SlideShare a Scribd company logo
1 of 28
Download to read offline
บทที่ 10
การประเมินหลักสูตร
มโนทัศน์(Concept)
ในการทํางานหรือการประกอบกิจการใดก็ตามจะมีขั้นตอนในการดําเนินงานขั้นตอนหนึ่งซึ่งจะขาด
เสียมิได้คือการประเมินผล (Evaluation) เพื่อให้ทราบว่าการทํางานหรือประกอบกิจกรรมนั้นๆ ได้ผลตามความ
มุ่งหมายที่กําหนดไว้หรือไม่เพียงใดมีปัญหาหรืออุปสรรคอะไรบ้างเพื่อที่จะดําเนินการแก้ไขปรับปรุงพัฒนา
ต่อไปในทางการศึกษาก็เช่นกันการที่จะทราบว่าการจัดการศึกษาบรรลุจุดมุ่งหมายที่กําหนดไว้เพียงใดนั้นส่วน
หนึ่งที่จะประเมินผลได้คือการประเมินหลักสูตร การประเมินผลหลักสูตรเป็นเครื่องมือชี้ให้เห็นว่าการกําหนด
หลักสูตรไปใช้จะได้ผลมากน้อยเพียงใดเพราะฉะนั้นการประเมินหลักสูตรจึงเป็นขั้นตอนที่สําคัญอีกขั้นตอน
หนึ่งของกระบวนการพัฒนาหลักสูตรและผลที่ได้จากการประเมินหลักสูตรจะเป็นข้อมูลในการตัดสินเพื่อแก้ไข
ปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงหลักสูตร
ผลการเรียนรู้(Learning Outcome)
1. มีความรู้ ความเข้าใจ กระบวนการพัฒนาหลักสูตร เรื่อง การประเมินหลักสูตร
2. สามารถให้คําแนะนําในการประสานตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการประเมินหลักสูตร
สาระเนื้อหา(Content)
การประเมินหลักสูตร
การประเมินหลักสูตรเป็นขั้นตอนในการศึกษาคุณค่าของว่าดีหรือไม่อย่างไรบกพร่องในส่วนไหนเพื่อ
นําผลการประเมินไปปรับปรุงหลักสูตรในโอกาสต่อไปการประเมินหลักสูตรนั้นมีขอบเขตและระยะการ
ประเมินแตกต่างกันออกไปแล้วแต่จุดประสงค์ของการประเมินเช่นการประเมินเอกสารหลักสูตรในระยะก่อน
นําหลักสูตรไปใช้การประเมินการใช้หลักสูตรในขณะที่ดําเนินการใช้หลักสูตรหรือประเมินสัมฤทธิผลของ
หลักสูตรและประเมินระบบหลักสูตรหลังจากการใช้หลักสูตรแล้วการประเมินผลหลักสูตรนั้นต้องกําหนดลง
ไปให้แน่ชัดว่าต้องการประเมินอะไรข้อมูลที่นํามาประเมินต้องเชื่อถือได้การวิเคราะห์ผลการประเมินต้องทํา
อย่างรอบคอบ
การประเมินหลักสูตรต้องทําเป็นกระบวนการตามลําดับขั้นตอนตั้งแต่กําหนดวัตถุประสงค์ของการ
ประเมินวางแผนและออกแบบการประเมินรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูลรายงานและสรุปผลการประเมิน
เพื่อที่จะนําผลที่ได้จากการประเมินไปปรับปรุงพัฒนาหลักสูตรในโอกาสต่อไปจากขั้นตอนการประเมิน
นักศึกษาได้พัฒนารูปแบบการประเมินไว้หลายรูปแบบเป็นต้นว่ารูปแบบการประเมินหลักสูตรที่สร้างเสร็จ
ใหม่ๆ ซึ่งเป็นการประเมินผลก่อนการนําหลักสูตรไปใช้เช่นรูปแบบการประเมินหลักสูตรด้วยเทคนิคการ
วิเคราะห์แบบปุยแซงค์หรือรูปแบบการประเมินหลักสูตรในระหว่างหรือหลังการใช้หลักสูตรเช่น รูปแบบการ
ประเมินหลักสูตรของไทเลอร์, สเตค, สตัฟเฟิลบีมหรือดอริสโกว์ แต่ละรูปแบบแม้จะมีลักษณะแตกต่างกัน
ออกไปเราก็สามารถนําแนวคิดในการประเมินหลักสูตรมาประยุกต์เป็นรูปแบบการประเมินหลักสูตรที่
เหมาะสมกับสิ่งที่เราต้องการจะประเมินนั้นๆ ได้
1. ความหมายของการประเมินหลักสูตร
การประเมินหลักสูตรเป็นกระบวนการรวบรวมข้อมูลสารสนเทศตลอดจนกิจกรรมต่างๆเกี่ยวกับ
หลักสูตรเพื่อนํามาตัดสินค่าหรือคุณภาพของหลักสูตรนั้นนักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของการ
ประเมินหลักสูตรไว้ต่างๆ กันดังนี้คือ
กู๊ด (Good, 1945 : 209) ได้ให้ความหมายไว้ว่าการประเมินหลักสูตรคือการประเมินผลของกิจกรรม
การเรียนภายในขอบข่ายของการสอนที่เน้นเฉพาะจุดประสงค์ของการตัดสินใจในความถูกต้องของจุดมุ่งหมาย
ความสัมพันธ์และความต่อเนื่องของเนื้อหาและผลสัมฤทธิ์ของวัตถุประสงค์เฉพาะซึ่งนําไปสู่การตัดสินใจใน
การวางแผนการจัดโครงการต่อเนื่องและการหมุนเวียนของกิจกรรมโครงการต่างๆ ที่จะจัดให้มีขึ้น
ลี ครอนบาช (Lee J. Cronbach, 1970: 231) ให้ความหมายว่าการประเมินหลักสูตรคือการรวบรวม
ข้อมูลและการใช้ข้อมูลเพื่อตัดสินใจในเรื่องโปรแกรมหรือหลักสูตรการศึกษา
สตัฟเฟิลบีมและคณะ (Stufflebeam Daniel L. et., 1971: 128) ให้ความหมายของการประเมินหลักสูตร
ว่าการประเมินหลักสูตรคือกระบวนการหาข้อมูลเก็บข้อมูลเพื่อนําไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจหา
ทางเลือกที่ดีกว่าเดิม
วิชัย วงษ์ใหญ่ (2521 : 192) ให้ความหมายของประเมินหลักสูตรไว้ว่าการประเมินหลักสูตรเป็นการ
พิจารณาเกี่ยวกับคุณค่าของหลักสูตรโดยใช้ผลจากการวัดในแง่มุมต่างๆ ของสิ่งที่ประเมินเพื่อนํามาพิจารณา
ร่วมกันและสรุปว่าจะให้คุณค่าของหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมานั้นว่าอย่างไรมีคุณภาพดีหรือไม่เพียงใดหรือได้ผล
ตรงตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดหรือไม่มีส่วนใดที่จะต้องปรับปรุงแก้ไข
สุจริต เพียรชอบ (2548 : 64) กล่าวถึงการประเมินหลักสูตรไว้ว่าเป็นกระบวนการที่สําคัญเพราะเป็น
การหาคําตอบว่าหลักสูตรสัมฤทธิ์ผลตามที่ได้ตั้งจุดมุ่งหมายไว้หรือไม่มากน้อยเพียงใดอะไรเป็นสาเหตุผู้
ประเมินหลักสูตรจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ดีทั้งทางด้านหลักสูตรและด้านการประเมินผลซึ่งจะต้องเน้นการ
ประเมินทั้งโปรแกรมการศึกษามิใช่แต่เพียงผลการเรียนปีสุดท้ายเท่านั้นแต่ควรประเมินผลการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมของผู้เรียนด้วย
จากความหมายของการประเมินหลักสูตรที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่าการประเมินหลักสูตรคือ
กระบวนการในการพิจารณาตัดสินคุณค่าของหลักสูตรว่าหลักสูตรนั้นๆ มีประสิทธิภาพแค่ไหนเมื่อนําไปใช้
แล้วบรรลุจุดมุ่งหมายที่กําหนดไว้หรือไม่มีอะไรที่ต้องแก้ไขเพื่อนําผลที่ได้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการ
ตัดสินใจหาทางเลือกที่ดีกว่าต่อไป
2. จุดมุ่งหมายของการประเมินหลักสูตร
กระบวนการพัฒนาหลักสูตรเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องและมีขอบเขตที่กว้างขวางการประเมิน
หลักสูตรจะต้องครอบคลุมขั้นตอนของการพัฒนาหลักสูตรเพราะฉะนั้นการประเมินหลักสูตรจึงมีขอบเขตของ
การประเมินที่กว้างขวางด้วยการประเมินหลักสูตรแต่ละจุดแต่ละขั้นตอนมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกันไปใน
รายละเอียดแต่โดยทั่วไปแล้วจุดมุ่งหมายใหญ่ของการประเมินหลักสูตรจะมีความใกล้เคียงกันจะขอยกตัวอย่าง
จุดมุ่งหมายของการประเมินหลักสูตรที่นักศึกษาได้กล่าวไว้ดังนี้
ทาบา (Taba, 1962:310) ได้กล่าวไว้ว่าการประเมินหลักสูตรกระทําขึ้นเพื่อศึกษากระบวนการต่างๆ ที่
กําหนดไว้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงใดบ้างที่สอดคล้องหรือขัดแย้งกับวัตถุประสงค์ของการศึกษาการประเมิน
ดังกล่าวจะครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดของหลักสูตรและกระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งได้แก่จุดประสงค์
ขอบเขตของเนื้อหาสาระคุณภาพของผู้ใช้บริหารและผู้ใช้หลักสูตรสมรรถภาพของผู้เรียนความสัมพันธ์ของวิชา
ต่างๆ การใช้สื่อและวัสดุการสอน ฯลฯ
วิชัย วงษ์ใหญ่ (2537 : 218-219) กล่าวว่าการประเมินหลักสูตรโดยทั่วๆ ไปจะมีจุดมุ่งหมายดังนี้เพื่อ
หาคุณค่าของหลักสูตรโดยตรวจสอบดูว่าหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมานั้นสามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์หรือไม่เพื่อ
วัดผลดูว่าการวางเค้าโครงและรูปแบบระบบของหลักสูตรรวมทั้งวัสดุประกอบหลักสูตรและการบริหารและ
บริการหลักสูตรเป็นไปในทางที่ถูกต้องแล้วหรือไม่การประเมินหลักสูตรจากผู้เรียนเองหรือการประเมินผลผลิต
เพื่อตรวจสอบดูว่าลักษณะที่พึงประสงค์เป็นไปตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรหรือไม่เพียงใด
ใจทิพย์ เชื้อรัตนพงษ์ (2539 : 192 – 193) กล่าวว่าโดยทั่วไปการประเมินหลักสูตรใดๆ ก็ตามจะมี
จุดมุ่งหมายสําคัญที่คล้ายคลึงกันดังนี้คือเพื่อหาทางปรับปรุงแก้ไขสิ่งบกพร่องที่พบในองค์ประกอบต่างๆ ของ
หลักสูตรเพื่อหาทางปรับปรุงแก้ไขระบบการบริหารหลักสูตรการนิเทศกํากับดูแลการจัดกระบวนการเรียนการ
สอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเพื่อช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหารว่าควรใช้หลักสูตรต่อไปอีกหรือควรยกเลิก
การใช้หลักสูตรเพียงบางส่วนหรือยกเลิกทั้งหมดเพื่อต้องการทราบคุณภาพของผู้เรียนซึ่งเป็นผลผลิตของ
หลักสูตรว่ามีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามความมุ่งหวังของหลักสูตรหลักจากผ่านกระบวนการทาง
การศึกษามาแล้วหรือไม่อย่างไรจากจุดมุ่งหมายของการประเมินหลักสูตรข้างต้นพอสรุปได้ว่าการประเมินผล
หลักสูตรมีจุดมุ่งหมายดังนี้เพื่อหาคุณค่าของหลักสูตรนั้นโดยดูว่าหลักสูตรที่จัดทําขึ้นนั้นสามารถสนอง
วัตถุประสงค์ที่ต้องการหรือไม่หลักสูตรนั้นต้องการหรือไม่สนองความต้องการของผู้เรียนและสังคมอย่างไรเพื่อ
อธิบายและพิจารณาว่าลักษณะของส่วนประกอบต่างๆ ของหลักสูตรในแง่ต่างๆ เช่นหลักการจุดมุ่งหมายเนื้อหา
สาระการเรียนรู้กิจกรรมการเรียนการสอนสื่อการเรียนการสอนและการวัดผลว่าสอดคล้องต้องกันหรือไม่หรือ
สนองความต้องการหรือไม่เพื่อตัดสินว่าหลักสูตรมีคุณภาพดีหรือไม่เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมกับการนําไปใช้
มีข้อบกพร่องที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขอะไรบ้างการประเมินผลในลักษณะนี้มักจะดําเนินไปในช่วงที่การพัฒนา
หลักสูตรยังคงดําเนินการอยู่เพื่อที่จะพิจารณาว่าองค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตรเช่นจุดหมายโครงสร้างเนื้อหา
การวัดผลฯลฯมีความสอดคล้องและเหมาะสมหรือไม่สามารถนํามาปฏิบัติในช่วงการนําหลักสูตรไปทดลองใช้
หรือในขณะที่การใช้หลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอนกําลังดําเนินอยู่ได้มากน้อยเพียงใดได้ผลเพียงใด
และมีปัญหาอุปสรรคอะไรจะได้เป็นประโยชน์แก่นักพัฒนาหลักสูตรและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการปรับปรุง
เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตรให้มีคุณภาพดีขึ้นได้ทันท่วงทีเพื่อตัดสินว่าการบริหารงานด้าน
วิชาการและบริหารงานด้านหลักสูตรเป็นไปในทางที่ถูกต้องหรือไม่เพื่อหาทางแก้ไขระบบการบริหารหลักสูตร
การนําหลักสูตรไปใช้ให้มีประสิทธิภาพเพื่อติดตามผลผลิตจากหลักสูตรคือผู้เรียนมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
หลังจากการผ่านกระบวนการทางการศึกษามาแล้วตามหลักสูตรว่าเป็นไปตามมุ่งหวังหรือไม่เพื่อหาทาง
ปรับปรุงแก้ไขสิ่งบกพร่องที่พบในองค์ประกอบต่างๆ ในหลักสูตรเพื่อช่วยในการตัดสินว่าควรใช้หลักสูตร
ต่อไปหรือควรปรับปรุงพัฒนาในสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือยกเลิกใช้หลักสูตรนั้นหมดการประเมินผลในลักษณะนี้จะ
ดําเนินการหลังจากที่ใช้หลักสูตรไปแล้วระยะหนึ่งแล้วจึงประเมินเพื่อสรุปผลตัดสินว่าหลักสูตรมีคุณภาพดี
หรือไม่บรรลุตามเป้ าหมายที่หลักสูตรกําหนดไว้มากน้อยเพียงใดสนองความต้องการของสังคมเพียงใดและ
เหมาะสมกับการนําไปใช้ต่อไปหรือไม่จากจุดมุ่งหมายของการประเมินผลหลักสูตรต่างๆข้อมูลต่างๆ ที่ได้จาก
การประเมินจะเป็นตัวชี้ให้เห็นถึงคุณภาพการศึกษาของสังคมซึ่งจะมีผลกระทบต่อคุณภาพของประชากรในการ
พัฒนาสังคมในอนาคตต่อไปดังนั้นการประเมินผลหลักสูตรซึ่งมีความสําคัญและจําเป็นอย่างยิ่งไม่น้อยไปกว่า
กระบวนการในการจัดการศึกษาในส่วนอื่นๆ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ควรจะต้องหาวิธีการที่ดีที่สุดในการที่
ประเมินผลหลักสูตรเพื่อที่จะให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจนและจะต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนตามขั้นตอนของวิธีการ
ต่างๆ ที่นํามาใช้
3. ระยะของการประเมินหลักสูตร
การประเมินหลักสูตรควรมีการดําเนินเป็นระยะๆ ทั้งนี้เนื่องจากข้อบกพร่องหรือข้อผิดพลาดของ
หลักสูตรอาจมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยและในระยะต่างกันเช่นอาจมีสาเหตุมาจากตอนจัดทําหรือ ยกร่าง
หลักสูตรซึ่งทําให้ตัวหลักสูตรไม่มีคุณภาพที่ดีหรือไม่สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของผู้เรียนและ
สังคมที่เปลี่ยนแปลงไปหรืออาจมีสาเหตุมาจากตอนนําหลักสูตรไปใช้เป็นต้นการประเมินหลักสูตรที่ดีจึงต้อง
ตรวจสอบเป็นระยะเพื่อลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นโดยทั่วไปจะแบ่งเป็น 3 ระยะคือ
ระยะที่ 1 การประเมินหลักสูตรก่อนนําหลักสูตรไปใช้ (Project Analysis)
ในช่วงระหว่างที่มีการสร้างหรือพัฒนาหลักสูตรอาจมีการดําเนินการตรวจสอบทุกขั้นตอนของการ
จัดทํานับแต่การกําหนดจุดมุ่งหมายไปจนถึงการกําหนดการวัดและประเมินผลการเรียนซึ่งสามารถทําได้ 2
ลักษณะคือ
1. ประเมินหลักสูตรเมื่อสร้างหลักสูตรฉบับร่างเสร็จแล้วก่อนจะนําหลักสูตรไปใช้จริงควรมีการ
ประเมินตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรฉบับร่างและองค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตรการประเมินหลักสูตรใน
ระยะนี้ต้องอาศัยความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านพัฒนาหลักสูตรทางด้านวิชาชีพครูทางด้านการวัดผลหรือ
จะให้ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์หรือพิจารณาก็ได้
2. ประเมินผลในขั้นตอนทดลองใช้เพื่อปรับปรุงแก้ไขส่วนที่ขาดตกบกพร่องหรือเป็นปัญหาให้มี
ความสมบูรณ์เพื่อประสิทธิภาพในการนําไปใช้ต่อไปเช่นหลักสูตรประถมศึกษา พ.ศ. 2521 มีการทดลองใช้
ตั้งแต่ พ.ศ. 2519 และ 2520 เพื่อหาข้อบกพร่องอุปสรรคจะได้แก้ไขให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพต่อไป
ระยะที่ 2 การประเมินหลักสูตรระหว่างการดําเนินการใช้หลักสูตร (Formative Evaluation)
ในขณะที่มีการดําเนินการใช้หลักสูตรที่จัดทําขึ้นควรมีการประเมินเพื่อตรวจสอบว่าหลักสูตรสามารถ
นําไปใช้ได้ดีเพียงใดหรือบกพร่องในจุดไหนจะได้แก้ไขปรับปรุงให้เหมาะสมเช่นประเมินกระบวนการใช้
หลักสูตรในด้านการบริหารการจัดการหลักสูตรการนิเทศกํากับดูแลและการจัดกระบวนการเรียนการสอน
ระยะที่ 3 การประเมินหลักสูตรหลังการใช้หลักสูตร (Summative Evaluation)
หลังจากที่มีการใช้หลักสูตรมาแล้วระยะหนึ่งคือครบกระบวนการเรียบร้อยแล้วควรจะประเมิน
หลักสูตรทั้งระบบซึ่งได้แก่การประเมินองค์ประกอบด้านต่างๆ ของหลักสูตรทั้งหมดคือเอกสารหลักสูตรวัสดุ
หลักสูตรบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการใช้หลักสูตรการบริหารหลักสูตรการนิเทศกํากับติดตามการจัดกระบวนการ
เรียนการสอน ฯลฯ เพื่อสรุปผลตัดสินว่าหลักสูตรที่จัดทําขึ้นนั้นควรจะดําเนินการใช้ต่อไปหรือควรปรับปรุง
แก้ไขให้ดีขึ้นหรือควรจะยกเลิกเช่นหลักสูตรประถมศึกษาพุทธศักราช 2521 มีช่วงระยะการใช้งาน 6 ปีเมื่อครบ
6 ปีแล้วจะมีการประเมินผลหลักสูตรรวบยอดทั้งหมดโดยนําข้อมูลตั้งแต่ระยะที่ 1 จนถึงระยะที่ 2 มารวบรวม
วิเคราะห์และประเมินคุณค่าทั้งนี้อาจจะต้องอาศัยข้อมูลที่สําคัญอีกบางข้อมูลเช่นผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของ
ผู้เรียนซึ่งได้แก่การนําไปใช้ในการดํารงชีวิตการประกอบอาชีพเข้ามาประกอบการวิเคราะห์และประเมินค่าด้วย
4. ขอบเขตในการประเมินหลักสูตร
การประเมินผลหลักสูตรเป็นงานที่มีความซับซ้อนมีความกว้างขวางและมีความละเอียดอ่อนมากการ
ประเมินผลหลักสูตรต้องคํานึงถึงปัจจัยหลายอย่างที่จะต้องนําเข้ามาเกี่ยวข้องในลักษณะที่มีความสัมพันธ์ต่อกัน
การประเมินผลหลักสูตรมิได้หมายความว่าจะประเมินเฉพาะตัวหลักสูตรที่เป็นเอกสารจัดทําเป็นรูปเล่มเท่านั้น
แต่ต้องประเมินสถานการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรทั้งหมดเช่นนักเรียนครูกระบวนการระบบต่างๆ
โครงการต่างๆ ฯลฯ ข้อมูลต่างๆ ที่ได้จากการประเมินผลสภาพการณ์ดังกล่าวจะเป็นตัวชี้ได้ว่าหลักสูตรที่ใช้อยู่
เป็นอย่างไร
จากแนวคิดดังกล่าวนักการศึกษาได้พยายามจัดรวบรวมสภาพการณ์ขั้นตอนต่างๆ จัดเป็นหมวดหมู่
หรือกําหนดขอบข่ายให้ชัดเจนขึ้นเพื่อสะดวกในการที่จะดําเนินการประเมินผลนักการศึกษาได้เสนอขอบข่าย
ของการประเมินผลไว้ดังนี้
โบแชมป์ (Beauchamp. 1975: 177) ได้กําหนดขอบข่ายการประเมินหลักสูตรไว้ว่าควรประเมิน 4
ด้านคือ
1 .ประเมินผลการใช้หลักสูตร (Evaluation of Teacher use of the Curriculum)
2. ประเมินผลรูปแบบของหลักสูตร (Evaluation of the Design)
3. ประเมินผลการเรียนของนักเรียน (Evaluation of Pupil Outcomes)
4. ประเมินผลระดับหลักสูตร (Evaluation of Curriculum System)
เซเลอร์และอเล็กซานเดอร์ (Saylor and Alexander, 1981: 265) ได้กล่าวถึงขอบเขตของการประเมิน
หลักสูตรไว้ดังนี้
1. การประเมินจุดมุ่งหมายของโรงเรียนจุดมุ่งหมายของหลักสูตรจุดมุ่งหมายเฉพาะวิชาและ
จุดมุ่งหมายในการสอนเพื่อจะดูว่าจุดมุ่งหมายเหล่านั้นเหมาะสมกับตัวผู้เรียนสภาพแวดล้อมหรือไม่ มีความ
เที่ยงตรงและครอบคลุมเพียงใด
2. การประเมินผลโครงการการศึกษาของโรงเรียนทั้งหมดเช่นการเตรียมพร้อมของโรงเรียนการ
ดําเนินงานของกลุ่มโรงเรียนงบประมาณการเงินการแนะแนวห้องสมุดดูว่าการดําเนินงานโครงการต่างๆ ได้
ดําเนินการไปอย่างไรและมีประสิทธิภาพเพียงใด
3. การประเมินผลการเลือกเนื้อหาและการจัดประสบการณ์เรียนและกิจกรรมต่างๆ ว่าเหมาะสม
เพียงใด
4. การประเมินผลการสอบเพื่อดูว่าการสอนของครูดําเนินไปโดยยึดตัวหลักสูตรหรือไม่การสอนได้
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียนไปตามที่ต้องการหรือไม่เพราะผลการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียนคือ
ผลสัมฤทธิ์ในการสอนของครู
5. การประเมินผลโครงการประเมินผลเพื่อป้ องกันการผิดพลาดซึ่งจะทําให้การประเมินผลสัมฤทธิ์
ของหลักสูตรผิดพลาดไปด้วย
สุมิตร คุณานุกร (2520: 198 – 202) ได้แสดงความคิดเห็นว่าการประเมินผลเพื่อตัดสินผลสัมฤทธิ์ของ
หลักสูตรนั้นควรมีขอบเขตอยู่ 4 ประการคือ
1. การวิเคราะห์ตัวหลักสูตร
2. การวิเคราะห์กระบวนการนําหลักสูตรไปใช้
3. การวิเคราะห์สัมฤทธิ์ผลการเรียนของเด็ก
4. การวิเคราะห์โครงการประเมินผล
ใจทิพย์ เชื้อรัตนพงษ์ (2539 : 195 – 197) กล่าวว่าในการประเมินหลักสูตรนั้นสิ่งที่ต้องประเมิน
สามารถแบ่งได้ดังนี้
1. การประเมินเอกสารหลักสูตรเป็นการตรวจสอบคุณภาพขององค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตร
2. การประเมินการใช้หลักสูตรเป็นการตรวจสอบว่าหลักสูตรสามารถนําไปใช้กับสถานการณ์จริง
เพียงใด
3. การประเมินสัมฤทธิ์ผลของหลักสูตรเป็นการตรวจสอบสัมฤทธิ์ผลของผู้เรียน
4. การประเมินระบบหลักสูตร
สันต์ ธรรมบํารุง (2527: 141-142) ได้กําหนดขอบเขตการประเมินผลหลักสูตรไว้ดังนี้
1. ประเมินหลักสูตรความมุ่งหมายและวัตถุประสงค์
2. ประเมินโครงการทั้งหมดของโรงเรียน
3. ประเมินโครงการเฉพาะส่วน
4. ประเมินการเรียนการสอน
5. ประเมินโครงการ การประเมินผล
6. ประเมินโครงการความสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนถึงการสอนด้วย
7. ประเมินโครงการของผู้เรียนจบออกไปว่าหางานทําได้หรือไม่
จากขอบเขตการประเมินผลหลักสูตรที่ยกมาเป็นตัวอย่างจะเห็นได้ว่า การประเมินหลักสูตรนั้น
สามารถทําการประเมินได้ในขอบเขตที่แตกต่างกันอาจจะเป็นการประเมินในขอบเขตที่แคบ เช่น การประเมิน
จุดมุ่งหมายของหลักสูตร หรือการประเมินในขอบเขตที่กว้าง เช่น การประเมินหลักสูตรทั้งระบบ ซึ่งขึ้นอยู่กับ
จุดมุ่งหมายของการประเมินหรือสิ่งที่เราต้องการตรวจสอบและระยะของการประเมินดังกล่าวมาแล้ว
5. หลักเกณฑ์ในการประเมินหลักสูตร
เนื่องจากการประเมินหลักสูตรเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนมาก ผู้ทําหน้าที่ประเมินผล จําเป็นต้อง
ยึดหลักการที่สําคัญในการประเมินผลเพื่อที่จะทําให้การประเมินผลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลจากการ
ประเมินหลักสูตรที่มีคุณค่าเพียงพอที่จะนําไปเป็นข้อมูลในการพัฒนาหลักสูตรได้จริง เป็นข้อมูลหรือหลักฐาน
ที่เชื่อถือได้สูง มีความเที่ยงตรงเราจะพบว่าในการประเมินหลักสูตรผลจากการประเมินผลหลายต่อหลายเรื่อง
มิได้ถูกนําไปใช้ก็ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทั้งๆ ที่การประเมินผลหลักสูตรแต่ละครั้งเป็นงานใหญ่ต้องลงทุนลงแรง
สูง เพราะฉะนั้นในการประเมินหลักสูตรเพื่อให้ได้ผลการประเมินที่มีคุณค่า เราจึงมีหลักเกณฑ์ที่จะช่วยในการ
ประเมินดังนี้
1. มีจุดประสงค์ในการประเมินที่แน่นอน การประเมินผลหลักสูตรจะต้องกําหนดลงไปให้แน่นอน
ชัดเจนว่าประเมินอะไร
2. มีการวัดที่เชื่อถือได้ โดยมีเครื่องมือและเกณฑ์การวัดซึ่งเป็นที่ยอมรับ
3. ข้อมูลเป็นจริงจําเป็นอย่างยิ่งสําหรับการประเมินผล ดังนั้น ข้อมูลจะต้องได้มาอย่างถูกต้องเชื่อถือ
ได้และมากพอที่จะใช้เป็นตัวประเมินค่าหลักสูตรได้
4. มีขอบเขตที่แน่นอนชัดเจนว่าเราต้องการประเมินในเรื่องใดแค่ไหน
5. ประเด็นของเรื่องที่จะประเมินอยู่ในช่วงเวลาของความสนใจ
6. การรวบรวมข้อมูลมาเพื่อกําหนดกฎเกณฑ์ และกําหนดเครื่องมือในการประเมินผลจะต้องพิจารณา
อย่างรอบคอบ
7. การวิเคราะห์ผลการปะเมินต้องทําอย่างระมัดระวังรอบคอบ และให้มีความเที่ยงตรงใน การ
พิจารณา
8. การประเมินผลหลักสูตรควรใช้วิธีการหลายๆ วิธี
9. มีเอกภาพในการตัดสินผลการประเมิน
10. ผลต่างๆ ที่ได้จากการประเมินควรนําไปใช้ในการพัฒนาหลักสูตรทั้งในด้านการปรับปรุง
เปลี่ยนแปลงในโอกาสต่อไป เพื่อให้ได้หลักสูตรที่ดี และมีคุณค่าสูงสุดตามที่ต้องการ
6. ขั้นตอนในการประเมินหลักสูตร
การประเมินหลักสูตรเป็นกระบวนการในการพิจารณาคุณค่าหรือนิยม (Worth or Value) ของ
หลักสูตร ขั้นตอนหรือวิธีการประเมินจึงมีความสําคัญมาก ซึ่งนักศึกษาหลายท่านได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ
ขั้นตอนในการประเมินหลักสูตรดังนี้
ทาบา (Taba, 1962: 324) ให้แนวทางในการประเมินผลหลักสูตรเป็นกระบวนการมีขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
1. วิเคราะห์และตีความตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตรให้มองเห็นกระจ่างชัดในเชิงพฤติกรรมคือ
ปฏิบัติได้จริง (Formulation and Clarification for Objective)
2. คัดเลือกและสร้างเครื่องมือที่เหมาะสมสําหรับค้นหาหลักสูตร (Selection and Construction of the
Appropriate Instruments for Getting Evidences)
3. ใช้เครื่องมือที่สร้างขึ้นประเมินผลหลักสูตรตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ (Application of Evaluative Criteria)
4. รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับภูมิหลังจากนักเรียนและลักษณะของการสอนเพื่อนํามาประกอบในการแปร
ผลของการประเมิน (Information on the Background of Students and the Nature of Instruction in the Light
Which to Interpret the Evidences)
ใจทิพย์ เชื้อรัตนพงษ์ (2539: 198-202) กล่าวว่า ในการประเมินหลักสูตรนั้นผู้ประเมินผลควรดําเนิน
ตามขั้นตอนอย่างเป็นระบบดังนี้ คือ
1. ขั้นกําหนดวัตถุประสงค์ของการประเมินหลักสูตร ผู้ประเมินหลักสูตรต้องกําหนดวัตถุประสงค์
และเป้ าหมายของการประเมินให้ชัดเจนก่อนว่า จะประเมินส่วนใดหรืออย่างใดและในแต่ละเรื่องจะศึกษา
บางส่วนในเรื่องนั้นๆ ก็ได้
2. ขั้นวางแผนออกแบบการประเมิน คือ
2.1 การกําหนดกลุ่มตัวอย่าง
2.2 การกําหนดแหล่งข้อมูล
2.3 การพัฒนาเครื่องมือและวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
2.4 การกําหนดเกณฑ์ในการประเมิน
2.5 การกําหนดเวลา
3. ขั้นรวบรวมข้อมูล
4. ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล
5. ขั้นรายงานผลการประเมิน
จากขั้นตอนในการประเมินหลักสูตรที่กล่าวมาทั้งหมด สามารถสรุปขั้นตอนการประเมินหลักสูตรได้
ดังนี้
1. ขั้นกําหนดวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายในการประเมิน การกําหนดจุดมุ่งหมายในการประเมินเป็น
ขั้นตอนแรกของกระบวนการในการดําเนินการประเมินหลักสูตร ผู้ประเมินต้องกําหนดวัตถุประสงค์และ
เป้ าหมายของการประเมินให้ชัดเจนว่าจะประเมินอะไร ในส่วนใดด้วยวัตถุประสงค์อย่างไร เช่น ต้องการ
ประเมินเอกสารหลักสูตรเพื่อดูว่าเอกสารหลักสูตรถูกต้องสมบูรณ์สามารถนําไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพแค่
ไหน หรือจะประเมินการนําหลักสูตรไปใช้ในเรื่องอะไรแค่ไหน หรือการนําหลักสูตรไปใช้ทั้งหมด หรือจะ
ประเมินหลักสูตรทั้งระบบการกําหนดวัตถุประสงค์ในการประเมินที่ชัดเจนทําให้เราสามารถกําหนดวิธีการ
เครื่องมือ และขั้นตอนในการประเมินได้อย่างถูกต้อง และทําให้การประเมินหลักสูตรดําเนินไป
2. ขั้นกําหนดหลักเกณฑ์วิธีการที่จะใช้ในการประเมินผล การกําหนดเกณฑ์และวิธีการประเมิน
เปรียบเสมือนเข็มทิศที่จะนําไปสู่เป้ าหมายของการประเมินเกณฑ์การประเมินจะเป็นเครื่องบ่งชี้คุณภาพในส่วน
ของหลักสูตรที่ถูกประเมิน การกําหนดวิธีการที่จะใช้การประเมินผลทําให้เราสามารถดําเนินงานไปตามขั้นตอน
ได้อย่างราบรื่น
3. ขั้นการสร้างเครื่องมือและวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินหรือเครื่องมือที่
ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นสิ่งที่มีความสําคัญที่จะมีผลทําให้การประเมินนั้นน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน
ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินหรือเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจึงเป็นขั้นตอนที่สําคัญ
ซึ่งผู้ประเมินจะต้องเลือกใช้และสร้างอย่างมีคุณภาพมีความเชื่อถือได้ และมีความเที่ยงตรงสูง
4. ขั้นเก็บรวบรวมข้อมูล ในขั้นการรวบรวมข้อมูลนั้นผู้ประเมินต้องเก็บรวบรวมข้อมูลตามขอบเขต
และระยะเวลาที่กําหนดไว้ ในบางครั้งถ้าจําเป็นต้องอาศัยผู้อื่นในการรวบรวมข้อมูล ควรพิจารณาผู้ที่จะมาทํา
หน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูลที่มีความเหมาะสม เพราะผู้เก็บรวบรวมข้อมูลมีส่วนช่วยให้ข้อมูลที่รวบรวมได้มีความ
เที่ยงตรงและน่าเชื่อถือ
5. ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล ในขั้นนี้ผู้ประเมินจะต้องกําหนดวิธีการจัดระบบข้อมูล พิจารณาเลือกใช้สถิติใน
การวิเคราะห์ที่เหมาะสม แล้วจึงวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้น โดยเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่ได้กําหนดไว้
6. ขั้นสรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลและรายงานผลการประเมิน ในขั้นนี้ผู้ประเมินจะสรุปและรายงานผล
การวิเคราะห์ข้อมูลในขั้นต้น ผู้ประเมินจะต้องพิจารณารูปแบบของการรายงานผลว่าควรจะเป็นรูปแบบใด และ
การรายงานผลจะมุ่งเสนอข้อมูลที่บ่งชี้ให้เห็นว่าหลักสูตรมีคุณภาพหรือไม่ เพียงใด มีส่วนใดบ้างที่ควรแก้ไข
ปรับปรุงหรือยกเลิก
7. ขั้นนําผลที่ได้จากการประเมินไปพัฒนาหลักสูตรในโอกาสต่อไป
7. ประโยชน์ของการประเมินหลักสูตร
การประเมินผลหลักสูตรเป็นสิ่งสําคัญและจําเป็นอย่างยิ่งที่จะทําให้เราทราบถึงคุณภาพและ
ประสิทธิภาพของหลักสูตร การประเมินผลมีประโยชน์ในการจัดการศึกษาการจัดทําหรือพัฒนาหลักสูตรต้อง
อาศัยผลการประเมินผลเป็นสําคัญ ประโยชน์ของการประเมินผลหลักสูตรมีดังนี้
1. ทําให้ทราบหลักสูตรที่สร้างหรือพัฒนาขึ้นนั้นมีจุดดีหรือจุดเสียตรงไหน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ใน
การวางแผนปรับปรุงได้ถูกจุด ส่งผลให้หลักสูตรมีคุณภาพดียิ่งขึ้น
2. สร้างความน่าเชื่อถือ ความมั่นใจ และค่านิยมที่มีต่อโรงเรียนให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน
3. ช่วยในการบริหารทางด้านวิชาการ ผู้บริหารจะได้รู้ว่าควรจะตัดสินใจและสนับสนุนช่วยเหลือ หรือ
บริการทางด้านใดบ้าง
4. ส่งเสริมให้ประชาชนมีความเข้าใจในความสําคัญของการศึกษา
5. ส่งเสริมให้ผู้ปกครองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโรงเรียนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้การเรียนการสอน
นักเรียนได้ผลดี ด้วยความร่วมมือกันทั้งทางโรงเรียนและทางบ้าน
6. ให้ผู้ปกครองทราบความเป็นไปอย่างสมํ่าเสมอ เพื่อหาทางส่งเสริมและปรับปรุงแก้ไขร่วมกัน
ระหว่างผู้ปกครองนักเรียนกับทางโรงเรียน
7. ช่วยให้การประเมินผลเป็นระบบระเบียบ เพราะมีเครื่องมือ และหลักเกณฑ์ทําให้เป็นเหตุผลในทาง
วิทยาศาสตร์มากขึ้น
8. ช่วยชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของหลักสูตร
9. ช่วยให้สามารถวางแผนการเรียนในอนาคตได้ ข้อมูลของการประเมินผลหลักสูตรทําให้ทราบ
เป้ าหมายแนวทาง และขอบเขตในการดําเนินการจัดการศึกษาของโรงเรียน
8. ปัญหาในการประเมินหลักสูตร
ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนต้นว่า การประเมินหลักสูตรเป็นงานที่มีขอบเขตกว้างขวาง มีขั้นตอนในการ
ปฏิบัติงานหลายขั้นตอน และต้องเกี่ยวกับบุคคลหลายฝ่าย ดังนั้น ในการประเมินหลักสูตรจึงมักพบกับปัญหาใน
แต่ละขั้นตอนหรือแต่ละกระบวนการที่แตกต่างกันไปปัญหาที่มักพบทั่วไปในการประเมินหลักสูตรมีดังนี้
1. ปัญหาด้านการวางแผนการประเมินหลักสูตร การประเมินหลักสูตรมักไม่มีการวางแผนล่วงหน้า
ทําให้ขาดความละเอียดรอบคอบในการประเมินผล และไม่ครอบคลุมสิ่งที่ต้องการประเมิน
2. ปัญหาด้านเวลา การกําหนดเวลาไม่เหมาะสมการประเมินหลักสูตรไม่เสร็จตามเวลาที่กําหนด ทํา
ให้ได้ข้อมูลเนิ่นช้าไม่ทันต่อการนํามาปรับปรุงหลักสูตร
3. ปัญหาด้านความเชี่ยวชาญของคณะกรรมการประเมินหลักสูตร คณะกรรมการประเมินหลักสูตรไม่
มีความรู้ความเข้าใจเรื่องหลักสูตรที่จะประเมิน หรือไม่มีความเชี่ยวชาญในการประเมินผล ทําให้ผลการประเมิน
ที่ได้ไม่น่าเชื่อถือ ขาดความระเอียดรอบคอบ ซึ่งมีผลทําให้การแก้ไขปรับปรุงปัญหาของหลักสูตรไม่ตรง
ประเด็น
4. ปัญหาด้านความเที่ยงตรงของข้อมูล ข้อมูลที่ไม่ใช้ในการประเมินไม่เที่ยงตรงเนื่องจาก ผู้
ประเมินมีความกลัวเกี่ยวกับผลการประเมิน จึงทําให้ไม่ได้เสนอข้อมูลตามสภาพความเป็นจริงหรือ ผู้ถูก
ประเมินกลัวว่าผลการประเมินออกมาไม่ดี จึงให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับสภาพความเป็นจริง
5. ปัญหาด้านวิธีการประเมิน การประเมินหลักสูตรส่วนมากมาจากประเมินในเชิงปริมาณ ทําให้ได้
ข้อค้นพบที่ผิวเผินไม่ลึกซึ้ง จึงควรมีการประเมินผลที่ใช้วิธีการประเมินเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพควบคู่กัน
เพื่อให้ได้ผลสมบูรณ์และมองเห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
6. ปัญหาด้านการประเมินหลักสูตรทั้งระบบ การประเมินหลักสูตรทั้งระบบมีการดําเนินงานน้อยมาก
ส่วนมากมักจะประเมินผลเฉพาะด้าน เช่น ด้านผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนในด้านวิชาการ (Academic
Achievement) เป็นหลัก ทําให้ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด
7. ปัญหาด้านการประเมินหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง คณะกรรมการประเมินหลักสูตรหรือผู้ที่เกี่ยวข้องมัก
ไม่ประเมินหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง
8. ปัญหาด้านเกณฑ์การประเมิน เกณฑ์การประเมินหลักสูตรไม่ชัดเจน ทําให้ผลการประเมินไม่เป็นที่
ยอมรับ และไม่ได้นําผลไปใช้ในการปรับปรุงหลักสูตรอย่างจริงจัง
9. รูปแบบของการประเมินหลักสูตร
ในเรื่องรูปแบบของการประเมินหลักสูตร มีนักวิชาการซึ่งเชี่ยวชาญทางด้านหลักสูตรและการ
ประเมินผลเสนอแนะหลายรูปแบบด้วยกันซึ่งสามารถนํามาศึกษาเพื่อเลือกใช้ให้เหมาะสมกับความต้องการ ใน
ปัจจุบันรูปแบบของการประเมินหลักสูตรสามรถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. รูปแบบของการประเมินหลักสูตรที่สร้างเสร็จใหม่ๆ เป็นการประเมินผลก่อนนําหลักสูตร ไปใช้
กลุ่มนี้จะเสนอรูปแบบที่เด่นๆ คือ รูปแบบการประเมินหลักสูตรด้วยเทคนิคการวิเคราะห์แบบ ปุยแชงค์
(Puissance Analysis Technique)
2. รูปแบบของการประเมินหลักสูตรในระหว่างหรือหลังการใช้หลักสูตรสามารถแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ
ได้เป็น 4 กลุ่ม คือ
2.1 รูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ยึดจุดมุ่งหมายเป็นหลัก (Goal Attainment Model) เป็นรูปแบบ
การประเมินที่จะประเมินว่าหลักสูตรมีคุณค่ามากน้อยเพียงใด โดยพิจารณาจากจุดมุ่งหมายเป็นหลัก กล่าวคือ
พิจารณาว่าผลที่ได้รับเป็นไปตามจุดมุ่งหมายหรือไม่ เช่น รูปแบบการประเมินหลักสูตรของไทเลอร์ (Ralph W.
Tyler) และรูปแบบการประเมินหลักสูตรของแฮมมอนด์ (Rabert L. Hammond)
2.2 รูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ไม่ยึดเป้ าหมาย (Goal Free Evaluation Model) เป็นรูปแบบการ
ประเมินที่ไม่นําความคิดของผู้ประเมินเป็นตัวกําหนดความคิดในโครงการประเมินผู้ประเมินจะประเมิน
เหตุการณ์ที่เกิดตามสภาพความเป็นจริง มีความเป็นอิสระในการประเมินและ ไม่ต้องมีความลําเอียง เช่น
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสคริฟเวน (Michael Scriven)
2.3 รูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ยึดเกณฑ์เป็นหลัก (Criterion Model) เป็นรูปแบบการประเมิน
ที่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการตัดสินคุณค่าของหลักสูตรโดยใช้เกณฑ์เป็นหลัก เช่น รูปแบบการประเมิน
หลักสูตรของสเตค (Robert E. Stake)
2.4 รูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ช่วยในการตัดสินใจ (Decision-Mzking Model) เป็นรูปแบบ
การประเมินที่เน้นการทํางานอย่างมีระบบเกี่ยวกับการรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการเสนอผลที่ได้
จากการวิเคราะห์ข้อมูลนั้นๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหารหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น รูปแบบการประเมิน
ของโพรวัส(Malcolm Provus) รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสตัฟเฟิลบีม(Daniel L. Stufflebeam) และ
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของดอริสโกว์ (Doris T. Gow) เป็นต้น
การประเมินหลักสูตรมีขอบเขตต่างๆ ที่จะต้องทําการประเมินกว้างขวางมาก ดังนั้นวิธีการประเมิน
หลักสูตรจึงต้องได้รับการวิเคราะห์และออกแบบให้สามารถที่จะประเมินได้ครบถ้วนในขอบข่ายสาระทั้งหมด
รูปแบบต่างๆ ที่จะใช้ประเมินผลมีหลายรูปแบบ ผู้มีหน้าที่ในการประเมินผลจําเป็นต้องเรียนรู้ทําความเข้าใจให้
กระจ่างชัด และจะต้องนํารูปแบบต่างๆ ไปใช้อย่างถูกต้องตรงตามจุดหมายและลักษณะของขอบข่ายสาระแต่ละ
อย่าง ทั้งนี้เป็นไปได้ว่าการประเมินผลขอบข่ายสาระทั้งหมดของหลักสูตรจําเป็นต้องใช้วิธีการหลายวิธีหรือ
หลายๆ รูปแบบจึงจะได้ข้อมูลที่มีความเชื่อมั่นในการที่จะนําไปพัฒนาหลักสูตรให้มีคุณค่าเหมาะสมกับความ
ต้องการของสังคม รูปแบบการประเมินมีดังนี้
9.1 รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสเตค (The Stake’s Congruence Contingency Model)
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสเตคเป็นรูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ยึดเกณฑ์เป็นหลักสูตร
สเตคได้ให้ความหมายของการประเมินหลักสูตรว่า เป็นการบรรยายและการตัดสินคุณค่าของหลักสูตร ซึ่งเน้น
เรื่องการบรรยายสิ่งที่จะถูกประเมิน โดยอาศัยผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิในการตัดสินคุณค่า สเตคมี
จุดมุ่งหมายที่จะประเมินผลหลักสูตรโดยการประเมิน ดังนั้น สเตคจึงเสนอว่าควรมีการพิจารณาข้อมูลเพื่อ
ประเมินผลหลักสูตร 3 ด้าน คือ
1. ด้านสิ่งที่มาก่อน หรือสภาพก่อนเริ่มโครงการ (Antecedent) หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่เอื้อให้เกิดผลจาก
หลักสูตรและเป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนการใช้หลักสูตรอยู่แล้วประกอบด้วย 7 หัวข้อ คือ บุคลิกและนิสัยของนักเรียน
บุคลิกและนิสัยครู
2. ด้านเนื้อหาในหลักสูตร วัสดุอุปกรณ์ การเรียนการสอน อาคารสถานที่ การจัดโรงเรียน ลักษณะ
ของชุมชนขณะที่มีการเรียนการสอนระหว่างนักเรียนกับนักเรียน นักเรียนกับครู ครูกับผู้ปกครอง ฯลฯ เป็นขั้น
ของการใช้หลักสูตร ซึ่งประกอบด้วย 5 หัวข้อ คือ การสื่อสาร การจัดแบ่งเวลา การลําดับเหตุการณ์ การให้
กําลังใจ และบรรยากาศของสิ่งแวดล้อม
3. ด้านผลผลิต หรือผลที่ได้รับจากโครงการ (Outcomes) หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นจากการใช้หลักสูตร
ประกอบด้วย 5 หัวข้อ คือ ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน ทัศนคติของนักเรียน ทักษะของนักเรียน ผลที่เกิดขึ้นกับครู
และผลที่เกิดขึ้นกับสถาบันซึ่งรูปแบบการประเมินหลักสูตรของสเตคแสดงให้เห็นเป็นตาราง 3 ดังนี้
ตาราง 3 วิเคราะห์หลักสูตรของสเตค
เกณฑ์ในการวิเคราะห์หลักสูตร
ข้อมูลสําหรับการวิเคราะห์หลักสูตร
ข้อมูลเชิงบรรยาย ข้อมูลเชิงตัดสิน
ผลที่คาดหวัง ผลที่เกิดขึ้น มาตรฐานที่ใช้ การตัดสินใจ
1. สภาพก่อนเริ่มโครงการ
- บุคลิกและนิสัยของนักเรียน
- บุคลิกและนิสัยของครู
- เนื้อหาในหลักสูตร
- อุปกรณ์การเรียนการสอน
- บริเวณโรงเรียน
- ชุมชน
2. กระบวนการในการเรียน
- การสื่อสาร
- เวลาที่จัดให้
- ลําดับของเหตุการณ์
- การให้กําลังใจ
- สภาพสังคมหรือบรรยากาศ
3. ผลที่ได้รับจากโครงการ
- ความสําเร็จของนักเรียน
- ทัศนคติของนักเรียน
- ทักษะของนักเรียน
- ผลที่ครูได้รับ
-ผลที่สถาบันได้รับ
จากแบบตัวอย่างของสเตคนี้จะเห็นว่าขั้นตอนในการประเมินผลหลักสูตรจะเป็นดังนี้ คือ
1. การตั้งเกณฑ์ในการวิเคราะห์หลักสูตร
สเตคได้เสนอหัวข้อของเกณฑ์ที่จะใช้ในการวิเคราะห์หลักสูตรได้ 3 หัวข้อ คือ เรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่มีมา
ก่อนกระบวนการในการสอน และผลที่เกิดขึ้น เขาให้ความคิดเห็นว่าการประเมินจากผลที่ได้รับนั้นยังไม่
พอที่จะประเมินว่าหลักสูตรนั้นดีหรือไม่เพียงใดเพราะผลที่ได้นั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบอีกหลายอย่างเป็นต้นว่า
หากผู้เรียนไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ก็มิได้หมายความว่าหลักสูตรนั้นเป็นหลักสูตรที่ไม่ดี การที่
ผู้เรียนไม่สามารถเรียนได้ตามที่ต้องการ อาจมาจากองค์ประกอบทางด้านเวลา เช่น ให้เวลาแก่ผู้เรียนน้อยไป
เวลาที่จัดให้ไม่เหมาะสม
ดังนั้น การที่จะช่วยดูแต่ผลที่ได้รับและนํามาประเมินค่าหลักสูตรนั้นเป็นการไม่เพียงพอและอาจจะ
ไม่สามารถช่วยชี้ช่องทางการปรับปรุงหลักสูตรนั้นแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้ สเตคจึงได้เสนอว่าควรมีการพิจารณา
ข้อมูลเพื่อประเมินผลหลักสูตรถึง 3 ด้านดังที่กล่าวมาแล้ว
2. การหาข้อมูลมาประกอบ
หลังจากที่ได้ตั้งเกณฑ์ขึ้นมาเพื่อนํามาเป็นแนวทางในการประเมินผลหลักสูตรแล้วผู้ประเมินผล
หลักสูตรจะต้องทําการเก็บรวบรวม ข้อมูลเพื่อนํามาพิจารณาตามแบบตัวอย่างของสเตคแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
1. ส่วนที่เป็นการบรรยายหรือเรียกว่า “ข้อมูลเชิงบรรยาย” (Descriptive Data) ประกอบด้วยข้อมูล 2
ชนิด คือ
1.1 ข้อมูลที่อธิบายสิ่งที่คาดหวังของหลักสูตรเกี่ยวกับสิ่งที่มาก่อนกระบวนการเรียน การสอน
และผลผลิตของหลักสูตร
1.2 ข้อมูลที่อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติจริงซึ่งสังเกตได้หรือทดสอบได้เกี่ยวกับสิ่งที่มีก่อน
กระบวนการเรียนการสอน ผลผลิตของหลักสูตร
ผู้ประเมินจะต้องอธิบายความสัมพันธ์ (Contingency) ระหว่างสิ่งที่มาก่อน (Antecedents)
กระบวนการเรียนการสอน (Transactions) และผลผลิต (Outcomes) ของหลักสูตรและการศึกษาความ
สอดคล้อง (Congruence) ระหว่างสิ่งที่คาดหวังและสิ่งที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่อย่างไรจากการพิจารณาข้อมูลใน
ลักษณะแนวตั้งและแนวนอนนี้ สรุปเป็นแผนภูมิเกี่ยวกับการวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์และความสอดคล้องของ
หลักสูตร ดังภาพประกอบ 30 ต่อไปนี้
ข้อมูลที่อธิบายสิ่งที่คาดหวัง ข้อมูลที่อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น
ความสอดคล้อง
ความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์
สิ่งที่มีมาก่อน สิ่งที่มีก่อน
ความสอดคล้อง
ความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์
ความสอดคล้อง
ภาพประกอบ 31 แสดงการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงบรรยายเพื่อหาความสัมพันธ์และความสอดคล้องของ
หลักสูตร
2. ส่วนที่เป็นการพิจารณาตัดสินคุณค่าของหลักสูตร หรือที่เรียกว่า “ข้อมูลเชิงตัดสิน” (Judgemental
Data) ประกอบด้วยข้อมูล 2 ชนิด คือ
2.1 ข้อมูลที่เป็นเกณฑ์มาตรฐาน (Standards) ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ เช่นครู ผู้บริหาร
นักเรียน ผู้ปกครอง ฯลฯ เชื่อว่าควรจะใช้
2.2 ข้อมูลที่เป็นการตัดสินของบุคคลต่างๆ ซึ่งเป็นความรู้สึกนึกคิดตัดสินคุณภาพและความเหมาะสม
ของบุคคลต่างๆ ผู้ประเมินจะต้องตัดสินคูณค่าของหลักสูตรโดยใช้ข้อมูลที่เป็นเกณฑ์มาตรฐานและข้อมูลที่เป็น
การตัดสินของบุคคลต่างๆ มาประกอบการพิจารณาตัดสินว่าหลักสูตรมีส่วนใดดีหรือส่วนใดไม่ดี
3. วิธีการใช้ตารางในการประเมินผลของหลักสูตร
เริ่มต้นด้วยการพิจารณาข้อมูลทั้ง 4 หมวด ตามเกณฑ์ที่ตั้งขึ้น เช่น จากตารางแบบตัวอย่างของ สเตค
จะเริ่มที่ข้อ ก. ด้านสิ่งที่มีมาก่อนข้อ ก.1 บุคลิกและนิสัยของนักเรียน เราก็จะพิจารณาว่าผลที่คาดหวังหรือ
วัตถุประสงค์ในด้านนี้คืออะไร และนํามาเปรียบเทียบกับผลที่เกิดขึ้นว่าตรงหรือสอดคล้องกับวัตถุประสงค์
หรือไม่เพียงใด และผลที่เกิดขึ้นนั้นใช้มาตรฐานอะไรวัดและถืออะไรเป็นหลักในการตัดสินยกตัวอย่าง เช่น ใน
เรื่องของบุคลิกและนิสัยของนักเรียน
ผลที่คาดหวัง : ต้องการนักเรียนที่มีลักษณะความเป็นผู้นํากล้าซักถามโต้ตอบและโต้แย้ง
ผลที่เกิดขึ้น : ได้นักเรียนที่มีลักษณะความเป็นผู้นําประมาณ 20% และได้นักเรียนที่มีลักษณะความ
เป็นผู้นําตาม 80%
กระบวนการ
เรียนการสอน
กระบวนการ
เรียนการสอน
ผลผลิต ผลผลิต
มาตรฐานที่ใช้ : ควรและนักบริหารการศึกษาเห็นว่านักเรียน 100% ควรมีทั้งลักษณะความเป็นผู้นํา
และผู้ตามอยู่ในตัว
ที่มาของหลักสูตรการตัดสิน : สังคมประชาธิปไตย
จากการเปรียบเทียบเกณฑ์ข้อมูลในหมวดต่างๆ ในลักษณะข้างต้น ผู้ประเมินจะสามารถเห็นว่า
หลักสูตรนั้นมีความสอดคล้องกันหรือไม่ในด้านทฤษฎีและการปฏิบัติ
นอกจากนั้นการพิจารณาข้อมูลตามแนวตั้ง ผู้ประเมินนั้นจะพบว่าหลักสูตรนั้นมีความสัมพันธ์ในตัว
กันหรือไม่ ตัวอย่างเช่น ในเรื่องบุคลิกและนิสัยของนักเรียน
ภาพประกอบ 32 แสดงความสัมพันธ์ในการประเมินหลักสูตร
ผลที่คาดหวัง
นักเรียนที่มีลักษณะความเป็นผู้นํา
ผลที่เกิดขึ้น
ได้นักเรียนที่มีลักษณะความเป็นผู้นํา 20%
และมีลักษณะความเป็นผู้ตาม 80%
ผลที่คาดหวัง
การสอนที่มีลักษณะเป็น The way
Communication
ผลที่เกิดขึ้น
ครูส่วนใหญ่สอนโดยใช้ One way
Communication
และในเรื่องของกระบวนการในการสอนหรือสื่อสารข้อมูลสื่อสารปรากฏว่า
ในลักษณะเช่นนี้ การเปรียบเทียบข้อมูลตามแนวตั้งของหลักลูกศร ผู้ประเมินหลักสูตรจะสามารถ
ตรวจสอบได้ทันทีว่าการจัดการทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านสิ่งที่มีมาก่อน กระบวนการในการสอน และผลที่เกิดขึ้นนั้นมี
ความสัมพันธ์กันถูกต้องหรือไม่
การวิเคราะห์ถึงความสอดคล้องกับความสัมพันธ์กันของหลักสูตรนี้จะเป็นแนวทางชี้ให้เห็นถึง
ข้อบกพร่องต่างๆ ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการปรับปรุงหลักสูตรเป็นอันมาก
9.2 รูปแบบของการประเมินหลักสูตรของสตัฟเฟิลบีม (Stufflebeam)
แดเนียลแอลสตัฟเฟิลบีม (Daniel L. Stufflebeam) ได้อธิบายความหมายของการประเมินผลทาง
การศึกษาเอาไว้ว่าเป็นกระบวนการการบรรยายการหาข้อมูล และการให้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจหาทางเลือก
ฉะนั้นรูปแบบการประเมินผลหลักสูตรตามแนวคิดขอลสตัฟเฟิลบีมจึงเป็นรูปแบบเหมาะสมแก่การช่วย
ตัดสินใจเพื่อหาทางเลือกที่ดีที่สุด
ตามปกติสถานการณ์ในการตัดสินใจ (Decision Settingt) โดยทั่วไปจะประกอบด้วยมิติที่สําคัญ 2
ประการ คือ
1. มิติด้านข้อมูลที่มีอยู่ (Information Grasp) คือถ้าเราจะตัดสินใจทําอะไรสักอย่าง เราจําเป็นต้อง
คํานึงว่าเรามีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้นอยู่มากน้อยเพียงใด
2. มิติด้านปริมาณความเปลี่ยนแปลงที่ต้องการให้เกิดขึ้น (Degree of Cange) คือความหมายว่าถ้าเรา
จะตัดสินใจทําอะไรสักอย่างหนึ่ง เราต้องคํานึงว่าเมื่อทําไปแล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจากเดิมมากน้อยสักแค่
ไหน
จากรูปแบบการประเมินผลหลักสูตรตามแนวคิดของสตัฟเฟิลบีมแสดงให้เห็นว่า
1. สถานการณ์ตัดสินใจที่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย แต่ทว่าข้อมูลที่จะช่วยให้การ
ตัดสินใจนั้นมีอยู่มากสถานการณ์การตัดสินใจอย่างนี้เรียกว่า Homeostatic
2. สถานการณ์ตัดสินใจที่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยและข้อมูลที่จะช่วยในการ
ตัดสินใจก็มีอยู่น้อย สถานการณ์การตัดสินใจอย่างนี้เรียกว่า Incremental
3. สถานการณ์ตัดสินใจที่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก แต่ว่าข้อมูลที่จะช่วยในการตัดสินใจ
มีอยู่น้อย สถานการณ์การตัดสินใจอย่างนี้เรียกว่า Neomobilistic
4. สถานการณ์ตัดสินใจที่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก และข้อมูลที่ช่วยในการตัดสินใจก็มี
อยู่มาก สถานการณ์การตัดสินใจอย่างนี้เรียกว่า Metamorphism
จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า การตัดสินใจนั้นไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบใดก็ตามก็จําเป็นต้องอาศัย
ข้อมูลเชิงประมาณ (Evaluation Data) มาช่วยเป็นพื้นฐาน เพราะการตัดสินใจใดๆ ของผู้บริหารที่ไม่ใช่ข้อมูล
เชิงประมาณมาเป็นพื้นฐานในการหาทางเลือกย่อมเสี่ยงต่อความล้มเหลวในการดําเนินงานตามทางเลือกนั้น
อย่างมาก
ส่วนการตัดสินใจทางการตัดสินใจนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจะจัดเนื้อหาวิชาในหลักสูตรอย่างไรจะจัดการ
เรียนการสอนด้วยวิธีไหน จะใช้สื่อการเรียนการสอนอะไร จะจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรอะไร ถ้าพิจารณาในแง่
ของวิธีการกับผลที่เกิดขึ้นและสิ่งที่คาดหวังกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริง เราอาจจําแนกการตัดสินใจออกได้เป็น 4
ประเภท คือ
ภาพประกอบ 33 แสดงประเภทและความสัมพันธ์ Stufflebeam
ต่อสิ่งที่คาดหวังและสิ่งที่เป็นจริง
1. Planning Decisions เป็นการตัดสินใจโดยคาดหวังว่าเราต้องการให้เกิดผลทางการศึกษาอย่างไร
เช่นหลังจากที่นักเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ไปแล้วนักเรียนควรจะมีคุณสมบัติที่เด่นๆ อย่างไรบ้าง ฉะนั้น
การตัดสินใจชนิดนี้จึงนํามาเป็นประโยชน์ในการกําหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตรหรือในการวางแผนจัด
การศึกษาได้เป็นอย่างดี จึงเรียกการตัดสินใจอย่างนี้ว่าการตัดสินใจเกี่ยวกับการวางแผน
2. Structuring Decisions เป็นการตัดสินใจโดยคาดหวังว่าถ้าต้องการให้เกิดผลทางการศึกษาตามที่
คาดหวังไว้ในข้อ 1 นั้นเราควรจะวางโครงสร้างหรือวางรูปแบบของการใช้หลักสูตรที่พึ่งประสงค์เอาไว้อย่างไร
เช่น ถ้าจะให้นักเรียนมีคุณสมบัติตรงตามที่คาดหวังเอาไว้นั้น โรงเรียนควรจัดสภาพแวดล้อมอย่างไรการ
บริหารงานควรเป็นแบบใด ครูควรจัดการเรียนการสอนอย่างไร ควรให้มีกิจกรรมเสริมหลักสูตรอะไรบ้าง ฯลฯ
จึงเรียกการตัดสินใจแบบนี้ว่าการตัดสินใจเกี่ยวกับโครงสร้าง
(1)
การตัดสินใจเกี่ยวกับการวางแผน
Planning
(4)
การตัดสินใจเกี่ยวกับคุณสมบัติที่พึง
ประสงค์ (Recyccling)
(2)
การตัดสินใจเกี่ยวกับโครงสร้าง
(Structuring)
(3)
การตัดสินเกี่ยวกับการนําไปใช้
(Implementing)
สิ่งที่คาดหวัง สิ่งที่เป็นจริง
ผลที่เกิดขึ้น
วิธีการ
บทที่ 10
บทที่ 10
บทที่ 10
บทที่ 10
บทที่ 10
บทที่ 10
บทที่ 10
บทที่ 10
บทที่ 10

More Related Content

What's hot

การจัดบรรยากาศในชั้นเรียน
การจัดบรรยากาศในชั้นเรียนการจัดบรรยากาศในชั้นเรียน
การจัดบรรยากาศในชั้นเรียนaeimzaza aeimzaza
 
เงื่อนลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่
เงื่อนลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่เงื่อนลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่
เงื่อนลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่Sopa
 
ใบงานที่ 1 เรื่อง ตลาดในระบบเศรษฐกิจ
ใบงานที่ 1  เรื่อง  ตลาดในระบบเศรษฐกิจใบงานที่ 1  เรื่อง  ตลาดในระบบเศรษฐกิจ
ใบงานที่ 1 เรื่อง ตลาดในระบบเศรษฐกิจไพบููลย์ หัดรัดชัย
 
บทที่ 8 การสังเกตพฤติกรรมเด็ก 55
บทที่ 8 การสังเกตพฤติกรรมเด็ก 55บทที่ 8 การสังเกตพฤติกรรมเด็ก 55
บทที่ 8 การสังเกตพฤติกรรมเด็ก 55Decode Ac
 
ท่องสูตรคูณ
ท่องสูตรคูณท่องสูตรคูณ
ท่องสูตรคูณaapiaa
 
04 แบบจำลองอะตอมของโบร์และกลุ่มหมอก
04 แบบจำลองอะตอมของโบร์และกลุ่มหมอก04 แบบจำลองอะตอมของโบร์และกลุ่มหมอก
04 แบบจำลองอะตอมของโบร์และกลุ่มหมอกkruannchem
 
โครงงานการดาษจากกาบ(กลุ่มที่6)
โครงงานการดาษจากกาบ(กลุ่มที่6)โครงงานการดาษจากกาบ(กลุ่มที่6)
โครงงานการดาษจากกาบ(กลุ่มที่6)Pear Pimnipa
 
ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออก (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น)
ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออก (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น)ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออก (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น)
ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออก (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น)พัน พัน
 
[Key]ข้อสอบปลายภาคเรียนที่ 2 (ม.4).1
[Key]ข้อสอบปลายภาคเรียนที่ 2 (ม.4).1[Key]ข้อสอบปลายภาคเรียนที่ 2 (ม.4).1
[Key]ข้อสอบปลายภาคเรียนที่ 2 (ม.4).1Sivagon Soontong
 
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3Ch Khankluay
 
รายงานเรื่องเห็ดนางฟ้า
รายงานเรื่องเห็ดนางฟ้ารายงานเรื่องเห็ดนางฟ้า
รายงานเรื่องเห็ดนางฟ้าchunkidtid
 
แบบทดสอบ การงานอาชีพฯ ม.6
แบบทดสอบ การงานอาชีพฯ ม.6แบบทดสอบ การงานอาชีพฯ ม.6
แบบทดสอบ การงานอาชีพฯ ม.6teerachon
 
๑๐. ฉันทลักษณ์และคำประพันธ์ประเภทกาพย์[1]
๑๐. ฉันทลักษณ์และคำประพันธ์ประเภทกาพย์[1]๑๐. ฉันทลักษณ์และคำประพันธ์ประเภทกาพย์[1]
๑๐. ฉันทลักษณ์และคำประพันธ์ประเภทกาพย์[1]นิตยา ทองดียิ่ง
 
ประวัติศาสตร์ไทย (อาณาจักรสุโขทัย)
ประวัติศาสตร์ไทย (อาณาจักรสุโขทัย)ประวัติศาสตร์ไทย (อาณาจักรสุโขทัย)
ประวัติศาสตร์ไทย (อาณาจักรสุโขทัย)พัน พัน
 
แบบฟอร์มเค้าโครงโครงงาน
แบบฟอร์มเค้าโครงโครงงานแบบฟอร์มเค้าโครงโครงงาน
แบบฟอร์มเค้าโครงโครงงานpongtum
 
โครงสร้างของดอกไม้
โครงสร้างของดอกไม้โครงสร้างของดอกไม้
โครงสร้างของดอกไม้dnavaroj
 
โครงงาน เรื่อง การย้อมผ้าจากเปลือกมังคุด
โครงงาน เรื่อง การย้อมผ้าจากเปลือกมังคุดโครงงาน เรื่อง การย้อมผ้าจากเปลือกมังคุด
โครงงาน เรื่อง การย้อมผ้าจากเปลือกมังคุดพัน พัน
 
แผ่นพับการสร้างคำ
แผ่นพับการสร้างคำแผ่นพับการสร้างคำ
แผ่นพับการสร้างคำKORKORAWAN
 
ใบเลี้ยงเดี่ยวใบเลี้ยงคู่
ใบเลี้ยงเดี่ยวใบเลี้ยงคู่ใบเลี้ยงเดี่ยวใบเลี้ยงคู่
ใบเลี้ยงเดี่ยวใบเลี้ยงคู่aapiaa
 
การงาน งานใบตอง
การงาน งานใบตองการงาน งานใบตอง
การงาน งานใบตองreemary
 

What's hot (20)

การจัดบรรยากาศในชั้นเรียน
การจัดบรรยากาศในชั้นเรียนการจัดบรรยากาศในชั้นเรียน
การจัดบรรยากาศในชั้นเรียน
 
เงื่อนลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่
เงื่อนลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่เงื่อนลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่
เงื่อนลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่
 
ใบงานที่ 1 เรื่อง ตลาดในระบบเศรษฐกิจ
ใบงานที่ 1  เรื่อง  ตลาดในระบบเศรษฐกิจใบงานที่ 1  เรื่อง  ตลาดในระบบเศรษฐกิจ
ใบงานที่ 1 เรื่อง ตลาดในระบบเศรษฐกิจ
 
บทที่ 8 การสังเกตพฤติกรรมเด็ก 55
บทที่ 8 การสังเกตพฤติกรรมเด็ก 55บทที่ 8 การสังเกตพฤติกรรมเด็ก 55
บทที่ 8 การสังเกตพฤติกรรมเด็ก 55
 
ท่องสูตรคูณ
ท่องสูตรคูณท่องสูตรคูณ
ท่องสูตรคูณ
 
04 แบบจำลองอะตอมของโบร์และกลุ่มหมอก
04 แบบจำลองอะตอมของโบร์และกลุ่มหมอก04 แบบจำลองอะตอมของโบร์และกลุ่มหมอก
04 แบบจำลองอะตอมของโบร์และกลุ่มหมอก
 
โครงงานการดาษจากกาบ(กลุ่มที่6)
โครงงานการดาษจากกาบ(กลุ่มที่6)โครงงานการดาษจากกาบ(กลุ่มที่6)
โครงงานการดาษจากกาบ(กลุ่มที่6)
 
ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออก (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น)
ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออก (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น)ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออก (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น)
ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออก (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น)
 
[Key]ข้อสอบปลายภาคเรียนที่ 2 (ม.4).1
[Key]ข้อสอบปลายภาคเรียนที่ 2 (ม.4).1[Key]ข้อสอบปลายภาคเรียนที่ 2 (ม.4).1
[Key]ข้อสอบปลายภาคเรียนที่ 2 (ม.4).1
 
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3
 
รายงานเรื่องเห็ดนางฟ้า
รายงานเรื่องเห็ดนางฟ้ารายงานเรื่องเห็ดนางฟ้า
รายงานเรื่องเห็ดนางฟ้า
 
แบบทดสอบ การงานอาชีพฯ ม.6
แบบทดสอบ การงานอาชีพฯ ม.6แบบทดสอบ การงานอาชีพฯ ม.6
แบบทดสอบ การงานอาชีพฯ ม.6
 
๑๐. ฉันทลักษณ์และคำประพันธ์ประเภทกาพย์[1]
๑๐. ฉันทลักษณ์และคำประพันธ์ประเภทกาพย์[1]๑๐. ฉันทลักษณ์และคำประพันธ์ประเภทกาพย์[1]
๑๐. ฉันทลักษณ์และคำประพันธ์ประเภทกาพย์[1]
 
ประวัติศาสตร์ไทย (อาณาจักรสุโขทัย)
ประวัติศาสตร์ไทย (อาณาจักรสุโขทัย)ประวัติศาสตร์ไทย (อาณาจักรสุโขทัย)
ประวัติศาสตร์ไทย (อาณาจักรสุโขทัย)
 
แบบฟอร์มเค้าโครงโครงงาน
แบบฟอร์มเค้าโครงโครงงานแบบฟอร์มเค้าโครงโครงงาน
แบบฟอร์มเค้าโครงโครงงาน
 
โครงสร้างของดอกไม้
โครงสร้างของดอกไม้โครงสร้างของดอกไม้
โครงสร้างของดอกไม้
 
โครงงาน เรื่อง การย้อมผ้าจากเปลือกมังคุด
โครงงาน เรื่อง การย้อมผ้าจากเปลือกมังคุดโครงงาน เรื่อง การย้อมผ้าจากเปลือกมังคุด
โครงงาน เรื่อง การย้อมผ้าจากเปลือกมังคุด
 
แผ่นพับการสร้างคำ
แผ่นพับการสร้างคำแผ่นพับการสร้างคำ
แผ่นพับการสร้างคำ
 
ใบเลี้ยงเดี่ยวใบเลี้ยงคู่
ใบเลี้ยงเดี่ยวใบเลี้ยงคู่ใบเลี้ยงเดี่ยวใบเลี้ยงคู่
ใบเลี้ยงเดี่ยวใบเลี้ยงคู่
 
การงาน งานใบตอง
การงาน งานใบตองการงาน งานใบตอง
การงาน งานใบตอง
 

Similar to บทที่ 10

บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10Dook dik
 
10 170819173737
10 17081917373710 170819173737
10 170819173737gam030
 
บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10wanneemayss
 
บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10benty2443
 
บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10nattawad147
 
บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10kanwan0429
 
บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10kanwan0429
 
ประเมินโครงการตลาดนัดอาชีพ ปี 2555
ประเมินโครงการตลาดนัดอาชีพ ปี 2555ประเมินโครงการตลาดนัดอาชีพ ปี 2555
ประเมินโครงการตลาดนัดอาชีพ ปี 2555Nattapon
 

Similar to บทที่ 10 (20)

บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10
 
บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10
 
บทที่10
บทที่10บทที่10
บทที่10
 
บทที่10
บทที่10บทที่10
บทที่10
 
10 170819173737
10 17081917373710 170819173737
10 170819173737
 
10 170819173737
10 17081917373710 170819173737
10 170819173737
 
บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10
 
บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10
 
บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10
 
บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10
 
10 170819173737
10 17081917373710 170819173737
10 170819173737
 
บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10
 
บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10
 
10 170819173737
10 17081917373710 170819173737
10 170819173737
 
10 170819173737
10 17081917373710 170819173737
10 170819173737
 
10 170819173737
10 17081917373710 170819173737
10 170819173737
 
บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10
 
บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10
 
ประเมินโครงการตลาดนัดอาชีพ ปี 2555
ประเมินโครงการตลาดนัดอาชีพ ปี 2555ประเมินโครงการตลาดนัดอาชีพ ปี 2555
ประเมินโครงการตลาดนัดอาชีพ ปี 2555
 
Kung
KungKung
Kung
 

More from parkpoom11z

บรรณานุกรม
บรรณานุกรมบรรณานุกรม
บรรณานุกรมparkpoom11z
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11parkpoom11z
 
บทที่ 9
บทที่ 9บทที่ 9
บทที่ 9parkpoom11z
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8parkpoom11z
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7parkpoom11z
 
บทที่ 6
บทที่ 6บทที่ 6
บทที่ 6parkpoom11z
 
บทที่ 5
บทที่ 5บทที่ 5
บทที่ 5parkpoom11z
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4parkpoom11z
 
บทที่ 3
บทที่ 3บทที่ 3
บทที่ 3parkpoom11z
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2parkpoom11z
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1parkpoom11z
 

More from parkpoom11z (11)

บรรณานุกรม
บรรณานุกรมบรรณานุกรม
บรรณานุกรม
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 
บทที่ 9
บทที่ 9บทที่ 9
บทที่ 9
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
บทที่ 6
บทที่ 6บทที่ 6
บทที่ 6
 
บทที่ 5
บทที่ 5บทที่ 5
บทที่ 5
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
บทที่ 3
บทที่ 3บทที่ 3
บทที่ 3
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 

บทที่ 10

  • 1. บทที่ 10 การประเมินหลักสูตร มโนทัศน์(Concept) ในการทํางานหรือการประกอบกิจการใดก็ตามจะมีขั้นตอนในการดําเนินงานขั้นตอนหนึ่งซึ่งจะขาด เสียมิได้คือการประเมินผล (Evaluation) เพื่อให้ทราบว่าการทํางานหรือประกอบกิจกรรมนั้นๆ ได้ผลตามความ มุ่งหมายที่กําหนดไว้หรือไม่เพียงใดมีปัญหาหรืออุปสรรคอะไรบ้างเพื่อที่จะดําเนินการแก้ไขปรับปรุงพัฒนา ต่อไปในทางการศึกษาก็เช่นกันการที่จะทราบว่าการจัดการศึกษาบรรลุจุดมุ่งหมายที่กําหนดไว้เพียงใดนั้นส่วน หนึ่งที่จะประเมินผลได้คือการประเมินหลักสูตร การประเมินผลหลักสูตรเป็นเครื่องมือชี้ให้เห็นว่าการกําหนด หลักสูตรไปใช้จะได้ผลมากน้อยเพียงใดเพราะฉะนั้นการประเมินหลักสูตรจึงเป็นขั้นตอนที่สําคัญอีกขั้นตอน หนึ่งของกระบวนการพัฒนาหลักสูตรและผลที่ได้จากการประเมินหลักสูตรจะเป็นข้อมูลในการตัดสินเพื่อแก้ไข ปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงหลักสูตร ผลการเรียนรู้(Learning Outcome) 1. มีความรู้ ความเข้าใจ กระบวนการพัฒนาหลักสูตร เรื่อง การประเมินหลักสูตร 2. สามารถให้คําแนะนําในการประสานตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการประเมินหลักสูตร สาระเนื้อหา(Content) การประเมินหลักสูตร การประเมินหลักสูตรเป็นขั้นตอนในการศึกษาคุณค่าของว่าดีหรือไม่อย่างไรบกพร่องในส่วนไหนเพื่อ นําผลการประเมินไปปรับปรุงหลักสูตรในโอกาสต่อไปการประเมินหลักสูตรนั้นมีขอบเขตและระยะการ ประเมินแตกต่างกันออกไปแล้วแต่จุดประสงค์ของการประเมินเช่นการประเมินเอกสารหลักสูตรในระยะก่อน นําหลักสูตรไปใช้การประเมินการใช้หลักสูตรในขณะที่ดําเนินการใช้หลักสูตรหรือประเมินสัมฤทธิผลของ หลักสูตรและประเมินระบบหลักสูตรหลังจากการใช้หลักสูตรแล้วการประเมินผลหลักสูตรนั้นต้องกําหนดลง ไปให้แน่ชัดว่าต้องการประเมินอะไรข้อมูลที่นํามาประเมินต้องเชื่อถือได้การวิเคราะห์ผลการประเมินต้องทํา อย่างรอบคอบ
  • 2. การประเมินหลักสูตรต้องทําเป็นกระบวนการตามลําดับขั้นตอนตั้งแต่กําหนดวัตถุประสงค์ของการ ประเมินวางแผนและออกแบบการประเมินรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูลรายงานและสรุปผลการประเมิน เพื่อที่จะนําผลที่ได้จากการประเมินไปปรับปรุงพัฒนาหลักสูตรในโอกาสต่อไปจากขั้นตอนการประเมิน นักศึกษาได้พัฒนารูปแบบการประเมินไว้หลายรูปแบบเป็นต้นว่ารูปแบบการประเมินหลักสูตรที่สร้างเสร็จ ใหม่ๆ ซึ่งเป็นการประเมินผลก่อนการนําหลักสูตรไปใช้เช่นรูปแบบการประเมินหลักสูตรด้วยเทคนิคการ วิเคราะห์แบบปุยแซงค์หรือรูปแบบการประเมินหลักสูตรในระหว่างหรือหลังการใช้หลักสูตรเช่น รูปแบบการ ประเมินหลักสูตรของไทเลอร์, สเตค, สตัฟเฟิลบีมหรือดอริสโกว์ แต่ละรูปแบบแม้จะมีลักษณะแตกต่างกัน ออกไปเราก็สามารถนําแนวคิดในการประเมินหลักสูตรมาประยุกต์เป็นรูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ เหมาะสมกับสิ่งที่เราต้องการจะประเมินนั้นๆ ได้ 1. ความหมายของการประเมินหลักสูตร การประเมินหลักสูตรเป็นกระบวนการรวบรวมข้อมูลสารสนเทศตลอดจนกิจกรรมต่างๆเกี่ยวกับ หลักสูตรเพื่อนํามาตัดสินค่าหรือคุณภาพของหลักสูตรนั้นนักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของการ ประเมินหลักสูตรไว้ต่างๆ กันดังนี้คือ กู๊ด (Good, 1945 : 209) ได้ให้ความหมายไว้ว่าการประเมินหลักสูตรคือการประเมินผลของกิจกรรม การเรียนภายในขอบข่ายของการสอนที่เน้นเฉพาะจุดประสงค์ของการตัดสินใจในความถูกต้องของจุดมุ่งหมาย ความสัมพันธ์และความต่อเนื่องของเนื้อหาและผลสัมฤทธิ์ของวัตถุประสงค์เฉพาะซึ่งนําไปสู่การตัดสินใจใน การวางแผนการจัดโครงการต่อเนื่องและการหมุนเวียนของกิจกรรมโครงการต่างๆ ที่จะจัดให้มีขึ้น ลี ครอนบาช (Lee J. Cronbach, 1970: 231) ให้ความหมายว่าการประเมินหลักสูตรคือการรวบรวม ข้อมูลและการใช้ข้อมูลเพื่อตัดสินใจในเรื่องโปรแกรมหรือหลักสูตรการศึกษา สตัฟเฟิลบีมและคณะ (Stufflebeam Daniel L. et., 1971: 128) ให้ความหมายของการประเมินหลักสูตร ว่าการประเมินหลักสูตรคือกระบวนการหาข้อมูลเก็บข้อมูลเพื่อนําไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจหา ทางเลือกที่ดีกว่าเดิม วิชัย วงษ์ใหญ่ (2521 : 192) ให้ความหมายของประเมินหลักสูตรไว้ว่าการประเมินหลักสูตรเป็นการ พิจารณาเกี่ยวกับคุณค่าของหลักสูตรโดยใช้ผลจากการวัดในแง่มุมต่างๆ ของสิ่งที่ประเมินเพื่อนํามาพิจารณา ร่วมกันและสรุปว่าจะให้คุณค่าของหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมานั้นว่าอย่างไรมีคุณภาพดีหรือไม่เพียงใดหรือได้ผล ตรงตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดหรือไม่มีส่วนใดที่จะต้องปรับปรุงแก้ไข สุจริต เพียรชอบ (2548 : 64) กล่าวถึงการประเมินหลักสูตรไว้ว่าเป็นกระบวนการที่สําคัญเพราะเป็น การหาคําตอบว่าหลักสูตรสัมฤทธิ์ผลตามที่ได้ตั้งจุดมุ่งหมายไว้หรือไม่มากน้อยเพียงใดอะไรเป็นสาเหตุผู้
  • 3. ประเมินหลักสูตรจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ดีทั้งทางด้านหลักสูตรและด้านการประเมินผลซึ่งจะต้องเน้นการ ประเมินทั้งโปรแกรมการศึกษามิใช่แต่เพียงผลการเรียนปีสุดท้ายเท่านั้นแต่ควรประเมินผลการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมของผู้เรียนด้วย จากความหมายของการประเมินหลักสูตรที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่าการประเมินหลักสูตรคือ กระบวนการในการพิจารณาตัดสินคุณค่าของหลักสูตรว่าหลักสูตรนั้นๆ มีประสิทธิภาพแค่ไหนเมื่อนําไปใช้ แล้วบรรลุจุดมุ่งหมายที่กําหนดไว้หรือไม่มีอะไรที่ต้องแก้ไขเพื่อนําผลที่ได้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการ ตัดสินใจหาทางเลือกที่ดีกว่าต่อไป 2. จุดมุ่งหมายของการประเมินหลักสูตร กระบวนการพัฒนาหลักสูตรเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องและมีขอบเขตที่กว้างขวางการประเมิน หลักสูตรจะต้องครอบคลุมขั้นตอนของการพัฒนาหลักสูตรเพราะฉะนั้นการประเมินหลักสูตรจึงมีขอบเขตของ การประเมินที่กว้างขวางด้วยการประเมินหลักสูตรแต่ละจุดแต่ละขั้นตอนมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกันไปใน รายละเอียดแต่โดยทั่วไปแล้วจุดมุ่งหมายใหญ่ของการประเมินหลักสูตรจะมีความใกล้เคียงกันจะขอยกตัวอย่าง จุดมุ่งหมายของการประเมินหลักสูตรที่นักศึกษาได้กล่าวไว้ดังนี้ ทาบา (Taba, 1962:310) ได้กล่าวไว้ว่าการประเมินหลักสูตรกระทําขึ้นเพื่อศึกษากระบวนการต่างๆ ที่ กําหนดไว้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงใดบ้างที่สอดคล้องหรือขัดแย้งกับวัตถุประสงค์ของการศึกษาการประเมิน ดังกล่าวจะครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดของหลักสูตรและกระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งได้แก่จุดประสงค์ ขอบเขตของเนื้อหาสาระคุณภาพของผู้ใช้บริหารและผู้ใช้หลักสูตรสมรรถภาพของผู้เรียนความสัมพันธ์ของวิชา ต่างๆ การใช้สื่อและวัสดุการสอน ฯลฯ วิชัย วงษ์ใหญ่ (2537 : 218-219) กล่าวว่าการประเมินหลักสูตรโดยทั่วๆ ไปจะมีจุดมุ่งหมายดังนี้เพื่อ หาคุณค่าของหลักสูตรโดยตรวจสอบดูว่าหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมานั้นสามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์หรือไม่เพื่อ วัดผลดูว่าการวางเค้าโครงและรูปแบบระบบของหลักสูตรรวมทั้งวัสดุประกอบหลักสูตรและการบริหารและ บริการหลักสูตรเป็นไปในทางที่ถูกต้องแล้วหรือไม่การประเมินหลักสูตรจากผู้เรียนเองหรือการประเมินผลผลิต เพื่อตรวจสอบดูว่าลักษณะที่พึงประสงค์เป็นไปตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรหรือไม่เพียงใด ใจทิพย์ เชื้อรัตนพงษ์ (2539 : 192 – 193) กล่าวว่าโดยทั่วไปการประเมินหลักสูตรใดๆ ก็ตามจะมี จุดมุ่งหมายสําคัญที่คล้ายคลึงกันดังนี้คือเพื่อหาทางปรับปรุงแก้ไขสิ่งบกพร่องที่พบในองค์ประกอบต่างๆ ของ หลักสูตรเพื่อหาทางปรับปรุงแก้ไขระบบการบริหารหลักสูตรการนิเทศกํากับดูแลการจัดกระบวนการเรียนการ สอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเพื่อช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหารว่าควรใช้หลักสูตรต่อไปอีกหรือควรยกเลิก การใช้หลักสูตรเพียงบางส่วนหรือยกเลิกทั้งหมดเพื่อต้องการทราบคุณภาพของผู้เรียนซึ่งเป็นผลผลิตของ
  • 4. หลักสูตรว่ามีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามความมุ่งหวังของหลักสูตรหลักจากผ่านกระบวนการทาง การศึกษามาแล้วหรือไม่อย่างไรจากจุดมุ่งหมายของการประเมินหลักสูตรข้างต้นพอสรุปได้ว่าการประเมินผล หลักสูตรมีจุดมุ่งหมายดังนี้เพื่อหาคุณค่าของหลักสูตรนั้นโดยดูว่าหลักสูตรที่จัดทําขึ้นนั้นสามารถสนอง วัตถุประสงค์ที่ต้องการหรือไม่หลักสูตรนั้นต้องการหรือไม่สนองความต้องการของผู้เรียนและสังคมอย่างไรเพื่อ อธิบายและพิจารณาว่าลักษณะของส่วนประกอบต่างๆ ของหลักสูตรในแง่ต่างๆ เช่นหลักการจุดมุ่งหมายเนื้อหา สาระการเรียนรู้กิจกรรมการเรียนการสอนสื่อการเรียนการสอนและการวัดผลว่าสอดคล้องต้องกันหรือไม่หรือ สนองความต้องการหรือไม่เพื่อตัดสินว่าหลักสูตรมีคุณภาพดีหรือไม่เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมกับการนําไปใช้ มีข้อบกพร่องที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขอะไรบ้างการประเมินผลในลักษณะนี้มักจะดําเนินไปในช่วงที่การพัฒนา หลักสูตรยังคงดําเนินการอยู่เพื่อที่จะพิจารณาว่าองค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตรเช่นจุดหมายโครงสร้างเนื้อหา การวัดผลฯลฯมีความสอดคล้องและเหมาะสมหรือไม่สามารถนํามาปฏิบัติในช่วงการนําหลักสูตรไปทดลองใช้ หรือในขณะที่การใช้หลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอนกําลังดําเนินอยู่ได้มากน้อยเพียงใดได้ผลเพียงใด และมีปัญหาอุปสรรคอะไรจะได้เป็นประโยชน์แก่นักพัฒนาหลักสูตรและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตรให้มีคุณภาพดีขึ้นได้ทันท่วงทีเพื่อตัดสินว่าการบริหารงานด้าน วิชาการและบริหารงานด้านหลักสูตรเป็นไปในทางที่ถูกต้องหรือไม่เพื่อหาทางแก้ไขระบบการบริหารหลักสูตร การนําหลักสูตรไปใช้ให้มีประสิทธิภาพเพื่อติดตามผลผลิตจากหลักสูตรคือผู้เรียนมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หลังจากการผ่านกระบวนการทางการศึกษามาแล้วตามหลักสูตรว่าเป็นไปตามมุ่งหวังหรือไม่เพื่อหาทาง ปรับปรุงแก้ไขสิ่งบกพร่องที่พบในองค์ประกอบต่างๆ ในหลักสูตรเพื่อช่วยในการตัดสินว่าควรใช้หลักสูตร ต่อไปหรือควรปรับปรุงพัฒนาในสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือยกเลิกใช้หลักสูตรนั้นหมดการประเมินผลในลักษณะนี้จะ ดําเนินการหลังจากที่ใช้หลักสูตรไปแล้วระยะหนึ่งแล้วจึงประเมินเพื่อสรุปผลตัดสินว่าหลักสูตรมีคุณภาพดี หรือไม่บรรลุตามเป้ าหมายที่หลักสูตรกําหนดไว้มากน้อยเพียงใดสนองความต้องการของสังคมเพียงใดและ เหมาะสมกับการนําไปใช้ต่อไปหรือไม่จากจุดมุ่งหมายของการประเมินผลหลักสูตรต่างๆข้อมูลต่างๆ ที่ได้จาก การประเมินจะเป็นตัวชี้ให้เห็นถึงคุณภาพการศึกษาของสังคมซึ่งจะมีผลกระทบต่อคุณภาพของประชากรในการ พัฒนาสังคมในอนาคตต่อไปดังนั้นการประเมินผลหลักสูตรซึ่งมีความสําคัญและจําเป็นอย่างยิ่งไม่น้อยไปกว่า กระบวนการในการจัดการศึกษาในส่วนอื่นๆ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ควรจะต้องหาวิธีการที่ดีที่สุดในการที่ ประเมินผลหลักสูตรเพื่อที่จะให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจนและจะต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนตามขั้นตอนของวิธีการ ต่างๆ ที่นํามาใช้ 3. ระยะของการประเมินหลักสูตร การประเมินหลักสูตรควรมีการดําเนินเป็นระยะๆ ทั้งนี้เนื่องจากข้อบกพร่องหรือข้อผิดพลาดของ หลักสูตรอาจมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยและในระยะต่างกันเช่นอาจมีสาเหตุมาจากตอนจัดทําหรือ ยกร่าง
  • 5. หลักสูตรซึ่งทําให้ตัวหลักสูตรไม่มีคุณภาพที่ดีหรือไม่สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของผู้เรียนและ สังคมที่เปลี่ยนแปลงไปหรืออาจมีสาเหตุมาจากตอนนําหลักสูตรไปใช้เป็นต้นการประเมินหลักสูตรที่ดีจึงต้อง ตรวจสอบเป็นระยะเพื่อลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นโดยทั่วไปจะแบ่งเป็น 3 ระยะคือ ระยะที่ 1 การประเมินหลักสูตรก่อนนําหลักสูตรไปใช้ (Project Analysis) ในช่วงระหว่างที่มีการสร้างหรือพัฒนาหลักสูตรอาจมีการดําเนินการตรวจสอบทุกขั้นตอนของการ จัดทํานับแต่การกําหนดจุดมุ่งหมายไปจนถึงการกําหนดการวัดและประเมินผลการเรียนซึ่งสามารถทําได้ 2 ลักษณะคือ 1. ประเมินหลักสูตรเมื่อสร้างหลักสูตรฉบับร่างเสร็จแล้วก่อนจะนําหลักสูตรไปใช้จริงควรมีการ ประเมินตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรฉบับร่างและองค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตรการประเมินหลักสูตรใน ระยะนี้ต้องอาศัยความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านพัฒนาหลักสูตรทางด้านวิชาชีพครูทางด้านการวัดผลหรือ จะให้ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์หรือพิจารณาก็ได้ 2. ประเมินผลในขั้นตอนทดลองใช้เพื่อปรับปรุงแก้ไขส่วนที่ขาดตกบกพร่องหรือเป็นปัญหาให้มี ความสมบูรณ์เพื่อประสิทธิภาพในการนําไปใช้ต่อไปเช่นหลักสูตรประถมศึกษา พ.ศ. 2521 มีการทดลองใช้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2519 และ 2520 เพื่อหาข้อบกพร่องอุปสรรคจะได้แก้ไขให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพต่อไป ระยะที่ 2 การประเมินหลักสูตรระหว่างการดําเนินการใช้หลักสูตร (Formative Evaluation) ในขณะที่มีการดําเนินการใช้หลักสูตรที่จัดทําขึ้นควรมีการประเมินเพื่อตรวจสอบว่าหลักสูตรสามารถ นําไปใช้ได้ดีเพียงใดหรือบกพร่องในจุดไหนจะได้แก้ไขปรับปรุงให้เหมาะสมเช่นประเมินกระบวนการใช้ หลักสูตรในด้านการบริหารการจัดการหลักสูตรการนิเทศกํากับดูแลและการจัดกระบวนการเรียนการสอน ระยะที่ 3 การประเมินหลักสูตรหลังการใช้หลักสูตร (Summative Evaluation) หลังจากที่มีการใช้หลักสูตรมาแล้วระยะหนึ่งคือครบกระบวนการเรียบร้อยแล้วควรจะประเมิน หลักสูตรทั้งระบบซึ่งได้แก่การประเมินองค์ประกอบด้านต่างๆ ของหลักสูตรทั้งหมดคือเอกสารหลักสูตรวัสดุ หลักสูตรบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการใช้หลักสูตรการบริหารหลักสูตรการนิเทศกํากับติดตามการจัดกระบวนการ เรียนการสอน ฯลฯ เพื่อสรุปผลตัดสินว่าหลักสูตรที่จัดทําขึ้นนั้นควรจะดําเนินการใช้ต่อไปหรือควรปรับปรุง แก้ไขให้ดีขึ้นหรือควรจะยกเลิกเช่นหลักสูตรประถมศึกษาพุทธศักราช 2521 มีช่วงระยะการใช้งาน 6 ปีเมื่อครบ 6 ปีแล้วจะมีการประเมินผลหลักสูตรรวบยอดทั้งหมดโดยนําข้อมูลตั้งแต่ระยะที่ 1 จนถึงระยะที่ 2 มารวบรวม วิเคราะห์และประเมินคุณค่าทั้งนี้อาจจะต้องอาศัยข้อมูลที่สําคัญอีกบางข้อมูลเช่นผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของ ผู้เรียนซึ่งได้แก่การนําไปใช้ในการดํารงชีวิตการประกอบอาชีพเข้ามาประกอบการวิเคราะห์และประเมินค่าด้วย 4. ขอบเขตในการประเมินหลักสูตร
  • 6. การประเมินผลหลักสูตรเป็นงานที่มีความซับซ้อนมีความกว้างขวางและมีความละเอียดอ่อนมากการ ประเมินผลหลักสูตรต้องคํานึงถึงปัจจัยหลายอย่างที่จะต้องนําเข้ามาเกี่ยวข้องในลักษณะที่มีความสัมพันธ์ต่อกัน การประเมินผลหลักสูตรมิได้หมายความว่าจะประเมินเฉพาะตัวหลักสูตรที่เป็นเอกสารจัดทําเป็นรูปเล่มเท่านั้น แต่ต้องประเมินสถานการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรทั้งหมดเช่นนักเรียนครูกระบวนการระบบต่างๆ โครงการต่างๆ ฯลฯ ข้อมูลต่างๆ ที่ได้จากการประเมินผลสภาพการณ์ดังกล่าวจะเป็นตัวชี้ได้ว่าหลักสูตรที่ใช้อยู่ เป็นอย่างไร จากแนวคิดดังกล่าวนักการศึกษาได้พยายามจัดรวบรวมสภาพการณ์ขั้นตอนต่างๆ จัดเป็นหมวดหมู่ หรือกําหนดขอบข่ายให้ชัดเจนขึ้นเพื่อสะดวกในการที่จะดําเนินการประเมินผลนักการศึกษาได้เสนอขอบข่าย ของการประเมินผลไว้ดังนี้ โบแชมป์ (Beauchamp. 1975: 177) ได้กําหนดขอบข่ายการประเมินหลักสูตรไว้ว่าควรประเมิน 4 ด้านคือ 1 .ประเมินผลการใช้หลักสูตร (Evaluation of Teacher use of the Curriculum) 2. ประเมินผลรูปแบบของหลักสูตร (Evaluation of the Design) 3. ประเมินผลการเรียนของนักเรียน (Evaluation of Pupil Outcomes) 4. ประเมินผลระดับหลักสูตร (Evaluation of Curriculum System) เซเลอร์และอเล็กซานเดอร์ (Saylor and Alexander, 1981: 265) ได้กล่าวถึงขอบเขตของการประเมิน หลักสูตรไว้ดังนี้ 1. การประเมินจุดมุ่งหมายของโรงเรียนจุดมุ่งหมายของหลักสูตรจุดมุ่งหมายเฉพาะวิชาและ จุดมุ่งหมายในการสอนเพื่อจะดูว่าจุดมุ่งหมายเหล่านั้นเหมาะสมกับตัวผู้เรียนสภาพแวดล้อมหรือไม่ มีความ เที่ยงตรงและครอบคลุมเพียงใด 2. การประเมินผลโครงการการศึกษาของโรงเรียนทั้งหมดเช่นการเตรียมพร้อมของโรงเรียนการ ดําเนินงานของกลุ่มโรงเรียนงบประมาณการเงินการแนะแนวห้องสมุดดูว่าการดําเนินงานโครงการต่างๆ ได้ ดําเนินการไปอย่างไรและมีประสิทธิภาพเพียงใด 3. การประเมินผลการเลือกเนื้อหาและการจัดประสบการณ์เรียนและกิจกรรมต่างๆ ว่าเหมาะสม เพียงใด 4. การประเมินผลการสอบเพื่อดูว่าการสอนของครูดําเนินไปโดยยึดตัวหลักสูตรหรือไม่การสอนได้ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียนไปตามที่ต้องการหรือไม่เพราะผลการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียนคือ ผลสัมฤทธิ์ในการสอนของครู
  • 7. 5. การประเมินผลโครงการประเมินผลเพื่อป้ องกันการผิดพลาดซึ่งจะทําให้การประเมินผลสัมฤทธิ์ ของหลักสูตรผิดพลาดไปด้วย สุมิตร คุณานุกร (2520: 198 – 202) ได้แสดงความคิดเห็นว่าการประเมินผลเพื่อตัดสินผลสัมฤทธิ์ของ หลักสูตรนั้นควรมีขอบเขตอยู่ 4 ประการคือ 1. การวิเคราะห์ตัวหลักสูตร 2. การวิเคราะห์กระบวนการนําหลักสูตรไปใช้ 3. การวิเคราะห์สัมฤทธิ์ผลการเรียนของเด็ก 4. การวิเคราะห์โครงการประเมินผล ใจทิพย์ เชื้อรัตนพงษ์ (2539 : 195 – 197) กล่าวว่าในการประเมินหลักสูตรนั้นสิ่งที่ต้องประเมิน สามารถแบ่งได้ดังนี้ 1. การประเมินเอกสารหลักสูตรเป็นการตรวจสอบคุณภาพขององค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตร 2. การประเมินการใช้หลักสูตรเป็นการตรวจสอบว่าหลักสูตรสามารถนําไปใช้กับสถานการณ์จริง เพียงใด 3. การประเมินสัมฤทธิ์ผลของหลักสูตรเป็นการตรวจสอบสัมฤทธิ์ผลของผู้เรียน 4. การประเมินระบบหลักสูตร สันต์ ธรรมบํารุง (2527: 141-142) ได้กําหนดขอบเขตการประเมินผลหลักสูตรไว้ดังนี้ 1. ประเมินหลักสูตรความมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ 2. ประเมินโครงการทั้งหมดของโรงเรียน 3. ประเมินโครงการเฉพาะส่วน 4. ประเมินการเรียนการสอน 5. ประเมินโครงการ การประเมินผล 6. ประเมินโครงการความสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนถึงการสอนด้วย 7. ประเมินโครงการของผู้เรียนจบออกไปว่าหางานทําได้หรือไม่ จากขอบเขตการประเมินผลหลักสูตรที่ยกมาเป็นตัวอย่างจะเห็นได้ว่า การประเมินหลักสูตรนั้น สามารถทําการประเมินได้ในขอบเขตที่แตกต่างกันอาจจะเป็นการประเมินในขอบเขตที่แคบ เช่น การประเมิน จุดมุ่งหมายของหลักสูตร หรือการประเมินในขอบเขตที่กว้าง เช่น การประเมินหลักสูตรทั้งระบบ ซึ่งขึ้นอยู่กับ จุดมุ่งหมายของการประเมินหรือสิ่งที่เราต้องการตรวจสอบและระยะของการประเมินดังกล่าวมาแล้ว 5. หลักเกณฑ์ในการประเมินหลักสูตร
  • 8. เนื่องจากการประเมินหลักสูตรเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนมาก ผู้ทําหน้าที่ประเมินผล จําเป็นต้อง ยึดหลักการที่สําคัญในการประเมินผลเพื่อที่จะทําให้การประเมินผลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลจากการ ประเมินหลักสูตรที่มีคุณค่าเพียงพอที่จะนําไปเป็นข้อมูลในการพัฒนาหลักสูตรได้จริง เป็นข้อมูลหรือหลักฐาน ที่เชื่อถือได้สูง มีความเที่ยงตรงเราจะพบว่าในการประเมินหลักสูตรผลจากการประเมินผลหลายต่อหลายเรื่อง มิได้ถูกนําไปใช้ก็ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทั้งๆ ที่การประเมินผลหลักสูตรแต่ละครั้งเป็นงานใหญ่ต้องลงทุนลงแรง สูง เพราะฉะนั้นในการประเมินหลักสูตรเพื่อให้ได้ผลการประเมินที่มีคุณค่า เราจึงมีหลักเกณฑ์ที่จะช่วยในการ ประเมินดังนี้ 1. มีจุดประสงค์ในการประเมินที่แน่นอน การประเมินผลหลักสูตรจะต้องกําหนดลงไปให้แน่นอน ชัดเจนว่าประเมินอะไร 2. มีการวัดที่เชื่อถือได้ โดยมีเครื่องมือและเกณฑ์การวัดซึ่งเป็นที่ยอมรับ 3. ข้อมูลเป็นจริงจําเป็นอย่างยิ่งสําหรับการประเมินผล ดังนั้น ข้อมูลจะต้องได้มาอย่างถูกต้องเชื่อถือ ได้และมากพอที่จะใช้เป็นตัวประเมินค่าหลักสูตรได้ 4. มีขอบเขตที่แน่นอนชัดเจนว่าเราต้องการประเมินในเรื่องใดแค่ไหน 5. ประเด็นของเรื่องที่จะประเมินอยู่ในช่วงเวลาของความสนใจ 6. การรวบรวมข้อมูลมาเพื่อกําหนดกฎเกณฑ์ และกําหนดเครื่องมือในการประเมินผลจะต้องพิจารณา อย่างรอบคอบ 7. การวิเคราะห์ผลการปะเมินต้องทําอย่างระมัดระวังรอบคอบ และให้มีความเที่ยงตรงใน การ พิจารณา 8. การประเมินผลหลักสูตรควรใช้วิธีการหลายๆ วิธี 9. มีเอกภาพในการตัดสินผลการประเมิน 10. ผลต่างๆ ที่ได้จากการประเมินควรนําไปใช้ในการพัฒนาหลักสูตรทั้งในด้านการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงในโอกาสต่อไป เพื่อให้ได้หลักสูตรที่ดี และมีคุณค่าสูงสุดตามที่ต้องการ 6. ขั้นตอนในการประเมินหลักสูตร การประเมินหลักสูตรเป็นกระบวนการในการพิจารณาคุณค่าหรือนิยม (Worth or Value) ของ หลักสูตร ขั้นตอนหรือวิธีการประเมินจึงมีความสําคัญมาก ซึ่งนักศึกษาหลายท่านได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ ขั้นตอนในการประเมินหลักสูตรดังนี้ ทาบา (Taba, 1962: 324) ให้แนวทางในการประเมินผลหลักสูตรเป็นกระบวนการมีขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
  • 9. 1. วิเคราะห์และตีความตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตรให้มองเห็นกระจ่างชัดในเชิงพฤติกรรมคือ ปฏิบัติได้จริง (Formulation and Clarification for Objective) 2. คัดเลือกและสร้างเครื่องมือที่เหมาะสมสําหรับค้นหาหลักสูตร (Selection and Construction of the Appropriate Instruments for Getting Evidences) 3. ใช้เครื่องมือที่สร้างขึ้นประเมินผลหลักสูตรตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ (Application of Evaluative Criteria) 4. รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับภูมิหลังจากนักเรียนและลักษณะของการสอนเพื่อนํามาประกอบในการแปร ผลของการประเมิน (Information on the Background of Students and the Nature of Instruction in the Light Which to Interpret the Evidences) ใจทิพย์ เชื้อรัตนพงษ์ (2539: 198-202) กล่าวว่า ในการประเมินหลักสูตรนั้นผู้ประเมินผลควรดําเนิน ตามขั้นตอนอย่างเป็นระบบดังนี้ คือ 1. ขั้นกําหนดวัตถุประสงค์ของการประเมินหลักสูตร ผู้ประเมินหลักสูตรต้องกําหนดวัตถุประสงค์ และเป้ าหมายของการประเมินให้ชัดเจนก่อนว่า จะประเมินส่วนใดหรืออย่างใดและในแต่ละเรื่องจะศึกษา บางส่วนในเรื่องนั้นๆ ก็ได้ 2. ขั้นวางแผนออกแบบการประเมิน คือ 2.1 การกําหนดกลุ่มตัวอย่าง 2.2 การกําหนดแหล่งข้อมูล 2.3 การพัฒนาเครื่องมือและวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 2.4 การกําหนดเกณฑ์ในการประเมิน 2.5 การกําหนดเวลา 3. ขั้นรวบรวมข้อมูล 4. ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล 5. ขั้นรายงานผลการประเมิน จากขั้นตอนในการประเมินหลักสูตรที่กล่าวมาทั้งหมด สามารถสรุปขั้นตอนการประเมินหลักสูตรได้ ดังนี้ 1. ขั้นกําหนดวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายในการประเมิน การกําหนดจุดมุ่งหมายในการประเมินเป็น ขั้นตอนแรกของกระบวนการในการดําเนินการประเมินหลักสูตร ผู้ประเมินต้องกําหนดวัตถุประสงค์และ เป้ าหมายของการประเมินให้ชัดเจนว่าจะประเมินอะไร ในส่วนใดด้วยวัตถุประสงค์อย่างไร เช่น ต้องการ ประเมินเอกสารหลักสูตรเพื่อดูว่าเอกสารหลักสูตรถูกต้องสมบูรณ์สามารถนําไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพแค่ ไหน หรือจะประเมินการนําหลักสูตรไปใช้ในเรื่องอะไรแค่ไหน หรือการนําหลักสูตรไปใช้ทั้งหมด หรือจะ
  • 10. ประเมินหลักสูตรทั้งระบบการกําหนดวัตถุประสงค์ในการประเมินที่ชัดเจนทําให้เราสามารถกําหนดวิธีการ เครื่องมือ และขั้นตอนในการประเมินได้อย่างถูกต้อง และทําให้การประเมินหลักสูตรดําเนินไป 2. ขั้นกําหนดหลักเกณฑ์วิธีการที่จะใช้ในการประเมินผล การกําหนดเกณฑ์และวิธีการประเมิน เปรียบเสมือนเข็มทิศที่จะนําไปสู่เป้ าหมายของการประเมินเกณฑ์การประเมินจะเป็นเครื่องบ่งชี้คุณภาพในส่วน ของหลักสูตรที่ถูกประเมิน การกําหนดวิธีการที่จะใช้การประเมินผลทําให้เราสามารถดําเนินงานไปตามขั้นตอน ได้อย่างราบรื่น 3. ขั้นการสร้างเครื่องมือและวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินหรือเครื่องมือที่ ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นสิ่งที่มีความสําคัญที่จะมีผลทําให้การประเมินนั้นน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินหรือเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจึงเป็นขั้นตอนที่สําคัญ ซึ่งผู้ประเมินจะต้องเลือกใช้และสร้างอย่างมีคุณภาพมีความเชื่อถือได้ และมีความเที่ยงตรงสูง 4. ขั้นเก็บรวบรวมข้อมูล ในขั้นการรวบรวมข้อมูลนั้นผู้ประเมินต้องเก็บรวบรวมข้อมูลตามขอบเขต และระยะเวลาที่กําหนดไว้ ในบางครั้งถ้าจําเป็นต้องอาศัยผู้อื่นในการรวบรวมข้อมูล ควรพิจารณาผู้ที่จะมาทํา หน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูลที่มีความเหมาะสม เพราะผู้เก็บรวบรวมข้อมูลมีส่วนช่วยให้ข้อมูลที่รวบรวมได้มีความ เที่ยงตรงและน่าเชื่อถือ 5. ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล ในขั้นนี้ผู้ประเมินจะต้องกําหนดวิธีการจัดระบบข้อมูล พิจารณาเลือกใช้สถิติใน การวิเคราะห์ที่เหมาะสม แล้วจึงวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้น โดยเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่ได้กําหนดไว้ 6. ขั้นสรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลและรายงานผลการประเมิน ในขั้นนี้ผู้ประเมินจะสรุปและรายงานผล การวิเคราะห์ข้อมูลในขั้นต้น ผู้ประเมินจะต้องพิจารณารูปแบบของการรายงานผลว่าควรจะเป็นรูปแบบใด และ การรายงานผลจะมุ่งเสนอข้อมูลที่บ่งชี้ให้เห็นว่าหลักสูตรมีคุณภาพหรือไม่ เพียงใด มีส่วนใดบ้างที่ควรแก้ไข ปรับปรุงหรือยกเลิก 7. ขั้นนําผลที่ได้จากการประเมินไปพัฒนาหลักสูตรในโอกาสต่อไป 7. ประโยชน์ของการประเมินหลักสูตร การประเมินผลหลักสูตรเป็นสิ่งสําคัญและจําเป็นอย่างยิ่งที่จะทําให้เราทราบถึงคุณภาพและ ประสิทธิภาพของหลักสูตร การประเมินผลมีประโยชน์ในการจัดการศึกษาการจัดทําหรือพัฒนาหลักสูตรต้อง อาศัยผลการประเมินผลเป็นสําคัญ ประโยชน์ของการประเมินผลหลักสูตรมีดังนี้ 1. ทําให้ทราบหลักสูตรที่สร้างหรือพัฒนาขึ้นนั้นมีจุดดีหรือจุดเสียตรงไหน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ใน การวางแผนปรับปรุงได้ถูกจุด ส่งผลให้หลักสูตรมีคุณภาพดียิ่งขึ้น 2. สร้างความน่าเชื่อถือ ความมั่นใจ และค่านิยมที่มีต่อโรงเรียนให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน
  • 11. 3. ช่วยในการบริหารทางด้านวิชาการ ผู้บริหารจะได้รู้ว่าควรจะตัดสินใจและสนับสนุนช่วยเหลือ หรือ บริการทางด้านใดบ้าง 4. ส่งเสริมให้ประชาชนมีความเข้าใจในความสําคัญของการศึกษา 5. ส่งเสริมให้ผู้ปกครองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโรงเรียนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้การเรียนการสอน นักเรียนได้ผลดี ด้วยความร่วมมือกันทั้งทางโรงเรียนและทางบ้าน 6. ให้ผู้ปกครองทราบความเป็นไปอย่างสมํ่าเสมอ เพื่อหาทางส่งเสริมและปรับปรุงแก้ไขร่วมกัน ระหว่างผู้ปกครองนักเรียนกับทางโรงเรียน 7. ช่วยให้การประเมินผลเป็นระบบระเบียบ เพราะมีเครื่องมือ และหลักเกณฑ์ทําให้เป็นเหตุผลในทาง วิทยาศาสตร์มากขึ้น 8. ช่วยชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของหลักสูตร 9. ช่วยให้สามารถวางแผนการเรียนในอนาคตได้ ข้อมูลของการประเมินผลหลักสูตรทําให้ทราบ เป้ าหมายแนวทาง และขอบเขตในการดําเนินการจัดการศึกษาของโรงเรียน 8. ปัญหาในการประเมินหลักสูตร ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนต้นว่า การประเมินหลักสูตรเป็นงานที่มีขอบเขตกว้างขวาง มีขั้นตอนในการ ปฏิบัติงานหลายขั้นตอน และต้องเกี่ยวกับบุคคลหลายฝ่าย ดังนั้น ในการประเมินหลักสูตรจึงมักพบกับปัญหาใน แต่ละขั้นตอนหรือแต่ละกระบวนการที่แตกต่างกันไปปัญหาที่มักพบทั่วไปในการประเมินหลักสูตรมีดังนี้ 1. ปัญหาด้านการวางแผนการประเมินหลักสูตร การประเมินหลักสูตรมักไม่มีการวางแผนล่วงหน้า ทําให้ขาดความละเอียดรอบคอบในการประเมินผล และไม่ครอบคลุมสิ่งที่ต้องการประเมิน 2. ปัญหาด้านเวลา การกําหนดเวลาไม่เหมาะสมการประเมินหลักสูตรไม่เสร็จตามเวลาที่กําหนด ทํา ให้ได้ข้อมูลเนิ่นช้าไม่ทันต่อการนํามาปรับปรุงหลักสูตร 3. ปัญหาด้านความเชี่ยวชาญของคณะกรรมการประเมินหลักสูตร คณะกรรมการประเมินหลักสูตรไม่ มีความรู้ความเข้าใจเรื่องหลักสูตรที่จะประเมิน หรือไม่มีความเชี่ยวชาญในการประเมินผล ทําให้ผลการประเมิน ที่ได้ไม่น่าเชื่อถือ ขาดความระเอียดรอบคอบ ซึ่งมีผลทําให้การแก้ไขปรับปรุงปัญหาของหลักสูตรไม่ตรง ประเด็น 4. ปัญหาด้านความเที่ยงตรงของข้อมูล ข้อมูลที่ไม่ใช้ในการประเมินไม่เที่ยงตรงเนื่องจาก ผู้ ประเมินมีความกลัวเกี่ยวกับผลการประเมิน จึงทําให้ไม่ได้เสนอข้อมูลตามสภาพความเป็นจริงหรือ ผู้ถูก ประเมินกลัวว่าผลการประเมินออกมาไม่ดี จึงให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับสภาพความเป็นจริง
  • 12. 5. ปัญหาด้านวิธีการประเมิน การประเมินหลักสูตรส่วนมากมาจากประเมินในเชิงปริมาณ ทําให้ได้ ข้อค้นพบที่ผิวเผินไม่ลึกซึ้ง จึงควรมีการประเมินผลที่ใช้วิธีการประเมินเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพควบคู่กัน เพื่อให้ได้ผลสมบูรณ์และมองเห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น 6. ปัญหาด้านการประเมินหลักสูตรทั้งระบบ การประเมินหลักสูตรทั้งระบบมีการดําเนินงานน้อยมาก ส่วนมากมักจะประเมินผลเฉพาะด้าน เช่น ด้านผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนในด้านวิชาการ (Academic Achievement) เป็นหลัก ทําให้ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด 7. ปัญหาด้านการประเมินหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง คณะกรรมการประเมินหลักสูตรหรือผู้ที่เกี่ยวข้องมัก ไม่ประเมินหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง 8. ปัญหาด้านเกณฑ์การประเมิน เกณฑ์การประเมินหลักสูตรไม่ชัดเจน ทําให้ผลการประเมินไม่เป็นที่ ยอมรับ และไม่ได้นําผลไปใช้ในการปรับปรุงหลักสูตรอย่างจริงจัง 9. รูปแบบของการประเมินหลักสูตร ในเรื่องรูปแบบของการประเมินหลักสูตร มีนักวิชาการซึ่งเชี่ยวชาญทางด้านหลักสูตรและการ ประเมินผลเสนอแนะหลายรูปแบบด้วยกันซึ่งสามารถนํามาศึกษาเพื่อเลือกใช้ให้เหมาะสมกับความต้องการ ใน ปัจจุบันรูปแบบของการประเมินหลักสูตรสามรถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1. รูปแบบของการประเมินหลักสูตรที่สร้างเสร็จใหม่ๆ เป็นการประเมินผลก่อนนําหลักสูตร ไปใช้ กลุ่มนี้จะเสนอรูปแบบที่เด่นๆ คือ รูปแบบการประเมินหลักสูตรด้วยเทคนิคการวิเคราะห์แบบ ปุยแชงค์ (Puissance Analysis Technique) 2. รูปแบบของการประเมินหลักสูตรในระหว่างหรือหลังการใช้หลักสูตรสามารถแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ ได้เป็น 4 กลุ่ม คือ 2.1 รูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ยึดจุดมุ่งหมายเป็นหลัก (Goal Attainment Model) เป็นรูปแบบ การประเมินที่จะประเมินว่าหลักสูตรมีคุณค่ามากน้อยเพียงใด โดยพิจารณาจากจุดมุ่งหมายเป็นหลัก กล่าวคือ พิจารณาว่าผลที่ได้รับเป็นไปตามจุดมุ่งหมายหรือไม่ เช่น รูปแบบการประเมินหลักสูตรของไทเลอร์ (Ralph W. Tyler) และรูปแบบการประเมินหลักสูตรของแฮมมอนด์ (Rabert L. Hammond) 2.2 รูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ไม่ยึดเป้ าหมาย (Goal Free Evaluation Model) เป็นรูปแบบการ ประเมินที่ไม่นําความคิดของผู้ประเมินเป็นตัวกําหนดความคิดในโครงการประเมินผู้ประเมินจะประเมิน เหตุการณ์ที่เกิดตามสภาพความเป็นจริง มีความเป็นอิสระในการประเมินและ ไม่ต้องมีความลําเอียง เช่น รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสคริฟเวน (Michael Scriven)
  • 13. 2.3 รูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ยึดเกณฑ์เป็นหลัก (Criterion Model) เป็นรูปแบบการประเมิน ที่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการตัดสินคุณค่าของหลักสูตรโดยใช้เกณฑ์เป็นหลัก เช่น รูปแบบการประเมิน หลักสูตรของสเตค (Robert E. Stake) 2.4 รูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ช่วยในการตัดสินใจ (Decision-Mzking Model) เป็นรูปแบบ การประเมินที่เน้นการทํางานอย่างมีระบบเกี่ยวกับการรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการเสนอผลที่ได้ จากการวิเคราะห์ข้อมูลนั้นๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหารหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น รูปแบบการประเมิน ของโพรวัส(Malcolm Provus) รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสตัฟเฟิลบีม(Daniel L. Stufflebeam) และ รูปแบบการประเมินหลักสูตรของดอริสโกว์ (Doris T. Gow) เป็นต้น การประเมินหลักสูตรมีขอบเขตต่างๆ ที่จะต้องทําการประเมินกว้างขวางมาก ดังนั้นวิธีการประเมิน หลักสูตรจึงต้องได้รับการวิเคราะห์และออกแบบให้สามารถที่จะประเมินได้ครบถ้วนในขอบข่ายสาระทั้งหมด รูปแบบต่างๆ ที่จะใช้ประเมินผลมีหลายรูปแบบ ผู้มีหน้าที่ในการประเมินผลจําเป็นต้องเรียนรู้ทําความเข้าใจให้ กระจ่างชัด และจะต้องนํารูปแบบต่างๆ ไปใช้อย่างถูกต้องตรงตามจุดหมายและลักษณะของขอบข่ายสาระแต่ละ อย่าง ทั้งนี้เป็นไปได้ว่าการประเมินผลขอบข่ายสาระทั้งหมดของหลักสูตรจําเป็นต้องใช้วิธีการหลายวิธีหรือ หลายๆ รูปแบบจึงจะได้ข้อมูลที่มีความเชื่อมั่นในการที่จะนําไปพัฒนาหลักสูตรให้มีคุณค่าเหมาะสมกับความ ต้องการของสังคม รูปแบบการประเมินมีดังนี้ 9.1 รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสเตค (The Stake’s Congruence Contingency Model) รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสเตคเป็นรูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ยึดเกณฑ์เป็นหลักสูตร สเตคได้ให้ความหมายของการประเมินหลักสูตรว่า เป็นการบรรยายและการตัดสินคุณค่าของหลักสูตร ซึ่งเน้น เรื่องการบรรยายสิ่งที่จะถูกประเมิน โดยอาศัยผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิในการตัดสินคุณค่า สเตคมี จุดมุ่งหมายที่จะประเมินผลหลักสูตรโดยการประเมิน ดังนั้น สเตคจึงเสนอว่าควรมีการพิจารณาข้อมูลเพื่อ ประเมินผลหลักสูตร 3 ด้าน คือ 1. ด้านสิ่งที่มาก่อน หรือสภาพก่อนเริ่มโครงการ (Antecedent) หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่เอื้อให้เกิดผลจาก หลักสูตรและเป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนการใช้หลักสูตรอยู่แล้วประกอบด้วย 7 หัวข้อ คือ บุคลิกและนิสัยของนักเรียน บุคลิกและนิสัยครู 2. ด้านเนื้อหาในหลักสูตร วัสดุอุปกรณ์ การเรียนการสอน อาคารสถานที่ การจัดโรงเรียน ลักษณะ ของชุมชนขณะที่มีการเรียนการสอนระหว่างนักเรียนกับนักเรียน นักเรียนกับครู ครูกับผู้ปกครอง ฯลฯ เป็นขั้น
  • 14. ของการใช้หลักสูตร ซึ่งประกอบด้วย 5 หัวข้อ คือ การสื่อสาร การจัดแบ่งเวลา การลําดับเหตุการณ์ การให้ กําลังใจ และบรรยากาศของสิ่งแวดล้อม 3. ด้านผลผลิต หรือผลที่ได้รับจากโครงการ (Outcomes) หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นจากการใช้หลักสูตร ประกอบด้วย 5 หัวข้อ คือ ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน ทัศนคติของนักเรียน ทักษะของนักเรียน ผลที่เกิดขึ้นกับครู และผลที่เกิดขึ้นกับสถาบันซึ่งรูปแบบการประเมินหลักสูตรของสเตคแสดงให้เห็นเป็นตาราง 3 ดังนี้ ตาราง 3 วิเคราะห์หลักสูตรของสเตค เกณฑ์ในการวิเคราะห์หลักสูตร ข้อมูลสําหรับการวิเคราะห์หลักสูตร ข้อมูลเชิงบรรยาย ข้อมูลเชิงตัดสิน ผลที่คาดหวัง ผลที่เกิดขึ้น มาตรฐานที่ใช้ การตัดสินใจ 1. สภาพก่อนเริ่มโครงการ - บุคลิกและนิสัยของนักเรียน - บุคลิกและนิสัยของครู - เนื้อหาในหลักสูตร - อุปกรณ์การเรียนการสอน - บริเวณโรงเรียน - ชุมชน 2. กระบวนการในการเรียน - การสื่อสาร - เวลาที่จัดให้ - ลําดับของเหตุการณ์ - การให้กําลังใจ - สภาพสังคมหรือบรรยากาศ 3. ผลที่ได้รับจากโครงการ - ความสําเร็จของนักเรียน - ทัศนคติของนักเรียน - ทักษะของนักเรียน - ผลที่ครูได้รับ -ผลที่สถาบันได้รับ จากแบบตัวอย่างของสเตคนี้จะเห็นว่าขั้นตอนในการประเมินผลหลักสูตรจะเป็นดังนี้ คือ 1. การตั้งเกณฑ์ในการวิเคราะห์หลักสูตร
  • 15. สเตคได้เสนอหัวข้อของเกณฑ์ที่จะใช้ในการวิเคราะห์หลักสูตรได้ 3 หัวข้อ คือ เรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่มีมา ก่อนกระบวนการในการสอน และผลที่เกิดขึ้น เขาให้ความคิดเห็นว่าการประเมินจากผลที่ได้รับนั้นยังไม่ พอที่จะประเมินว่าหลักสูตรนั้นดีหรือไม่เพียงใดเพราะผลที่ได้นั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบอีกหลายอย่างเป็นต้นว่า หากผู้เรียนไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ก็มิได้หมายความว่าหลักสูตรนั้นเป็นหลักสูตรที่ไม่ดี การที่ ผู้เรียนไม่สามารถเรียนได้ตามที่ต้องการ อาจมาจากองค์ประกอบทางด้านเวลา เช่น ให้เวลาแก่ผู้เรียนน้อยไป เวลาที่จัดให้ไม่เหมาะสม ดังนั้น การที่จะช่วยดูแต่ผลที่ได้รับและนํามาประเมินค่าหลักสูตรนั้นเป็นการไม่เพียงพอและอาจจะ ไม่สามารถช่วยชี้ช่องทางการปรับปรุงหลักสูตรนั้นแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้ สเตคจึงได้เสนอว่าควรมีการพิจารณา ข้อมูลเพื่อประเมินผลหลักสูตรถึง 3 ด้านดังที่กล่าวมาแล้ว 2. การหาข้อมูลมาประกอบ หลังจากที่ได้ตั้งเกณฑ์ขึ้นมาเพื่อนํามาเป็นแนวทางในการประเมินผลหลักสูตรแล้วผู้ประเมินผล หลักสูตรจะต้องทําการเก็บรวบรวม ข้อมูลเพื่อนํามาพิจารณาตามแบบตัวอย่างของสเตคแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1. ส่วนที่เป็นการบรรยายหรือเรียกว่า “ข้อมูลเชิงบรรยาย” (Descriptive Data) ประกอบด้วยข้อมูล 2 ชนิด คือ 1.1 ข้อมูลที่อธิบายสิ่งที่คาดหวังของหลักสูตรเกี่ยวกับสิ่งที่มาก่อนกระบวนการเรียน การสอน และผลผลิตของหลักสูตร 1.2 ข้อมูลที่อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติจริงซึ่งสังเกตได้หรือทดสอบได้เกี่ยวกับสิ่งที่มีก่อน กระบวนการเรียนการสอน ผลผลิตของหลักสูตร ผู้ประเมินจะต้องอธิบายความสัมพันธ์ (Contingency) ระหว่างสิ่งที่มาก่อน (Antecedents) กระบวนการเรียนการสอน (Transactions) และผลผลิต (Outcomes) ของหลักสูตรและการศึกษาความ สอดคล้อง (Congruence) ระหว่างสิ่งที่คาดหวังและสิ่งที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่อย่างไรจากการพิจารณาข้อมูลใน ลักษณะแนวตั้งและแนวนอนนี้ สรุปเป็นแผนภูมิเกี่ยวกับการวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์และความสอดคล้องของ หลักสูตร ดังภาพประกอบ 30 ต่อไปนี้ ข้อมูลที่อธิบายสิ่งที่คาดหวัง ข้อมูลที่อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น ความสอดคล้อง ความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์ สิ่งที่มีมาก่อน สิ่งที่มีก่อน
  • 16. ความสอดคล้อง ความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์ ความสอดคล้อง ภาพประกอบ 31 แสดงการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงบรรยายเพื่อหาความสัมพันธ์และความสอดคล้องของ หลักสูตร 2. ส่วนที่เป็นการพิจารณาตัดสินคุณค่าของหลักสูตร หรือที่เรียกว่า “ข้อมูลเชิงตัดสิน” (Judgemental Data) ประกอบด้วยข้อมูล 2 ชนิด คือ 2.1 ข้อมูลที่เป็นเกณฑ์มาตรฐาน (Standards) ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ เช่นครู ผู้บริหาร นักเรียน ผู้ปกครอง ฯลฯ เชื่อว่าควรจะใช้ 2.2 ข้อมูลที่เป็นการตัดสินของบุคคลต่างๆ ซึ่งเป็นความรู้สึกนึกคิดตัดสินคุณภาพและความเหมาะสม ของบุคคลต่างๆ ผู้ประเมินจะต้องตัดสินคูณค่าของหลักสูตรโดยใช้ข้อมูลที่เป็นเกณฑ์มาตรฐานและข้อมูลที่เป็น การตัดสินของบุคคลต่างๆ มาประกอบการพิจารณาตัดสินว่าหลักสูตรมีส่วนใดดีหรือส่วนใดไม่ดี 3. วิธีการใช้ตารางในการประเมินผลของหลักสูตร เริ่มต้นด้วยการพิจารณาข้อมูลทั้ง 4 หมวด ตามเกณฑ์ที่ตั้งขึ้น เช่น จากตารางแบบตัวอย่างของ สเตค จะเริ่มที่ข้อ ก. ด้านสิ่งที่มีมาก่อนข้อ ก.1 บุคลิกและนิสัยของนักเรียน เราก็จะพิจารณาว่าผลที่คาดหวังหรือ วัตถุประสงค์ในด้านนี้คืออะไร และนํามาเปรียบเทียบกับผลที่เกิดขึ้นว่าตรงหรือสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ หรือไม่เพียงใด และผลที่เกิดขึ้นนั้นใช้มาตรฐานอะไรวัดและถืออะไรเป็นหลักในการตัดสินยกตัวอย่าง เช่น ใน เรื่องของบุคลิกและนิสัยของนักเรียน ผลที่คาดหวัง : ต้องการนักเรียนที่มีลักษณะความเป็นผู้นํากล้าซักถามโต้ตอบและโต้แย้ง ผลที่เกิดขึ้น : ได้นักเรียนที่มีลักษณะความเป็นผู้นําประมาณ 20% และได้นักเรียนที่มีลักษณะความ เป็นผู้นําตาม 80% กระบวนการ เรียนการสอน กระบวนการ เรียนการสอน ผลผลิต ผลผลิต
  • 17. มาตรฐานที่ใช้ : ควรและนักบริหารการศึกษาเห็นว่านักเรียน 100% ควรมีทั้งลักษณะความเป็นผู้นํา และผู้ตามอยู่ในตัว ที่มาของหลักสูตรการตัดสิน : สังคมประชาธิปไตย จากการเปรียบเทียบเกณฑ์ข้อมูลในหมวดต่างๆ ในลักษณะข้างต้น ผู้ประเมินจะสามารถเห็นว่า หลักสูตรนั้นมีความสอดคล้องกันหรือไม่ในด้านทฤษฎีและการปฏิบัติ นอกจากนั้นการพิจารณาข้อมูลตามแนวตั้ง ผู้ประเมินนั้นจะพบว่าหลักสูตรนั้นมีความสัมพันธ์ในตัว กันหรือไม่ ตัวอย่างเช่น ในเรื่องบุคลิกและนิสัยของนักเรียน ภาพประกอบ 32 แสดงความสัมพันธ์ในการประเมินหลักสูตร ผลที่คาดหวัง นักเรียนที่มีลักษณะความเป็นผู้นํา ผลที่เกิดขึ้น ได้นักเรียนที่มีลักษณะความเป็นผู้นํา 20% และมีลักษณะความเป็นผู้ตาม 80% ผลที่คาดหวัง การสอนที่มีลักษณะเป็น The way Communication ผลที่เกิดขึ้น ครูส่วนใหญ่สอนโดยใช้ One way Communication และในเรื่องของกระบวนการในการสอนหรือสื่อสารข้อมูลสื่อสารปรากฏว่า
  • 18. ในลักษณะเช่นนี้ การเปรียบเทียบข้อมูลตามแนวตั้งของหลักลูกศร ผู้ประเมินหลักสูตรจะสามารถ ตรวจสอบได้ทันทีว่าการจัดการทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านสิ่งที่มีมาก่อน กระบวนการในการสอน และผลที่เกิดขึ้นนั้นมี ความสัมพันธ์กันถูกต้องหรือไม่ การวิเคราะห์ถึงความสอดคล้องกับความสัมพันธ์กันของหลักสูตรนี้จะเป็นแนวทางชี้ให้เห็นถึง ข้อบกพร่องต่างๆ ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการปรับปรุงหลักสูตรเป็นอันมาก 9.2 รูปแบบของการประเมินหลักสูตรของสตัฟเฟิลบีม (Stufflebeam) แดเนียลแอลสตัฟเฟิลบีม (Daniel L. Stufflebeam) ได้อธิบายความหมายของการประเมินผลทาง การศึกษาเอาไว้ว่าเป็นกระบวนการการบรรยายการหาข้อมูล และการให้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจหาทางเลือก ฉะนั้นรูปแบบการประเมินผลหลักสูตรตามแนวคิดขอลสตัฟเฟิลบีมจึงเป็นรูปแบบเหมาะสมแก่การช่วย ตัดสินใจเพื่อหาทางเลือกที่ดีที่สุด ตามปกติสถานการณ์ในการตัดสินใจ (Decision Settingt) โดยทั่วไปจะประกอบด้วยมิติที่สําคัญ 2 ประการ คือ 1. มิติด้านข้อมูลที่มีอยู่ (Information Grasp) คือถ้าเราจะตัดสินใจทําอะไรสักอย่าง เราจําเป็นต้อง คํานึงว่าเรามีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้นอยู่มากน้อยเพียงใด 2. มิติด้านปริมาณความเปลี่ยนแปลงที่ต้องการให้เกิดขึ้น (Degree of Cange) คือความหมายว่าถ้าเรา จะตัดสินใจทําอะไรสักอย่างหนึ่ง เราต้องคํานึงว่าเมื่อทําไปแล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจากเดิมมากน้อยสักแค่ ไหน จากรูปแบบการประเมินผลหลักสูตรตามแนวคิดของสตัฟเฟิลบีมแสดงให้เห็นว่า 1. สถานการณ์ตัดสินใจที่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย แต่ทว่าข้อมูลที่จะช่วยให้การ ตัดสินใจนั้นมีอยู่มากสถานการณ์การตัดสินใจอย่างนี้เรียกว่า Homeostatic 2. สถานการณ์ตัดสินใจที่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยและข้อมูลที่จะช่วยในการ ตัดสินใจก็มีอยู่น้อย สถานการณ์การตัดสินใจอย่างนี้เรียกว่า Incremental 3. สถานการณ์ตัดสินใจที่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก แต่ว่าข้อมูลที่จะช่วยในการตัดสินใจ มีอยู่น้อย สถานการณ์การตัดสินใจอย่างนี้เรียกว่า Neomobilistic 4. สถานการณ์ตัดสินใจที่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก และข้อมูลที่ช่วยในการตัดสินใจก็มี อยู่มาก สถานการณ์การตัดสินใจอย่างนี้เรียกว่า Metamorphism จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า การตัดสินใจนั้นไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบใดก็ตามก็จําเป็นต้องอาศัย ข้อมูลเชิงประมาณ (Evaluation Data) มาช่วยเป็นพื้นฐาน เพราะการตัดสินใจใดๆ ของผู้บริหารที่ไม่ใช่ข้อมูล
  • 19. เชิงประมาณมาเป็นพื้นฐานในการหาทางเลือกย่อมเสี่ยงต่อความล้มเหลวในการดําเนินงานตามทางเลือกนั้น อย่างมาก ส่วนการตัดสินใจทางการตัดสินใจนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจะจัดเนื้อหาวิชาในหลักสูตรอย่างไรจะจัดการ เรียนการสอนด้วยวิธีไหน จะใช้สื่อการเรียนการสอนอะไร จะจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรอะไร ถ้าพิจารณาในแง่ ของวิธีการกับผลที่เกิดขึ้นและสิ่งที่คาดหวังกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริง เราอาจจําแนกการตัดสินใจออกได้เป็น 4 ประเภท คือ ภาพประกอบ 33 แสดงประเภทและความสัมพันธ์ Stufflebeam ต่อสิ่งที่คาดหวังและสิ่งที่เป็นจริง 1. Planning Decisions เป็นการตัดสินใจโดยคาดหวังว่าเราต้องการให้เกิดผลทางการศึกษาอย่างไร เช่นหลังจากที่นักเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ไปแล้วนักเรียนควรจะมีคุณสมบัติที่เด่นๆ อย่างไรบ้าง ฉะนั้น การตัดสินใจชนิดนี้จึงนํามาเป็นประโยชน์ในการกําหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตรหรือในการวางแผนจัด การศึกษาได้เป็นอย่างดี จึงเรียกการตัดสินใจอย่างนี้ว่าการตัดสินใจเกี่ยวกับการวางแผน 2. Structuring Decisions เป็นการตัดสินใจโดยคาดหวังว่าถ้าต้องการให้เกิดผลทางการศึกษาตามที่ คาดหวังไว้ในข้อ 1 นั้นเราควรจะวางโครงสร้างหรือวางรูปแบบของการใช้หลักสูตรที่พึ่งประสงค์เอาไว้อย่างไร เช่น ถ้าจะให้นักเรียนมีคุณสมบัติตรงตามที่คาดหวังเอาไว้นั้น โรงเรียนควรจัดสภาพแวดล้อมอย่างไรการ บริหารงานควรเป็นแบบใด ครูควรจัดการเรียนการสอนอย่างไร ควรให้มีกิจกรรมเสริมหลักสูตรอะไรบ้าง ฯลฯ จึงเรียกการตัดสินใจแบบนี้ว่าการตัดสินใจเกี่ยวกับโครงสร้าง (1) การตัดสินใจเกี่ยวกับการวางแผน Planning (4) การตัดสินใจเกี่ยวกับคุณสมบัติที่พึง ประสงค์ (Recyccling) (2) การตัดสินใจเกี่ยวกับโครงสร้าง (Structuring) (3) การตัดสินเกี่ยวกับการนําไปใช้ (Implementing) สิ่งที่คาดหวัง สิ่งที่เป็นจริง ผลที่เกิดขึ้น วิธีการ