แถลงการณ์

                         เรื่อง “EM กับความเหมาะสมในการบําบัดนําเน่ าเสี ยในสภาวะนําท่ วมขัง”
                                                               ้                   ้

                                                 (เอกสารเชิงวิชาการ)

                                                         โดย

                              กลุ่มนักวิชาการวิศวกรรมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ สิ่งแวดล้อม

                                                 9 พฤศจิกายน 2554

ข้ อสรุ ปพร้ อมคําอธิบายเพิมเติมในเชิงวิชาการ
                           ่

1. คํานิยามของนําเสี ยจากการท่ วมขังและขอบเขตของการสรุ ป
                ้

                                                                              ่
     นํ้าเสี ยจากการท่วมขัง คือ นํ้าเสี ยที่เกิดขึ้นจากการท่วมขังของนํ้าที่อยูในบริ เวณที่ปิดหรื อมีการไหลของ
นํ้าน้อยมาก จนมีความสกปรกเน่าเสี ยเพิ่มมากขึ้น นํ้าเสี ยท่วมขังเป็ นนํ้าเสี ยที่มีการปนเปื้ อนของสารอินทรี ย ์
และมีค่าออกซิเจนละลายนํ้าตํ่าหรื อไม่มี และมีความผิดปกติของสี ตะกอน และกลิ่น
       ในการสรุ ปผลการเสวนาครั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาเฉพาะประเด็นการใช้ E.M. ในการบําบัดนํ้าเสี ยจาก
การท่วมขังของสถานการณ์วิกฤตนํ้าท่วมของประเทศไทยในขณะนี้ เท่านั้น ไม่รวมถึงนํ้าเสี ยชนิ ดและใน
สภาวะอื่นๆ

2. การบําบัดนําเน่ าเสี ยในสภาวะนําท่ วมขังในปั จจุบัน E.M. สามารถใช้ งานได้ หรื อไม่
              ้                   ้

          2.1. ความหมายของ EM และ E.M.
          จากการสื บค้นจากสื่ อต่างๆ พบว่า EM เป็ นเครื่ องหมายทางการค้าโดย Professor Teruo Higa ได้จด
ลิขสิ ทธิ์ ไว้ ซึ่ งประกอบด้วยจุลินทรี ยหลัก 3 กลุ่ม คือ Lactic acid bacteria, Yeast, และ Photosynthetic
                                        ์
bacteria กลุ่ม Purple bacteria ปั จจุบนมีผลผลิตลักษณะเดียวกันแต่ไม่ได้อางถึงลิขสิ ทธิ์ เดียวกันปรากฎอยู่
                                      ั                                ้
ด้วย
          ส่ วน E.M. ที่มีการอ้างถึงในปั จจุบนนั้น เป็ นคําย่อของ Effective Microorganisms ซึ่งจัดว่าเป็ นคํา
                                             ั
เรี ยกทัวไปของกลุ่มจุลินทรี ยที่มีความสามารถในการทํางานสู งกว่าจุลินทรี ยปกติ จึงทําให้ชื่อ E.M. เป็ นคําที่
        ่                    ์                                           ์
ใช้เรี ยกกันทัวไปในทางวิชาการ
              ่
                                        ่
          2.2. รู ปแบบของ E.M. ที่ใช้อยูในการบําบัดนํ้าเสี ยจากการท่วมขัง
1) ผลิตภัณฑ์ E.M. ชนิดนํ้า คือผลผลิตจากกระบวนการหมักที่ใช้หัวเชื้อจุลินทรี ยตาม
                                                                                              ์
         ธรรมชาติ โดยมีส่วนประกอบหลักคือกรดอินทรี ย ์ (Organic acids) ที่ได้จากการย่อยสลายแบบไร้
         ออกซิเจน แอลกอฮอล์ สารเมแทบอไลต์ต่างๆ ที่เกิดจากจุลินทรี ย ์ และเซลล์ของจุลินทรี ย ์
                   2) ผลิตภัณฑ์ E.M. ชนิดปั้ นเป็ นก้อน หรื ออีเอ็มบอล (E.M. Ball) จะประกอบด้วยจุลินทรี ย ์
         E.M. ชนิดนํ้า สารอินทรี ย ์ เช่น รําข้าว ผสมด้วยแกลบและดิน เพื่อทําให้สามารถปั้ นเป็ นก้อนได้
         ทั้งนี้ อีเอ็มบอลจะมีการหมักที่ไม่สมบูรณ์ต่างจากอีเอ็มชนิดนํ้า โดยอีเอ็มบอลจะยังคงมีสารอินทรี ย ์
         ที่ยงไม่ถกย่อยสลายแบบไร้ออกซิ เจนในปริ มาณมาก
             ั ู
                                          ่
         2.3. องค์ประกอบของ E.M. ที่ใช้อยูในการบําบัดนํ้าเสี ยจากการท่วมขัง
         องค์ประกอบของ E.M. ในแง่ของกายภาพและเคมี มักประกอบด้วยสารอินทรี ย ์ เช่น กากนํ้าตาล
(โมลาส) และรําข้าว ซึ่ งสารอินทรี ยดงกล่าว เมื่อเติมลงไปในนํ้า สามารถส่ งผลให้ค่าความสกปรกของนํ้าที่
                                   ์ั
วัดในรู ปของค่าบีโอดี (BOD - Biochemical Oxygen Demand) ของนํ้าเสี ยท่วมขังเพิมขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่าง
                                                                              ่
ยิงเมื่อใช้ในปริ มาณมาก
  ่
         องค์ประกอบของ E.M. ในด้านจุลินทรี ย ์ ส่ วนใหญ่ประกอบด้วยจุลินทรี ย ์ 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ Lactic
acid bacteria, Yeast, และ Photosynthetic bacteria รวมถึงอาจมีจุลินทรี ยกลุ่มอื่นๆ รวมอยูดวย ทั้งนี้ เมื่อ
                                                                       ์                ่ ้
พิจารณาการวิเคราะห์ในเชิงปริ มาณพบว่า มิได้มีการระบุปริ มาณและสัดส่ วนของจุลินทรี ยชนิดต่างๆ ที่ได้
                                                                                   ์
กล่าวมาแล้วอย่างชัดเจน
         นอกจากนี้ ในด้า นกระบวนการผลิ ต E.M. ที่ ใ ช้กันอยู่ใ นการบํา บัดนํ้า เสี ย ท่ ว มขัง ก็มิ ได้มี ก าร
ควบคุ มคุ ณภาพการผลิ ตที่ ชัดเจน ทํา ให้อาจไม่สามารถควบคุ มปริ มาณ สัดส่ ว น หรื อบ่ งชี้ ประเภทของ
                  ่
จุลินทรี ยท่ีมีอยูได้อย่างชัดเจน
          ์
         2.4. E.M. สามารถบําบัดนํ้าเสี ยจากการท่วมขังได้หรื อไม่?
         ที่ประชุมมีความเห็นตรงกันว่า E.M. ไม่ สามารถบําบัดนํ้าเสียจากการท่ วมขังได้ ด้วยเหตุผลต่างๆ
ดังนี้
         องค์ประกอบของจุลินทรี ยใน E.M. บางกลุ่มอาจจัดได้ว่าเป็ นจุลินทรี ยประเภท Facultative ซึ่ ง
                                ์                                          ์
สามารถใช้ออกซิเจนและไม่ใช้ออกซิเจนในการย่อยสารอินทรี ยเ์ พื่อใช้ในการเจริ ญเติบโตได้ ดังนั้น หากใน
นํ้าเสี ยท่วมขังมีค่าออกซิ เจนละลาย (Dissolved Oxygen, DO) อยู่ จุลินทรี ยกลุ่มนี้กมกจะเลือกใช้ออกซิ เจน
                                                                          ์        ็ ั
ในการย่อยสารอินทรี ยเ์ พื่อเจริ ญเติบโต (Aerobic Respiration) ก่อน จนกระทังค่าออกซิเจนละลายในนํ้าหมด
                                                                            ่
ไป จุลินทรี ยก็จะปรับตัวมาใช้การย่อยสารอินทรี ยแบบไม่ใช้ออกซิ เจนในขั้นตอนการหมัก (Fermentation)
             ์                                 ์
เพื่อการเจริ ญเติบโตแทน
ดังนั้น หากนํ้าเสี ยท่วมขังยังมีปริ มาณออกซิ เจนละลายอยู่ ก็จะถูกจุลินทรี ยใน E.M. ที่เติมลงไปใช้
                                                                                   ์
ในการย่อยสารอินทรี ยจนหมด ซึ่ งการขาดออกซิ เจนละลายดังกล่าวเป็ นสาเหตุให้น้ าเสี ยท่วมขังเน่าเสี ยเพิ่ม
                    ์                                                       ํ
มากยิงขึ้น
     ่
        สําหรับกลไกการทํางานของจุลินทรี ยใน E.M. ในสภาวะการย่อยสารอินทรี ยแบบไม่ใช้ออกซิ เจน
                                         ์                                ์
นั้น ไม่สามารถลดความสกปรกโดยเฉพาะสารอินทรี ยในนํ้าเสี ยจากการท่วมขังได้มากนัก กระบวนการซึ่ ง
                                            ์
คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นจากการหมักของจุลินทรี ยใน E.M. ภายใต้สภาวะไร้ออกซิเจน ดังสรุ ปในแผนภาพ
                                          ์




        จากแผนภาพ เห็นได้ว่า ผลผลิตของการย่อยสารอินทรี ยโดยจุลินทรี ยใน E.M. นั้น ส่ วนใหญ่คือ
                                                        ์            ์
Sulfur, Alcohol (และจะถูกเปลี่ยนเป็ น Organic acid ในที่สุด), Lactic acid และ organic acid อื่นๆ ซึ่ งสาร
ต่างๆ เหล่านี้กยงสามารถวัดเป็ นค่าความสกปรกของนํ้าในรู ป BOD ได้อยู่ เมื่อเปรี ยบเทียบกับกระบวนการ
               ็ั
บําบัดนํ้าเสี ยทางชี วภาพภายใต้สภาวะไร้ออกซิ เจน (Anaerobic wastewater treatment) การทํางานของ
จุลินทรี ยใน E.M. ยังขาดขั้นตอนหลักที่สาคัญนันคือ กระบวนการ Methanogenesis ซึ่ งเป็ นขั้นตอนหลักใน
          ์                            ํ     ่
                                                                                             ่
การกําจัดสารอินทรี ย ์ (ในรู ปของค่า BOD) ออกจากนํ้า โดยการเปลี่ยนรู ปสารอินทรี ยในนํ้าให้อยูในรู ปของ
                                                                                 ์
ก๊าซมีเธน(CH4) ก๊าซคาร์ บอนไดออกไซด์ (CO2) และก๊าซอื่นๆ อีกเล็กน้อย ซึ่ งรวมเรี ยกว่า ก๊าซชี วภาพ
(Biogas) นันเอง ดังนั้นสามารถสรุ ปได้ว่า สารอินทรี ยในนํ้าเสี ยได้ถูกเปลี่ยนรู ปไป แต่มิได้ถูกกําจัดออกจาก
           ่                                        ์
นํ้าและค่าความต้องการออกซิ เจนก็มิได้ลดลงแต่อย่างใด หรื อกล่าวได้ว่า จุลินทรี ยใน E.M. ไม่สามารถ
                                                                               ์
บําบัดนํ้าเสี ยจากการท่วมขังได้
สําหรับกลุ่มจุลินทรี ยสังเคราะห์แสงใน E.M. นั้น ประกอบด้วยจุลินทรี ยสังเคราะห์แสง 2 กลุ่ม คือ
                              ์                                             ์
1) จุลินทรี ยกลุ่ม Purple non-sulfur bacteria เช่น Rhodopseudomonas ซึ่ งมีความสามารถในการย่อยสลาย
             ์
สารอินทรี ยโดยใช้แสงได้ และ 2) จุลินทรี ยกลุ่ม Purple bacteria ที่มีความสามารถในการกําจัดกลิ่นเน่าเหม็น
           ์                             ์
ของนํ้าเสี ยที่เกิดจากก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) หรื อก๊าซไข่เน่าได้ แต่กลไกทางชีวภาพในการกําจัดกลิ่น
ของ E.M. นั้นยังไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม จากที่พบว่ากระบวนการการกําจัดกลิ่นของ
E.M. สามารถเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ วนั้น นักวิชาการหลายท่านจึงลงความเห็นว่า ผลดังกล่าวอาจเนื่องจากกลไก
ทางเคมีหรื อองค์ประกอบบางอย่างใน E.M. ซึ่งช่วยปรับค่าพีเอชของนํ้ามากกว่าจะเป็ นกลไกทางชีวภาพจาก
การทํางานของจุลินทรี ย ์ อย่างไรก็ตาม บทบาทของจุลินทรี ยสังเคราะห์แสงเหล่านี้ ในการบําบัดนํ้าเสี ยยังมี
                                                        ์
ไม่มากนัก รวมถึงยังไม่มีใครสามารถควบคุมหรื อเลี้ยงจุลินทรี ยตวนี้ในการบําบัดนํ้าเสี ยได้
                                                            ์ั
        ทั้งนี้ จุลินทรี ยทุกกลุ่มใน E.M. มิได้เป็ นจุลินทรี ยกลุ่มพิเศษแต่อย่างใด แต่เป็ นจุลินทรี ยที่พบได้
                          ์                                   ์                                      ์
โดยทัวไปในธรรมชาติ
     ่
        2.5. การใช้ E.M. ในแง่ของปริ มาณจุลินทรี ย ์
        กระบวนการบําบัดทางชี วภาพ (Bioremediation) นั้นสามารถแบ่ งได้ออกเป็ น                2 ประเภท คือ
                                      ้             ์       ่
        1) Bio-stimulation คือการกระตุนให้จุลินทรี ยที่มีอยูแล้วในธรรมชาติให้ทางานขึ้นมา เพื่อช่วยใน
                                                                              ํ
        การบําบัดนํ้าเสี ย
        2) Bio-augmentation คือการเติมจุลินทรี ยลงไปในพื้นที่เพื่อใช้ในการบําบัด
                                                ์
        สําหรับกรณี การเติม E.M. จัดเป็ นแนวทางการบําบัดทางชีวภาพ แบบ Bio-augmentation โดยการ
                                                                 ั                   ์       ่
ทํา Bio-augmentation นั้น มีความจําเป็ นเฉพาะในกรณี ที่พ้ืนที่น้ นๆ ขาดแคลนจุลินทรี ยที่มีอยูตามธรรมชาติ
หรื อต้องการนําจุลินทรี ยที่ลกษณะพิเศษหรื อมีความเฉพาะเจาะจงมาใช้ในการบําบัดของเสี ยในพื้นที่ ดังนั้น
                         ์ ั
หากพิจารณาการเติม E.M. เพื่อใช้ในการบําบัดนํ้าเสี ยท่วมขัง พบว่านํ้าเสี ยในธรรมชาติทวไปมีจุลินทรี ย ์
                                                                                    ั่
หลากหลายชนิดในปริ มาณมากมายอยูแล้ว ดังนั้น การเติมจุลินทรี ยโดยใช้ E.M. ซึ่ งเป็ นกลุ่มจุลินทรี ยที่มีอยู่
                              ่                             ์                                    ์
ปกติในธรรมชาติน้ น จึงไม่มีความจําเป็ น เนื่องจากจุลินทรี ยใน E.M. ที่เติมลงไปนั้นจัดว่าน้อยมากเมื่อเทียบ
                 ั                                         ์
กับปริ มาณจุลินทรี ยในนํ้าเสี ยธรรมชาติ
                    ์
        อย่างไรก็ตาม หากใน E.M. มีจุลินทรี ยกลุ่มพิเศษที่ไม่มีอยูในธรรมชาติ การเติมจุลินทรี ยดงกล่าวลง
                                            ์                    ่                           ์ั
ไปด้วยปริ มาณไม่มากพอเพียง ก็อาจทําให้จุลินทรี ยกลุ่มดังกล่าวทํางานได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้นก่อนที่
                                                ์
จะถูกกลื นไปกับจุลินทรี ยที่มีอยู่ในนํ้าเสี ยท่ วมขังเดิมซึ่ งมี อยู่เป็ นจํานวนมากและมีความสามารถในการ
                         ์
ดํารงค์ชีวิตในนํ้าธรรมชาติสูงกว่า จุลินทรี ยใน E.M. ดังนั้นในกรณี น้ าเสี ยท่วมขังนี้ การทํา Bio-stimulation
                                            ์                        ํ
้             ์      ่
ด้วยการเติมออกซิ เจนลงในนํ้า เพื่อกระตุนให้จุลินทรี ยที่มีอยูแล้วให้สามารถทําการบําบัดนํ้าเสี ยได้ น่าจะมี
ความเหมาะสมมากกว่าในทางวิชาการ
                                               ั
         2.6. การใช้ E.M. ในการผลิตออกซิเจนให้กบนํ้าเสี ย
         เนื่องจากในองค์ประกอบทางจุลินทรี ยของ E.M. ประกอบด้วยจุลินทรี ยที่สามารถสังเคราะห์แสงได้
                                           ์                            ์
(Photosynthetic bacteria) เช่น Purple bacteria หลายคนจึงมีแนวคิดที่ว่า จุลินทรี ยใน E.M. สามารถผลิต
                                                                                 ์
                                             ั
ออกซิเจนเพื่อเพิ่มค่าออกซิ เจนละลาย (DO) ให้กบนํ้าเสี ยท่วมขังได้ อย่างไรก็ตาม ในทางวิชาการ จุลินทรี ย ์
ใน E.M. โดยเฉพาะกลุ่มแบคทีเรี ยสังเคราะห์แสง (Photosynthetic bacteria) ไม่สามารถผลิตออกซิ เจนได้
โดยตรง เนื่ องจากกระบวนการสังเคราะห์แสงของแบคทีเรี ยกลุ่มนี้แตกต่างจากการกระบวนการสังเคราะห์
แสงของไซยาโนแบคทีเรี ยและของพืชที่คนทัวไปคุนเคยกันอยู่ ดังแสดงในสมการต่อไปนี้
                                      ่    ้

         กระบวนการสังเคราะห์แสงของ Purple bacteria (Bacterial photosynthesis)
               CO2 + H2S (CH2O) + H2O + 2S

         การสังเคราะห์แสงของไซยาโนแบคทีเรี ยและของพืช (Plant photosynthesis)
                 CO2 + 4 H2O (CH2O) + 3H2O + O2

         เห็นได้ชดเจนว่า ผลผลิตของกระบวนการสังเคราะห์แสงของจุลินทรี ยชนิ ด Purple bacteria ใน
                 ั                                                   ์
E.M. คือ ซัลเฟอร์ (Sulfur, S) มิใช่ออกซิ เจน (Oxygen, O2) เหมือนกรณี การสังเคราะห์แสงของไซยาโน
แบคทีเรี ยและพืช ดังนั้น จุลินทรี ยใน E.M. จึงไม่สามารถเพิ่มค่าออกซิเจนละลายนํ้า (Dissolved Oxygen,
                                   ์
        ั
DO) ให้กบนํ้าเสี ยท่วมขังได้โดยตรง
         อย่างไรก็ตาม มีความเป็ นไปได้ว่าธาตุอาหารบางอย่างของพืชที่มีอยู่ใน E.M. เช่ น ไนโตรเจน
ฟอสฟอรัส หรื ออื่นๆ อาจสามารถช่วยในการเพิมปริ มาณของแพลงก์ตอนพืชในนํ้าได้และอาจส่ งผลต่อการ
                                         ่
สร้างออกซิเจนในนํ้าโดยทางอ้อมผ่านการสังเคราะห์แสงของแพลงก์ตอนพืชในนํ้าได้ อย่างไรก็ตามประเด็น
ดังกล่าวนี้ยงไม่มีการพิสูจน์เป็ นที่แน่ชด นอกจากนี้ การเพิ่มจํานวนของแพลงก์ตอนพืชในนํ้ามากจนเกินไป
            ั                           ั
หรื อที่เรี ยกว่าปรากฎการณ์ Eutrofication นั้น ก็ส่งผลเสี ยต่อปริ มาณออกซิ เจนละลายนํ้าได้เช่นกัน กล่าวคือ
การสังเคราะห์แสงของพืชที่ให้ผลผลิตออกมาเป็ นออกซิ เจนนั้น เกิดขึ้นเฉพาะในเวลากลางวันที่มีแสงแดด
เท่ า นั้น ในช่ ว งเวลากลางคื นที่ ไม่ มีแ สงแดด แพลงก์ต อนพื ช จะใช้ออกซิ เ จนละลายในนํ้า และคายก๊ า ซ
คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ออกมา ส่ งผลให้ค่าออกซิเจนละลายในนํ้าในช่วงกลางคืนตํ่าลงหรื ออาจหมดไป
ได้ และส่ งผลให้น้ าเน่าเสี ยเพิมขึ้นได้อีกด้วย
                   ํ            ่
แม้ว่าในปั จจุบนยังไม่ปรากฏว่ามีวิธีบาบัดนํ้าเสี ยจากการท่วมขังในพื้นที่ขนาดใหญ่ท่ีได้ผลเป็ นที่
                        ั                     ํ
ยอมรับในระดับนานาชาติ แต่ถึงอย่างไร แนวทางการใช้ จลินทรี ย์ E.M. นั้นยังไม่ ใช่ เทคโนโลยีท่ได้ รับการ
                                                  ุ                                        ี
พิสูจน์ ตามหลักวิทยาศาสตร์ ว่าสามารถนําไปใช้ ได้ จริ งในการบําบัดนํ้าเสี ยจากการท่ วมขัง และความไม่ ร้ ู
แน่ นอนในด้ านต่ าง ๆ เกี่ยวกับ E.M. ยังมีอยู่อีกมาก ที่ประชุ มจึงมีความเห็นตรงกันว่ า ไม่ แนะนําให้ ใช้
จุลนทรี ย์ E.M. ในการบําบัดนํ้าเสียจากการท่ วมขัง เนื่องจากเห็นว่ าน่ าจะส่ งผลเสียมากกว่ าผลดี
   ิ


    แนวทางการแก้ ปัญหานําเสี ยท่ วมขัง
                        ้


         การแก้ไขปั ญหานํ้าเสี ยท่วมขังในสถานการณ์ปัจจุบน ที่ประชุมมีความเห็นร่ วมกันว่าสามารถ
                                                        ั
ดําเนินการได้ตามลําดับ ดังนี้

         3.1. ควรหาวิธีระบายนํ้าที่ท่วมขังอยู่ออกไปโดยเร็ วที่สุด วิธีดงกล่าวเป็ นวิธีที่ได้รับการยอมรับ และ
                                                                       ั
ใช้ทวไปในนานาประเทศ และควรเข้าใจและยอมรับความจริ งว่ายังไม่เคยมีวิธีการใดที่จะบําบัดนํ้าเสี ยจาก
    ั่
                                                                         ั ่
กรณี น้ าท่วมขังได้อย่างมีประสิ ทธิภาพ ส่ วนวิธีที่ได้รับการยอมรับและใช้กนทัวไปในบางประเทศมีเพียงการ
        ํ
อพยพคนออกและระบายนํ้าท่วมขังออกโดยเร็ วที่สุดเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากการระบายนํ้าออกยังทําไม่ได้
ในระยะเวลาสั้นๆ ควรดําเนินการดังข้อแนะนําต่อๆไป
         3.2. ควรจัดการเก็บขนขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกลที่เกิดขึ้นในพืนที่ ทั้งที่เกิดจากการใช้ชีวิตประจําวัน
                                                 ู               ้
และจากการนําสิ่ งของช่วยเหลือ (ถุงยังชี พ) เข้าไปในพื้นที่น้ าท่วมขัง เพื่อนําออกมากําจัดอย่างถูกต้องตาม
                                                             ํ
หลักวิชาการ เช่ น การฝั งกลบ เป็ นต้น ทั้งนี้ การนําขยะมูลฝอยและสิ่ งปฏิกูลออกจากพื้นที่ นับเป็ นปั จจัย
สําคัญที่ช่วยลดความสกปรกของนํ้าท่วมขังได้เป็ นอย่างดี
         3.3. ควรหาวิธีการเพื่อเพิ่มปริ มาณออกซิเจนละลายในนํ้า เช่น การทําให้เกิดการหมุนเวียนของนํ้า
ท่ วมขังเข้า และออกจากพื้นที่ น้ ําท่ ว มขัง ปิ ด การใช้เครื่ อ งเติ มอากาศ เป็ นต้น สํา หรั บการจัดให้เกิ ดการ
หมุ นเวี ย นของนํ้า ท่ ว มขัง นั้น อาจทํา ได้โ ดยการรื้ อสิ่ ง กี ด ขวางทางไหลของนํ้า ในบริ เ วณดัง กล่ า ว เช่ น
กระสอบทราย ออก เป็ นต้น เพื่อให้น้ าสามารถไหลหรื อหมุนเวียนเพื่อให้เกิดการถ่ายเทของออกซิ เจนลงสู่
                                   ํ
นํ้าได้เพิ่มมากขึ้น
           สําหรับการใช้เครื่ องเติมอากาศในการบําบัดนํ้าท่วมขัง เนื่องจากนํ้าท่วมขังมีปริ มาตรสู งมาก ดังนั้น
อาจต้องมีการคํานวณและออกแบบการติดตั้งใช้เครื่ องเติมอากาศทั้งในแง่ขนาดและจํานวนเป็ นปริ มาณมาก
เพื่อให้สามารถถ่ายเทออกซิเจนลงไปในนํ้าได้อย่างพอเพียง โดยที่หากใช้การเติมอากาศในพื้นที่น้ าท่วมขังที่
                                                                                          ํ
ปิ ดและบริ เวณที่ไม่ใหญ่เกินไปนัก เช่น ภายในบ้านเรื อน จะเห็นผลได้เร็ วกว่าพื้นที่น้ าท่วมขังขนาดใหญ่
                                                                                     ํ
        การใช้เครื่ องเติมอากาศ สามารถเลือกใช้ได้หลากหลายชนิด ตั้งแต่ขนาดเล็กๆ เช่น การใช้เครื่ องสู บ
นํ้าพ่นนํ้าให้เป็ นฝอยขึ้ นไปในอากาศ เพื่อให้เกิ ดการถ่ายเทออกซิ เจนจากอากาศลงสู่ น้ า จนกระทังถึงใช้
                                                                                     ํ        ่
                                                                             ่ ้
เครื่ องกลเติมอากาศขนาดใหญ่ นอกจากนี้ การใช้เครื่ องเติมอากาศ มีขอควรระวังอยูบาง เช่น สําหรับเครื่ อง
                                                                   ้
เติมอากาศที่ใช้ไฟฟ้ า หากผูใช้ไม่ชานาญการในการติดตั้งใช้งาน อาจก่อให้เกิดอันตรายจากไฟฟ้ าลัดวงจรได้
                           ้      ํ
ในขณะที่การพ่นนํ้าให้เป็ นฝอยขึ้นไปในอากาศ อาจส่ ง ผลให้เกิ ดละอองนํ้าขนาดเล็กที่ ปนเปื้ อนไปด้วย
จุลินทรี ยในนํ้า และอาจถูกสู ดดมเข้าสู่ ร่างกายคนผ่านระบบทางเดินหายใจได้
          ์
        3.4. อาจใช้สารเคมีบางชนิดที่มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรค และกําจัดกลิ่นในนํ้าเสี ยท่วมขัง เช่น
ปูนขาว คลอรี น หรื ออื่นๆ ควรมีการจํากัดบริ เวณการใช้หรื อใช้ระบบปิ ด เช่น กรณี พ้ืนที่น้ าท่วมขังปิ ดขนาด
                                                                                          ํ
                                   ั
เล็ก เป็ นต้น รวมถึงไม่ควรนํามาใช้กบบริ เวณพื้นนํ้าท่วมขังที่มีปริ มาตรสู งหรื อบริ เวณนํ้าท่วมขังที่เป็ นระบบ
เปิ ดที่สามารถเชื่อมต่อกับสิ่ งแวดล้อมภายนอก ทั้งนี้ ความจําเป็ นต้องใช้สารเคมีเป็ นปริ มาณสู งมากที่เป็ น
การสิ้ นเปลืองแล้ว หากนํ้าเสี ยที่ผานการเติมสารเคมีเหล่านี้ปนเปื้ อนสู่ สิ่งแวดล้อมภายนอกจะส่ งผลกระทบ
                                   ่
ต่อสิ่ งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในนํ้าได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ การใช้สารเคมีดงกล่าวอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู ้
                                                                         ั
ใช้ได้หากมี การสัมผัสกับสารเคมี โดยตรง ดังนั้น หากมี ความจําเป็ นต้องใช้ ควรมี การสวมใส่ ถุงมือและ
อุปกรณ์ป้องกัน รวมถึงควรศึกษาถึงปริ มาณที่เหมาะสมต่อการใช้งาน ดังนั้นที่ประชุมจึงไม่แนะนําให้ใช้
สารเคมีในการแก้ไขปัญหานํ้าเสี ยท่วมขัง


        ข้อสรุ ปทั้งหมดนี้ทางกลุ่มนักวิชาการวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมเข้าใจดีถึงความ
ปรารถนาดีของทุกฝ่ ายในการช่วยกันร่ วมแก้ไขปั ญหาสิ่ งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้น หากแต่จาเป็ นต้องนําเสนออีก
                                                                                 ํ
แง่มุมหนึ่งของนักวิชาการวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมต่อการใช้ E.M.ในการบําบัดนํ้าเน่า
เสี ยในสภาวะนํ้าท่วมขังตามหลักวิชาการ เพื่อประกอบการตัดสิ นใจสําหรับการเลือกวิธีการแก้ไขปั ญหาที่
เหมาะสมที่สุดในการฟื้ นฟูปัญหาสิ่ งแวดล้อมอันเนื่องมาจากภาวะนํ้าท่วมในปัจจุบน
                                                                            ั

EM academic summary final

  • 1.
    แถลงการณ์ เรื่อง “EM กับความเหมาะสมในการบําบัดนําเน่ าเสี ยในสภาวะนําท่ วมขัง” ้ ้ (เอกสารเชิงวิชาการ) โดย กลุ่มนักวิชาการวิศวกรรมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ สิ่งแวดล้อม 9 พฤศจิกายน 2554 ข้ อสรุ ปพร้ อมคําอธิบายเพิมเติมในเชิงวิชาการ ่ 1. คํานิยามของนําเสี ยจากการท่ วมขังและขอบเขตของการสรุ ป ้ ่ นํ้าเสี ยจากการท่วมขัง คือ นํ้าเสี ยที่เกิดขึ้นจากการท่วมขังของนํ้าที่อยูในบริ เวณที่ปิดหรื อมีการไหลของ นํ้าน้อยมาก จนมีความสกปรกเน่าเสี ยเพิ่มมากขึ้น นํ้าเสี ยท่วมขังเป็ นนํ้าเสี ยที่มีการปนเปื้ อนของสารอินทรี ย ์ และมีค่าออกซิเจนละลายนํ้าตํ่าหรื อไม่มี และมีความผิดปกติของสี ตะกอน และกลิ่น ในการสรุ ปผลการเสวนาครั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาเฉพาะประเด็นการใช้ E.M. ในการบําบัดนํ้าเสี ยจาก การท่วมขังของสถานการณ์วิกฤตนํ้าท่วมของประเทศไทยในขณะนี้ เท่านั้น ไม่รวมถึงนํ้าเสี ยชนิ ดและใน สภาวะอื่นๆ 2. การบําบัดนําเน่ าเสี ยในสภาวะนําท่ วมขังในปั จจุบัน E.M. สามารถใช้ งานได้ หรื อไม่ ้ ้ 2.1. ความหมายของ EM และ E.M. จากการสื บค้นจากสื่ อต่างๆ พบว่า EM เป็ นเครื่ องหมายทางการค้าโดย Professor Teruo Higa ได้จด ลิขสิ ทธิ์ ไว้ ซึ่ งประกอบด้วยจุลินทรี ยหลัก 3 กลุ่ม คือ Lactic acid bacteria, Yeast, และ Photosynthetic ์ bacteria กลุ่ม Purple bacteria ปั จจุบนมีผลผลิตลักษณะเดียวกันแต่ไม่ได้อางถึงลิขสิ ทธิ์ เดียวกันปรากฎอยู่ ั ้ ด้วย ส่ วน E.M. ที่มีการอ้างถึงในปั จจุบนนั้น เป็ นคําย่อของ Effective Microorganisms ซึ่งจัดว่าเป็ นคํา ั เรี ยกทัวไปของกลุ่มจุลินทรี ยที่มีความสามารถในการทํางานสู งกว่าจุลินทรี ยปกติ จึงทําให้ชื่อ E.M. เป็ นคําที่ ่ ์ ์ ใช้เรี ยกกันทัวไปในทางวิชาการ ่ ่ 2.2. รู ปแบบของ E.M. ที่ใช้อยูในการบําบัดนํ้าเสี ยจากการท่วมขัง
  • 2.
    1) ผลิตภัณฑ์ E.M.ชนิดนํ้า คือผลผลิตจากกระบวนการหมักที่ใช้หัวเชื้อจุลินทรี ยตาม ์ ธรรมชาติ โดยมีส่วนประกอบหลักคือกรดอินทรี ย ์ (Organic acids) ที่ได้จากการย่อยสลายแบบไร้ ออกซิเจน แอลกอฮอล์ สารเมแทบอไลต์ต่างๆ ที่เกิดจากจุลินทรี ย ์ และเซลล์ของจุลินทรี ย ์ 2) ผลิตภัณฑ์ E.M. ชนิดปั้ นเป็ นก้อน หรื ออีเอ็มบอล (E.M. Ball) จะประกอบด้วยจุลินทรี ย ์ E.M. ชนิดนํ้า สารอินทรี ย ์ เช่น รําข้าว ผสมด้วยแกลบและดิน เพื่อทําให้สามารถปั้ นเป็ นก้อนได้ ทั้งนี้ อีเอ็มบอลจะมีการหมักที่ไม่สมบูรณ์ต่างจากอีเอ็มชนิดนํ้า โดยอีเอ็มบอลจะยังคงมีสารอินทรี ย ์ ที่ยงไม่ถกย่อยสลายแบบไร้ออกซิ เจนในปริ มาณมาก ั ู ่ 2.3. องค์ประกอบของ E.M. ที่ใช้อยูในการบําบัดนํ้าเสี ยจากการท่วมขัง องค์ประกอบของ E.M. ในแง่ของกายภาพและเคมี มักประกอบด้วยสารอินทรี ย ์ เช่น กากนํ้าตาล (โมลาส) และรําข้าว ซึ่ งสารอินทรี ยดงกล่าว เมื่อเติมลงไปในนํ้า สามารถส่ งผลให้ค่าความสกปรกของนํ้าที่ ์ั วัดในรู ปของค่าบีโอดี (BOD - Biochemical Oxygen Demand) ของนํ้าเสี ยท่วมขังเพิมขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่าง ่ ยิงเมื่อใช้ในปริ มาณมาก ่ องค์ประกอบของ E.M. ในด้านจุลินทรี ย ์ ส่ วนใหญ่ประกอบด้วยจุลินทรี ย ์ 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ Lactic acid bacteria, Yeast, และ Photosynthetic bacteria รวมถึงอาจมีจุลินทรี ยกลุ่มอื่นๆ รวมอยูดวย ทั้งนี้ เมื่อ ์ ่ ้ พิจารณาการวิเคราะห์ในเชิงปริ มาณพบว่า มิได้มีการระบุปริ มาณและสัดส่ วนของจุลินทรี ยชนิดต่างๆ ที่ได้ ์ กล่าวมาแล้วอย่างชัดเจน นอกจากนี้ ในด้า นกระบวนการผลิ ต E.M. ที่ ใ ช้กันอยู่ใ นการบํา บัดนํ้า เสี ย ท่ ว มขัง ก็มิ ได้มี ก าร ควบคุ มคุ ณภาพการผลิ ตที่ ชัดเจน ทํา ให้อาจไม่สามารถควบคุ มปริ มาณ สัดส่ ว น หรื อบ่ งชี้ ประเภทของ ่ จุลินทรี ยท่ีมีอยูได้อย่างชัดเจน ์ 2.4. E.M. สามารถบําบัดนํ้าเสี ยจากการท่วมขังได้หรื อไม่? ที่ประชุมมีความเห็นตรงกันว่า E.M. ไม่ สามารถบําบัดนํ้าเสียจากการท่ วมขังได้ ด้วยเหตุผลต่างๆ ดังนี้ องค์ประกอบของจุลินทรี ยใน E.M. บางกลุ่มอาจจัดได้ว่าเป็ นจุลินทรี ยประเภท Facultative ซึ่ ง ์ ์ สามารถใช้ออกซิเจนและไม่ใช้ออกซิเจนในการย่อยสารอินทรี ยเ์ พื่อใช้ในการเจริ ญเติบโตได้ ดังนั้น หากใน นํ้าเสี ยท่วมขังมีค่าออกซิ เจนละลาย (Dissolved Oxygen, DO) อยู่ จุลินทรี ยกลุ่มนี้กมกจะเลือกใช้ออกซิ เจน ์ ็ ั ในการย่อยสารอินทรี ยเ์ พื่อเจริ ญเติบโต (Aerobic Respiration) ก่อน จนกระทังค่าออกซิเจนละลายในนํ้าหมด ่ ไป จุลินทรี ยก็จะปรับตัวมาใช้การย่อยสารอินทรี ยแบบไม่ใช้ออกซิ เจนในขั้นตอนการหมัก (Fermentation) ์ ์ เพื่อการเจริ ญเติบโตแทน
  • 3.
    ดังนั้น หากนํ้าเสี ยท่วมขังยังมีปริมาณออกซิ เจนละลายอยู่ ก็จะถูกจุลินทรี ยใน E.M. ที่เติมลงไปใช้ ์ ในการย่อยสารอินทรี ยจนหมด ซึ่ งการขาดออกซิ เจนละลายดังกล่าวเป็ นสาเหตุให้น้ าเสี ยท่วมขังเน่าเสี ยเพิ่ม ์ ํ มากยิงขึ้น ่ สําหรับกลไกการทํางานของจุลินทรี ยใน E.M. ในสภาวะการย่อยสารอินทรี ยแบบไม่ใช้ออกซิ เจน ์ ์ นั้น ไม่สามารถลดความสกปรกโดยเฉพาะสารอินทรี ยในนํ้าเสี ยจากการท่วมขังได้มากนัก กระบวนการซึ่ ง ์ คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นจากการหมักของจุลินทรี ยใน E.M. ภายใต้สภาวะไร้ออกซิเจน ดังสรุ ปในแผนภาพ ์ จากแผนภาพ เห็นได้ว่า ผลผลิตของการย่อยสารอินทรี ยโดยจุลินทรี ยใน E.M. นั้น ส่ วนใหญ่คือ ์ ์ Sulfur, Alcohol (และจะถูกเปลี่ยนเป็ น Organic acid ในที่สุด), Lactic acid และ organic acid อื่นๆ ซึ่ งสาร ต่างๆ เหล่านี้กยงสามารถวัดเป็ นค่าความสกปรกของนํ้าในรู ป BOD ได้อยู่ เมื่อเปรี ยบเทียบกับกระบวนการ ็ั บําบัดนํ้าเสี ยทางชี วภาพภายใต้สภาวะไร้ออกซิ เจน (Anaerobic wastewater treatment) การทํางานของ จุลินทรี ยใน E.M. ยังขาดขั้นตอนหลักที่สาคัญนันคือ กระบวนการ Methanogenesis ซึ่ งเป็ นขั้นตอนหลักใน ์ ํ ่ ่ การกําจัดสารอินทรี ย ์ (ในรู ปของค่า BOD) ออกจากนํ้า โดยการเปลี่ยนรู ปสารอินทรี ยในนํ้าให้อยูในรู ปของ ์ ก๊าซมีเธน(CH4) ก๊าซคาร์ บอนไดออกไซด์ (CO2) และก๊าซอื่นๆ อีกเล็กน้อย ซึ่ งรวมเรี ยกว่า ก๊าซชี วภาพ (Biogas) นันเอง ดังนั้นสามารถสรุ ปได้ว่า สารอินทรี ยในนํ้าเสี ยได้ถูกเปลี่ยนรู ปไป แต่มิได้ถูกกําจัดออกจาก ่ ์ นํ้าและค่าความต้องการออกซิ เจนก็มิได้ลดลงแต่อย่างใด หรื อกล่าวได้ว่า จุลินทรี ยใน E.M. ไม่สามารถ ์ บําบัดนํ้าเสี ยจากการท่วมขังได้
  • 4.
    สําหรับกลุ่มจุลินทรี ยสังเคราะห์แสงใน E.M.นั้น ประกอบด้วยจุลินทรี ยสังเคราะห์แสง 2 กลุ่ม คือ ์ ์ 1) จุลินทรี ยกลุ่ม Purple non-sulfur bacteria เช่น Rhodopseudomonas ซึ่ งมีความสามารถในการย่อยสลาย ์ สารอินทรี ยโดยใช้แสงได้ และ 2) จุลินทรี ยกลุ่ม Purple bacteria ที่มีความสามารถในการกําจัดกลิ่นเน่าเหม็น ์ ์ ของนํ้าเสี ยที่เกิดจากก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) หรื อก๊าซไข่เน่าได้ แต่กลไกทางชีวภาพในการกําจัดกลิ่น ของ E.M. นั้นยังไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม จากที่พบว่ากระบวนการการกําจัดกลิ่นของ E.M. สามารถเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ วนั้น นักวิชาการหลายท่านจึงลงความเห็นว่า ผลดังกล่าวอาจเนื่องจากกลไก ทางเคมีหรื อองค์ประกอบบางอย่างใน E.M. ซึ่งช่วยปรับค่าพีเอชของนํ้ามากกว่าจะเป็ นกลไกทางชีวภาพจาก การทํางานของจุลินทรี ย ์ อย่างไรก็ตาม บทบาทของจุลินทรี ยสังเคราะห์แสงเหล่านี้ ในการบําบัดนํ้าเสี ยยังมี ์ ไม่มากนัก รวมถึงยังไม่มีใครสามารถควบคุมหรื อเลี้ยงจุลินทรี ยตวนี้ในการบําบัดนํ้าเสี ยได้ ์ั ทั้งนี้ จุลินทรี ยทุกกลุ่มใน E.M. มิได้เป็ นจุลินทรี ยกลุ่มพิเศษแต่อย่างใด แต่เป็ นจุลินทรี ยที่พบได้ ์ ์ ์ โดยทัวไปในธรรมชาติ ่ 2.5. การใช้ E.M. ในแง่ของปริ มาณจุลินทรี ย ์ กระบวนการบําบัดทางชี วภาพ (Bioremediation) นั้นสามารถแบ่ งได้ออกเป็ น 2 ประเภท คือ ้ ์ ่ 1) Bio-stimulation คือการกระตุนให้จุลินทรี ยที่มีอยูแล้วในธรรมชาติให้ทางานขึ้นมา เพื่อช่วยใน ํ การบําบัดนํ้าเสี ย 2) Bio-augmentation คือการเติมจุลินทรี ยลงไปในพื้นที่เพื่อใช้ในการบําบัด ์ สําหรับกรณี การเติม E.M. จัดเป็ นแนวทางการบําบัดทางชีวภาพ แบบ Bio-augmentation โดยการ ั ์ ่ ทํา Bio-augmentation นั้น มีความจําเป็ นเฉพาะในกรณี ที่พ้ืนที่น้ นๆ ขาดแคลนจุลินทรี ยที่มีอยูตามธรรมชาติ หรื อต้องการนําจุลินทรี ยที่ลกษณะพิเศษหรื อมีความเฉพาะเจาะจงมาใช้ในการบําบัดของเสี ยในพื้นที่ ดังนั้น ์ ั หากพิจารณาการเติม E.M. เพื่อใช้ในการบําบัดนํ้าเสี ยท่วมขัง พบว่านํ้าเสี ยในธรรมชาติทวไปมีจุลินทรี ย ์ ั่ หลากหลายชนิดในปริ มาณมากมายอยูแล้ว ดังนั้น การเติมจุลินทรี ยโดยใช้ E.M. ซึ่ งเป็ นกลุ่มจุลินทรี ยที่มีอยู่ ่ ์ ์ ปกติในธรรมชาติน้ น จึงไม่มีความจําเป็ น เนื่องจากจุลินทรี ยใน E.M. ที่เติมลงไปนั้นจัดว่าน้อยมากเมื่อเทียบ ั ์ กับปริ มาณจุลินทรี ยในนํ้าเสี ยธรรมชาติ ์ อย่างไรก็ตาม หากใน E.M. มีจุลินทรี ยกลุ่มพิเศษที่ไม่มีอยูในธรรมชาติ การเติมจุลินทรี ยดงกล่าวลง ์ ่ ์ั ไปด้วยปริ มาณไม่มากพอเพียง ก็อาจทําให้จุลินทรี ยกลุ่มดังกล่าวทํางานได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้นก่อนที่ ์ จะถูกกลื นไปกับจุลินทรี ยที่มีอยู่ในนํ้าเสี ยท่ วมขังเดิมซึ่ งมี อยู่เป็ นจํานวนมากและมีความสามารถในการ ์ ดํารงค์ชีวิตในนํ้าธรรมชาติสูงกว่า จุลินทรี ยใน E.M. ดังนั้นในกรณี น้ าเสี ยท่วมขังนี้ การทํา Bio-stimulation ์ ํ
  • 5.
    ์ ่ ด้วยการเติมออกซิ เจนลงในนํ้า เพื่อกระตุนให้จุลินทรี ยที่มีอยูแล้วให้สามารถทําการบําบัดนํ้าเสี ยได้ น่าจะมี ความเหมาะสมมากกว่าในทางวิชาการ ั 2.6. การใช้ E.M. ในการผลิตออกซิเจนให้กบนํ้าเสี ย เนื่องจากในองค์ประกอบทางจุลินทรี ยของ E.M. ประกอบด้วยจุลินทรี ยที่สามารถสังเคราะห์แสงได้ ์ ์ (Photosynthetic bacteria) เช่น Purple bacteria หลายคนจึงมีแนวคิดที่ว่า จุลินทรี ยใน E.M. สามารถผลิต ์ ั ออกซิเจนเพื่อเพิ่มค่าออกซิ เจนละลาย (DO) ให้กบนํ้าเสี ยท่วมขังได้ อย่างไรก็ตาม ในทางวิชาการ จุลินทรี ย ์ ใน E.M. โดยเฉพาะกลุ่มแบคทีเรี ยสังเคราะห์แสง (Photosynthetic bacteria) ไม่สามารถผลิตออกซิ เจนได้ โดยตรง เนื่ องจากกระบวนการสังเคราะห์แสงของแบคทีเรี ยกลุ่มนี้แตกต่างจากการกระบวนการสังเคราะห์ แสงของไซยาโนแบคทีเรี ยและของพืชที่คนทัวไปคุนเคยกันอยู่ ดังแสดงในสมการต่อไปนี้ ่ ้ กระบวนการสังเคราะห์แสงของ Purple bacteria (Bacterial photosynthesis) CO2 + H2S (CH2O) + H2O + 2S การสังเคราะห์แสงของไซยาโนแบคทีเรี ยและของพืช (Plant photosynthesis) CO2 + 4 H2O (CH2O) + 3H2O + O2 เห็นได้ชดเจนว่า ผลผลิตของกระบวนการสังเคราะห์แสงของจุลินทรี ยชนิ ด Purple bacteria ใน ั ์ E.M. คือ ซัลเฟอร์ (Sulfur, S) มิใช่ออกซิ เจน (Oxygen, O2) เหมือนกรณี การสังเคราะห์แสงของไซยาโน แบคทีเรี ยและพืช ดังนั้น จุลินทรี ยใน E.M. จึงไม่สามารถเพิ่มค่าออกซิเจนละลายนํ้า (Dissolved Oxygen, ์ ั DO) ให้กบนํ้าเสี ยท่วมขังได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม มีความเป็ นไปได้ว่าธาตุอาหารบางอย่างของพืชที่มีอยู่ใน E.M. เช่ น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส หรื ออื่นๆ อาจสามารถช่วยในการเพิมปริ มาณของแพลงก์ตอนพืชในนํ้าได้และอาจส่ งผลต่อการ ่ สร้างออกซิเจนในนํ้าโดยทางอ้อมผ่านการสังเคราะห์แสงของแพลงก์ตอนพืชในนํ้าได้ อย่างไรก็ตามประเด็น ดังกล่าวนี้ยงไม่มีการพิสูจน์เป็ นที่แน่ชด นอกจากนี้ การเพิ่มจํานวนของแพลงก์ตอนพืชในนํ้ามากจนเกินไป ั ั หรื อที่เรี ยกว่าปรากฎการณ์ Eutrofication นั้น ก็ส่งผลเสี ยต่อปริ มาณออกซิ เจนละลายนํ้าได้เช่นกัน กล่าวคือ การสังเคราะห์แสงของพืชที่ให้ผลผลิตออกมาเป็ นออกซิ เจนนั้น เกิดขึ้นเฉพาะในเวลากลางวันที่มีแสงแดด เท่ า นั้น ในช่ ว งเวลากลางคื นที่ ไม่ มีแ สงแดด แพลงก์ต อนพื ช จะใช้ออกซิ เ จนละลายในนํ้า และคายก๊ า ซ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ออกมา ส่ งผลให้ค่าออกซิเจนละลายในนํ้าในช่วงกลางคืนตํ่าลงหรื ออาจหมดไป ได้ และส่ งผลให้น้ าเน่าเสี ยเพิมขึ้นได้อีกด้วย ํ ่
  • 6.
    แม้ว่าในปั จจุบนยังไม่ปรากฏว่ามีวิธีบาบัดนํ้าเสี ยจากการท่วมขังในพื้นที่ขนาดใหญ่ท่ีได้ผลเป็นที่ ั ํ ยอมรับในระดับนานาชาติ แต่ถึงอย่างไร แนวทางการใช้ จลินทรี ย์ E.M. นั้นยังไม่ ใช่ เทคโนโลยีท่ได้ รับการ ุ ี พิสูจน์ ตามหลักวิทยาศาสตร์ ว่าสามารถนําไปใช้ ได้ จริ งในการบําบัดนํ้าเสี ยจากการท่ วมขัง และความไม่ ร้ ู แน่ นอนในด้ านต่ าง ๆ เกี่ยวกับ E.M. ยังมีอยู่อีกมาก ที่ประชุ มจึงมีความเห็นตรงกันว่ า ไม่ แนะนําให้ ใช้ จุลนทรี ย์ E.M. ในการบําบัดนํ้าเสียจากการท่ วมขัง เนื่องจากเห็นว่ าน่ าจะส่ งผลเสียมากกว่ าผลดี ิ แนวทางการแก้ ปัญหานําเสี ยท่ วมขัง ้ การแก้ไขปั ญหานํ้าเสี ยท่วมขังในสถานการณ์ปัจจุบน ที่ประชุมมีความเห็นร่ วมกันว่าสามารถ ั ดําเนินการได้ตามลําดับ ดังนี้ 3.1. ควรหาวิธีระบายนํ้าที่ท่วมขังอยู่ออกไปโดยเร็ วที่สุด วิธีดงกล่าวเป็ นวิธีที่ได้รับการยอมรับ และ ั ใช้ทวไปในนานาประเทศ และควรเข้าใจและยอมรับความจริ งว่ายังไม่เคยมีวิธีการใดที่จะบําบัดนํ้าเสี ยจาก ั่ ั ่ กรณี น้ าท่วมขังได้อย่างมีประสิ ทธิภาพ ส่ วนวิธีที่ได้รับการยอมรับและใช้กนทัวไปในบางประเทศมีเพียงการ ํ อพยพคนออกและระบายนํ้าท่วมขังออกโดยเร็ วที่สุดเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากการระบายนํ้าออกยังทําไม่ได้ ในระยะเวลาสั้นๆ ควรดําเนินการดังข้อแนะนําต่อๆไป 3.2. ควรจัดการเก็บขนขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกลที่เกิดขึ้นในพืนที่ ทั้งที่เกิดจากการใช้ชีวิตประจําวัน ู ้ และจากการนําสิ่ งของช่วยเหลือ (ถุงยังชี พ) เข้าไปในพื้นที่น้ าท่วมขัง เพื่อนําออกมากําจัดอย่างถูกต้องตาม ํ หลักวิชาการ เช่ น การฝั งกลบ เป็ นต้น ทั้งนี้ การนําขยะมูลฝอยและสิ่ งปฏิกูลออกจากพื้นที่ นับเป็ นปั จจัย สําคัญที่ช่วยลดความสกปรกของนํ้าท่วมขังได้เป็ นอย่างดี 3.3. ควรหาวิธีการเพื่อเพิ่มปริ มาณออกซิเจนละลายในนํ้า เช่น การทําให้เกิดการหมุนเวียนของนํ้า ท่ วมขังเข้า และออกจากพื้นที่ น้ ําท่ ว มขัง ปิ ด การใช้เครื่ อ งเติ มอากาศ เป็ นต้น สํา หรั บการจัดให้เกิ ดการ หมุ นเวี ย นของนํ้า ท่ ว มขัง นั้น อาจทํา ได้โ ดยการรื้ อสิ่ ง กี ด ขวางทางไหลของนํ้า ในบริ เ วณดัง กล่ า ว เช่ น กระสอบทราย ออก เป็ นต้น เพื่อให้น้ าสามารถไหลหรื อหมุนเวียนเพื่อให้เกิดการถ่ายเทของออกซิ เจนลงสู่ ํ นํ้าได้เพิ่มมากขึ้น สําหรับการใช้เครื่ องเติมอากาศในการบําบัดนํ้าท่วมขัง เนื่องจากนํ้าท่วมขังมีปริ มาตรสู งมาก ดังนั้น อาจต้องมีการคํานวณและออกแบบการติดตั้งใช้เครื่ องเติมอากาศทั้งในแง่ขนาดและจํานวนเป็ นปริ มาณมาก
  • 7.
    เพื่อให้สามารถถ่ายเทออกซิเจนลงไปในนํ้าได้อย่างพอเพียง โดยที่หากใช้การเติมอากาศในพื้นที่น้ าท่วมขังที่ ํ ปิ ดและบริ เวณที่ไม่ใหญ่เกินไปนัก เช่น ภายในบ้านเรื อน จะเห็นผลได้เร็ วกว่าพื้นที่น้ าท่วมขังขนาดใหญ่ ํ การใช้เครื่ องเติมอากาศ สามารถเลือกใช้ได้หลากหลายชนิด ตั้งแต่ขนาดเล็กๆ เช่น การใช้เครื่ องสู บ นํ้าพ่นนํ้าให้เป็ นฝอยขึ้ นไปในอากาศ เพื่อให้เกิ ดการถ่ายเทออกซิ เจนจากอากาศลงสู่ น้ า จนกระทังถึงใช้ ํ ่ ่ ้ เครื่ องกลเติมอากาศขนาดใหญ่ นอกจากนี้ การใช้เครื่ องเติมอากาศ มีขอควรระวังอยูบาง เช่น สําหรับเครื่ อง ้ เติมอากาศที่ใช้ไฟฟ้ า หากผูใช้ไม่ชานาญการในการติดตั้งใช้งาน อาจก่อให้เกิดอันตรายจากไฟฟ้ าลัดวงจรได้ ้ ํ ในขณะที่การพ่นนํ้าให้เป็ นฝอยขึ้นไปในอากาศ อาจส่ ง ผลให้เกิ ดละอองนํ้าขนาดเล็กที่ ปนเปื้ อนไปด้วย จุลินทรี ยในนํ้า และอาจถูกสู ดดมเข้าสู่ ร่างกายคนผ่านระบบทางเดินหายใจได้ ์ 3.4. อาจใช้สารเคมีบางชนิดที่มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรค และกําจัดกลิ่นในนํ้าเสี ยท่วมขัง เช่น ปูนขาว คลอรี น หรื ออื่นๆ ควรมีการจํากัดบริ เวณการใช้หรื อใช้ระบบปิ ด เช่น กรณี พ้ืนที่น้ าท่วมขังปิ ดขนาด ํ ั เล็ก เป็ นต้น รวมถึงไม่ควรนํามาใช้กบบริ เวณพื้นนํ้าท่วมขังที่มีปริ มาตรสู งหรื อบริ เวณนํ้าท่วมขังที่เป็ นระบบ เปิ ดที่สามารถเชื่อมต่อกับสิ่ งแวดล้อมภายนอก ทั้งนี้ ความจําเป็ นต้องใช้สารเคมีเป็ นปริ มาณสู งมากที่เป็ น การสิ้ นเปลืองแล้ว หากนํ้าเสี ยที่ผานการเติมสารเคมีเหล่านี้ปนเปื้ อนสู่ สิ่งแวดล้อมภายนอกจะส่ งผลกระทบ ่ ต่อสิ่ งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในนํ้าได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ การใช้สารเคมีดงกล่าวอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู ้ ั ใช้ได้หากมี การสัมผัสกับสารเคมี โดยตรง ดังนั้น หากมี ความจําเป็ นต้องใช้ ควรมี การสวมใส่ ถุงมือและ อุปกรณ์ป้องกัน รวมถึงควรศึกษาถึงปริ มาณที่เหมาะสมต่อการใช้งาน ดังนั้นที่ประชุมจึงไม่แนะนําให้ใช้ สารเคมีในการแก้ไขปัญหานํ้าเสี ยท่วมขัง ข้อสรุ ปทั้งหมดนี้ทางกลุ่มนักวิชาการวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมเข้าใจดีถึงความ ปรารถนาดีของทุกฝ่ ายในการช่วยกันร่ วมแก้ไขปั ญหาสิ่ งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้น หากแต่จาเป็ นต้องนําเสนออีก ํ แง่มุมหนึ่งของนักวิชาการวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมต่อการใช้ E.M.ในการบําบัดนํ้าเน่า เสี ยในสภาวะนํ้าท่วมขังตามหลักวิชาการ เพื่อประกอบการตัดสิ นใจสําหรับการเลือกวิธีการแก้ไขปั ญหาที่ เหมาะสมที่สุดในการฟื้ นฟูปัญหาสิ่ งแวดล้อมอันเนื่องมาจากภาวะนํ้าท่วมในปัจจุบน ั