More Related Content
Similar to Taokingkue (20)
More from thitichaya2442 (7)
Taokingkue
- 1. 1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 5- 6
ปีการศึกษา 2561
ชื่อโครงงาน........การใช้สมุนไพรที่มีกลิ่นฉุนในการไล่กิ้งกือ........
ชื่อผู้ทาโครงงาน
1……สุพิชญา แก้วมณีศรีสกุล……เลขที่ …13…ชั้น ……6……ห้อง....9......
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
- 2. 2
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม .……
1………………………………….. เลขที่……… 2…………………………………เลขที่ ……….
3………………………………….. เลขที่………
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
การใช้สมุนไพรที่มีกลิ่นฉุนในการกาจัดกิ้งกือ
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
remove the millipede
ประเภทโครงงาน เพื่อการศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาวสุพิชญา แก้วมณีศรีสกุล
ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 2
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน
กิ้งกือเป็นสัตว์ที่ลาตัวมีเปลือกแข็งสีดาหุ้มอยู่ภายนอก มีจุดสีที่แตกต่างกัน ส่วนขามีสีแดงหรือสีเหลือง ใน
เปลือกหุ้มถูกเคลือบไว้ด้วยสารไซยาไนด์ (Cyanide) ที่เป็นพิษ ทั้งนี้เกิดจากกลไกการป้องกันตัวที่พบได้ทั่วไปในกิ้งกือ
และสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ที่จะมีการหลั่งของสารเคมีอย่างเช่น ไฮโดรเจนไซยาไนด์ (Hydrogen cyanide) หรือเบนซิล
ไซยาไนด์ (Benzoyl cyanide) นอกจากนี้กิ้งกือยังปล่อยสารเคมีอื่น ๆ เช่น เมนดีโลไนไตรล์เบนโซเอต
(Mandelonitrile benzoate) และเบนซาลดีไฮด์ (Benzaldehyde) ที่เป็นทั้งสารพิษในการป้องกันตัวซึ่งงานวิจัยที่มี
เกี่ยวกับการกาจัดกิ้งกือทั้งโดยการใช้สารเคมีและใช้สมุนไพร ผู้จัดทาพบว่าสารที่ใช้กาจัดกิ้งกือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ต่างๆล้วนเป็นสารที่มีกลิ่นฉุนทั้งสิ้น
และจากข้อมูลข้างต้นที่ได้กล่าวมาผู้จัดทาจึงต้องการศึกษาเกี่ยวกับสมุนไพรที่มีกลิ่นฉุนและการออกฤทธิ์ใน
การไล่กิ้งกือว่าสมุนไพรในตระกูลใดจะมีประสิทธิภาพในการกาจัดกิ้งกือสูงที่สุด ซึ่งเหตุผลที่ผู้จัดทาเลือกศึกษา
สมุนไพรที่อยู่ในท้องถิ่นเพราะสมุนไพรเป็นพืชที่หาง่าย ปลูกง่าย และคนรู้จักกันเป็นอย่างดี ซึ่งผู้จัดทาจะเพียงแค่ทา
การไล่กิ้งกือเท่านั้นไม่ได้กาจัดหรือฆ่าทิ้งเพื่อป้องกันไม่การศึกษาครั้งนี้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศและสายใย
อาหาร
วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ)
เพื่อศึกษาว่าสมุนไพรที่มีกลิ่นฉุนในตระกูลใดจะสามารถไล่กิ้งกือได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน)
1. สายพันธุ์และอายุของกิ้งกือ
2. สายพันธุ์ของสมุนไพรที่มีกลิ่นฉุน
- 3. 3
3. สถานที่ที่ทาการทดลอง
หลักการและทฤษฎี (ความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทาโครงงาน)
"กิ้งกือ" สัตว์ตัวจิ๋วแสนอันตราย
“สวยซ่อนคม” เป็นประโยคที่อาจใช้อธิบายถึงความอันตรายของกิ้งกือสีสันสดใสที่ถูกค้นพบใหม่ทางตะวันออกเฉียง
ใต้ของสหรัฐอเมริกาได้อย่างชัดเจน เนื่องด้วยรูปแบบที่โดดเด่นและมีความหลากหลายมากกว่ากิ้งกือชนิดอื่น ๆ ที่เคย
พบมาก่อนหน้านั้นเป็นทั้งแรงดึงดูดและคาเตือนสาหรับนักล่าในห่วงโซ่อาหาร
ภาพที่ 1 กิ้งกือ
ที่มา https://pixabay.com/th/ ,ROverhate
สิ่งมีชีวิตหลายขาที่เรียกว่า Apheloria polychrome นั้นเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ของกิ้งกือที่เพิ่งถูกค้นพบในพื้น
ป่าของเทือกเขาคัมเบอร์แลนด์ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของรัฐเวสเวอร์จิเนีย โดยพบลาตัวมีเปลือกแข็งสีดาหุ้มอยู่ภายนอก
มีจุดสีที่แตกต่างกัน ส่วนขามีสีแดงหรือสีเหลือง ซึ่งในส่วนของเปลือกหุ้มที่มีลวดลายหลากหลายจะถูกเคลือบไว้ด้วย
สารไซยาไนด์ (Cyanide) ที่เป็นพิษ ทั้งนี้เกิดจากกลไกการป้องกันตัวที่พบได้ทั่วไปในกิ้งกือและสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ที่
จะมีการหลั่งของสารเคมีอย่างเช่น ไฮโดรเจนไซยาไนด์ (Hydrogen cyanide) หรือเบนซิลไซยาไนด์ (Benzoyl
cyanide) เมื่อพวกมันรู้สึกถึงภัยคุกคามและถูกรบกวน นอกจากนี้กิ้งกือยังปล่อยสารเคมีอื่น ๆ เช่น เมนดีโลไนไตรล์
เบนโซเอต (Mandelonitrile benzoate) และเบนซาลดีไฮด์ (Benzaldehyde) ที่เป็นทั้งสารพิษในการป้องกันตัว
และเป็นยาปฏิชีวนะในบางครั้ง
กิ้งกือจะใช้อาวุธเคมีของพวกมันแตกต่างกัน บางตัวจะค่อย ๆ ปล่อยสารออกมาจากต่อมชนิดพิเศษ ในขณะที่
บางตัวจะม้วนตัวเพื่อบีบสารพิษออกมา หรือพ่นสารไปยังผู้ล่าโดยตรง ทั้งนี้ตัวของพวกมันเองจะไม่ได้รับอันตราย
เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันต่อสารพิษที่ผลิตขึ้นเอง และนั่นจึงเป็นความพิเศษที่ทาให้กิ้งกือแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ
ยิ่งกว่านั้นกิ้งกือชนิดนี้ยังมีรูปแบบของสีสันที่พวกมันใช้หลบเลี่ยงต่อนักล่าอย่างน้อย 6 รูปแบบที่แตกต่างกันอาทิ มี
ลาตัวสีดา มีจุดแต้มตามลาตัวสีเหลือง ขาสีเหลือง หรือมีลาตัวสีดา จุดแต้มสีขาว และมีขาสีแดง เป็นต้น
- 4. 4
กิ้งกือ A. polychrome หรือได้รับการขนานนามว่าเป็น "Colorful Cherry Millipede” โดยในส่วนเชอร์รี่นั้น
ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับสีสัน แต่หมายถึงกลิ่นของเบนซาลดีไฮด์จากเบนซาลดีไฮด์ ไซยาโนไฮดริน (benzaldehyde
cyanohydrin) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นที่สังเคราะห์ขึ้นและเก็บไว้ในต่อมพิเศษ เมื่อพวกมันรู้สึกว่ากาลังถูกคุกคามมัน มันจะ
หลั่ง cyanohydrins ออกมาจากต่อมพิเศษ และแตกตัวโดยมีเอนไซม์เป็นตัวเร่งเพื่อสร้าง Hydrogen cyanide
(HCN) และปล่อยแก๊สนั้นออกสู่สภาพแวดล้อมในทันทีเพื่อป้องกันตัวเองจากนักล่าทั้งหลายที่เข้าใกล้มัน
ภาพที่ 2 ภาพแสดงการแตกตัวของ Benzaldehyde cyanohydrin
ที่มา พรรณพร
ไฮโดรเจนไซยาไนด์ (Hydrogen cyanide) เป็นแก็สไม่มีสี มีกลิ่นฉุน และเป็นพิษ ซึ่งสามารถดูดซึมได้ดีผ่าน
การหายใจและการสัมผัส ก่อให้เกิดผลกระทบแตกต่างกันตามปริมาณที่ได้รับตั้งแต่มีอาการไอ มีเสมหะ หลอดลม
อักเสบเรื้อรัง คลื่นไส้อาเจียน เวียนศีรษะ ระคายเคืองตา หายใจไม่ออก กระทั่งสูญเสียการทางานของระบบต่าง ๆ
ภายในร่างกาย และเป็นอันตรายต่อชีวิตได้
นอกจากนี้ทีมนักวิจัยยังพบกิ้งกือสายพันธุ์อื่น ๆ ที่มีการปรับตัวให้มีลวดลายและสีสันที่สะดุดตาเพื่อหลีกเลี่ยง
อันตรายจากผู้ล่าได้เช่นเดียวกับสายพันธุ์ที่พบ เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Müllerian mimicry ซึ่งเป็นหนึ่งใน
วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากการคัดเลือกตามธรรมชาติที่เกิดจากสัตว์สองชนิดหรือมากกว่าที่ทั้งมีและไม่ได้มี
ความสัมพันธุ์ใกล้ชิดหรือเกี่ยวข้องกัน โดยสัตว์ชนิดหนึ่งมีการปรับตัวเลียนแบบสิ่งมีชีวิตที่เป็นแม่แบบเพื่อประโยชน์ใน
เรื่องการป้องกันตัวเองจากนักล่า อย่างไรก็ดีหากสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีความจาเป็นต้องใช้อาวุธในการป้องกันตัวสามารถ
ปรับตัวเลียนแบบได้ จึงเป็นที่น่าสนใจสาหรับสิ่งมีชีวิตที่เป็นอันตรายมากกว่า
- 5. 5
ภาพที่ 3 ภาพด้านซ้ายคือผีเสื้อหนอนใบรักธรรมดา (Danaus chrysippus) และภาพด้านขวาคือผีเสื้อหนอนข้าวสาร
ลายเสือ (Danaus genutia) เป็นตัวอย่างการปรับตัวเลียนแบบที่เรียกว่า Müllerian mimicry
ที่มา https://en.wikipedia.org/wiki/Mullerian_mimicry
แม้ว่าลวดลายหรือสีสันดังกล่าวจะสามารถป้องกันอันตรายที่มาถึงตัวได้ แต่ก็ดูเหมือนว่าประโยชน์นั้นจะเป็น
ประโยชน์ในทางเดียว ที่อาจใช้ได้ผลกับสัตว์ชนิดเดิม ทั้งนี้การปรับตัวเพื่อความอยู่รอดก็ทาให้นักล่าสามารถจดจา
รูปแบบและหลีกเลี่ยงอันตรายได้มากขึ้นเช่นกัน
กิ้งกือสายพันธุ์ A. polychrome ถูกค้นพบโดย Paul Marek นักวิจัยจากสถาบันโพลีเทคนิคและมหาวิทยาลัย
รัฐเวอร์จิเนีย ผู้ซึ่งเคยค้นพบกิ้งกือที่มีขามากที่สุดเท่าที่เคยพบมาก่อนหน้า และเป็นผู้ที่พยายามค้นหาสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่
อาจสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้ก่อนที่จะได้รับการระบุตัวตน เขากล่าวว่า “มันเป็นความจาเป็นที่ต้องอธิบายและจัด
หมวดหมู่สายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต เพื่อให้ทราบถึงบทบาทของพวกมันในระบบนิเวศ รวมทั้งผลกระทบของมนุษย์ที่มีต่อ
ตัวพวกมันด้วย”
กิ้งกืออาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทาให้ใครคนรู้สึกกลัวหรือขยะแขยง แต่บทบาทของกิ้งกือในธรรมชาตินั้นมีประโยชน์
ต่อระบบนิเวศมาอย่างยาวนาน ด้วยการเป็นสิ่งมีชีวิตที่ช่วยย่อยสลายและกินเศษซากพืช ใบไม้ และถ่ายออกมาเป็น
มูลสารอินทรีย์ที่ช่วยเพิ่มแร่ธาตุในดิน รวมทั้งยังเป็นอาหารให้แก่เชื้อจุลินทรีย์ เชื้อรา และพืชต่างๆ
แหล่งที่มา http://www.scimath.org/article-biology/item/7932-2018-03-19-04-05-13
วิธีดาเนินงาน
แนวทางการดาเนินงาน
1. ศึกษาสายพันธุ์สมุนไพรที่มีกลิ่นฉุน พบได้ง่าย และมีฤทธิ์ในการไล่กิ้งกือ
2. ศึกษาสายพันธุ์กิ้งกือและคัดเลือกสายพันธุ์ที่จะนามาศึกษา
3. ทาการทดลอง
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้
1. สมุนไพรที่มีกลิ่นฉุน
งบประมาณ
300 บาท
- 6. 6
ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน
ลาดั
บ
ที่
ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ
1 2 3 4 5 6 7 8 9
1
0
1
1
12
1
3
1
4
1
5
1
6
1
7
1 คิดหัวข้อโครงงาน
2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล
3 จัดทาโครงร่างงาน
4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน
5 ปรับปรุงทดสอบ
6 การทาเอกสารรายงาน
7 ประเมินผลงาน
8 นาเสนอโครงงาน
ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน)
ได้รู้ว่าสมุนไพรในตระกูลใดมีกลไกลการออกฤทธิ์ไล่กิ้งกือได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
สถานที่ดาเนินการ
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัยเชียงใหม่
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ (ชีววิทยาและเคมี)
แหล่งอ้างอิง (เอกสาร หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่นามาใช้การทาโครงงาน)
"กิ้งกือ" สัตว์ตัวจิ๋วแสนอันตราย(2561)[ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก
http://www.scimath.org/article-biology/item/7932-2018-03-19-04-05-13