SlideShare a Scribd company logo
1 of 28
คูมือการบวช 
คุณสมบัติของผูที่จะบวชได  
การเตรียมตัวกอนบวช  
พิธีการบวชแบบมหานิกาย (อุกาสะ)  
พิธีการบวชแบบธรรมยุต (เอสาหัง)  
ขอหามและศีลสําหรับสมณเพศ  
บทกิจวัตร แสดงอาบัติ ลาสิกขา 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
คุณสมบัติของผูที่จะบวชได
ครั้งหนึ่งในชีวิตของลูกผูชาย การไดบวชถือเปนมหากุศล
อันยิ่งใหญ ผลบุญจะแผไปถึงบุคคลผูใกลชิด และลบลาง
กรรมชั่วในอดีตได ตามแตกําลังการบําเพ็ญตน หรือหาก
ทานยินดีที่จะดํารงสถานภาพของสมณเพศไปจนตลอด
ชีวิต ก็นับวาเปนการอุทิศตนชวยธํารงคไวซึ่งการสืบตอ
อายุของพระพุทธศาสนา ไปจนตราบชั่วกาลนาน
การคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมจะมาอยูในสมณเพศถือวามี
สวนสําคัญมาก การหละหลวมในการพิจารณาคุณสมบัติ
เบื้องตนของผูที่จะมาบวช ใหคนทั่วไปเขากราบไหวนับถือ
มีสวนทําใหสถาบันศาสนาสั่นคลอน ดังจะเห็นไดจากสิ่งที่
เคยเกิดขึ้นวา คนเคยตองโทษจําคุกในคดีอาญามาบวช
เปนพระ ก็นอกจากจะไมอยูในศีลแลว ยังกอคดีอุกฉกรรจ
อีกจนได
๏ ผูที่จะบวชเปนสามเณรหรือพระไดตองมีคุณสมบัติ
ดังนี้
๑. เปนสุภาพชนที่มีความประพฤติดีประพฤติชอบ ไมมีความประพฤติเสียหาย เชน ติดสุราหรือยาเสพติด
ใหโทษเปนตน และไมเปนคนจรจัด
๒. มีความรูอานและเขียนหนังสือไทยได
๓. ไมเปนผูมีทิฏฐิวิบัติ
๔. ไมเปนคนลมละลาย หรือมีหนี้สินผูกพัน
๕. เปนผูปราศจากบรรพชาโทษ และมีรางกายสมบูรณ อาจบําเพ็ญสมณกิจได ไมเปนคนชราไร
ความสามารถหรือทุพพลภาพ หรือพิกลพิการ
๖. มีสมณบริขารครบถวนและถูกตองตามพระวินัย
๗. เปนผูสามารถกลาวคําขอบรรพชาอุปสมบทไดดวยตนเอง และถูกตองไมวิบัติ
๏ ตอไปนี้เปนลักษณะตองหามสําหรับผูจะบวชไดแก
๑. เปนคนทําความผิด หลบหนีอาญาแผนดิน
๒. เปนคนหลบหนีราชการ
๓. เปนคนตองหาในคดีอาญา
๔. เปนคนเคยถูกตัดสินจําคุกฐานเปนผูรายสําคัญ
๕. เปนคนถูกหามอุปสมบทเด็ดขาดทางพระศาสนา
๖. เปนคนมีโรคติดตออันนารังเกียจ เชน วัณโรคในระยะอันตราย
๗. เปนคนมีอวัยวะพิการจนไมสามารถปฏิบัติกิจพระศาสนาได
สิ่งตางๆ ขางตนจะมีเขียนถามไวในใบสมัครขอบวชซึ่งตองไปเขียนที่วัดนั้นๆ 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
การเตรียมตัวกอนบวช
ผูจะบวชเรียกวา อุปสัมปทาเปกข หรือ นาค ซึ่งตองทอง
คําบาลีหรือที่เรียกกันวาขานนาคใหคลองเพื่อใชในพิธี
โดยตองฝกซอมกับพระอาจารยใหคลองกอนทําพิธีบวช
เพื่อจะไดไมเคอะเขิน
นอกจากนี้มีหลายสิ่งหลายอยางที่ตองคิด ตองเตรียมตัว
และทําเมื่อคิดจะบวชดังตอไปนี้ อยางไรก็ตาม ไมใชวา
จะตองทําทั้งหมดเพราะวาทั้งนี้ใหคํานึงถึงความเหมาะสม
และกําลังทรัพยดวย ขั้นตอนบางอยางไมจําเปนตองมีก็ได
- เครื่องอัฏฐบริขาร
- ของที่ตองใชในการบวช
- คําขอขมาเพื่อลาบวช
- การบวชนาค แหนาค
๏ เครื่องอัฏฐบริขารและเครื่องใชอื่นๆ ที่ควรมีหรือ
จําเปนตองใชไดแก
๑. ไตรครอง ไดแก สบง ๑ ประคตเอว ๑ อังสะ ๑ จีวร ๑ สังฆาฏิ ๑ ผารัดอก ๑ ผากราบ ๑
๒. บาตร แบบมีเชิงรองพรอมดวยฝา ถลกบาตร สายโยค ถุง ตะเคียว
๓. มีดโกน พรอมทั้งหินลับมีดโกน
๔. เข็มเย็บผา พรอมทั้งกลองเข็มและดาย
๕. เครื่องกรองน้ํา (ธมกรก)
๖. เสื่อ หมอน ผาหม มุง
๗. จีวร สบง อังสะ ผาอาบ ๒ ผืน (อาศัย)
๘. ตาลปตร ยาม ผาเช็ดหนา รม รองเทา
๙. โคมไฟฟา หรือตะเกียง ไฟฉาย นาฬิกาปลุก
๑๐. สํารับ ปนโต คาว หวาน จานขาว ชอนสอม ผาเช็ดมือ
๑๑. ที่ตมน้ํา กาตมน้ํา กาชงน้ํารอน ถวยน้ํารอน เหยือกน้ําและแกวน้ําเย็น กระติกน้ําแข็ง กระติกน้ํารอน
๑๒. กระโถนบวน กระโถนถาย
๑๓. ขันอาบน้ํา สบูและกลองสบู แปรงและยาสีฟน ผาขนหนู กระดาษชําระ
๑๔. สันถัต (อาสนะ)
๑๕. หีบไมหรือกระเปาหนังสําหรับเก็บไตรครอง
ขอที่ ๑-๕ เรียกวาอัฏฐบริขารซึ่งถือเปนสิ่งจําเปนที่ขาดเสียมิได มีความหมายวา บริขาร ๘ แบงเปนผา ๕
อยางคือ สบง ๑ ประคตเอว ๑ จีวร ๑ สังฆาฏิ ๑ ผากรองน้ํา ๑ และเหล็ก ๓ อยางคือ บาตร ๑ มีดโกน ๑
เข็มเย็บผา ๑ นอกจากนั้นก็แลวแตความจําเปนในแตละแหงและกําลังทรัพย
๏ ของที่ตองเตรียมใชในพิธีคือ
๑. ไตรแบง ไดแก สบง ๑ ประคตเอว ๑ อังสะ ๑ จีวร ๑ ผารัดอก ๑ ผากราบ ๑
๒. จีวร สบง อังสะ (อาศัยหรือสํารอง) และผาอาบ ๒ ผืน
๓. ยาม ผาเช็ดหนา นาฬิกา
๔. บาตร แบบมีเชิงรองพรอมดวยฝา
๕. รองเทา รม
๖. ที่นอน เสื่อ หมอน ผาหม มุง (อาจอาศัยของวัดก็ได)
๗. จานขาว ชอนสอม แกวน้ํา ผาเช็ดมือ ปนโต กระโถน
๘. ขันน้ํา สบู กลองสบู แปรง ยาสีฟน ผาเช็ดตัว
๙. ธูป เทียน ดอกไม (ใชสําหรับบูชาพระรัตนตรัย)
๑๐. ธูป เทียน ดอกไม *(อาจใชแบบเทียนแพรที่มีกรวยดอกไมก็ได เอาไวถวายพระอุปชฌายผูใหบวช)
*อาจจะเตรียมเครื่องจตุปจจัยไทยธรรมสําหรับถวายพระอุปชฌายและพระในพิธีนั้นอีกรูปละหนึ่งชุดก็ได
ขึ้นอยูกับกําลังทรัพยและศรัทธา
๏ คําขอขมาบิดา มารดา และญาติผูใหญเพื่อลาบวช
“กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ที่ขาพเจาไดเคยประมาทลวงเกินทานตอหนาก็ดี ลับหลังก็ดี
ทั้งตั้งใจก็ดี มิไดตั้งใจก็ดี ขอใหทานจงอโหสิกรรมแกขาพเจานับแตบัดนี้เปนตนไปจนตราบเทา
นิพพานเทอญ”
๏ การบวชนาคและแหนาค
การจัดกระบวนแหประกอบดวยสิ่งตอไปนี้ คือ
๑. หัวโต หรือหวสิงโต (มีหรือไมก็ได)
๒. แตร หรือ เถิดเทิง (มีหรือไมก็ได)
๓. ของถวายพระอุปชฌาย คูสวด
๔. ไตรครอง ซึ่งมักจะอุมโดยมารดาหรือบุพการีของผูบวช (มีสัปทนกั้น)
๕. ดอกบัว ๓ ดอก ธูป ๓ ดอก เทียน ๒ เลม ใหผูบวชพนมมือถือไว (มีสัปทนกั้น)
๖. บาตร และตาลปตร จะถือและสะพายโดยบิดาของผูบวช
๗. ของถวายพระอันดับ
๘. บริขารและเครื่องใชอยางอื่นของผูบวช
เมื่อจัดขบวนเรียบรอยแลวก็เคลื่อนขบวนเขาสูพระอุโบสถ เวียนขวารอบนอกขันธสีมา จนครบ ๓ รอบ
กอนจะเขาโบสถก็ตองวันทาเสมาหนาพระอุโบสถเสียกอนวา วันทามิ อาราเม พัทธะเสมายัง โพธิรุก
ขัง เจติยัง สัพพะ เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต
เมื่อเสร็จแลวก็โปรยทานกอนเขาสูพระอุโบสถโดยใหบิดามารดาจูงติดกันไป อาจจะอุมขามธรณีประตูไป
เลยก็ได เสร็จแลวผูบวชก็ไปกราบพระประธานดานขางพระหัตถขวาขององคพระ รับไตรครองจากมารดา
บิดา จากนั้นจึงเริ่มพิธีการบวช
 
 
 
 
 
 
 
 
 
พิธีการบวชแบบมหานิกาย (อุ
กาสะ)
๏ ขั้นตอนและบทที่ตองทองจํา
ใชในพิธีบวชแบบมหานิกาย (อุกาสะ)
รับผาไตรอุมประนมมือแลวเดินเขาไปในที่ประชุมสงฆในพิธี (สังฆนิบาต) แลววางผาไตรไวขางตัว
ดานซาย รับเครื่องสักการะถวายพระอุปชฌาย กราบดวยเบญจางคประดิษฐ ๓ ครั้ง แลวอุมผาไตรประนม
มือยืนขึ้นเปลงวาจาขอบรรพชาวา
อุกาสะ วันทามิ ภันเต
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อะนุโมทิตัพพัง
สามินา กะตัง ปุญญัง มัยหัง
ทาตัพพัง สาธุ สาธุ อะนุโมทามิ
อุกาสะ การุญญัง กัตตะวา ปพพัชชัง เทถะ เม ภันเต
(นั่งคุกเขาลง แลวประนมมือวา)
อะหัง ภันเต ปพพัชชัง ยาจามิ
ทุติยัมป อะหัง ภันเต ปพพัชชัง ยาจามิ
ตะติยัมป อะหัง ภันเต ปพพัชชัง ยาจามิ
(กลาว ๓ ครั้งวา)
สัพพะทุกขะ นิสสะระณะนิพพานะ สัจฉิกะระณัตถายะ
อิมัง กาสาวัง คะเหตะวา ปพพาเชถะ มัง ภันเต
อะนุกัมปง อุปาทายะ (เสร็จแลวพระอุปชฌาจะมารับผาไตร แลววาตอไป)
(กลาว ๓ ครั้งวา)
สัพพะทุกขะ นิสสะระณะนิพพานะ สัจฉิกะระณัตถายะ
เอตัง กาสาวัง ทัตตะวา ปพพาเชถะ มัง ภันเต
อะนุกัมปง อุปาทายะ
พระอุปชฌายใหโอวาทและบอก ตะจะปญจะกะ กัมมัฏฐาน แลวใหวาตามไปทีละบท โดยอนุโลม (ไป
ขางหนา) และปฏิโลม (ทวนกลับ) ดังนี้
เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ (อนุโลม)
ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา (ปฏิโลม)
พระอุปชฌายชักอังสะออกจากไตรมาสวมใหผูบวช แลวสั่งใหออกไปครองผาครบไตรจีวรตามระเบียบ
ครั้นเสร็จแลวรับเครื่องไทยทานเขาไปหาพระอาจารย ถวายทานแลวกราบ ๓ ครั้ง ยืนประนมมือเปลง
วาจาขอสรณะและศีลดังนี้
อุกาสะ วันทามิ ภันเต
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อะนุโมทิตัพพัง
สามินา กะตัง ปุญญัง มัยหัง ทาตัพพัง
สาธุ สาธุ อะนุโมทามิ
อุกาสะ การุญญัง กัตตะวา
ติสะระเณนะ สะหะ
สีลานิ เทถะ เม ภันเต
(นั่งคุกเขาขอสรณะและศีลดังตอไปนี้)
อะหัง ภันเต สะระณะสีลัง ยาจามิ
ทุติยัมป อะหัง ภันเต สะระณะสีลัง ยาจามิ
ตะติยัมป อะหัง ภันเต สะระณะสีลัง ยาจามิ
(พระอาจารยกลาวคํานมัสการใหผูบรรพชาวาตามดังนี้)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)
พระอุปชฌายจะกลาววา เอวัง วะเทหิ หรือ ยะมะหัง วะทามิ ตัง วะเทหิ
ใหรับวา อามะ ภันเต แลวทานจะวานําสรณคมนก็ใหวาตามดังนี้
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมป สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมป สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
พอจบแลวทางพระอุปชฌายจะบอกวา ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตัง ก็ใหรับวา อามะ ภันเต ตอจากนั้น
ก็สมาทานสิกขาบท ๑๐ ประการโดยวาตามทานไปเรื่อยๆ ดังนี้
ปาณาติปาตา เวรมณี สิกขาปะทัง สมาทิยามิ
อทินนาทานา เวรมณี สิกขาปะทัง สมาทิยามิ
อะพรหมจริยา เวรมณี สิกขาปะทัง สมาทิยามิ
มุสาวาทา เวรมณี สิกขาปะทัง สมาทิยามิ
สุราเมรยะมัชชะปมาทัฏฐานา เวรมณี สิกขาปะทัง สมาทิยามิ
วิกาละโภชนา เวรมณี สิกขาปะทัง สมาทิยามิ
นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสนา เวรมณี สิกขาปะทัง สมาทิยามิ
มาลาคันธะวิเลปะนะธารณะมัณฑนะวิภูสะนัฏฐานา เวรมณี สิกขาปะทัง สมาทิยามิ
อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา เวรมณี สิกขาปะทัง สมาทิยามิ
ชาตะรูปะ ระชะตะ ปฏิคคหณา เวรมณี สิกขาปะทัง สมาทิยามิ
(พระจะกลาว ๓ ครั้งวา)
อิมานิ ทะสะ สิกขาปะทานิ สมาทิยามิ (เสร็จแลวพึงกราบลง ๑ หน แลวยืนขึ้นวาดังนี้)
วันทามิ ภันเต สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อะนุโมทิตัพพัง
สามินา กะตัง ปุญญัง มัยหัง ทาตัพพัง
สาธุ สาธุ อะนุโมทามิ (คุกเขาลงกราบ ๓ ครั้ง)
ตอจากนั้นใหรับบาตรอุมเขาไปหาพระอุปชฌายในสังฆสันนิบาต วางไวขางตัวดานซาย รับเครื่อง
ไทยทานถวายทานแลวกราบ ๓ ครั้ง เสร็จแลวยืนขึ้นประนมมือกลาวดังนี้
อุกาสะ วันทามิ ภันเต สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อะนุโมทิตัพพัง
สามินา กะตัง ปุญญัง มัยหัง ทาตัพพัง
สาธุ สาธุ อะนุโมทามิ
อุกาสะ การุญญัง กัตตะวา นิสสะยัง เทถะ เม ภันเต
(นั่งคุกเขา)
อะหัง ภันเต นิสสะยัง ยาจามิ
ทุติยัมป อะหัง ภันเต นิสสะยัง ยาจามิ
ตะติยัมป อะหัง ภันเต นิสสะยัง ยาจามิ
(กลาว ๓ ครั้งวา)
อุปชฌาโย เม ภันเต โหหิ
พระอุปชฌายจะกลาวรับวา โอปายิกัง ปะฏิรูปง ปาสาทิเกนะ สัมปะเทหิ ผูบวชพึงรับวา อุกาสะ สัม
ปะฏิจฉามิ ๓ ครั้งแลววาดังนี้
(กลาว ๓ ครั้งวา)
อัชชะตัคเคทานิ เถโร มัยหัง ภาโร อะหัมป เถรัสสะ ภาโร (เสร็จแลวยืนขึ้นวาดังนี้)
วันทามิ ภันเต สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อะนุโมทิตัพพัง
สามินา กะตัง ปุญญัง มัยหัง ทาตัพพัง
สาธุ สาธุ อะนุโมทามิ (คุกเขาลงกราบ ๓ ครั้ง)
ลําดับตอไปพระอุปชฌายหรือพระอาจารยจะเอาบาตรมีสายโยคคลองตัวผูขอบวช แลวบอกบาตรและ
จีวร ผูบวชก็รับเปนทอดๆ ไปดังนี้
อะยันเต ปตโต (รับวา) อามะ ภันเต
อะยัง สังฆาฏิ (รับวา) อามะ ภันเต
อะยัง อุตตะราสังโค (รับวา) อามะ ภันเต
อะยัง อันตะระวาสะโก (รับวา) อามะ ภันเต
จากนั้นพระอาจารยทานจะบอกใหออกไปขางนอกวา คัจฉะ อะมุมหิ โอกาเส ติฏฐาหิ ผูบวชก็ถอย
ออกไปยืนอยูในที่ที่กําหนดไว (สวนใหญจะเปนบริเวณทางเขาโบสถ) ตอจากนี้พระอาจารยจะสวดถาม
อันตรายิกธรรม ใหรับ นัตถิ ภันเต ๕ ครั้ง และตอดวย อามะ ภันเต อีก ๘ ครั้งดังตอไปนี้
พระจะถามวา.....................ผูบวชกลาวรับวา
กุฏฐัง.....................................นัตถิ ภันเต
คัณโฑ....................................นัตถิ ภันเต
กิลาโส....................................นัตถิ ภันเต
โสโส......................................นัตถิ ภันเต
อะปะมาโร..............................นัตถิ ภันเต
มะนุสโสสิ๊...............................อามะ ภันเต
ปุริโสสิ๊....................................อามะ ภันเต
ภุชิสโสสิ๊.................................อามะ ภันเต
อะนะโณสิ๊...............................อามะ ภันเต
นะสิ๊ ราชะภะโฏ.......................อามะ ภันเต
อะนุญญาโตสิ๊ มาตาปตูหิ..........อามะ ภันเต
ปะริปุณณะวีสะติวัสโสสิ๊.............อามะ ภันเต
ปะริปุณณันเต ปตตะจีวะรัง........อามะ ภันเต
กินนาโมสิ................................อะหัง ภันเต...*(ชื่อพระใหม) นามะ
โก นามะ เต.............................อุปชฌาโย อุปชฌาโย เม ภันเต อายัสสะมา...*(ชื่อพระอุปชฌาย)
นามะ
*หมายเหตุ ผูบวชจะตองทราบชื่อทางพระที่พระตั้งใหใหมกอนวันบวชและตองจําชื่อพระอุปชฌายใหได
ดวย
เสร็จแลวกลับเขามาขางในที่ประชุมสงฆ กราบลงตรงหนาพระอุปชฌาย ๓ ครั้ง นั่งคุกเขาประนมมือเปลง
วาจาขออุปสมบทดังนี้
สังฆัมภันเต อุปะสัมปะทัง ยาจามิ
อุลลุมปะตุ มัง ภันเต สังโฆ อะนุกัมปง อุปาทายะ
ทุติยัมป ภันเต สังฆัง อุปะสัมปะทัง ยาจามิ
อุลลุมปะตุ มัง ภันเต สังโฆ อะนุกัมปง อุปาทายะ
ตะติยัมป ภันเต สังฆัง อุปะสัมปะทัง ยาจามิ
อุลลุมปะตุ มัง ภันเต สังโฆ อะนุกัมปง อุปาทายะ
ตอมาพระอาจารยสวดสมมติตนถามอันตรายิกธรรม ผูบวชก็รับวา นัตถิ ภันเต ๕ ครั้ง และ อามะ ภันเต
๘ ครั้ง บอกชื่อพระใหมของตัวเอง และชื่อพระอุปชฌายแบบที่ผานมาอยางละหนึ่งครั้ง เสร็จแลวก็นั่งฟง
พระสวดกรรมวาจาอุปสมบทไปจนจบ พอจบแลวทานก็จะเอาบาตรออกจากตัว ใหกราบลง ๓ ครั้ง นั่งพับ
เพียบฟงพระอุปชฌายบอกอนุศาสนไปจนจบ แลวก็กลาวรับวา อามะ ภันเต เสร็จพิธีก็กราบพระ
อุปชฌาย ๓ ครั้ง ถามีเครื่องไทยทานก็ใหรับไทยทานถวายพระอันดับ เวลากรวดน้ําก็ใหตั้งใจรําลึกถึงผูมี
พระคุณอุทิศสวนกุศลแดทาน ขั้นตอนตอไปก็นั่งฟงพระทานอนุโมทนาตอไปจนจบเปนอันเสร็จพิธี 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
พิธีการบวชแบบธรรมยุต (เอสาหัง)
๏ ขั้นตอนและบทที่ตองทองจํา
ใชในพิธีบวชแบบธรรมยุต (เอสาหัง)
รับผาไตรอุมประนมมือแลวเดินเขาไปในที่ประชุมสงฆในพิธี
(สังฆนิบาต) แลววางผาไตรไวขางตัวดานซาย รับเครื่อง
สักการะถวายพระอุปชฌาย กราบดวยเบญจางคประดิษฐ ๓
ครั้ง แลวอุมผาไตรประนมมือยืนขึ้นเปลงวาจาขอบรรพชาวา
เอสาหัง ภันเต สุจิระปะรินิพพุตัมป
ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ
ละเภยยาหัง ภันเต
ตัสสะ ภะคะวะโต ธัมมะวินะเย ปพพัชชัง
ละเภยยัง อุปะสัมปะทัง
ทุติยัมปาหัง ภันเต สุจิระปะรินิพพุตัมป
ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ
ละเภยยาหัง ภันเต
ตัสสะ ภะคะวะโต ธัมมะวินะเย ปพพัชชัง
ละเภยยัง อุปะสัมปะทัง
ตะติยัมปาหัง ภันเต สุจิระปะรินิพพุตัมป
ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ
ละเภยยาหัง ภันเต
ตัสสะ ภะคะวะโต ธัมมะวินะเย ปพพัชชัง
*ละเภยยัง อุปะสัมปะทัง
อะหัง ภันเต ปพพัชชัง ยาจามิ อิมานิ กาสายานิ วัตถานิ คะเหตะวา
ปพพาเชถะ มัง ภันเต อะนุกัมปง อุปาทายะ
ทุติยัมป อะหัง ภันเต ปพพัชชัง ยาจามิ อิมานิ กาสายานิ วัตถานิ คะเหตะวา
ปพพาเชถะ มัง ภันเต อะนุกัมปง อุปาทายะ
ตะติยัมป อะหัง ภันเต ปพพัชชัง ยาจามิ อิมานิ กาสายานิ วัตถานิ คะเหตะวา
ปพพาเชถะ มัง ภันเต อะนุกัมปง อุปาทายะ
*หมายเหตุ ถาบวชเปนสามเณรใหละคําวา ละเภยยัง อุปะสัมปะทัง ออก
พระอุปชฌายรับเอาผาไตรจากผูบวชวางไวตรงหนาตัก ใหโอวาทและบอก ตะจะปญจะกะ กัมมัฏฐาน
แลวใหวาตามไปทีละบท โดยอนุโลม (ไปขางหนา) และปฏิโลม (ทวนกลับ) ดังนี้
เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ (อนุโลม)
ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา (ปฏิโลม)
พระอุปชฌายชักอังสะออกจากไตรมาสวมใหผูบวช แลวสั่งใหออกไปครองผาครบไตรจีวรตามระเบียบ
ครั้นเสร็จแลวเขาไปหาพระอาจารย รับเครื่องสักการะถวายทานแลวกราบ ๓ ครั้ง นั่งคุกเขาเปลงวาจาขอ
สรณะและศีลดังนี้
อะหัง ภันเต สะระณะสีลัง ยาจามิ
ทุติยัมป อะหัง ภันเต สะระณะสีลัง ยาจามิ
ตะติยัมป อะหัง ภันเต สะระณะสีลัง ยาจามิ
(พระอาจารยกลาวคํานมัสการใหผูบรรพชาวาตามดังนี้)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)
พระอุปชฌายจะกลาววา เอวัง วะเทหิ หรือ ยะมะหัง วะทามิ ตัง วะเทหิ
ใหรับวา อามะ ภันเต แลวทานจะวานําสรณคมนก็ใหวาตามดังนี้
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมป สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมป สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
พอจบแลวทางพระอุปชฌายจะบอกวา ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตัง ก็ใหรับวา อามะ ภันเต ตอจากนั้น
ก็สมาทานสิกขาบท ๑๐ ประการโดยวาตามทานไปเรื่อยๆ ดังนี้
ปาณาติปาตา เวรมณี
อทินนาทานา เวรมณี ิ
อะพรหมจริยา เวรมณี
มุสาวาทา เวรมณี
สุราเมรยะมัชชะปมาทัฏฐานา เวรมณี
วิกาละโภชนา เวรมณี
นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสนา เวรมณี
มาลาคันธะวิเลปะนะธารณะมัณฑนะวิภูสะนัฏฐานา เวรมณี
อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา เวรมณี
ชาตะรูปะ ระชะตะ ปฏิคคหณา เวรมณี
(และกลาว ๓ ครั้งวา)
อิมานิ ทะสะ สิกขาปะทานิ สมาทิยามิ (เสร็จแลวรับบาตรอุมเขาไปหาพระอุปชฌายในที่ประชุมสงฆ
วางไวขางตัวดานซาย รับเครื่องสักการะถวายทานแลวกราบ ๓ ครั้ง นั่งคุกเขาประนมมือกลาวดังนี้)
อะหัง ภันเต นิสสะยัง ยาจามิ
ทุติยัมป อะหัง ภันเต นิสสะยัง ยาจามิ
ตะติยัมป อะหัง ภันเต นิสสะยัง ยาจามิ
อุปชฌาโย เม ภันเต โหหิ (ตรงนี้วา ๓ ครั้ง)
พระอุปชฌายจะกลาววา โอปายิกัง ปะฏิรูปง ปาสาทิเกนะ สัมปาเทหิ ใหรับวา สาธุ ภันเต ทุกครั้งไป
อัชชะตัคเคทานิ เถโร มัยหัง ภาโร อะหัมป เถรัสสะ ภาโร (กลาวตรงนี้ ๓ ครั้ง เสร็จแลวกราบลง ๓
ครั้ง)
พระอาจายจะเอาสายคลองตัวผูบวช บอกบาตรและจีวรก็ใหผูบวชรับวา อามะ ภันเต ๔ ครั้งดังนี้
อะยันเต ปตโต (รับวา) อามะ ภันเต
อะยัง สังฆาฏิ (รับวา) อามะ ภันเต
อะยัง อุตตะราสังโค (รับวา) อามะ ภันเต
อะยัง อันตะระวาสะโก (รับวา) อามะ ภันเต
จากนั้นพระอาจารยทานจะบอกใหออกไปขางนอกวา คัจฉะ อะมุมหิ โอกาเส ติฏฐาหิ ผูบวชก็ถอย
ออกไปยืนอยูในที่ที่กําหนดไว (สวนใหญจะเปนบริเวณทางเขาโบสถ) ตอจากนี้พระอาจารยจะสวดถาม
อันตรายิกธรรม ใหรับ นัตถิ ภันเต ๕ ครั้ง และตอดวย อามะ ภันเต อีก ๘ ครั้งดังตอไปนี้
พระจะถามวา.......................ผูบวชกลาวรับวา
กุฏฐัง.......................................นัตถิ ภันเต
คัณโฑ......................................นัตถิ ภันเต
กิลาโส......................................นัตถิ ภันเต
โสโส........................................นัตถิ ภันเต
อะปะมาโร................................นัตถิ ภันเต
มะนุสโสสิ๊.................................อามะ ภันเต
ปุริโสสิ๊......................................อามะ ภันเต
ภุชิสโสสิ๊...................................อามะ ภันเต
อะนะโณสิ๊.................................อามะ ภันเต
นะสิ๊ ราชะภะโฏ.........................อามะ ภันเต
อะนุญญาโตสิ๊ มาตาปตูหิ............อามะ ภันเต
ปะริปุณณะวีสะติวัสโสสิ๊...............อามะ ภันเต
ปะริปุณณันเต ปตตะจีวะรัง..........อามะ ภันเต
กินนาโมสิ.................................อะหัง ภันเต...*(ชื่อพระใหม) นามะ
โก นามะ เต อุปชฌาโย..............อุปชฌาโย เม ภันเต อายัสสะมา...*(ชื่อพระอุปชฌาย) นามะ
*หมายเหตุ ผูบวชจะตองทราบชื่อทางพระที่พระตั้งใหใหมกอนวันบวชและตองจําชื่อพระอุปชฌายใหได
ดวย
เสร็จแลวกลับเขามาขางในที่ประชุมสงฆ กราบลงตรงหนาพระอุปชฌาย ๓ ครั้ง นั่งคุกเขาประนมมือเปลง
วาจาขออุปสมบทดังนี้
สังฆัมภันเต อุปะสัมปะทัง ยาจามิ
อุลลุมปะตุ มัง ภันเต สังโฆ อะนุกัมปง อุปาทายะ
ทุติยัมป ภันเต สังฆัง อุปะสัมปะทัง ยาจามิ
อุลลุมปะตุ มัง ภันเต สังโฆ อะนุกัมปง อุปาทายะ
ตะติยัมป ภันเต สังฆัง อุปะสัมปะทัง ยาจามิ
อุลลุมปะตุ มัง ภันเต สังโฆ อะนุกัมปง อุปาทายะ
ถากลาวพรอมกันใหเปลี่ยนคําวา ยาจามิ เปน ยาจามะ และเปลี่ยน มัง เปน โน
ตอมาพระอาจารยสวดสมมติตนถามอันตรายิกธรรม ผูบวชก็รับวา นัตถิ ภันเต ๕ ครั้ง และ อามะ ภันเต
๘ ครั้ง บอกชื่อพระใหมของตัวเอง และชื่อพระอุปชฌายแบบที่ผานมาอยางละหนึ่งครั้ง เสร็จแลวก็นั่งฟง
พระสวดกรรมวาจาอุปสมบทไปจนจบ พอจบแลวทานก็จะเอาบาตรออกจากตัว ใหกราบลง ๓ ครั้ง นั่งพับ
เพียบฟงพระอุปชฌายบอกอนุศาสนไปจนจบ แลวก็กลาวรับวา อามะ ภันเต เสร็จพิธีก็กราบ ๓ ครั้ง ถามี
เครื่องไทยทานก็ใหรับไทยทานถวายพระอันดับ เวลากรวดน้ําก็ใหตั้งใจรําลึกถึงผูมีพระคุณอุทิศสวนกุศล
แดทาน ขั้นตอนตอไปก็นั่งฟงพระทานอนุโมทนาตอไปจนจบเปนอันเสร็จพิธี 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
บทบัญญัติขอหามและศีลของสมณเพศ
หนานี้วาดวยขอหามและศีลที่พระพุทธเจา
ไดบัญญัติไว สําหรับผูที่บวชเปนสามเณร
และภิกษุ ซึ่งเปนสิ่งที่ตองกระทําเมื่ออยูใน
สมเพศ เปนที่นาเสียดายวา ในตําราพิธีการ
บวชที่มีอยูหลายเลมนั้น ทั้งของธรรมยุต
และมหานิกาย ไดเวนไวโดยมิไดกลาวถึง
ศีลสําหรับพระภิกษุทั้งใหมและเกา ซึ่งอาจ
เปนเพราะวามันมากถึง ๒๒๗ ขอ อันอาจจะ
เปลืองเนื้อที่กระดาษหรืออยางไรไมทราบ
ได ทําใหพระในปจจุบันนี้อาจจะละเมิดศีล
โดยที่มิควรจะเปน ทั้งโดยตั้งใจและไม
ตั้งใจ หรืออาจจะลืมไปแลวเสียดวยวาสิ่งที่
กําลังทําอยูนั้นผิดศีลขอใด
- หามฉันเนื้อ ๑๐ อยาง
- ศีล ๑๐ ขอของสามเณร
- ศีล ๒๒๗ ขอของพระภิกษุ
- ขอปฏิบัติของภิกษุณี ๘ ประการ (ครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา)
- ขอหามสําหรับการบวชพระในแบบธรรมยุต
๏ ภิกษุไมควรฉันเนื้อ ๑๐ อยางอันไดแก
๑. เนื้อมนุษย
๒. เนื้อชาง
๓. เนื้อมา
๔ .เนื้อสุนัข
๕. เนื้องู
๖. เนื้อราชสีห
๗. เนื้อหมี
๘. เนื้อเสือโครง
๙. เนื้อเสือดาว
๑๐. เนื้อเสือเหลือง
๏ สามเณรตองถือศีล ๑๐ ขออันไดแก
๑. เวนจากการฆาสัตวทั้งมนุษยและเดรัจฉาน
๒. เวนจากการลักทรัพย
๓. เวนจากการเสพเมถุน
๔. เวนจากการพูดเท็จ
๕. เวนจากการดื่มสุราและเมรัย
๖. เวนจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล (หลังเที่ยงวันไปแลว)
๗. เวนจากการฟอนรําขับรองและการบรรเลง ตลอดถึงการดูการฟงสิ่งเหลานั้น
๘. เวนจากการทัดทรงตกแตงประดับรางกาย การใชดอกไม ของหอม เครื่องประเทืองผิวตางๆ
๙. เวนจากการนอนที่นอนสูงใหญและยัดนุนสําลีอันมีลายวิจิตร
(เวนจากการนั่งนอนเหนือเตียงตั่งที่มีเทาสูงเกินประมาณ)
๑๐. เวนจากการรับเงินทอง
๏ พระภิกษุตองถือศีล ๒๒๗ ขออันไดแก
ศีล ๒๒๗ ขอที่เปนวินัยของสงฆ ทําผิดถือวาเปนอาบัติ สามารถแบงออกไดเปนลําดับขั้น ตั้งแตขั้น
รุนแรงจนกระทั่งเบาที่สุดไดดังนี้ ไดแก
- ปาราชิก มี ๔ ขอ
- สังฆาทิเสส มี ๑๓ ขอ
- อนิยต มี ๒ ขอ (อาบัติที่ไมแนวาจะปรับขอไหน)
- นิสสัคคิยปาจิตตีย มี ๓๐ ขอ
(อาบัติที่ตองสละสิ่งของวาดวยเรื่องจีวร ไหม บาตร อยางละ ๑๐ ขอ)
- ปาจิตตีย มี ๙๒ ขอ (วาดวยอาบัติที่ไมตองสละสิ่งของ)
- ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ขอ (วาดวยอาบัติที่พึงแสดงคืน)
เสขิยะ (ขอที่ภิกษุพึงศึกษาเรื่องมารยาท) แบงเปน
- สารูป มี ๒๖ ขอ (ความเหมาะสมในการเปนสมณะ)
- โภชนปฏิสังยุตต มี ๓๐ ขอ (วาดวยการฉันอาหาร)
- ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต มี ๑๖ ขอ (วาดวยการแสดงธรรม)
- ปกิณสถะ มี ๓ ขอ (เบ็ดเตล็ด)
- อธิกรณสมถะ มี ๗ ขอ (ธรรมสําหรับระงับอธิกรณ)
รวมทั้งหมดแลว ๒๒๗ ขอ ผิดขอใดขอหนึ่งถือวาตองอาบัติ การแสดงอาบัติสามารถกลาวกับพระภิฏษุรูป
อื่นเพื่อเปนการแสดงตนตอความผิดได แตถาถึงขั้นปาราชิกก็ตองสึกอยางเดียว
๐ ปาราชิก มี ๔ ขอไดแก
๑. เสพเมถุน แมกับสัตวเดรัจฉานตัวเมีย (รวมสังวาสกับคนหรือสัตว)
๒. ถือเอาทรัพยที่เจาของไมไดใหมาเปนของตน จากบานก็ดี จากปาก็ดี (ขโมย)
๓. พรากกายมนุษยจากชีวิต (ฆาคน)หรือแสวงหาศาสตราอันจะนําไปสูความตายแกรางกายมนุษย
๔. กลาวอวดอุตตริมนุสสธัมม อันเปนความเห็นอยางประเสริฐ อยางสามารถ นอมเขาในตัววา ขาพเจารู
อยางนี้ ขาพเจาเห็นอยางนี้ (ไมรูจริง แตโออวดความสามารถของตัวเอง)
๐ สังฆาทิเสส มี ๑๓ ขอ ถือเปนความผิดหากทําสิ่งใดตอไปนี้
๑. ปลอยน้ําอสุจิดวยความจงใจ เวนไวแตฝน
๒. เคลาคลึง จับมือ จับชองผม ลูบคลํา จับตองอวัยวะอันใดก็ตามของสตรีเพศ
๓. พูดจาหยาบคาย เกาะแกะสตรีเพศ เกี้ยวพาราสี
๔. การกลาวถึงคุณในการบําเรอตนดวยกาม หรือถอยคําพาดพิงเมถุน
๕.ทําตัวเปนสื่อรัก บอกความตองการของอีกฝายใหกับหญิงหรือชาย แมสามีกับภรรยา หรือแมแตหญิง
ขายบริการ
๖. สรางกุฏิดวยการขอ
๗. สรางวิหารใหญ โดยพระสงฆมิไดกําหนดที่รุกรานคนอื่น
๘. แกลงใสความวาปาราชิกโดยไมมีมูล
๙. แกลงสมมุติแลวใสความวาปาราชิกโดยไมมีมูล
๑๐. ยุยงสงฆใหแตกกัน
๑๑. เปนพวกของผูที่ทําสงฆใหแตกกัน
๑๒. เปนผูวายากสอนยาก และตองโดนเตือนถึง ๓ ครั้ง
๑๓. ทําตัวเปนเหมือนคนรับใช ประจบคฤหัสถ
๐ อนิยตกัณฑ มี ๒ ขอไดแก
๑. การนั่งในที่ลับตา มีอาสนะกําบังอยูกับสตรีเพศ และมีผูมาเห็นเปนผูที่เชื่อถือไดพูดขึ้นดวยธรรม ๓
ประการอันใดอันหนึ่งกลาวแกภิกษุนั้นไดแก ปาราชิกก็ดี สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตียก็ดี ภิกษุนั้นถือวามี
ความผิดตามที่อุบาสกผูนั้นกลาว
๒. ในสถานที่ที่ไมเปนที่ลับตาเสียทีเดียว แตเปนที่ที่จะพูดจาคอนแคะสตรีเพศไดสองตอสองกับภิกษุผู
เดียว และมีผูมาเห็นเปนผูที่เชื่อถือไดพูดขึ้นดวยธรรม ๒ ประการอันใดอันหนึ่งกลาวแกภิกษุนั้นไดแก
สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตียก็ดี ภิกษุนั้นถือวามีความผิดตามที่อุบาสกผูนั้นกลาว
๐ นิสสัคคิยปาจิตตีย มี ๓๐ ขอ ถือเปนความผิดไดแก
๑. เก็บจีวรที่เกินความจําเปนไวเกิน ๑๐ วัน
๒. อยูโดยปราศจากจีวรแมแตคืนเดียว
๓. เก็บผาที่จะทําจีวรไวเกินกําหนด ๑ เดือน
๔. ใชใหภิกษุณีซักผา
๕.รับจีวรจากมือของภิกษุณี
๖. ขอจีวรจากคฤหัสถที่ไมใชญาติ เวนแตจีวรหายหรือถูกขโมย
๗. รับจีวรเกินกวาที่ใชนุง เมื่อจีวรถูกชิงหรือหายไป
๘. พูดทํานองขอจีวรดีๆ กวาที่เขากําหนดจะถวายไวแตเดิม
๙. พูดใหเขารวมกันซื้อจีวรดีๆ มาถวาย
๑๐. ทวงจีวรจากคนที่รับอาสาเพื่อซื้อจีวรถวายเกินกวา ๓ ครั้ง
๑๑. หลอเครื่องปูนั่งที่เจือดวยไหม
๑๒. หลอเครื่องปูนั่งดวยขนเจียม (ขนแพะ แกะ) ดําลวน
๑๓. ใชขนเจียมดําเกิน ๒ สวนใน ๔ สวน หลอเครื่องปูนั่ง
๑๔. หลอเครื่องปูนั่งใหม เมื่อของเดิมยังใชไมถึง ๖ ป
๑๕. เมื่อหลอเครื่องปูนั่งใหม ใหเอาของเกาเจือปนลงไปดวย
๑๖. นําขนเจียมไปดวยตนเองเกิน ๓ โยชน เวนแตมีผูนําไปให
๑๗. ใชภิกษุณีที่ไมใชญาติทําความสะอาดขนเจียม
๑๘. รับเงินทอง
๑๙. ซื้อขายดวยเงินทอง
๒๐. ซื้อขายโดยใชของแลก
๒๑. เก็บบาตรที่มีใชเกินความจําเปนไวเกิน ๑๐ วัน
๒๒. ขอบาตร เมื่อบาตรเปนแผลไมเกิน ๕ แหง
๒๓. เก็บเภสัช ๕ (เนยใส เนยขน น้ํามัน น้ําผึ้ง น้ําออย) ไวเกิน ๗ วัน
๒๔. แสวงและทําผาอาบน้ําฝนไวเกินกําหนด ๑ เดือนกอนหนาฝน
๒๕. ใหจีวรภิกษุอื่นแลวชิงคืนในภายหลัง
๒๖. ขอดายเอามาทอเปนจีวร
๒๗. กําหนดใหชางทอทําใหดีขึ้น
๒๘. เก็บผาจํานําพรรษา (ผาที่ถวายภิกษุเพื่ออยูพรรษา) เกินกําหนด
๒๙. อยูปาแลวเก็บจีวรไวในบานเกิน ๖ คืน
๓๐. นอมลาภสงฆมาเพื่อใหเขาถวายตน
๐ ปาจิตตีย มี ๙๒ ขอไดแก
๑. หามพูดปด
๒. หามดา
๓. หามพูดสอเสียด
๔. หามกลาวธรรมพรอมกับผูไมไดบวชในขณะสอน
๕. หามนอนรวมกับอนุปสัมบัน(ผูไมใชภิกษุ)เกิน ๓ คืน
๖. หามนอนรวมกับผูหญิง
๗. หามแสดงธรรมสองตอสองกับผูหญิง
๘. หามบอกคุณวิเศษที่มีจริงแกผูมิไดบวช
๙. หามบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแกผูมิไดบวช
๑๐. หามขุดดินหรือใชใหขุด
๑๑. หามทําลายตนไม
๑๒. หามพูดเฉไฉเมื่อถูกสอบสวน
๑๓. หามติเตียนภิกษุผูทําการสงฆโดยชอบ
๑๔. หามทิ้งเตียงตั่งของสงฆไวกลางแจง
๑๕. หามปลอยที่นอนไว ไมเก็บงํา
๑๖. หามนอนแทรกภิกษุผูเขาไปอยูกอน
๑๗. หามฉุดคราภิกษุออกจากวิหารของสงฆ
๑๘. หามนั่งนอนทับเตียงหรือตั่งที่อยูชั้นบน
๑๙. หามพอกหลังคาวิหารเกิน ๓ ชั้น
๒๐. หามเอาน้ํามีสัตวรดหญาหรือดิน
๒๑. หามสอนนางภิกษุณีเมื่อมิไดรับมอบหมาย
๒๒. หามสอนนางภิกษุณีตั้งแตอาทิตยตกแลว
๒๓. หามไปสอนนางภิกษุณีถึงที่อยู
๒๔. หามติเตียนภิกษุอื่นวาสอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแกลาภ
๒๕. หามใหจีวรแกนางภิกษุณีผูมิใชญาติ
๒๖. หามเย็บจีวรใหนางภิกษุณีผูมิใชญาติ
๒๗. หามเดินทางไกลรวมกับนางภิกษุณี
๒๘. หามชวนนางภิกษุณีเดินทางเรือรวมกัน
๒๙. หามฉันอาหารที่นางภิกษุณีไปแนะใหเขาถวาย
๓๐. หามนั่งในที่ลับสองตอสองกับภิกษุณี
๓๑. หามฉันอาหารในโรงพักเดินทางเกิน ๓ มื้อ
๓๒. หามฉันอาหารรวมกลุม
๓๓. หามรับนิมนตแลวไปฉันอาหารที่อื่น
๓๔. หามรับบิณฑบาตเกิน ๓ บาตร
๓๕. หามฉันอีกเมื่อฉันในที่นิมนตเสร็จแลว
๓๖. หามพูดใหภิกษุที่ฉันแลวฉันอีกเพื่อจับผิด
๓๗. หามฉันอาหารในเวลาวิกาล
๓๘. หามฉันอาหารที่เก็บไวคางคืน
๓๙. หามขออาหารประณีตมาเพื่อฉันเอง
๔๐. หามฉันอาหารที่มิไดรับประเคน
๔๑. หามยื่นอาหารดวยมือใหชีเปลือยและนักบวชอื่นๆ
๔๒. หามชวนภิกษุไปบิณฑบาตดวยแลวไลกลับ
๔๓. หามเขาไปแทรกแซงในสกุลที่มีคน ๒ คน
๔๔. หามนั่งในที่ลับมีที่กําบังกับมาตุคาม (ผูหญิง)
๔๕. หามนั่งในที่ลับ (หู) สองตอสองกับมาตุคาม
๔๖. หามรับนิมนตแลวไปที่อื่นไมบอกลา
๔๗. หามขอของเกินกําหนดเวลาที่เขาอนุญาตไว
๔๘. หามไปดูกองทัพที่ยกไป
๔๙. หามพักอยูในกองทัพเกิน ๓ คืน
๕๐. หามดูเขารบกันเปนตน เมื่อไปในกองทัพ
๕๑. หามดื่มสุราเมรัย
๕๒. หามจี้ภิกษุ
๕๓. หามวายน้ําเลน
๕๔. หามแสดงความไมเอื้อเฟอในวินัย
๕๕. หามหลอกภิกษุใหกลัว
๕๖. หามติดไฟเพื่อผิง
๕๗. หามอาบน้ําบอยๆ เวนแตมีเหตุ
๕๘. ใหทําเครื่องหมายเครื่องนุงหม
๕๙. วิกัปจีวรไวแลว (ทําใหเปนสองเจาของ-ใหยืมใช) จะใชตองถอนกอน
๖๐. หามเลนซอนบริขารของภิกษุอื่น
๖๑. หามฆาสัตว
๖๒. หามใชน้ํามีตัวสัตว
๖๓. หามรื้อฟนอธิกรณ (คดีความ-ขอโตเถียง) ที่ชําระเปนธรรมแลว
๖๔. หามปกปดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น
๖๕. หามบวชบุคคลอายุไมถึง ๒๐ ป
๖๖. หามชวนพอคาผูหนีภาษีเดินทางรวมกัน
๖๗. หามชวนผูหญิงเดินทางรวมกัน
๖๘. หามกลาวตูพระธรรมวินัย (ภิกษุอื่นหามและสวดประกาศเกิน ๓ ครั้ง)
๖๙. หามคบภิกษุผูกลาวตูพระธรรมวินัย
๗๐. หามคบสามเณรผูกลาวตูพระธรรมวินัย
๗๑. หามพูดไถลเมื่อทําผิดแลว
๗๒. หามกลาวติเตียนสิกขาบท
๗๓. หามพูดแกตัววา เพิ่งรูวามีในปาฏิโมกข
๗๔. หามทํารายรางกายภิกษุ
๗๕. หามเงื้อมือจะทํารายภิกษุ
๗๖. หามโจทภิกษุดวยอาบัติสังฆาทิเสสที่ไมมีมูล
๗๗. หามกอความรําคาญแกภิกษุอื่น
๗๘. หามแอบฟงความของภิกษุผูทะเลาะกัน
๗๙. ใหฉันทะแลวหามพูดติเตียน
๘๐. ขณะกําลังประชุมสงฆ หามลุกไปโดยไมใหฉันทะ
๘๑. รวมกับสงฆใหจีวรแกภิกษุแลว หามติเตียนภายหลัง
๘๒. หามนอมลาภสงฆมาเพื่อบุคคล
๘๓. หามเขาไปในตําหนักของพระราชา
๘๔. หามเก็บของมีคาที่ตกอยู
๘๕. เมื่อจะเขาบานในเวลาวิกาล ตองบอกลาภิกษุกอน
๘๖. หามทํากลองเข็มดวยกระดูก งา หรือเขาสัตว
๘๗. หามทําเตียง ตั่งมีเทาสูงกวาประมาณ
๘๘. หามทําเตียง ตั่งที่หุมดวยนุน
๘๙. หามทําผาปูนั่งมีขนาดเกินประมาณ
๙๐. หามทําผาปดฝมีขนาดเกินประมาณ
๙๑. หามทําผาอาบน้ําฝนมีขนาดเกินประมาณ
๙๒. หามทําจีวรมีขนาดเกินประมาณ
๐ ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ขอไดแก
๑. หามรับของคบเคี้ยว ของฉันจากมือภิกษุณีมาฉัน
๒. ใหไลนางภิกษุณีที่มายุงใหเขาถวายอาหาร
๓. หามรับอาหารในสกุลที่สงฆสมมุติวาเปนเสขะ (อริยบุคคล แตยังไมไดบรรลุเปนอรหันต)
๔. หามรับอาหารที่เขาไมไดจัดเตรียมไวกอนมาฉันเมื่ออยูปา
เสขิยะ
๐ สารูป มี ๒๖ ขอไดแก
๑. นุงใหเปนปริมณฑล (ลางปดเขา บนปดสะดือไมหอยหนาหอยหลัง)
๒. หมใหเปนนปริมณฑล (ใหชายผาเสมอกัน)
๓. ปกปดกายดวยดีไปในบาน
๔. ปกปดกายดวยดีนั่งในบาน
๕. สํารวมดวยดีไปในบาน
๖. สํารวมดวยดีนั่งในบาน
๗. มีสายตาทอดลงไปในบาน (ตาไมมองโนนมองนี่)
๘. มีสายตาทอดลงนั่งในบาน
๙. ไมเวิกผาไปในบาน
๑๐. ไมเวิกผานั่งในบาน
๑๑. ไมหัวเราะดังไปในบาน
๑๒. ไมหัวเราะดังนั่งในบาน
๑๓. ไมพูดเสียงดังไปในบาน
๑๔. ไมพูดเสียงดังนั่งในบาน
๑๕. ไมโคลงกายไปในบาน
๑๖. ไมโคลงกายนั่งในบาน
๑๗. ไมไกวแขนไปในบาน
๑๘. ไมไกวแขนนั่งในบาน
๑๙. ไมสั่นศีรษะไปในบาน
๒๐. ไมสั่นศีรษะนั่งในบาน
๒๑. ไมเอามือค้ํากายไปในบาน
๒๒. ไมเอามือค้ํากายนั่งในบาน
๒๓. ไมเอาผาคลุมศีรษะไปในบาน
๒๔. ไมเอาผาคลุมศีรษะนั่งในบาน
๒๕. ไมเดินกระโหยงเทา ไปในบาน
๒๖. ไมนั่งรัดเขาในบาน
เสขิยะ
๐ โภชนปฏิสังยุตต มี ๓๐ ขอคือหลักในการฉันอาหารไดแก
๑. รับบิณฑบาตดวยความเคารพ
๒. ในขณะบิณฑบาต จะแลดูแตในบาตร
๓. รับบิณฑบาตพอสมสวนกับแกง (ไมรับแกงมากเกินไป)
๔. รับบิณฑบาตแคพอเสมอขอบปากบาตร
๕. ฉันบิณฑบาตโดยความเคารพ
๖. ในขณะฉันบิณฑบาต และดูแตในบาตร
๗. ฉันบิณฑบาตไปตามลําดับ (ไมขุดใหแหวง)
๘. ฉันบิณฑบาตพอสมสวนกับแกง ไมฉันแกงมากเกินไป
๙. ฉันบิณฑบาตไมขยุมแตยอดลงไป
๑๐. ไมเอาขาวสุกปดแกงและกับดวยหวังจะไดมาก
๑๑. ไมขอเอาแกงหรือขาวสุกเพื่อประโยชนแกตนมาฉัน หากไมเจ็บไข
๑๒. ไมมองดูบาตรของผูอื่นดวยคิดจะยกโทษ
๑๓. ไมทําคําขาวใหใหญเกินไป
๑๔. ทําคําขาวใหกลมกลอม
๑๕. ไมอาปากเมื่อคําขาวยังมาไมถึง
๑๖. ไมเอามือทั้งมือใสปากในขณะฉัน
๑๗. ไมพูดในขณะที่มีคําขาวอยูในปาก
๑๘. ไมฉันโดยการโยนคําขาวเขาปาก
๑๙. ไมฉันกัดคําขาว
๒๐. ไมฉันทํากระพุงแกมใหตุย
๒๑. ไมฉันพลางสะบัดมือพลาง
๒๒. ไมฉันโปรยเมล็ดขาว
๒๓. ไมฉันแลบลิ้น
๒๔. ไมฉันดังจับๆ
๒๕. ไมฉันดังซูดๆ
๒๖. ไมฉันเลียมือ
๒๗. ไมฉันเลียบาตร
๒๘. ไมฉันเลียริมฝปาก
๒๙. ไมเอามือเปอนจับภาชนะน้ํา
๓๐. ไมเอาน้ําลางบาตรมีเมล็ดขาวเทลงในบาน
เสขิยะ
๐ ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต มี ๑๖ ขอคือ
๑. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่มีรมในมือ
๒. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่มีไมพลองในมือ
๓. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่มีของมีคมในมือ
๔. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่มีอาวุธในมือ
๕. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่สวมเขียงเทา (รองเทาไม)
๖. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่สวมรองเทา
๗. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่ไปในยาน
๘. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่อยูบนที่นอน
๙. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่นั่งรัดเขา
๑๐. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่โพกศีรษะ
๑๑. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่คลุมศีรษะ
๑๒. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่อยูบนอาสนะ (หรือเครื่องปูนั่ง) โดยภิกษุอยูบนแผนดิน
๑๓. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่นั่งบนอาสนะสูงกวาภิกษุ
๑๔. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่นั่งอยู แตภิกษุยืน
๑๕. ภิกษุเดินไปขางหลังไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่เดินไปขางหนา
๑๖. ภิกษุเดินไปนอกทางไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่ไปในทาง
เสขิยะ
๐ ปกิณสถะ มี ๓ ขอ
๑. ภิกษุไมเปนไขไมยืนถายอุจจาระ ปสสาวะ
๒. ภิกษุไมเปนไขไมถายอุจจาระ ปสสาวะ หรือบวนน้ําลายลงในของเขียว (พันธุไมใบหญาตางๆ)
๓. ภิกษุไมเปนไขไมถายอุจจาระ ปสสาวะ หรือบวนน้ําลายลงในน้ํา
เสขิยะ
๐ อธิกรณสมถะ มี ๗ ขอไดแก
๑. ระงับอธิกรณ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไมได) ในที่พรอมหนา (บุคคล วัตถุ ธรรม)
๒. ระงับอธิกรณ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไมได) ดวยการยกใหวาพระอรหันตเปนผูมีสติ
๓. ระงับอธิกรณ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไมได) ดวยยกประโยชนใหในขณะเปนบา
๔. ระงับอธิกรณ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไมได) ดวยถือตามคํารับของจําเลย
๕. ระงับอธิกรณ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไมได) ดวยถือเสียงขางมากเปนประมาณ
๖. ระงับอธิกรณ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไมได) ดวยการลงโทษแกผูผิด
๗. ระงับอธิกรณ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไมได) ดวยใหประนีประนอมหรือเลิกแลวกันไป
๏ ขอปฏิบัติของภิกษุณี ๘ ประการ (ครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา)
ครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา คือ เงื่อนไขอยางเขมงวด ๘ ประการ ที่ภิกษุณีจะตองปฏิบัติตลอดชีวิตอัน
ไดแก
๑. ตองเคารพภิกษุแมจะออนพรรษากวา
๒. ตองไมจําพรรษาในวัดที่ไมมีภิกษุ
๓. ตองทําอุโบสถและรับโอวาทจากภิกษุทุกกึ่งเดือน
๔. เมื่อออกพรรษาตองปวารณาตนตอภิกษุและภิกษุณีอื่นใหตักเตือนตน
๕. เมื่อตองอาบัติหนัก ตองรับมานัต (รับโทษ) จากสงฆสองฝาย คือ ทั้งฝายภิกษุและภิกษุณี ๑๕ วัน
๖. ตองบวชจากสงฆทั้งสองฝาย หลังจากเปน *สิกขามานา เต็มแลวสองป
๗. จะดาวาคอนแคะภิกษุไมได
๘. หามสอนภิกษุเด็ดขาด
*สิกขามานา แปลวา ผูศึกษา สตรีที่จะบวชเปนภิกษุณีตองเปนนางสิกขามานา กอน ๒ ป
๏ ขอหามสําหรับการบวชพระในแบบธรรมยุต
หามจับปจจัยที่เปนเงินเด็ดขาด 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
บทกิจวัตร แสดงอาบัติ ลาสิกขา
๏ บทกิจวัตรเมื่อเปนพระ
๑. ลงอุโบสถ (ทําวัตรเชา ทําวัตรเย็น)
๒. บิณฑบาตรเลี้ยงชีพ
๓. สวดมนตไหวพระ
๔. กวาดอาวาสวิหารลานพระเจดีย
๕. รักษาผาครอง
๖. อยูปริวาสกรรม
๗. โกนผม ปลงหนวด ตัดเล็บ
๘. ศึกษาสิกขาบทและปฏิบัติพระอาจารย
๙. เทศนาบัติ
๑๐. พิจารณาปจจเวกขณะทั้ง ๔ เปนตน
(ใหรูจักขมใจ เวนแตความจําเปน ๔ อยางคือ จีวร บิณฑบาตร เสนาสนะ และเภสัช)
๏ วิธีแสดงอาบัติ
เมื่อใดที่รูวาตองอาบัติในขอใดขอหนึ่ง ตองแสดงอาบัติกับพระรูปใดรูปหนึ่งเพื่อเปนพยาน ดังนี้
(พระที่พรรษาออนกวา)
สัพพา ตา อาปตติโย อาโรเจมิ (วา ๓ ครั้ง)
สัพพา คะรุละหุกา อาปตติโย อาโรจามิ (วา ๓ ครั้ง)
อะหัง ภันเต สัมพะหุลา นานาวัตถุกาโย
อาปตติโย อาปชชิง ตา ตุมหะ มูเล ปะฏิเทเสมิ
(พระที่พรรษาแกกวารับวา)
ปสสะสิ อาวุโส ตา อาปตติโย
(พระที่พรรษาออนกวา)
อุกาสะ อามะ ภันเต ปสสามิ
(พระที่พรรษาแกกวารับวา)
อายะติง อาวุโส สังวะเรยยาสิ
(พระที่พรรษาออนกวา)
สาธุ สุฏุ ภันเต สังวะริสสามิ
ทุติยัมป สาธุ สุฏุ ภันเต สังวะริสสามิ
ตะติยัมป สาธุ สุฏุ ภันเต สังวะริสสามิ
นะ ปุเนวัง กะริสสาม
นะ ปุเนวัง ภาสิสสามิ
นะ ปุเนวัง จินตะยิสสามิ
(พระที่พรรษาแกกวาวา)
สัพพา ตา อาปตติโย อาโรเจมิ (กลาว ๓ ครั้ง)
สัพพา คะรุละหุกา อาปตติโย อาโรเจมิ (กลาว ๓ ครั้ง)
อะหัง อาวุโส สัมพะหุลา นานาวัตถุกาโย
อาปตติโย อาปชชิง ตา ตุยหะ มูเล ปะฏิเทเสมิ
(พระที่พรรษาออนกวารับวา)
อุกาสะ ปสสะถะ ภันเต ตา อาปตติโย
(พระที่พรรษาแกกวาวา)
อามะ อาวุโส ปสสามิ
(พระที่พรรษาออนกวารับวา)
อายะติง ภันเต สังวะเรยยาถะ
(พระที่พรรษาแกกวาวา)
สาธุ สุฏุ อาวุโส สังวะริสสามิ
ทุติยัมป สาธุ สุฏุ อาวุโส สังวะริสสามิ
ตะติยัมป สาธุ สุฏุ อาวุโส สังวะริสสามิ
นะ ปุเนวัง กะริสสามิ
นะ ปุเนวัง ภาสิสสามิ
นะ ปุเนวัง จินตะยิสสามิ
๏ ขั้นตอนและบททองจํากอนสึก
ไปแสดงตนตอพระอุปชฌายเพื่อแจงความจํานงขอลาสิกขา มีพระสงฆนั่งเปนพยานเขาประชุมพรอมกัน
ภิกษุเมื่อจะลาสิกขาตองแสดงอาบัติแลว พาดผาสังฆาฏิเขาไปนั่งหันหนาตรงพระพุทธรูปบนที่บูชา
กราบ ๓ ครั้ง ประนมมือ กลาว นะโม...๓ จบ แลวกลาวดังนี้
สิกขัง ปจจักขามิ คิหีติ มัง ธาเรถะ
(ขาพเจาลาสิกขา ทานทั้งหลายจงจําขาพเจาไววาเปนคฤหัสถ)
สําหรับแบบมหานิกายจะจบเพียงเทานี้ แตในการลาสิกขาบทแบบธรรมยุตจะมีตอไปอีกคือ
เมื่อกลาวเสร็จแลวกราบพระสงฆผูมาเปนพยานลง ๓ ครั้ง แลวเขาไปเปลี่ยนผาขาวแทนผาเหลืองโดยใช
สอดเขาดานในผาเหลือง แลวหมผาขาว หันหนาเขาหาพระสงฆ กราบลง ๓ ครั้ง กลาววา เอสาหัง ภัน
เต สุจิรปรินิพพุตัมป ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ อุปาสะกัง มัง
สังโฆ ธาเรตุ อัชชตัคเค ปาณุเปตัง สะระณัง คะตัง (ทานเจาขา ขาพเจานั้นถึงพระผูมีพระภาคเจา
แมปรินิพพานนานแลวนั้น กับพระธรรม และภิกษุสงฆวาเปนสรณะ ขอพระสงฆจงจําขาพเจาวาเปน
อุบาสกผูถึงสรณะตลอดชีวิตตั้งแตวันนี้เปนตนไป)
เสร็จแลวพระที่เปนประธานกลาวคําใหศีล ก็วาตามทาน (ตอนนี้ถือวาเปนคฤหัสถแลว) จนทานสรุปวา อิ
มานิ ปญจะ สิกขาปทานิ นิจจสีลวเสน สาธุกัง รักขิตัพพานิ เราก็รับวา อาม ภันเต พระทานก็จะ
กลาวตอวา สีเลน สุคติ ยันติ...จนจบ เราก็กราบทานอีก ๓ ครั้ง ถือบาตรน้ํามนตออกไปอาบน้ํามนต
เมื่อพระภิกษุเริ่มหลั่งน้ําพระพุทธมนตทานก็จะเริ่มสวดชัยมงคลคาถาให เสร็จแลวอุบาสกก็ผลัดผาขาว
อาบน้ํา แลวก็นุงผาเปนคฤหัสถ (ปกติจะเปนชุดใหมทั้งหมด เพราะถือเหมือนวาเปนการเริ่มชีวิตใหมเลย
ทีเดียว) เสร็จแลวเขามากราบพระสงฆอีก ๓ ครั้งเปนอันเสร็จพิธี
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

More Related Content

Similar to คู่มือการบวช

บทสวดมนต์ข้ามปี
บทสวดมนต์ข้ามปีบทสวดมนต์ข้ามปี
บทสวดมนต์ข้ามปีTongsamut vorasan
 
บทบูชาพระบรมสาริกธาติ
บทบูชาพระบรมสาริกธาติบทบูชาพระบรมสาริกธาติ
บทบูชาพระบรมสาริกธาติPojjanee Paniangvait
 
บทสวดมนต์แปลภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 7 บทสำหรับแข่งทักษะ
บทสวดมนต์แปลภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 7 บทสำหรับแข่งทักษะบทสวดมนต์แปลภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 7 บทสำหรับแข่งทักษะ
บทสวดมนต์แปลภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 7 บทสำหรับแข่งทักษะอุษณีษ์ ศรีสม
 
พระสีวลี
พระสีวลีพระสีวลี
พระสีวลีkannika2264
 
2 บทสวดมนต์ - 9 มนต์ เพื่อความก้าวหน้า
2 บทสวดมนต์ - 9 มนต์ เพื่อความก้าวหน้า2 บทสวดมนต์ - 9 มนต์ เพื่อความก้าวหน้า
2 บทสวดมนต์ - 9 มนต์ เพื่อความก้าวหน้าPanuwat Beforetwo
 
๐๐๖.๐๔. สุดยอด วัตร ๑๔ หน้าแรกมีตาราง มี ๓๔ หน้า
๐๐๖.๐๔.  สุดยอด วัตร  ๑๔  หน้าแรกมีตาราง      มี ๓๔  หน้า๐๐๖.๐๔.  สุดยอด วัตร  ๑๔  หน้าแรกมีตาราง      มี ๓๔  หน้า
๐๐๖.๐๔. สุดยอด วัตร ๑๔ หน้าแรกมีตาราง มี ๓๔ หน้าwatpadongyai
 
บทสวด
บทสวดบทสวด
บทสวดsanunya
 
จุลสารชมรมจริยธรรมฉบับที่๒
จุลสารชมรมจริยธรรมฉบับที่๒จุลสารชมรมจริยธรรมฉบับที่๒
จุลสารชมรมจริยธรรมฉบับที่๒dentyomaraj
 
บทสวดแปล+ทิพย์มนต์
บทสวดแปล+ทิพย์มนต์บทสวดแปล+ทิพย์มนต์
บทสวดแปล+ทิพย์มนต์Patchara Kornvanich
 
สมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรม
สมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรมสมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรม
สมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรมniralai
 
ระลึกบุญ มาฆบูชา 7 มีนาคม 2555
ระลึกบุญ มาฆบูชา 7 มีนาคม 2555ระลึกบุญ มาฆบูชา 7 มีนาคม 2555
ระลึกบุญ มาฆบูชา 7 มีนาคม 2555Carzanova
 
พลังแห่งบุญฤทธิ์
พลังแห่งบุญฤทธิ์พลังแห่งบุญฤทธิ์
พลังแห่งบุญฤทธิ์Panda Jing
 
text บทสวดสอนเจ้ากรรมนายเวร.pdf
text บทสวดสอนเจ้ากรรมนายเวร.pdftext บทสวดสอนเจ้ากรรมนายเวร.pdf
text บทสวดสอนเจ้ากรรมนายเวร.pdfPUise Thitalampoon
 
๑๔ เมตตสูตร มจร.pdf
๑๔ เมตตสูตร มจร.pdf๑๔ เมตตสูตร มจร.pdf
๑๔ เมตตสูตร มจร.pdfmaruay songtanin
 
พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร พระนิพนธ์ในสมเด็จพระญาณสังวร
พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร  พระนิพนธ์ในสมเด็จพระญาณสังวรพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร  พระนิพนธ์ในสมเด็จพระญาณสังวร
พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร พระนิพนธ์ในสมเด็จพระญาณสังวรSarod Paichayonrittha
 
2.เพิ่มวินัยที่มาในฯเล่มอื่นภาคผนวกหน้า407 472
2.เพิ่มวินัยที่มาในฯเล่มอื่นภาคผนวกหน้า407 4722.เพิ่มวินัยที่มาในฯเล่มอื่นภาคผนวกหน้า407 472
2.เพิ่มวินัยที่มาในฯเล่มอื่นภาคผนวกหน้า407 472dhammer
 

Similar to คู่มือการบวช (20)

บทสวดมนต์ข้ามปี
บทสวดมนต์ข้ามปีบทสวดมนต์ข้ามปี
บทสวดมนต์ข้ามปี
 
สวดมนต์แปล(ตัวใหญ่)
สวดมนต์แปล(ตัวใหญ่)สวดมนต์แปล(ตัวใหญ่)
สวดมนต์แปล(ตัวใหญ่)
 
บทบูชาพระบรมสาริกธาติ
บทบูชาพระบรมสาริกธาติบทบูชาพระบรมสาริกธาติ
บทบูชาพระบรมสาริกธาติ
 
บทสวดมนต์แปลภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 7 บทสำหรับแข่งทักษะ
บทสวดมนต์แปลภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 7 บทสำหรับแข่งทักษะบทสวดมนต์แปลภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 7 บทสำหรับแข่งทักษะ
บทสวดมนต์แปลภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 7 บทสำหรับแข่งทักษะ
 
พระสีวลี
พระสีวลีพระสีวลี
พระสีวลี
 
2 บทสวดมนต์ - 9 มนต์ เพื่อความก้าวหน้า
2 บทสวดมนต์ - 9 มนต์ เพื่อความก้าวหน้า2 บทสวดมนต์ - 9 มนต์ เพื่อความก้าวหน้า
2 บทสวดมนต์ - 9 มนต์ เพื่อความก้าวหน้า
 
๐๐๖.๐๔. สุดยอด วัตร ๑๔ หน้าแรกมีตาราง มี ๓๔ หน้า
๐๐๖.๐๔.  สุดยอด วัตร  ๑๔  หน้าแรกมีตาราง      มี ๓๔  หน้า๐๐๖.๐๔.  สุดยอด วัตร  ๑๔  หน้าแรกมีตาราง      มี ๓๔  หน้า
๐๐๖.๐๔. สุดยอด วัตร ๑๔ หน้าแรกมีตาราง มี ๓๔ หน้า
 
บทสวด
บทสวดบทสวด
บทสวด
 
จุลสารชมรมจริยธรรมฉบับที่๒
จุลสารชมรมจริยธรรมฉบับที่๒จุลสารชมรมจริยธรรมฉบับที่๒
จุลสารชมรมจริยธรรมฉบับที่๒
 
บทสวดแปล+ทิพย์มนต์
บทสวดแปล+ทิพย์มนต์บทสวดแปล+ทิพย์มนต์
บทสวดแปล+ทิพย์มนต์
 
สมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรม
สมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรมสมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรม
สมุดประจำตัวสำหรับผู้เขาค่ายคุณธรรม
 
คู่มือพุทธบริษัท
คู่มือพุทธบริษัทคู่มือพุทธบริษัท
คู่มือพุทธบริษัท
 
ระลึกบุญ มาฆบูชา 7 มีนาคม 2555
ระลึกบุญ มาฆบูชา 7 มีนาคม 2555ระลึกบุญ มาฆบูชา 7 มีนาคม 2555
ระลึกบุญ มาฆบูชา 7 มีนาคม 2555
 
พลังแห่งบุญฤทธิ์
พลังแห่งบุญฤทธิ์พลังแห่งบุญฤทธิ์
พลังแห่งบุญฤทธิ์
 
text บทสวดสอนเจ้ากรรมนายเวร.pdf
text บทสวดสอนเจ้ากรรมนายเวร.pdftext บทสวดสอนเจ้ากรรมนายเวร.pdf
text บทสวดสอนเจ้ากรรมนายเวร.pdf
 
แต่งไทย ป.ธ. ๙.pdf
แต่งไทย ป.ธ. ๙.pdfแต่งไทย ป.ธ. ๙.pdf
แต่งไทย ป.ธ. ๙.pdf
 
200789830 katin
200789830 katin200789830 katin
200789830 katin
 
๑๔ เมตตสูตร มจร.pdf
๑๔ เมตตสูตร มจร.pdf๑๔ เมตตสูตร มจร.pdf
๑๔ เมตตสูตร มจร.pdf
 
พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร พระนิพนธ์ในสมเด็จพระญาณสังวร
พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร  พระนิพนธ์ในสมเด็จพระญาณสังวรพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร  พระนิพนธ์ในสมเด็จพระญาณสังวร
พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร พระนิพนธ์ในสมเด็จพระญาณสังวร
 
2.เพิ่มวินัยที่มาในฯเล่มอื่นภาคผนวกหน้า407 472
2.เพิ่มวินัยที่มาในฯเล่มอื่นภาคผนวกหน้า407 4722.เพิ่มวินัยที่มาในฯเล่มอื่นภาคผนวกหน้า407 472
2.เพิ่มวินัยที่มาในฯเล่มอื่นภาคผนวกหน้า407 472
 

More from lemonleafgreen (14)

Cat How To
Cat How ToCat How To
Cat How To
 
Krabi
KrabiKrabi
Krabi
 
คู่มือ Microsoft Word 2007
คู่มือ Microsoft Word 2007คู่มือ Microsoft Word 2007
คู่มือ Microsoft Word 2007
 
Baicupkee
BaicupkeeBaicupkee
Baicupkee
 
Dream CS3
Dream CS3Dream CS3
Dream CS3
 
Appserv
AppservAppserv
Appserv
 
Joomla
JoomlaJoomla
Joomla
 
Krabi
KrabiKrabi
Krabi
 
Ayutthaya
AyutthayaAyutthaya
Ayutthaya
 
Chiangmai
ChiangmaiChiangmai
Chiangmai
 
Phuket
PhuketPhuket
Phuket
 
Chonburi
ChonburiChonburi
Chonburi
 
Ratchaburi
RatchaburiRatchaburi
Ratchaburi
 
Chordguitar
ChordguitarChordguitar
Chordguitar
 

คู่มือการบวช

  • 1. คูมือการบวช  คุณสมบัติของผูที่จะบวชได   การเตรียมตัวกอนบวช   พิธีการบวชแบบมหานิกาย (อุกาสะ)   พิธีการบวชแบบธรรมยุต (เอสาหัง)   ขอหามและศีลสําหรับสมณเพศ   บทกิจวัตร แสดงอาบัติ ลาสิกขา                               
  • 2. คุณสมบัติของผูที่จะบวชได ครั้งหนึ่งในชีวิตของลูกผูชาย การไดบวชถือเปนมหากุศล อันยิ่งใหญ ผลบุญจะแผไปถึงบุคคลผูใกลชิด และลบลาง กรรมชั่วในอดีตได ตามแตกําลังการบําเพ็ญตน หรือหาก ทานยินดีที่จะดํารงสถานภาพของสมณเพศไปจนตลอด ชีวิต ก็นับวาเปนการอุทิศตนชวยธํารงคไวซึ่งการสืบตอ อายุของพระพุทธศาสนา ไปจนตราบชั่วกาลนาน การคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมจะมาอยูในสมณเพศถือวามี สวนสําคัญมาก การหละหลวมในการพิจารณาคุณสมบัติ เบื้องตนของผูที่จะมาบวช ใหคนทั่วไปเขากราบไหวนับถือ มีสวนทําใหสถาบันศาสนาสั่นคลอน ดังจะเห็นไดจากสิ่งที่ เคยเกิดขึ้นวา คนเคยตองโทษจําคุกในคดีอาญามาบวช เปนพระ ก็นอกจากจะไมอยูในศีลแลว ยังกอคดีอุกฉกรรจ อีกจนได ๏ ผูที่จะบวชเปนสามเณรหรือพระไดตองมีคุณสมบัติ ดังนี้ ๑. เปนสุภาพชนที่มีความประพฤติดีประพฤติชอบ ไมมีความประพฤติเสียหาย เชน ติดสุราหรือยาเสพติด ใหโทษเปนตน และไมเปนคนจรจัด ๒. มีความรูอานและเขียนหนังสือไทยได ๓. ไมเปนผูมีทิฏฐิวิบัติ ๔. ไมเปนคนลมละลาย หรือมีหนี้สินผูกพัน ๕. เปนผูปราศจากบรรพชาโทษ และมีรางกายสมบูรณ อาจบําเพ็ญสมณกิจได ไมเปนคนชราไร ความสามารถหรือทุพพลภาพ หรือพิกลพิการ ๖. มีสมณบริขารครบถวนและถูกตองตามพระวินัย ๗. เปนผูสามารถกลาวคําขอบรรพชาอุปสมบทไดดวยตนเอง และถูกตองไมวิบัติ ๏ ตอไปนี้เปนลักษณะตองหามสําหรับผูจะบวชไดแก ๑. เปนคนทําความผิด หลบหนีอาญาแผนดิน ๒. เปนคนหลบหนีราชการ
  • 3. ๓. เปนคนตองหาในคดีอาญา ๔. เปนคนเคยถูกตัดสินจําคุกฐานเปนผูรายสําคัญ ๕. เปนคนถูกหามอุปสมบทเด็ดขาดทางพระศาสนา ๖. เปนคนมีโรคติดตออันนารังเกียจ เชน วัณโรคในระยะอันตราย ๗. เปนคนมีอวัยวะพิการจนไมสามารถปฏิบัติกิจพระศาสนาได สิ่งตางๆ ขางตนจะมีเขียนถามไวในใบสมัครขอบวชซึ่งตองไปเขียนที่วัดนั้นๆ                                         
  • 4. การเตรียมตัวกอนบวช ผูจะบวชเรียกวา อุปสัมปทาเปกข หรือ นาค ซึ่งตองทอง คําบาลีหรือที่เรียกกันวาขานนาคใหคลองเพื่อใชในพิธี โดยตองฝกซอมกับพระอาจารยใหคลองกอนทําพิธีบวช เพื่อจะไดไมเคอะเขิน นอกจากนี้มีหลายสิ่งหลายอยางที่ตองคิด ตองเตรียมตัว และทําเมื่อคิดจะบวชดังตอไปนี้ อยางไรก็ตาม ไมใชวา จะตองทําทั้งหมดเพราะวาทั้งนี้ใหคํานึงถึงความเหมาะสม และกําลังทรัพยดวย ขั้นตอนบางอยางไมจําเปนตองมีก็ได - เครื่องอัฏฐบริขาร - ของที่ตองใชในการบวช - คําขอขมาเพื่อลาบวช - การบวชนาค แหนาค ๏ เครื่องอัฏฐบริขารและเครื่องใชอื่นๆ ที่ควรมีหรือ จําเปนตองใชไดแก ๑. ไตรครอง ไดแก สบง ๑ ประคตเอว ๑ อังสะ ๑ จีวร ๑ สังฆาฏิ ๑ ผารัดอก ๑ ผากราบ ๑ ๒. บาตร แบบมีเชิงรองพรอมดวยฝา ถลกบาตร สายโยค ถุง ตะเคียว ๓. มีดโกน พรอมทั้งหินลับมีดโกน ๔. เข็มเย็บผา พรอมทั้งกลองเข็มและดาย ๕. เครื่องกรองน้ํา (ธมกรก) ๖. เสื่อ หมอน ผาหม มุง ๗. จีวร สบง อังสะ ผาอาบ ๒ ผืน (อาศัย) ๘. ตาลปตร ยาม ผาเช็ดหนา รม รองเทา ๙. โคมไฟฟา หรือตะเกียง ไฟฉาย นาฬิกาปลุก ๑๐. สํารับ ปนโต คาว หวาน จานขาว ชอนสอม ผาเช็ดมือ ๑๑. ที่ตมน้ํา กาตมน้ํา กาชงน้ํารอน ถวยน้ํารอน เหยือกน้ําและแกวน้ําเย็น กระติกน้ําแข็ง กระติกน้ํารอน ๑๒. กระโถนบวน กระโถนถาย
  • 5. ๑๓. ขันอาบน้ํา สบูและกลองสบู แปรงและยาสีฟน ผาขนหนู กระดาษชําระ ๑๔. สันถัต (อาสนะ) ๑๕. หีบไมหรือกระเปาหนังสําหรับเก็บไตรครอง ขอที่ ๑-๕ เรียกวาอัฏฐบริขารซึ่งถือเปนสิ่งจําเปนที่ขาดเสียมิได มีความหมายวา บริขาร ๘ แบงเปนผา ๕ อยางคือ สบง ๑ ประคตเอว ๑ จีวร ๑ สังฆาฏิ ๑ ผากรองน้ํา ๑ และเหล็ก ๓ อยางคือ บาตร ๑ มีดโกน ๑ เข็มเย็บผา ๑ นอกจากนั้นก็แลวแตความจําเปนในแตละแหงและกําลังทรัพย ๏ ของที่ตองเตรียมใชในพิธีคือ ๑. ไตรแบง ไดแก สบง ๑ ประคตเอว ๑ อังสะ ๑ จีวร ๑ ผารัดอก ๑ ผากราบ ๑ ๒. จีวร สบง อังสะ (อาศัยหรือสํารอง) และผาอาบ ๒ ผืน ๓. ยาม ผาเช็ดหนา นาฬิกา ๔. บาตร แบบมีเชิงรองพรอมดวยฝา ๕. รองเทา รม ๖. ที่นอน เสื่อ หมอน ผาหม มุง (อาจอาศัยของวัดก็ได) ๗. จานขาว ชอนสอม แกวน้ํา ผาเช็ดมือ ปนโต กระโถน ๘. ขันน้ํา สบู กลองสบู แปรง ยาสีฟน ผาเช็ดตัว ๙. ธูป เทียน ดอกไม (ใชสําหรับบูชาพระรัตนตรัย) ๑๐. ธูป เทียน ดอกไม *(อาจใชแบบเทียนแพรที่มีกรวยดอกไมก็ได เอาไวถวายพระอุปชฌายผูใหบวช) *อาจจะเตรียมเครื่องจตุปจจัยไทยธรรมสําหรับถวายพระอุปชฌายและพระในพิธีนั้นอีกรูปละหนึ่งชุดก็ได ขึ้นอยูกับกําลังทรัพยและศรัทธา ๏ คําขอขมาบิดา มารดา และญาติผูใหญเพื่อลาบวช “กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ที่ขาพเจาไดเคยประมาทลวงเกินทานตอหนาก็ดี ลับหลังก็ดี ทั้งตั้งใจก็ดี มิไดตั้งใจก็ดี ขอใหทานจงอโหสิกรรมแกขาพเจานับแตบัดนี้เปนตนไปจนตราบเทา นิพพานเทอญ”
  • 6. ๏ การบวชนาคและแหนาค การจัดกระบวนแหประกอบดวยสิ่งตอไปนี้ คือ ๑. หัวโต หรือหวสิงโต (มีหรือไมก็ได) ๒. แตร หรือ เถิดเทิง (มีหรือไมก็ได) ๓. ของถวายพระอุปชฌาย คูสวด ๔. ไตรครอง ซึ่งมักจะอุมโดยมารดาหรือบุพการีของผูบวช (มีสัปทนกั้น) ๕. ดอกบัว ๓ ดอก ธูป ๓ ดอก เทียน ๒ เลม ใหผูบวชพนมมือถือไว (มีสัปทนกั้น) ๖. บาตร และตาลปตร จะถือและสะพายโดยบิดาของผูบวช ๗. ของถวายพระอันดับ ๘. บริขารและเครื่องใชอยางอื่นของผูบวช เมื่อจัดขบวนเรียบรอยแลวก็เคลื่อนขบวนเขาสูพระอุโบสถ เวียนขวารอบนอกขันธสีมา จนครบ ๓ รอบ กอนจะเขาโบสถก็ตองวันทาเสมาหนาพระอุโบสถเสียกอนวา วันทามิ อาราเม พัทธะเสมายัง โพธิรุก ขัง เจติยัง สัพพะ เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต เมื่อเสร็จแลวก็โปรยทานกอนเขาสูพระอุโบสถโดยใหบิดามารดาจูงติดกันไป อาจจะอุมขามธรณีประตูไป เลยก็ได เสร็จแลวผูบวชก็ไปกราบพระประธานดานขางพระหัตถขวาขององคพระ รับไตรครองจากมารดา บิดา จากนั้นจึงเริ่มพิธีการบวช                   พิธีการบวชแบบมหานิกาย (อุ กาสะ)
  • 7. ๏ ขั้นตอนและบทที่ตองทองจํา ใชในพิธีบวชแบบมหานิกาย (อุกาสะ) รับผาไตรอุมประนมมือแลวเดินเขาไปในที่ประชุมสงฆในพิธี (สังฆนิบาต) แลววางผาไตรไวขางตัว ดานซาย รับเครื่องสักการะถวายพระอุปชฌาย กราบดวยเบญจางคประดิษฐ ๓ ครั้ง แลวอุมผาไตรประนม มือยืนขึ้นเปลงวาจาขอบรรพชาวา อุกาสะ วันทามิ ภันเต สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อะนุโมทิตัพพัง สามินา กะตัง ปุญญัง มัยหัง ทาตัพพัง สาธุ สาธุ อะนุโมทามิ อุกาสะ การุญญัง กัตตะวา ปพพัชชัง เทถะ เม ภันเต (นั่งคุกเขาลง แลวประนมมือวา) อะหัง ภันเต ปพพัชชัง ยาจามิ ทุติยัมป อะหัง ภันเต ปพพัชชัง ยาจามิ ตะติยัมป อะหัง ภันเต ปพพัชชัง ยาจามิ (กลาว ๓ ครั้งวา) สัพพะทุกขะ นิสสะระณะนิพพานะ สัจฉิกะระณัตถายะ อิมัง กาสาวัง คะเหตะวา ปพพาเชถะ มัง ภันเต อะนุกัมปง อุปาทายะ (เสร็จแลวพระอุปชฌาจะมารับผาไตร แลววาตอไป) (กลาว ๓ ครั้งวา) สัพพะทุกขะ นิสสะระณะนิพพานะ สัจฉิกะระณัตถายะ เอตัง กาสาวัง ทัตตะวา ปพพาเชถะ มัง ภันเต อะนุกัมปง อุปาทายะ พระอุปชฌายใหโอวาทและบอก ตะจะปญจะกะ กัมมัฏฐาน แลวใหวาตามไปทีละบท โดยอนุโลม (ไป ขางหนา) และปฏิโลม (ทวนกลับ) ดังนี้ เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ (อนุโลม) ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา (ปฏิโลม) พระอุปชฌายชักอังสะออกจากไตรมาสวมใหผูบวช แลวสั่งใหออกไปครองผาครบไตรจีวรตามระเบียบ ครั้นเสร็จแลวรับเครื่องไทยทานเขาไปหาพระอาจารย ถวายทานแลวกราบ ๓ ครั้ง ยืนประนมมือเปลง วาจาขอสรณะและศีลดังนี้ อุกาสะ วันทามิ ภันเต
  • 8. สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อะนุโมทิตัพพัง สามินา กะตัง ปุญญัง มัยหัง ทาตัพพัง สาธุ สาธุ อะนุโมทามิ อุกาสะ การุญญัง กัตตะวา ติสะระเณนะ สะหะ สีลานิ เทถะ เม ภันเต (นั่งคุกเขาขอสรณะและศีลดังตอไปนี้) อะหัง ภันเต สะระณะสีลัง ยาจามิ ทุติยัมป อะหัง ภันเต สะระณะสีลัง ยาจามิ ตะติยัมป อะหัง ภันเต สะระณะสีลัง ยาจามิ (พระอาจารยกลาวคํานมัสการใหผูบรรพชาวาตามดังนี้) นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ) พระอุปชฌายจะกลาววา เอวัง วะเทหิ หรือ ยะมะหัง วะทามิ ตัง วะเทหิ ใหรับวา อามะ ภันเต แลวทานจะวานําสรณคมนก็ใหวาตามดังนี้ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมป สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ตะติยัมป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ตะติยัมป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ตะติยัมป สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ พอจบแลวทางพระอุปชฌายจะบอกวา ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตัง ก็ใหรับวา อามะ ภันเต ตอจากนั้น ก็สมาทานสิกขาบท ๑๐ ประการโดยวาตามทานไปเรื่อยๆ ดังนี้ ปาณาติปาตา เวรมณี สิกขาปะทัง สมาทิยามิ อทินนาทานา เวรมณี สิกขาปะทัง สมาทิยามิ อะพรหมจริยา เวรมณี สิกขาปะทัง สมาทิยามิ มุสาวาทา เวรมณี สิกขาปะทัง สมาทิยามิ สุราเมรยะมัชชะปมาทัฏฐานา เวรมณี สิกขาปะทัง สมาทิยามิ วิกาละโภชนา เวรมณี สิกขาปะทัง สมาทิยามิ นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสนา เวรมณี สิกขาปะทัง สมาทิยามิ มาลาคันธะวิเลปะนะธารณะมัณฑนะวิภูสะนัฏฐานา เวรมณี สิกขาปะทัง สมาทิยามิ อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา เวรมณี สิกขาปะทัง สมาทิยามิ ชาตะรูปะ ระชะตะ ปฏิคคหณา เวรมณี สิกขาปะทัง สมาทิยามิ
  • 9. (พระจะกลาว ๓ ครั้งวา) อิมานิ ทะสะ สิกขาปะทานิ สมาทิยามิ (เสร็จแลวพึงกราบลง ๑ หน แลวยืนขึ้นวาดังนี้) วันทามิ ภันเต สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อะนุโมทิตัพพัง สามินา กะตัง ปุญญัง มัยหัง ทาตัพพัง สาธุ สาธุ อะนุโมทามิ (คุกเขาลงกราบ ๓ ครั้ง) ตอจากนั้นใหรับบาตรอุมเขาไปหาพระอุปชฌายในสังฆสันนิบาต วางไวขางตัวดานซาย รับเครื่อง ไทยทานถวายทานแลวกราบ ๓ ครั้ง เสร็จแลวยืนขึ้นประนมมือกลาวดังนี้ อุกาสะ วันทามิ ภันเต สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อะนุโมทิตัพพัง สามินา กะตัง ปุญญัง มัยหัง ทาตัพพัง สาธุ สาธุ อะนุโมทามิ อุกาสะ การุญญัง กัตตะวา นิสสะยัง เทถะ เม ภันเต (นั่งคุกเขา) อะหัง ภันเต นิสสะยัง ยาจามิ ทุติยัมป อะหัง ภันเต นิสสะยัง ยาจามิ ตะติยัมป อะหัง ภันเต นิสสะยัง ยาจามิ (กลาว ๓ ครั้งวา) อุปชฌาโย เม ภันเต โหหิ พระอุปชฌายจะกลาวรับวา โอปายิกัง ปะฏิรูปง ปาสาทิเกนะ สัมปะเทหิ ผูบวชพึงรับวา อุกาสะ สัม ปะฏิจฉามิ ๓ ครั้งแลววาดังนี้ (กลาว ๓ ครั้งวา) อัชชะตัคเคทานิ เถโร มัยหัง ภาโร อะหัมป เถรัสสะ ภาโร (เสร็จแลวยืนขึ้นวาดังนี้) วันทามิ ภันเต สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อะนุโมทิตัพพัง สามินา กะตัง ปุญญัง มัยหัง ทาตัพพัง สาธุ สาธุ อะนุโมทามิ (คุกเขาลงกราบ ๓ ครั้ง) ลําดับตอไปพระอุปชฌายหรือพระอาจารยจะเอาบาตรมีสายโยคคลองตัวผูขอบวช แลวบอกบาตรและ จีวร ผูบวชก็รับเปนทอดๆ ไปดังนี้ อะยันเต ปตโต (รับวา) อามะ ภันเต
  • 10. อะยัง สังฆาฏิ (รับวา) อามะ ภันเต อะยัง อุตตะราสังโค (รับวา) อามะ ภันเต อะยัง อันตะระวาสะโก (รับวา) อามะ ภันเต จากนั้นพระอาจารยทานจะบอกใหออกไปขางนอกวา คัจฉะ อะมุมหิ โอกาเส ติฏฐาหิ ผูบวชก็ถอย ออกไปยืนอยูในที่ที่กําหนดไว (สวนใหญจะเปนบริเวณทางเขาโบสถ) ตอจากนี้พระอาจารยจะสวดถาม อันตรายิกธรรม ใหรับ นัตถิ ภันเต ๕ ครั้ง และตอดวย อามะ ภันเต อีก ๘ ครั้งดังตอไปนี้ พระจะถามวา.....................ผูบวชกลาวรับวา กุฏฐัง.....................................นัตถิ ภันเต คัณโฑ....................................นัตถิ ภันเต กิลาโส....................................นัตถิ ภันเต โสโส......................................นัตถิ ภันเต อะปะมาโร..............................นัตถิ ภันเต มะนุสโสสิ๊...............................อามะ ภันเต ปุริโสสิ๊....................................อามะ ภันเต ภุชิสโสสิ๊.................................อามะ ภันเต อะนะโณสิ๊...............................อามะ ภันเต นะสิ๊ ราชะภะโฏ.......................อามะ ภันเต อะนุญญาโตสิ๊ มาตาปตูหิ..........อามะ ภันเต ปะริปุณณะวีสะติวัสโสสิ๊.............อามะ ภันเต ปะริปุณณันเต ปตตะจีวะรัง........อามะ ภันเต กินนาโมสิ................................อะหัง ภันเต...*(ชื่อพระใหม) นามะ โก นามะ เต.............................อุปชฌาโย อุปชฌาโย เม ภันเต อายัสสะมา...*(ชื่อพระอุปชฌาย) นามะ *หมายเหตุ ผูบวชจะตองทราบชื่อทางพระที่พระตั้งใหใหมกอนวันบวชและตองจําชื่อพระอุปชฌายใหได ดวย เสร็จแลวกลับเขามาขางในที่ประชุมสงฆ กราบลงตรงหนาพระอุปชฌาย ๓ ครั้ง นั่งคุกเขาประนมมือเปลง วาจาขออุปสมบทดังนี้ สังฆัมภันเต อุปะสัมปะทัง ยาจามิ อุลลุมปะตุ มัง ภันเต สังโฆ อะนุกัมปง อุปาทายะ ทุติยัมป ภันเต สังฆัง อุปะสัมปะทัง ยาจามิ อุลลุมปะตุ มัง ภันเต สังโฆ อะนุกัมปง อุปาทายะ ตะติยัมป ภันเต สังฆัง อุปะสัมปะทัง ยาจามิ อุลลุมปะตุ มัง ภันเต สังโฆ อะนุกัมปง อุปาทายะ ตอมาพระอาจารยสวดสมมติตนถามอันตรายิกธรรม ผูบวชก็รับวา นัตถิ ภันเต ๕ ครั้ง และ อามะ ภันเต ๘ ครั้ง บอกชื่อพระใหมของตัวเอง และชื่อพระอุปชฌายแบบที่ผานมาอยางละหนึ่งครั้ง เสร็จแลวก็นั่งฟง พระสวดกรรมวาจาอุปสมบทไปจนจบ พอจบแลวทานก็จะเอาบาตรออกจากตัว ใหกราบลง ๓ ครั้ง นั่งพับ เพียบฟงพระอุปชฌายบอกอนุศาสนไปจนจบ แลวก็กลาวรับวา อามะ ภันเต เสร็จพิธีก็กราบพระ
  • 11. อุปชฌาย ๓ ครั้ง ถามีเครื่องไทยทานก็ใหรับไทยทานถวายพระอันดับ เวลากรวดน้ําก็ใหตั้งใจรําลึกถึงผูมี พระคุณอุทิศสวนกุศลแดทาน ขั้นตอนตอไปก็นั่งฟงพระทานอนุโมทนาตอไปจนจบเปนอันเสร็จพิธี                                                 
  • 12. พิธีการบวชแบบธรรมยุต (เอสาหัง) ๏ ขั้นตอนและบทที่ตองทองจํา ใชในพิธีบวชแบบธรรมยุต (เอสาหัง) รับผาไตรอุมประนมมือแลวเดินเขาไปในที่ประชุมสงฆในพิธี (สังฆนิบาต) แลววางผาไตรไวขางตัวดานซาย รับเครื่อง สักการะถวายพระอุปชฌาย กราบดวยเบญจางคประดิษฐ ๓ ครั้ง แลวอุมผาไตรประนมมือยืนขึ้นเปลงวาจาขอบรรพชาวา เอสาหัง ภันเต สุจิระปะรินิพพุตัมป ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ ละเภยยาหัง ภันเต ตัสสะ ภะคะวะโต ธัมมะวินะเย ปพพัชชัง ละเภยยัง อุปะสัมปะทัง ทุติยัมปาหัง ภันเต สุจิระปะรินิพพุตัมป ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ ละเภยยาหัง ภันเต ตัสสะ ภะคะวะโต ธัมมะวินะเย ปพพัชชัง ละเภยยัง อุปะสัมปะทัง ตะติยัมปาหัง ภันเต สุจิระปะรินิพพุตัมป ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ ละเภยยาหัง ภันเต ตัสสะ ภะคะวะโต ธัมมะวินะเย ปพพัชชัง *ละเภยยัง อุปะสัมปะทัง อะหัง ภันเต ปพพัชชัง ยาจามิ อิมานิ กาสายานิ วัตถานิ คะเหตะวา ปพพาเชถะ มัง ภันเต อะนุกัมปง อุปาทายะ ทุติยัมป อะหัง ภันเต ปพพัชชัง ยาจามิ อิมานิ กาสายานิ วัตถานิ คะเหตะวา ปพพาเชถะ มัง ภันเต อะนุกัมปง อุปาทายะ ตะติยัมป อะหัง ภันเต ปพพัชชัง ยาจามิ อิมานิ กาสายานิ วัตถานิ คะเหตะวา ปพพาเชถะ มัง ภันเต อะนุกัมปง อุปาทายะ *หมายเหตุ ถาบวชเปนสามเณรใหละคําวา ละเภยยัง อุปะสัมปะทัง ออก พระอุปชฌายรับเอาผาไตรจากผูบวชวางไวตรงหนาตัก ใหโอวาทและบอก ตะจะปญจะกะ กัมมัฏฐาน แลวใหวาตามไปทีละบท โดยอนุโลม (ไปขางหนา) และปฏิโลม (ทวนกลับ) ดังนี้ เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ (อนุโลม)
  • 13. ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา (ปฏิโลม) พระอุปชฌายชักอังสะออกจากไตรมาสวมใหผูบวช แลวสั่งใหออกไปครองผาครบไตรจีวรตามระเบียบ ครั้นเสร็จแลวเขาไปหาพระอาจารย รับเครื่องสักการะถวายทานแลวกราบ ๓ ครั้ง นั่งคุกเขาเปลงวาจาขอ สรณะและศีลดังนี้ อะหัง ภันเต สะระณะสีลัง ยาจามิ ทุติยัมป อะหัง ภันเต สะระณะสีลัง ยาจามิ ตะติยัมป อะหัง ภันเต สะระณะสีลัง ยาจามิ (พระอาจารยกลาวคํานมัสการใหผูบรรพชาวาตามดังนี้) นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ) พระอุปชฌายจะกลาววา เอวัง วะเทหิ หรือ ยะมะหัง วะทามิ ตัง วะเทหิ ใหรับวา อามะ ภันเต แลวทานจะวานําสรณคมนก็ใหวาตามดังนี้ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมป สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ตะติยัมป พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ตะติยัมป ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ตะติยัมป สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ พอจบแลวทางพระอุปชฌายจะบอกวา ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตัง ก็ใหรับวา อามะ ภันเต ตอจากนั้น ก็สมาทานสิกขาบท ๑๐ ประการโดยวาตามทานไปเรื่อยๆ ดังนี้ ปาณาติปาตา เวรมณี อทินนาทานา เวรมณี ิ อะพรหมจริยา เวรมณี มุสาวาทา เวรมณี สุราเมรยะมัชชะปมาทัฏฐานา เวรมณี วิกาละโภชนา เวรมณี นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสนา เวรมณี มาลาคันธะวิเลปะนะธารณะมัณฑนะวิภูสะนัฏฐานา เวรมณี อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา เวรมณี ชาตะรูปะ ระชะตะ ปฏิคคหณา เวรมณี (และกลาว ๓ ครั้งวา) อิมานิ ทะสะ สิกขาปะทานิ สมาทิยามิ (เสร็จแลวรับบาตรอุมเขาไปหาพระอุปชฌายในที่ประชุมสงฆ วางไวขางตัวดานซาย รับเครื่องสักการะถวายทานแลวกราบ ๓ ครั้ง นั่งคุกเขาประนมมือกลาวดังนี้)
  • 14. อะหัง ภันเต นิสสะยัง ยาจามิ ทุติยัมป อะหัง ภันเต นิสสะยัง ยาจามิ ตะติยัมป อะหัง ภันเต นิสสะยัง ยาจามิ อุปชฌาโย เม ภันเต โหหิ (ตรงนี้วา ๓ ครั้ง) พระอุปชฌายจะกลาววา โอปายิกัง ปะฏิรูปง ปาสาทิเกนะ สัมปาเทหิ ใหรับวา สาธุ ภันเต ทุกครั้งไป อัชชะตัคเคทานิ เถโร มัยหัง ภาโร อะหัมป เถรัสสะ ภาโร (กลาวตรงนี้ ๓ ครั้ง เสร็จแลวกราบลง ๓ ครั้ง) พระอาจายจะเอาสายคลองตัวผูบวช บอกบาตรและจีวรก็ใหผูบวชรับวา อามะ ภันเต ๔ ครั้งดังนี้ อะยันเต ปตโต (รับวา) อามะ ภันเต อะยัง สังฆาฏิ (รับวา) อามะ ภันเต อะยัง อุตตะราสังโค (รับวา) อามะ ภันเต อะยัง อันตะระวาสะโก (รับวา) อามะ ภันเต จากนั้นพระอาจารยทานจะบอกใหออกไปขางนอกวา คัจฉะ อะมุมหิ โอกาเส ติฏฐาหิ ผูบวชก็ถอย ออกไปยืนอยูในที่ที่กําหนดไว (สวนใหญจะเปนบริเวณทางเขาโบสถ) ตอจากนี้พระอาจารยจะสวดถาม อันตรายิกธรรม ใหรับ นัตถิ ภันเต ๕ ครั้ง และตอดวย อามะ ภันเต อีก ๘ ครั้งดังตอไปนี้ พระจะถามวา.......................ผูบวชกลาวรับวา กุฏฐัง.......................................นัตถิ ภันเต คัณโฑ......................................นัตถิ ภันเต กิลาโส......................................นัตถิ ภันเต โสโส........................................นัตถิ ภันเต อะปะมาโร................................นัตถิ ภันเต มะนุสโสสิ๊.................................อามะ ภันเต ปุริโสสิ๊......................................อามะ ภันเต ภุชิสโสสิ๊...................................อามะ ภันเต อะนะโณสิ๊.................................อามะ ภันเต นะสิ๊ ราชะภะโฏ.........................อามะ ภันเต อะนุญญาโตสิ๊ มาตาปตูหิ............อามะ ภันเต ปะริปุณณะวีสะติวัสโสสิ๊...............อามะ ภันเต ปะริปุณณันเต ปตตะจีวะรัง..........อามะ ภันเต กินนาโมสิ.................................อะหัง ภันเต...*(ชื่อพระใหม) นามะ โก นามะ เต อุปชฌาโย..............อุปชฌาโย เม ภันเต อายัสสะมา...*(ชื่อพระอุปชฌาย) นามะ *หมายเหตุ ผูบวชจะตองทราบชื่อทางพระที่พระตั้งใหใหมกอนวันบวชและตองจําชื่อพระอุปชฌายใหได ดวย เสร็จแลวกลับเขามาขางในที่ประชุมสงฆ กราบลงตรงหนาพระอุปชฌาย ๓ ครั้ง นั่งคุกเขาประนมมือเปลง วาจาขออุปสมบทดังนี้
  • 15. สังฆัมภันเต อุปะสัมปะทัง ยาจามิ อุลลุมปะตุ มัง ภันเต สังโฆ อะนุกัมปง อุปาทายะ ทุติยัมป ภันเต สังฆัง อุปะสัมปะทัง ยาจามิ อุลลุมปะตุ มัง ภันเต สังโฆ อะนุกัมปง อุปาทายะ ตะติยัมป ภันเต สังฆัง อุปะสัมปะทัง ยาจามิ อุลลุมปะตุ มัง ภันเต สังโฆ อะนุกัมปง อุปาทายะ ถากลาวพรอมกันใหเปลี่ยนคําวา ยาจามิ เปน ยาจามะ และเปลี่ยน มัง เปน โน ตอมาพระอาจารยสวดสมมติตนถามอันตรายิกธรรม ผูบวชก็รับวา นัตถิ ภันเต ๕ ครั้ง และ อามะ ภันเต ๘ ครั้ง บอกชื่อพระใหมของตัวเอง และชื่อพระอุปชฌายแบบที่ผานมาอยางละหนึ่งครั้ง เสร็จแลวก็นั่งฟง พระสวดกรรมวาจาอุปสมบทไปจนจบ พอจบแลวทานก็จะเอาบาตรออกจากตัว ใหกราบลง ๓ ครั้ง นั่งพับ เพียบฟงพระอุปชฌายบอกอนุศาสนไปจนจบ แลวก็กลาวรับวา อามะ ภันเต เสร็จพิธีก็กราบ ๓ ครั้ง ถามี เครื่องไทยทานก็ใหรับไทยทานถวายพระอันดับ เวลากรวดน้ําก็ใหตั้งใจรําลึกถึงผูมีพระคุณอุทิศสวนกุศล แดทาน ขั้นตอนตอไปก็นั่งฟงพระทานอนุโมทนาตอไปจนจบเปนอันเสร็จพิธี                                 
  • 16. บทบัญญัติขอหามและศีลของสมณเพศ หนานี้วาดวยขอหามและศีลที่พระพุทธเจา ไดบัญญัติไว สําหรับผูที่บวชเปนสามเณร และภิกษุ ซึ่งเปนสิ่งที่ตองกระทําเมื่ออยูใน สมเพศ เปนที่นาเสียดายวา ในตําราพิธีการ บวชที่มีอยูหลายเลมนั้น ทั้งของธรรมยุต และมหานิกาย ไดเวนไวโดยมิไดกลาวถึง ศีลสําหรับพระภิกษุทั้งใหมและเกา ซึ่งอาจ เปนเพราะวามันมากถึง ๒๒๗ ขอ อันอาจจะ เปลืองเนื้อที่กระดาษหรืออยางไรไมทราบ ได ทําใหพระในปจจุบันนี้อาจจะละเมิดศีล โดยที่มิควรจะเปน ทั้งโดยตั้งใจและไม ตั้งใจ หรืออาจจะลืมไปแลวเสียดวยวาสิ่งที่ กําลังทําอยูนั้นผิดศีลขอใด - หามฉันเนื้อ ๑๐ อยาง - ศีล ๑๐ ขอของสามเณร - ศีล ๒๒๗ ขอของพระภิกษุ - ขอปฏิบัติของภิกษุณี ๘ ประการ (ครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา) - ขอหามสําหรับการบวชพระในแบบธรรมยุต ๏ ภิกษุไมควรฉันเนื้อ ๑๐ อยางอันไดแก ๑. เนื้อมนุษย ๒. เนื้อชาง ๓. เนื้อมา ๔ .เนื้อสุนัข ๕. เนื้องู ๖. เนื้อราชสีห ๗. เนื้อหมี ๘. เนื้อเสือโครง ๙. เนื้อเสือดาว ๑๐. เนื้อเสือเหลือง ๏ สามเณรตองถือศีล ๑๐ ขออันไดแก ๑. เวนจากการฆาสัตวทั้งมนุษยและเดรัจฉาน ๒. เวนจากการลักทรัพย ๓. เวนจากการเสพเมถุน
  • 17. ๔. เวนจากการพูดเท็จ ๕. เวนจากการดื่มสุราและเมรัย ๖. เวนจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล (หลังเที่ยงวันไปแลว) ๗. เวนจากการฟอนรําขับรองและการบรรเลง ตลอดถึงการดูการฟงสิ่งเหลานั้น ๘. เวนจากการทัดทรงตกแตงประดับรางกาย การใชดอกไม ของหอม เครื่องประเทืองผิวตางๆ ๙. เวนจากการนอนที่นอนสูงใหญและยัดนุนสําลีอันมีลายวิจิตร (เวนจากการนั่งนอนเหนือเตียงตั่งที่มีเทาสูงเกินประมาณ) ๑๐. เวนจากการรับเงินทอง ๏ พระภิกษุตองถือศีล ๒๒๗ ขออันไดแก ศีล ๒๒๗ ขอที่เปนวินัยของสงฆ ทําผิดถือวาเปนอาบัติ สามารถแบงออกไดเปนลําดับขั้น ตั้งแตขั้น รุนแรงจนกระทั่งเบาที่สุดไดดังนี้ ไดแก - ปาราชิก มี ๔ ขอ - สังฆาทิเสส มี ๑๓ ขอ - อนิยต มี ๒ ขอ (อาบัติที่ไมแนวาจะปรับขอไหน) - นิสสัคคิยปาจิตตีย มี ๓๐ ขอ (อาบัติที่ตองสละสิ่งของวาดวยเรื่องจีวร ไหม บาตร อยางละ ๑๐ ขอ) - ปาจิตตีย มี ๙๒ ขอ (วาดวยอาบัติที่ไมตองสละสิ่งของ) - ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ขอ (วาดวยอาบัติที่พึงแสดงคืน) เสขิยะ (ขอที่ภิกษุพึงศึกษาเรื่องมารยาท) แบงเปน - สารูป มี ๒๖ ขอ (ความเหมาะสมในการเปนสมณะ) - โภชนปฏิสังยุตต มี ๓๐ ขอ (วาดวยการฉันอาหาร) - ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต มี ๑๖ ขอ (วาดวยการแสดงธรรม) - ปกิณสถะ มี ๓ ขอ (เบ็ดเตล็ด) - อธิกรณสมถะ มี ๗ ขอ (ธรรมสําหรับระงับอธิกรณ) รวมทั้งหมดแลว ๒๒๗ ขอ ผิดขอใดขอหนึ่งถือวาตองอาบัติ การแสดงอาบัติสามารถกลาวกับพระภิฏษุรูป อื่นเพื่อเปนการแสดงตนตอความผิดได แตถาถึงขั้นปาราชิกก็ตองสึกอยางเดียว ๐ ปาราชิก มี ๔ ขอไดแก ๑. เสพเมถุน แมกับสัตวเดรัจฉานตัวเมีย (รวมสังวาสกับคนหรือสัตว)
  • 18. ๒. ถือเอาทรัพยที่เจาของไมไดใหมาเปนของตน จากบานก็ดี จากปาก็ดี (ขโมย) ๓. พรากกายมนุษยจากชีวิต (ฆาคน)หรือแสวงหาศาสตราอันจะนําไปสูความตายแกรางกายมนุษย ๔. กลาวอวดอุตตริมนุสสธัมม อันเปนความเห็นอยางประเสริฐ อยางสามารถ นอมเขาในตัววา ขาพเจารู อยางนี้ ขาพเจาเห็นอยางนี้ (ไมรูจริง แตโออวดความสามารถของตัวเอง) ๐ สังฆาทิเสส มี ๑๓ ขอ ถือเปนความผิดหากทําสิ่งใดตอไปนี้ ๑. ปลอยน้ําอสุจิดวยความจงใจ เวนไวแตฝน ๒. เคลาคลึง จับมือ จับชองผม ลูบคลํา จับตองอวัยวะอันใดก็ตามของสตรีเพศ ๓. พูดจาหยาบคาย เกาะแกะสตรีเพศ เกี้ยวพาราสี ๔. การกลาวถึงคุณในการบําเรอตนดวยกาม หรือถอยคําพาดพิงเมถุน ๕.ทําตัวเปนสื่อรัก บอกความตองการของอีกฝายใหกับหญิงหรือชาย แมสามีกับภรรยา หรือแมแตหญิง ขายบริการ ๖. สรางกุฏิดวยการขอ ๗. สรางวิหารใหญ โดยพระสงฆมิไดกําหนดที่รุกรานคนอื่น ๘. แกลงใสความวาปาราชิกโดยไมมีมูล ๙. แกลงสมมุติแลวใสความวาปาราชิกโดยไมมีมูล ๑๐. ยุยงสงฆใหแตกกัน ๑๑. เปนพวกของผูที่ทําสงฆใหแตกกัน ๑๒. เปนผูวายากสอนยาก และตองโดนเตือนถึง ๓ ครั้ง ๑๓. ทําตัวเปนเหมือนคนรับใช ประจบคฤหัสถ ๐ อนิยตกัณฑ มี ๒ ขอไดแก ๑. การนั่งในที่ลับตา มีอาสนะกําบังอยูกับสตรีเพศ และมีผูมาเห็นเปนผูที่เชื่อถือไดพูดขึ้นดวยธรรม ๓ ประการอันใดอันหนึ่งกลาวแกภิกษุนั้นไดแก ปาราชิกก็ดี สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตียก็ดี ภิกษุนั้นถือวามี ความผิดตามที่อุบาสกผูนั้นกลาว ๒. ในสถานที่ที่ไมเปนที่ลับตาเสียทีเดียว แตเปนที่ที่จะพูดจาคอนแคะสตรีเพศไดสองตอสองกับภิกษุผู
  • 19. เดียว และมีผูมาเห็นเปนผูที่เชื่อถือไดพูดขึ้นดวยธรรม ๒ ประการอันใดอันหนึ่งกลาวแกภิกษุนั้นไดแก สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตียก็ดี ภิกษุนั้นถือวามีความผิดตามที่อุบาสกผูนั้นกลาว ๐ นิสสัคคิยปาจิตตีย มี ๓๐ ขอ ถือเปนความผิดไดแก ๑. เก็บจีวรที่เกินความจําเปนไวเกิน ๑๐ วัน ๒. อยูโดยปราศจากจีวรแมแตคืนเดียว ๓. เก็บผาที่จะทําจีวรไวเกินกําหนด ๑ เดือน ๔. ใชใหภิกษุณีซักผา ๕.รับจีวรจากมือของภิกษุณี ๖. ขอจีวรจากคฤหัสถที่ไมใชญาติ เวนแตจีวรหายหรือถูกขโมย ๗. รับจีวรเกินกวาที่ใชนุง เมื่อจีวรถูกชิงหรือหายไป ๘. พูดทํานองขอจีวรดีๆ กวาที่เขากําหนดจะถวายไวแตเดิม ๙. พูดใหเขารวมกันซื้อจีวรดีๆ มาถวาย ๑๐. ทวงจีวรจากคนที่รับอาสาเพื่อซื้อจีวรถวายเกินกวา ๓ ครั้ง ๑๑. หลอเครื่องปูนั่งที่เจือดวยไหม ๑๒. หลอเครื่องปูนั่งดวยขนเจียม (ขนแพะ แกะ) ดําลวน ๑๓. ใชขนเจียมดําเกิน ๒ สวนใน ๔ สวน หลอเครื่องปูนั่ง ๑๔. หลอเครื่องปูนั่งใหม เมื่อของเดิมยังใชไมถึง ๖ ป ๑๕. เมื่อหลอเครื่องปูนั่งใหม ใหเอาของเกาเจือปนลงไปดวย ๑๖. นําขนเจียมไปดวยตนเองเกิน ๓ โยชน เวนแตมีผูนําไปให ๑๗. ใชภิกษุณีที่ไมใชญาติทําความสะอาดขนเจียม ๑๘. รับเงินทอง ๑๙. ซื้อขายดวยเงินทอง ๒๐. ซื้อขายโดยใชของแลก ๒๑. เก็บบาตรที่มีใชเกินความจําเปนไวเกิน ๑๐ วัน ๒๒. ขอบาตร เมื่อบาตรเปนแผลไมเกิน ๕ แหง ๒๓. เก็บเภสัช ๕ (เนยใส เนยขน น้ํามัน น้ําผึ้ง น้ําออย) ไวเกิน ๗ วัน ๒๔. แสวงและทําผาอาบน้ําฝนไวเกินกําหนด ๑ เดือนกอนหนาฝน ๒๕. ใหจีวรภิกษุอื่นแลวชิงคืนในภายหลัง ๒๖. ขอดายเอามาทอเปนจีวร ๒๗. กําหนดใหชางทอทําใหดีขึ้น ๒๘. เก็บผาจํานําพรรษา (ผาที่ถวายภิกษุเพื่ออยูพรรษา) เกินกําหนด ๒๙. อยูปาแลวเก็บจีวรไวในบานเกิน ๖ คืน ๓๐. นอมลาภสงฆมาเพื่อใหเขาถวายตน ๐ ปาจิตตีย มี ๙๒ ขอไดแก ๑. หามพูดปด ๒. หามดา ๓. หามพูดสอเสียด ๔. หามกลาวธรรมพรอมกับผูไมไดบวชในขณะสอน ๕. หามนอนรวมกับอนุปสัมบัน(ผูไมใชภิกษุ)เกิน ๓ คืน
  • 20. ๖. หามนอนรวมกับผูหญิง ๗. หามแสดงธรรมสองตอสองกับผูหญิง ๘. หามบอกคุณวิเศษที่มีจริงแกผูมิไดบวช ๙. หามบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแกผูมิไดบวช ๑๐. หามขุดดินหรือใชใหขุด ๑๑. หามทําลายตนไม ๑๒. หามพูดเฉไฉเมื่อถูกสอบสวน ๑๓. หามติเตียนภิกษุผูทําการสงฆโดยชอบ ๑๔. หามทิ้งเตียงตั่งของสงฆไวกลางแจง ๑๕. หามปลอยที่นอนไว ไมเก็บงํา ๑๖. หามนอนแทรกภิกษุผูเขาไปอยูกอน ๑๗. หามฉุดคราภิกษุออกจากวิหารของสงฆ ๑๘. หามนั่งนอนทับเตียงหรือตั่งที่อยูชั้นบน ๑๙. หามพอกหลังคาวิหารเกิน ๓ ชั้น ๒๐. หามเอาน้ํามีสัตวรดหญาหรือดิน ๒๑. หามสอนนางภิกษุณีเมื่อมิไดรับมอบหมาย ๒๒. หามสอนนางภิกษุณีตั้งแตอาทิตยตกแลว ๒๓. หามไปสอนนางภิกษุณีถึงที่อยู ๒๔. หามติเตียนภิกษุอื่นวาสอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแกลาภ ๒๕. หามใหจีวรแกนางภิกษุณีผูมิใชญาติ ๒๖. หามเย็บจีวรใหนางภิกษุณีผูมิใชญาติ ๒๗. หามเดินทางไกลรวมกับนางภิกษุณี ๒๘. หามชวนนางภิกษุณีเดินทางเรือรวมกัน ๒๙. หามฉันอาหารที่นางภิกษุณีไปแนะใหเขาถวาย ๓๐. หามนั่งในที่ลับสองตอสองกับภิกษุณี ๓๑. หามฉันอาหารในโรงพักเดินทางเกิน ๓ มื้อ ๓๒. หามฉันอาหารรวมกลุม ๓๓. หามรับนิมนตแลวไปฉันอาหารที่อื่น ๓๔. หามรับบิณฑบาตเกิน ๓ บาตร ๓๕. หามฉันอีกเมื่อฉันในที่นิมนตเสร็จแลว ๓๖. หามพูดใหภิกษุที่ฉันแลวฉันอีกเพื่อจับผิด ๓๗. หามฉันอาหารในเวลาวิกาล ๓๘. หามฉันอาหารที่เก็บไวคางคืน ๓๙. หามขออาหารประณีตมาเพื่อฉันเอง ๔๐. หามฉันอาหารที่มิไดรับประเคน ๔๑. หามยื่นอาหารดวยมือใหชีเปลือยและนักบวชอื่นๆ ๔๒. หามชวนภิกษุไปบิณฑบาตดวยแลวไลกลับ ๔๓. หามเขาไปแทรกแซงในสกุลที่มีคน ๒ คน ๔๔. หามนั่งในที่ลับมีที่กําบังกับมาตุคาม (ผูหญิง) ๔๕. หามนั่งในที่ลับ (หู) สองตอสองกับมาตุคาม ๔๖. หามรับนิมนตแลวไปที่อื่นไมบอกลา ๔๗. หามขอของเกินกําหนดเวลาที่เขาอนุญาตไว ๔๘. หามไปดูกองทัพที่ยกไป ๔๙. หามพักอยูในกองทัพเกิน ๓ คืน ๕๐. หามดูเขารบกันเปนตน เมื่อไปในกองทัพ
  • 21. ๕๑. หามดื่มสุราเมรัย ๕๒. หามจี้ภิกษุ ๕๓. หามวายน้ําเลน ๕๔. หามแสดงความไมเอื้อเฟอในวินัย ๕๕. หามหลอกภิกษุใหกลัว ๕๖. หามติดไฟเพื่อผิง ๕๗. หามอาบน้ําบอยๆ เวนแตมีเหตุ ๕๘. ใหทําเครื่องหมายเครื่องนุงหม ๕๙. วิกัปจีวรไวแลว (ทําใหเปนสองเจาของ-ใหยืมใช) จะใชตองถอนกอน ๖๐. หามเลนซอนบริขารของภิกษุอื่น ๖๑. หามฆาสัตว ๖๒. หามใชน้ํามีตัวสัตว ๖๓. หามรื้อฟนอธิกรณ (คดีความ-ขอโตเถียง) ที่ชําระเปนธรรมแลว ๖๔. หามปกปดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น ๖๕. หามบวชบุคคลอายุไมถึง ๒๐ ป ๖๖. หามชวนพอคาผูหนีภาษีเดินทางรวมกัน ๖๗. หามชวนผูหญิงเดินทางรวมกัน ๖๘. หามกลาวตูพระธรรมวินัย (ภิกษุอื่นหามและสวดประกาศเกิน ๓ ครั้ง) ๖๙. หามคบภิกษุผูกลาวตูพระธรรมวินัย ๗๐. หามคบสามเณรผูกลาวตูพระธรรมวินัย ๗๑. หามพูดไถลเมื่อทําผิดแลว ๗๒. หามกลาวติเตียนสิกขาบท ๗๓. หามพูดแกตัววา เพิ่งรูวามีในปาฏิโมกข ๗๔. หามทํารายรางกายภิกษุ ๗๕. หามเงื้อมือจะทํารายภิกษุ ๗๖. หามโจทภิกษุดวยอาบัติสังฆาทิเสสที่ไมมีมูล ๗๗. หามกอความรําคาญแกภิกษุอื่น ๗๘. หามแอบฟงความของภิกษุผูทะเลาะกัน ๗๙. ใหฉันทะแลวหามพูดติเตียน ๘๐. ขณะกําลังประชุมสงฆ หามลุกไปโดยไมใหฉันทะ ๘๑. รวมกับสงฆใหจีวรแกภิกษุแลว หามติเตียนภายหลัง ๘๒. หามนอมลาภสงฆมาเพื่อบุคคล ๘๓. หามเขาไปในตําหนักของพระราชา ๘๔. หามเก็บของมีคาที่ตกอยู ๘๕. เมื่อจะเขาบานในเวลาวิกาล ตองบอกลาภิกษุกอน ๘๖. หามทํากลองเข็มดวยกระดูก งา หรือเขาสัตว ๘๗. หามทําเตียง ตั่งมีเทาสูงกวาประมาณ ๘๘. หามทําเตียง ตั่งที่หุมดวยนุน ๘๙. หามทําผาปูนั่งมีขนาดเกินประมาณ ๙๐. หามทําผาปดฝมีขนาดเกินประมาณ ๙๑. หามทําผาอาบน้ําฝนมีขนาดเกินประมาณ ๙๒. หามทําจีวรมีขนาดเกินประมาณ ๐ ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ขอไดแก
  • 22. ๑. หามรับของคบเคี้ยว ของฉันจากมือภิกษุณีมาฉัน ๒. ใหไลนางภิกษุณีที่มายุงใหเขาถวายอาหาร ๓. หามรับอาหารในสกุลที่สงฆสมมุติวาเปนเสขะ (อริยบุคคล แตยังไมไดบรรลุเปนอรหันต) ๔. หามรับอาหารที่เขาไมไดจัดเตรียมไวกอนมาฉันเมื่ออยูปา เสขิยะ ๐ สารูป มี ๒๖ ขอไดแก ๑. นุงใหเปนปริมณฑล (ลางปดเขา บนปดสะดือไมหอยหนาหอยหลัง) ๒. หมใหเปนนปริมณฑล (ใหชายผาเสมอกัน) ๓. ปกปดกายดวยดีไปในบาน ๔. ปกปดกายดวยดีนั่งในบาน ๕. สํารวมดวยดีไปในบาน ๖. สํารวมดวยดีนั่งในบาน ๗. มีสายตาทอดลงไปในบาน (ตาไมมองโนนมองนี่) ๘. มีสายตาทอดลงนั่งในบาน ๙. ไมเวิกผาไปในบาน ๑๐. ไมเวิกผานั่งในบาน ๑๑. ไมหัวเราะดังไปในบาน ๑๒. ไมหัวเราะดังนั่งในบาน ๑๓. ไมพูดเสียงดังไปในบาน ๑๔. ไมพูดเสียงดังนั่งในบาน ๑๕. ไมโคลงกายไปในบาน ๑๖. ไมโคลงกายนั่งในบาน ๑๗. ไมไกวแขนไปในบาน ๑๘. ไมไกวแขนนั่งในบาน ๑๙. ไมสั่นศีรษะไปในบาน ๒๐. ไมสั่นศีรษะนั่งในบาน ๒๑. ไมเอามือค้ํากายไปในบาน ๒๒. ไมเอามือค้ํากายนั่งในบาน ๒๓. ไมเอาผาคลุมศีรษะไปในบาน ๒๔. ไมเอาผาคลุมศีรษะนั่งในบาน ๒๕. ไมเดินกระโหยงเทา ไปในบาน ๒๖. ไมนั่งรัดเขาในบาน เสขิยะ ๐ โภชนปฏิสังยุตต มี ๓๐ ขอคือหลักในการฉันอาหารไดแก ๑. รับบิณฑบาตดวยความเคารพ ๒. ในขณะบิณฑบาต จะแลดูแตในบาตร ๓. รับบิณฑบาตพอสมสวนกับแกง (ไมรับแกงมากเกินไป) ๔. รับบิณฑบาตแคพอเสมอขอบปากบาตร
  • 23. ๕. ฉันบิณฑบาตโดยความเคารพ ๖. ในขณะฉันบิณฑบาต และดูแตในบาตร ๗. ฉันบิณฑบาตไปตามลําดับ (ไมขุดใหแหวง) ๘. ฉันบิณฑบาตพอสมสวนกับแกง ไมฉันแกงมากเกินไป ๙. ฉันบิณฑบาตไมขยุมแตยอดลงไป ๑๐. ไมเอาขาวสุกปดแกงและกับดวยหวังจะไดมาก ๑๑. ไมขอเอาแกงหรือขาวสุกเพื่อประโยชนแกตนมาฉัน หากไมเจ็บไข ๑๒. ไมมองดูบาตรของผูอื่นดวยคิดจะยกโทษ ๑๓. ไมทําคําขาวใหใหญเกินไป ๑๔. ทําคําขาวใหกลมกลอม ๑๕. ไมอาปากเมื่อคําขาวยังมาไมถึง ๑๖. ไมเอามือทั้งมือใสปากในขณะฉัน ๑๗. ไมพูดในขณะที่มีคําขาวอยูในปาก ๑๘. ไมฉันโดยการโยนคําขาวเขาปาก ๑๙. ไมฉันกัดคําขาว ๒๐. ไมฉันทํากระพุงแกมใหตุย ๒๑. ไมฉันพลางสะบัดมือพลาง ๒๒. ไมฉันโปรยเมล็ดขาว ๒๓. ไมฉันแลบลิ้น ๒๔. ไมฉันดังจับๆ ๒๕. ไมฉันดังซูดๆ ๒๖. ไมฉันเลียมือ ๒๗. ไมฉันเลียบาตร ๒๘. ไมฉันเลียริมฝปาก ๒๙. ไมเอามือเปอนจับภาชนะน้ํา ๓๐. ไมเอาน้ําลางบาตรมีเมล็ดขาวเทลงในบาน เสขิยะ ๐ ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต มี ๑๖ ขอคือ ๑. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่มีรมในมือ ๒. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่มีไมพลองในมือ ๓. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่มีของมีคมในมือ ๔. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่มีอาวุธในมือ ๕. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่สวมเขียงเทา (รองเทาไม) ๖. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่สวมรองเทา ๗. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่ไปในยาน ๘. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่อยูบนที่นอน ๙. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่นั่งรัดเขา ๑๐. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่โพกศีรษะ ๑๑. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่คลุมศีรษะ ๑๒. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่อยูบนอาสนะ (หรือเครื่องปูนั่ง) โดยภิกษุอยูบนแผนดิน ๑๓. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่นั่งบนอาสนะสูงกวาภิกษุ ๑๔. ไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่นั่งอยู แตภิกษุยืน
  • 24. ๑๕. ภิกษุเดินไปขางหลังไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่เดินไปขางหนา ๑๖. ภิกษุเดินไปนอกทางไมแสดงธรรมแกคนไมเปนไขที่ไปในทาง เสขิยะ ๐ ปกิณสถะ มี ๓ ขอ ๑. ภิกษุไมเปนไขไมยืนถายอุจจาระ ปสสาวะ ๒. ภิกษุไมเปนไขไมถายอุจจาระ ปสสาวะ หรือบวนน้ําลายลงในของเขียว (พันธุไมใบหญาตางๆ) ๓. ภิกษุไมเปนไขไมถายอุจจาระ ปสสาวะ หรือบวนน้ําลายลงในน้ํา เสขิยะ ๐ อธิกรณสมถะ มี ๗ ขอไดแก ๑. ระงับอธิกรณ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไมได) ในที่พรอมหนา (บุคคล วัตถุ ธรรม) ๒. ระงับอธิกรณ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไมได) ดวยการยกใหวาพระอรหันตเปนผูมีสติ ๓. ระงับอธิกรณ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไมได) ดวยยกประโยชนใหในขณะเปนบา ๔. ระงับอธิกรณ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไมได) ดวยถือตามคํารับของจําเลย ๕. ระงับอธิกรณ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไมได) ดวยถือเสียงขางมากเปนประมาณ ๖. ระงับอธิกรณ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไมได) ดวยการลงโทษแกผูผิด ๗. ระงับอธิกรณ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไมได) ดวยใหประนีประนอมหรือเลิกแลวกันไป ๏ ขอปฏิบัติของภิกษุณี ๘ ประการ (ครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา) ครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา คือ เงื่อนไขอยางเขมงวด ๘ ประการ ที่ภิกษุณีจะตองปฏิบัติตลอดชีวิตอัน ไดแก ๑. ตองเคารพภิกษุแมจะออนพรรษากวา ๒. ตองไมจําพรรษาในวัดที่ไมมีภิกษุ ๓. ตองทําอุโบสถและรับโอวาทจากภิกษุทุกกึ่งเดือน ๔. เมื่อออกพรรษาตองปวารณาตนตอภิกษุและภิกษุณีอื่นใหตักเตือนตน ๕. เมื่อตองอาบัติหนัก ตองรับมานัต (รับโทษ) จากสงฆสองฝาย คือ ทั้งฝายภิกษุและภิกษุณี ๑๕ วัน
  • 25. ๖. ตองบวชจากสงฆทั้งสองฝาย หลังจากเปน *สิกขามานา เต็มแลวสองป ๗. จะดาวาคอนแคะภิกษุไมได ๘. หามสอนภิกษุเด็ดขาด *สิกขามานา แปลวา ผูศึกษา สตรีที่จะบวชเปนภิกษุณีตองเปนนางสิกขามานา กอน ๒ ป ๏ ขอหามสําหรับการบวชพระในแบบธรรมยุต หามจับปจจัยที่เปนเงินเด็ดขาด                                       
  • 26. บทกิจวัตร แสดงอาบัติ ลาสิกขา ๏ บทกิจวัตรเมื่อเปนพระ ๑. ลงอุโบสถ (ทําวัตรเชา ทําวัตรเย็น) ๒. บิณฑบาตรเลี้ยงชีพ ๓. สวดมนตไหวพระ ๔. กวาดอาวาสวิหารลานพระเจดีย ๕. รักษาผาครอง ๖. อยูปริวาสกรรม ๗. โกนผม ปลงหนวด ตัดเล็บ ๘. ศึกษาสิกขาบทและปฏิบัติพระอาจารย ๙. เทศนาบัติ ๑๐. พิจารณาปจจเวกขณะทั้ง ๔ เปนตน (ใหรูจักขมใจ เวนแตความจําเปน ๔ อยางคือ จีวร บิณฑบาตร เสนาสนะ และเภสัช) ๏ วิธีแสดงอาบัติ เมื่อใดที่รูวาตองอาบัติในขอใดขอหนึ่ง ตองแสดงอาบัติกับพระรูปใดรูปหนึ่งเพื่อเปนพยาน ดังนี้ (พระที่พรรษาออนกวา) สัพพา ตา อาปตติโย อาโรเจมิ (วา ๓ ครั้ง) สัพพา คะรุละหุกา อาปตติโย อาโรจามิ (วา ๓ ครั้ง) อะหัง ภันเต สัมพะหุลา นานาวัตถุกาโย อาปตติโย อาปชชิง ตา ตุมหะ มูเล ปะฏิเทเสมิ (พระที่พรรษาแกกวารับวา) ปสสะสิ อาวุโส ตา อาปตติโย (พระที่พรรษาออนกวา)
  • 27. อุกาสะ อามะ ภันเต ปสสามิ (พระที่พรรษาแกกวารับวา) อายะติง อาวุโส สังวะเรยยาสิ (พระที่พรรษาออนกวา) สาธุ สุฏุ ภันเต สังวะริสสามิ ทุติยัมป สาธุ สุฏุ ภันเต สังวะริสสามิ ตะติยัมป สาธุ สุฏุ ภันเต สังวะริสสามิ นะ ปุเนวัง กะริสสาม นะ ปุเนวัง ภาสิสสามิ นะ ปุเนวัง จินตะยิสสามิ (พระที่พรรษาแกกวาวา) สัพพา ตา อาปตติโย อาโรเจมิ (กลาว ๓ ครั้ง) สัพพา คะรุละหุกา อาปตติโย อาโรเจมิ (กลาว ๓ ครั้ง) อะหัง อาวุโส สัมพะหุลา นานาวัตถุกาโย อาปตติโย อาปชชิง ตา ตุยหะ มูเล ปะฏิเทเสมิ (พระที่พรรษาออนกวารับวา) อุกาสะ ปสสะถะ ภันเต ตา อาปตติโย (พระที่พรรษาแกกวาวา) อามะ อาวุโส ปสสามิ (พระที่พรรษาออนกวารับวา) อายะติง ภันเต สังวะเรยยาถะ (พระที่พรรษาแกกวาวา) สาธุ สุฏุ อาวุโส สังวะริสสามิ ทุติยัมป สาธุ สุฏุ อาวุโส สังวะริสสามิ ตะติยัมป สาธุ สุฏุ อาวุโส สังวะริสสามิ นะ ปุเนวัง กะริสสามิ นะ ปุเนวัง ภาสิสสามิ นะ ปุเนวัง จินตะยิสสามิ ๏ ขั้นตอนและบททองจํากอนสึก
  • 28. ไปแสดงตนตอพระอุปชฌายเพื่อแจงความจํานงขอลาสิกขา มีพระสงฆนั่งเปนพยานเขาประชุมพรอมกัน ภิกษุเมื่อจะลาสิกขาตองแสดงอาบัติแลว พาดผาสังฆาฏิเขาไปนั่งหันหนาตรงพระพุทธรูปบนที่บูชา กราบ ๓ ครั้ง ประนมมือ กลาว นะโม...๓ จบ แลวกลาวดังนี้ สิกขัง ปจจักขามิ คิหีติ มัง ธาเรถะ (ขาพเจาลาสิกขา ทานทั้งหลายจงจําขาพเจาไววาเปนคฤหัสถ) สําหรับแบบมหานิกายจะจบเพียงเทานี้ แตในการลาสิกขาบทแบบธรรมยุตจะมีตอไปอีกคือ เมื่อกลาวเสร็จแลวกราบพระสงฆผูมาเปนพยานลง ๓ ครั้ง แลวเขาไปเปลี่ยนผาขาวแทนผาเหลืองโดยใช สอดเขาดานในผาเหลือง แลวหมผาขาว หันหนาเขาหาพระสงฆ กราบลง ๓ ครั้ง กลาววา เอสาหัง ภัน เต สุจิรปรินิพพุตัมป ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ อุปาสะกัง มัง สังโฆ ธาเรตุ อัชชตัคเค ปาณุเปตัง สะระณัง คะตัง (ทานเจาขา ขาพเจานั้นถึงพระผูมีพระภาคเจา แมปรินิพพานนานแลวนั้น กับพระธรรม และภิกษุสงฆวาเปนสรณะ ขอพระสงฆจงจําขาพเจาวาเปน อุบาสกผูถึงสรณะตลอดชีวิตตั้งแตวันนี้เปนตนไป) เสร็จแลวพระที่เปนประธานกลาวคําใหศีล ก็วาตามทาน (ตอนนี้ถือวาเปนคฤหัสถแลว) จนทานสรุปวา อิ มานิ ปญจะ สิกขาปทานิ นิจจสีลวเสน สาธุกัง รักขิตัพพานิ เราก็รับวา อาม ภันเต พระทานก็จะ กลาวตอวา สีเลน สุคติ ยันติ...จนจบ เราก็กราบทานอีก ๓ ครั้ง ถือบาตรน้ํามนตออกไปอาบน้ํามนต เมื่อพระภิกษุเริ่มหลั่งน้ําพระพุทธมนตทานก็จะเริ่มสวดชัยมงคลคาถาให เสร็จแลวอุบาสกก็ผลัดผาขาว อาบน้ํา แลวก็นุงผาเปนคฤหัสถ (ปกติจะเปนชุดใหมทั้งหมด เพราะถือเหมือนวาเปนการเริ่มชีวิตใหมเลย ทีเดียว) เสร็จแลวเขามากราบพระสงฆอีก ๓ ครั้งเปนอันเสร็จพิธี