More Related Content
More from Rose Banioki (20)
Spm ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
- 2. SPM ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
SPM ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
“ทำไมต้องใช้ระบบในการลงทุน … แล้วมันจะดีกว่าไม่ใช้ระบบอย่างไร
และมันจะช่วยให้เราทำกำไรจากตลาดในระยะยาวได้จริงๆอย่างนั้นหรือ!?”
คำถามเดิมๆเหล่านี้เป็นคำถามที่ผมมักพบเจออยู่บ่อยครั้ง สาเหตุก็คง
เป็นเพราะหลายๆคนถูกดึงดูดให้สนใจในการลงทุนอย่างเป็นระบบด้วยรูปแบบ
ของการโฆษณาทางการตลาดที่ว่า ระบบการลงทุนจะทำให้พวกเขามีกำไรอย่าง
รวดเร็ว, ง่ายดาย และไม่ต้องออกแรงมากมายเท่าไหร่นัก อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า
คำกล่าวอ้างที่ว่านี้มักจะดูดีจนเกินจริงไป และมักกลายเป็นประเด็นซึ่งนำพาไปสู่
ความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนต่อ “ความจำเป็น” ในการที่เราควรจะต้องใช้ “ระบบ” ใน
การลงทุนไปไม่มากก็น้อย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เหตุผลที่เราควรจะต้องใช้
ระบบการลงทุนก็เนื่องมาจากขีดจำกัดในการซึมซับข้อมูลข่าวสาร รวมไปถึงขีด
ความสามารถในการตัดสินใจได้อย่างเป็นเหตุเป็นผลภายใต้สถานการณ์ที่สลับ
ซับซ้อนและมีความแปรปรวนอย่างสูงในตลาดต่างหาก
ดังนั้นแล้ว ในบทความนี้ผมจึงจะขอใช้เวลาอธิบายถึงเหตุผลและความ
จำเป็นของการลงทุนอย่างเป็นระบบในเชิงลึกให้กับทุกคนได้อ่านกัน ซึ่งผมหวัง
ว่ามันจะช่วยสร้างความเข้าใจและมุมมองที่ถูกต้องต่อการลงทุนอย่างเป็นระบบ
ให้กับผู้ที่กำลังสนใจในการลงทุนอย่างเป็นระบบกันมากขึ้น ทั้งนี้ผมต้องขอบคุณ
เพื่อนๆนักลงทุนทุกคนที่เข้ามากดไลค์ www.facebook.com/mangmaoclub
จนในขณะนี้มียอดรวมไปถึงกว่า 167,000 Likes กันด้วยนะครับ สัญญาว่าจะ
พยายามอัพเดทบทความใหม่ๆให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะมีเวลาเขียนออกมาได้ครับ
มด แมงเม่าคลับ
www.mangmaoclub.com
1
- 4. SPM ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
การลงทุนไม่ใช่แค่เรื่องของความสามารถในการเลือก
หุ้นเท่านั้น
คุณป้านิรนาม : “ฮัลโหล … อยากขอคำแนะนำเกี่ยวกับหุ้น XYZ ค่ะ”
สุดยอดนักวิเคราะห์ : “ครับ หุ้นตัวนี้มีปันผลดี กิจการกำลังเติบโต กราฟกำลังทำ
รูปแบบ “หัวไหล่ตูด” อยู่นะครับ แนะนำให้ซื้อ ถือ แล้วลืมไปเลยครับ”
คุณป้านิรนาม : “อ๋อ ขอบคุณค่ะ ไว้จะโทรมาปรึกษาใหม่นะคะ … ตู๊ดดดด”
ใช่แล้วครับ! นี่คือบทสนทนาในรายการหุ้นทั่วๆไปที่ผมเชื่อว่าหลายๆคน
คงจะคุ้นชินอยู่ไม่น้อย แต่คุณจะเคยนึกสงสัยเหมือนผมบ้างไหมครับว่า อะไรที่
ทำให้รูปแบบรายการหุ้นหรือการลงทุนแบบนี้ถึงได้อยู่ยงคงกระพันมาได้หลาย
สิบปี (และน่าจะคงอยู่ต่อไปอีกนาน) ผมเองเคยนึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยว่าทำไมคน
ที่มีเงินและมีความรู้ในสาขาต่างๆจึงได้ให้ความไว้วางใจและฝากฝังอนาคตของ
ผลการลงทุนเอาไว้กับ กูรู้หุ้น, นักวิเคราะห์ หรือแม้แต่เพื่อนพ้องนักลงทุนที่รู้จัก
ใกล้ชิดสนิทสนมกันมานานเพียงไม่กี่คน ทั้งๆที่จริงๆแล้วพวกเขาอาจไม่ได้มี
ความสามารถในการวิเคราะห์หุ้นที่ด้อยไปกว่าคนอื่นเลยก็ตาม
อย่าพึ่งเข้าใจผมผิดไปนะครับ!! ผมเองไม่ได้กำลังจะหาเรื่องโจมตีหรือ
ต้องการจะเป็นปฏิปักษ์กับนักวิเคราะห์หรือกูรูท่านใดทั้งสิ้น … อันที่จริงแล้วผม
พยายามที่จะทำให้งานของพวกเขาเป็นเรื่องง่ายขึ้นและโดนด่าน้อยลงต่างหาก
อย่างไรน่ะหรือครับ??
นั่นก็เพราะผมกำลังพยายามที่จะชี้ประเด็นให้หลายๆคนได้เห็นว่า นัก
ลงทุนส่วนใหญ่นั้นมีทัศนคติความเชื่อที่ไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่นักเกี่ยวกับการที่
3
- 5. SPM ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
จะได้รับผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอในระยะยาวจากการลงทุนในตลาดนั่นเอง
ประเด็นที่ผมอยากจะเกริ่นนำสักเล็กน้อยนี้ก็คือ จากประสบการณ์ที่ผมได้
พบเจอกับนักลงทุนหลายๆคนนั้น ผมได้พบว่า “นักลงทุนส่วนใหญ่มักใช้เวลา
มากมายไปกับการหาหุ้นและหาสูตรวิเคราะห์หุ้นในรูปแบบต่างๆ แต่พวกเขา
กลับแทบไม่เคยใช้เวลาที่จะหยุดคิดถึงกระบวนการในการตัดสินใจในการลงทุน
ของพวกเขาเลย!” ซึ่งนั่นก็เพราะพวกเขามักเชื่อกันว่าในการที่พวกเขาจะสามารถ
เอาชนะตลาดได้นั้น พวกเขาจะต้องมีความสามารถในการซึมซับข้อมูลข่าวสาร
ต่างๆและสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในตลาดได้ดีกว่าคนอื่นๆ
อยู่เสมอ นี่คือสาเหตุที่ทำให้พวกเขาพยายามที่จะรับฟังคำแนะนำหุ้นจากกูรู
ต่างๆ, พยายามที่จะรับรู้ข้อมูลข่าวสารทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นมากมายในแต่ละวัน
รวมถึงพยายามที่จะเสาะแสวงหาวิธีการต่างๆที่จะช่วยให้พวกเขาสามารถ
วิเคราะห์ตลาดได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆไม่ว่ามันจะดู
พิสดารเกินความเป็นจริงเพียงใดก็ตาม
อย่างไรเสีย ข่าวร้ายก็คือในความเป็นจริงแล้ว เรื่องของความสามารถใน
การวิเคราะห์หุ้นถือเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งในการลงทุนเท่านั้น การลงทุนยังมี
องค์ประกอบอื่นๆที่มีความสำคัญไม่แพ้กันอยู่อีกมาก ยกตัวอย่างเช่น การบริหาร
ความเสี่ยง, การบริหารเงินทุน หรือแม้กระทั่งการจัดการกับจิตวิทยาการลงทุน
ของเราให้สามารถดำรงอยู่ในความเหมาะสมอยู่ตลอดเวลาด้วย นอกจากนี้แล้ว
สิ่งที่สำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ กระบวนการลงทุนอย่างถูกต้องนั้นเป็นเรื่องที่
เราจะควรจะต้องคาดหวังผลลัพธ์ของมันออกมาในระยะเวลาที่ยาวนานพอ
สมควร (ซึ่งมันมักจะยาวนานกว่าที่หลายๆคนคิดเอาเสียด้วย)
ดังนั้นแล้วไม่ว่าเราจะทำการลงทุนอยู่ในรูปแบบหรือสไตล์ใดๆ มันจึง
เปรียบเสมือนกับการผจญภัยหรือการเดินทางไกลในตลาดอย่างไรอย่างนั้น
ผลลัพธ์ของการลงทุนในระยะยาวจึงกลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาจากคุณภาพของ
4
- 6. SPM ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
“กระบวนการในการตัดสินใจที่ต่อเนื่อง” แทนที่จะเป็นเพียงแค่การฝากความหวัง
ไว้กับผลลัพธ์ของการวิเคราะห์หุ้นไม่กี่ครั้ง, คำแนะนำเกี่ยวกับหุ้นจากใครคนใด
คนหนึ่ง หรือแม้แต่ผลกำไรจากหุ้นเพียงตัวใดตัวหนึ่งเท่านั้น นี่จึงทำให้ “ความ
สม่ำเสมอของคุณภาพในการตัดสินใจ” กลายเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งยวดใน
การลงทุนขึ้นมานั่นเอง
น่าเสียดายว่าความสม่ำเสมอของคุณภาพในการตัดสินใจเป็นสิ่งที่ดูจะไม่
น่าตื่นเต้นเร้าใจสักเท่าไหร่นัก เมื่อเทียบกับการเฝ้ามองหาและวิเคราะห์ว่าหุ้นตัว
ใดจะกลายเป็นสุดยอดหุ้นทำกำไรให้กับเราในวันข้างหน้า เรื่องราวของมันจึงมัก
กลายเป็นเพียงแค่ไม้ประดับสำหรับการพูดคุยในช่วงหนึ่งๆของวงสนทนาเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมอยากจะบอกกับพวกเราทุกคนก็คือ การพยายามทำความ
เข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติและขีดจำกัดในการตัดสินใจของมนุษย์ ซึ่งมีผลต่อ
ความสม่ำเสมอของคุณภาพในการตัดสินใจนั้น จะกลายเป็นเรื่องที่ทำให้คุณมี
ความได้เปรียบในตลาดเหนือผู้เล่นคนอื่นๆได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว เพราะ
ในขณะที่คุณได้เข้าใจและทราบถึงวิธีการปิดจุดอ่อนในการลงทุนของคุณอยู่นั้น
ในทางกลับกันแล้วคุณก็กำลังสร้างความได้เปรียบในการลงทุนที่เหนือนักลงทุน
คนอื่นๆจากกระบวนการตัดสินใจของคุณไปด้วยในเวลาเดียวกันนั่นเอง ซึ่งนี่ก็
คือสิ่งที่ผมต้องการที่จะสื่อสารให้กับทุกคนได้เข้าใจจากบทความนี้ครับ
Note 1 : ในบทความนี้คำว่านักลงทุนและการลงทุน จะหมายรวมถึง
คำว่านักเก็งกำไรและการเก็งกำไรในคราวเดียวกัน เนื่องจากบทความนี้มี
เนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องของกระบวนการในการตัดสินใจโดยไม่ได้มีความหมาย
เจาะจงลงไปในวิธีการลงทุนในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ซึ่งนั่นก็เพราะ
กระบวนการตัดสินใจเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการลงทุนทุกรูปแบบ ไม่
ว่าจะคุณจะเป็นนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรอยู่ก็ตาม
5
- 7. SPM ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดใช้วิจารณญาณในการ
ตัดสินใจ!
“การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ” นี่คือคำ
แนะนำโดยทั่วไปสำหรับคอลลัมน์หรือบทวิเคราะห์ในการลงทุนที่เรามักเห็นกัน
อย่างดาดดื่น แล้วมันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผมกำลังจะพูดถึงอย่างไรน่ะหรือครับ!? คำ
ตอบก็เพราะมันเป็นคำแนะนำที่แสดงให้เห็นถึงกระบวนการตัดสินใจในการ
ลงทุนโดยทั่วไปของคนส่วนใหญ่อย่างพวกเรา ซึ่งมันก็คือการคิด, วิเคราะห์ และ
ตัดสินใจไปตามกลไกในสมองของเราจนเสร็จสิ้นกระบวนการนั่นเอง
หากว่าคุณมักที่จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลดิบซึ่ง
เป็นตัวเลขหรือตัวหนังสือ, ข่าวสารเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ต่างๆ,
ตัวเลขจากงบการเงิน หรือแม้แต่ลักษณะของกราฟในรูปแบบต่างๆ โดยอาศัย
การอ้างอิงจากประสบการณ์, ความรู้, ความรู้สึก หรือแม้แต่สัญชาตญาณของคุณ
เองแล้วล่ะก็ คุณคือนักลงทุนที่ใช้กระบวนการตัดสินใจตามวิจารณญาณของคุณ
เป็นหลัก (Clinical - Discretional Decision Making)
ที่ผมต้องพูดถึงกระบวนการตัดสินใจในลักษณะการตัดสินใจเช่นนี้ขึ้นมา
เสียก่อน ก็เนื่องมาจากมันเป็นลักษณะการตัดสินใจโดยธรรมชาติของนักลงทุน
ส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ โดยที่กระบวนการการตัดสินใจของคุณนั้นจะเป็นไปในรูป
แบบครั้งต่อครั้ง (Trade by Trade) นั่นจึงทำให้กิจวัตรประจำวันของคุณในฐานะ
นักลงทุนคือการพยายามตัดสินใจให้ดีที่สุดในแต่ละครั้ง เพื่อที่จะทำการเลือกหุ้น,
เลือกจังหวะซื้อขายหุ้น หรือแม้แต่เลือกกองทุนที่คุณสนใจจะวางเงินลงทุนลงไป
นั่นเอง
6
- 8. SPM ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
ภาพที่ 1 : ลักษณะการตัดสินใจตามวิจารณญาณ
เมื่อพูดถึงลักษณะเด่นของการตัดสินใจในรูปแบบนี้แล้ว “คุณภาพในการ
ตัดสินใจ” คือสิ่งที่คุณมักจะได้รับจากการตัดสินใจด้วยวิจารณญาณของคุณเอง
เนื่องจากสมองของมนุษย์มีความยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ที่สูง และยังสามารถ
พัฒนาปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงไปได้ตามกระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์
หรือจากการสัมผัสผ่านประสาทสัมผัสต่างๆได้ นอกจากนี้แล้วมันยังมีความซับ
ซ้อนจนยากที่โมเดลทางคณิตศาสตร์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์จะลอกเลียน
แบบได้อีกด้วย
แน่นอนว่าเมื่อมองจากประสิทธิภาพและข้อดีของการตัดสินใจจาก
วิจารณญาณของตัวเราเองนั้น มันดูจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับสภาพ
7
- 9. SPM ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
แวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลาอย่างในตลาดหุ้นพอสมควรเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ข่าวร้ายมากๆอย่างหนึ่งก็คือกระบวนการตัดสินใจจาก
วิจารณญาณของเรานั้นมีจุดอ่อนอยู่อย่างหนึ่งซึ่งทำให้มันกลายเป็นจุดตาย
สำหรับคนส่วนใหญ่มานักต่อนัก ซึ่งนั่นก็คือการที่กลไกการตัดสินใจด้วย
วิจารณญาณของเรามักที่จะเกิดความสับสนและผิดพลาดอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อ
มันต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่มีความซับซ้อน (Complex) และมีความไม่
แน่นอนของเหตุการณ์อยู่ในระดับที่สูงมาก (Randomness)
หากจะถามว่า “แล้วเรามักจะพบเจอกับสถานการณ์ที่ว่านี้ได้จากที่ไห
นบ้างน่ะหรือครับ?” คำตอบก็คือในตลาดหุ้นนั่นเอง! ตลาดเป็นที่ซึ่งได้รวบรวม
เอาสถานการณ์ที่เป็นขีดจำกัดทั้งสองอย่างเอาไว้ในคราวเดียวกันอยู่ตลอดเวลา
ด้วยเหตุนี้ตลาดหุ้นจึงกลายเป็นสถานที่ปราบเซียนของคนส่วนใหญ่มานักต่อนัก
ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นบุคคลที่เฉลียวฉลาดหรือเคยประสบความสำเร็จในวงการ
ใดๆมาก็ตามแต่
ด้วยเหตุผลเบื้องต้นที่ผมได้กล่าวมานี้ เราจะเห็นได้ว่าถึงแม้กระบวนการ
ตัดสินใจด้วยวิจารณญาณโดยทั่วไปของพวกเรานั้นจะมีประโยชน์และมี
ประสิทธิภาพเป็นอย่างมากในการตัดสินใจแก้ปัญหาต่างๆรอบตัวเรา แต่ด้วย
ความที่มันมีขีดจำกัดที่อ่อนไหวและอันตรายมากๆกับการลงทุนในตลาดหุ้น มัน
จึงมักที่จะทำให้เราต้องขาดทุนจากตลาดในระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และ
ถึงแม้ว่าจะมีงานวิจัยรวมถึงการศึกษาเกี่ยวกับวิธีที่จะช่วยลดผลกระทบจากความ
ผิดพลาดเพราะกลไกในสมองของเราเกิดขึ้นอย่างมากมาย (หนังสือเกี่ยวกับ
จิตวิทยาการลงทุนทั้งหลาย) แต่ในท้ายที่สุดแล้วมันก็มีคนอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ที่สามารถจะเอาชนะและควบคุมจิตใจของพวกเขาได้ในระยะยาวเมื่อต้องคลุกคลี
อยู่กับตลาดเป็นเวลาอย่างยาวนาน1 ดังนั้นแล้วทางเลือกใหม่อย่างหนึ่งจึงค่อยๆ
ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อที่จะจัดการกับปัญหาซึ่งเกิดขึ้นจากกลไกในสมองของตัวเรา
8
- 11. SPM ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
SPM กระบวนการตัดสินใจด้วยกฎหรือระบบการ
ลงทุน
เพื่อที่จะแก้ปัญหาเกี่ยวกับจุดอ่อนในการลงทุนต่างๆซึ่งเกิดขึ้นจาก
กระบวนการตัดสินใจด้วยวิจารณญาณของเราเองนั้น ย้อนกลับไปเมื่อช่วงต้นของ
ศตวรรษที่ 20 (ตั้งแต่ช่วงราวปี ค.ศ. 1930 เป็นต้นมา) นักลงทุนรวมถึงนักเก็ง
กำไรกลุ่มหนึ่ง จึงได้เริ่มทำการสร้างกฎหรือระบบในการลงทุนของพวกเขาขึ้น
เพื่อใช้เป็นตัวแทนในการตัดสินใจออกมา โดยแนวคิดในการอาศัยกระบวนการ
ตัดสินใจด้วยกฎหรือระบบการลงทุนเช่นนี้ ได้ค่อยถูกพัฒนาและวิวัฒนาการขึ้น
มาตามยุคสมัย จนในที่สุดแล้วมันก็เริ่มกลายเป็นรูปร่างที่เด่นชัดขึ้นในช่วงปี
ค.ศ. 1970 (ซึ่งเป็นยุคที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเริ่มถือกำเนิดและเป็นที่นิยมขึ้น
ในประเทศสหรัฐอเมริกา) โดยการนำเอากระบวนการศึกษาวิจัยข้อมูลต่างๆ
อย่างเป็นวิทยาศาสตร์และหลักการทางสถิติศาสตร์เข้ามาไว้ด้วยกัน ซึ่งผมจะขอ
เรียกกระบวนการตัดสินใจด้วยกฎหรือระบบการลงทุนในลักษณะนี้อย่างสั้นๆใน
บทความว่า SPM โดยย่อมาจากคำว่า Statistical Prediction Method
นั่นเอง2
10
- 12. SPM ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
ภาพที่ 2 : ลักษณะของกระบวนการตัดสินใจตามกฎหรือระบบการลงทุน แสดง
ให้เห็นถึงการตัดช่องทางการรับข้อมูลข่าวสารในทางตรงออกจากสมองของเรา
สำหรับการตัดสินใจด้วยกฎหรือระบบการลงทุนนั้น เพื่อที่จะปิดจุดอ่อนซึ่ง
เกิดขึ้นจากความผิดพลาดของระบบการประมวลผลจากสมองของพวกเรา พวก
มันจึงได้ถูกออกแบบมาเพื่อที่จะตัดเอาการรับรู้ข่าวสารและข้อมูลดิบต่างๆในทาง
ตรงออกไปจากตัวเราโดยสิ้นเชิง และทำการประมวลรวมผลรวมถึงการตัดสินใน
ขั้นสุดท้ายผ่านตัวแทนซึ่งก็คือ “กฎและเงื่อนไขของระบบ” ที่ถูกสร้างขึ้นมารองรับ
เอาไว้กับสถานการณ์ต่างๆเอาไว้ (ภาพที่ 2)
โดยเมื่อคุณอาศัยกระบวนการตัดสินใจตามกฎหรือระบบการลงทุนนั้น
ลักษณะการตัดสินใจของคุณจะเปลี่ยนแปลงไปจากการใช้วิจารณญาณส่วนตัว
11
- 13. SPM ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
ของคุณเป็นอย่างมาก กล่าวก็คือคุณจะไม่อาศัยการตัดสินใจแบบครั้งต่อครั้งอีก
ต่อไป (คุณจะไม่ทำการตัดสินใจวิเคราะห์หุ้นเป็นรายตัวอีกต่อไป) และในทาง
กลับกันแล้วกิจวัตรประจำวันของคุณจะกลายเป็นการค้นคว้าและวิจัย
ประสิทธิภาพของระบบหรือกลยุทธ์ในการลงทุนต่างๆ (ภาพที่ 3) หลังจากนั้นจึง
ทำการตัดสินใจเพื่อเลือกระบบการลงทุนเหล่านั้นออกมาใช้งานแทน โดยปล่อย
ให้ระบบได้ตัดสินใจในภาพเล็กแบบ Trade by Trade แทนตัวคุณเอง
ภาพที่ 3 : เป้าหมายในการค้นคว้าและกิจวัตรประจำวันของการลงทุนด้วยระบบ
คือการค้นคว้าหาตัวแปรต่างๆเพื่อพัฒนาปรับปรุงและนำเอาระบบที่มี
ประสิทธิภาพออกมาใช้
ดังนั้นเมื่อจะพูดถึงกระบวนการตัดสินใจตามกฎหรือระบบการลงทุนแล้ว
ล่ะก็ จุดเด่นที่สุดของของมันจึงมักไม่ได้อยู่ที่ “คุณภาพของการตัดสินใจที่สูง
12
- 14. SPM ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
ที่สุด” เหมือนกับการตัดสินใจด้วยวิจารณญาณของคุณ แต่จุดแข็งที่ได้กลับมาจะ
กลายเป็น “ความสม่ำเสมอของคุณภาพในการตัดสินใจในระยะยาว" ออกมา
แทน นอกจากนี้แล้ว จุดเด่นที่สุดของกระบวนการตัดสินใจด้วยกฎหรือระบบใน
การลงทุนก็คือ การสรุปผลและทำการคาดการณ์สิ่งต่างๆนั้นจะตั้งอยู่บน
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และหลักของสถิติศาสตร์เสมอ นี่จึงทำให้
กระบวนการตัดสินใจในลักษณะนี้มีความเป็นรูปธรรมจับต้องได้ขึ้นเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าข้อเสียของการตัดสินใจด้วยระบบการลงทุนย่อมต้องมีเช่นกัน
เพราะด้วยความที่เงื่อนไขของระบบเป็นสิ่งที่ตายตัว แต่ตลาดนั้นมักมีการ
เปลี่ยนแปลงในรายละเอียดของมันอยู่ตลอดเวลา กระบวนการตัดสินใจในรูป
แบบนี้จึงอาจมีจุดอ่อนที่เป็นข้อแลกเปลี่ยนของมันเกิดขึ้นในบางครั้ง ซึ่งนั่นก็คือ
เรื่องของความยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ และการที่ผู้ใช้จะต้องมีความรู้ทางตัวเลข
และสถิติเบื้องต้นอยู่บ้างพอสมควร มิเช่นนั้นแล้วคุณก็อาจตกเป็นเหยื่อของ
ตัวเลขทางสถิติและความผิดพลาดในการวิจัยได้อย่างไม่ยากเย็นนัก อย่างไร
ก็ตาม เมื่อหักลบกลบหนี้ระหว่างผลดีและผลเสียที่คุณจะได้รับแล้ว การอาศัย
กระบวนการตัดสินใจด้วยกฎหรือระบบการลงทุน ก็มักจะกลายเป็นทางเลือกที่ดี
กว่าสำหรับคนส่วนใหญ่โดยทั่วไปที่ไม่ได้มีสัญชาติญาณพิเศษหรือประสบการณ์
ข้องเกี่ยวกับตลาดมาเป็นเวลานานอยู่ค่อนข้างมาก ดังนั้นแล้วในส่วนต่อไปของ
บทความชิ้นนี้ ผมจึงจะขออธิบายถึงเหตุผลเชิงลึกที่จะทำให้คุณเข้าใจถึงความ
สำคัญและความจำเป็นของการใช้กระบวนการตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนในรูป
แบบนี้ให้มากขึ้นไปอีก เผื่อว่ามันจะทำให้คุณหรือใครหลายๆคนได้ลองหันกลับ
มาพิจารณาและทบทวนถึงกระบวนการตัดสินใจในการลงทุนของตนเองมากขึ้น
กว่าที่เคยเป็นกัน
ข้อดีของการตัดสินใจด้วยกฎหรือระบบโดยอิงจากหลักสถิติ SPM
▪
มีความสม่ำเสมอและเที่ยงตรงในการตัดสินใจ
13
- 16. SPM ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
ทำไมต้อง SPM มันจำเป็นขนาดนั้นในการลงทุนจริงๆ
หรือ?
เหตุผลง่ายๆที่ว่าทำไมคุณจึงควรนำ SPM เข้ามาปรับใช้ในการลงทุนของ
คุณก็เนื่องมาจากว่ามันให้ประสิทธิภาพในการตัดสินใจที่เหนือกว่าการใช้
วิจารณญาณในระยะยาวเป็นอย่างมาก ซึ่งนอกเหนือไปจากการปรับใช้ SPM ใน
แวดวงการลงทุนแล้ว จากผลการศึกษาและงานวิจัยหลายๆชิ้นและในหลายๆ
สาขายังพบว่า SPM ให้ประสิทธิภาพในการตัดสินใจเหนือกว่าวิจารณญาณใน
ระยะยาวด้วยเช่นกัน
สำหรับคนที่กำลังสงสัยหรือชั่งใจอยู่ว่าคุณควรที่จะลองปรับเปลี่ยน
กระบวนการลงทุนของคุณให้ออกมาอยู่ในรูปแบบของกฎหรือระบบที่ชัดเจนเป็น
รูปธรรมจับต้องได้แบบ SPM ดีหรือไม่นั้น เนื้อหาต่อไปนี้จะเป็นเหตุผลหลักๆที่ผม
คิดว่ามีความน่าสนใจและเกี่ยวข้องกับการลงทุนอยู่พอสมควร โดยนอกจากที่ผม
จะได้กล่าวถึงปัจจัยซึ่งมีผลกระทบต่อผลการลงทุนของคุณในระยะยาวแล้ว ผมยัง
ได้นำเอาเนื้อหาที่น่าสนใจจากงานวิจัยนอกตลาดหุ้นบางชิ้นเข้ามาเป็นข้อมูล
ประกอบเอาไว้ด้วย ซึ่งผมคิดว่าน่าจะทำให้พวกเราได้เห็นภาพความสำคัญของ
การตัดสินใจในรูปแบบนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก และต่อไปนี้ก็คือเหตุผลบาง
ประการที่ว่าทำไมคุณจึงควรที่จะใช้กระบวนการตัดสินใจด้วยกฎหรือระบบแบบ
SPM ในการลงทุนของคุณเองครับ
SPM กับความสม่ำเสมอของคุณภาพในการตัดสินใจ
ผลงานวิจัยหลายๆชิ้นได้พิสูจน์ออกมาแล้วว่า กระบวนการตัดสินใจอย่าง
เป็นระบบภายใต้หลักของวิชาสถิติศาสตร์หรือ SPM คือสิ่งที่จะช่วยให้คุณภาพ
ของการตัดสินใจมีความสม่ำเสมอและมีประสิทธิภาพมากกว่าการตัดสินใจด้วย
15
- 17. SPM ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
วิจารณญาณในระยะยาว นอกจากนี้แล้ว กระบวนการตัดสินใจแบบ SPM ไม่
เพียงแต่จะมีประโยชน์กับการลงทุนเท่านั้น แต่มันยังมีประโยชน์กับสถานการณ์
อื่นๆอีกมากมายเช่นเดียวกัน
โดยเมื่อพูดถึงประสิทธิภาพของการตัดสินใจระหว่าง SPM และ
วิจารณญาณแล้ว Paul E. Meehl คือบุคคลแรกที่ได้ทำการทดสอบและวิจัย
เปรียบเทียบถึงประสิทธิภาพของกระบวนการตัดสินใจทั้งสองรูปแบบเอาไว้
โดยที่งานวิจัยหลายๆชิ้นของเขาได้ถูกเรียบเรียงเอาไว้ในหนังสือที่ชื่อว่า Clinical
Versus Statistical Prediction : A Theoretical Analysis and a
Review of the Evidence ซึ่งถูกตีพิมพ์เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1954
ภาพที่ 4 : หนังสือ Clinical vs. Statistical Prediction แต่งโดย Paul E.
Meehl
ในหนังสือเล่มนี้ Meehl ได้ชี้ให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่เหนือกว่าของ SPM
และแนะนำให้ทุกคนทำการตัดสินใจรหรือทำการพยากรณ์ถึงสิ่งต่างๆด้วยหลัก
16
- 18. SPM ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
การทางสถิติแทนที่จะใช้วิจารณญาณของตนเองอยู่เสมอ เนื่องจากเขาค้นพบ
ว่าการตัดสินใจด้วยวิจารณญาณของคนเรามักเกิดความผิดพลาดได้ง่ายและ
บ่อยครั้งกว่าการตัดสินใจด้วยกฎหรือระบบที่ได้ถูกออกแบบและวางเงื่อนไขเอา
ไว้ นอกจากนี้เขายังค้นพบอีกว่าเมื่อต้องทำการตัดสินใจด้วยวิจารณญาณส่วนตัว
นั้น คนเรายังมักที่จะมีการตัดสินใจที่แตกต่างกันไปทั้งที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขหรือ
สถานการณ์เดียวกันอีกด้วย
การค้นพบและตีพิมพ์งานวิจัยของเขาออกมาในยุคนั้นได้ทำให้วงการ
จิตวิทยารวมไปถึงแวดวงการแพทย์ในสาขาต่างๆถึงกับสั่นสะเทือนเลยก็ว่าได้
งานวิจัยของเขามีแรงต้านทานเป็นอย่างมากจากบุคลากรในหลายๆสาขาวิชาชีพ
แต่ในที่สุดแล้วทุกๆวันนี้มันก็ได้เป็นมาตรฐานของการตัดสินใจที่มีคุณภาพใน
สาขาวิชาชีพต่างๆไปโดยปริยายเรียบร้อยแล้ว
งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันเกิดขึ้นหลังจากงานของ Meehl
เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น ซึ่งมันก็คืองานวิจัยของ Robyn Dawes ซึ่งถูกตีพิมพ์ลงใน
วารสาร Journal of Clinical Psychology ในปี ค.ศ. 2005 โดยที่สิ่งที่ทำให้
งานวิจัยชิ้นนี้มีความน่าสนใจขึ้นมาก็คือ มันได้ย้ำให้เห็นถึงความถูกต้องในข้อ
สรุปของ Meehl อย่างชัดเจน โดยในงานวิจัยของ Dawes พบว่าจากการเก็บ
สถิติเกี่ยวกับการทดลองเปรียบเทียบประสิทธิภาพของกระบวนการตัดสินใจ
ระหว่าง SPM และการใช้วิจารณญาณส่วนบุคคลกว่า 135 ชิ้นนั้น กระบวนการ
ตัดสินใจแบบ SPM ให้ผลลัพธ์ซึ่งมีประสิทธิภาพเหนือกว่าการตัดสินใจด้วย
วิจารณญาณแทบทั้งสิ้น มิหนำซ้ำแล้วสำหรับในงานวิจัยชิ้นที่การตัดสินใจด้วย
วิจารณญาณมีประสิทธิภาพเหนือกว่า SPM นั้น พวกมันแทบไม่มีความแตกต่าง
กันจนสามารถอธิบายตามหลักสถิติได้ว่า ผลลัพธ์ของมันอาจเกิดขึ้นโดยความ
บังเอิญเท่านั้น (ไม่มีนัยยะสำคัญทางสถิติ) ซึ่งต่อมาในภายหลัง Dowes ก็ได้
ทำการสรุปรวบรวมผลของงานวิจัยหลายๆชิ้นเอาไว้ในหนังสือขายดีของเขาที่ชื่อ
17
- 19. SPM ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
ว่า House of Cards : Psychology and Psychotherapy Built on Myth
นั่นเอง
ภาพที่ 5 : หนังสือ House of Cards : Psychology and Psychotherapy
Built on Myth แต่งโดย Robyn Dawes
หากว่าในขณะนี้คุณยังไม่เห็นถึงความสำคัญของความสม่ำเสมอของ
คุณภาพในการตัดสินใจอีกล่ะก็ ตัวอย่างหนึ่งที่ผมคิดว่าชัดเจนที่สุดในวงการการ
ลงทุน ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องราวโศกนาฏกรรมของ Jesse Livermore ผู้ที่เป็น
ดั่งตำนานแห่งตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1900 1940) ซึ่งนั่นก็เพราะถึงแม้ว่า Livermore จะเป็นผู้ที่มีความสามารถในการเก็ง
กำไรและลงทุนเป็นอย่างมาก รวมถึงเขายังเป็นผู้ที่บุกเบิกแนวคิดในการเก็งกำไร
หลายๆอย่างที่พวกเรารวมถึงนักเก็งกำไรระดับโลกนำมาใช้กันในทุกวันนี้ (ยก
ตัวอย่างเช่นการเก็งกำไรไปตามแนวโน้มใหญ่ของเศรษฐกิจ, การตัดขาดทุน,
การทยอยเข้าซื้อขายเป็นส่วนๆ หรือแม้แต่การบริหารหน้าตักในการเก็งกำไร)
เรื่องที่น่าเศร้าที่สุดของเขาก็คือในช่วงสุดท้ายของชีวิตที่ Livermore ต้องเจ็บ
18
- 20. SPM ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
ปวดจากปัญหาต่างๆเกี่ยวกับครอบครัวและสภาพจิตใจของเขาอยู่นั้น เขายังต้อง
สูญเสียเงินทุนและผลกำไรแทบทั้งหมดไปจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างต่อ
เนื่องอันเนื่องมาจากสติและอารมณ์ที่ผิดปกติของเขา จนในที่สุดแล้วมันก็ทำให้
เขาแทบไม่เหลือความมั่งคั่งอยู่เลยจนไม่สามารถรับกับความล้มเหลวของชีวิตได้
และตัดสินใจจบชีวิตตนเองด้วยการยิงตัวตายในที่สุดเมื่อปี ค.ศ. 1940
ประสิทธิภาพในการตัดสินใจ ไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับ
ปริมาณของข้อมูลเสมอไป
“Less is more” ความเรียบง่ายมักเป็นคำตอบที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งใน
การลงทุนรวมไปถึงการดำรงค์ชีวิตในหลายๆด้านของคนเราเสมอ หลายต่อ
หลายคนมักเข้าใจผิดไปว่าพวกเขาต้องการข้อมูลทุกๆอย่างในทุกๆด้านให้มาก
ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถทำการวิเคราะห์และตัดสินใจในสิ่ง
ต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่นี่กลับกลายเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับหลักฐานข้อเท็จ
จริงของประสิทธิภาพในการตัดสินใจในหลายๆรูปแบบ นั่นก็เพราะกลไกการ
ตัดสินใจที่มีเงื่อนไขซับซ้อนและมีรายละเอียดปลีกย่อยที่มากมายจนเกินไปนั้น
มักที่จะทำให้การตัดสินใจขาดความยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปหรือ
อยู่นอกเหนือไปจากฐานข้อมูลเดิมที่เคยได้ค้นคว้าเอาไว้ได้ไม่ยากนัก และนั่นมี
ผลทำให้กระบวนการตัดสินใจมักต้องพังทลายลงอย่างง่ายดายเมื่อต้องเจอกับ
ความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของตลาดในอนาคต
ตัวอย่างนอกตลาดหุ้นที่ดีที่สุดตัวอย่างหนึ่งของเรื่องนี้คือผลงานวิจัยของ
นักรัฐศาสตร์สองคนที่ชื่อว่า Andrew Martin และ Kavin Quinn ในปี ค.ศ.
2001 โดยที่ในขณะนั้นพวกเขาได้กล่าวอ้างว่าพวกเขาสามารถที่จะสร้างโมเดล
แบบ SPM ซึ่งสามารถที่จะทำนายผลคำพิพากษาของศาลฎีกาได้อย่างแม่นยำ
ด้วยข้อมูลที่จำกัดมากๆออกมาได้
19
- 21. SPM ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
แน่นอนว่าคำกล่าวอ้งของพวกเขาย่อมทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในวงการ
ยุติธรรมเป็นอย่างมาก “ไร้สาระ!” คือคำวิจารณ์ที่พวกเขามักจะได้รับจากทนาย
หลายๆคน จนในที่สุดแล้วพวกเขาก็ได้รับคำท้าจากทีมทนายซึ่งประกอบไปด้วย
ทนายความชั้นยอดกว่า 38 คน เพื่อที่จะทำการทดสอบถึงประสิทธิภาพของ
ระบบ SPM ในการทำนายผลคำพิพากษาออกมา โดยทำการเปรียบเทียบ
ผลลัพธ์ของ SPM กับการลงความเห็นและฟันธงด้วยวิจารณญาณของทีม
ทนายความเหล่านี้ด้วยในขณะเดียวกัน
สิ่งที่น่าสนใจจากระบบ SPM ที่ใช้ทำนายผลคำพิพากษาของพวกเขาก็
คือพวกมันมีตัวแปรเพียงแค่ 6 ตัวเท่านั้น ซึ่งก็คือ
1.
พื้นที่เขตปกครองของศาล
2.
พื้นที่เกิดเหตุ
3.
ประเภทของผู้ยื่นฟ้อง ยื่นคำร้อง
4.
ประเภทของจำเลย ฝ่ายจำเลย
5.
แนวทางการตัดสินของศาลขั้นต้น (เสรีนิยม หรืออนุรักษ์นิยม)
6.
มีการโต้แย้งว่าคำพิพากษาไม่ได้ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้หรือไม่
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นน่ะหรือครับ? สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือทีมทนายความชั้นยอดทั้ง
38 คนพ่ายแพ้ให้กับระบบ SPM ของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง โดยที่ทีมทนายความ
เหล่านี้สามารถที่จะทำนายผลของคำพิพากษาได้อย่างถูกต้องราว 59% ของคดี
ทั้งหมดที่อยู่ในช่วงการแข่งขัน ส่วนระบบ SPM นั้นสามารถที่จะให้คำทำนายที่
ถูกต้องแม่นยำถึงกว่า 75% เลยทีเดียว3 สรุปแล้วใจความง่ายๆของเรื่องนี้ก็คือ
การมีข้อมูลที่มากมายเกินไปอาจจะไม่ได้ช่วยให้คำทำนายของคุณมีประสิทธิภาพ
ขึ้นเลยก็เป็นได้!
20
- 22. SPM ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
เมื่อย้อนมองกลับมายังวงการการลงทุนนั้น สถานการณ์และหลักฐานบ่งชี้
ต่างๆก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเรื่องนี้สักเท่าไหร่นัก ระบบการลงทุนที่เรียบง่ายก็คือ
คำตอบของการลงทุนเช่นเดียวกัน แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับความเชื่อของ
คนส่วนใหญ่อย่างสิ้นเชิง หลายคนมักคิดว่าระบบการลงทุนชั้นยอดจะต้องมี
ความสลับซับซ้อนเป็นอย่างมากจนยากที่จะทำความเข้าใจได้ ข่าวดีก็คือความ
เชื่อเหล่านี้มักเป็นผลมาจากการทำการตลาดของบรรดากองทุนหรือนักลงทุนบาง
คนเท่านั้น นั่นก็เพราะกลยุทธ์หรือระบบการลงทุนส่วนใหญ่ที่มีความเสถียรยั่งยืน
ในระยะยาวซึ่งสามารถที่จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่แตก
ต่างกันไปของตลาดในแต่ละช่วงเวลาได้นั้นมักจะเป็นระบบที่มีความเรียบง่าย
เป็นอย่างมาก ระบบที่มีความเสถียรยั่งยืน (Robustness) มักมีตัวแปรและ
เงื่อนไขอยู่เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น เพราะมิเช่นนั้นแล้วระบบจะขาดความยืดหยุ่นต่อ
สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของตลาด หรืออาจตกอยู่ภายใต้หลุมพรางของสิ่งที่
เรียกว่าการ Over-Fitting ของระบบก็เป็นได้
และเพื่อที่จะทำให้คุณเห็นภาพของการ Over-Fitting กฎของระบบการ
ลงทุนกับข้อมูลดิบของตลาดมากจนเกินไปนั้น ผมได้นำเอาผลการทดสอบย้อน
หลังของระบบการลงทุนภายใต้ความซับซ้อนจากเงื่อนไขและจำนวนตัวแปรที่
มากน้อยต่างกันมาลงเอาไว้ในภาพและตารางด้านล่างนี้ สรุปโดยย่อแล้วสิ่งที่
คุณกำลังจะได้เห็นก็คือ ระบบที่เรียบง่ายและไม่มีเงื่อนไขหรือตัวแปรจนมากมาย
เกินไปต่างหากที่จะสามารถเอาชนะตลาดได้ดีกว่าในระยะยาว (ระบบ System
2 ซึ่งมีตัวแปรเพียง 4 ตัว) โดยหากว่าคุณสนใจอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมนั้น คุณ
สามารถที่จะเข้าไปอ่านบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ผมเคยได้เขียนลงเอาไว้ในเว็บ
ไซท์แมงเม่าคลับได้จาก Link ด้านล่างกันได้ตามอัธยาศัยครับ
21
- 23. SPM ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
ภาพที่ 6 : ตัวอย่างของการ Over Fitting กฎหรือเงื่อนไขของระบบกับข้อมูล
ดิบของตลาด สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://
www.mangmaoclub.com/overfitting-effect/
สมองของมนุษย์มีจุดอ่อนและขีดจำกัดในการตัดสิน
ใจ
เหตุผลสำคัญเรื่องสุดท้ายที่ผมอยากจะฝากเอาไว้ก็คือเรื่องของขีดจำกัด
ในการประมวลผลและตัดสินใจของมนุษย์อย่างพวกเรา ซึ่งสามารถจำแนกจุด
อ่อนซึ่งทำให้เกิดความผิดพลาดต่างๆออกเป็นจุดอ่อนได้ใน 3 ระดับใหญ่ๆ
22
- 24. SPM ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
1.
ความผิดพลาดจากกลไกในการประมาณการของสมอง (Heuristic
Judgment Errors or Fuzzy Thinking)
2.
ความผิดพลาดจากขาดความเข้าใจในแนวคิดที่ซับซ้อน (Complexity
Thinking Errors)
3.
ความผิดพลาดจากขีดจำกัดในการประมวลผลของสมอง (Intractable
Thinking Errors)
ระดับของความผิดพลาดในแต่ละระดับนั้นมีความบ่อย, ความเสียหาย
และแนวทางแก้ไขที่แตกต่างกันไปเป็นขั้นๆ โดยต่อจากนี้ผมจะค่อยๆพูดถึงราย
ละเอียดโดยย่อของขีดจำกัดและความผิดพลาดในแต่ละระดับไล่ไปตามหัวข้อกัน
นะครับ
ความผิดพลาดจากกลไกในการประมาณการของ
สมอง (Heuristic Judgment Errors or Fuzzy
Thinking)
ความผิดพลาดจากกลไกในการคาดเดาและประมาณการของสมอง
(Heuristic Judgement Error) คือความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากกระบวนการ
รับรู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆและตัดสินใจผ่านทางวิจารณญาณของเราโดยอาศัย
สามัญสำนึก, สัญชาตญาณ และประสบการณ์ความรู้ของเราเป็นกลไกในการ
ช่วยตัดสินใจ
ในช่วงเวลา 30 กว่าปีที่ผ่านมานั้น งานวิจัยจากสาขาวิชาจิตวิทยาการ
รู้คิด (Cognitive Psychology) ได้ค้นพบว่าสาเหตุที่มักทำให้เกิดความผิด
พลาดหรือความลำเอียงในการตัดสินใจขึ้นอยู่บ่อยครั้งก็เนื่องมาจาก โดย
23
- 25. SPM ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
ธรรมชาติแล้วสมองของเรามีขีดจำกัดในการที่จะรับรู้ ,ซึมซับข้อมูลข่าวสาร รวม
ถึงทำการประมวลผลเพื่อแก้ปัญหาที่มีความสลับซับซ้อนเกินไป นั่นจึงทำให้พวก
เราได้วิวัฒนาการกลไกของสมองในการแก้ไขปัญหาด้วยการประมาณการแบบ
“คิดลัด” (Heuristic Judgement) เพื่อช่วยลดขั้นตอนของการประมวลผลและ
ตัดสินใจออกมา
กระบวนการคิดลัดด้วยการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆอย่าง
ง่ายๆนี้จะทำหน้าที่ในการคิดคำนวณถึงสิ่งต่างๆจนกลายมาเป็นกลไกพื้นฐานใน
การตัดสินใจด้วยสามัญสำนึกรวมถึงการประมาณการถึงความน่าจะเป็นต่างๆ
รอบตัวเราโดยอัตโนมัติ กลไกที่เกิดขึ้นนี้ได้กลายมาเป็นจุดเด่นของความฉลาด
ของเผ่าพันธ์มนุษย์และยังมีประโยชน์เป็นอย่างมากในการดำรงชีวิตประจำวัน
ของพวกเรา อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ามันจะมีประโยชน์อย่างมากในการดำรงชีวิต
โดยทั่วไปในแต่ละวันของพวกเรา แต่กลไกการคิดลัดแบบนี้ก็กลับมีจุดอ่อนเมื่อ
ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่มีความซับซ้อนและความไม่แน่นอนมากจนเกินไป
(Complex and Random) จนในที่สุดแล้วมันก็มักที่จะทำให้เราเกิดความผิด
พลาดและความลำเอียง (Bias) ในการตัดสินใจขึ้นอย่างหลักเลี่ยงไม่ได้นั่นเอง
โดยตัวอย่างของความลำเอียงซึ่งมักทำให้เกิดอคติในการตัดสินใจต่างๆนั้น ก็
มักจะเป็นสิ่งที่พวกเราเคยได้ยินและพบเจอกันอย่างคุ้นเคยในการลงทุนอยู่เสมอ
เช่น
⁃
ความมั่นใจเกินเหตุ (Over Confident Bias) เช่น ความมั่นใจในการ
พยากรณ์ต่างๆ
⁃
ความจมปลักอยู่กับบางอย่าง หรือพูดง่ายๆว่าความ
“อิน” (Commitment Bias) เช่น ความยึดมั่นถือมั่นในคำพยากรณ์
แม้ว่าสถานการณ์จะไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
⁃
ความกลัวที่จะแปลกแยกจากกลุ่ม (Herding Bias) เช่น ความกลัวที่จะ
24
- 26. SPM ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
ตกรถ เมื่อเห็นว่าคนส่วนใหญ่ต่างพากันกว้านซื้อหุ้นในตลาด
⁃
ความเคยชินยึดติด (Anchoring Bias) เช่น การไม่กล้าซื้อหุ้นที่มีราคา
สูงกว่าเดิม ทั้งๆที่พื้นฐานของมันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีอย่างมีนัยยะ
สำคัญ
⁃
ความสัมพันธ์ทางอารมณ์ (Emotional Connection Bias) เช่น ความ
ลำเอียงเนื่องจากความคุ้นเคยกับบริษัทนั้นๆ
⁃
ความประจักษ์ชัดเจนของข้อมูล (Avaliability Bias) เช่น ความลำเอียง
ในการให้น้ำหนักกับข่าวสารจากหุ้นของบริษัทที่มีชื่อเสียงมากกว่าอีก
บริษัทหนึ่ง
⁃
ความลำเอียงต่อสถานการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้น (Recency Event) เช่น การ
ให้น้ำหนักกับผลการดำเนินงานของหุ้นในช่วงสั้นๆที่พึ่งเกิดขึ้นมา
มากกว่าผลการดำเนินงานที่แท้จริงในระยะยาว
⁃
ความลำเอียงต่อสิ่งที่ดูมีเรื่องราว (Stories) เช่น ความลำเอียงในการ
ตัดสินใจเนื่องจากได้รับฟังถึงเรื่องราวที่ดูน่าสนใจกับหุ้นตัวนั้นๆ ทั้งที่อาจ
ไม่มีข้อเท็จจริงใดๆสนับมากนัก
Note 5 : เนื่องจากบทความนี้ต้องการพูดถึงจุดอ่อนของสมองในภา
พกว้างๆผมจึงยังไม่ขอลงรายละเอียดในแต่ละหัวข้อ ซึ่งหากมีโอกาสผมจะ
เขียนอธิบายถึงผลกระทบจากความลำเอียงในการตัดสินใจของสมองเหล่านี้
กับการลงทุนให้อ่านกันในคราวต่อไปนะครับ
ทั้งนี้นั้น สิ่งที่น่าสนใจก็คือนอกจากสมองของเรามีโอกาสที่จะเกิดความ
ลำเอียงขึ้นในหลายๆรูปแบบแล้ว พวกมันก็ยังมักที่จะเกิดความลำเอียงใน
หลายๆรูปแบบขึ้นในขณะเดียวกันอีกด้วย การตัดสินใจด้วยวิจารณญาณผ่าน
สามัญสำนึก, สัญชาตญาณ และประสบการณ์ความรู้ของพวกเราเพียงสิ่งเดียวจึง
เป็นสิ่งที่มีความอันตรายมากในการลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้นซึ่งมีความซับ
25
- 27. SPM ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
ซ้อนและไม่แน่นอนอย่างสูง เนื่องจากความผิดพลาดอย่างหนึ่งมักจะมีผลนำเรา
เข้าไปสู่ความผิดพลาดอีกอย่างหนึ่งไปเรื่อยๆไม่จบไม่สิ้น และต้นทุนของความผิด
พลาดที่เกิดขึ้นในตลาดก็มักมีราคาแพงและยังทำให้เกิดความเจ็บปวดต่อสภาพ
จิตใจเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ข่าวดีเล็กน้อยของความผิดพลาดด้วยกลไกการคิดลัดจาก
การประมาณการของสมองในลักษณะนี้ยังอยู่ในระดับที่พวกเราสามารถที่จะ
ตระหนักหรือตรวจสอบย้อนหลังได้อย่างไม่ยากเย็นนัก นอกจากนี้แล้วเรายัง
อาจสามารถที่จะหลีกเลี่ยงถึงความลำเอียงที่จะเกิดขึ้นเหล่านี้ได้หากว่าจิตใจของ
เรามีการตระหนักรู้เพียงพอในสถานการณ์นั้นๆโดยการพยายามใช้เหตุผลและ
สติให้มากกว่าอารมณ์ของพวกเราให้ได้มากที่สุด
ความผิดพลาดในระดับนี้คือความผิดพลาดที่หนังสือจิตวิทยาการลงทุน
ส่วนใหญ่ได้กล่าวถึงและให้คำแนะนำในการตระหนัก, หลีกเลี่ยง และแก้ไขเอาไว้
อย่างไรก็ตามอุปสรรคของการใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุน
ในตลาดหุ้นนั้นยังไม่จบเพียงเท่านี้ ซึ่งมันก็คือความผิดพลาดในระดับขั้นอื่นๆที่
ผมกำลังจะพูดถึงต่อไป
ความผิดพลาดจากขาดความเข้าใจต่อแนวคิดที่มี
ความสลับซับซ้อน (Complexity Thinking
Errors)
⁃
การพยากรณ์อย่างสุดโต่งจากข้อมูลที่ไม่เพียงพอ (Extreme
Prediction Based on Insufficient Data)
⁃
ความเมินเฉยต่อสิ่งที่เป็นบรรทัดฐานหรือความน่าจะเป็นของสถานการณ์
นั้นๆ (Ignoring The Base Line)
26
- 28. SPM ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
⁃
ความหลงผิดจากกลุ่มตัวอย่างที่น้อยเกินไป (Failure to Understand
The Law of Large Number)
ความผิดพลาดในระดับที่สองของการตัดสินใจคือการที่คนส่วนใหญ่ขาด
ความเข้าใจต่อแนวคิดที่มีความสลับซับซ้อนเช่น หลักการทางสถิติศาสตร์ ยก
ตัวอย่างเช่น จากผลงานวิจัยชิ้นหนึ่งของ Kahneman และ Tversky เกี่ยวกับ
กระบวนการรู้คิดของมนุษย์ในปี ค.ศ. 1974 พวกเขาได้ค้นพบว่าคนส่วนใหญ่มี
ความโน้มเอียงที่จะเกิดความมั่นใจถึงความแม่นยำในการพยากรณ์อย่างสุดโต่ง
จากข้อมูลที่ไม่เพียงพออยู่เสมอ แน่นอนว่าในตลาดหุ้นนั้นความผิดพลาดแบบนี้
มักเกิดขึ้นในการลงทุนของคนส่วนใหญ่อยู่เป็นปกติเช่นกัน พวกเรามักที่จะเห็น
คนที่มีความมั่นใจและทำการพยากรณ์อย่างสุดโต่งด้วยการฟันธงเกี่ยวกับ
อนาคตของราคาหุ้นอยู่เป็นกิจวัตรประจำวัน ทั้งที่ในหลายๆครั้งแล้วข้อมูลที่พวก
เขามีอยู่อาจเป็นเพียงข้อมูลจากรูปแบบของราคาหุ้นบางรูปแบบที่ไม่ค่อยได้เกิด
ขึ้น (รูปแบบราคาที่เกิดขึ้นได้ยาก ไม่จำเป็นต้องให้ความแม่นยำที่มากกว่ารูปแบ
บอื่นๆ) หรือมันอาจเป็นเพียงแค่ข้อมูลวงในที่ได้ยินผ่านๆมาซึ่งอาจไม่ได้มีน้ำ
หนักมากพอที่จะคิดเช่นนั้นเลยด้วยซ้ำ
ความเพิกเฉยหรือหลงลืมต่อสิ่งที่เป็นบรรทัดฐานและความน่าจะเป็นของ
สถานการณ์นั้นๆก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งทำให้เกิดความผิดพลาดในการตัดสินใจ
ของคนส่วนใหญ่ ตัวอย่างที่มักจะเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งในการลงทุนก็คือสิ่งที่เรียก
ว่า “ความหลงผิดของนักพนัน” หรือ Gambler’s Fallacy นั่นเอง ความหลงผิด
ของนักพนัน คือความเชื่อผิดๆของคนส่วนใหญ่ที่ว่า ความเป็นไปได้ของ
เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น จะได้รับอิทธิพลบางอย่างจากเหตุการณ์ในอดีต ทั้งๆ
ที่เหตุการณ์เหล่านั้นเป็นอิสระจากกันในทางสถิติ ยกตัวอย่างเช่นในการโยน
เหรียญหัวก้อยซึ่งมีความน่าจะเป็นที่ 50 : 50 นั้น เมื่อนักพนันเห็นเหรียญออก
หัวหรือก้อยในทางใดทางหนึ่งติดๆกันหลายๆครั้ง พวกเขามักจะเชื่อกันว่าโอกาส
27
- 30. SPM ระบบความคิดพิชิตการลงทุน
ประมาณการแบบจุด (Point Estimation) แทนการประมาณการแบบช่วง
(Range Estimation) พวกเขาไม่เข้าใจถึงความคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้นได้
ในการประมาณการถึงสิ่งต่างๆสักเท่าไหร่นัก ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเห็นอัตราผล
ตอบแทนของหุ้นหรือระบบการลงทุนบางรูปแบบในอดีต (เช่นมีผลตอบแทนทบ
ต้นที่ 10%) พวกเขามักไม่แน่ใจว่าพวกเขาควรจะเผื่อความคลาดเคลื่อนในการ
ประมาณการผลตอบแทนในอนาคตบวกลบไว้ที่เท่าไหร่ด้วยระดับของความ
มั่นใจที่มากแค่ไหน (ไม่เขาใจแนวคิดของการประมาณการ Confidence
Interval) นอกจากนี้แล้ว พวกเขายังมักหลงลืมที่จะนำเอาแปรปรวนของกลุ่ม
ตัวอย่าง (Variance) และจำนวนข้อมูลตัวอย่าง (Number of
Observations) เข้ามาเป็นตัวแปรส่วนหนึ่งในการคำนวณถึงความคลาด
เคลื่อนในการประมาณการอีกด้วย
กรณีสุดคลาสสิคของการขาดความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการทางสถิติก็คือ
เรื่องของการประเมินและวัดผลตอบแทนในระยะสั้นๆระหว่างการลงทุนนั่นเอง
นักลงทุนส่วนใหญ่มักมีพฤติกรรมที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการลงทุนของพวกเขาใน
เวลาอันรวดเร็วจนเกินไปเป็นอย่างมาก พวกเขามักคาดหวังว่าผลการลงทุนระยะ
สั้นนั้นจะต้องเป็นไปในลักษณะเดียวกับสถิติของผลการลงทุนในระยะยาวอยู่
เสมอเนื่องจากพวกเขาไม่เข้าใจกฎของความบ่อยที่ว่า (Law of Large
Numbers) ผลลัพธ์คาดหวังของเหตุการณ์ใดๆจะวิ่งเข้าใกล้ค่าสถิติที่แท้จริงของ
มันขึ้นเรื่อยๆเมื่อจำนวนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีจำนวนมากในระดับหนึ่ง นี่จึง
ทำให้เมื่อผลการลงทุนไม่เป็นไปอย่างที่พวกเขาเคยรับรู้มา (ทั้งที่แทบไม่เคย
สังเกตและตั้งคำถามว่าผลตอบแทนเหล่านั้นจะเกิดขึ้นได้ภายในระยะเวลาน้อย
ที่สุดแค่ไหน!!) พวกเขาจะเกิดความหวั่นไหวเป็นอย่างมากจนเสื่อมศรัทธาและล้ม
เลิกที่จะใช้วิธีการลงทุนนั้นๆไปอย่างรวดเร็ว
ความผิดพลาดในการตัดสินใจในระดับนี้นั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจสัก
29