซึ่งจัดบรรจุในภาชนะที่ใช้สาหรับฉีด มีส่วนผสมของไฮโดร-
คาร์บอน หรือ ฮาโลคาร์บอน พบมากในรูปของสเปรย์ฉีดผม สีกระป๋ องสาหรับพ่น
4. ฝิ่น (Opium)
ฝิ่นเป็นสารประกอบชนิดหนึ่ง ซึ่งได้จากยางของผลฝิ่น ในเนื้อฝิ่นมีสารเคมีผสมอยู่มากมาย
ซึ่งประกอบด้วย โปรตีน เกลือแร่ ยางและกรดอินทรีย์เป็นแอลคะลอยด์ (Alkaloid) ซึ่งเป็นตัวการ
สาคัญ ที่ทาให้ฝิ่นกลายเป็นสารเสพติด ให้โทษที่ร้ายแรง แอลคะลอยด์ในฝิ่นแบ่งแยกได้เป็น 2
ประเภท คือ
ประเภทที่ 1 ออกฤทธิ์ทาให้เกิดอาการมึนเมา และเป็นยาเสพติดให้โทษโดยตรง แอลคะ
ลอยด์ประเภทนี้ทางเภสัชวิทยาถือว่า เป็นยาทาให้นอนหลับ (Hypnotic) แอลคะลอยด์ที่เป็นสารเสพ
ติดซึ่งออกฤทธิ์ตัวสาคัญที่สุดในฝิ่น คือ มอร์ฟีน (Morphine)
ประเภทที่ 2 ออกฤทธิ์ทาให้กล้ามเนื้อเรียบหย่อนคลายตัว ซึ่งในทางเภสัชวิทยาถือว่า แอล
คะลอยด์ในฝิ่นประเภทนี้ไม่เป็นสารเสพติด แต่มีฤทธิ์ทาให้กล้ามเนื้อของร่างกายหย่อนคลายตัว ซึ่ง
มีปาปาเวอร์รีน (Papaverine) เป็นตัวสาคัญ
ฝิ่นเป็นพืชล้มลุกขึ้นในที่สูงกว่าระดับน้าทะเลประมาณ 3,000 ฟุตขึ้นไป เป็นยาเสพติดที่
เป็นต้นตอของยาเสพติดร้ายแรง เช่น มอร์ฟีน เฮโรอีน และโคเคอีน มีการลักลอบปลูกฝิ่นมากทาง
ภาคเหนือของประเทศไทยบริเวณแนวพรมแดน ที่เรียกว่าสามเหลี่ยมทองคา
เนื้อฝิ่นได้มาจากยางของผลฝิ่นที่ถูกกรีดจะมีสีขาว เมื่อถูกอากาศจะมีสีคล้าลง กลายเป็นยาง
เหนียวสีน้าตาลไหม้หรือ ดา มีกลิ่นเหม็นเขียวและรสขม เรียกว่า ฝิ่นดิบ ส่วนฝิ่นที่มีการนามาใช้
เสพ เรียกว่า ฝิ่นสุก ได้มาจากการนาฝิ่นดิบไปต้มหรือเคี่ยวจนสุก
ฤทธิ์ทางเสพติด ออกฤทธิ์กดระบบประสาท มีอาการเสพติดทั้งทางร่างกายและจิตใจ มี
อาการขาดยาทางร่างกายอาการผู้เสพ คือ จิตใจเลื่อนลอย ง่วง ซึม แก้วตาหรี่ พูดจาวกวน ความคิด
เชื่องช้า ไม่รู้สึกหิว ชีพจรเต้นช้า โทษที่ได้รับนั้น ร่างการทรุดโทรม สมองมึนชา สติปัญญาเสื่อม
โทรม
5. มอร์ฟีน (Morphine)
มอร์ฟีนเป็น alkaloid ได้จากยางสีขาวขุ่นของผลฝิ่น เมื่อนายางนี้มาตากให้แห้ง สีจะค่อยๆ
เปลี่ยนเป็นสีน้าตาล มีลักษณะข้นเหนียว ถ้าทาให้แห้งต่อไปจะกลายเป็นผง 25% ตามน้าหนัก มี
ฤทธิ์กดประสาทส่วนกลางแรงว่าฝิ่น ประมาณ 8-10 เท่า จัดเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 ตาม
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม (แพทย์) มีสิทธ์ครอบครอง
ได้โดยต้องขออนุญาตที่กองควบคุมวัตถุเสพติด สานักงานคณะกรรมการอาหารและยา
มอร์ฟีน สามารถสังเคราะห์ได้แต่กรรมวิธีจะยากกว่าสกัดจากธรรมชาติ ถ้ามีการ
เปลี่ยนแปลงสูตรโครงสร้างเพียงเล็กน้อยจะได้สารตัวอื่น ซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป เช่นเปลี่ยน
hydroxy group ที่ตาแหน่ง 3 เป็น methoxy group จะได้โคเดอีน ซึ่งนอกจากมีฤทธิ์ระงับปวดแล้ว
ยังมีฤทธิ์ระงับไอได้ดีอีกด้วย และถ้าเปลี่ยน hydroxy group ที่ตาแหน่ง 3 และที่ตาแหน่ง 6 เป็น
acetyl group จะได้เฮโรอีน ซึ่งจัดเป็นยาเสพติดที่ร้ายแรงกว่า มอร์ฟีน
การให้โดยการฉีดจะได้ผลดีกว่าการรับประทาน โดยออกฤทธิ์ระงับปวด ทาให้ง่วงซึม
อารมณ์เปลี่ยนแปลง สมองไม่ปลอดโปร่ง เมื่อให้มอร์ฟีน ในขนาดรักษาแก่ผู้ป่วยที่มีความเจ็บปวด
จะทาให้ความเจ็บปวดหายไปหรือลดน้อยลง และในผู้ป่วยบางรายอาจเกิดอาการคลิบเคลิ้มเป็นสุข
ฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางอย่างอื่น ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ซึมเซา เชื่องช้า ไม่มีสมาธิ ผู้ที่
ได้รับยาเกินขนาด จะมีอาการง่วงซึมมาก รูม่านตาหรี่ การหายใจถูกกด โคม่า
มอร์ฟีนถูกดูดซึมได้ดีที่ระบบทางเดินอาหาร จากใต้ผิวหนัง และกล้ามเนื้อ ไม่สะสมใน
ร่างกาย ยาที่ให้ไปจะถูกขับออกจากร่างกายประมาณ 90% ภายใน 24 ชั่วโมง
อาการการติดยาเกิดจากการได้รับยาซ้าๆ กัน มีทั้งอาการพึ่งยาทางจิตใจเนื่องจากฤทธิ์ของ
ยาและเพื่อความพึงพอใจของผู้เสพ และอาการพึ่งยาทางร่างกายซึ่งจาเป็นต้องได้รับยาเพื่อให้
ร่างกายอยู่ในภาวะปกติ และมีอาการถอนยาเมื่อขาดยา การติดยาเกิดขึ้นเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับขนาดยา
ที่ได้รับ ถ้าได้รับยาในขนาดสูงหรือได้รับยาติดต่อกันนานมากเท่าไหร่ ก็จะทาให้เกิดอาการติดยาได้
เร็วมากขึ้นเท่านั้น และอาการถอนยาจะรุนแรงตามไปด้วย
อาการถอนยาเป็นลักษณะเฉพาะของยาประเภทมอร์ฟีน จะมีอาการเกิดขึ้นภายใน 2-3
ชั่วโมง หลังจากได้รับยาขนาดสุดท้าย อาการสูงสุดภายใน 12 ชั่วโมง หลังจากนั้นจะสงบลงภายใน
1 สัปดาห์ อาการถอนยาที่เกิดขึ้นได้แก่ หาวนอน น้าตาไหล เหงื่อออก ม่านตาขยาย ตัวสั่น นอนไม่
หลับ กระวนกระวาย ตะคริว
ปัจจุบันมอร์ฟีนยังใช้ประโยชน์ได้ดีในการระงับปวด โดยเฉพาะคนไข้โรคมะเร็งซึ่งมี
อาการขั้นสุดท้าย (สานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข, 2555)
6. เฮโรอีน (Heroin)
เฮโรอีนเป็นยาเสพติดที่ได้จากการสังเคราะห์ทางเคมี จากปฏิกิริยาระหว่างมอร์ฟีนกับ
สารเคมีบางชนิด เช่น อาเซติคแอนไฮไดรด์(Acetic anhydride) หรือ อาเซติลคลอไรด์ (Acetyl
chloride) หรือเอทิลิดีนไดอาเซเตต (Ethylidene diacetate) โดยนักวิจัยชาวอังกฤษ ชื่อ C.R. Wright
ได้ค้นพบวิธีการสังเคราะห์ เฮโรอีนจากมอร์ฟีนโดยใช้น้ายาอาเซติคแอนไฮไดรด์ (Acetic
anhydride) และบริษัทผลิตยาไบเออร์ (Bayer) ได้นามาผลิตเป็นยาออกสู่ตลาดโลก ในชื่อทางการค้า
ว่า “Heroin” และนามาใช้แทนมอร์ฟีนอย่างแพร่หลาย หลังจากที่มีการใช้เฮโอีนในวงการแพทย์
นานถึง 18 ปี จึงทราบถึงอันตรายและผลที่ทาให้เกิดการเสพติดที่ให้โทษอย่างร้ายแรงจนปี พ.ศ.
2467 (ค.ศ. 1924) ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกกฎหมายระบุให้เฮโรอีนเป็นยาเสพติดให้โทษ ห้าม
มิให้ผู้ใดมีไว้ในครอบครองหลังจากนั้นต่อมาอีก 35 ปี คือ เมื่อปี พ.ศ. 2502 เฮโรอีนจึงได้แพร่
ระบาดสู่ประเทศไทย และในปี พ.ศ. 2504 ประเทศไทยจึงออกกฎหมาย ระบุให้เฮโรอีนและมอร์ฟีน
เป็นยาเสพติดให้โทษ
เฮโรอีนออกฤทธิ์แรงกว่ามอร์ฟีนประมาณ 4-8 เท่า และออกฤทธิ์แรงกว่าฝิ่น ประมาณ 30-
90 เท่า โดยทั่วไปเฮโรอีน จะมีลักษณะเป็นผงสีขาว สีนวล หรือสีครีม มีรสขม ไม่มีกลิ่น และแบ่ง
ได้เป็น 2 ประเภท เช่นเดียวกับมอร์ฟีน ได้แก่ เฮโรอีนเบส (Heroin base) ซึ่งมีคุณลักษณะเด่น คือ
ไม่ละลายน้า ส่วนอีกประเภทหนึ่ง คือ เกลือของเฮโรอีน (Heroin salt) เช่น เฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์
(Heroin hydrochloride)
เฮโรอีนที่แพร่ระบาดในประเทศไทย แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
1. เฮโรอีนผสม หรือเรียกว่า เฮโรอีนเบอร์ 3 หรือไอระเหย เป็นเฮโรอีนที่มีความบริสุทธิ์ต่า
เนื่องจากมีการผสมสารอื่นเข้าไปด้วย เช่น ผสมสารหนู สตริกนิน ยานอนหลับ คาเฟอีน แป้ง
น้าตาลและอาจผสมสี เช่น สีม่วงอ่อน สีชมพูอ่อน สีน้าตาล อาจพบในลักษณะเป็นผง เป็นเกล็ด
หรืออัดเป็นก้อนเล็กๆ มีวิธีการเสพโดยการสูดเอาไอสารเข้าร่างกาย จึงเรียกว่า “ไอระเหย” หรือ
“แคป”
2. เฮโรอีนเบอร์ 4 เป็นเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ที่มีความบริสุทธิ์สูง มีลักษณะเป็นผง
ละเอียด หรือเป็นเม็ดคล้ายไข่ปลา หรือพบในลักษณะอัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมผืนผ้า มักมีสีขาวหรือสี
ครีม ไม่มีกลิ่น มีรสขม เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า “ผงขาว” มักเสพโดยนามาละลายน้าแล้วฉีดเข้า
ร่างกาย หรือผสมบุหรี่สูบ
โทษและภัยของยาเสพติด
เนื่องด้วยพิษภัยหรือโทษของสารเสพติดที่เกิดแก่ผู้หลงผิดไปเสพสารเหล่านี้เข้า ซึ่งเป็นโทษที่มอง
ไม่เห็นชัด เปรียบเสมือนเป็นฆาตกรเงียบ ที่ทาลายชีวิตบุคคลเหล่านั้นลงไปทุกวัน ก่อปัญหาอาชญากรรม
ปัญหาสุขภาพ ก่อความเสื่อมโทรมให้แก่สังคมและบ้านเมืองอย่างร้ายแรง เพราะสารเสพย์ติดทุกประเภทที่มี
ฤทธิ์เป็นอันตรายต่อร่างกายในระบบประสาท สมอง ซึ่งเปรียบเสมือนศูนย์บัญชาการของร่างกายและชีวิต
มนุษย์การติดสารเสพติดเหล่านั้น จึงไม่มีประโยชน์อะไรเกิดขึ้นแก่ร่างกายเลย แต่กลับจะเกิดโรคและพิษ
ร้ายต่างๆ จนอาจทาให้เสียชีวิต หรือ เกิดโทษและอันตรายต่อครอบครัว เพื่อนบ้าน สังคม และชุมชนต่างๆ
ต่อไปได้อีกมาก โทษทางร่างกาย และจิตใจ คือ
1. สารเสพติดจะให้โทษโดยทาให้การปฏิบัติหน้าที่ของอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายเสื่อมโทรม
พิษภัยของสารเสพย์ติดจะทาลายประสาท สมอง ทาให้สมรรถภาพเสื่อมลง มีอารมณ์ จิตใจไม่ปกติ เกิดการ
เปลี่ยนแปลงได้ง่าย เช่น วิตกกังวล เลื่อนลอยหรือฟุ้งซ่าน ทางานไม่ได้อยู่ในภาวะมึนเมาตลอดเวลา อาจ
เป็นโรคจิตได้ง่าย
2. ด้านบุคลิกภาพจะเสียหมด ขาดความสนใจในตนเองทั้งความประพฤติความสะอาดและ
สติสัมปชัญญะ มีอากัปกิริยาแปลกๆ เปลี่ยนไปจากเดิม
3. สภาพร่างกายของผู้เสพจะอ่อนเพลีย ซูบซีด หมดเรี่ยวแรง ขาดความกระปรี้กระเปร่า และเกียจ
คร้าน เฉื่อยชา เพราะกินไม่ได้นอนไม่หลับ ปล่อยเนื้อ ปล่อยตัวสกปรก ความเคลื่อนไหวของร่างกายและ
กล้ามเนื้อต่างๆ ผิดปกติ
4. ทาลายสุขภาพของผู้ติดสารเสพติดให้ทรุดโทรมทุกขณะ เพราะระบบอวัยวะต่างๆ ของร่างกายถูก
พิษยาทาให้เสื่อมลง น้าหนักตัวลด ผิวคล้าซีด เลือดจางผอมลงทุกวัน
5. เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย เพราะความต้านทานโรคน้อยกว่าปกติ ทาให้เกิดโรคหรือเจ็บไข้ได้ง่าย
และเมื่อเกิดแล้วจะมีความรุนแรงมาก รักษาหายได้ยาก
6. อาจประสบอุบัติเหตุได้ง่าย สาเหตุเพราะระบบการควบคุมกล้ามเนื้อและประสาทบกพร่อง
ใจลอย ทางานด้วยความประมาท และเสี่ยงต่ออุบัติเหตุตลอดเวลา
7. เกิดโทษที่รุนแรงมาก คือ จะเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ถึงขั้นอาละวาด เมื่อหิวยาเสพติดและหายาไม่ทัน
เริ่มด้วยอาการนอนไม่หลับ น้าตาไหล เหงื่อออก ท้องเดิน อาเจียน กล้ามเนื้อกระตุก กระวาย และในที่สุดจะ
มีอาการเหมือนคนบ้า เป็นบ่อเกิดแห่งอาชญากรรม
ความรู้เกี่ยวกับยาไอซ์
ความหมายของยาไอซ์
"ไอซ์" คือผงเมธแอมเฟตามีน ที่ทาให้อยู่มนสภาพแข็ง ด้วยการนาเอาเมธแอมเฟตามีนมาผ่าน
กระบวนการหุงต้มจนตกเป็นก้อนผลึก ไอซ์มักมีที่มาจากประเทศแถบเอเชีย อย่างไรก็ไอซ์สามารถผลิตได้
ทุก ๆ แห่งที่มีเมธแอมเฟตามีน ความรุนแรงของไอซ์ขึ้นอยู่กับระดับความบริสุทธิ์ ของเมธแอมเฟตามีนที่มี
อยู่สูงมาก ในขณะที่เมธแอมเฟตามีนที่มีขายอยู่ทั่วไป จะถูกลดระดับความบริสุทธ์ (Cut) ลงด้วยเคมีภัณฑ์
อื่นหลายครั้ง แต่ผลึกเมธแอมเฟตามีนของไอซ์ จะมีระดับความบริสุทธิ์ของเมธแอมเฟตามีน สูงถึง 98-
100% ไอซ์จะไม่มีกลิ่นและมีอันตรายสูงกว่า Crack และ Cocaine
นอกจากนั้นยังมีอานุภาพในการ เสพติดที่รุนแรงกว่าสีของไอซ์จะมีอยู่หลายสี แต่ละสีจะบ่งบอกถึง
ระดับความบริสุทธิ์และความรุนแรงของ ไอซ์ ไอซ์ที่มีลักษณะเป็นผลึกใส คือไอซ์ที่ผลิตจากน้า (Water-
base) จะเผาไหม้อย่างรวดเร็ว เมื่อเผาแล้วจะเหลือ คราบลักษณะคล้ายน้านม ไอซ์ที่มีสีเหลืองจะผลิตจาก
น้ามัน (Oil-base) ซึ่งจะเผาไหม้ได้ช้ากว่าจะมีคราบเป็น สีน้าตาลหรือสีดาเมื่อเผาไหม้แล้ว ยาเสพติด
ประเภทนี้ เมื่อเผาไหม้แล้วจะไม่มีกลิ่น จึงทาให้ผู้เสพนิยมเพราะ ไม่มีกลิ่นผิดปกติ เหมือนกัญชา อีกสาเหตุ
หนึ่งที่ทาให้คนนิยม คือราคาถูกกว่าโคเคนมาก และผลในด้านการ เปี่ยมสุขที่นานกว่า แต่ผู้เสพไม่รู้หลอกว่า
ไอซมีอานุภาพด้านเสพติดทาง กายภาพที่รุนแรงกว่าเฮโรอีน และเมื่อ หมดสถาวะความเปี่ยมสุขแล้วจะเกิด
อาการซึมเศร้า(Depression หรือ Crash) ที่ยาวนานเป็นระยะเวลา หลาย ๆ วัน
โทษของการใช้ยาไอซ์
ผู้เสพยาไอซ์จะเกิความรู้สึกเปี่ยมสุขทั้งร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรง (Euphoria) ฤทธิ์ของยาไอซ์จะ
คงอยู่ระหว่าง 4-14 ชม. ขึ้นอยู่กับปริมาณที่เสพ ถึงแม้ยาที่เสพเข้าไปจะถูกดูดซึมเข้าสุ่กระแสโลหิตอย่าง
รวด เร็วแต่ตัวยา ส่วนหนึ่งจะถูกขับถ่ายออกมาทางร่างกายโดยไม่มีโอกาสแสดงปฏิกริยาใด ๆ ภายใน 72
ชม.หลังการเสพ หลังจากนั้นจะเกิดอาการตาแข็งนอนไม่หลับ เมื่อพ้นจากอาการนี้ก็จะนอนหลับอย่าง
ต่อเนื่องเป็น เวลานาน ๆ ผลต่อ สภาพร่างกายของผู้เสพ
ผู้เสพจะเป็นโรคขาดวิตามินและแร่ธาตุสาคัญต่อร่างกายเนื่องมาจากรับประทาน อาหารไม่เพียงพอ
น้าหนักจะลด ลงอย่างรวดเร็วจนเห็นได้ชัด ภูมิต้านทานโรคของร่างกายถดถอย การเสพเป็นระยะนาน ๆ
จะทาให้ระบบการทางานของปอด ตับ และ ไต ชารุด นอกจากนั้น ยังทาให้มีอาการเสพติดทางจิตซึ่งนาไปสู่
การฟั่นเฟือน ทางจิต โรคนอนไม่หลับ กระวนกระวาย ซึมเศร้าและอ่อนเพลียผู้เสพจาต้องเพิ่มปริมาณ การ
เสพมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้บรรลุถึงความเปี่ยมสุขที่เคยประสบ
นโยบายและยุทธศาสตร์ในการป้ องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา
นโยบายรัฐเกี่ยวกับยาเสพติด
11 กันยายน 2554 เวลา 10.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทาเนียบรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดปฏิบัติการวาระแห่งชาติ “พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด” โดยมี ร.ต.อ.เฉลิม
อยู่บารุง รอง นรม., รมว.มท.รมว.ยธ.รมว.สธ., รมว.กห. ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม โดยสรุป ดังนี้
เมื่อวันที่ 11 ส.ค.54 ที่ผ่านมา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มีกระแสพระราชดารัส ที่
พระราชทานแก่คณะบุคคลที่ เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12
สิงหาคม 2554 ณ ศาลาดุสิดาลัย โดยขอความร่วมมืออย่างจริงจังจากรัฐบาลและคนไทยทั้งชาติ ในการแก้ไข
ปัญหายาเสพติด รัฐบาลจึงได้กาหนดให้ปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ ที่ทุกภาคส่วนในสังคมจะต้องมี
ความสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจ เร่งแก้ไขปัญหายาเสพติด อย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยกาหนดให้มียุทธศาสตร์
“พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด” ด้วยการรวมพลังทุกภาคส่วนเป็นพลังแผ่นดินในการต่อสู้กับยาเสพติด โดย
ยึดหลักผู้เสพคือผู้ป่วยที่ต้องได้รับการบาบัดรักษาให้กลับมาเป็นคนดีของสังคม และสั่งการให้มีการกากับ
ติดตามช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ รวมทั้งดาเนินการป้ องกันกลุ่มเสี่ยงและประชาชนทั่วไปไม่ให้เข้าไป
เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ยึดหลักนิติธรรมในการปราบปรามลงโทษผู้ผลิต ผู้ค้า ผู้มีอิทธิพล และผู้ประพฤติมิ
ชอบ มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด และดาเนินการอย่างจริงจังในการป้องกันปัญหาด้วยการแสวงหา
ความร่วมมือเชิงรุกกับต่างประเทศในการควบคุมและสกัดกั้นยาเสพติด สารเคมี และสารตั้งต้นในการผลิต
ยาเสพติดที่ลักลอบเข้าสู่ประเทศ ภายใต้การบริการจัดการอย่างบูรณาการและมีประสิทธิภาพ
วัตถุประสงค์หลักของยุทธศาสตร์ ยุติสถานการณ์การแพร่ระบาดของยาเสพติด ภายใน 1 ปี
กลยุทธ์7 แผน 4 ปรับ 3 หลัก 6 เร่ง ยึดเป็นหลักในการขับเคลื่อนงานยาเสพติด 7 แผน ดังนี้
1. แผนสร้างพลังสังคมและพลังชุมชนเอาชนะยาเสพติด ทาให้หมู่บ้าน/ชุมชนทั่วประเทศ ประมาณ
60,000 แห่ง มีการรวมตัวเป็นพลังแผ่นดิน ในการป้ องกันเฝ้าระวัง และแก้ไขปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน/
ชุมชน
2. แผนการแก้ไขปัญหาผู้เสพผู้ติด (Demand) ลดจานวนผู้เสพยาเสพติดในประเทศไทย 1.2 ล้านคน
ใน 4 ปี โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าในปีแรกจะดาเนินการให้ได้ถึง 400,000 คนทั่วประเทศ ติดตามช่วยเหลือฟื้นฟู
ไม่ให้กลับมา เสพซ้า ประมาณ 80 % ใน 1 ปี
3. แผนสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันยาเสพติด (Potential Demand) มุ่งสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดให้กับ
ประชาชน เยาวชนทั่วไป เยาวชนกลุ่มเสี่ยง ซึ่งจะเป็นการตัดการเพิ่มขึ้นของผู้เสพรายใหม่
4. แผนปราบปรามยาเสพติดและบังคับใช้กฎหมาย ลดผู้ผลิต ผู้ค้าผู้ลาเลียงยาเสพติดในทุกระดับ
โดยบังคับใช้กฎหมายตามหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด ใช้มาตรการทางด้านทรัพย์สิน การสืบสวนขยายผล
เป็นแนวทางปฏิบัติหลัก
5. แผนความร่วมมือระหว่างประเทศ รัฐบาลจะแสวงความร่วมมือกับต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่ง ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อร่วมกันปราบปรามการผลิตและค้ายาเสพติด รวมทั้ง ใช้นโยบายเชิงรุกในการ
พัฒนาพื้นที่ชายแดนตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพื่อให้
ชายแดนมีความเป็นอยู่อย่างสันติ
6. แผนสกัดกั้นยาเสพติดตามแนวชายแดน สกัดกั้นยาเสพติดตามแนวชายแดนทุกด้าน มิให้มีการ
ลักลอบนายาเสพติดสู่ประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
7. แผนบริหารจัดการแบบบูรณาการ ระดมสรรพกาลังทั้งประเทศเข้าแก้ไขปัญหายาเสพติด มีการ
จัดองค์กร กลไกการแก้ไขปัญหายาเสพติดทุกระดับ และบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ
4 ปรับ เพื่อทาให้การเอาชนะยาเสพติด มีประสิทธิภาพมากขึ้น
1. ปรับปรุงข้อมูล การข่าวให้ถูกต้อง ทันสมัย
2. ปรับบทบาท พฤติกรรมเจ้าหน้าที่ของรัฐ
3. ปรับกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ
4. ปรับทัศนคติของสังคมและชุมชนมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหายาเสพติด
3 หลัก ยึด 3 หลักในการแก้ปัญหา ประกอบด้วย
1. หลักเมตตาธรรมที่มีความรักในเพื่อนมนุษย์อยากเห็นคนผิดกลับตัวเป็นคนดี คืนความ
รักให้ครอบครัว คืนสุขให้ชุมชน
2. ยึดหลักนิติธรรม ทางกฎหมายมาบังคับใช้อย่างจริงจังตามหลักนิติธรรม
3. หลักแก้ปัญหาโดยยึดพื้นที่เป็นตัวตั้ง โดยยึดจังหวัด อาเภอ ตาบล หมู่บ้าน เป็นตัวตั้งของ
การแก้ไขปัญหา ให้พื้นที่เป็นเจ้าของปัญหา
6 เร่ง ข้อฏิบัติเร่งด่วน 6 เรื่องที่จะต้องเร่งดาเนินการ
1. เร่งดาเนินการในด้านข้อมูล ให้ทุกหน่วยหาข้อมูลปัญหายาเสพติดที่เป็นจริงในระดับ
พื้นที่
2. เร่งลดจานวนผู้เสพยาจากหมู่บ้าน/ชุมชน จัดทาแผนบาบัดรักษาลดจานวนผู้เสพยาเสพ
ติดในพื้นที่
3. เร่งแสวงหาความร่วมมือกับต่างประเทศและการสกัดกั้นยาเสพติด
4. เร่งปราบปรามผู้ค้า ลดความเดือดร้อนของประชาชนจากปัญหายาเสพติด ตามที่ข้อ
ร้องเรียนของประชาชนผ่านช่องทางต่างๆ ให้เป็นเรื่องเร่งด่วนลาดับแรก และจะมีการแจ้งผลการดา
เนินงานให้ประชาชนรับทราบ ขยายผลการยึดทรัพย์ผู้ค้ายาเสพติดตามหลักนิติธรรม ให้เพิ่มมากขึ้น
5. เร่งแก้ไขปัญหาเยาวชนกลุ่มเสี่ยงทั้งในและนอกสถานศึกษา ให้ทุกจังหวัดเข้มงวด
กวดขันพื้นที่เสี่ยง ปัจจัยเสี่ยงที่สร้างความเดือดร้อนราคาญให้กับชุมชนและสังคม เร่งสร้างระบบ
ป้องกัน และเฝ้าระวังยาเสพติดในสถานศึกษาในทุกจังหวัด เพื่อสร้างความสบายใจให้กับผู้ปกครอง
6. เร่งสร้างหมู่บ้าน/ชุมชนให้มีความเข้มแข็ง โดยน้อมนาพระราชดารัสสมเด็จพระนางเจ้า
พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2554 เรื่องโครงการกองทุนแม่ของแผ่นดิน จะทาให้
หมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดินทั้งหมดที่มีอยู่มีความเข้มแข็ง จะขยายจานวนหมู่บ้านกองทุนแม่ของ
แผ่นดินให้เพิ่มขึ้น ประมาณ 50% ของหมู่บ้าน/ชุมชนทั้งประเทศในระยะ 4 ปี
นโยบายด้านการป้ องกันยาเสพติดของกระทรวงศึกษาธิการ
นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.)เปิดเผยว่า
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ มอบนโยบายการป้ องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาภายใต้
ยุทธศาสตร์"รั้วโรงเรียน" และนโยบายด้านภูมิคุ้มกันยาเสพติด (Drug-Free) เพื่อให้สถานศึกษาทุกสังกัด
ดาเนินการป้องกัน แก้ไข หยุดยั้งและลดระดับการแพร่ระบาดยาเสพติดในสถานศึกษานั้น สพฐ. ได้จัดทา
เกณฑ์มาตรฐานตัวชี้วัดเครื่องมือ และคู่มือการประเมินผลการดาเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด
ในสถานศึกษาและมอบให้สานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ส่งเสริมกากับ ติดตามและประเมินผลการ
ดาเนินงานของสถานศึกษาในสังกัด ภายใต้ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนและแผนยุทธศาสตร์ตาม
นโยบายสถานศึกษา3 ดี (3D) ของ ศธ. เพื่อให้สถานศึกษาได้รับการเสริมสร้างความเข้มแข็งในการป้องกัน
และแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาอย่างยั่งยืน
รวมทั้งได้แต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกสถานศึกษาดีเด่นในระดับ สพฐ.นั้น เพื่อป้องกันและแก้ไข
ปัญหายาเสพติดและลดปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติดในสถานศึกษา รวมทั้งเพื่อส่งเสริมให้ประชาชน
องค์กรประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมในการดาเนินงานแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาภายใต้
ยุทธศาสตร์"รั้วโรงเรียน" จึงได้เชิญผู้รับผิดชอบงานยาเสพติดจากสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหาร
สถานศึกษาดีเด่น ด้านป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด รวม 136 แห่งเข้าร่วมประชุมปฏิบัติการถอด
บทเรียนสถานศึกษาดีเด่นในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาภายใต้ยุทธศาสตร์"รั้ว
โรงเรียน" และนโยบายด้านภูมิคุ้มกันยาเสพติด (Drug-Free) และเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติผู้บริหาร
สถานศึกษาที่ยอมรับปัญหาและป้องกัน/แก้ไขปัญหาอย่างจริงจังรวมทั้งเพื่อเป็นขวัญกาลังใจ จึงได้จัดพิธี
มอบโล่รางวัลให้แก่สถานศึกษาดีเด่นในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาภายใต้
ยุทธศาสตร์ "รั้วโรงเรียน" ระดับประเทศ ในวันที่ 28 ก.พ.54 ณ รร.ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ ทั้งนี้คาดว่าจากการ
ประชุมครั้ง สพฐ.จะมีสถานศึกษาที่เป็นต้นแบบในการขยายผล สู่สถาน ศึกษาทั่วประเทศ อีกทั้งยังเป็นการ
สร้างกระแสให้หน่วยงานสถานศึกษาจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้ มีเจตคติที่ดีและมีพฤติกรรมตาม
คุณลักษณะที่พึงประสงค์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาและที่สาคัญเรายังจะได้
รูปแบบการบริหารสถานศึกษาในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดภายใต้ยุทธศาสตร์"รั้วโรงเรียน" อีก
ด้วย
ยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด
ตามที่รัฐบาลได้กาหนดให้การป้ องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ
โดยนายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคาสั่งสานักนายกรัฐมนตรี ที่ 154/2554 กาหนด ยุทธศาสตร์
พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด และจัดตั้งศูนย์อานวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ (ศพส.)
เป็นองค์กรอานวยการระดับชาติ โดยมีกลยุทธ์การดาเนินงาน คือ 7 แผน 4 ปรับ 3 หลัก 6 เร่ง เพื่อให้ทุกงาน
ที่เกี่ยวข้องยึดเป็นหลักในการขับเคลื่อนงานยาเสพติด ซึ่งได้มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ เป็น
หน่วยงานหลัก รับผิดชอบแผนที่ 3 แผนการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติดในสถานศึกษา
โดยมีเป้าหมายและตัวชี้วัดการดาเนินงาน ได้แก่
1. โครงการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดในสถานศึกษา กาหนดให้นักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
จานวน 30% ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายเยาวชนก่อนวัยเสี่ยงลาดับแรกสุดที่จะเพิ่มภูมิคุ้มกันป้องกันยา
เสพติด ซึ่งแนวทางการปฏิบัติ เน้นให้สถานศึกษาให้ความสาคัญในการเปิดโอกาสให้ ครูพระ ครู D.A.R.E.
และครูตารวจ เข้าสอนในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่พื้นที่อาเภอ ที่มีความหนาแน่นของปัญหายาเสพติดในเกณฑ์สูง
2. โครงการป้องกัน เฝ้าระวังและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา กาหนดสถานศึกษาในระดับ
ประถมศึกษา (ขยายโอกาส) มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา สถานศึกษาเอกชน สถาบันอุดมศึกษาเป็นเป้าหมายการ
ป้องกัน เฝ้าระวังยาเสพติด และลดปัญหาเสี่ยง ซึ่งแนวทางการปฏิบัติเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนักเรียน
กลุ่มเสพ/กลุ่มเสี่ยง โดยให้สถานศึกษาสารวจและค้นหานักเรียนกลุ่มเสพ/กลุ่มเสี่ยง เพื่อจัดกิจกรรมดูแล
ช่วยเหลือและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ตลอดจนกิจกรรมเพื่อการป้องกันและพัฒนากลไกการเฝ้าระวังปัญหา
ยาเสพติดในสถานศึกษา เช่น โครงการ To Be Number One ศูนย์เพื่อนใจวัยรุ่น โครงการลูกเสือต้านภัยยา
เสพติด โครงการเจ้าหน้าที่ตารวจประจาสถานศึกษา และศูนย์เครือข่ายเจ้าพนักงานส่งเสริมความประพฤติ
นักเรียน เป็นต้น
3. การขจัดภัยเสี่ยงรอบสถานศึกษาได้รับการแก้ไขทุกจังหวัด โดยให้สถานศึกษา
ทุกสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัด ประเมินและชี้เป้าปัจจัยเสี่ยงและจุด
เสี่ยงโดยรอบสถานศึกษา และให้รองผู้อานวยการสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต 1
ที่ได้รับมอบหมาย ในฐานะเลขานุการร่วมของคณะกรรมการ ศพส.จังหวัด นาเสนอข้อมูลในภาพรวม เสนอ
ต่อคณะกรรมการ ศพส.จังหวัด เพื่อร่วมกันดาเนินการป้องกัน แก้ไขปัญหา
กระทรวงศึกษาธิการ พิจารณาแล้วเห็นว่าเพื่อให้การนานโยบาย และยุทธศาสตร์พลังแผ่นดิน
เอาชนะยาเสพติดไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม และมีความชัดเจน กระทรวงศึกษาธิการจึงขอซักซ้อม
และทบทวน ในเรื่องกลไกการบริหารจัดการและการจัดทาแผนงาน/โครงการ ให้หน่วยงานท่านทราบ และ
จัดแผนงาน/โครงการ ให้สอดคล้องกับเป้าหมาย ตัวชี้วัด ดังนี้
1. กลไกการบริหารจัดการระดับจังหวัด
คาสั่งสานักนายกรัฐมนตรี ที่ 156/2554 เรื่อง จัดตั้งศูนย์อานวยการและศูนย์ปฏิบัติการพลังแผ่นดิน
เอาชนะยาเสพติดระดับพื้นที่ ที่เกี่ยวข้องกับจังหวัด ประกอบด้วย
- ศูนย์อานวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดจังหวัด เรียกโดยย่อว่า ศพส.จ. เป็นกลไกบูรณาการ
การปฏิบัติในพื้นที่จังหวัด มีรองผู้ว่าราชการที่ได้รับมอบหมายเป็นประธาน โดยมีผู้อานวยการสานักงานเขต
พื้นที่การศึกษา ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมาย เป็นรองผู้อานวยการ และมี
รองผู้อานวยการสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่ได้รับมอบหมาย เป็นกรรมการและเลขานุการร่วม
- ศูนย์ปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดอาเภอ เรียกโดยย่อว่า ศพส.อ. เป็นกลไกบูรณาการ
การปฏิบัติในพื้นที่อาเภอ มีผู้แทนสถานศึกษาในอาเภอที่สานักงานเขตพื้นที่มอบหมาย
เป็นกรรมการ
ดังนั้น เพื่อให้การมอบหมายผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะ
องค์ประกอบของศูนย์อานวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดจังหวัด (ศพส.จ.) กระทรวงศึกษาธิการ จึง
ขอมอบหมาย
1) ให้รองผู้อานวยการสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต 1 ที่รับผิดชอบงานยาเสพติด
เป็นกรรมการและเลขานุการร่วมของ ศพส.จ. โดยมีบทบาทบูรณาการและเชื่อมต่อการทางานด้านการสร้าง
ภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติดของสถานศึกษาในสังกัดต่างๆ ในจังหวัด
2) ให้สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต 1 เป็นผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการในจังหวัด
ทาหน้าที่ในการอานวยการ ประสานงาน กับทุกภาคส่วน ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดใน
สถานศึกษา ภายในจังหวัด ทั้งนี้ยังคงใช้กลไกของศูนย์ประสานงานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด
ในสถานศึกษาจังหวัด ในการบูรณาการ ขับเคลื่อนงานของหน่วยงานทางการศึกษา
ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
2. การจัดทาแผนงาน/โครงการ
1) การจัดทาแผนงาน/โครงการ แผนยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด พ.ศ. 2555 ได้
กาหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดการดาเนินงาน ตามรายละเอียดแนวทางจัดกิจกรรมข้างต้น
ซึ่งในไตรมาสที่ 1 (1 ตุลาคม 2554 – 31 มกราคม 2555 ) สานักงาน ป.ป.ส. ได้กาหนดเป้ าหมาย
ที่จะดาเนินการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน การป้องกัน เฝ้าระวังและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา จานวน
1,781 แห่ง ใน 76 จังหวัดทั่วประเทศ (ยกเว้นกทม.) สถานศึกษาละ 5,000 บาท โดยแนวทางดังกล่าว ได้
กาหนดให้ศพส.จ. เป็นผู้ดาเนินการอนุมัติแผนและงบประมาณให้กับสถานศึกษา
2) สานักงาน ป.ป.ส. ได้กาหนดจานวนสถานศึกษาเป้าหมายที่จะดาเนินการในแต่ละจังหวัด และได้
แจ้งให้ศพส.จ. และ ปปส.ภาค ทราบแล้ว แต่ไม่ได้ระบุรายชื่อสถานศึกษา ดังนั้นการจัดทาแผนงาน/
โครงการในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน การป้ องกัน เฝ้าระวังและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา ให้
พิจารณาคัดเลือกรายชื่อสถานศึกษาเป้าหมาย ให้สอดคล้องกับเป้าหมายหลักตามตัวชี้วัดดังกล่าวข้างต้น
และสอดคล้องกับอาเภอ ที่มีความหนาแน่นของปัญหายาเสพติดในเกณฑ์สูง จานวน 338 อาเภอ
รายละเอียดเป้าหมาย แนวทางการดาเนินงาน และอาเภอที่มีความหนาแน่นของปัญหายาเสพติด อยู่ในคาสั่ง
ที่ 1/2554 เรื่อง แผนยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด พ.ศ. 2555 สามารถ Download ได้ที่
www.nccd.go.th/ หรือ www.skp.moe.go.th/th/
3) สานักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษา เขต 1 ของทุกจังหวัด ทาหน้าที่เป็นหลักในการประสาน
แผนงาน/โครงการ/งบประมาณ และการรายงานผลในภาพรวมของจังหวัด โดยบูรณาการ และขับเคลื่อน
งานร่วมกับสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต 2 - 7 ,สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
และทุกสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่ตั้งอยู่ในจังหวัด
บทที่ 3
ระเบียบวิธีการดาเนินการวิจัย
กาวิจัยเพื่อศึกษาผลของการจัดกิจกรรมภายใต้โครงการ ASEAN Youth Anti-Drug (3 Spots: Skit –
Radio - Media Anti-Ice) ของโรงเรียนภัทรบพิตร อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์มีวิธีการดาเนินการดังต่อไปนี้
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรที่ใช้ในการวิจัย มีดังนี้
1. ผู้อานวยการโรงเรียน รองผู้อานวยการโรงเรียน ครูในโรงเรียน และนักเรียนในโรงเรียน ปี
การศึกษา 2555 จานวนทั้งสิ้น 1,761 คน
2. นักเรียนโรงเรียนภัทรบพิตร ปีการศึกษา 2555 จานวน 1,661 คน โดยแบ่งเป็น 2 ระดับคือ
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 300 คน และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 300 คน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย มีวิธีการดังนี้
กลุ่มตัวอย่างที่ 1 คณะครูโรงเรียนภัทรบพิตร อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์สุ่มแบบเฉพาะเจาะจง
จานวน 40 คน
กลุ่มตัวอย่างที่ 2 นักเรียนโรงเรียนภัทรบพิตร อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ดาเนินการโดยการสุ่มทุก
ระดับ ทุกห้องเรียน และสุ่มอย่างง่ายในทุกห้องเรียน โดยใช้ตารางของยามาเน่ Yamane Taro (เกษม สาหร่าย
ทิพย์, 2543: 350)
ที่ สถานภาพ ประชากร กลุ่มตัวอย่าง
1 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 320 100
2 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 290 100
3 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 250 100
4 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 300 100
5 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 250 100
6 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 251 100
รวม 1661 600
ตารางที่ 1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่างของนักเรียน
Ice research 30 08-2012 (absolutely)
Ice research 30 08-2012 (absolutely)
Ice research 30 08-2012 (absolutely)
Ice research 30 08-2012 (absolutely)
Ice research 30 08-2012 (absolutely)
Ice research 30 08-2012 (absolutely)
Ice research 30 08-2012 (absolutely)
Ice research 30 08-2012 (absolutely)
Ice research 30 08-2012 (absolutely)

More Related Content

Similar to Ice research 30 08-2012 (absolutely)

4.แผนสุขศึกษาม4แผน11เอมพันธ์
4.แผนสุขศึกษาม4แผน11เอมพันธ์4.แผนสุขศึกษาม4แผน11เอมพันธ์
4.แผนสุขศึกษาม4แผน11เอมพันธ์Kruthai Kidsdee
 
แผนจัดการเรียนรู้ที่ 06
แผนจัดการเรียนรู้ที่ 06แผนจัดการเรียนรู้ที่ 06
แผนจัดการเรียนรู้ที่ 06jirupi
 
Ice research 30 08-2012 (2)
Ice research 30 08-2012 (2)Ice research 30 08-2012 (2)
Ice research 30 08-2012 (2)Kruthai Kidsdee
 
Ice research 30 08-2012 (1)
Ice research 30 08-2012 (1)Ice research 30 08-2012 (1)
Ice research 30 08-2012 (1)Kruthai Kidsdee
 
1.แผนการเรียนรู้ยาเสพติดม.1
1.แผนการเรียนรู้ยาเสพติดม.11.แผนการเรียนรู้ยาเสพติดม.1
1.แผนการเรียนรู้ยาเสพติดม.1Kruthai Kidsdee
 
แผน 10อย่าไปหาสารเสพติดม.5แอมพันธ์
แผน 10อย่าไปหาสารเสพติดม.5แอมพันธ์แผน 10อย่าไปหาสารเสพติดม.5แอมพันธ์
แผน 10อย่าไปหาสารเสพติดม.5แอมพันธ์Kruthai Kidsdee
 
Ice research 30 08-2012 (absolutely)
Ice research 30 08-2012 (absolutely)Ice research 30 08-2012 (absolutely)
Ice research 30 08-2012 (absolutely)Kruthai Kidsdee
 
แผนสุขศึกษาม 6 10
แผนสุขศึกษาม 6 10แผนสุขศึกษาม 6 10
แผนสุขศึกษาม 6 10Kruthai Kidsdee
 
กระบวนการต่อต้านยาเสพติด
กระบวนการต่อต้านยาเสพติดกระบวนการต่อต้านยาเสพติด
กระบวนการต่อต้านยาเสพติดkittisak sapphajak
 
The role of Social Media and the changing of news reporting process
The role of Social Media and the changing of news reporting processThe role of Social Media and the changing of news reporting process
The role of Social Media and the changing of news reporting processSakulsri Srisaracam
 
2562 final-project -1-23-1 weed
2562 final-project -1-23-1 weed2562 final-project -1-23-1 weed
2562 final-project -1-23-1 weedssuser8b5bea
 
Case studies of medical cannabis policy
Case studies of medical cannabis policyCase studies of medical cannabis policy
Case studies of medical cannabis policyThira Woratanarat
 
เรื่องปัญหายาเสพติด
เรื่องปัญหายาเสพติดเรื่องปัญหายาเสพติด
เรื่องปัญหายาเสพติดพัน พัน
 
แผนการสอนสุขศึกษา ม.5
แผนการสอนสุขศึกษา ม.5แผนการสอนสุขศึกษา ม.5
แผนการสอนสุขศึกษา ม.5Kruthai Kidsdee
 
4.วิเคราะห์โครงสร้างการจัดการเรียนรู้สุขศึกษาม.4
4.วิเคราะห์โครงสร้างการจัดการเรียนรู้สุขศึกษาม.44.วิเคราะห์โครงสร้างการจัดการเรียนรู้สุขศึกษาม.4
4.วิเคราะห์โครงสร้างการจัดการเรียนรู้สุขศึกษาม.4Kruthai Kidsdee
 
แผน11เฉี่ยดเรื่องเสี่ยงแอมพันธ์
แผน11เฉี่ยดเรื่องเสี่ยงแอมพันธ์แผน11เฉี่ยดเรื่องเสี่ยงแอมพันธ์
แผน11เฉี่ยดเรื่องเสี่ยงแอมพันธ์Kruthai Kidsdee
 

Similar to Ice research 30 08-2012 (absolutely) (20)

4.แผนสุขศึกษาม4แผน11เอมพันธ์
4.แผนสุขศึกษาม4แผน11เอมพันธ์4.แผนสุขศึกษาม4แผน11เอมพันธ์
4.แผนสุขศึกษาม4แผน11เอมพันธ์
 
แผนจัดการเรียนรู้ที่ 06
แผนจัดการเรียนรู้ที่ 06แผนจัดการเรียนรู้ที่ 06
แผนจัดการเรียนรู้ที่ 06
 
Ice research 30 08-2012 (2)
Ice research 30 08-2012 (2)Ice research 30 08-2012 (2)
Ice research 30 08-2012 (2)
 
Ice research 30 08-2012 (1)
Ice research 30 08-2012 (1)Ice research 30 08-2012 (1)
Ice research 30 08-2012 (1)
 
1.แผนการเรียนรู้ยาเสพติดม.1
1.แผนการเรียนรู้ยาเสพติดม.11.แผนการเรียนรู้ยาเสพติดม.1
1.แผนการเรียนรู้ยาเสพติดม.1
 
แผน 10อย่าไปหาสารเสพติดม.5แอมพันธ์
แผน 10อย่าไปหาสารเสพติดม.5แอมพันธ์แผน 10อย่าไปหาสารเสพติดม.5แอมพันธ์
แผน 10อย่าไปหาสารเสพติดม.5แอมพันธ์
 
Is5 ลงมือเขียน
Is5 ลงมือเขียนIs5 ลงมือเขียน
Is5 ลงมือเขียน
 
Ice research 30 08-2012 (absolutely)
Ice research 30 08-2012 (absolutely)Ice research 30 08-2012 (absolutely)
Ice research 30 08-2012 (absolutely)
 
Do you-know-green-tea
Do you-know-green-teaDo you-know-green-tea
Do you-know-green-tea
 
แผนสุขศึกษาม 6 10
แผนสุขศึกษาม 6 10แผนสุขศึกษาม 6 10
แผนสุขศึกษาม 6 10
 
กระบวนการต่อต้านยาเสพติด
กระบวนการต่อต้านยาเสพติดกระบวนการต่อต้านยาเสพติด
กระบวนการต่อต้านยาเสพติด
 
The role of Social Media and the changing of news reporting process
The role of Social Media and the changing of news reporting processThe role of Social Media and the changing of news reporting process
The role of Social Media and the changing of news reporting process
 
นิ่ง
นิ่งนิ่ง
นิ่ง
 
2562 final-project -1-23-1 weed
2562 final-project -1-23-1 weed2562 final-project -1-23-1 weed
2562 final-project -1-23-1 weed
 
74 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่1_เนื้อหา
74 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่1_เนื้อหา74 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่1_เนื้อหา
74 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่1_เนื้อหา
 
Case studies of medical cannabis policy
Case studies of medical cannabis policyCase studies of medical cannabis policy
Case studies of medical cannabis policy
 
เรื่องปัญหายาเสพติด
เรื่องปัญหายาเสพติดเรื่องปัญหายาเสพติด
เรื่องปัญหายาเสพติด
 
แผนการสอนสุขศึกษา ม.5
แผนการสอนสุขศึกษา ม.5แผนการสอนสุขศึกษา ม.5
แผนการสอนสุขศึกษา ม.5
 
4.วิเคราะห์โครงสร้างการจัดการเรียนรู้สุขศึกษาม.4
4.วิเคราะห์โครงสร้างการจัดการเรียนรู้สุขศึกษาม.44.วิเคราะห์โครงสร้างการจัดการเรียนรู้สุขศึกษาม.4
4.วิเคราะห์โครงสร้างการจัดการเรียนรู้สุขศึกษาม.4
 
แผน11เฉี่ยดเรื่องเสี่ยงแอมพันธ์
แผน11เฉี่ยดเรื่องเสี่ยงแอมพันธ์แผน11เฉี่ยดเรื่องเสี่ยงแอมพันธ์
แผน11เฉี่ยดเรื่องเสี่ยงแอมพันธ์
 

More from ครูเฒ่าบุรีรัมย์ ย่าแก่

หา3ภพจนเจอ2016 68 หน้ากูตั้งใจทำดีสุดยอดการ์ตูน48ข้อ2015
หา3ภพจนเจอ2016 68 หน้ากูตั้งใจทำดีสุดยอดการ์ตูน48ข้อ2015หา3ภพจนเจอ2016 68 หน้ากูตั้งใจทำดีสุดยอดการ์ตูน48ข้อ2015
หา3ภพจนเจอ2016 68 หน้ากูตั้งใจทำดีสุดยอดการ์ตูน48ข้อ2015ครูเฒ่าบุรีรัมย์ ย่าแก่
 

More from ครูเฒ่าบุรีรัมย์ ย่าแก่ (20)

Google apps content_1
Google apps content_1Google apps content_1
Google apps content_1
 
Google form 11
Google form 11Google form 11
Google form 11
 
Google drive
Google driveGoogle drive
Google drive
 
Google docs 11
Google docs 11Google docs 11
Google docs 11
 
แนวทางการกรอกข้อมูลโรงเรียนในฝัน
แนวทางการกรอกข้อมูลโรงเรียนในฝันแนวทางการกรอกข้อมูลโรงเรียนในฝัน
แนวทางการกรอกข้อมูลโรงเรียนในฝัน
 
คู่มืออบรม Google sites
คู่มืออบรม  Google sitesคู่มืออบรม  Google sites
คู่มืออบรม Google sites
 
คู่มือการทำแบบสอบถามออนไลน์โดย Google doc
คู่มือการทำแบบสอบถามออนไลน์โดย Google docคู่มือการทำแบบสอบถามออนไลน์โดย Google doc
คู่มือการทำแบบสอบถามออนไลน์โดย Google doc
 
คู่มือการใช้งาน Google plus
คู่มือการใช้งาน Google plusคู่มือการใช้งาน Google plus
คู่มือการใช้งาน Google plus
 
คู่มือการใช้งาน Google drive
คู่มือการใช้งาน Google driveคู่มือการใช้งาน Google drive
คู่มือการใช้งาน Google drive
 
คู่มือการใช้งาน Google
คู่มือการใช้งาน  Googleคู่มือการใช้งาน  Google
คู่มือการใช้งาน Google
 
การสร้างเว็บไซต์ด้วย Google sites
การสร้างเว็บไซต์ด้วย Google sitesการสร้างเว็บไซต์ด้วย Google sites
การสร้างเว็บไซต์ด้วย Google sites
 
การใช้งาน Google docs
การใช้งาน Google docsการใช้งาน Google docs
การใช้งาน Google docs
 
Google appsall
Google appsallGoogle appsall
Google appsall
 
Final traininggoogleapps presentation2
Final traininggoogleapps presentation2Final traininggoogleapps presentation2
Final traininggoogleapps presentation2
 
30 พ.ค.เอกสารยกระดับพัฒนา pisa สพม.32
30 พ.ค.เอกสารยกระดับพัฒนา pisa สพม.3230 พ.ค.เอกสารยกระดับพัฒนา pisa สพม.32
30 พ.ค.เอกสารยกระดับพัฒนา pisa สพม.32
 
หา3ภพจนเจอ2016 กูตั้งใจทำดีสุดยอดการ์ตูน48ข้อ2015
หา3ภพจนเจอ2016 กูตั้งใจทำดีสุดยอดการ์ตูน48ข้อ2015หา3ภพจนเจอ2016 กูตั้งใจทำดีสุดยอดการ์ตูน48ข้อ2015
หา3ภพจนเจอ2016 กูตั้งใจทำดีสุดยอดการ์ตูน48ข้อ2015
 
หา3ภพจนเจอ2016 68 หน้ากูตั้งใจทำดีสุดยอดการ์ตูน48ข้อ2015
หา3ภพจนเจอ2016 68 หน้ากูตั้งใจทำดีสุดยอดการ์ตูน48ข้อ2015หา3ภพจนเจอ2016 68 หน้ากูตั้งใจทำดีสุดยอดการ์ตูน48ข้อ2015
หา3ภพจนเจอ2016 68 หน้ากูตั้งใจทำดีสุดยอดการ์ตูน48ข้อ2015
 
น้องหญิงผักลอยฟ้า
น้องหญิงผักลอยฟ้าน้องหญิงผักลอยฟ้า
น้องหญิงผักลอยฟ้า
 
น้องหญิงผักลอยฟ้า
น้องหญิงผักลอยฟ้าน้องหญิงผักลอยฟ้า
น้องหญิงผักลอยฟ้า
 
กูตั้งใจทำดีสุดยอดการ์ตูน48ข้อ2015
กูตั้งใจทำดีสุดยอดการ์ตูน48ข้อ2015กูตั้งใจทำดีสุดยอดการ์ตูน48ข้อ2015
กูตั้งใจทำดีสุดยอดการ์ตูน48ข้อ2015
 

Ice research 30 08-2012 (absolutely)

  • 1. วิจัยรายงานผลการจัดกิจกรรมภายใต้โครงการ ASEAN Youth Anti-Drug (3 Spots: Skit – Radio - Media Anti-Ice) ประกอบการนาเสนอผลงานในโครงการ Thailand Youth Initiative Against Drugs
  • 2. สารบัญ บทที่ 1 บทนา....................................................................................................................................................3 ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา.....................................................................................................3 วัตถุประสงค์ของการวิจัย............................................................................................................................3 สมมติฐานของการวิจัย................................................................................................................................3 ความสาคัญของการวิจัย..............................................................................................................................4 ขอบเขตของการวิจัย....................................................................................................................................4 บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ................................................................................................5 ความรู้เกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ.................................................................................................................5 ความหมายของยาเสพติดให้โทษ..........................................................................................................5 ประเภทของยาเสพติดให้โทษ...............................................................................................................5 ชนิดของยาเสพติดให้โทษในปัจจุบัน...................................................................................................6 โทษและภัยของยาเสพติด...................................................................................................................11 ความรู้เกี่ยวกับยาไอซ์................................................................................................................................12 ความหมายของยาไอซ์........................................................................................................................12 โทษของการใช้ยาไอซ์........................................................................................................................12 นโยบายและยุทธศาสตร์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา..................................13 นโยบายรัฐเกี่ยวกับยาเสพติด..............................................................................................................13 นโยบายด้านการป้ องกันยาเสพติดของกระทรวงศึกษาธิการ.............................................................15 ยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด..........................................................................................15 บทที่ 3 ระเบียบวิธีการดาเนินการวิจัย.............................................................................................................19 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง........................................................................................................................19 การออกแบบรวบรวมข้อมูลเพื่อเป็นแนวทางในการสร้างเครื่องมือวิจัย..................................................20 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย...........................................................................................................................21 การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย............................................................................................................21 การเก็บรวบรวมข้อมูล..............................................................................................................................22 การวิเคราะห์ข้อมูล....................................................................................................................................22 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล.........................................................................................................................24 แบบประเมินความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมต่อต้านยาไอซ์ในโรงเรียน...............................................24 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ....................................................................................................25
  • 3. บทที่ 1 บทนา ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา ปัจจุบันนี้ปัญหายาเสพติดกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง โดยเฉพาะยาไอซ์ที่ปัจจุบันนี้กาลังระบาดหนัก ในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ชอบออกเที่ยวกลางคืน นอกจากนั้นแล้วนักเรียนและเยาวชนในพื้นที่จุดเสี่ยงหลาย ที่ ก็กาลังประสบปัญหาการแพร่ระบาดของยาไอซ์ในชุมชนรอบโรงเรียนเช่นกัน ถ้าหากปัญหาการแพร่ ระบาดของยาไอซ์ยังไม่ได้รับการแก้ไข หรือควบคุมให้ลดน้อยลง อาจส่งผลให้การแพร่ระบาดของยาไอซ์ ลุกลามเข้ามาถึงในโรงเรียน ทุกคนล้วนตระหนักดีกว่า โรงเรียนคือสถานที่ราชการ และเป็นสถานที่ซึ่งธารง ไว้ซึ่งคุณงามความดี การที่จะทาให้นักเรียนในโรงเรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับโทษภัยของยาไอซ์นั้น ไม่ใช่เรื่อง ยาก แต่เป็นเรื่องที่ต้องคิดกันว่าทาอย่าง นักเรียนจึงจะสามารถปฏิบัติตามที่โรงเรียนแนะนาได้ กลุ่มเยาวชนต้นกล้าความดี โรงเรียนภัทรบพิตร อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์มีกลุ่มประชากรจานวน 1,661 คน และบุคคลกรทางการศึกษามากกว่า 90 คน ได้ตระหนักเห็นความสาคัญการให้ความรู้ความเข้าใจ การเข้าถึงเพื่อศึกษาปัญหาและการดึงให้ทุกฝ่ายให้มีส่วนร่วมในการดาเนินการเพื่อหาแนวทางการป้องกันยา เสพติด จึงได้จัดทาวิจัยเพื่อศึกษาการจัดกิจกรรมต่อต้านยาไอซ์ในโรงเรียนโดยใช้ชื่อโครงการว่า ASEAN Youth Anti-Drug (3 Spots: Skit – Radio - Media Anti-Ice) ซึ่งได้รับงบประมาณสนับสนุนการดาเนิน กิจกรรมจากสานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เพื่อดูว่าผลการจัดกิจกรรมต่อต้านยา ไอซ์มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด ต่อการสร้างความเข้าใจ และสร้างเกราะป้องกันนักเรียนในโรงเรียน จากพิษภัยของยาไอซ์ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาถึงผลการจัดกิจกรรมต่อต้านยาไอซ์ในโรงเรียน 2. เพื่อศึกษาเจตคติต่อการเข้าร่วมกิจกรรมต่อต้านยาไอซ์ของนักเรียนในโรงเรียน สมมติฐานของการวิจัย 1. นักเรียนโรงเรียนภัทรบพิตร อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกัน ตนเองจากยาไอซ์ 2. นักเรียนโรงเรียนภัทรบพิตร อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์เกิดเจตคติที่ดีต่อการเข้าร่วมกิจกรรมต่อต้าน ยาไอซ์ในโรงเรียน
  • 4. ความสาคัญของการวิจัย ผลการวิจัยครั้งนี้จะเป็นตัวบ่งบอกได้ว่า นักเรียนโรงเรียนภัทรบพิตร อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ มีความรู้สึก และเจตคติอย่างไรต่อการจัดกิจกรรมต่อต้านยาไอซ์ในโรงเรียน ซึ่งในอนาคตสามารถนาไป ปรับปรุงเป็นกิจกรรมเสริมการเรียนการสอนในชั่วโมงเรียนได้ เพื่อให้นักเรียนเกิดการตื่นตัวในการดูแล รักษาตนเองหลีกเลี่ยงยาเสพติดทุกชนิด เข้าใจ และช่วยเหลือผู้อื่นได้ถูกต้อง ขอบเขตของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ มุ่งศึกษาผลการจัดกิจกรรมต่อต้านยาไอซ์ในโรงเรียน ดังนี้ 1. เนื้อหาของการวิจัย เป็นการวิจัยตามสภาพจริง เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างสม่าเสมอ ซึ่งจัดทาในลักษณะของการวิจัยเชิงคุณภาพ 2. ประชากรกลุ่มตัวอย่าง 2.1 ประชากร ได้แก่ ผู้อานวยการโรงเรียน รองผู้อานวยการโรงเรียน ครูในโรงเรียน และ นักเรียนในโรงเรียน ปีการศึกษา 2555 จานวนทั้งสิ้น 1,761 คน 2.2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนโรงเรียนภัทรบพิตร ปีการศึกษา 2555 จานวน 1,661 คน โดยแบ่งเป็น 2 ระดับคือ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 400 คน และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 200 คน การสุ่มแบบเจาะจง (Purposive sampling) 3. ตัวแปรที่ใช้วิจัย 3.1 ตัวแปรต้น คือ นักเรียนโรงเรียนภัทรบพิตร อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ 3.2 ตัวแปรตาม คือ อัตราส่วนของจานวนนักเรียนที่มีความคิดเห็นต่อการจัดกิจกรรมต่อต้าน ยาไอซ์ในโรงเรียนระดับความพึงพอใจ ระดับ 3 (ดี) ขึ้นไป
  • 5. บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาการดาเนินงานป้ องกันและแก้ไขปัญหายาไอซ์ในโรงเรียนภัทรบพิตร อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้ 1. ความรู้เกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ 1.1 ความหมายของยาเสพติดให้โทษ 1.2 ประเภทของยาเสพติดให้โทษ 1.3 ชนิดของยาเสพติดให้โทษในปัจจุบัน 1.4 โทษและภัยของยาเสพติด 2. ความรู้เกี่ยวกับยาไอซ์ 2.1 ความหมายของยาไอซ์ 2.2 โทษของการใช้ยาไอซ์ 3. นโยบายและยุทธศาสตร์ในการป้ องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา 3.1 นโยบายรัฐเกี่ยวกับยาเสพติด 3.2 นโยบายด้านการป้ องกันยาเสพติดของกระทรวงศึกษาธิการ 3.3 ยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ความรู้เกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ความหมายของยาเสพติดให้โทษ ยาเสพติดให้โทษ หมายความว่า สารเคมี หรือวัตถุชนิดใดๆ ซึ่งเมื่อเสพเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะโดย รับประทาน ดม สูบ ฉีด หรือด้วยประการใดๆ แล้ว ทาให้เกิดผลต่อร่างกายและจิตใจในลักษณะสาคัญเช่น ต้องเพิ่มขนาดการเสพเรื่อยๆ มีอาการถอนยา เมื่อขาดยามีความต้องการเสพทั้งทางร่างกายและจิตอย่าง รุนแรงอยู่ตลอดเวลาและสุขภาพโดยทั่วไปจะทรุดโทรมลง กลับให้รวมถึงพืช หรือ ส่วนของพืชที่เป็น หรือ ให้ผลผลิตเป็นยาเสพติดให้โทษ หรืออาจใช้ผลิตเป็นยาเสพติดให้โทษและสารเคมี ที่ใช้ในการผลิตยาเสพติด ให้โทษดังกล่าวด้วย (กรมสามัญศึกษา, 2540: 3-4) ประเภทของยาเสพติดให้โทษ จาแนกตามการออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท แบ่งเป็น 4 ประเภท 1. ประเภทกดประสาท ได้แก่ ฝิ่น มอร์ฟีน เฮโรอีน ยานอนหลับ ยาระงับประสาท ยากล่อม ประสาทเครื่องดื่มมึนเมา ทุกชนิด รวมทั้ง สารระเหย เช่น ทินเนอร์ แล็กเกอร์ น้ามันเบนซิน
  • 6. กาว เป็นต้น มักพบว่าผู้เสพติดมี ร่างกายซูบซีด ผอมเหลือง อ่อนเพลีย ฟุ้งซ่าน อารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย 2. ประเภทกระตุ้นประสาท ได้แก่ ยาบ้า ยาอี กระท่อม โคเคน มักพบว่าผู้เสพติดจะมีอาการ หงุดหงิด กระวนกระวาย จิตสับสนหวาดระแวง บางครั้งมีอาการคลุ้มคลั่ง หรือทาในสิ่งที่คน ปกติ ไม่กล้าทา เช่น ทาร้ายตนเอง หรือฆ่าผู้อื่น เป็นต้น 3. 3. ประเภทหลอนประสาท ได้แก่ แอลเอสดี และ เห็ดขี้ควาย เป็นต้น ผู้เสพติดจะมีอาการ ประสาทหลอน ฝันเฟื่องเห็นแสงสีวิจิตรพิสดาร หูแว่ว ได้ยินเสียง ประหลาดหรือเห็นภาพ หลอนที่น่าเกลียดน่ากลัว ควบคุมตนเองไม่ได้ในที่สุดมักป่วยเป็นโรคจิต 4. ประเภทออกฤทธิ์ผสมผสาน คือทั้งกระตุ้นกดและหลอนประสาทร่วมกันได้แก่ ผู้เสพติดมักมี อาการหวาดระแวง ความคิดสับสนเห็นภาพลวงตา หูแว่ว ควบคุมตนเองไม่ได้และป่วยเป็นโรค จิตได้ ชนิดของยาเสพติดให้โทษในปัจจุบัน ยาเสพติด ซึ่งเป็นปัญหาของชาติอยู่ในขณะนี้ มีประวัติความเป็นมาอย่างไรเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะมนุษย์ได้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดมาเป็นเวลาช้านาน บางชนิดก็ให้ทั้งคุณประโยชน์และโทษ บางชนิด ก็มีแต่โทษภัยเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันมียาเสพติดชนิดต่าง ๆ ในท้องตลาดมากกว่า 120 ชนิด อย่างไรก็ตามยา เสพติดชนิดแรกที่คนไทยรู้จักก็คือ 1. ยาไอซ์(Ice) อุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล (2553) กล่าวว่า ยา ICE หรือ ไอซ์ นั้น มันมีชื่อทางเคมีว่า เมทแอมเฟ ตามีนไฮโดรคลอไรด์ที่อยู่ในรูป เมทแอมเฟตามีนในรูปผลึกใส Crystal Methamphetamines Hydrochloride ความบริสุทธิ์สูง สังเคราะห์จากสารอีเฟดรีน (Ephedrine) ชื่อ “ICE” เรียกตาม ลักษณะที่ปรากฏ คือ ก้อนผลึกใสเหมือนน้าแข็งปัจจุบันจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ดังนั้น ยา ไอซ์ ก็คือยาบ้า หรือ เมทแอมเฟตามีน ในรูปแบบที่บริสุทธ์มีลักษณะเป็นผลึกใส เหมือนแก้ว จึงเรียกว่า ICE ตามรูปแบบยา นิยมเรียกกันในหมู่ผู้เสพ และเนื่องจากมีราคาแพงกว่า ยาบ้า จึงมักใช้กันในกลุ่มไฮโซ ดารา กลุ่มนักเที่ยวที่มีอานาจการจับจ่ายสูง ยาไอซ์มีชื่อหลากไปแล้วแต่แหล่ง ไอซ์คือชื่อตามท้องถนน ที่เรียกดังนี้เพราะมักปรากฏใน รูปแบบของผลึกโปร่งใสคล้ายกระจกหรือก้อนน้าแข็ง ซึ่งอาจมีสีสันหลากกันไป จะเป็นสีชมพูสี ฟ้าหรือเขียว ชื่ออื่นๆของไอซ์ ได้แก่ meth, crystal meth, shabu, glass, krank, tweak และ tina แล้วแต่จะนิยมเรียกในแหล่งนั้นๆ
  • 7. ไอซ์จะไม่มีกลิ่นและมีอันตรายสูงกว่าโคเคนมาก อานุภาพในการทาให้ผุ้เสพต้องการและ หันไปเสพติดจะรุนแรงกว่า สีของไอซ์จะมีอยู่หลายสี แต่ละสีจะบ่งบอกถึงระดับความบริสุทธิ์และ ความรุนแรงของไอซ์ ไอซ์ที่มีลักษณะเป็นผลึกใส คือไอซ์ที่ผลิตจากน้า (Water-base) จะเผาไหม้อย่างรวดเร็ว เมื่อเผาแล้วจะเหลือ คราบลักษณะคล้ายน้านม ไอซ์ที่มีสีเหลืองจะผลิตจากน้ามัน (Oil-base) ซึ่งจะ เผาไหม้ได้ช้ากว่าจะมีคราบเป็น สีน้าตาลหรือสีดาเมื่อเผาไหม้แล้ว ยาเสพติดประเภทนี้ เมื่อเผาไหม้ แล้วจะไม่มีกลิ่น จึงทาให้ผู้เสพนิยมเพราะ ไม่มีกลิ่นผิดปกติ เหมือนกัญชา อีกสาเหตุหนึ่งที่ทาให้ คนนิยมคือราคาถูกกว่าโคเคนมากในย่านอเมริกาใต้และให้ผลในด้านการเปี่ยมสุขที่นานกว่า แต่ คุณครับ คุณไม่รู้หรอกว่าไอซมีพลานุภาพด้านเสพติดต่อร่างกายของเราที่รุนแรงกว่าเฮโรอีน ตอน เสพก้อเพลินตามปัจจัยปรุงแต่ง แต่พอยาหมดฤทธิ์ไปแล้วสภาวะเปี่ยมสุขก้อจะละลายกลายมาเป็น อาการซึมเศร้า (Depression หรือ Crash) ที่ยาวนานมากๆเป็นระยะเวลา หลาย ๆ วัน 2. ยาบ้า (Amphetamine) ยาบ้า เป็นชื่อที่ใช้เรียกยาเสพติดที่มีส่วนผสมของสารเคมีประเภท แอมเฟตามีน (Amphetamine) สารประเภทนี้แพร่ระบาดอยู่ 3 รูปแบบ ด้วยกัน คือ แอมเฟตามีนซัลเฟต (Amphetamine Sulfate) เมทแอมเฟตามีน (Methamphetamine) และเมทแอมเฟตามีนไฮโดรคลอ ไรด์ (Methamphetamine Hydrochloride) ซึ่งจากผลการตรวจพิสูจน์ยาบ้าปัจจุบัน ที่พบอยู่ใน ประเทศไทยมักพบว่า เกือบทั้งหมดมีเมทแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์ผสมอยู่ ยาบ้า จัดอยู่ในกลุ่มยาเสพติดที่ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท มีลักษณะเป็นยาเม็ดกลมแบน ขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6-8 มิลลิเมตร ความหนาประมาณ 3 มิลลิเมตร น้าหนักเม็ดยา ประมาณ 80-100 มิลลิกรัม มีสีต่างๆ กัน เช่น สีส้ม สีน้าตาล สีม่วง สีชมพู สีเทา สีเหลืองและสีเขียว มีสัญลักษณ์ ที่ปรากฎบนเม็ดยา เช่น ฬ, m, M, RG, WY สัญลักษณ์รูปดาว, รูปพระจันร์เสี้ยว, 99 หรืออาจเป็นลักษณะของเส้นแบ่งครึ่งเม็ด ซึ่งสัญลักษณ์เหล่านี้ อาจปรากฏบนเม็ดยาด้านใดด้าน หนึ่ง หรือทั้งสองด้าน หรืออาจเป็นเม็ดเรียบทั้งสองด้านก็ได้ การออกฤทธิ์ของยากลุ่มแอมเฟตามีน ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา 1. ออกฤทธิ์กระตุ้นต่อระบบประสาทส่วนกลางให้ตื่นตัวตลอดเวลา นอนไม่หลับ 2. ทาให้ความดันโลหิตสูงขึ้น หัวใจเต้นเร็วและแรงขึ้น 3. กดศูนย์ควบคุมการอยากอาหาร ทาให้เบื่ออาหาร ทานน้อยลง เป็นยาลดน้าหนักได้ 4. กระตุ้นศูนย์หายใจ ทาให้หายใจเร็วและแรงขึ้น 5. กระตุ้นระบบสมองส่วนหน้า ทาให้เกิดอาการความคิดความอ่านแจ่มใสชั่วขณะ บางราย จะมีอาการสั่น 3. สาระเหย (Volatile Solvent)
  • 8. องค์การอนามัยโลกได้ให้ความหมายของยาเสพติด หรือยาเสพติดให้โทษ ว่าหมายถึง ยา หรือสารที่สามารถมีปฏิกิริยาต่อร่างกาย ทาให้เกิดการติดยาทางร่างกายหรือจิตใจ ทาให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงทางสรีระวิทยาของร่างกาย เมื่อหยุดใช้ยาจะเกิดอาการเนื่องจากการหยุดยา คือ หงุดหงิด ตื่นเต้น หาวนอน น้ามูกน้าตาไหล เหงื่อออกมาก ขนลุก ตะคริว นอนไม่หลับ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศรีษะ ในกรณีสารระเหย การติดทางจิตใจมีแน่นอน เนื่องจากผู้ที่จะเสพติดสารระเหยมักมี บุคคลิกภาพและสุขภาพจิตผิดปกติอยู่ก่อนแล้วต้องการใช้สารระเหยเพื่อหลีกเลี่ยงอารมณ์ซึมเศร้า กังวล ฯลฯ องค์การอนามัยโลกได้จัดตัวทาละลายที่ระเหยง่าย เช่น ethyl acetate ซึ่งพบในลูกโป่ง วิทยาศาสตร์ และสารบางตัวเช่น thinners ซึ่งพบในกาวต่างๆ เป็นสารระเหยเป็นต้น เนื่องจากสาร ดังกล่าวเป็นปัญหาต่อการเสพติด สารระเหย (Volatile Substances) สารระเหยหมายถึง สารประกอบอินทรีย์เคมีประเภท ไฮโดรคาร์บอน์ที่ได้มาจากน้ามันปิ โตรเลี่ยมและก๊าซธรรมชาติ เป็นสารที่ระเหยได้ง่ายในอุณหภูมปกติ สารเหล่านี้เป็นส่วนผสมใน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์ที่พบเห็นได้บ่อยๆ เช่น ทินเนอร์ แลคเกอร์ สารระเหยเมื่อแบ่งตามคุณสมบัติทางกายภาพ แบ่งออกเป็น 3 พวกใหญ่ๆ คือ 1. สารระเหย (Volatile Substance) เป็นสารประกอบอินทรีย์เคมีที่ได้มาจากน้ามันปิโต รเลี่ยมและก๊าซธรรมชาติ เป็นสารที่ระเหยได้ง่ายในอุณหภูมิห้อง จึงนิยมใช้กันมากในอุตสาหกรรม การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในทางอุตสาหกรรมที่มีคุณสมบัติแห้งระเหยได้เร็ว 2. ตัวทาละลาย (Solvents) เป็นสารที่เป็นของเหลวใช้เป็นส่วนผสมทั้งในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ ในทางอุตสาหกรรม และผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในครัวเรือน เช่น เฮกเซน มีอยู่ในพลาสติก ซิเมนต์โทลูอีน ไซลีน มีอยู่ในกาวติดเครื่องบินเด็กเล่น แลกเกอร์ ทินเนอร์ อะซิโตน ในรูปน้ายาล้างเล็บ เบนซิน ใน น้ายาทาความสะอาด 3. ละอองลอย (Aerosol) ซึ่งจัดบรรจุในภาชนะที่ใช้สาหรับฉีด มีส่วนผสมของไฮโดร- คาร์บอน หรือ ฮาโลคาร์บอน พบมากในรูปของสเปรย์ฉีดผม สีกระป๋ องสาหรับพ่น 4. ฝิ่น (Opium) ฝิ่นเป็นสารประกอบชนิดหนึ่ง ซึ่งได้จากยางของผลฝิ่น ในเนื้อฝิ่นมีสารเคมีผสมอยู่มากมาย ซึ่งประกอบด้วย โปรตีน เกลือแร่ ยางและกรดอินทรีย์เป็นแอลคะลอยด์ (Alkaloid) ซึ่งเป็นตัวการ สาคัญ ที่ทาให้ฝิ่นกลายเป็นสารเสพติด ให้โทษที่ร้ายแรง แอลคะลอยด์ในฝิ่นแบ่งแยกได้เป็น 2 ประเภท คือ ประเภทที่ 1 ออกฤทธิ์ทาให้เกิดอาการมึนเมา และเป็นยาเสพติดให้โทษโดยตรง แอลคะ ลอยด์ประเภทนี้ทางเภสัชวิทยาถือว่า เป็นยาทาให้นอนหลับ (Hypnotic) แอลคะลอยด์ที่เป็นสารเสพ ติดซึ่งออกฤทธิ์ตัวสาคัญที่สุดในฝิ่น คือ มอร์ฟีน (Morphine)
  • 9. ประเภทที่ 2 ออกฤทธิ์ทาให้กล้ามเนื้อเรียบหย่อนคลายตัว ซึ่งในทางเภสัชวิทยาถือว่า แอล คะลอยด์ในฝิ่นประเภทนี้ไม่เป็นสารเสพติด แต่มีฤทธิ์ทาให้กล้ามเนื้อของร่างกายหย่อนคลายตัว ซึ่ง มีปาปาเวอร์รีน (Papaverine) เป็นตัวสาคัญ ฝิ่นเป็นพืชล้มลุกขึ้นในที่สูงกว่าระดับน้าทะเลประมาณ 3,000 ฟุตขึ้นไป เป็นยาเสพติดที่ เป็นต้นตอของยาเสพติดร้ายแรง เช่น มอร์ฟีน เฮโรอีน และโคเคอีน มีการลักลอบปลูกฝิ่นมากทาง ภาคเหนือของประเทศไทยบริเวณแนวพรมแดน ที่เรียกว่าสามเหลี่ยมทองคา เนื้อฝิ่นได้มาจากยางของผลฝิ่นที่ถูกกรีดจะมีสีขาว เมื่อถูกอากาศจะมีสีคล้าลง กลายเป็นยาง เหนียวสีน้าตาลไหม้หรือ ดา มีกลิ่นเหม็นเขียวและรสขม เรียกว่า ฝิ่นดิบ ส่วนฝิ่นที่มีการนามาใช้ เสพ เรียกว่า ฝิ่นสุก ได้มาจากการนาฝิ่นดิบไปต้มหรือเคี่ยวจนสุก ฤทธิ์ทางเสพติด ออกฤทธิ์กดระบบประสาท มีอาการเสพติดทั้งทางร่างกายและจิตใจ มี อาการขาดยาทางร่างกายอาการผู้เสพ คือ จิตใจเลื่อนลอย ง่วง ซึม แก้วตาหรี่ พูดจาวกวน ความคิด เชื่องช้า ไม่รู้สึกหิว ชีพจรเต้นช้า โทษที่ได้รับนั้น ร่างการทรุดโทรม สมองมึนชา สติปัญญาเสื่อม โทรม 5. มอร์ฟีน (Morphine) มอร์ฟีนเป็น alkaloid ได้จากยางสีขาวขุ่นของผลฝิ่น เมื่อนายางนี้มาตากให้แห้ง สีจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีน้าตาล มีลักษณะข้นเหนียว ถ้าทาให้แห้งต่อไปจะกลายเป็นผง 25% ตามน้าหนัก มี ฤทธิ์กดประสาทส่วนกลางแรงว่าฝิ่น ประมาณ 8-10 เท่า จัดเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 ตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม (แพทย์) มีสิทธ์ครอบครอง ได้โดยต้องขออนุญาตที่กองควบคุมวัตถุเสพติด สานักงานคณะกรรมการอาหารและยา มอร์ฟีน สามารถสังเคราะห์ได้แต่กรรมวิธีจะยากกว่าสกัดจากธรรมชาติ ถ้ามีการ เปลี่ยนแปลงสูตรโครงสร้างเพียงเล็กน้อยจะได้สารตัวอื่น ซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป เช่นเปลี่ยน hydroxy group ที่ตาแหน่ง 3 เป็น methoxy group จะได้โคเดอีน ซึ่งนอกจากมีฤทธิ์ระงับปวดแล้ว ยังมีฤทธิ์ระงับไอได้ดีอีกด้วย และถ้าเปลี่ยน hydroxy group ที่ตาแหน่ง 3 และที่ตาแหน่ง 6 เป็น acetyl group จะได้เฮโรอีน ซึ่งจัดเป็นยาเสพติดที่ร้ายแรงกว่า มอร์ฟีน การให้โดยการฉีดจะได้ผลดีกว่าการรับประทาน โดยออกฤทธิ์ระงับปวด ทาให้ง่วงซึม อารมณ์เปลี่ยนแปลง สมองไม่ปลอดโปร่ง เมื่อให้มอร์ฟีน ในขนาดรักษาแก่ผู้ป่วยที่มีความเจ็บปวด จะทาให้ความเจ็บปวดหายไปหรือลดน้อยลง และในผู้ป่วยบางรายอาจเกิดอาการคลิบเคลิ้มเป็นสุข ฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางอย่างอื่น ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ซึมเซา เชื่องช้า ไม่มีสมาธิ ผู้ที่ ได้รับยาเกินขนาด จะมีอาการง่วงซึมมาก รูม่านตาหรี่ การหายใจถูกกด โคม่า มอร์ฟีนถูกดูดซึมได้ดีที่ระบบทางเดินอาหาร จากใต้ผิวหนัง และกล้ามเนื้อ ไม่สะสมใน ร่างกาย ยาที่ให้ไปจะถูกขับออกจากร่างกายประมาณ 90% ภายใน 24 ชั่วโมง
  • 10. อาการการติดยาเกิดจากการได้รับยาซ้าๆ กัน มีทั้งอาการพึ่งยาทางจิตใจเนื่องจากฤทธิ์ของ ยาและเพื่อความพึงพอใจของผู้เสพ และอาการพึ่งยาทางร่างกายซึ่งจาเป็นต้องได้รับยาเพื่อให้ ร่างกายอยู่ในภาวะปกติ และมีอาการถอนยาเมื่อขาดยา การติดยาเกิดขึ้นเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับขนาดยา ที่ได้รับ ถ้าได้รับยาในขนาดสูงหรือได้รับยาติดต่อกันนานมากเท่าไหร่ ก็จะทาให้เกิดอาการติดยาได้ เร็วมากขึ้นเท่านั้น และอาการถอนยาจะรุนแรงตามไปด้วย อาการถอนยาเป็นลักษณะเฉพาะของยาประเภทมอร์ฟีน จะมีอาการเกิดขึ้นภายใน 2-3 ชั่วโมง หลังจากได้รับยาขนาดสุดท้าย อาการสูงสุดภายใน 12 ชั่วโมง หลังจากนั้นจะสงบลงภายใน 1 สัปดาห์ อาการถอนยาที่เกิดขึ้นได้แก่ หาวนอน น้าตาไหล เหงื่อออก ม่านตาขยาย ตัวสั่น นอนไม่ หลับ กระวนกระวาย ตะคริว ปัจจุบันมอร์ฟีนยังใช้ประโยชน์ได้ดีในการระงับปวด โดยเฉพาะคนไข้โรคมะเร็งซึ่งมี อาการขั้นสุดท้าย (สานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข, 2555) 6. เฮโรอีน (Heroin) เฮโรอีนเป็นยาเสพติดที่ได้จากการสังเคราะห์ทางเคมี จากปฏิกิริยาระหว่างมอร์ฟีนกับ สารเคมีบางชนิด เช่น อาเซติคแอนไฮไดรด์(Acetic anhydride) หรือ อาเซติลคลอไรด์ (Acetyl chloride) หรือเอทิลิดีนไดอาเซเตต (Ethylidene diacetate) โดยนักวิจัยชาวอังกฤษ ชื่อ C.R. Wright ได้ค้นพบวิธีการสังเคราะห์ เฮโรอีนจากมอร์ฟีนโดยใช้น้ายาอาเซติคแอนไฮไดรด์ (Acetic anhydride) และบริษัทผลิตยาไบเออร์ (Bayer) ได้นามาผลิตเป็นยาออกสู่ตลาดโลก ในชื่อทางการค้า ว่า “Heroin” และนามาใช้แทนมอร์ฟีนอย่างแพร่หลาย หลังจากที่มีการใช้เฮโอีนในวงการแพทย์ นานถึง 18 ปี จึงทราบถึงอันตรายและผลที่ทาให้เกิดการเสพติดที่ให้โทษอย่างร้ายแรงจนปี พ.ศ. 2467 (ค.ศ. 1924) ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกกฎหมายระบุให้เฮโรอีนเป็นยาเสพติดให้โทษ ห้าม มิให้ผู้ใดมีไว้ในครอบครองหลังจากนั้นต่อมาอีก 35 ปี คือ เมื่อปี พ.ศ. 2502 เฮโรอีนจึงได้แพร่ ระบาดสู่ประเทศไทย และในปี พ.ศ. 2504 ประเทศไทยจึงออกกฎหมาย ระบุให้เฮโรอีนและมอร์ฟีน เป็นยาเสพติดให้โทษ เฮโรอีนออกฤทธิ์แรงกว่ามอร์ฟีนประมาณ 4-8 เท่า และออกฤทธิ์แรงกว่าฝิ่น ประมาณ 30- 90 เท่า โดยทั่วไปเฮโรอีน จะมีลักษณะเป็นผงสีขาว สีนวล หรือสีครีม มีรสขม ไม่มีกลิ่น และแบ่ง ได้เป็น 2 ประเภท เช่นเดียวกับมอร์ฟีน ได้แก่ เฮโรอีนเบส (Heroin base) ซึ่งมีคุณลักษณะเด่น คือ ไม่ละลายน้า ส่วนอีกประเภทหนึ่ง คือ เกลือของเฮโรอีน (Heroin salt) เช่น เฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ (Heroin hydrochloride) เฮโรอีนที่แพร่ระบาดในประเทศไทย แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ 1. เฮโรอีนผสม หรือเรียกว่า เฮโรอีนเบอร์ 3 หรือไอระเหย เป็นเฮโรอีนที่มีความบริสุทธิ์ต่า เนื่องจากมีการผสมสารอื่นเข้าไปด้วย เช่น ผสมสารหนู สตริกนิน ยานอนหลับ คาเฟอีน แป้ง น้าตาลและอาจผสมสี เช่น สีม่วงอ่อน สีชมพูอ่อน สีน้าตาล อาจพบในลักษณะเป็นผง เป็นเกล็ด
  • 11. หรืออัดเป็นก้อนเล็กๆ มีวิธีการเสพโดยการสูดเอาไอสารเข้าร่างกาย จึงเรียกว่า “ไอระเหย” หรือ “แคป” 2. เฮโรอีนเบอร์ 4 เป็นเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ที่มีความบริสุทธิ์สูง มีลักษณะเป็นผง ละเอียด หรือเป็นเม็ดคล้ายไข่ปลา หรือพบในลักษณะอัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมผืนผ้า มักมีสีขาวหรือสี ครีม ไม่มีกลิ่น มีรสขม เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า “ผงขาว” มักเสพโดยนามาละลายน้าแล้วฉีดเข้า ร่างกาย หรือผสมบุหรี่สูบ โทษและภัยของยาเสพติด เนื่องด้วยพิษภัยหรือโทษของสารเสพติดที่เกิดแก่ผู้หลงผิดไปเสพสารเหล่านี้เข้า ซึ่งเป็นโทษที่มอง ไม่เห็นชัด เปรียบเสมือนเป็นฆาตกรเงียบ ที่ทาลายชีวิตบุคคลเหล่านั้นลงไปทุกวัน ก่อปัญหาอาชญากรรม ปัญหาสุขภาพ ก่อความเสื่อมโทรมให้แก่สังคมและบ้านเมืองอย่างร้ายแรง เพราะสารเสพย์ติดทุกประเภทที่มี ฤทธิ์เป็นอันตรายต่อร่างกายในระบบประสาท สมอง ซึ่งเปรียบเสมือนศูนย์บัญชาการของร่างกายและชีวิต มนุษย์การติดสารเสพติดเหล่านั้น จึงไม่มีประโยชน์อะไรเกิดขึ้นแก่ร่างกายเลย แต่กลับจะเกิดโรคและพิษ ร้ายต่างๆ จนอาจทาให้เสียชีวิต หรือ เกิดโทษและอันตรายต่อครอบครัว เพื่อนบ้าน สังคม และชุมชนต่างๆ ต่อไปได้อีกมาก โทษทางร่างกาย และจิตใจ คือ 1. สารเสพติดจะให้โทษโดยทาให้การปฏิบัติหน้าที่ของอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายเสื่อมโทรม พิษภัยของสารเสพย์ติดจะทาลายประสาท สมอง ทาให้สมรรถภาพเสื่อมลง มีอารมณ์ จิตใจไม่ปกติ เกิดการ เปลี่ยนแปลงได้ง่าย เช่น วิตกกังวล เลื่อนลอยหรือฟุ้งซ่าน ทางานไม่ได้อยู่ในภาวะมึนเมาตลอดเวลา อาจ เป็นโรคจิตได้ง่าย 2. ด้านบุคลิกภาพจะเสียหมด ขาดความสนใจในตนเองทั้งความประพฤติความสะอาดและ สติสัมปชัญญะ มีอากัปกิริยาแปลกๆ เปลี่ยนไปจากเดิม 3. สภาพร่างกายของผู้เสพจะอ่อนเพลีย ซูบซีด หมดเรี่ยวแรง ขาดความกระปรี้กระเปร่า และเกียจ คร้าน เฉื่อยชา เพราะกินไม่ได้นอนไม่หลับ ปล่อยเนื้อ ปล่อยตัวสกปรก ความเคลื่อนไหวของร่างกายและ กล้ามเนื้อต่างๆ ผิดปกติ 4. ทาลายสุขภาพของผู้ติดสารเสพติดให้ทรุดโทรมทุกขณะ เพราะระบบอวัยวะต่างๆ ของร่างกายถูก พิษยาทาให้เสื่อมลง น้าหนักตัวลด ผิวคล้าซีด เลือดจางผอมลงทุกวัน 5. เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย เพราะความต้านทานโรคน้อยกว่าปกติ ทาให้เกิดโรคหรือเจ็บไข้ได้ง่าย และเมื่อเกิดแล้วจะมีความรุนแรงมาก รักษาหายได้ยาก 6. อาจประสบอุบัติเหตุได้ง่าย สาเหตุเพราะระบบการควบคุมกล้ามเนื้อและประสาทบกพร่อง ใจลอย ทางานด้วยความประมาท และเสี่ยงต่ออุบัติเหตุตลอดเวลา
  • 12. 7. เกิดโทษที่รุนแรงมาก คือ จะเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ถึงขั้นอาละวาด เมื่อหิวยาเสพติดและหายาไม่ทัน เริ่มด้วยอาการนอนไม่หลับ น้าตาไหล เหงื่อออก ท้องเดิน อาเจียน กล้ามเนื้อกระตุก กระวาย และในที่สุดจะ มีอาการเหมือนคนบ้า เป็นบ่อเกิดแห่งอาชญากรรม ความรู้เกี่ยวกับยาไอซ์ ความหมายของยาไอซ์ "ไอซ์" คือผงเมธแอมเฟตามีน ที่ทาให้อยู่มนสภาพแข็ง ด้วยการนาเอาเมธแอมเฟตามีนมาผ่าน กระบวนการหุงต้มจนตกเป็นก้อนผลึก ไอซ์มักมีที่มาจากประเทศแถบเอเชีย อย่างไรก็ไอซ์สามารถผลิตได้ ทุก ๆ แห่งที่มีเมธแอมเฟตามีน ความรุนแรงของไอซ์ขึ้นอยู่กับระดับความบริสุทธิ์ ของเมธแอมเฟตามีนที่มี อยู่สูงมาก ในขณะที่เมธแอมเฟตามีนที่มีขายอยู่ทั่วไป จะถูกลดระดับความบริสุทธ์ (Cut) ลงด้วยเคมีภัณฑ์ อื่นหลายครั้ง แต่ผลึกเมธแอมเฟตามีนของไอซ์ จะมีระดับความบริสุทธิ์ของเมธแอมเฟตามีน สูงถึง 98- 100% ไอซ์จะไม่มีกลิ่นและมีอันตรายสูงกว่า Crack และ Cocaine นอกจากนั้นยังมีอานุภาพในการ เสพติดที่รุนแรงกว่าสีของไอซ์จะมีอยู่หลายสี แต่ละสีจะบ่งบอกถึง ระดับความบริสุทธิ์และความรุนแรงของ ไอซ์ ไอซ์ที่มีลักษณะเป็นผลึกใส คือไอซ์ที่ผลิตจากน้า (Water- base) จะเผาไหม้อย่างรวดเร็ว เมื่อเผาแล้วจะเหลือ คราบลักษณะคล้ายน้านม ไอซ์ที่มีสีเหลืองจะผลิตจาก น้ามัน (Oil-base) ซึ่งจะเผาไหม้ได้ช้ากว่าจะมีคราบเป็น สีน้าตาลหรือสีดาเมื่อเผาไหม้แล้ว ยาเสพติด ประเภทนี้ เมื่อเผาไหม้แล้วจะไม่มีกลิ่น จึงทาให้ผู้เสพนิยมเพราะ ไม่มีกลิ่นผิดปกติ เหมือนกัญชา อีกสาเหตุ หนึ่งที่ทาให้คนนิยม คือราคาถูกกว่าโคเคนมาก และผลในด้านการ เปี่ยมสุขที่นานกว่า แต่ผู้เสพไม่รู้หลอกว่า ไอซมีอานุภาพด้านเสพติดทาง กายภาพที่รุนแรงกว่าเฮโรอีน และเมื่อ หมดสถาวะความเปี่ยมสุขแล้วจะเกิด อาการซึมเศร้า(Depression หรือ Crash) ที่ยาวนานเป็นระยะเวลา หลาย ๆ วัน โทษของการใช้ยาไอซ์ ผู้เสพยาไอซ์จะเกิความรู้สึกเปี่ยมสุขทั้งร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรง (Euphoria) ฤทธิ์ของยาไอซ์จะ คงอยู่ระหว่าง 4-14 ชม. ขึ้นอยู่กับปริมาณที่เสพ ถึงแม้ยาที่เสพเข้าไปจะถูกดูดซึมเข้าสุ่กระแสโลหิตอย่าง รวด เร็วแต่ตัวยา ส่วนหนึ่งจะถูกขับถ่ายออกมาทางร่างกายโดยไม่มีโอกาสแสดงปฏิกริยาใด ๆ ภายใน 72 ชม.หลังการเสพ หลังจากนั้นจะเกิดอาการตาแข็งนอนไม่หลับ เมื่อพ้นจากอาการนี้ก็จะนอนหลับอย่าง ต่อเนื่องเป็น เวลานาน ๆ ผลต่อ สภาพร่างกายของผู้เสพ ผู้เสพจะเป็นโรคขาดวิตามินและแร่ธาตุสาคัญต่อร่างกายเนื่องมาจากรับประทาน อาหารไม่เพียงพอ น้าหนักจะลด ลงอย่างรวดเร็วจนเห็นได้ชัด ภูมิต้านทานโรคของร่างกายถดถอย การเสพเป็นระยะนาน ๆ จะทาให้ระบบการทางานของปอด ตับ และ ไต ชารุด นอกจากนั้น ยังทาให้มีอาการเสพติดทางจิตซึ่งนาไปสู่ การฟั่นเฟือน ทางจิต โรคนอนไม่หลับ กระวนกระวาย ซึมเศร้าและอ่อนเพลียผู้เสพจาต้องเพิ่มปริมาณ การ เสพมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้บรรลุถึงความเปี่ยมสุขที่เคยประสบ
  • 13. นโยบายและยุทธศาสตร์ในการป้ องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา นโยบายรัฐเกี่ยวกับยาเสพติด 11 กันยายน 2554 เวลา 10.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทาเนียบรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดปฏิบัติการวาระแห่งชาติ “พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด” โดยมี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บารุง รอง นรม., รมว.มท.รมว.ยธ.รมว.สธ., รมว.กห. ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม โดยสรุป ดังนี้ เมื่อวันที่ 11 ส.ค.54 ที่ผ่านมา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มีกระแสพระราชดารัส ที่ พระราชทานแก่คณะบุคคลที่ เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2554 ณ ศาลาดุสิดาลัย โดยขอความร่วมมืออย่างจริงจังจากรัฐบาลและคนไทยทั้งชาติ ในการแก้ไข ปัญหายาเสพติด รัฐบาลจึงได้กาหนดให้ปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ ที่ทุกภาคส่วนในสังคมจะต้องมี ความสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจ เร่งแก้ไขปัญหายาเสพติด อย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยกาหนดให้มียุทธศาสตร์ “พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด” ด้วยการรวมพลังทุกภาคส่วนเป็นพลังแผ่นดินในการต่อสู้กับยาเสพติด โดย ยึดหลักผู้เสพคือผู้ป่วยที่ต้องได้รับการบาบัดรักษาให้กลับมาเป็นคนดีของสังคม และสั่งการให้มีการกากับ ติดตามช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ รวมทั้งดาเนินการป้ องกันกลุ่มเสี่ยงและประชาชนทั่วไปไม่ให้เข้าไป เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ยึดหลักนิติธรรมในการปราบปรามลงโทษผู้ผลิต ผู้ค้า ผู้มีอิทธิพล และผู้ประพฤติมิ ชอบ มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด และดาเนินการอย่างจริงจังในการป้องกันปัญหาด้วยการแสวงหา ความร่วมมือเชิงรุกกับต่างประเทศในการควบคุมและสกัดกั้นยาเสพติด สารเคมี และสารตั้งต้นในการผลิต ยาเสพติดที่ลักลอบเข้าสู่ประเทศ ภายใต้การบริการจัดการอย่างบูรณาการและมีประสิทธิภาพ วัตถุประสงค์หลักของยุทธศาสตร์ ยุติสถานการณ์การแพร่ระบาดของยาเสพติด ภายใน 1 ปี กลยุทธ์7 แผน 4 ปรับ 3 หลัก 6 เร่ง ยึดเป็นหลักในการขับเคลื่อนงานยาเสพติด 7 แผน ดังนี้ 1. แผนสร้างพลังสังคมและพลังชุมชนเอาชนะยาเสพติด ทาให้หมู่บ้าน/ชุมชนทั่วประเทศ ประมาณ 60,000 แห่ง มีการรวมตัวเป็นพลังแผ่นดิน ในการป้ องกันเฝ้าระวัง และแก้ไขปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน/ ชุมชน 2. แผนการแก้ไขปัญหาผู้เสพผู้ติด (Demand) ลดจานวนผู้เสพยาเสพติดในประเทศไทย 1.2 ล้านคน ใน 4 ปี โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าในปีแรกจะดาเนินการให้ได้ถึง 400,000 คนทั่วประเทศ ติดตามช่วยเหลือฟื้นฟู ไม่ให้กลับมา เสพซ้า ประมาณ 80 % ใน 1 ปี 3. แผนสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันยาเสพติด (Potential Demand) มุ่งสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดให้กับ ประชาชน เยาวชนทั่วไป เยาวชนกลุ่มเสี่ยง ซึ่งจะเป็นการตัดการเพิ่มขึ้นของผู้เสพรายใหม่ 4. แผนปราบปรามยาเสพติดและบังคับใช้กฎหมาย ลดผู้ผลิต ผู้ค้าผู้ลาเลียงยาเสพติดในทุกระดับ โดยบังคับใช้กฎหมายตามหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด ใช้มาตรการทางด้านทรัพย์สิน การสืบสวนขยายผล เป็นแนวทางปฏิบัติหลัก
  • 14. 5. แผนความร่วมมือระหว่างประเทศ รัฐบาลจะแสวงความร่วมมือกับต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่าง ยิ่ง ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อร่วมกันปราบปรามการผลิตและค้ายาเสพติด รวมทั้ง ใช้นโยบายเชิงรุกในการ พัฒนาพื้นที่ชายแดนตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพื่อให้ ชายแดนมีความเป็นอยู่อย่างสันติ 6. แผนสกัดกั้นยาเสพติดตามแนวชายแดน สกัดกั้นยาเสพติดตามแนวชายแดนทุกด้าน มิให้มีการ ลักลอบนายาเสพติดสู่ประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7. แผนบริหารจัดการแบบบูรณาการ ระดมสรรพกาลังทั้งประเทศเข้าแก้ไขปัญหายาเสพติด มีการ จัดองค์กร กลไกการแก้ไขปัญหายาเสพติดทุกระดับ และบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ 4 ปรับ เพื่อทาให้การเอาชนะยาเสพติด มีประสิทธิภาพมากขึ้น 1. ปรับปรุงข้อมูล การข่าวให้ถูกต้อง ทันสมัย 2. ปรับบทบาท พฤติกรรมเจ้าหน้าที่ของรัฐ 3. ปรับกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ 4. ปรับทัศนคติของสังคมและชุมชนมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหายาเสพติด 3 หลัก ยึด 3 หลักในการแก้ปัญหา ประกอบด้วย 1. หลักเมตตาธรรมที่มีความรักในเพื่อนมนุษย์อยากเห็นคนผิดกลับตัวเป็นคนดี คืนความ รักให้ครอบครัว คืนสุขให้ชุมชน 2. ยึดหลักนิติธรรม ทางกฎหมายมาบังคับใช้อย่างจริงจังตามหลักนิติธรรม 3. หลักแก้ปัญหาโดยยึดพื้นที่เป็นตัวตั้ง โดยยึดจังหวัด อาเภอ ตาบล หมู่บ้าน เป็นตัวตั้งของ การแก้ไขปัญหา ให้พื้นที่เป็นเจ้าของปัญหา 6 เร่ง ข้อฏิบัติเร่งด่วน 6 เรื่องที่จะต้องเร่งดาเนินการ 1. เร่งดาเนินการในด้านข้อมูล ให้ทุกหน่วยหาข้อมูลปัญหายาเสพติดที่เป็นจริงในระดับ พื้นที่ 2. เร่งลดจานวนผู้เสพยาจากหมู่บ้าน/ชุมชน จัดทาแผนบาบัดรักษาลดจานวนผู้เสพยาเสพ ติดในพื้นที่ 3. เร่งแสวงหาความร่วมมือกับต่างประเทศและการสกัดกั้นยาเสพติด 4. เร่งปราบปรามผู้ค้า ลดความเดือดร้อนของประชาชนจากปัญหายาเสพติด ตามที่ข้อ ร้องเรียนของประชาชนผ่านช่องทางต่างๆ ให้เป็นเรื่องเร่งด่วนลาดับแรก และจะมีการแจ้งผลการดา เนินงานให้ประชาชนรับทราบ ขยายผลการยึดทรัพย์ผู้ค้ายาเสพติดตามหลักนิติธรรม ให้เพิ่มมากขึ้น 5. เร่งแก้ไขปัญหาเยาวชนกลุ่มเสี่ยงทั้งในและนอกสถานศึกษา ให้ทุกจังหวัดเข้มงวด กวดขันพื้นที่เสี่ยง ปัจจัยเสี่ยงที่สร้างความเดือดร้อนราคาญให้กับชุมชนและสังคม เร่งสร้างระบบ ป้องกัน และเฝ้าระวังยาเสพติดในสถานศึกษาในทุกจังหวัด เพื่อสร้างความสบายใจให้กับผู้ปกครอง
  • 15. 6. เร่งสร้างหมู่บ้าน/ชุมชนให้มีความเข้มแข็ง โดยน้อมนาพระราชดารัสสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2554 เรื่องโครงการกองทุนแม่ของแผ่นดิน จะทาให้ หมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดินทั้งหมดที่มีอยู่มีความเข้มแข็ง จะขยายจานวนหมู่บ้านกองทุนแม่ของ แผ่นดินให้เพิ่มขึ้น ประมาณ 50% ของหมู่บ้าน/ชุมชนทั้งประเทศในระยะ 4 ปี นโยบายด้านการป้ องกันยาเสพติดของกระทรวงศึกษาธิการ นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.)เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ มอบนโยบายการป้ องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาภายใต้ ยุทธศาสตร์"รั้วโรงเรียน" และนโยบายด้านภูมิคุ้มกันยาเสพติด (Drug-Free) เพื่อให้สถานศึกษาทุกสังกัด ดาเนินการป้องกัน แก้ไข หยุดยั้งและลดระดับการแพร่ระบาดยาเสพติดในสถานศึกษานั้น สพฐ. ได้จัดทา เกณฑ์มาตรฐานตัวชี้วัดเครื่องมือ และคู่มือการประเมินผลการดาเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ในสถานศึกษาและมอบให้สานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ส่งเสริมกากับ ติดตามและประเมินผลการ ดาเนินงานของสถานศึกษาในสังกัด ภายใต้ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนและแผนยุทธศาสตร์ตาม นโยบายสถานศึกษา3 ดี (3D) ของ ศธ. เพื่อให้สถานศึกษาได้รับการเสริมสร้างความเข้มแข็งในการป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาอย่างยั่งยืน รวมทั้งได้แต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกสถานศึกษาดีเด่นในระดับ สพฐ.นั้น เพื่อป้องกันและแก้ไข ปัญหายาเสพติดและลดปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติดในสถานศึกษา รวมทั้งเพื่อส่งเสริมให้ประชาชน องค์กรประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมในการดาเนินงานแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาภายใต้ ยุทธศาสตร์"รั้วโรงเรียน" จึงได้เชิญผู้รับผิดชอบงานยาเสพติดจากสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหาร สถานศึกษาดีเด่น ด้านป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด รวม 136 แห่งเข้าร่วมประชุมปฏิบัติการถอด บทเรียนสถานศึกษาดีเด่นในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาภายใต้ยุทธศาสตร์"รั้ว โรงเรียน" และนโยบายด้านภูมิคุ้มกันยาเสพติด (Drug-Free) และเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติผู้บริหาร สถานศึกษาที่ยอมรับปัญหาและป้องกัน/แก้ไขปัญหาอย่างจริงจังรวมทั้งเพื่อเป็นขวัญกาลังใจ จึงได้จัดพิธี มอบโล่รางวัลให้แก่สถานศึกษาดีเด่นในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาภายใต้ ยุทธศาสตร์ "รั้วโรงเรียน" ระดับประเทศ ในวันที่ 28 ก.พ.54 ณ รร.ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ ทั้งนี้คาดว่าจากการ ประชุมครั้ง สพฐ.จะมีสถานศึกษาที่เป็นต้นแบบในการขยายผล สู่สถาน ศึกษาทั่วประเทศ อีกทั้งยังเป็นการ สร้างกระแสให้หน่วยงานสถานศึกษาจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้ มีเจตคติที่ดีและมีพฤติกรรมตาม คุณลักษณะที่พึงประสงค์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาและที่สาคัญเรายังจะได้ รูปแบบการบริหารสถานศึกษาในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดภายใต้ยุทธศาสตร์"รั้วโรงเรียน" อีก ด้วย ยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ตามที่รัฐบาลได้กาหนดให้การป้ องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ
  • 16. โดยนายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคาสั่งสานักนายกรัฐมนตรี ที่ 154/2554 กาหนด ยุทธศาสตร์ พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด และจัดตั้งศูนย์อานวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ (ศพส.) เป็นองค์กรอานวยการระดับชาติ โดยมีกลยุทธ์การดาเนินงาน คือ 7 แผน 4 ปรับ 3 หลัก 6 เร่ง เพื่อให้ทุกงาน ที่เกี่ยวข้องยึดเป็นหลักในการขับเคลื่อนงานยาเสพติด ซึ่งได้มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ เป็น หน่วยงานหลัก รับผิดชอบแผนที่ 3 แผนการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติดในสถานศึกษา โดยมีเป้าหมายและตัวชี้วัดการดาเนินงาน ได้แก่ 1. โครงการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดในสถานศึกษา กาหนดให้นักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จานวน 30% ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายเยาวชนก่อนวัยเสี่ยงลาดับแรกสุดที่จะเพิ่มภูมิคุ้มกันป้องกันยา เสพติด ซึ่งแนวทางการปฏิบัติ เน้นให้สถานศึกษาให้ความสาคัญในการเปิดโอกาสให้ ครูพระ ครู D.A.R.E. และครูตารวจ เข้าสอนในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่พื้นที่อาเภอ ที่มีความหนาแน่นของปัญหายาเสพติดในเกณฑ์สูง 2. โครงการป้องกัน เฝ้าระวังและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา กาหนดสถานศึกษาในระดับ ประถมศึกษา (ขยายโอกาส) มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา สถานศึกษาเอกชน สถาบันอุดมศึกษาเป็นเป้าหมายการ ป้องกัน เฝ้าระวังยาเสพติด และลดปัญหาเสี่ยง ซึ่งแนวทางการปฏิบัติเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนักเรียน กลุ่มเสพ/กลุ่มเสี่ยง โดยให้สถานศึกษาสารวจและค้นหานักเรียนกลุ่มเสพ/กลุ่มเสี่ยง เพื่อจัดกิจกรรมดูแล ช่วยเหลือและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ตลอดจนกิจกรรมเพื่อการป้องกันและพัฒนากลไกการเฝ้าระวังปัญหา ยาเสพติดในสถานศึกษา เช่น โครงการ To Be Number One ศูนย์เพื่อนใจวัยรุ่น โครงการลูกเสือต้านภัยยา เสพติด โครงการเจ้าหน้าที่ตารวจประจาสถานศึกษา และศูนย์เครือข่ายเจ้าพนักงานส่งเสริมความประพฤติ นักเรียน เป็นต้น 3. การขจัดภัยเสี่ยงรอบสถานศึกษาได้รับการแก้ไขทุกจังหวัด โดยให้สถานศึกษา ทุกสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัด ประเมินและชี้เป้าปัจจัยเสี่ยงและจุด เสี่ยงโดยรอบสถานศึกษา และให้รองผู้อานวยการสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต 1 ที่ได้รับมอบหมาย ในฐานะเลขานุการร่วมของคณะกรรมการ ศพส.จังหวัด นาเสนอข้อมูลในภาพรวม เสนอ ต่อคณะกรรมการ ศพส.จังหวัด เพื่อร่วมกันดาเนินการป้องกัน แก้ไขปัญหา กระทรวงศึกษาธิการ พิจารณาแล้วเห็นว่าเพื่อให้การนานโยบาย และยุทธศาสตร์พลังแผ่นดิน เอาชนะยาเสพติดไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม และมีความชัดเจน กระทรวงศึกษาธิการจึงขอซักซ้อม และทบทวน ในเรื่องกลไกการบริหารจัดการและการจัดทาแผนงาน/โครงการ ให้หน่วยงานท่านทราบ และ จัดแผนงาน/โครงการ ให้สอดคล้องกับเป้าหมาย ตัวชี้วัด ดังนี้ 1. กลไกการบริหารจัดการระดับจังหวัด คาสั่งสานักนายกรัฐมนตรี ที่ 156/2554 เรื่อง จัดตั้งศูนย์อานวยการและศูนย์ปฏิบัติการพลังแผ่นดิน เอาชนะยาเสพติดระดับพื้นที่ ที่เกี่ยวข้องกับจังหวัด ประกอบด้วย
  • 17. - ศูนย์อานวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดจังหวัด เรียกโดยย่อว่า ศพส.จ. เป็นกลไกบูรณาการ การปฏิบัติในพื้นที่จังหวัด มีรองผู้ว่าราชการที่ได้รับมอบหมายเป็นประธาน โดยมีผู้อานวยการสานักงานเขต พื้นที่การศึกษา ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมาย เป็นรองผู้อานวยการ และมี รองผู้อานวยการสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่ได้รับมอบหมาย เป็นกรรมการและเลขานุการร่วม - ศูนย์ปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดอาเภอ เรียกโดยย่อว่า ศพส.อ. เป็นกลไกบูรณาการ การปฏิบัติในพื้นที่อาเภอ มีผู้แทนสถานศึกษาในอาเภอที่สานักงานเขตพื้นที่มอบหมาย เป็นกรรมการ ดังนั้น เพื่อให้การมอบหมายผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะ องค์ประกอบของศูนย์อานวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดจังหวัด (ศพส.จ.) กระทรวงศึกษาธิการ จึง ขอมอบหมาย 1) ให้รองผู้อานวยการสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต 1 ที่รับผิดชอบงานยาเสพติด เป็นกรรมการและเลขานุการร่วมของ ศพส.จ. โดยมีบทบาทบูรณาการและเชื่อมต่อการทางานด้านการสร้าง ภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติดของสถานศึกษาในสังกัดต่างๆ ในจังหวัด 2) ให้สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต 1 เป็นผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการในจังหวัด ทาหน้าที่ในการอานวยการ ประสานงาน กับทุกภาคส่วน ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดใน สถานศึกษา ภายในจังหวัด ทั้งนี้ยังคงใช้กลไกของศูนย์ประสานงานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ในสถานศึกษาจังหวัด ในการบูรณาการ ขับเคลื่อนงานของหน่วยงานทางการศึกษา ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน 2. การจัดทาแผนงาน/โครงการ 1) การจัดทาแผนงาน/โครงการ แผนยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด พ.ศ. 2555 ได้ กาหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดการดาเนินงาน ตามรายละเอียดแนวทางจัดกิจกรรมข้างต้น ซึ่งในไตรมาสที่ 1 (1 ตุลาคม 2554 – 31 มกราคม 2555 ) สานักงาน ป.ป.ส. ได้กาหนดเป้ าหมาย ที่จะดาเนินการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน การป้องกัน เฝ้าระวังและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา จานวน 1,781 แห่ง ใน 76 จังหวัดทั่วประเทศ (ยกเว้นกทม.) สถานศึกษาละ 5,000 บาท โดยแนวทางดังกล่าว ได้ กาหนดให้ศพส.จ. เป็นผู้ดาเนินการอนุมัติแผนและงบประมาณให้กับสถานศึกษา 2) สานักงาน ป.ป.ส. ได้กาหนดจานวนสถานศึกษาเป้าหมายที่จะดาเนินการในแต่ละจังหวัด และได้ แจ้งให้ศพส.จ. และ ปปส.ภาค ทราบแล้ว แต่ไม่ได้ระบุรายชื่อสถานศึกษา ดังนั้นการจัดทาแผนงาน/ โครงการในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน การป้ องกัน เฝ้าระวังและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา ให้ พิจารณาคัดเลือกรายชื่อสถานศึกษาเป้าหมาย ให้สอดคล้องกับเป้าหมายหลักตามตัวชี้วัดดังกล่าวข้างต้น และสอดคล้องกับอาเภอ ที่มีความหนาแน่นของปัญหายาเสพติดในเกณฑ์สูง จานวน 338 อาเภอ
  • 18. รายละเอียดเป้าหมาย แนวทางการดาเนินงาน และอาเภอที่มีความหนาแน่นของปัญหายาเสพติด อยู่ในคาสั่ง ที่ 1/2554 เรื่อง แผนยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด พ.ศ. 2555 สามารถ Download ได้ที่ www.nccd.go.th/ หรือ www.skp.moe.go.th/th/ 3) สานักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษา เขต 1 ของทุกจังหวัด ทาหน้าที่เป็นหลักในการประสาน แผนงาน/โครงการ/งบประมาณ และการรายงานผลในภาพรวมของจังหวัด โดยบูรณาการ และขับเคลื่อน งานร่วมกับสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต 2 - 7 ,สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา และทุกสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่ตั้งอยู่ในจังหวัด
  • 19. บทที่ 3 ระเบียบวิธีการดาเนินการวิจัย กาวิจัยเพื่อศึกษาผลของการจัดกิจกรรมภายใต้โครงการ ASEAN Youth Anti-Drug (3 Spots: Skit – Radio - Media Anti-Ice) ของโรงเรียนภัทรบพิตร อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์มีวิธีการดาเนินการดังต่อไปนี้ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการวิจัย มีดังนี้ 1. ผู้อานวยการโรงเรียน รองผู้อานวยการโรงเรียน ครูในโรงเรียน และนักเรียนในโรงเรียน ปี การศึกษา 2555 จานวนทั้งสิ้น 1,761 คน 2. นักเรียนโรงเรียนภัทรบพิตร ปีการศึกษา 2555 จานวน 1,661 คน โดยแบ่งเป็น 2 ระดับคือ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 300 คน และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 300 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย มีวิธีการดังนี้ กลุ่มตัวอย่างที่ 1 คณะครูโรงเรียนภัทรบพิตร อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์สุ่มแบบเฉพาะเจาะจง จานวน 40 คน กลุ่มตัวอย่างที่ 2 นักเรียนโรงเรียนภัทรบพิตร อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ดาเนินการโดยการสุ่มทุก ระดับ ทุกห้องเรียน และสุ่มอย่างง่ายในทุกห้องเรียน โดยใช้ตารางของยามาเน่ Yamane Taro (เกษม สาหร่าย ทิพย์, 2543: 350) ที่ สถานภาพ ประชากร กลุ่มตัวอย่าง 1 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 320 100 2 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 290 100 3 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 250 100 4 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 300 100 5 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 250 100 6 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 251 100 รวม 1661 600 ตารางที่ 1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่างของนักเรียน