สารสนเทศเพื่อประกอบการตัดสินใจ
จัดทาโดย
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ห้อง 12
เสนอ
คุณครู จิรายุ ทองดี
รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ
โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า
นางสาว กฤษิณัฐรวี ศรีเบญจสุนทร เลขที่ 10
นางสาว ภาวิณี ปาระพรหม เลขที่ 11
นางสาว สริตา เจริญนาน เลขที่ 12
นางสาว ชลดา พันธุ์สงวน เลขที่ 13
นางสาว รุ่งรุจี พินิจรอบ เลขที่ 21
คานา
รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ (ง32102) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ โดยมีจุดประสงค์
เพื่อการศึกษาความรู้เกี่ยวกับสารสนเทศที่ช่วยประกอบในการตัดสินใจในด้านต่างๆ ในปัจจุบันสารสนเทศนั้นมีบทบาทอย่างมาก
ในการดารงชีวิตของผู้คน เพราะความทันสมัย และโลกที่ไม่เคยหยุดนิ่ง จึงต้องทาให้เราเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา จึงได้จัดทา
รายงานเล่มนี้ขึ้น ผู้จัดทาหวังว่ารายงานฉบับนี้จะให้ความรู้ และเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุก ๆท่าน
คณะผู้จัดทา
สารบัญ
เนื้อหา หน้า
สารสนเทศคืออะไร 1
องค์ประกอบของสารสนเทศ 2
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสารสนเทศเพื่อประกอบการตัดสินใจ 3
ประเภทของสารสนเทศเพื่อประกอบการตัดสินใจ 4
ลักษณะของ DSS 7
ประโยชน์ของ DSS 8
ส่วนประกอบของ DSS 9
การจัดการกับการตัดสินใจ 11
กระบวนการในการตัดสินใจ 12
ระดับของการตัดสินใจภายในองค์การ 13
บรรณานุกรม 14
สารสนเทศคืออะไร ?
ในปัจจุบันสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทสาคัญต่อการดาเนินชีวิตประจาวันเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นทางด้าน
การศึกษา เศรษฐกิจ สังคม หรือแม้แต่การเมืองการปกครองที่สารสนเทศเข้ามามีส่วน ซึ่งอาจจะเรียกยุคนี้ว่าเป็น “ยุค
สังคมสารสนเทศ” หรือ Information Age Society ที่ข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศเป็นหัวใจสาคัญในการพัฒนาให้มี
ความก้าวหน้าและพัฒนาประเทศ ซึ่งมีเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นพลังขับเคลื่อน-หรือปัจจัยหลักที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ทางสังคม ซึ่งทุกศาสตร์ ทุกวงการ ล้วนนาสารสนเทศเข้าไปใช้ประโยชน์หรือใช้ในการตัดสินใจ แก้ปัญหาต่างๆ จากคา
กล่าวที่ว่า “Information is Power” หรือ -สารสนเทศคืออานาจ สามารถชี้วัดได้ถึงความสาเร็จหรือความล้มเหลว
ขององค์กรได้ โดยสารสนเทศนั้นก่อให้เกิดแนวทางในการแก้ปัญหาต่างๆ และนาไปสู่การพัฒนาองค์กรให้มีความยั่งยืนมาก
ยิ่งขึ้น หากบุคคลากรในองค์กรรู้จักใช้สารสนเทศมาปรับปรุงการดาเนินงาน พัฒนางานที่กาลังกระทาอยู่ ก็จะเป็นการช่วย
พัฒนาองค์กรในทางอ้อม
สารสนเทศ (Information) หมายถึง ข้อมูลต่างๆ ที่ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงหรือมี การประมวลหรือวิเคราะห์
ผลสรุปด้วยวิธีการต่างๆ ให้อยู่ในรูปแบบที่มีความสัมพันธ์กัน มีความหมาย มีคุณค่าเพิ่มขึ้นและมีวัตถุประสงค์ในการใช้งาน
สามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น การเก็บข้อมูล การขายรายวันแล้วนาการประมวลผล เพื่อหาว่าสินค้าใดมียอดขายสูงที่สุด
เพื่อจัดทาแผนการขายในเดือนต่อไป เป็นต้น
สารสนเทศมีประโยชน์ คือ
1. ให้ความรู้ทาให้เกิดความคิดและความเข้าใจ
2. ใช้ในการวางแผนการบริหารงาน
3. ใช้ประกอบการตัดสินใจ
4. ใช้ในการควบคุมสถานการณ์ หรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
5. เพื่อให้การบริหารงานมีระบบ ลดความซ้าซ้อน
องค์ประกอบของสารสนเทศ
องค์ประกอบของระบบสารสนเทศแบ่งเป็น 5 ส่วน ดังนี้
1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware) คือ อุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ที่ใช้ประมวลผลหรือสร้างสาระสนเทศ เช่น คอมพิวเตอร์ CPU
เครื่องพิมพ์
2. ซอฟต์แวร์ (Software) คือ ชุดคาสั่งที่ทาให้คอมพิวเตอร์ทางานตามความต้องการของผู้ใช้ระบบสารสนเทศ
3. ข้อมูลและสารสนเทศ (Data and Information) คือ ข้อเท็จจริงต่างๆทั้งที่ผ่านการประมวลผลและยังไม่ผ่านการ
ประมวลผล อยู่ในรูปของ ตัวเลข ตัวอักษร รูปภาพ ฯลฯ
4. บุคลากร (Peopleware) คือ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศ แบ่งเป็น 4 ระดับคือ นักวิเคราะห์ระบบ โปรแกรมเมอร์
เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติงานเครื่อง และผู้ใช้
5. กระบวนการทางาน (Procedure) คือ ขั้นตอนการทางานเพื่อให้ได้สารสนเทศ ตามที่ต้องการ เช่น การสมัครสมาชิก การ
เข้ารหัส ฯลฯ
5.1 การนาเข้า (Input) เป็นการนาข้อมูลและสารสนเทศต่างๆที่ได้จากการรวบรวมเข้าสู่ระบบ
5.2 การประมวลผล(Process) เป็นการนาข้อมูลที่ได้ไปประมวลผลตามเงื่อนไขที่กาหนดโดยการเรียงลาดับ การคานวณ ฯลฯ
5.3 การแสดงผล (Output) เป็นการนาผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลมาแสดงในรูปแบบที่ผู้ใช้ต้องการเพื่อส่งเสริมหรือช่วย
ในการตัดสินใจ
5.4 การจัดเก็บ (Storage) เป็นการจัดเก็บข้อมูลหรือสารสนเทศทั้งหมดที่เกี่ยวกับระบบสารสนเทศเพื่อให้ผู้ใช้ระบบสารสนเทศ
สามารถนามาใช้ได้ใหม่ในอนาคต
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสารสนเทศเพื่อประกอบการตัดสินใจ
ระบบสารสนเทศที่ดีจะต้องช่วยให้ผู้ใช้สามารถนาข้อมูลหรือสารสนเทศนั้นไปช่วยในการตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ระบบ
สารสนเทศที่ดีจึงควรมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
- ความน่าเชื่อถือ (Reliable) ซึ่งพิจารณาได้จากความถูกต้องแม่นยา (Accurate)
- ความสมบูรณ์ครบถ้วน (Complete) ช่วยให้เกิดความเข้าใจในการใช้งาน (Simple)
- ทันต่อเวลา (Timely)
- มีความคุ้มค่า (Economical)
- ตรวจสอบได้ (Verifiable)
- มีความยืดหยุ่น (Flexible)
- สอดคล้องกับความต้องการ (Relevant)
- สะดวกในการเข้าถึง (Accessible)
- มีความปลอดภัย (Secure)
ระบบสารสนเทศดังกล่าว เมื่อนามาใช้จะช่วยบุคลากรในองค์กรให้สามารถตัดสินใจเลือกปฏิบัติงานได้อย่าง
ถูกต้อง ระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจนี้เรียกว่า DSS (Decision Support System) ซึ่งเป็นระบบ
ย่อยระบบหนึ่งในระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (MIS : Management Information System)
ประเภทของสารสนเทศเพื่อประกอบการตัดสินใจ
ระบบสารสนเทศที่ดีจะช่วยให้ผู้ใช้ในทุกระดับขององค์กรตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ประเภทของระบบสารสนเทศเพื่อ
สนับสนุนการตัดสินใจแบ่งตามผู้ใช้งานเป็น 2 ประเภท คือ ระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของบุคคลและระบบ
สารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจแบบกลุ่ม
1. ระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของบุคคล
ระบบสารสนเทศสนับสนุนการตัดสินใจของบุคคล เป็นระบบสารสนเทศที่มีผู้ใช้หรือผู้ตัดสินใจเพียงคนเดียว ดังนั้นผู้ใช้จึงต้องมี
อานาจในการตัดสินใจ ระบบสารสนเทศประเภทนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า ระบบสารสนเทศของผู้บริหาร หรือ (EIS) (Executive
Information System ) ซึ่งเป็นระบบสารสนเทศที่ช่วยสนับสนุนการวิเคราะห์ปัญหา ศึกษาแนวโน้มของเรื่องที่สนใจ ส่วนใหญ่
จะนาเสนอสารสนเทศในรูปแบบของรายงาน ตารางและกราฟ เพื่อสรุปสารสนเทศให้เข้าใจง่ายและประหยัดเวลา เช่น บริษัท
แห่งหนึ่งต้องการเปิดสาขาเพื่อจาหน่ายผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น ผู้บริหารจึงนาเข้าข้อมูลต่างๆ ของบริษัทไว้ในฐานข้อมูลของ EIS
เพื่อประมวลผลตามแบบจาลองที่สร้างไว้
ลักษณะพิเศษของEIS คือ ไม่จาเป็นต้องติดตั้งหรือทางานบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ใช้ควรมี
ประสิทธิภาพสูงเพื่อให้สามารถประมวลผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ EIS ในแต่ละซอฟต์แวร์หรือ EIS ของแต่ละ
บริษัทจะมีประโยชน์และรายละเอียดต่างๆแตกต่างกันตามแบบจาลองเฉพาะงานที่สร้างขึ้น แต่ EIS ทุกซอฟต์แวร์จะมี
ประโยชน์โดยรวมเหมือนกันดังนี้
– ช่วยในการตัดสินใจมีประสิทธิภาพมากขึ้น
– ช่วยประหยัดเวลาในการสร้างความเข้าใจและตัดสินใจของผู้บริหาร
– สามารถนาสารสนเทศจาก EIS ไปอ้างอิงเพื่อดาเนินการทางธุรกิจได้สะดวกยิ่งขึ้น
สารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของ EIS มีรูปแบบที่หลากหลายนับตั้งแต่สิ่งตีพิมพ์ที่แสดงข้อความ ภาพนิ่ง กราฟและ
แผนภูมิไปจนถึงมุลติมีเดียที่มีความซับซ้อนขึ้นไป โดยสารสนเทศทุกรูปแบบต้องมีความชัดเจนและเข้าใจง่าย
2. ระบบสารสนเทศสนับสนุนการตัดสินใจแบบกลุ่ม
ระบบสารสนเทศสนับสนุนการตัดสินใจแบบกลุ่มหรือ GDSS (group decision support system) เป็นระบบสารสนเทศที่
พฒนามาจากระบบสารสนเทศสนบสนุนการตัดสินใจของบุคคลเรื่องจากการทางานภายในองค์กรมักใช้การวิเคราะห์ข้อมูลจาก
ผู้ใช้ที่มีจานวนมากกว่า 1 คนในการตัดสินใจการแก้ปัญหา ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือในผลการตัดสินใจ
นั้น ๆ การนา GDSS มาใช้ในองค์กรจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงลักษณะการทางานจากการเก็บรวบรวมข้อมูลไว้ที่ผู้ใช้คนใดคน
หนึ่งมาเก็บรวบรวมไว้ในระบบฐานข้อมูล บุคลากรทุกคนในองค์กรมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและส่งเสริมการตัดสินใจ
ขององค์กร ตัวอย่างการใช้งาน GDSS เช่น บริษัทแห่งหนึ่งต้องการปรับเปลี่ยนเวลาทางานของพนักงานบริษัท จึงมีการ
รวบรวมข้อมูลและความคิดเห็นของพนักงานทุกคนไว้ในฐานข้อมูลของ GDSS เพื่อประมวลผลตามแบบจาลองที่สร้างไว้
จากนั้นผู้บริหารหลาย ๆ ฝ่ายร่วมกันตัดสินใจว่าควรจะดาเนินการอย่างไร
แผนผังแสดงการใช้งาน GDSS เพื่อปรับเปลี่ยนเวลาการทางานของพนักงาน
ลักษณะของ DSS
เป็นซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่ช่วยในการจัดการ รวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลที่มีความซับซ้อน ซึ่งมีการตอบสนองหรือ
โต้ตอบกับผู้ใช้งาน ปัญหาที่แก้ไขด้วย DSS จะเป็นข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้างที่แน่นอนหรือข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาซึ่ง
ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยสารสนเทศเพื่อประมวลผลรายการธุรกรรม (TPS : Transaction Processing System) ทั่วไป
ตัวอย่างการใช้งาน DSS เช่น เมื่อเจ้าของกิจการต้องการปรับปรุงเครื่องจักรสาหรับผลิตปลากระป๋อง เจ้าของกิจการจะต้อง
นาเข้าข้อมูลต่างๆลงใน DSS เพื่อประมวลผลตามแบบจาลองที่สร้างไว้ว่าจะเกิดความคุ้มค่าหรือไม่ จากนั้นเจ้าของกิจการจึง
จะตัดสินใจว่าควรจะซื้อเครื่องจักรใหม่ ซ่อมแซมเครื่องจักรเก่า หรือเลื่อนการดาเนินการออกไปก่อนเพราะไม่เกิดความคุ้มค่าใน
การลงทุน
ประโยชน์ของ DSS
เนื่องจาก DSS ให้ความสาคัญกับการนาสารสนเทศไปประกอบการตัดสินใจเพื่อปฏิบัติงานในขั้นต่างๆของกระบวนการ
ทางาน ซึ่งไม่ใช่การรวบรวมและการแสดงข้อมูลที่ใช้งานประจาวันทั่วๆไป ทาให้ DSS มีประโยชน์ดังนี้
2.1 ช่วยประมวลผลและนาเสนอข้อมูลแก่ผู้ใช้เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการทางานและเป็นแนวทางในการตัดสินใจ
2.2 ช่วยประเมินทางเลือกในการตัดสินใจภายใต้เงื่อนไขของปัญหาแต่ละสถานการณ์ที่มีลักษณะเฉพาะของสถานการณ์นั้นๆ
2.3 ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจในปัญหาที่มีความสลับซับซ้อนและข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
2.4 ช่วยสร้างความยืดหยุ่น ความสมบูรณ์ และความสะดวกในการตัดสินใจ
2.5 ช่วยเพิ่มพัฒนาการและความเข้าใจในศักยภาพการทางานของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ครอบคลุมมากกว่าการปฏิบัติงาน
ทั่วๆไป
2.6 ช่วยนาเสนอข้อมูลในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น ตัวอักษร แผนภูมิ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว มัลติมีเดีย
2.7 ช่วยในการตัดสินใจที่ต้องการความรวดเร็วสูง ส่งเสริมการกาหนดกลยุทธ์ในการแข่งขันทางธุรกิจในองค์กรต่างๆ
2.8 ช่วยส่งเสริมการทางานร่วมกันของบุคลากรในองค์กรด้วยการโต้ตอบแบบทันที (Interactive)
ส่วนประกอบของ DSS
มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพการตัดสินใจโดยตรง กล่าวคือ ส่วนประกอบที่ดีจะทาให้เกิดกระบวนการทางานที่มี
ประสิทธิภาพน่าเชื่อถือ แต่ถ้าส่วนประกอบไม่ดีก็จะทาให้กระบวนการทางานขาดประสิทธิภาพ ส่วนประกอบของ DSS แบ่งเป็น
4 ส่วน
3.1 อุปกรณ์ เป็นส่วนประกอบที่รวมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของคอมพิวเตอร์แบ่งตามบทบาทและหน้าที่ได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
– อุปกรณ์ประมวลผล ปัจจุบัน DSS สามารถใช้งานด้วยคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือพีซี
(PC : Personal Computer) ที่มีการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ซึ่งสามารถติดตั้งซอฟต์แวร์ประเภท DSS
โดยเฉพาะหรือประยุกต์ใช้ซอฟต์แวร์พื้นฐานประเภท ซอฟต์แวร์ตารางคานวณ (Spreadsheet) หรือ ซอฟต์แวร์จัดการ
ฐานข้อมูล (Database) ก็ได้
– อุปกรณ์สื่อสาร เป็นการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อส่งเสริมการทางานระยะไกลและการทางานเป็นกลุ่ม โดย
เครือข่ายที่นิยมใช้ คือ เครือข่ายแลน (LAN : Local Area Network) สาหรับองค์กรขนาดเล็กและเครือข่ายแมน (MAN :
Metropolitan Area Network) สาหรับองค์กรขนาดเล็ก ทาให้ต้องติดตั้งวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ (Video Conference) เพิ่ม
ในระบบเพื่อช่วยในการประชุมทางไกล (Teleconference) ของผู้ใช้งาน
– อุปกรณ์แสดงผล การใช้งาน DSSจาเป็นต้องมีอุปกรณ์แสดงผลที่มีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อรูปแบบของข้อมูลนั้นๆ
เพื่อช่วยถ่ายทอดข้อมูลและสารสนเทศที่ชัดเจน เช่น จอภาพคอมพิวเตอร์ที่มีความละเอียดสูงและสามารถแสดงผลในรูปแบบ
ของมัลติมีเดีย
3.2 ระบบการทางานของ DSS มีลักษณะเป็นชุดคาสั่งเฉพาะที่สร้างและพัฒนาขึ้นในรูปแบบที่เตกต่างกันตามลักษณะของ
องค์กร แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
– ฐานข้อมูล (Database) เป็นการจัดเก็บข้อมูลและสารสนเทศเฉพาะการทางานของ DSS ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งจะ
ช่วยในการแสดงผล ณ ขณะนั้นของระบบ
– ฐานแบบจาลอง (Model Base) เป็นการรวบรวมแบบจาลองทางคณิตศาสตร์และแบบจาลองการวิเคราะห์ปัญหาของระบบ
เพื่อช่วยในการประมวลผลข้อมูล
– ระบบชุดคาสั่ง (Software System) เป็นส่วนประกอบที่ช่วยอานวยความสะดวกในการโต้ตอบระหว่างผู้ใช้ฐานข้อมูล และ
ฐานแบบจาลอง มักมีรูปแบบของระบบชุดคาสั่งในลักษณะของหน้าต่างโปรแกรม
3.3 ข้อมูล เป็นองค์ประกอบพื้นฐานของการทางานด้วย DSS โดย DSS จะเก็บข้อมูลไว้ที่ฐานข้อมูลเพื่อนาไปประมวลผลใน
ฐานแบบจาลองแล้วนาเสนอด้วยระบบชุดคาสั่ง ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะต้องมีปริมาณเพียงพอต่อการใช้งาน มีความถูกต้อง
ทันสมัย มีความยืดหยุ่น และสามารถนามาจัดและนาเสนอในรูปแบบเพื่อการวิเคราะห์ได้อย่างเหมาะสม
3.4 บุคลากร เป็นส่วนประกอบที่มีบทบาทต่อการกาหนดเป้าหมายและความต้องการ การพัฒนา การออกแบบ และการใช้งาน
DSS ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
– ผู้ใช้ (End – User) เป็นผู้นาเข้าข้อมูลและรับข้อมูลจาก DSS โดยไม่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลโดยตรงของระบบ
สารสนเทศ
– ผู้สนับสนุนระบบสารสนเทศ (DSS Support) เป็นผู้ควบคุม ดูแลรักษาอุปกรณ์ และระบบการทางานให้มีความสมบูรณ์และ
สามารถประมวลผลได้เต็มประสิทธิภาพตามความต้องการของผู้ใช้
การจัดการกับการตัดสินใจ
เป็นที่ทราบกันดีว่าผู้จัดการในแต่ละองค์การจะต้องทากิจกรรมต่างๆอย่างมากมาย เช่น การเข้าประชุม การวางแผนงาน การ
ติดต่อกับลูกค้า จัดงานเลี้ยงการเปิดตัวสินค้า แม้กระทั่งในบางครั้งอาจจะต้องเป็นประธานงานในงานบวชหรืองานแต่งงานของ
ผู้ใต้บังคับบัญชา โดยที่ Henri Fayol ชาวฝรั่งเศสได้กล่าวถึงหน้าที่หลักในการจัดการ (Management Functions) ไว้ 5
ประการด้วยกัน คือ
1. การควบคุม (Controlling)
2. การวางแผน (Planning)
3. การจัดองค์การ (Organizing)
4. การตัดสินใจ (Deciding)
5. การประสานงาน (Coordinating)
กระบวนการในการตัดสินใจ
ปัจจุบันความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสื่อสาร และโทรคมนาคมทาให้ข้อมูลข่าวสารสามารถเดินทางได้อย่างคล่องตัวและเป็น
อิสระมากขึ้น ส่งผลให้องค์การต่างๆสามารถรับส่งข้อมูลข่าวสารและข้อสนเทศในระยะเวลาที่สั้นลงโดยข้อมูลมีความชัดเจน
ถูกต้อง และสะดวกขึ้น ด้วยเหตุนี้ทาให้ธุรกิจในปัจจุบันมีความคล่องตัวในการดาเนินงานสูงขึ้น ทาให้การตัดสินใจในโอกาสหรือ
ปัญหาทางธุรกิจที่เกิดขึ้นจะต้องทาภายใต้ข้อจากัดทางสารสนเทศภายในระยะเวลาที่เหมาะสม มีหลายครั้งที่ผู้บริหารจะต้อง
ตัดสินใจอย่างรวดเร็วภายใต้ความกดดันของสถานการณ์ เช่น การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน การนัดหยุดงาน หรือการ
ต่อต้านจากสังคม เป็นต้น จึงนับว่ามีความจาเป็นอย่างยิ่งสาหรับผู้บริหารที่จะประสบความสาเร็จในอนาคตที่จะต้องปรับตัวให้
ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม ตลอดจนต้องพยายามฝึกตนเอง โดยพัฒนาทักษะและสั่งสมประสบการณ์ในการ
ตัดสินใจเพื่อที่จะสามารถวิเคราะห์และตัดสินใจเลือกทางเลือกต่างๆได้อย่างแม่นยา มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้น
มีนักวิชาการหลายท่านได้อธิบายขั้นตอนในการตัดสินใจที่มีผู้กล่าวถึงอย่างแพร่หลาย เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ศึกษาได้ทาความ
เข้าใจและสามารถนาไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติได้โดยเริ่มจาก แนวความคิดของ Simon (1960) ที่อธิบาย
ขั้นตอนการตัดสินใจโดยใช้แบบจาลอง (Model) ที่ประกอบด้วยขั้นตอนหลัก 3 ประการ ดังต่อไปนี้
1. การใช้ความคิดประกอบเหตุผล (Intelligence) ผู้ตัดสินใจจะรับรู้ถึงโอกาสหรือปัญหาที่เกิดขึ้น จากนั้นผู้ทาการ
ตัดสินใจเริ่มเก็บรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากตัวปัญหาและสิ่งแวดล้อมหรือโอกาสนั้น
2. การออกแบบ (Design) ผู้ตัดสินใจจะวิเคราะห์และพัฒนทางต่างที่เป็นไปได้ในการแก้ปัญหา เพื่อนาไปใช้ประกอบ
ตัดสินใจเลือกทางเลือกในการปฏิบัติที่เหมาะสม การที่จะแระสบความสาเร็จในขั้นตอนนี้ ผู้ทาการตัดสินใจจะต้องมี
ความเข้าใจในปัญหา มีความคิดสร้างสรรค์พยายามที่จะหาทางออกของปัญหา และตรวจสอบความเป็นไปได้ใน
ปัญหานั้น
3. การคัดเลือก (Choice) ผู้ทาการตัดสินใจจะทาการคัดเลือกแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่สุดเพื่อที่จะ
นาไปประยุกต์ใช้ต่อไป
ระดับของการตัดสินใจภายในองค์การ
ปกติเราสามารถแบ่งระดับชั้นของผู้บริหาร (Management Levels) ในลักษณะเป็นลาดับขั้น (Hierarchy) ซึ่งมี
ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมพีรามิด (Pyramid) ตามหลักการบริหารที่ใช้กันอยู่ทั่วไป ซึ่งสามารถประยุกต์กับการจาแนกระดับ
ของการตัดสินใจของผู้บริหารภายในองค์การ (Levels of Decision Making) ได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้
1. การตัดสินใจระดับกลยุทธ์ (Strategic Decision Making) เป็นการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูงในองค์การ
ซึ่งจะให้ความสนใจต่ออนาคตหรือสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น อันได้แก่ การสร้างวิสัยทัศน์องค์การ การกาหนดนโยบายและเป้าหมาย
ระยะยาว การลงทุนในธุรกิจใหม่ การขยายโรงงาน เป็นต้น การตัดสินใจระดับกลยุทธ์มักจะเกี่ยวข้องกับความไม่แน่นอนของ
สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลจากทั้งภายนอกและภายในองค์การตลอดจนประสบการณ์ของผู้บริหารประกอบการ
พิจารณา
2. การตัดสินใจระดับยุทธวิธี (Tactical Decision Making) เป็นหน้าที่ของผู้บริหารระดับกลาง โดยที่การ
ตัดสินใจในระดับนี้มักจะเกี่ยวข้องกับการจัดการ เพื่อให้งานต่างๆ เป็นไปตามนโยบายของผู้บริหารระดับสูง เช่น การกาหนด
ยุทธวิธีทางการตลาด การตัดสินใจในแผนการเงินระยะกลาง หรือการแก้ไขปัญหาสาคัญที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดหวัง
3. การตัดสินใจระดับปฏิบัติการ (Operational Decision Making) หัวหน้างานระดับต้นมักจะต้องเกี่ยวข้องกับ
การตัดสินใจในระดับนี้ ซึ่งมักจะเป็นการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเฉพาะด้าน ที่มักจะเป็นงานประจาที่มีขั้นตอนซ้าๆ
และได้รับการกาหนดไว้เป็นมาตรฐาน โดยที่หัวหน้างานจะพยายามควบคุมให้งานดาเนินไปตามแผนงานที่วางไว้ เช่น การ
มอบหมายงานให้พนักงานแต่ละคน การวางแผนควบคุมการผลิตระยะสั้น การวางแผนเบิกจ่ายวัสดุ และการดูแลยอดขาย
ประจาวัน
บรรณานุกรม
- https://abutkun.wordpress.com/ระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ
- http://www.nakhonsithammarat.go.th/web_52/datacenter/doc_download/DSS.pdf

สารสนเทศเพื่อประกอบการตัดสินใจ

  • 1.
    สารสนเทศเพื่อประกอบการตัดสินใจ จัดทาโดย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ห้อง12 เสนอ คุณครู จิรายุ ทองดี รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า นางสาว กฤษิณัฐรวี ศรีเบญจสุนทร เลขที่ 10 นางสาว ภาวิณี ปาระพรหม เลขที่ 11 นางสาว สริตา เจริญนาน เลขที่ 12 นางสาว ชลดา พันธุ์สงวน เลขที่ 13 นางสาว รุ่งรุจี พินิจรอบ เลขที่ 21
  • 2.
    คานา รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ (ง32102) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่๕ โดยมีจุดประสงค์ เพื่อการศึกษาความรู้เกี่ยวกับสารสนเทศที่ช่วยประกอบในการตัดสินใจในด้านต่างๆ ในปัจจุบันสารสนเทศนั้นมีบทบาทอย่างมาก ในการดารงชีวิตของผู้คน เพราะความทันสมัย และโลกที่ไม่เคยหยุดนิ่ง จึงต้องทาให้เราเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา จึงได้จัดทา รายงานเล่มนี้ขึ้น ผู้จัดทาหวังว่ารายงานฉบับนี้จะให้ความรู้ และเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุก ๆท่าน คณะผู้จัดทา
  • 3.
    สารบัญ เนื้อหา หน้า สารสนเทศคืออะไร 1 องค์ประกอบของสารสนเทศ2 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสารสนเทศเพื่อประกอบการตัดสินใจ 3 ประเภทของสารสนเทศเพื่อประกอบการตัดสินใจ 4 ลักษณะของ DSS 7 ประโยชน์ของ DSS 8 ส่วนประกอบของ DSS 9 การจัดการกับการตัดสินใจ 11 กระบวนการในการตัดสินใจ 12 ระดับของการตัดสินใจภายในองค์การ 13 บรรณานุกรม 14
  • 4.
    สารสนเทศคืออะไร ? ในปัจจุบันสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทสาคัญต่อการดาเนินชีวิตประจาวันเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นทางด้าน การศึกษาเศรษฐกิจ สังคม หรือแม้แต่การเมืองการปกครองที่สารสนเทศเข้ามามีส่วน ซึ่งอาจจะเรียกยุคนี้ว่าเป็น “ยุค สังคมสารสนเทศ” หรือ Information Age Society ที่ข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศเป็นหัวใจสาคัญในการพัฒนาให้มี ความก้าวหน้าและพัฒนาประเทศ ซึ่งมีเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นพลังขับเคลื่อน-หรือปัจจัยหลักที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทางสังคม ซึ่งทุกศาสตร์ ทุกวงการ ล้วนนาสารสนเทศเข้าไปใช้ประโยชน์หรือใช้ในการตัดสินใจ แก้ปัญหาต่างๆ จากคา กล่าวที่ว่า “Information is Power” หรือ -สารสนเทศคืออานาจ สามารถชี้วัดได้ถึงความสาเร็จหรือความล้มเหลว ขององค์กรได้ โดยสารสนเทศนั้นก่อให้เกิดแนวทางในการแก้ปัญหาต่างๆ และนาไปสู่การพัฒนาองค์กรให้มีความยั่งยืนมาก ยิ่งขึ้น หากบุคคลากรในองค์กรรู้จักใช้สารสนเทศมาปรับปรุงการดาเนินงาน พัฒนางานที่กาลังกระทาอยู่ ก็จะเป็นการช่วย พัฒนาองค์กรในทางอ้อม สารสนเทศ (Information) หมายถึง ข้อมูลต่างๆ ที่ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงหรือมี การประมวลหรือวิเคราะห์ ผลสรุปด้วยวิธีการต่างๆ ให้อยู่ในรูปแบบที่มีความสัมพันธ์กัน มีความหมาย มีคุณค่าเพิ่มขึ้นและมีวัตถุประสงค์ในการใช้งาน สามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น การเก็บข้อมูล การขายรายวันแล้วนาการประมวลผล เพื่อหาว่าสินค้าใดมียอดขายสูงที่สุด เพื่อจัดทาแผนการขายในเดือนต่อไป เป็นต้น สารสนเทศมีประโยชน์ คือ 1. ให้ความรู้ทาให้เกิดความคิดและความเข้าใจ 2. ใช้ในการวางแผนการบริหารงาน 3. ใช้ประกอบการตัดสินใจ 4. ใช้ในการควบคุมสถานการณ์ หรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น 5. เพื่อให้การบริหารงานมีระบบ ลดความซ้าซ้อน
  • 5.
    องค์ประกอบของสารสนเทศ องค์ประกอบของระบบสารสนเทศแบ่งเป็น 5 ส่วนดังนี้ 1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware) คือ อุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ที่ใช้ประมวลผลหรือสร้างสาระสนเทศ เช่น คอมพิวเตอร์ CPU เครื่องพิมพ์ 2. ซอฟต์แวร์ (Software) คือ ชุดคาสั่งที่ทาให้คอมพิวเตอร์ทางานตามความต้องการของผู้ใช้ระบบสารสนเทศ 3. ข้อมูลและสารสนเทศ (Data and Information) คือ ข้อเท็จจริงต่างๆทั้งที่ผ่านการประมวลผลและยังไม่ผ่านการ ประมวลผล อยู่ในรูปของ ตัวเลข ตัวอักษร รูปภาพ ฯลฯ 4. บุคลากร (Peopleware) คือ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศ แบ่งเป็น 4 ระดับคือ นักวิเคราะห์ระบบ โปรแกรมเมอร์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติงานเครื่อง และผู้ใช้ 5. กระบวนการทางาน (Procedure) คือ ขั้นตอนการทางานเพื่อให้ได้สารสนเทศ ตามที่ต้องการ เช่น การสมัครสมาชิก การ เข้ารหัส ฯลฯ 5.1 การนาเข้า (Input) เป็นการนาข้อมูลและสารสนเทศต่างๆที่ได้จากการรวบรวมเข้าสู่ระบบ 5.2 การประมวลผล(Process) เป็นการนาข้อมูลที่ได้ไปประมวลผลตามเงื่อนไขที่กาหนดโดยการเรียงลาดับ การคานวณ ฯลฯ 5.3 การแสดงผล (Output) เป็นการนาผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลมาแสดงในรูปแบบที่ผู้ใช้ต้องการเพื่อส่งเสริมหรือช่วย ในการตัดสินใจ 5.4 การจัดเก็บ (Storage) เป็นการจัดเก็บข้อมูลหรือสารสนเทศทั้งหมดที่เกี่ยวกับระบบสารสนเทศเพื่อให้ผู้ใช้ระบบสารสนเทศ สามารถนามาใช้ได้ใหม่ในอนาคต
  • 6.
    ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสารสนเทศเพื่อประกอบการตัดสินใจ ระบบสารสนเทศที่ดีจะต้องช่วยให้ผู้ใช้สามารถนาข้อมูลหรือสารสนเทศนั้นไปช่วยในการตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ระบบ สารสนเทศที่ดีจึงควรมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ - ความน่าเชื่อถือ(Reliable) ซึ่งพิจารณาได้จากความถูกต้องแม่นยา (Accurate) - ความสมบูรณ์ครบถ้วน (Complete) ช่วยให้เกิดความเข้าใจในการใช้งาน (Simple) - ทันต่อเวลา (Timely) - มีความคุ้มค่า (Economical) - ตรวจสอบได้ (Verifiable) - มีความยืดหยุ่น (Flexible) - สอดคล้องกับความต้องการ (Relevant) - สะดวกในการเข้าถึง (Accessible) - มีความปลอดภัย (Secure) ระบบสารสนเทศดังกล่าว เมื่อนามาใช้จะช่วยบุคลากรในองค์กรให้สามารถตัดสินใจเลือกปฏิบัติงานได้อย่าง ถูกต้อง ระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจนี้เรียกว่า DSS (Decision Support System) ซึ่งเป็นระบบ ย่อยระบบหนึ่งในระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (MIS : Management Information System)
  • 7.
    ประเภทของสารสนเทศเพื่อประกอบการตัดสินใจ ระบบสารสนเทศที่ดีจะช่วยให้ผู้ใช้ในทุกระดับขององค์กรตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ประเภทของระบบสารสนเทศเพื่อ สนับสนุนการตัดสินใจแบ่งตามผู้ใช้งานเป็น 2ประเภท คือ ระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของบุคคลและระบบ สารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจแบบกลุ่ม 1. ระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของบุคคล ระบบสารสนเทศสนับสนุนการตัดสินใจของบุคคล เป็นระบบสารสนเทศที่มีผู้ใช้หรือผู้ตัดสินใจเพียงคนเดียว ดังนั้นผู้ใช้จึงต้องมี อานาจในการตัดสินใจ ระบบสารสนเทศประเภทนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า ระบบสารสนเทศของผู้บริหาร หรือ (EIS) (Executive Information System ) ซึ่งเป็นระบบสารสนเทศที่ช่วยสนับสนุนการวิเคราะห์ปัญหา ศึกษาแนวโน้มของเรื่องที่สนใจ ส่วนใหญ่ จะนาเสนอสารสนเทศในรูปแบบของรายงาน ตารางและกราฟ เพื่อสรุปสารสนเทศให้เข้าใจง่ายและประหยัดเวลา เช่น บริษัท แห่งหนึ่งต้องการเปิดสาขาเพื่อจาหน่ายผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น ผู้บริหารจึงนาเข้าข้อมูลต่างๆ ของบริษัทไว้ในฐานข้อมูลของ EIS เพื่อประมวลผลตามแบบจาลองที่สร้างไว้ ลักษณะพิเศษของEIS คือ ไม่จาเป็นต้องติดตั้งหรือทางานบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ใช้ควรมี ประสิทธิภาพสูงเพื่อให้สามารถประมวลผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ EIS ในแต่ละซอฟต์แวร์หรือ EIS ของแต่ละ
  • 8.
    บริษัทจะมีประโยชน์และรายละเอียดต่างๆแตกต่างกันตามแบบจาลองเฉพาะงานที่สร้างขึ้น แต่ EISทุกซอฟต์แวร์จะมี ประโยชน์โดยรวมเหมือนกันดังนี้ – ช่วยในการตัดสินใจมีประสิทธิภาพมากขึ้น – ช่วยประหยัดเวลาในการสร้างความเข้าใจและตัดสินใจของผู้บริหาร – สามารถนาสารสนเทศจาก EIS ไปอ้างอิงเพื่อดาเนินการทางธุรกิจได้สะดวกยิ่งขึ้น สารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของ EIS มีรูปแบบที่หลากหลายนับตั้งแต่สิ่งตีพิมพ์ที่แสดงข้อความ ภาพนิ่ง กราฟและ แผนภูมิไปจนถึงมุลติมีเดียที่มีความซับซ้อนขึ้นไป โดยสารสนเทศทุกรูปแบบต้องมีความชัดเจนและเข้าใจง่าย
  • 9.
    2. ระบบสารสนเทศสนับสนุนการตัดสินใจแบบกลุ่ม ระบบสารสนเทศสนับสนุนการตัดสินใจแบบกลุ่มหรือ GDSS(group decision support system) เป็นระบบสารสนเทศที่ พฒนามาจากระบบสารสนเทศสนบสนุนการตัดสินใจของบุคคลเรื่องจากการทางานภายในองค์กรมักใช้การวิเคราะห์ข้อมูลจาก ผู้ใช้ที่มีจานวนมากกว่า 1 คนในการตัดสินใจการแก้ปัญหา ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือในผลการตัดสินใจ นั้น ๆ การนา GDSS มาใช้ในองค์กรจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงลักษณะการทางานจากการเก็บรวบรวมข้อมูลไว้ที่ผู้ใช้คนใดคน หนึ่งมาเก็บรวบรวมไว้ในระบบฐานข้อมูล บุคลากรทุกคนในองค์กรมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและส่งเสริมการตัดสินใจ ขององค์กร ตัวอย่างการใช้งาน GDSS เช่น บริษัทแห่งหนึ่งต้องการปรับเปลี่ยนเวลาทางานของพนักงานบริษัท จึงมีการ รวบรวมข้อมูลและความคิดเห็นของพนักงานทุกคนไว้ในฐานข้อมูลของ GDSS เพื่อประมวลผลตามแบบจาลองที่สร้างไว้ จากนั้นผู้บริหารหลาย ๆ ฝ่ายร่วมกันตัดสินใจว่าควรจะดาเนินการอย่างไร แผนผังแสดงการใช้งาน GDSS เพื่อปรับเปลี่ยนเวลาการทางานของพนักงาน
  • 10.
    ลักษณะของ DSS เป็นซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่ช่วยในการจัดการ รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่มีความซับซ้อน ซึ่งมีการตอบสนองหรือ โต้ตอบกับผู้ใช้งาน ปัญหาที่แก้ไขด้วย DSS จะเป็นข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้างที่แน่นอนหรือข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาซึ่ง ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยสารสนเทศเพื่อประมวลผลรายการธุรกรรม (TPS : Transaction Processing System) ทั่วไป ตัวอย่างการใช้งาน DSS เช่น เมื่อเจ้าของกิจการต้องการปรับปรุงเครื่องจักรสาหรับผลิตปลากระป๋อง เจ้าของกิจการจะต้อง นาเข้าข้อมูลต่างๆลงใน DSS เพื่อประมวลผลตามแบบจาลองที่สร้างไว้ว่าจะเกิดความคุ้มค่าหรือไม่ จากนั้นเจ้าของกิจการจึง จะตัดสินใจว่าควรจะซื้อเครื่องจักรใหม่ ซ่อมแซมเครื่องจักรเก่า หรือเลื่อนการดาเนินการออกไปก่อนเพราะไม่เกิดความคุ้มค่าใน การลงทุน
  • 11.
    ประโยชน์ของ DSS เนื่องจาก DSSให้ความสาคัญกับการนาสารสนเทศไปประกอบการตัดสินใจเพื่อปฏิบัติงานในขั้นต่างๆของกระบวนการ ทางาน ซึ่งไม่ใช่การรวบรวมและการแสดงข้อมูลที่ใช้งานประจาวันทั่วๆไป ทาให้ DSS มีประโยชน์ดังนี้ 2.1 ช่วยประมวลผลและนาเสนอข้อมูลแก่ผู้ใช้เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการทางานและเป็นแนวทางในการตัดสินใจ 2.2 ช่วยประเมินทางเลือกในการตัดสินใจภายใต้เงื่อนไขของปัญหาแต่ละสถานการณ์ที่มีลักษณะเฉพาะของสถานการณ์นั้นๆ 2.3 ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจในปัญหาที่มีความสลับซับซ้อนและข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา 2.4 ช่วยสร้างความยืดหยุ่น ความสมบูรณ์ และความสะดวกในการตัดสินใจ 2.5 ช่วยเพิ่มพัฒนาการและความเข้าใจในศักยภาพการทางานของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ครอบคลุมมากกว่าการปฏิบัติงาน ทั่วๆไป 2.6 ช่วยนาเสนอข้อมูลในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น ตัวอักษร แผนภูมิ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว มัลติมีเดีย 2.7 ช่วยในการตัดสินใจที่ต้องการความรวดเร็วสูง ส่งเสริมการกาหนดกลยุทธ์ในการแข่งขันทางธุรกิจในองค์กรต่างๆ 2.8 ช่วยส่งเสริมการทางานร่วมกันของบุคลากรในองค์กรด้วยการโต้ตอบแบบทันที (Interactive)
  • 12.
    ส่วนประกอบของ DSS มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพการตัดสินใจโดยตรง กล่าวคือส่วนประกอบที่ดีจะทาให้เกิดกระบวนการทางานที่มี ประสิทธิภาพน่าเชื่อถือ แต่ถ้าส่วนประกอบไม่ดีก็จะทาให้กระบวนการทางานขาดประสิทธิภาพ ส่วนประกอบของ DSS แบ่งเป็น 4 ส่วน 3.1 อุปกรณ์ เป็นส่วนประกอบที่รวมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของคอมพิวเตอร์แบ่งตามบทบาทและหน้าที่ได้เป็น 3 กลุ่ม คือ – อุปกรณ์ประมวลผล ปัจจุบัน DSS สามารถใช้งานด้วยคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือพีซี (PC : Personal Computer) ที่มีการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ซึ่งสามารถติดตั้งซอฟต์แวร์ประเภท DSS โดยเฉพาะหรือประยุกต์ใช้ซอฟต์แวร์พื้นฐานประเภท ซอฟต์แวร์ตารางคานวณ (Spreadsheet) หรือ ซอฟต์แวร์จัดการ ฐานข้อมูล (Database) ก็ได้ – อุปกรณ์สื่อสาร เป็นการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อส่งเสริมการทางานระยะไกลและการทางานเป็นกลุ่ม โดย เครือข่ายที่นิยมใช้ คือ เครือข่ายแลน (LAN : Local Area Network) สาหรับองค์กรขนาดเล็กและเครือข่ายแมน (MAN : Metropolitan Area Network) สาหรับองค์กรขนาดเล็ก ทาให้ต้องติดตั้งวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ (Video Conference) เพิ่ม ในระบบเพื่อช่วยในการประชุมทางไกล (Teleconference) ของผู้ใช้งาน – อุปกรณ์แสดงผล การใช้งาน DSSจาเป็นต้องมีอุปกรณ์แสดงผลที่มีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อรูปแบบของข้อมูลนั้นๆ เพื่อช่วยถ่ายทอดข้อมูลและสารสนเทศที่ชัดเจน เช่น จอภาพคอมพิวเตอร์ที่มีความละเอียดสูงและสามารถแสดงผลในรูปแบบ ของมัลติมีเดีย 3.2 ระบบการทางานของ DSS มีลักษณะเป็นชุดคาสั่งเฉพาะที่สร้างและพัฒนาขึ้นในรูปแบบที่เตกต่างกันตามลักษณะของ องค์กร แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ – ฐานข้อมูล (Database) เป็นการจัดเก็บข้อมูลและสารสนเทศเฉพาะการทางานของ DSS ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งจะ ช่วยในการแสดงผล ณ ขณะนั้นของระบบ
  • 13.
    – ฐานแบบจาลอง (ModelBase) เป็นการรวบรวมแบบจาลองทางคณิตศาสตร์และแบบจาลองการวิเคราะห์ปัญหาของระบบ เพื่อช่วยในการประมวลผลข้อมูล – ระบบชุดคาสั่ง (Software System) เป็นส่วนประกอบที่ช่วยอานวยความสะดวกในการโต้ตอบระหว่างผู้ใช้ฐานข้อมูล และ ฐานแบบจาลอง มักมีรูปแบบของระบบชุดคาสั่งในลักษณะของหน้าต่างโปรแกรม 3.3 ข้อมูล เป็นองค์ประกอบพื้นฐานของการทางานด้วย DSS โดย DSS จะเก็บข้อมูลไว้ที่ฐานข้อมูลเพื่อนาไปประมวลผลใน ฐานแบบจาลองแล้วนาเสนอด้วยระบบชุดคาสั่ง ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะต้องมีปริมาณเพียงพอต่อการใช้งาน มีความถูกต้อง ทันสมัย มีความยืดหยุ่น และสามารถนามาจัดและนาเสนอในรูปแบบเพื่อการวิเคราะห์ได้อย่างเหมาะสม 3.4 บุคลากร เป็นส่วนประกอบที่มีบทบาทต่อการกาหนดเป้าหมายและความต้องการ การพัฒนา การออกแบบ และการใช้งาน DSS ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ – ผู้ใช้ (End – User) เป็นผู้นาเข้าข้อมูลและรับข้อมูลจาก DSS โดยไม่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลโดยตรงของระบบ สารสนเทศ – ผู้สนับสนุนระบบสารสนเทศ (DSS Support) เป็นผู้ควบคุม ดูแลรักษาอุปกรณ์ และระบบการทางานให้มีความสมบูรณ์และ สามารถประมวลผลได้เต็มประสิทธิภาพตามความต้องการของผู้ใช้
  • 14.
    การจัดการกับการตัดสินใจ เป็นที่ทราบกันดีว่าผู้จัดการในแต่ละองค์การจะต้องทากิจกรรมต่างๆอย่างมากมาย เช่น การเข้าประชุมการวางแผนงาน การ ติดต่อกับลูกค้า จัดงานเลี้ยงการเปิดตัวสินค้า แม้กระทั่งในบางครั้งอาจจะต้องเป็นประธานงานในงานบวชหรืองานแต่งงานของ ผู้ใต้บังคับบัญชา โดยที่ Henri Fayol ชาวฝรั่งเศสได้กล่าวถึงหน้าที่หลักในการจัดการ (Management Functions) ไว้ 5 ประการด้วยกัน คือ 1. การควบคุม (Controlling) 2. การวางแผน (Planning) 3. การจัดองค์การ (Organizing) 4. การตัดสินใจ (Deciding) 5. การประสานงาน (Coordinating)
  • 15.
    กระบวนการในการตัดสินใจ ปัจจุบันความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสื่อสาร และโทรคมนาคมทาให้ข้อมูลข่าวสารสามารถเดินทางได้อย่างคล่องตัวและเป็น อิสระมากขึ้น ส่งผลให้องค์การต่างๆสามารถรับส่งข้อมูลข่าวสารและข้อสนเทศในระยะเวลาที่สั้นลงโดยข้อมูลมีความชัดเจน ถูกต้องและสะดวกขึ้น ด้วยเหตุนี้ทาให้ธุรกิจในปัจจุบันมีความคล่องตัวในการดาเนินงานสูงขึ้น ทาให้การตัดสินใจในโอกาสหรือ ปัญหาทางธุรกิจที่เกิดขึ้นจะต้องทาภายใต้ข้อจากัดทางสารสนเทศภายในระยะเวลาที่เหมาะสม มีหลายครั้งที่ผู้บริหารจะต้อง ตัดสินใจอย่างรวดเร็วภายใต้ความกดดันของสถานการณ์ เช่น การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน การนัดหยุดงาน หรือการ ต่อต้านจากสังคม เป็นต้น จึงนับว่ามีความจาเป็นอย่างยิ่งสาหรับผู้บริหารที่จะประสบความสาเร็จในอนาคตที่จะต้องปรับตัวให้ ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม ตลอดจนต้องพยายามฝึกตนเอง โดยพัฒนาทักษะและสั่งสมประสบการณ์ในการ ตัดสินใจเพื่อที่จะสามารถวิเคราะห์และตัดสินใจเลือกทางเลือกต่างๆได้อย่างแม่นยา มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับ สถานการณ์ที่เกิดขึ้น มีนักวิชาการหลายท่านได้อธิบายขั้นตอนในการตัดสินใจที่มีผู้กล่าวถึงอย่างแพร่หลาย เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ศึกษาได้ทาความ เข้าใจและสามารถนาไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติได้โดยเริ่มจาก แนวความคิดของ Simon (1960) ที่อธิบาย ขั้นตอนการตัดสินใจโดยใช้แบบจาลอง (Model) ที่ประกอบด้วยขั้นตอนหลัก 3 ประการ ดังต่อไปนี้ 1. การใช้ความคิดประกอบเหตุผล (Intelligence) ผู้ตัดสินใจจะรับรู้ถึงโอกาสหรือปัญหาที่เกิดขึ้น จากนั้นผู้ทาการ ตัดสินใจเริ่มเก็บรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากตัวปัญหาและสิ่งแวดล้อมหรือโอกาสนั้น 2. การออกแบบ (Design) ผู้ตัดสินใจจะวิเคราะห์และพัฒนทางต่างที่เป็นไปได้ในการแก้ปัญหา เพื่อนาไปใช้ประกอบ ตัดสินใจเลือกทางเลือกในการปฏิบัติที่เหมาะสม การที่จะแระสบความสาเร็จในขั้นตอนนี้ ผู้ทาการตัดสินใจจะต้องมี ความเข้าใจในปัญหา มีความคิดสร้างสรรค์พยายามที่จะหาทางออกของปัญหา และตรวจสอบความเป็นไปได้ใน ปัญหานั้น 3. การคัดเลือก (Choice) ผู้ทาการตัดสินใจจะทาการคัดเลือกแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่สุดเพื่อที่จะ นาไปประยุกต์ใช้ต่อไป
  • 16.
    ระดับของการตัดสินใจภายในองค์การ ปกติเราสามารถแบ่งระดับชั้นของผู้บริหาร (Management Levels)ในลักษณะเป็นลาดับขั้น (Hierarchy) ซึ่งมี ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมพีรามิด (Pyramid) ตามหลักการบริหารที่ใช้กันอยู่ทั่วไป ซึ่งสามารถประยุกต์กับการจาแนกระดับ ของการตัดสินใจของผู้บริหารภายในองค์การ (Levels of Decision Making) ได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้ 1. การตัดสินใจระดับกลยุทธ์ (Strategic Decision Making) เป็นการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูงในองค์การ ซึ่งจะให้ความสนใจต่ออนาคตหรือสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น อันได้แก่ การสร้างวิสัยทัศน์องค์การ การกาหนดนโยบายและเป้าหมาย ระยะยาว การลงทุนในธุรกิจใหม่ การขยายโรงงาน เป็นต้น การตัดสินใจระดับกลยุทธ์มักจะเกี่ยวข้องกับความไม่แน่นอนของ สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลจากทั้งภายนอกและภายในองค์การตลอดจนประสบการณ์ของผู้บริหารประกอบการ พิจารณา 2. การตัดสินใจระดับยุทธวิธี (Tactical Decision Making) เป็นหน้าที่ของผู้บริหารระดับกลาง โดยที่การ ตัดสินใจในระดับนี้มักจะเกี่ยวข้องกับการจัดการ เพื่อให้งานต่างๆ เป็นไปตามนโยบายของผู้บริหารระดับสูง เช่น การกาหนด ยุทธวิธีทางการตลาด การตัดสินใจในแผนการเงินระยะกลาง หรือการแก้ไขปัญหาสาคัญที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดหวัง 3. การตัดสินใจระดับปฏิบัติการ (Operational Decision Making) หัวหน้างานระดับต้นมักจะต้องเกี่ยวข้องกับ การตัดสินใจในระดับนี้ ซึ่งมักจะเป็นการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเฉพาะด้าน ที่มักจะเป็นงานประจาที่มีขั้นตอนซ้าๆ และได้รับการกาหนดไว้เป็นมาตรฐาน โดยที่หัวหน้างานจะพยายามควบคุมให้งานดาเนินไปตามแผนงานที่วางไว้ เช่น การ มอบหมายงานให้พนักงานแต่ละคน การวางแผนควบคุมการผลิตระยะสั้น การวางแผนเบิกจ่ายวัสดุ และการดูแลยอดขาย ประจาวัน
  • 17.