More Related Content
More from Akarawat Thanachitnawarat
More from Akarawat Thanachitnawarat (6)
ทำไมเทรดโดยใช้ Indicator จึงไม่ประสบความสำเร็จ
- 1. ทาไมเทรดโดยใช้ Indicator ถึงไม่ประสบ
ความสาเร็จ
ใครก็ตามที่ ศึกษาการเทรดฟอร์เร็กในแบบของผมมา
อย่างต่อเนื่องคงจะรู้ว่าผมไม่ได้ใช้เครื่องมือ
Indicator ในการตัดสินใจเข้าเทรด หรือว่าในการ
วิเคราะห์ตลาด แต่ผมยังสอนให้พวกเขาเทรดกราฟ
เปล่า โดยเรียนรู้จากพฤติกรรมราคาอย่างเดียวซึ่ง
เกิดขึ้นทุกวันในตลาดฟอร์เร็กอยู่แล้ว บทความนี้จะ
อธิบายว่าทาไมการเทรดด้วย Indicator จะไม่ทา
ให้คุณประสบความสาเร็จในฐานะนักเทรด และทาไมคุณควรจะเรียนรู้การเทรดด้วยการ
ใช้พฤติกรรมราคาแบบธรรมดา ๆ แทน ดังนั้นให้คุณลืมความวุ่นวาย หรือว่าสิ่งที่ indicator
ให้คาตอบกับคุณ และให้บทความนี้เปิดมุมมองของคุณให้เห็นถึงพลังแห่งการใช้ความเรียบง่าย
ในการเทรดแบบการใช้ พฤติกรรมราคากัน
1. ข้อมูลต้นน้า กับ ข้อมูลปลายน้า …
สาเหตุของปัญหาการใช้ Indicator คือการวิเคราะห์ตลาดนั้นจะขึ้นอยู่กับการใช้ Indicator ซึ่ง
เป็นข้อมูลปลายน้า นั่นหมายถึง แทนที่เราจะดูว่าข้อมูลนั้นบอกอะไรเรา แต่เรากลับพยายามที่
จะวิเคราะห์และแปลความหมาย ตัวแปรต่าง ๆ ของราคาที่มีมาให้ และเมื่อเทรดเดอร์ใช้
indicator เพื่อตัดสินใจในการเทรด ทาให้มุมตลาดที่พวกเขารับรู้นั้นบิดเบือนไป สิ่งที่เราต้องทา
คือ ต้องเอาการบิดเบือนนี้ออก( Indicator) แล้วคุณก็จะเข้าใจว่า ราคาที่ตลาดกาหนดมาให้นั้น
เป็นอย่างไร ซึ่งมันอาจจะฟังดูง่าย และนักเทรดที่พึ่งเริ่มหัดหลายคนกาลังเริ่มจะเข้าใจเครื่องมือ
ที่ขายอยู่ตามเว็บ(Indicator) หรือพวกเขายังเชื่อว่าถ้าพวกเขาเรียนรู้ที่จะใช้ระบบเทรดที่มีสีสัน
และดูซับซ้อนจะเป็นเหตุผลที่ทาให้พวกเขาทากาไรได้จากตลาดอย่างต่อเนื่อง แต่โชคไม่ดีที่
มันช่างห่างไกลจากความจริง เราลองมาดู Indicator สองชนิดที่เราจะนามาเป็นประเด็นถกกัน:
• Indicator ที่ให้สัญญาณช้า และให้สัญญาณเร็ว…
การวิเคราะห์กราฟทางเทคนิคนั้นมีอยู่สองรูปแบบคือ Indicator ที่ให้สัญญาณ ช้า และ
Indicator ที่ให้สัญญาณเร็ว Indicator ที่ให้สัญญาณช้า คือเครื่องมือประเภท ที่บอก
momentum ซึ่งตัวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ MACD และ MA ซึ่ง Indicator ที่ให้
สัญญาณช้านี้จะช่วยให้เทรดเดอร์ทากาไรได้เมื่อตลาดเกิดเทรนด์ อย่างไรก็ตามปัญหาคือ มัน
- 2. ค่อนข้างให้สัญญาณช้า หมายความว่า มันบอกให้เราเข้าเทรดเมื่อตลาดนั้นมีทิศทางและ
เคลื่อนไหวไปไกลแล้ว หรือบางทีก็อาจจะเกิดจุดกลับเทรนด์หรือพักฐานไปแล้วก็ได้
ปัญหาอื่นๆ เกี่ยวกับการใช้ Indicator ที่ให้สัญญาณช้า ก็คือพวกมันจะหั่นคุณเป็นชิ้น ๆ จาก
สภาพตลาดที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เพราะเราเข้า Buy หรือ Sell ในที่ที่มันพร้อมจะกลับตัว
และเปลี่ยนทิศทางได้เสมอ ดังนั้นการใช้ Indicator ที่ให้สัญญาณช้านั้นควรจะใช้เพื่อการบอก
ทิศทางของตลาด และผมก็มักจะใช้ Moving Average ในการช่วยวิเคราะห์การเกิดเทรนด์ ลง
เรียนคอร์ส กับผมเพื่อดูว่าจะใช้ Moving Average ได้อย่างไร เพราะมันเป็น เครื่องที่ผมใช้ และ
ไม่ได้ใช้มันหาแนวรับแนวต้านหรอกครับ
Indicator ที่ให้สัญญาณเร็ว ที่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษก็มีดังนี้ Stochastic, Parabolic SAR,
และ Relative Strength Index (RSI) ทั้งหมดนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “oscillators” เพราะว่า
มันจะเคลื่อนไหวขึ้นลงระหว่างสัญญาณซื้อและขาย ปัญหาของการใช้ Indicator ที่ให้สัญญาณ
เร็วคือ มันทางานได้แย่ใจตลาดมีเทรนด์เพราะว่า มันจะให้สัญญาณ “over-bought” และ
“over-sold” แทบจะบ่อยครั้งเมื่อตลาดมีเทรนด์ ถ้าตลาดนั้นเกิดเทรนด์ขาขึ้นอย่างแรง
เครื่องมือจะแสดงว่า ตลาดนั้นมีการซื้อเยอะเกินไปแล้ว ตลอดช่วงที่ราคาเกิดเทรนด์ขาขึ้น
แม้ว่าราคาจะยังเคลื่อนไหวเป็นขาขึ้น และในทางกลับกัน ถ้าเกิดเทรนด์ขาลงต่อเนื่องมันก็จะยัง
แสดงเป็น Over sold อย่างต่อเนื่องเช่นกัน
นั่นหมายความว่า Indicator ที่ให้สัญญาณเร็วนี้พยายามที่จะให้นักเทรดได้เข้าเทรด์ ณ ราคา
ต่าสุด หรือ สูงสุด จากเงื่อนไข over-bought หรือ over-sold ตลาดเพื่อใช้ในการส่งออร์เดอร์
ซึ่งความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้นทุกครั้ง เพราะว่าไม่มีใครรู้ได้เลยว่าเทรนด์นั้นจะเกิดยาวนานขนาด
ไหน ดังนั้นคุณจะได้สัญญาณหลอกเป็นร้อย ๆ ก่อนที่คุณจะได้เทรดที่ราคาต่าสุดหรือสูงสุดจริง
ๆ เกิดขึ้น แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ ลองทายดูสิ? พวกที่พยายามจะขายเครื่องมือประเภทนี้
พวกเขาจะเอากราฟที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตมาแสดงให้เราว่า มันเข้าซื้อขายที่จุดสูงสุดและจุด
ต่าสุดได้จริง ๆ แล้วพวกเขาก็จะพยายามขายระบบเทรด หรือว่า Indicator ให้กับเรา แต่พวก
เขาไม่เอาสัญญาณหลอกมาให้เราดูหรอก
ดังนั้น เราจะได้ Indicator ที่ทางานได้ดีในตลาดมีเทรนด์ แต่ว่าตลาดไซด์เวย์ ใช้ไม่ได้ ขณะที่
Indicator ที่ให้สัญญาณเร็วจะทางานได้ดีที่ตลาดมีการแกว่งตัว แต่ว่า ทางานได้ไม่ดีในตลาดที่
มีเทรนด์ ซึ่งพวกนักเทรดจะใช้สองตัวนี้ประกอบเข้าด้วยกันเพื่อใช้กรองสัญญาณในการเทรดซึ่ง
กันและกัน คุณคงเดาได้ว่าผลจากการรวม Indicator เข้าด้วยกันจะทาให้เกิด ความสับสน และ
- 3. กราฟที่วุ่นวาย เพราะต้องมานั่งเดากันอยู่ดี และสุดท้ายก็เทรดเยอะเกินไป แล้วก็กลายมาเป็นใช้
Leverage สูงขึ้น จากนั้นคุณก็จะเริ่มใช้อารมณ์ในการเทรด
2.กราฟที่สะอาด กับกราฟที่วุ่นวาย …
ทีนี้เรามาดูวิธีการเทรดของนักเทรดหลาย ๆ คนที่ใช้ Indicator ที่ให้สัญญาณช้าและสัญญาณ
เร็วกับกราฟของพวกเขากัน และลองมาเปรียบเทียบกับคนที่ไม่ได้ใช้ Indicator ในการเทรด
และเทรดแบบ Price Action กัน
ข้างล่างนี้เป็นกราฟของ EURUSD Time Frame daily พร้อมกับ Indicator stochastic,
MACD, Parabolic SAR, และ moving averages อีกนิดหน่อย คุณจะเห็นได้เลยว่าการดูกราฟนี้
จะทาให้สับสน และคุณจะเห็นว่ามีตัวแปรที่ไม่จาเป็นเยอะแยะมากมายในกราฟนี้ และไม่มี
เหตุผลที่เราจะมานั่งทาให้การเทรดของเรานั้นยากกว่าที่มันก็ยากอยู่แล้ว แต่การใช้ เครื่องมือนี้
มันทาให้คุณเป็นอย่างนั้นเลย:
แล้วทีนี้มาดูกราฟเดียวกันนี้โดยไม่มีเครื่องมือใด ๆ กัน แต่เราจะใส่เส้น horizontal เพื่อวาด
แนวรับแนวต้าน กันซักหน่อย แน่นอนว่ากราฟแบบนี้ให้ความรู้สึกดีกว่าและไม่ค่อยทาให้เรา
สับสน สิ่งที่จะแสดงให้เราได้เห็นก็คือ ธรรมชาติของการเคลื่อนไหวของราคาในค่าเงิน
EURUSD การเรียนรู้ที่จะอ่านสัญญาณราคาแบบนี้ และดูว่ามันจะเกิดเมื่อไหร่ จะทาให้เราเทรดอ
บ่างมีประสิทธิภาพขึ้น
- 4. และเราไม่ต้องเสียอะไรเนื่องจากความจริงที่ว่า ไม่มีเครื่องมืออะไรเช่น MACD Stochastic ใน
กราฟ คุณจะเห็นเฉพาะราคาเท่านั้นซึ่งจะทาให้มันไม่บิดเบือนจากความจริง และเข้าใจ
พฤติกรรมของราคามากกว่าการใส่เครื่องต่าง ๆ มากมายเพื่อที่จะเข้าเทรดให้ได้เข้าเทรดใน
ราคาที่ต่าและสูงที่สุดตากราฟข้างบน
3. ความไม่เข้ากัน…
อย่างที่เราได้เห็นจากภาพสองภาพข้างบนนี้ ความไม่เข้ากันที่คุณได้รับเมื่อคุณเทรดโดยใช้
Indicator การเทรด แบบ price action นั้นแตกต่าง การมีสมาธินั้นสาคัญมาในฐานะนักเทรด
แต่เมื่อคุณมี Indicator 5 ตัวที่บอกสิ่งแตกต่างกัน ซึ่งจะไม่ได้ทาให้คุณมีสมาธิ และ ปราศจาก
อารมณ์ แต่จะทาให้คนสับสนและตัดสินใจไม่ได้
การไม่ต้องพิจารณาอะไรเยอะเกินไปทาให้สมองของเราทางานได้ดีขึ้นและทาให้คุณใช้
สัญชาตญาณการเทรดของคุณได้ดีขึ้น ซึ่งสัญชาตญาณการเทรดนี้จะเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ และ
พัฒนาเต็มที่เมื่อคุณเรียนรู้ที่จะอ่านพฤติกรรมราคา จากกราฟ เปล่า ๆ สุดท้ายคุณจะกลายมา
เป็นนักเทรดแบบ Price Action แบบมืออาชีพ คุณจะพัฒนาขีดความสามารถในการตัดสินใจเท
รดและเพิ่มความแม่นยามากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่รู้สึกลาบากใจในการตัดสินใจ
4. มาดู Indicator ที่ได้รับความนิยมสองแบบนี้กันให้ชัด ๆ …
เราลองมาวิเคราะห์เจาะฃึก Indicator สองตัวที่ได้รับความนิยมสูง กัน นั่นก็คือ Stochastic และ
MACD แล้วมาเปรียบเทียบกับการเทรดโดยใช้ Price Action อย่างเดียวกัน
- 5. Stochastic:
“ Stochastic มีส่วนประกอบสองส่วน คือ %K และ %D เจ้าตัว %K ก็คือเส้นหลักที่บอก
จานวนของเวลาที่ใช้คานวณ ส่วน %D ก็คือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของ %K.
การเข้าใจว่า Stochastic นั้นมีที่มาที่ไปอย่างไรนั้นเป็นสิ่งสาคัญอย่างหนึ่ง แต่ว่าการที่เรารู้ว่ามัน
มีปฏิกิริยากับราคายังไงในสถานการณ์ที่แตกต่างกันนั้นยิ่งสาคัญยิ่งกว่า ดังนี้ :
• จุดเข้าเทรดทั่วไปเกิดขึ้นเมื่อ %K ต่ากว่า 20 เราจะเรียกสัญญาณนี้ว่า oversold และนี่คือ
สัญญาณซื้อ
• ถ้า %K อยู่ต่ากว่า 100 และกาลังปักหัวลง หมายความว่าควรจะต้อง sell ก่อนที่ค่าของมันจะ
ลดลงต่ากว่า 80
• โดยทั่วไปแล้ว ถ้าค่า %K สูงกว่า %D นั่นหมายความว่า สัญญาณซื้อเกิดขึ้น และอยู่ต่ากว่า
80 ถ้ามันอยู่สูงกว่านี้หมายความว่ามันเป็นสัญญาณ overbought”
MACD :
“การที่จะให้เครื่องมือนี้แกว่งตัวขึ้นลงระหว่างค่าศูนย์ ต้องใช้การคานวณหาค่าของ MACD โดย
การใส่ค่า Exponential Moving Average 26 วันเข้าไป จากราคาของกราฟ 12 วันของเส้น
Moving Average แล้วเราจะได้ค่าของ Oscillator มา ถ้าเราใส่ค่า EMA 9 วันเข้าไปเพื่อ
เปรียบเทียบกันเพื่อให้เห็นภาพยิ่งขึ้น เราจะได้เงื่อนไข MACD คือ ถ้าค่า MACD สูงกว่าค่า
EMA 9 วัน หมายความตลาดอยู่ในภาวะตลาดกระทิง
ต่อไปนี้เป็นวิธีใช้ MACD ที่ไม่ค่อยมีใครรู้มากเท่าไหร่:
• อันดับแรกให้ดูการตัดข้ามเส้น 0 ของแท่ง Histogram หมายความว่า ถ้า MACD มีค่ามากกว่า
0 นั่นคือสัญญาณ Buy และต่ากว่า 0 ให้สัญญาณ Sell
• เราจะไม่ใช้การตัดข้ามเส้นของ Moving Average กับเส้นผ่านศูนย์กลาง
จากคาอธิบาย 2 ของของการใช้ Stochastic และ MACD เราจะเห็นว่า มันทาให้คุณมึนเพราะว่า
สมองคุณต้องมาอ่านข้อมูลที่ได้จาก parameter ว่ามันคานวณยังไงและจะต้องใช้ยังไงกันแน่
ส่วนที่ แย่ที่สุดของการใช้ indicator คือ เราต้องทาตามกฏของมันในการใช้ นั่นหมายความว่า
คุณต้องนั่งข้างหน้าคอมพิวเตอร์เพื่อรอให้มันเป็นอย่างที่ตั้งกฏไว้เพื่อทาการเทรด นักเทรด
- 6. หลาย ๆ คนชอบรวม Indicator 2 ตัวเข้าด้วยกัน และรอให้สัญญาณมันตรงกันก่อนที่จะทาการ
เทรด คุณจะเห็นว่า ภาพข้างล่างนี้มันยุ่งยากและวุ่นวายขนาดไหน มีทั้งเส้นทั้งสี และสัญญาณที่
ทาให้คุณสับสน ทาให้ควบคุมอารมณ์ในการเทรดลาบาก ผมรู้สึกปวดหัวขึ้นมาที่เขียนบทความนี้
ออกมา เพราะว่าผมไม่ชอบใช้ Indicator มันไม่จาเป็นและไรประโยชน์ที่จะมานั่งปวดหัวกับมัน
มาดูตัวอย่างกันซักจากกราฟที่ใช้ Stochastic กับ MACD เพื่อจะมาเปรียบเทียบกับอีกกราฟ
หนึ่งที่ไม่มีเครื่องมือใด ๆ แต่ใช้การเทรดแบบ Price Action ในการเทรด
ทีนี้เปรียบเทียบกราฟข้างบนนี้กับกราฟข้างล่างที่ไม่มีอะไรเลย แต่ใช้การเทรดแบบ Price
Action ในการให้สัญญาณการเข้าเทรด ซึ่งจะมีแนวรับและแนวต้านที่ระบุไว้ ซึ่งเมื่อคุณฝึกให้ได้
อย่างนี้คุณจะเห็นได้ชัดว่าการเทรดแบบ Price Action นั้นมีเหตุผลและมีความได้เปรียบกว่าการ
ที่เราพยายามมองอะไรก็ตามที่ไม่ใช่ราคา ทาไมไม่ลองวิเคราะห์กราฟจากราคาที่มันเป็นอยู่
กันหล่ะ เมื่อคุณสามารถเรียนรู้ที่จะเทรดแบบนี้ได้ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลจากราคาที่มีอยู่อยู่
แล้ว และการเทรดแบบ Price Action เปรียบเสมือนคุณซื้อของขายของจากเจ้าของสวน
โดยตรง โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง
- 7. กราฟ ข้างล่างนี้เป็นกราฟ ราคาทองคา Timeframe daily จะสังเกตุว่า Stochastic แสดง
เงื่อนไข Overbought เป็นเวลาหลายเดือนในปี 2010 แต่ว่ามันเป็นสัญญาณ Buy เทรนด์ขาขึ้น
ที่แรงมาก ซึ่งทาให้นักเทรดแบบ Price Action ได้กาไรมากมาย แต่ถ้าคุณเทรดตาม
Stochastic คุณก็จะคิดว่า ตอนนี้ตลาดกาลังอยู่ในภาวะ overbought นี่พิสูจน์ได้ว่า การเทรด
แบบ Price Action ช่วยคุณได้ ไม่ใช่สมการทางคณิตศาสตร์ที่จะเอามาทานายว่า “มันควรจะ
เป็นอย่างนั้นอย่างนี้” ไม่ใช่ว่าเพราะว่ามันเคยเกิดขึ้นแล้วและมันจะต้องใช้ได้กับทุกเหตุการณ์
“นี่คือวิธีการเทรดแบบ price action
- 9. ลูกศรข้างบนเป็นจุดแสดงการเกิด price action ถ้าคุณเทรดเทรนด์ขาขึ้นของราคาทองคาปีที่
แล้วคุณควรจะใช้ price action มากกว่าที่จะวิเคราะห์โดยใช้เครื่องมือที่น่าปวดหัวและน่าสับสน
เหล่านั้นเอามาใส่ในกราฟของคุณ
5. สรุป …
คงจะพอสรุปได้ว่าทาไม การเทรดแบบ price action ถึงรุดหน้ากว่าการใช้ Indicator ในการเท
รดมากนัก ถ้าคุณอยากจะเข้าใจความเคลื่อนไหวของราคาและกลไกตลาดเงินเหล่านี้คุณจาต้อง
เรียนรู้การวิเคราะห์ทิศทางตลาดแบบ Price Action โดยที่ไม่ต้องใช้เครื่องมือใด ๆ ใส่เข้าไปใน
กราฟของคุณ แม้ว่าถ้าคุณจะไม่คิดจะกลายเป็นนักเทรดแบบ price action ถึงขั้นมืออาชีพ คุณ
ก็ยังควรจะทาเข้าใจให้ได้ถึงพื้นฐานของมัน ว่าเราจะวิเคราะห์เจาะลึกพฤติกรรมราคาและจะเท
รดโดยไม่ใช้อะไรเลยนอกจากราคาอย่างเดียวได้อย่างไร ถ้าคุณเรียนรู้จนครบถ้วนกระบวนความ
เกี่ยวกับการเทรดแบบ Price Action แล้ว มันจะช่วยให้กลยุทธ์ หรือ ระบบเทรดของคุณสมบูรณ์
แบบยิ่งขึ้นและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
สุดท้ายนี้ จะขอกล่าวอีกหน่อยหนึ่งว่าการใช้ Indicator นั้นจะทาให้คุณกลายเป็นคนขี้เกียจ
เพราะว่า มันบอกว่าคุณไม่ต้องทาอะไรมากนอกจากจะอ่านสัญญาณตามเครื่องมือทางเทคนิค
นั้นอย่างไร การเทรดแบบ Price Action นั้นยอดเยี่ยมเพราะว่า คุณสามารถจะกาหนดรูปแบบ
คร่าว ๆ ของผลที่จะออกมาในอนาคตอันใกล้ และทิศทางด้วยความแม่นยาและมีความรวดเร็ว
มากกว่าระบบขั้นตอนการเทรดใด ๆ เพราะว่า การเทรดแบบ Price action นั้นวิเคราะห์จากราคา
ปัจจุบันของตลาดเอง แม้ว่าทั้งสมองและจิตใต้สานึกของคุณจะบอกว่า การเทรดแบบ Price
Action นั้นเหมือนกับการขี่จักรยาน ครั้งแรกคุณอาจจะยังไม่ชินแต่ถ้าเวลาผ่านไปคุณจะ
สามารถใช้มันได้อย่างเป็นธรรรมชาติ นอกจากนี้ Price Action ยังเป็นระบบการวิเคราะห์ตลาดที่
ชัดเจนและมีเหตุผลในการวิเคราะห์ตลาดฟอร์เร็กซ์ คุณต้องเรียนรู้การเทรดแบบ Price Action
ไว้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ถ้าคุณต้องการก้าวขึ้นบันไดแห่งการเทรดอย่างถูกต้อง
ขอให้ได้กาไรอย่างที่เคย – Nial Fuller