อารยธรรมเมโสโปเตเมีย
- 6. • อำรยธรรมเมโสโปเตเมียมีควำมหมำยครอบคลุมควำม
เจริญรุ่งเรืองที่เกิดขึ้นในดินแดน เมโสโปเตเมียและบริเวณ
รอบๆ ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อประมำณปี 3000 ก่อนคริสต์ศักรำช หรือ
5000 ปีมำแล้ว กลุ่มชนที่มีส่วนสร้ำงสรรค์อำรยธรรม
เมโสโปเตเมีย ได้แก่ พวกสุเมเรียน บำบิโลเนียน แอลซีเรียน
แคลเดียน ฮิตไทต์ ฟินีเชียน เปอร์เซีย และฮิบรู ซึ่งได้พลัด
เปลี่ยนกันเข้ำมำปกครองดินแดนนี้ พวกเขำรับควำมเจริญเดิม
ที่สืบทอดมำและพัฒนำให้เจริญก้ำวหน้ำขึ้นพร้อมๆ กับ
คิดค้นควำมเจริญใหม่ๆ ขึ้นมำด้วย อำรยธรรมเมโสโปเตเมีย
จึงเจริญรุ่งเรืองต่อเนื่อง และเป็นแบบอย่ำงที่ดินแดนอื่นๆ
นำไปใช้สืบต่อมำ
- 20. สุเมเรียน (Sumerian)
• สุเมเรียนเป็นชื่อเรียกกลุ่มคนที่อพยพเข้ำมำอยู่ในเขตซูเมอร์
(Sumer) หรือบริเวณตอนใต้สุดของแม่น้ำไทกริสและยูเฟรทีส
ซึ่งติดกับปำกอ่ำวเปอร์เซียเมื่อประมำณ 5000 ปีมำแล้ว พวก
สุเมเรียนได้พัฒนำควำมเจริญรุ่งเรืองที่ก้ำวหน้ำทัดเทียมกับ
อำรยธรรมอียิปต์ เช่น รู้จักประดิษฐ์ตัวอักษรคูนิฟอร์มหรือ
อักษรลิ่มบนแผ่นดินเหนียวแล้วนำไปเผำไฟ กำรคำนวณ กำร
พัฒนำมำตรำชั่ง ตวง วัด กำรทำปฏิทิน กำรใช้แร่โลหะ กำร
คิดค้นระบบชลประทำนเพื่อส่งเสริมกำรกสิกรรม และกำร
ก่อสร้ำงสถำนที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นที่ประทับของเทพเจ้ำ ฯลฯ ทำ
ให้นักประวัติศำสตร์บำงกลุ่มเชื่อว่ำอำรยธรรมโลกเริ่มต้นที่
เขตซูเมอร์
- 22. • ชำวสุเมเรียนอยู่รวมกันเป็นนครรัฐเล็กๆ หลำยแห่ง เช่น
เมืองเออร์ (Ur) เมืองอูรุก (Uruk) เมืองคิช (Kish) และเมือง
นิปเปอร์ (Nippur) แต่ละแห่งไม่มีกษัตริย์หรือเจ้ำผู้ครอง
นคร เพรำะพวกสุเมเรียนเชื่อว่ำพวกเขำมีเทพเจ้ำคุ้มครอง
จึงมีเพียงพระหรือนักบวชเป็นผู้ทำพิธีบูชำเทพเจ้ำและ
จัดกำรปกครองในเขตของตน อย่ำงไรก็ตำม กำรที่นครรัฐ
ต่ำงๆ ล้วนเป็นอิสระต่อกันทำให้ไม่สำมำรถรวมกันเป็น
ปึกแผ่นได้ ดินแดนของพวกสุเมเรียนจึงถูกรุกรำนจำกชน
กลุ่มอื่น คือพวกแอคคัดและอมอไรต์
- 23. สังคมแบ่งเป็น 4 ชนชั้น ได้แก่
1) ชนชั้นสูงหรือปกครอง ได้แก่ พระ ผู้ครองนคร
2) ชนชั้นกลำง ได้แก่ พ่อค้ำ ช่ำงฝีมือ อำลักษณ์
3) ชนชั้นต่ำ ได้แก่ ประชำชนทั่วไป ชำวนำ
4) ชนชั้นต่ำสุด ได้แก่ ทำส
- 26. • นับถือเทพเจ้ำหลำยองค์ มีเทพเจ้ำประจำนครรัฐ เน้น
โลกนี้เป็นสำคัญ ไม่เชื่อเรื่องโลกหน้ำ
• ศำสนำ เกิดจำกควำมกลัวของชำวสุเมเรียน ควำม
เชื่อในเรื่องวิญญำณร้ำย มีพิธีบวงสรวงเพื่อให้
เทพเจ้ำพึงพอใจ แต่พวกเขำจะไม่เชื่อในเรื่องควำม
เป็นอมตะและภพหน้ำ
- 28. • สร้ำงซิกกูแรต (วิหำรบูชำเทพเจ้ำ)สร้ำงด้วยดินหรืออิฐ ซึ่ง
นับเป็นจุดอ่อนของสถำปัตยกรรมของชำวสุเมเรียน
เพรำะดินสำมำรถเสื่อมสลำย ผุผังไปตำมกำลเวลำได้ง่ำย
ลักษณะของซิกกูแรทคล้ำยๆกับพีระมิดมัสตำบ้ำของ
อียิปต์โบรำณ แต่จะเป็นฐำนสี่เหลี่ยมจัตุรัสเรียงซ้อนกัน
ขึ้นไป มีทำงขึ้นทั้ง 2 ด้ำน ด้ำนบนสุดเป็นที่สิงสถิตของ
เทพเจ้ำ
- 31. • เป็นตำนำนน้ำท่วมโลกที่เก่ำแก่ของเมโสโปเตเมียโบรำณ เป็นหนึ่งใน
งำนวรรณกรรมประเภทนิยำยที่เก่ำแก่ที่สุดในโลก นักวิชำกำรเชื่อว่ำมหำ
กำพย์เรื่องนี้มีกำเนิดมำจำกตำนำนกษัตริย์สุเมเรียนและบทกวีเกี่ยวกับ
วีรบุรุษในตำนำนที่ชื่อว่ำ กิลกำเมช ซึ่งถูกรวบรวมเอำไว้กับบรรดำ
บทกวีอัคคำเดียนในยุคต่อมำ มหำกำพย์ชุดที่สมบูรณ์ที่สุดในปัจจุบัน
ปรำกฏในแผ่นดินเหนียว 12 แท่งซึ่งเก็บรักษำไว้ที่หอเก็บจำรึกของ
กษัตริย์แห่งอัสซีเรีย เมื่อรำวศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกำล มีชื่อดั้งเดิมว่ำ ผู้
มองเห็นเบื้องลึก (He who Saw the Deep; Sha naqba īmuru) หรือ ผู้
ยิ่งใหญ่กว่ำรำชันทั้งปวง (Surpassing All Other Kings; Shūtur eli
sharrī) กิลกำเมชอำจจะเป็นผู้ปกครองที่มีตัวตนจริงในอดีตระหว่ำง
รำชวงศ์ที่ 2 ของยุคต้นของสุเมเรีย (ประมำณ 2,700 ปีก่อนคริสตกำล)
- 36. อมอไรท์(Amorties) หรือบำบิโลน
• พวกอมอไรท์หรือบำบิโลเนียน เป็นชนเผ่ำเซมิติกซึ่งมีถิ่นกำเนิดในแถบ
ตะวันออกกลำง ได้ขยำยอิทธิพลในดินแดนเมโสโปเตเมียและสร้ำง
จักรวรรดิบำบิโลนที่เจริญ รุ่งเรืองในช่วงประมำณปี 1800-1600 ก่อน
คริสต์ศักรำช ผู้นำสำคัญคือกษัตริย์ฮัมมูรำบีผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งได้สร้ำงควำม
เข้มแข็งให้แก่จักรวรรดิบำบิโลน โดยกำรทำสงครำมขยำยดินแดนและ
จัดทำประมวลกฎหมำยของพระเจ้ำฮัมมูรำบีเพื่อเป็น หลักฐำนในกำร
ปกครองและจัดระเบียบสังคม นอกจำกนี้ชำวบิโลเนียนยังสืบทอดควำม
เจริญต่ำงๆ ของพวกสุเมเรียนไว้เช่น ควำมเชื่อทำงศำสนำซึ่งได้แก่กำร
บูชำเทพเจ้ำ กำรแบ่งกลุ่มชนชั้นในสังคมเพื่อแบ่งแยกหน้ำที่และควำม
สะดวกในกำรปกครอง กำรผลิตสินค้ำอุตสำหกรรมและกำรค้ำขำยกับ
ดินแดนอื่นๆ เช่น อียิปต์และอินเดียซึ่งนำควำมมั่งคั่งให้แก่จักวรรดิ
บำบิโลน
- 38. • กษัตริย์ชำวอำมอไรท์องค์ที่ 6 และเป็น
พระมหำกษัตริย์พระองค์แรกแห่งจักรวรรดิบำบิโลน
รู้จักกันดีที่สุดในด้ำนกฎหมำยในขณะเดียวกับควำม
เป็ นผู้ยิ่งใหญ่ด้ำนกำรทหำรที่ทำให้อำณำจักร
บำบิโลนมีอำนำจมำกที่สุดในแถบเมโสโปเตเมียโดย
กำรเอำชนะพวกซูเมอร์และพวกอัคคำด
- 40. • เป็ นบทบัญญัติที่รวบรวมกฎหมำยต่ำง ๆ และ
พระรำชกฤษฎีกำของพระเจ้ำฮัมมูรำบี รำชำแห่ง
บำบิโลเนีย และเป็นประมวลกฎหมำยที่เก่ำแก่ที่สุด
ประมวลกฎหมำยนี้คัดลอกไว้โดยกำรแกะสลักลงบน
หินบะซอลต์สีดำสูง 2.25 เมตร ซึ่งต่อมำทีมนักโบรำณคดี
ฝรั่งเศสขุดพบที่ Susa ประเทศอิรัก ในช่วงฤดูหนำวปี
1901 ถึง 1902 หินสลักนี้แตกเป็น 3 ชิ้น และได้รับกำร
บูรณะ ปัจจุบัน ประมวลกฎหมำยฮัมมูรำบีอยู่ใน
พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ กรุงปำรีส ประเทศฝรั่งเศส
- 41. • กฎหมำยดังกล่ำวเป็นกฎหมำยอำญำ โดยยึดหลักที่ปัจจุบัน
เรียกว่ำ "ตำต่อตำ ฟันต่อฟัน" อันหมำยถึงทำผิดอย่ำงไรได้
โทษอย่ำงนั้น ซึ่งแม้บทลงโทษตำมกฎหมำยฮัมมูรำบีจะดู
ว่ำโหดเหี้ยมตำมควำมคิดของคนสมัยใหม่ แต่กำรทำ
กฎหมำยให้เป็นลำยลักษณ์อักษรและพยำยำมใช้บังคับ
อย่ำงเป็นระบบกับทุกคน และกำร "ถือว่ำเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้
ก่อนจนกว่ำจะได้รับกำรพิสูจน์ว่ำผิด" นับเป็นหลักกำร
สำคัญที่นับเป็นวิวัฒนำกำรทำงอำรยธรรมของมนุษย์
- 42. ฮิตไทต์ (Hittites)
• พวกฮิตไทต์เป็นพวกอินโด-ยูโรเปียน ที่อพยพมำจำกทำงเหนือ
ของทะเลดำเมื่อประมำณปี 2300 ก่อนคริสต์ศักรำช ต่อมำได้
ขยำยอิทธิพลเข้ำไปในเขตจักรวรรดิบำบิโลนและเข้ำครอบครอง
ดินแดน ซีเรียในปัจจุบันพวกฮิตไทต์สำมำรถนำเหล็กมำใช้
ประดิษฐ์อำวุธแบบต่ำงๆ และจัดทำประมวลกฎหมำยเพื่อใช้
ควบคุมสังคม โดยเน้นกำรใช้ควำมรุนแรงตอบโต้ผู้ที่กระทำ
ควำมผิด เช่น ให้จ่ำยค่ำปรับแทนกำรลงโทษที่รุนแรง อำณำจักร
ฮิตไทต์เสื่อมอำนำจลงในรำวปี 1200 ก่อนคริสต์ศักรำช
- 43. ประเด็นที่สำคัญของฮิตไทต์
• เป็นเผ่าอินโดยุโรเปียน
• เดิมอยู่ทางตอนใต้ของรัสเซีย ขยายตัวมาตามลุ่มแม่น้ายูเฟรติส โจมตี
ทางเหนือของซีเรีย ปล้นกรุงบาบิโลนและปกครองดินแดนเมโสโปเตเมีย
ต่อมา
• มีความสามารถในการรบมาก
• เป็นชนเผ่าแรกที่รู้จักใช้เหล็กทาเป็นอาวุธ รู้จักใช้รถเทียมม้าทาศึก
• ตรงกับสมัยที่อียิปต์เรืองอานาจ
• กษัตริย์ฮัตตูซิลิที่ 3แห่งฮิตไทต์ และฟาโรห์รามเสสที่ 2แห่งอียิปต์ได้ทา
สนธิสัญญาไม่รุกรานกัน และหากบุคคลที่ 3 มาโจมตี ต้องช่วยเหลือกัน
- 45. • มีกำรลงนำมและให้สัตยำบันระหว่ำงศตวรรษที่ 13 ก่อนคริสตกำล
ระหว่ำงฟำโรห์รำมเสสที่ 2 แห่งอียิปต์ และกษัตริย์ฮัททูซิลีที่ 2
แห่งฮิตไทต์ จุดประสงค์ของข้อตกลงนี้คือสร้ำงและรักษำ
ควำมสัมพันธ์อย่ำงสันติระหว่ำงทั้งสองฝ่ำย มันเป็นควำมตกลงที่
เก่ำแก่ที่สุดเท่ำที่รู้จักกันจำกตะวันออกใกล้ และเป็นสนธิสัญญำ
ฉบับเขียนที่เก่ำแก่ที่สุดที่ยังคงเหลือรอดมำจนถึงปัจจุบัน (ซึ่งอำจ
มิใช่สนธิสัญญำที่เก่ำแก่ที่สุดในโลก) สนธิสัญญำดังกล่ำวมีกำร
จำรึกไว้ในภำษำอียิปต์ ดังที่ปรำกฏในกำแพงเทวสถำนด้วย
ไฮโรกลิฟฟิ ก และในอดีตจักรวรรดิฮิตไทต์ ซึ่งปัจจุบันคือ
ประเทศตุรกี ที่ซึ่งมันถูกเก็บรักษำไว้บนแผ่นจำรึกดินเผำ
- 46. แอลซีเรียน (Assyrians)
• พวกแอลซีเรี ยนมีถิ่นฐำนอยู่ทำงตอนเหนือของ
เมโสโปเตเมีย เป็นชนชำตินักรบที่มีควำมสำมำรถและ
โหดร้ำย จึงเป็ นที่คร้ำมเกรงของชนชำติอื่น พวก
แอลซีเรียนได้ขยำยอำนำจครอบครองดินแดนของพวก
บำบิโลเนียน ซีเรีย และดินแดนบำงส่วนของจักรววรดิ
อียิปต์ จักรวรรดิแอลซีเรียนมีควำมเจริญรุ่งเรืองในช่วงปี
900-612 ก่อนคริสต์ศักรำช
- 51. แคลเดียน (Chaldeans)
• พวกแคลเดียนได้ร่วมกับชนชำติอื่นทำลำยอำนำจของแอลซีเรียนเมื่อปี
612 ก่อนคริสต์ศักรำช หลังจำกนั้นก็ได้ครอบครองดินแดนส่วนใหญ่
ของจักรวรรดิแอสซีเรีย ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของแคลเดียนคือกษัตริย์
เนบูคัดเนซซำร์ ซึ่งสถำปนำจักรวรรดิบำบิโลนขึ้นใหม่และรื้อฟื้นควำม
เจริญต่ำงๆ ในอดีต เช่น กำรก่อสร้ำงอำคำรที่สวยงำมโดยเฉพำะกำร
สร้ำง “สวนลอยแห่งบำบิโลน” ซึ่งได้รับกำรยกย่องว่ำเป็น 1 ใน 7 สิ่ง
มหัศจรรย์ของโลก กำรรื้อฟื้นประมวลกฎหมำยและวรรณกรรมของชำว
บำบิโลเนียนรวมทั้งระบบเศรษฐกิจและกำรค้ำ ดังนั้นนักประวัติศำสตร์
จึงเรียกจักรวรรดิของพวกแคลเดียนว่ำ “จักรวรรดิบำบิโลนใหม่”
อย่ำงไรก็ตำม พวกแคลเดียนก็ได้สร้ำงมรดกที่สำคัญคือกำรศึกษำ
ทำงด้ำนดำรำศำสตร์และโหรำศำสตร์ จักรวรรดิแคลเดียนมีอำนำจ
ในช่วงสั้นๆ และสิ้นสลำยเมื่อปี 534 ก่อนคริสต์ศักรำช
- 52. • เป็นพวกเร่ร่อนเผ่ำเซมิติกตั้งถิ่นฐำนบริเวณทะเลทรำยซีเรียและ
ท ะ เ ล ท ร ำ ย อ ำ ห รั บ ไ ด้เ ข้ำ ยึ ด ค ร อ ง ดิ น แ ด น ท ำ ง
ตะวันออกเฉียงเหนือของดินแดนเมโสโปเตเมีย
• ซำกอนผู้นำชำวอัคคัด ได้ยึดครองนครรัฐของพวกสุเมเรียนและ
รวบรวมดินแดนบริเวณฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปจนถึงอ่ำว
เปอร์เซียขึ้นป็นจักรวรรดิ
• ปกครองไม่นำนก็ถูกสุเมเรียนโค่นล้มแล้วปกครองใหม่เป็นครั้ง
ที่สอง
- 53. • สวนแห่งนี้สร้างขึ้นในเขตพระราชฐาน มีลักษณะคล้ายปิรามิด โดยสร้าง
ซ้อนกันขึ้นไปเป็นชั้นๆ นักประวัติศาสตร์จากซิซิลีที่ชื่อ "ดิโอโดโรส"
กล่าวว่า ชาวบาบิโลนใช้อิฐและน้ามันดินเป็นส่วน ประกอบสาคัญใน
การก่อสร้างและเพื่อให้กันน้าได้ดีนั้น ชาวเมืองจะใช้หญ้าประเภทอ้อ
หรือกกผสม น้ามันดินปูพื้นชั้นแรก แล้วปูทับด้วยอิฐเผาที่ตริงไว้ด้วยปูน
ก่อนจะวางตะกั่วทับลงไปบนชั้นบนสุด หลังจากนั้นจึงลงดินที่มีปริมาณ
มากพอที่จะปลูกต้นไม้ทุกประเภท นับแต่ไม้พุ่มไปจนถึงไม้ยืนต้น น้าที่
ใช้เลี้ยงต้นไม้ในสวนลอยสูบขึ้นมาจากแม่น้ายูเฟรติสเบื้องล่างมาตาม
ท่อที่ฝังซ่อนไว้อย่าง มิดชิดในแต่ละส่วนของระเบียง ทาให้ต้นไม้ที่ปลูก
ที่นี่เขียวชอุ่ม ให้ดอกและผลได้เป็นอย่างดีแม้ในช่วง ที่แล้งที่สุดกลางฤดู
ร้อนในทะเลทราย
- 55. ทำแผนที่ดวงดำว
• ชำวแคลเดียนสำมำรถหำเวลำที่ดวงจันทร์หมุนรอบโลก เวลำเกิด
สุริยคลำสและจันทรคลำส และคำนวณหำควำมยำวของปีทั้งหมดได้
อย่ำงแม่นยำ แคลเดียนรับทอดงำนดำรำศำสตร์จำกสุเมเรียนโดยแท้จริง
นำบูริแมนนู (Naburiannu) เป็นนักดำรำศำสตร์ชำวแคลเดียนผู้ได้รับ
กำรอุปถัมภ์จำกกษัตริย์ดำริอุสที่ หนึ่ง แห่งเปอร์เซีย ในกำรดำเนินกำร
ศึกษำค้นคว้ำ ผลงำนที่ปรำกฎคือสำมำรถค้นคว้ำนับเวลำในรอบหนึ่งได้
ใกล้เคียงกับกำรนับเวลำ ในปัจจุบันมำก คือ 1 ปีมี 365 วัน 6 ชั่วโมง 15
นำที 41 วินำที
- 59. เปอร์เซีย (Persia)
• พวกเปอร์เซียเป็นชนเผ่ำอินโด-ยูโรเปียนที่อพยพมำจำกทำงเหนือของ
เทือกเขำคอเคซัส เมื่อรำว 1800 ปีก่อนคริสต์ศักรำชและตั้งถิ่นฐำนอยู่ใน
ดินแดนเปอร์เซียหรือประเทศอิหร่ำน ปัจจุบัน ต่อมำได้ร่วมมือกับพวก
แคลเดียนโค่นล้มจักรวรรดิแอลซีเรียนและสถำปนำ จักรวรรดิเปอร์เซีย
เมื่อประมำณ 550 ปีก่อนคริสต์ซักรำช จำกนั้นได้ขยำยอำนำจเข้ำยึดครอง
จักรวรรดิบำบิโลนของพวกแคลเดียน ดินแดนเมโสโปเตเมีย
เอเชียไมเนอร์และอียิปต์ ในสมัยพระเจ้ำดำริอุสหรือเดอไรอัสมหำรำช
(Darius the Great) เปอร์เซียได้ขยำยอิทธิพลเข้ำไปในดินแดนตะวันออก
ถึงลุ่มแม่น้ำสินธุของ อินเดียและทำงตะวันตกถึงตอนใต้ของยุโรป แม้ว่ำ
เปอร์เซียไม่ประสบควำมสำเร็จในกำรทำสงครำมเพื่อยึดครองนครรัฐกรีก
แต่จักรวรรดิเปอร์เซียในขณะนั้นก็มีอำนำจยิ่งใหญ่ที่สุด
- 60. • เปอร์เซียเป็นจักรวรรดิใหญ่ที่ครอบคลุมดินแดนของชนชาติต่างๆ
จานวนมาก จึงต้องจัดการปกครองให้มีประสิทธิภาพ ผู้ปกครองใช้หลัก
ความยุติธรรมในการจัดเก็บภาษีและการศาล รวมทั้งการกระจาย
อานาจการปกครองให้แก่ท้องถิ่นและดินแดนต่างๆ โดยรับวิธีควบคุม
อานาจปกครองตามแบบพวกแอสซีเรียน ซึ่งได้แก่ การสร้างถนนเชื่อม
ดินแดนต่างๆ เพื่อรองรับการเดินทัพ การสื่อสาร และไปรษณีย์ ถนน
สายสาคัญ ได้แก่ เส้นทางหลวงเชื่อมเมืองซาร์ดิส (Sardis) ใน
เอเชียไมเนอร์ (ปัจจุบันอยู่ในประเทศตุรกี) และนครซูซา (Susa) ซึ่ง
เป็นเมืองหลวงแห่งหนึ่งของจักรวรรดิเปอร์เซีย ถนนสายนี้ไม่เพียงแต่มี
ความสาคัญด้านยุทธศาสตร์ หากยังมีความสาคัญต่อการค้าระหว่าง
ดินแดนต่างๆ ภายในจักรวรรดิ และเป็นเส้นทางสาคัญในการติดต่อ
ระหว่างตะวันออกและตะวันตก
- 61. • พวกเปอร์เซียรับควำมเจริญรุ่งเรืองจำกดินแดนต่ำงๆ โดยเฉพำะ
จำกอียิปต์และเมโสโปเตเมีย แล้วหล่อหลอมเป็นวัฒนธรรมของ
ตน เช่น กำรประดิษฐ์ตัวอักษร กำรใช้ระบบเงินตรำ กำร
ประยุกต์รูปแบบสถำปัตยกรรม ฯลฯ อย่ำงไรก็ตำม พวก
เปอร์เซียก็มีอำรยธรรมที่โดดเด่น คือ มีศำสนำของตนเอง ได้แก่
ศำสนำโซโรแอสเตอร์ (Zoroaster) ซึ่งสั่งสอนให้มนุษย์ทำควำม
ดีเพื่อมีชีวิตที่ดีในอนำคตและละเว้นควำมชั่วโดยเฉพำะกำร
กล่ำวเท็จ หลักควำมดีควำมชั่วของศำสนำโซโรแอสเตอร์มี
อิทธิพลต่อแนวคิดและคำสอนของศำสนำยูดำย (Judaism) ของ
ชำวยิว และศำสนำคริสต์ซึ่งถือกำเนิดขึ้นหลังจำกนั้น
- 63. ฟีนิเชียน (Phoenicians)
• ระหว่างปี 1000-700 ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกฟีนิเชียนอาศัยอยู่ใน
ดินแดนฟินิเชียซึ่งเป็นที่ตั้งของประเทศเลบานอนปัจจุบัน และมีการ
ปกครองแบบนครรัฐ ลักษณะที่ตั้งมีเทือกเขาสลับซับซ้อนกั้นระหว่างที่
ราบแคบๆ ซึ่งขนานกับชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับดินแดนอื่นๆ ทา
ให้พวกฟีนิเชียนไม่สามารถขยายดินแดนของตนออกไปได้ จึงดารงชีวิต
ด้วยการเดินเรือและค้าขายทางทะเล
- 64. • นอกจากมีชื่อเสียงในด้านการค้าแล้ว ชาวฟีนิเชียนยังมีชื่อเสียงในด้าน
อุตสาหกรรมต่อเรือซึ่งทาจากไม้ซีดาร์ที่มี อยู่มากบนเทือกเขาใน
เลบานอนและการทาอุตสาหกรรมเครื่องใช้จากแร่โลหะต่างๆ เช่น
ทองคา ทองแดง ทองเหลือง แร่เงิน และเครื่องแก้ว นอกจากนี้ยังริเริ่ม
การทอผ้าขนสัตว์และย้อมผ้า รวมทั้งได้จับจองอาณานิคมในเขตทะเล
เมดิเตอร์เรเนียนจานวนมาก เพื่อเป็นศูนย์กลางการค้าของตน เช่น เกาะ
ซิซีลี ซาร์ดิเนีย และมอลตา อนึ่ง ชาวฟีนิเชียนจาเป็นต้องใช้เอกสารและ
หลักฐานในการติดต่อค้าขายจึงได้พัฒนาตัว อักษรขึ้นจากโบราณของ
อียิปต์จานวนรวม 22 ตัว อักษรฟีนิเชียนเป็นมรดกทางอารยธรรมที่
สาคัญของโลกตะวันตก เนื่องจากชาวกรีกและโรมันได้นาไปใช้และ
สืบทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน
- 66. ฮิบรู (Hebrews)
• ชำวฮิบรูหรือชำวยิว เป็นชนเผ่ำเซมิติกที่เร่ร่อนอยู่ในดินแดนต่ำงๆ เคยอำศัย
อยู่ในเขตซูเมอร์ก่อนที่จะอพยพเข้ำไปอยู่ดินแดนคำนำอัน (Canaan) หรือ
ปำเลสไตน์ (Palestine) ในปัจจุบัน ชำวฮิบรูเป็นชนชำติที่เฉลียวฉลำดและ
บันทึกเรื่องรำวของพวกตนในคัมภีร์ศำสนำ (Old Testament) ทำให้มีข้อมูล
เกี่ยวกับบรรพบุรุษของชำวยิวอย่ำงละเอียด บันทึกชำวฮิบรูกล่ำวว่ำ เดิม
บรรพบุรุษเคยอยู่ทำงตอนเหนือของเมโสโปเตเมียต่อมำได้ตกเป็นทำสของ
อียิปต์ เมื่ออียิปต์เสื่อมอำนำจ ชำวฮิบรูจึงพ้นจำกควำมเป็นทำสโดยผู้นำคือ
โมเสส (Moses) ได้นำชำวฮิบรูเดินทำงเร่ร่อนเพื่อหำที่ตั้งหลักแหล่งทำมำหำ
กิน ในที่สุดมำถึงดินแดนคำนำอัน หรือภำยหลังเรียกว่ำ “ปำเลสไตน์” และ
สร้ำงอำณำจักรอิสรำเอล มีกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่คือ กษัตริย์เดวิด (David) ซึ่ง
สถำปนำนครเยรูซำเลมเป็นเมืองหลวง
- 67. • ต่อมาอาณาจักรอิสราเอล ได้แตกแยกเป็น 2 ส่วน หลักจากกษัตริย์
โซโลมอนสิ้นพระชนม์ เมื่อปี 922 ก่อนคริสต์ศักราช และถูกชนชาติที่
เข้มแข็งกว่าคือแอลซีเรียนและแคลเดียนเข้ายึดครอง ชาวยิวส่วนใหญ่
ถูกจับไปเป็นทาสในดินแดนอื่น แต่ได้กลับคืนดินแดนปาเลสไตน์อีกครั้ง
เมื่อจักรวรรดิเปอร์เซียเข้ามาครอบครองดินแดนนี้อย่างไรก็ตาม พวก
เขาได้ละทิ้งดินแดนของตนไปในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 1 หลังจากพวก
โรมันเข้ายึดครองปาเลสไตน์และทาลายเมืองของชาวยิว
- 68. • ชาวยิวมีกฎหมาย วรรณกรรม และศานาของตนเอง ประมวลกฎหมาย
เรียกว่า “กฎหมายโมเสส” วรรณกรรมที่สาคัญคือคัมภีร์ไบเบิล ซึ่ง
ประมวลกฎหมายเรื่องราวตั้งแต่การกาเนิดของโลกมนุษย์ จนกระทั่งถึง
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของชนชาติยิว คัมภีร์ไบเบิลฉบับบนี้เป็น
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สาคัญและเป็นภาคพระ คัมภีร์เก่า (Old
Testament) ในคัมภีร์ไบเบิลของศาสนาคริสต์ด้วย