powerpoint อุตสาหกรรมกับผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม2. กล่ม อะตอม (sec 06)
1.นายกฤษดา สโมสร 5510210008
2.นางสาวญาณิศา ฉันทานุมัติ 5510210041
3.นางสาวกมลชนก สมสู่ 5510210003
4. นางสาวณัฐกานต์ ปรางค์จันทร์ 5510210313
5. นางสาวจันทร์จิรา วุฒิวิทย์ชัย 5510210275
10. วิวัฒนาการของการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศไทย
ช่วงที่ 1 (พ.ศ. 2504-2514) เป็นช่วงแรกของกำรพัฒนำภำยใต้แผนพัฒนำฯ ฉบับ
ที่ 1และฉบับที่ 2 กำรพัฒนำในช่วงนี้ มีจุดมุ่งหมำยที่จะใช้อุตสำหกรรมเป็นตัวนำ ใน
กำรพัฒนำเศรษฐกิจ โดยในระยะแรกได้เลือกนโยบายการผลิตเพื่อทดแทนการนาเข้า
โดยมุ่งหวังที่จะพึ่งพำต่ำงประเทศให้น้อยลงและพยำยำมพึ่งตนเองให้มำกขึ้น
ผลจากการพัฒนาเพื่อทดแทนการนาเข้าในช่วงแรกนั้นทำ ให้เกิดอุตสำหกรรม
ต่ำงๆภำยในประเทศอย่ำงมำกมำยเช่น กำรผลิตยำงรถยนต์ อุตสำหกรรมสิ่งทอ
น้ำมัน เคมีภัณฑ์ อำหำรกระจกแผ่นและกำรประกอบรถยนต์เป็นต้น
11. ช่วงที่ 2 เป็นช่วงของแผนพัฒนำฯ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2515-2519) และฉบับที่ 4
(พ.ศ.2520-2524) รัฐบำลเริ่มหันมำใช้นโยบำยกำรส่งเสริมกำรส่งออกควบคู่ไปกับ
นโยบำยกำรผลิตเพื่อทดแทนกำรนำ เข้ำ ทั้งนี้เนื่องมำจำกผลของกำรพัฒนำ
อุตสำหกรรมเพื่อทดแทนกำรนำ เข้ำในช่วงแรกทำ ให้ประเทศไทยขำดดุลกำรค้ำสูงมำก
นอกจำกนี้กำรขยำยตัวของอุตสำหกรรมยังก่อให้เกิดปัญหำกำรขำดแคลน
ผู้ประกอบกำรและแรงงำนที่มีควำมเชี่ยวชำญด้ำนเทคนิคทำ ให้มีประสิทธิภำพกำร
ผลิตต่ำประกอบกับในขณะนั้นประเทศมีควำมต้องกำรในกำรแปรรูปสินค้ำเกษตรเพื่อ
กำรส่งออกมำกขึ้นด้วย
12. ช่วงที่ 3 เป็นช่วงของแผนพัฒนำฯ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2525-2529) แนวทำงกำร
พัฒนำอุตสำหกรรมในช่วงนี้ รัฐบำลได้เน้นกำรปรับโครงสร้ำงอุตสำหกรรมที่มีอยู่
ให้มีประสิทธิภำพเร่งรัดและส่งเสริมกำรส่งออกและพัฒนำอุตสำหกรรมพื้นฐำน ใน
บริเวณชำยฝั่งทะเลตะวันออกเป็นสำ คัญ
กระบวนกำรส่งเสริมกำรลงทุนให้มีควำมคล่องตัวยิ่งขึ้น กำรส่งเสริม
อุตสำหกรรมขนำดย่อมและอุตสำหกรรมในภูมิภำค กำรพัฒนำอุตสำหกรรม
พื้นฐำนเช่น อุตสำหกรรมปิโตรเคมีอันเป็นผลมำจำกกำรค้นพบก๊ำซธรรมชำติ
ซึ่งจะมีกำรเชื่อมโยงไปสู่อุตสำหกรรมอื่นๆอีกหลำยประเภทและปรับ
โครงสร้ำงอุตสำหกรรมเฉพำะประเภทเพื่อให้เกิดกำรพัฒนำประสิทธิภำพใน
กำรผลิตให้สำมำรถแข่งขันกับตลำดต่ำงประเทศได้ใน
13. ช่วงที่ 4 เป็นช่วงของแผนพัฒนำฯ ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2530-2534)
กำรพัฒนำอุตสำหกรรมของประเทศไทยในช่วงแผนพัฒนำฯ ฉบับที่ 6 ได้ให้
ควำมสำคัญกับกำรพัฒนำอุตสำหกรรมโดยทั่วไปและอุตสำหกรรมเป้ ำหมำย
โดยเฉพำะอุตสำหกรรมเป้ำหมำยได้เน้นอุตสำหกรรม 3 ประเภทที่มีโอกำสก่อให้เกิด
อุตสำหกรรมต่อเนื่อง กำรกระจำยรำยได้กำรผลิตในภูมิภำคและกำรสร้ำงงำนคือ
1. อุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก
2. อุตสาหกรรมวิศวการ
3. อุตสาหกรรมขนาดย่อมและอุตสาหกรรมในภูมิภาค
14. ช่วงที่ 5 เป็นช่วงของแผนพัฒนำฯ ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2535-2539) จำก
ลักษณะโครงสร้ำงทำงเศรษฐกิจที่จะพัฒนำไปสู่สังคมอุตสำหกรรมมำกขึ้น
และโครงสร้ำงกำรผลิตของภำคอุตสำหกรรมเองก็ได้เปลี่ยนแปลงจำกกำร
ผลิตสินค้ำอุปโภคบริโภคไปสู่อุตสำหกรรมกำรผลิตกึ่งสำ เร็จรูปและ
อุตสำหกรรมต่อเนื่องมำกขึ้น
19. - ค่ำครองชีพของคนในพื้นที่เพิ่มสูงขึ้น (Increase of
Living Expenses)
- รำคำที่ดินแพงขึ้น
- มีค่ำใช้จ่ำยต่ำงๆที่ต้องนำเข้ำจำกต่ำงประเทศเพื่อตอบสนอง
ควำมต้องกำรนักท่องเที่ยวต่ำงชำติ
- ทำให้สูญเสียรำยได้ออกนอกประเทศ
- รำยได้จำกธุรกิจท่องเที่ยวต่ำงๆ เป็นไปตำมฤดูกำล
22. ด้านอาชีวอนามัย
1.สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ เช่น ควำมร้อน ควำมเย็น กัมมันตภำพรังสีและพลังงำนที่
เกิดจำกแม่เหล็กไฟฟ้ำ ฯลฯ โรคที่เกิดจำกควำมเย็น มักจะพบกับคนงำนในอุตสำหกรรม
ห้องเย็นทำน้ำแข็ง ทำเบียร์ ควำมเย็นจะทำให้อุณหภูมิของผิวหนังต่ำ และกำรไหลเวียน
ของโลหิตมำสู่ส่วนปลำยร่ำงกำยน้อยลงเช่น ปลำยมือ ปลำยเท้ำ เกิดชำ เป็นแผล เท้ำเปื่อย
ได้โรคผิวหนังที่เกิดจำกควำมร้อนมักจะพบในพวกหลอมโลหะ ทำแก้ว เครื่องปั้นดินเผำ
พวกนี้ผิวหนังอำจจะแดง ด้ำน เหี่ยว และมีอำกำรผื่นคันง่ำย พวกนั่งปิ้งกล้วย ปิ้งข้ำวโพด
ขนมครก ควำมร้อนอ่อนๆ ระบำยมำถูกหน้ำแข้งตลอดเวลำ ภำยหลังหน้ำแข้งจะแดงเป็น
ผื่นคันทุกครั้งที่ถูกควำมร้อน มือก็ด้ำนเพรำะถูกควำมร้อนตลอดเวลำ กัมมันตภำพรังสี ทำ
ให้เกิดมะเร็งบนผิวหนังพบมำกในคนปฏิบัติงำนเกี่ยวกับพลังงำน เช่น พลังงำนปรมำณู
และเครื่องเอ๊กซเรย์พลังงำนที่เกิดจำกไพฟ้ำ คือ อินฟรำเรดอุลตร้ำไวโอเลตพวกนี้ทำให้
เกิดผิวหนังอักเสบ หนังคล้ำเป็นผื่นแดงไหม้ อำชีพที่เป็นโรคเหล่ำนี้ได้แก่พวกกลำสีเรือ
คนงำนสร้ำงถนน ช่ำงเชื่อมโลหะ คนงำนเป่ำแก้ว คนงำนหลอมโลหะ เป็นต้น
23. 2.สิ่งแวดล้อมทางเคมี สำรเคมีที่ทำให้เกิดเป็นพิษแก่ร่ำงกำยและผิวหนัง
มีอยู่หลำยแบบและหลำยชนิด เช่น โลหะ แก๊สหรือของเหลว เช่นน้ำมันก็ได้
สำรหนู ซึ่งพบในอุตสำหกรรมทำยำฆ่ำแมลง ยำฆ่ำวัชพืช อุตสำหกรรมทำ
แก้ว และโรงงำนทำสี ผิวหนังที่สัมผัสสำรหนู ทำให้เกิดกำรแพ้เป็นผื่นแดง
และพุพอง เม็ดน้ำใส นำนๆ ไปอำจเกิดเป็นมะเร็งของผิวหนัง ในโรงงำน
ทำงำนทำสีต่ำงๆ ในโรงงำนเครื่องปั้นดินเผำ และโรงงำนเครื่องเคลือบ
เครื่องชุบต่ำงๆ จะใช้โครเมี่ยมเป็นส่วนประกอบ จะทำให้เกิดผิวหนังอักเสบ
บริเวณที่สัมผัสกับโครเมี่ยม ฝุ่นไอและกรดของโครเมี่ยมจะทำให้เกิดกำร
ระคำยเคืองของเยื่อบุช่องจมูกจนถึงหลอดลมและปอด เกิดกำรทำลำยเนื้อเยื่อ
เกิดเป็นโรคปอดได้
24. 3.สิ่งแวดล้อมทำงชีวะ ได้แก่เชื้อโรค พวกไวรัส แบคทีเรีย ริคเคท
เชีย และพยำธิ ตัวอย่ำงเช่น คนงำนในโรงงำนฟอกหนังโรงงำนเคี่ยวกำว
โรงงำนป่นกระดูก มีโอกำสติดโรคแอนแทร็กซ์ (Anfrax) ได้ง่ำยกว่ำคน
ธรรมดำ คนงำนที่ทำงำนในที่อับชื้นหรือต้องใส่รองเท้ำอับตลอดเวลำ มี
โอกำสเป็นเชื้อรำได้ง่ำย
30. ผลกระทบของมลพิษทางเสียง
แหล่งมลพิษทางเสียงอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
1. จากยานพาหนะส่วนใหญ่มีสำเหตุจำกท่อไอเสียรถยนต์ แตร เบรค เครื่องเรือ
หำงยำว เป็นต้น ปัจจุบันตำมเมืองขนำดใหญ่ๆ มักมีระดับเสียงเฉลี่ย 24 ชั่วโมง
สูงกว่ำ 70 เดซิเบล โดยเฉพำะบริเวณที่มีกำรจรำจรหนำเน่นและมีตึกแถวเรียง
รำยอยู่2 ฟำกถนน
2. จากสถานประกอบการต่างๆได้แก่ โรงงานอุตสำหกรรม โรงมหรสพ สถำน
เริงรมย์ต่ำงๆ จำกกำรสำรวจปรำกฎว่ำเสียงจำกโรงงำนอุตสำหกรรมทั่วไปมี
ระดับเสียงดัง 60 -120 เดซิเบลเอ ก่อให้เกิดอันตรำยแบบค่อยเป็นค่อยไปกับ
คนงำนทำให้คนงำนไม่รู้สำเหตุที่แท้จริงของอำกำรหูงตึงที่เกิดขึ้นกับตนเอง
32. -กฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2535) ออกตามความ
ในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535
-กฎกระทรวงฉบับที่ 14 (พ.ศ. 2544) ออกตามพระราชบัญญัติ
โรงงาน พ.ศ. 2535
-กฏกระทรวง ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2539) ออกตามความในพระราชบัญญัติ
โรงงาน พ.ศ. 2535
-กฎกระทรวงฉบับที่ 3 ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535
-กฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน
พ.ศ. 2535
33. -เรื่องบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2549
-เรื่อง การประกันภัยความเสียหายจากการขนส่งวัตถุอันตราย
พ.ศ.2549
-เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย (ฉบับที่ 4 ) พ.ศ. 2549
-เรื่อง การกาจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วพ.ศ. 2548
-เรื่อง กาหนดชนิดของวัตถุดิบที่จะนามาใช้หรือผลิตในโรงงาน
-เรื่อง ระบบเอกสารกากับการขนส่งของเสียอันตราย พ.ศ. 2547
-เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่
ใช้แล้วจากโรงงานโดยทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์(Internet)พ.ศ. 2547
36. มาตรฐาน ISO 14000 คืออะไร
-ในยุคที่สังคมโลกกาลังให้ความสาคัญในเรื่องสิ่งแวดล้อมอันเป็น
ผลสืบเนื่องจากมลพิษต่าง ๆ ไม่ว่าทางอากาศ ทางน้า การกาจัดของ
เสีย ฯลฯ ได้ส่งผลกระทบต่อพลเมืองโลกอย่างมาก ผลกระทบนี้
เกิดขึ้นกับทุกประเทศในโลก และเป็นเหตุให้เกิดแรงผลักดันให้
องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน หรือ ISO
(International Organization for Standardization) จัดทา
อนุกรมมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อม “ISO 14000 Series” ขึ้น
40. มาตรฐาน ISO 14000 ใครควรทา ทาแล้วได้อะไร
องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน หรือ ISO
(International Organization for Standardization) จึงได้กาหนด
กฎเกณฑ์สาหรับอนุกรมมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมขึ้น ได้แก่ ระบบ
การจัดการสิ่งแวดล้อม การตรวจประเมินการจัดการสิ่งแวดล้อม
การประเมินความสามารถในการจัดการสิ่งแวดล้อม การแสดงฉลาก
รับรองผลิตภัณฑ์ และการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมใน
วงจรของผลิตภัณฑ์ ซึ่งทั้งหมดก็คือ อนุกรมมาตรฐาน ISO 14000
43. ทาแล้วได้อะไร ?
ช่วยลดต้นทุนในระยะยาว เนื่องจากมีการพิจารณาถึงการใช้ทรัพยากร
อย่างคุ้มค่า ทาให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด เป็นผลให้
ต้นทุนต่าลง
เพิ่มโอกาสในด้านการค้า ทาให้การเจรจาทางด้านการค้าสะดวกยิ่งขึ้น
เป็นผลให้สามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด และเพิ่มโอกาสในการ
ขยายตลาดในอนาคตอีกด้วย
สร้างภาพพจน์ที่ดีให้กับองค์กร เนื่องจากได้มีส่วนร่วมในการ
สร้างสรรค์จรรโลงสภาพแวดล้อม ให้แก่สังคมส่วนรวม เป็นผลให้
ภาพพจน์ขององค์กรเป็นที่ยอมรับของสังคม
ได้รับเครื่องหมายรับรองระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม องค์กรที่นา
มาตรฐาน ISO 14000 ไปปฏิบัติ สามารถขอให้ หน่วยงานรับรองให้
การรับรองระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทาให้ องค์กรสามารถ
นาไปใช้ ในการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุน
ภาพลักษณ์ขององค์กรให้ดีขึ้น
46. องค์ประกอบของน้า หน่วย องค์การอนามัยโลก กระทรวงอุตสาหกรรม
บีโอดี มก./ล 40 20
ซีโอดี มก./ล 100 -
ด่างทับทิม มก./ล - 60
สารแขวนลอย มก./ล 60 30
ของแข็ง(ละลายน้า) มก./ล 2,000 2,000
pH มก./ล 5-9 5-9
ซัลไฟด์(เช่น H2S) มก./ล 3.0 1.0
ไซยาไนด์(เช่น HCN) มก./ล 1.0 0.2
ตาราง มาตรฐานน้าทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรม
47. น้ามันและไขมัน มก./ล 15.0 -
น้ามันดิน มก./ล มองไม่เห็น -
ฟอร์มาลดีไฮด์ มก./ล - 1.0
ฟี โนลิค มก./ล 0.05 1.0
คลอรีนอิสระ มก./ล 5.0 1.0
โลหะหนัก(ทั้งหมด) มก./ล 5.0 -
สังกะสี มก./ล 2.0 *
โครเมียม มก./ล 0.1 *
สารหนู มก./ล - *
เงิน มก./ล - *
ซิลีเนียม มก./ล - *
48. ตะกั่ว มก./ล - *
นิเกิล มก./ล - -
ทองแดง มก./ล 2.0 -
เหล็ก มก./ล 5.0 -
ยาฆ่าแมลง มก./ล - -
ยาปราบศัตรูพืช มก./ล 0.01 -
สารกัมมันตภาพรังสี มก./ล - -
อุณหภูมิ มก./ล 40 40
ผงซักฟอก มก./ล 1.5 -
49. ปริมาณออกซิเจนที่ละลายน้า (DO = dissolved oxygen) มีหน่วยเป็นมิลลิกรัมต่อ
ลิตร น้าที่มีคุณภาพดีต้องมีค่า DO อยู่ประมาณ 5-7 มิลลิกรัมต่อลิตร (ppm) ส่วนน้าเสีย
มีค่า DO ต่ากว่า 30 มิลลิกรัมต่อลิตร (ppm) ปลาและสัตว์น้าสามารถอาศัยอยู่ในน้าที่มี
ค่า DO มากกว่า 2 มิลลิกรัมต่อลิตร (ppm) ปริมาณออกซิเจนในน้าเป็นปัจจัยที่สาคัญต่อ
การดารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตในน้า เป็นตัวช่วยกาจัดมลภาวะในน้าในการเกิดออกซิเดชั่น ทา
ให้ลดปริมาณสารอินทรีย์และแบคทีเรียบางชนิดในน้าได้ดี ค่าความเข้มข้นออกซิเจนในน้า
ถือเป็นปัจจัยสาคัญที่บ่งชี้คุณภาพน้า ออกซิเจนที่ละลายในน้าได้มาจากบรรยากาศหรือ
จากกระบวนการสังเคราะห์แสงของพืชน้า และขึ้นอยู่กับการกดดันของออกซิเจนใน
บรรยากาศ ถ้าความกดดันสูงออกซิเจนก็ละลายน้าได้มาก อุณหภูมิสูงออกซิเจนจะละลาย
น้าได้น้อย และถ้ามีสารอินทรีย์อยู่ในแหล่งน้าปริมาณมากจะทาให้ค่า DO ลดลงอย่าง
รวดเร็ว
ค่า DO คืออะไร ?
50. บีโอดี (BOD=biochemical oxygen demand)
คือ ปริมาณออกซิเจนที่จุลินทรีย์ใช้ไปสาหรับการย่อยสารอินทรีย์ชนิดที่ย่อย
สลายได้น้า ค่า BOD จึงใช้เป็นดัชนีวัดความสกปรกของน้าเสียหรือน้าทิ้ง
จากโรงงานอุตสาหกรรม การเกษตรกรรม ชุมชน และใช้กาหนดลักษะน้าทิ้ง
ลงสู่แหล่งน้า ตลอดจนใช้หาประสิทธิภาพของโรงงานจากัดน้าทิ้ง
ตารางแสดงค่า BOD ที่เป็นดัชนีบ่งชี้คุณภาพน้า
ค่า BOD คืออะไร?
51. ตารางแสดงค่า BOD ที่เป็นดัชนีบ่งชี้คุณภาพน้า
คุณภาพของน้า ค่า BOD (มิลลิกรัมต่อลิตร)
น้าบริสุทธิ์
น้าสะอาดมาก
น้าสะอาด
น้าสะอาดพอประมาณ
น้าไม่สะอาด
น้าสกปรก
0
1
2
3
5
10
ตารางแสดงมาตรฐานระดับความร้อน
ความหนักเบาของงาน
มาตรฐานระดับความร้อนค่าเฉลี่ยอุณหภูมิเวทบัลบ์โกลบ (WBGT) กาหนด
เป็นองศาเซลเซียส
เบา
ปานกลาง
หนัก
34.0
32.0
30.0
54. 3. ออกไซด์ของไนโตรเจน
(ppm)
หม้อไอน้ำหรือแหล่งกำเนิดที่ใช้
เชื้อเพลิงดังนี้
น้ำมันเตำ
ถ่ำนหิน
ชีวมวล
เชื้อเพลิงอื่นๆ
-
-
-
-
ไม่เกิน 200
ไม่เกิน 400
ไม่เกิน 200
ไม่เกิน 200
4. คำร์บอนมอนอกไซด์
(ppm)
กำรผลิตทั่วไป
ไม่เกิน 870 ไม่เกิน 690
5. ไฮโดรเจนซัลไฟด์
(ppm)
กำรผลิตทั่วไป
ไม่เกิน 100 ไม่เกิน 80
6. ไฮโดรเจนคลอไรด์
(มก./ลบ.ม.)
กำรผลิตทั่วไป
ไม่เกิน 200 ไม่เกิน 160
7. กรดกำมะะถัน
(ppm)
กำรผลิตทั่วไป
ไม่เกิน 25 -
8. ไซลีน
(ppm)
กำรผลิตทั่วไป
ไม่เกิน 200 -
9. ครีซอล
(ppm)
กำรผลิตทั่วไป
ไม่เกิน 5 -
55. 10. พลวง
(มก./ลบ.ม.)
กำรผลิตทั่วไป
ไม่เกิน 20 ไม่เกิน16
11. สำรหนู
(มก./ลบ.ม.)
กำรผลิตทั่วไป
ไม่เกิน 20 ไม่เกิน 16
12. ทองแดง
(มก./ลบ.ม.)
กำรผลิตทั่วไป
ไม่เกิน 30 ไม่เกิน 24
13. ตะกั่ว
(มก./ลบ.ม.)
กำรผลิตทั่วไป
ไม่เกิน 30 ไม่เกิน 24
14. คลอรีน
(มก./ลบ.ม.)
กำรผลิตทั่วไป
ไม่เกิน 30 ไม่เกิน 24
15. ปรอท
(มก./ลบ.ม.)
กำรผลิตทั่วไป
ไม่เกิน 3 ไม่เกิน 2.4
56. หมายเหตุ : * ให้คำนวณผลที่ควำมดัน 1 atm หรือ 760 mmHg
อุณหภุมิ 25 C ที่สภำวะแห้ง (Dry Basis)โดยมี ปริมำตรอำกำศเสียที่
ออกซิเจน ณ สภำวะจริงในขณะตรวจวัด
** ให้คำนวณผลที่ควำมดัน 1 atm หรือ 760 mmHg
อุณหภุมิ 25 C ที่สภำวะแห้ง (Dry Basis)
โดยมี ปริมำตรอำกำศเสียที่ออกซิเจน ร้อยละ 7
59. แผนที่แสดงปริมาณกากของเสียรายจังหวัด (ตันต่อปี) ซึ่งสรุปผลได้ ดังนี้
คลิกที่นี่เพื่อดูรำยละเอียด
- ปริมำณกำกของเสียรวมทั่วประเทศ 10,243,396.52 ตันต่อปี
- ปริมำณกำกของเสียอันตรำยรวมทั่วประเทศ 1,558,743.23 ตันต่อปี
- ปริมำณกำกของเสียไม่อันตรำยรวมทั่วประเทศ 8,684,653.29 ตันต่อปี
แผนที่แสดงปริมาณกากของเสียรายภาค (ตันต่อปี)
- ปริมำณกำกของเสียรวมภำคเหนือ 235,961.3 ตันต่อปี
คลิกที่นี่เพื่อดูรำยละเอียด
ของเสียไม่อันตรำย 209,466.8 ตันต่อปี
ของเสียอันตรำย 26,514.57 ตันต่อปี
- ปริมำณกำกของเสียรวมภำคตะวันออก 5,567,041 ตันต่อปี
คลิกที่นี่เพื่อดูรำยละเอียด
ของเสียไม่อันตรำย 4,474,367.93 ตันต่อปี
ของเสียอันตรำย 1,092,672.97 ตันต่อปี
60. - ปริมำณกำกของเสียรวมภำคกลำง 3,500,081.58 ตันต่อปี
คลิกที่นี่เพื่อดูรำยละเอียด
ของเสียไม่อันตรำย 3,084,766.75 ตันต่อปี
ของเสียอันตรำย 415,314.83 ตันต่อปี
- ปริมำณกำกของเสียรวมภำคตะวันออกเฉียงเหนือ 807,513.41 ตันต่อปี
คลิกที่นี่เพื่อดูรำยละเอียด
ของเสียไม่อันตรำย 792,821.81 ตันต่อปี
ของเสียอันตรำย 14,691.6 ตันต่อปี
- ปริมำณกำกของเสียรวมภำคใต้ 124,747.11 ตันต่อปี
คลิกที่นี่เพื่อดูรำยละเอียด
ของเสียไม่อันตรำย 117,803.38 ตันต่อปี
ของเสียอันตรำย 6,943.73 ตันต่อปี