More Related Content
More from Kanin Wongyai (16)
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมาย Kanin edited 61 updated
- 3. หนังสือแนะนาใช้เรียนมี 3เล่ม
• 1. หนังสือความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ
กฎหมาย
• โดย ผศ.พิกรเศษ พ.ต.อ. ดร. ปกรณ์ มณี
ปกรณ์
• หหส.จากัดเวิร์ดเทรด ประเทศไทย โทร
02 -9319234-40
• หรือ ศูนย์หนังสือจุฬา โทร 0-2255-
4433
• ราคา 280 บาท
- 7. ประเภท
• กม.เอกชน -- แพ่งและพาณิชย์
• กม.มหาชน --- รัฐธรรมนูญ, ปกครอง, อาญา
• กม.ระหว่างประเทศ
• แผนกคดีเมือง
• แผนกคดีบุคคล
• แผนกคดีอาญา
- 8. • สังคมมนุษย์เป็นตัวผลักดันให้มีกฎหมาย
• ยุคแรก อยู่กันเองไม่มีกฎระเบียบใดๆ
• ยุคสอง กฎหมายและคาตัดสินต่างๆอยู่ในตัวแต่ละบุคคลโดยอัตโนมัติ
• โดยมากเป็นการแก้แค้น
• ตัดสินโดยบุคคล บรรพบุรุษ หรือ ครอบครัว หรือ หัวหน้าเผ่า
• ยุคที่สาม ผู้ปกครองเข้าแทรกแซงลงโทษผู้กระทาความผิดแทนผู้ถูกกระทา
• มีการกาหนดบทลงโทษแล่ค่าเสียหาย
• มีกฎเกณฑ์แยกออกจากกัน จากตัดสินโดยคน หรือกลุ่มคนเท่านั้น
- 9. ยุคแรก
• เมื่อเกิดชุมชนขึ้นสังคมก็เกิดขึ้นพร้อมกัน
• แต่ละชุมชนจะมีข้อกฎหมายหรือกฎเกณฑ์โดยรวม
• ขนบธรรมเนียมประเพณี
• ขนบ (Pattern) = แบบอย่างแบบแผน
• ธรรมเนียม (Custom) = สิ่งที่ยึดถือปฏิบัติกันในกลุ่มเฉพาะ อาจเป็นได้ทั้งสิ่งที่ดีงาม
หรือไม่จาเป็นต้องเป็นสิ่งที่ดีงาม หรือถูกต้องในสายตากลุ่มอื่น หากแต่สิ่งนั้นได้รับ
การยอมรับกันในหมู่คนที่มีส่วนร่วมในกลุ่มนั้น
• ประเพณี (Tradition) = สิ่งดีงาม ความถูกต้องที่เรายึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมาจาก
อดีตสู่ปัจจุบัน
• ภาษาพูด
• มีความเชื่อถือโชคลาง เทพเจ้า วิญญาณต่างๆ
- 11. ยุคที่สอง
• สังคมใหญ่ขึ้น มีปัญหาเพิ่มขึ้น ทั้งการป้องกันสังคมและป้องกันรัฐ
• อ้างคาสั่งของวิญญาณบรรพบุรุษหรือเทพเจ้าให้มีตาแหน่งในการปกครอง
• ไม่แยกผู้ปกครองชุมชนออกจากผู้นาศาสนา
• ไม่แยกกฎหมายออกจากศีลธรรม
• โทษรุนแรงเพื่อป้องกันผู้ที่ไม่เชื่อ
กฎหมาย คือ คาสั่ง หรือคาบัญชาของเทพเจ้า หรือของ
วิญญาณบรรพบุรุษ ที่ประสงค์จะให้คนในเผ่าประพฤติปฏิบัติ
ตาม ถ้าฝ่าฝืนจะได้รับผลร้าย
- 12. ยุคที่สาม
• ผู้นาทางการปกครองแยกต่างหากจากผู้นาทางศาสนา
• กฎหมายแยกต่างหากจากศีลธรรม
• การลงโทษไม่โหดร้าย แต่เป็นโทษมาตรฐาน จาคุก ปรับ ริบทรัพย์ (ไม่มีการกระทาต่อกาย มีแต่
กระทาต่อเสรีภาพและทรัพย์สิน)
• แพ่งกับอาญาแยกต่างหากจากกัน (บังคับชาระหนี้กับทรัพย์สินเท่านั้น ไม่บังคับกับกับเสรีภาพ
เช่น เอาคนลงเป็นทาส)
กฎหมาย คือ คาสั่งหรือข้อบังคับของรัฐที่ใช้บังคับความ
ประพฤติของบุคคลอันเกี่ยวด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกัน
ถ้าใครฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามจะมีความผิดและถูกลงโทษ
- 14. II. จุดกาเนิดที่มาหรือมูลเหตุที่ทาให้เกิดกฎหมาย
• 1. หัวหน้าเผ่าหรือรัฐเป็นผู้ผลักดันคาสั่งให้เป็นกฎหมาย แต่ไม่ใช่ที่มาของกฎหมาย
• 2. ขนบธรรมเนียมประเพณี
• 3. เทพเจ้า วิญญาณบรรพบุรุษ (กฎหมายศาสนา)
• 4.ความยุติธรรม (Equity)
• มีมาแต่โบราณ
• เช่น อริสโตเติ้ล กล่าวไว้ในหนังสือ Nichomachean Ethics (สไลด์ถัดไป)
• 5. ความคิดเห็นของนักกฎหมาย
• 6. คาพิพากษาของศาล
- 15. ความยุติธรรมของอริสโตเติ้ลแบ่งออกเป็น
• 1. ความยุติธรรมโดยธรรมชาติ (Justice by Nature หรือ Natural Justice)
• มีรากฐานมาจากธรรมชาติ
• เป็นกฎยอมรับกันโดยทั่วไป
• 2. ความยุติธรรมที่เป็นแบบแผน (Conventional Justice)
• เกิดจากคาประกาศแบบแผนหรือคาสั่งของแต่ละสังคม
• เช่น โทษหนักเบาในความผิดฐานเดียวกันพอต่างที่ก็ไม่เหมือนกัน,
ความผิดที่ไม่มีความชั่วแต่เป็นการจัดระเบียบสังคม เช่น การใช้ถนนวิ่ง
ซ้ายขวา
- 16. • อริสโตเติ้ลกล่าวว่า ความยุติธรรมโดยธรรมชาติ ไม่ต้องกาหนดสภาพบังคับ เพราะทุกคนจะ
เคารพต่อกฎหมาย
• แต่ความยุติธรรมที่เป็นแบบแผน ต้องกาหนดสภาพบังคับเพื่อให้คนเคารพกฎหมาย
• นักกฎหมายศึกษาและปรับปรุงความยุติธรรมของอริสโตเติ้ล และกลายเป็นหลัก Equity ใน
ปัจจุบัน
- 17. หลัก Equity ในปัจจุบัน
• 1. ความยุติธรรมทางธรรมชาติ (Natural Justice หรือ Equity by Nature) คือ
ความยุติธรรมทีอยู่ในจิตใจของมนุษย์ทุกคน
• 2. ความยุติธรรมที่กาหนดไว้เป็นกฎหมาย (Legal Equity)
• รัฐเป็นผู้ระงับข้อพิพาท โดยคานึงถึงความเป็นธรรมก่อน เช่น มีการอุทธรณ์ฎีกา มีการยื่นเอกสารพยานหลักฐาน
- 20. คาพิพากษาของศาล
• Common law เช่น อังกฤษ
• คาพิพากษาเป็นที่มาของกฎหมาย
• กฎหมายที่เป็นบทบัญญัติ
• Civil law เช่น ฝรั่งเศส ไทย
• คาพิพากษาเป็นเพียงตัวอย่างการใช้กฎหมาย (คาพิพากษาไม่ใช่ที่มา
ของกฎหมาย)
- 22. I. จารีตประเพณี
• ขนบธรรมเนียมจารีต กฎหมายจารีตประเพณี (ไม่เขียน)
• ลักษณะของกฎหมายจารีตประเพณี
• ปฏิบัติกันมาช้านาน
• เชื่อมั่นว่าประเพณีที่ปฏิบัติกันมานั้นใช้บังคับเป็นกฎหมาย
• ต้องปฏิบัติต่อกันมาโดยสม่าเสมอ
• ไม่ขัดต่อตัวบทกฎหมายของบ้านเมือง
- 23. ป.พ.พ.
• มาตรา 4 วรรคสอง
เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ ให้วินิจฉัยคดีนั้นตาม
จารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น ถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น ให้
วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งและถ้าบท
กฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีด้วย ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป
- 24. หลักจารีตที่นามาใช้เป็นกฎหมาย
• 1 ปฏิบัติมานาน (20 ปี)
• 2 เป็นประเพณีอันสมควร มีเหตุมีผล ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี
• 3 ไม่ขัดต่อตัวบทกฎหมาย (ให้ช้างโดยไม่จดทะเบียน)
• 4 บุคคลในท้องถิ่นต้องปฏิบัติโดยทั่วไปอย่างเปิดเผย เช่น ของหมั้น
• 5 เป็นประเพณีที่สังคมยอมรับปฏิบัติ
• รับรู้แต่ไม่ยอมปฏิบัติไม่ใช่จารีตที่นามาใช้เป็นกฎหมายได้ (เช่น ห้าม
ทางานวันอาทิตย์)
นี่คือทางแพ่งเท่านั้น ทางอาญาใช้หลักนี้ไม่ได้
- 26. II. ตัวบทกฎหมาย
• เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษร (Positive law)
• เกิดจากผู้มีอานาจสูงสุดของรัฐ
• ไทยพระมหากษัตริย์ทรงออกกฎหมาย ภายใต้การเห็นชอบของรัฐสภา
• กฎหมายออกมาแล้วใช้ได้ตลอดไป จนกว่าจะถูกยกเลิก หรือมีกฎหมายใหม่มายกเลิกกฎหมาย
เก่า
- 33. กฎหมายเอกชน
• กฎหมายแพ่ง = สิทธิ หน้าที่ ความสัมพันธ์ของบุคคล (ฐานะ
ของบุคคล)
• เช่น บุคคล การบรรลุนิติภาวะ การสมรส การหย่า มรดก
• กฎหมายพาณิชย์ = ธุรกิจ
• เช่น หุ้นส่วนบริษัท ซื้อขาย เช่า ตั๋วเงิน บางประเทศ เช่น ฝรั่งเศส
เยอรมัน อิตาลี่ เบลเยี่ยม ญี่ปุ่น
แพ่งและพาณิชย์แยกประมวล
กัน
- 36. • กฎหมายรัฐธรรมนูญ
• เป็นกฎหมายสูงสุด กฎหมายใดจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้
• กล่าวถึงอานาจอธิปไตย สิทธิขั้นพื้นฐาน (สิทธิในการแสดงออกซึ่ง
ความคิดทางการเมือง สิทธิในการนับถือศาสนา สิทธิในเนื้อตัวร่างกาย
)
- 37. • กฎหมายปกครอง
• ให้อานาจเจ้าพนักงานของรัฐในการจัดการตามนโยบายของรัฐ
• จัดระเบียบราชการแผ่นดิน
• ส่วนกลาง = รวมอานาจไว้ศูนย์กลาง เพื่อการประสานงานทั่วไป ได้แก่
สานักนายก กระทรวงหรือทบวง กรมหรือทบวงการเมืองที่เทียบเท่ากรม
• ส่วนภูมิภาค = ส่วนกลาง ได้แก่ จังหวัด อาเภอ กิ่งอาเภอ ตาบล หมู่บ้าน
• ส่วนท้องถิ่น = กระจายอานาจเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครอง
ได้แก่ อบจ. อบต. เทศบาล สุขาภิบาล ลักษณะพิเศษ (กทม. พัทยา)
- 39. กฎหมายระหว่างประเทศ
• จารีตประเพณี หลักกฎหมายทั่วไป หรือความตกลงระหว่างประเทศที่ตรา
ขึ้นเพื่อใช้บังคับกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
• นักกฎหมายเห็นว่ากฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ใช่กฎหมาย แต่เป็นธรรม
เนียมปฏิบัติระหว่างประเทศเพราะไม่มีสภาพบังคับที่เด็ดขาด
• ความเห็นแย้ง คือ มีการบีบคั้นให้ต้องกระทา เช่น
• การบอยคอร์ด (ตัดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ)
• การเอาชื่ออกจากการเป็นสมาชิกองค์กร
• ตัดความสัมพันธ์ทางการทูต
- 40. • ที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศ
• สนธิสัญญา เช่น กฎบัตรสหประชาชาติ สนธิสัญญาเจนีวา
• จารีตประเพณี = แนวทางปฏิบัติ
• หลักกฎหมายทั่วไป
• ประเภทของกฎหมายระหว่างประเทศ
• คดีเมือง
•ภาคสันติ
•ภาคสงคราม
• คดีบุคคล เช่น การให้สัญชาติ กฎหมายขัดกัน
• คดีอาญา
- 53. นิติบุคคล
• นิติบุคคล คือ บุคคลหรือคณะบุคคลที่กฎหมายกาหนดให้มีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับบุคคล เว้น
แต่สิทธินั้นสภาพจะไม่เปิดช่อง
• ฉะนั้น จะต้องมีกฎหมายให้อานาจให้เป็นนิติบุคคล
• นิติบุคคลตามกฎหมายแพ่ง เช่น บริษัท , หจก , มูลนิธิ
• นิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน
• นิติบุคคลตามกฎหมายพิเศษ เช่น สหกรณ์, นิติบุคคลหมู่บ้าน , นิติบุคคลอาคารชุด
• บริษัท
• ผู้ถือหุ้น , กรรมการ , ผู้มีอานาจกระทาแทน
• หน้าที่และความรับผิดชอบ
- 54. 3.เรื่องการแสดงเจตนา
• เจตนาสุจริต
• วิธีการแสดงเจตนา ตรง ไกล นิ่ง ยอมรับ
• เจตนาที่จะผูกผัน คือ เจตนาที่ตรงกัน
• เจตนาจะต้องสมบูรณ์ ไม่ถูกหลอก ไม่ถูกบังคับ ไม่ไร้เดียงสา ไม่เข้าใจผิด
• เมื่อเจตนาตรงกัน ก็เกิดสิทธิและหน้าที่ต่อกัน
• ถ้าเจตนาไม่สมบูรณ์ จะไม่ผูกผัน
• โมฆะ
• โมฆียะ
- 55. สัญญา
• สัญญาเกิดเมื่อ เจตนาถูกต้องตรงกัน (เว้นสัญญาฝ่ายเดียว)
• เกิดสิทธิและหน้าที่
• ประเภทของสัญญา จะแสดงถึงหน้าที่และความรับผิดชอบ
• ซื้อขาย บุคคล.................หน้าที่.....................
• เช่า บุคคล.................หน้าที่.....................
• ยืม บุคคล.................หน้าที่.....................
• ให้ บุคคล.................หน้าที่.....................
• จ้างทาของ บุคคล.................หน้าที่.....................
• จ้างแรงงาน บุคคล.................หน้าที่.....................
• แบบผสม เช่าซื้อ ร่วมทุน ร่วมทากิจการ, ซื้อขายกิจการ
- 56. ละเมิด
•มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทาต่อบุคคลอื่น
โดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี
อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี
ท่านว่าผู้นั้นทาละเมิด จาต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
• เรื่องของการทาผิดแล้วไปกระทาสิทธิผู้อื่น อาจจะแค่ผิดพลาด หรือ ชั่วร้าย ก็ได้