SlideShare a Scribd company logo
1 of 10
บทที่ 11
ปัญหาและแนวโน้มในการพัฒนาหลักสูตร
มโนทัศน์(Concept)
หลักสูตรมีที่มาจากการวิเคราะห์เชื่อมโยงข้อมูลพื้นฐานด้านต่างๆ ทั้งด้านปรัชญาการศึกษา
ด้านจิตวิทยา ด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ด้านสาขาวิชา เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีหลักสูตรที่เกี่ยวข้องที่มาจากศาสตร์ในสาขาที่เกี่ยวข้อง จึงกล่าวได้
หลักสูตรมีที่มาจากความรู้ในหลากหลายสาขาวิชา
และผู้ที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรก็มาจากนักวิชาการหลากหลายสาขา
การพัฒนาหลักสูตรจึงเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบดังกล่าวนี้
ในบทบาทของครูผู้สอนจะต้องให้ความสาคัญกับกระบวนการพัฒนาหลักสูตร
ปัญหาของการพัฒนาหลักสูตร
เกิดจากบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนไม่เข้าใจกระบวนการของการพัฒนาหลักสูตร
ผลการเรียนรู้(Learning Outcome)
1. มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาและแนวโน้มในการพัฒนาหลักสูตร
2. มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวโน้มในการพัฒนาหลักสูตร ในศตวรรษที่ 21
สาระเนื้อหา(Content)
ปัญหาและแนวโน้มของการพัฒนาหลักสูตร
1. ปัญหาของการพัฒนาหลักสูตร
ปัญหาของการพัฒนาหลักสูตร คือปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการพัฒนาหลักสูตร
ที่เป็นปัญหาอันเกิดจากการร่วมคิด ร่วมทา ร่วมกันสร้างหลักสูตร และร่วมกันนาหลักสูตรไปใช้ มีดังนี้
1. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาหลักสูตร ไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ของตน
2. ขาดการประสานงานหน้าที่ดีระหว่างหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาหลักสูตร
3. ผู้บริหารระดับต่างๆ เห็นว่าหลักสูตรเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยเฉพาะ
4. ปัญหาการไม่เปลี่ยนแปลงการเรียนการสอนของครูตามแนวทางของหลักสูตร
5. ปัญหาการเผยแพร่หลักสูตร การสื่อสารทาความเข้าใจในหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นใหม่
2. แนวโน้มของการพัฒนาหลักสูตร
การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาให้ประสบความสาเร็จโดยสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้เกี่ยวข้องโดยเ
ฉ พ า ะ ค รู ผู้ ส อ น
และผู้บริหารสถานศึกษาให้มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาโดยความร่วมมือระหว่างสถ
าน ศึกษาที่มีบริ บทใ กล้เ คียง กัน ตามมิติความต้อง การจาเ ป็ น ของ แต่ละ สถาน ศึ ก ษ า
มีกิจกรรมร่วมมือกันในการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้านการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน
การพัฒนาหลักสูตร และกิจกรรมอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
ซึ่งหมายถึงกระบวนการสร้างแผนหรือแนวทางในการจัดมวลประสบการณ์ที่จัดทาโดยบุคคลหรือคณะบุคค
ลในระดับสถานศึกษาเพื่อใช้พัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานการเรียนรู้ ประกอบด้วย
ส่วนที่เป็นหลักสูตรแกนกลางที่กาหนดจากส่วนกลางที่ปรากฏในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2544 และส่วนที่เกี่ยวกับสภาพชุมชนและท้องถิ่นซึ่งพัฒนาโดยเขตพื้นที่การศึกษา
และ ส่วน เ พิ่มเ ติมที่สถาน ศึกษาพัฒนาขึ้ นเ พื่อให้สอดคล้องเ หมาะ สมกับความสนใจ
ความต้อง กา รแ ละ คว า ม ถนัด ข อง ผู้เ รี ยน ร ว ม ทั้ง ค ว า มเ ห มาะ ส ม กับสภ าพ สั ง ค ม
กระบวนการใช้หลักสูตรสถานศึกษาและการประเมินผลการใช้หลักสูตรสถานศึกษาโดยการศึกษาให้มากขึ้
นแนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรในปัจจุบันมุ่งเน้นให้มีการพัฒนาหลักสูตรระดับท้องถิ่นมากขึ้น
และเปิดโอกาสให้แต่ละท้องถิ่นสามารถพัฒนาหลักสูตรให้เหมาะสมกับความต้องการและเอกลักษณ์ประจา
ท้อง ถิ่น ของ ตน เ พื่อใ ห้ผู้เ รี ยน ที่อยู่ใ น ท้อง ถิ่น นั้ น ๆ ได้รับประ โยช น์ อย่าง แ ท้จ ริ ง
รวมทั้งยังเป็นการปลูกฝังให้ผู้เรียนมีความรักและความผูกพันกับท้องถิ่นของตนมากขึ้นด้วย (มสธ, 2536)
เมื่อกล่าวถึงแนวโน้มของการพัฒนาหลักสูตร มีประเด็นสาคัญเกี่ยวข้อง 2 ประเด็นคือ
ข้อมูลที่นามาเป็ นพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร กับการวิจัยทางการศึกษา โดยจะพบว่า
ในระยะเวลาประมาณ 10 ปี และจากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องสรุปได้ดังนี้
รายงานการศึกษาวิจัยในช่วงทศวรรษ 1940และ 1950 มุ่งศึกษา ตัวแปรทานาย จากคุณสมบัติของครู
มีความเชื่อว่าครูที่มีคุณสมบัติมีแนวโน้มที่จะสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้ 1) เสียง รูปร่างหน้าตา 2)
ความมั่นคงทางอารมณ์ 3) ความน่าเชื่อถือ 4) ความอบอุ่น และ 5) ความกระตือรือร้น
ต่อมาผลการศึกษาวิจัยความมีประสิทธิภาพของครู ในช่วงทศวรรษ 19 60 และ 1970
ได้ข้อสรุปและเสนอแนะในการพัฒนาวิชาชีพด้วย การนิเทศแบบคลินิก (Clinical Supervision)
เทคนิควิธีการสังเกตการสอนชั้นเรียน เป็นต้น
ต่ อ ม า ใ น ท ศ ว ร ร ษ 1 9 8 0 เ ม เ ด อ ลี น ฮั น เ ต อ ร์ ( Madeline Hunter)
และคณะมหาวิทยาลัยยูซีแอลเอใช้หลักทฤษฎีเป็นฐาน (Theory-based) ในการเรียนการสอน สรุปได้ดังนี้ 1)
การสอนมีรากฐานมาจากทฤษฎีการเรียนรู้แบบพฤติกรรมนิยม 2) การอนุมานจากแนวคิดในด้านการเรียนรู้
เช่น แรงจูงใจ (Motivation) ความทรงจา (Retention) การถ่ายโอนความรู้ (Transfer) เป็นต้น
แ ล ะ ผ ล ก า ร ศึ ก ษ า วิ จั ย ใ น ช่ ว ง ท ศ ว ร ร ษ 1 9 8 0 แ ล ะ 1 9 9 0
การเปลี่ยนแปลงทัศนะการเรียนรู้แบบพฤติกรรมนิยม (Behaviorist) เป็นการเรียนรู้ด้วยปัญญา (Cognitive
Learning Theory)
สถานศึกษาใดที่มุ่งมั่นพัฒนาในด้านการประเมินที่มีประสิทธิภาพและการพัฒนาวิชาชีพการสอนจึงต้องเริ่ม
ด้ ว ย ก า ร ก า ห น ด ม า ต ร ฐ า น ก า ร ส อ น ซึ่ ง ส ะ ท้ อ น สิ่ ง ที่ ค รู ค ว ร รู้
ในประเทศไทยหน่วยงานหรือองค์กรวิชาชีพครูที่เรียกว่า คุรุสภาได้เสนอกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหาร ครู
และบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้มีความรู้สมรรถนะความสามารถในการจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพ
ดัง นั้ น แน วโน้มของ การพัฒน าห ลักสู ตรอาจพิจารณาได้จากผลการศึกษาวิจัย
และข้อมูลพื้นฐานด้านต่าง ๆ ที่นามาใช้การพัฒนาหลักสูตร
แนวโน้มของหลักสูตร
ออนสไตน์ (Ornstein, Allan C. 1994: 4-20) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับแนวโน้มของหลักสูตรไว้ว่า
หลักสูตรในอนาคต เนื้อหาวิชาจะถูกลดความสาคัญลงโดยเฉพาะเนื้อหาวิชาที่แยกแบบโดดเดี่ยว
แ ต่จ ะ มี ลั ก ษ ณ ะ ป ร ะ ส ม ป ร ะ ส า น ม า ก ขึ้ น แ ล ะ มี ลั ก ษ ณ ะ เ ป็ น อ ง ค์ ร ว ม
ถึ ง แ ม้ ว่า ข อ บ ข่ า ย เ นื้ อ ห า วิ ช า ใ น ห ลั ก สู ต ร แ บ บ ดั้ ง เ ดิ ม จ ะ ยั ง ค ง อ ยู่
แ ต่ จ ะ มี ลั ก ษ ณ ะ ก า ร บู ร ณ า ก า ร ข้ า ก ลุ่ ม ส า ร ะ ก า ร เ รี ย น รู้ เ พิ่ ม ขึ้ น
ความรู้ไม่สามาร ถพิจาร ณาใ น แง่มุมข อง รายละ เ อีย ดป ลีกย่อยหรื อค วา มต่อเ นื่ อ ง
แต่จะ มีความเ ป็ น สห วิท ยากา รและ ห ลากห ลาย มิติยิ่ง ขึ้ น ความรู้จะ บูรณาก า ร กัน
ค ว า ม รู้ มี ม า ก ก ว่ า แ ห ล่ ง ค ว า ม รู้ ภ า พ แ ล ะ เ สี ย ง เ ท่ า นั้ น
แ ล ะ มีค ว า มน่า เ ชื่ อ ถื อ น้ อ ย จ า ก สื่ อ ที่ เ ป็ น ก า ร พูด แ ล ะ ก า ร สื่ อ ส า ร ด้ว ย ตัว อักษร
ออนสไตน์ได้สรุปไว้ว่าแนวโน้มของหลักสูตรมีดังต่อไปนี้
1. การศึกษาในรูปแบบอีเล็กทรอนิกส์ ( Electronic Education) ความเจริญก้าวหน้าของ
วีดิทัศน์ สามารถน ามาใ ช้เ ป็ นเ ครื่ องมือใ นการเรี ยนการสอนได้ วี ดิโอเ ทป คาสเ สท
และดิสค์สามารถนามาใช้สอนได้ทั้งในห้องเรียน ห้องสมุด ศูนย์เรียนรู้ และที่บ้านของนักเรียน
วีดิทัศน์มีความสะดวกที่นามาเรียน ได้ตลอดเวลา ซึ่งจะช่วยไม่ให้พลาดบทเรี ยน ไ ปไ ด้
มี วี ดิ ทั ศ น์ บ ท เ รี ย น วิ ช า ต่ า ง มี จ า น ว น ม า ก นั บ เ ป็ น จ า น ว น พั น
นอกจากนี้โรงเรียนหลายแห่งและครูจานวนมากที่สามารถผลิตสื่อการสอนวิชาที่ตนเองรับผิดชอบในรูปขอ
งวีดิทัศน์ จากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สามารถที่จะพิมพ์วีดิทัศน์ หรือภาพจากจอภาพในรูปของ
ภาพถ่าย ตาราง กราฟ หรือรูปภาพในแบบต่าง ๆลงในกระดาษสาหรับศึกษาต่อไปได้
วีดิทัศน์ยังสามารถนาใช้ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ที่ช่วยให้สามารถเรียนได้ในลักษณะแบบจาลองเหตุ
การณ์ที่เป็ นจริง มีการโต้ตอบกัน สามารถนาเสนอได้เช่นเดียวกันกับการสอนให้ชั้นเรียน
บทเรียนคอมพิวเตอร์สามารถให้คาตอบถูกหรือผิดให้กับผู้เรียนได้ทันที หรือในกรณีที่ผู้เรียนเลือกคา ตอบ
โปรแกรมคอมพิวเตอร์สามารถให้ผู้เรียนเห็นคาตอบและสามารถเลือกทางเลือกที่กาหนดให้ปฏิบัติได้ตามที่
โ ป ร แ ก ร ม ก า ห น ด ไ ว้
นอกจากนี้วีดิทัศน์ยังสามารถใช้เป็นบทเรียนเรียนแบบรายบุคคลหรือแบบกลุ่มย่อยก็ได้
ความรู้ในรูปแบบอีเล็กทรอนิกส์นี้ยังสามารถจัดเก็บไว้ในสถานที่ที่ผู้เรียนสามารถเข้าถึงได้โดยผ่าน
ระบบเครือข่าย ใคร ๆ ก็สามารถเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศและสามารถใช้ประโยชน์ได้
2. ก า ร รู้ เ ท ค โ น โ ล ยี ( Technical Literycy)
โ ร ง เ รี ย น ใ น ปั จ จุ บั น เ ห็ น ค ว า ม ส า คั ญ ใ น วิ วัฒ น า ก า ร ข อ ง เ ท ค โ น โ ล ยี
จึงได้ให้การศึกษากับบุคลากรเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อีเล็กทรอนิกส์ เลเซอร์ และหุ่นยนต์ การรู้คอมพิวเตอร์
(Computer Literacy) เป็นทักษะพื้นฐานเพิ่มขึ้นจากทักษะการอ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น หรือรู้จักกันว่า
3Rs
ในวิถีทางเศรษฐกิจที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ผู้ปฏิบัติงานต้องมีการศึกษาที่ดี ต้องมีปัญญาที่ดีกว่า
มีทักษะการสื่อสาร และการทางานเป็นทีม บ้านและที่ทางานจะมีเครื่องคิดเลข คอมพิวเตอร์ เครื่องแฟกซ์
และเครื่องมืออีเล็กทรอนิกส์ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะนาสู่จุดวิกฤติของคนที่ไม่สามารถใช้เครื่องมืออุปกรณ์ต่าง
ๆ นี้ ใ ห้ ท า ง า น ไ ด้ จึ ง มี ค ว า ม จ า เ ป็ น ที่ ภ า ค อุ ต ส า ห ก ร ร ม แ ล ะ รั ฐ บ า ล
จะได้ร่วมกันสร้างโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาที่มีหลักสูตรในการเตรียมคนเข้าสู่ตลาดแรงงานที่ใช้เทคโ
นโลยีดังกล่าวนี้ ในอนาคตการศึกษาจะเป็นการสร้างนักวิทยาศาสตร์เพื่อที่จะสามารถออกแบบ พัฒนา
และประยุกต์เทคโนโลยีได้ในอนาคต
สมาคมครู วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ( The National Science Teachers Association : NSTA)
ได้อนุมัติหลักสูตรเรียกว่า Science/Technology/Society ซึ่งไม่ได้มุ่งเน้นเพียงวิทยาศาสตร์เ ท่านั้น
ห า ก แ ต่ ใ ห้ ค ว า ม ส า คั ญ กั บ สั ง ค ม แ ล ะ เ ท ค โ น โ ล ยี
ตัวอย่างหนึ่งของจุดประสงค์โปรแกรมนี้ก็เพื่อช่วยนักศึกษาจัดการกับผลกระทบของเทคโนโลยีในชีวิตประ
จาวัน
ความจาเ ป็ น ที่จะ ต้อง เ พิ่มแผน พัฒน าแห่งช าติแบบมีส่วน ร่วม ของ การศึกษา
อุ ต ส า ห ก ร ร ม แ ล ะ รั ฐ บ า ล ก า ร ป ร ะ เ มิ น ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร อ า ชี พ ใ น อ น า ค ต
และแผนความร่วมมือกันของโรงเรียนหรือสถานศึกษา
3. ก า ร เ รี ย น รู้ ต ล อ ด ชี วิ ต ( Lifelong Learning)
แนวโน้มของการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นความจาเป็นกับสังคมสมัยใหม่อันเป็นผลสืบเนื่องจากความรู้ที่มีมากม
า ย ก า ร เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ข อ ง สั ง ค ม อ ย่ า ง ร ว ด เ ร็ ว
การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจที่มีผลต่อประชาชนในการประกอบอาชีพที่ปรับเปลี่ยนไปสู่ก
า ร พั ฒ น า ใ ห ม่ ที่ มี ผ ล ต่ อ เ ป้ า ห ม า ย ข อ ง บุ ค ค ล แ ล ะ สั ง ค ม
การศึกษาจะ มีความต่อ เ นื่ อง ตลอดชีวิตไม่ใ ช่เป็ น เพียงการศึกษาใน โรง เรี ยนเท่านั้น
การศึกษาผู้ใหญ่จึงถูกคาดหวังเพิ่มขึ้นในปีคริสต์ศตวรรษที่ 1990s
4. ก า ร ศึ ก ษ า น า น า ช า ติ ( International Education)
สังคมอเมริกันถือได้ว่าความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาได้มาจากประเทศต่างๆ และได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับ
“ ห มู่ บ้ า น โ ล ก ( global village)
กล่าวถึงมาตรฐานของการดารงชีวิตและเศรษฐกิจของชาติ(อเมริกัน)มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใ
นที่อื่นๆ ของโลก
การสื่อสารผ่านดาวเทียมและบรรยากาศ รายการโทรทัศน์ เครือข่ายซุปเปอร์คอมพิวเตอร์
เทคโนโลยีเลเซอร์ และการเดินทางด้วยเ ครื่ อง บินเจ็ต ช่วยให้ดูเหมือนว่าโลกแ ค บลง
ความจาเป็นในการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศมีมากยิ่งขึ้น ภาษาพูดที่รู้จักกันส่วนใหญ่คือ ภาษาจีนกลาง
รองลงมาคือภาษาอังกฤษ ฮินดี และสเปน ภาษาญี่ปุ่น(อันดับที่ 10) และภาษาเยอรมันและฝรั่งเศส
ก า ร ฝึ ก อ บ ร ม นั ก ศึ ก ษ า ใ น ส ห รั ฐ อ เ ม ริ ก า ใ ห้ เ รี ย น รู้ ภ า ษ า ต่ า ง
ๆมีผลต่อความเจริญเติบโตทางด้านการค้าของสหรัฐอเมริกาและความเข้าใจในตลาดการค้าโลก
5. สิ่งแวดล้อมศึกษา (Environmental Education) ผลจากปัญหาต่างๆ อาทิ มลภาวะ น้าเสีย
ประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาวะทุพโภชนาการ และแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น ปัญหาต่างๆ
เหล่านี้นาไปสู่ความต้องการความรู้และโปรแกรมใหม่ในสาขาวิชานิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมศึกษา
ถึ ง แ ม้ว่า เ ดิ ม ที มี วิ ช า ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง คื อ ธ ร ณี วิ ท ย า ชี ว วิ ท ย า ภู มิ ศ า ส ต ร์
แต่ความต้องการความรู้ที่มีความหมายและมีความสัมพันธ์กับการแก้ปัญหาชีวิตและความเป็นอยู่ของมวลม
นุษย์ในยามคับขันหรือช่วงเวลาเร่งด่วน
โรง เ รี ยน หรื อสถาบัน การศึกษาควรได้ทาหน้าที่เ ตรี ยมผู้เ รี ยน สู่โลกอน า ค ต
โดยช่วยให้เข้าใจในปฏิสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์ สังคมและการเมืองว่าเป็ นอย่าง ไร
ด้วยเหตุที่ว่าความรู้ที่มีอยู่ไม่มั่นใจว่าใช้ได้อย่างเหมาะสม หลักสูตรต้องให้เกิดเจตคติ คุณค่า
แ ล ะ ค ว า ม คิ ด เ ชิ ง จ ริ ย ธ ร ร ม ที่ ช่ว ย ใ ห้ มีพ ฤ ติ ก ร ร ม ที่ รั บ ผิ ด ช อ บ ต่อ สิ่ ง แ ว ด ล้อ ม
การเรียนรู้เกี่ยวกับนิเวศวิทยาต้องการการมองโลกยุคใหม่แบบบูรณาการ รู้ว่าอย่างไรที่เป็นการทาลาย
รู้ ว่ า วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ สั ง ค ม แ ล ะ ก า ร เ มื อ ง
จะนามาบูรณาการกันอย่างไรที่จะช่วยให้ลดปัญหาหรือนาไปสู่แนวทางการแก้ไข สิ่งต่างๆ
โรงเรียนในอนาคตจะต้องนาแนวคิดดังกล่าวข้างต้นนี้มาให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยเฉพาะการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งแ
วดล้อม
6. การศึกษาเกี่ยวกับนิวเคลียร์ (Nuclear Education) ประเทศสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต
รัสเซียถือว่าเป็นประเทศที่เป็นผู้นาด้านนิวเคลียร์ นอกจากนั้นประเทศจีน เกาหลีเหนือ เยอรมันนี
และฝรั่งเศส นับได้ว่ามีการขายความรู้ด้านนิวเคลียร์ให้กับประเทศโลกที่สาม
การใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ ได้แก่ โรงไฟฟ้า การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์
ก า ร บ า บั ด ด้ ว ย ก า ร ฉ า ย รั ง สี
ความรู้เรื่องหลังงานนิวเคลียร์มีความจาเป็นว่าพลังงานดังกล่าวนี้ มีผลกระทบต่ออากาศ อาหาร
และ น้ าอย่าง ไร กรณีที่มีการรั่ วไห ล จะ มีผ ลก ระ ท บใ น ข อ บเ ข ตห่าง ไ ก ลเ พี ย ง ใ ด
และความเข้มข้นของรังสีที่เป็ นอันตรายต่อมนุษย์ทั้งที่อยู่ใกล้และไกลออกไปนับพัน ไมล์
ดังนั้นหลักสูตรที่ให้ความสาคัญกับการศึกษาเกี่ยวกับนิวเคลียร์ถูกบรรจุไว้ในหลักสูตรโลกศึกษา(Globally
Oriented Curriculum)
7. สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ ก า ร ดู แ ล สุ ข ภ า พ ก า ย ( Health Education and Physical Fitness)
แนวโน้มเกี่ยวกับสุขภาพของประชากรชาวอเมริกันจะต้องได้รับความรู้จากหลักสูตรใหม่ๆ
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือนักการศึกษานาประเด็นเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันบกพร่องที่รู้กันในชื่อว่า AIDS(acquired
immunodeficiency syndrome) นามาให้ความรู้กับผู้เรียน บรรจุเป็นเรื่องหนึ่งในหลักสูตร
ถึงแม้ว่าในสังคมอมริกันประชากรวัยผู้ใหญ่มีนิสัยรักการออกกาลังกายเพื่อสุขภาพด้วยการเล่นกีฬา
แ ล ะ ก า ร ดู แ ล สุ ข ภ า พ ร่ า ง ก า ย ( Fitness)
จุดประสงค์เบื้องต้นของโปรแกรมมุ่งให้มีความสนุกสนานและด้านการสังคมในกิจกรรมกีฬา
ไม่ได้มุ่งการแข่งขันเพื่อชัยชนะ มุ่งเพียงให้เป็นพฤติกรรมการออกกาลังกายเป็นสาคัญ
8. ก า ร ศึ ก ษ า ต่ า ง ด้ า ว ( Immigrant Education)
สังคมอเมริกันหลังสง ครามโลกครั้ง ที่สอง มีชาวต่าง ด้าวเข้ามาอาศัยอยู่เ ป็ นจานวน ม าก
นัยสาคัญของคนต่างด้าวจานวนมากมาจากครอบครัวที่เรียกว่า “ยากจน(structurally poor)”
เด็กที่มาจากประเทศต่าง ๆ จะถูกตีตราว่า “ด้อยความสามารถในการเรียนรู้(learningdisabledor “slow”
เพื่อช่วยให้คนต่างด้าวที่เข้ามาใหม่นักการศึกษาให้คาแนะนาว่าโรงเรียนควรได้จัดหลักสูตรสองภาษา(Bilin
gual programs) หลักสูตรพหุวัฒนธรรมจะช่วยให้เด็กต่างด้าวได้เรียนรู้และอยู่ในสังคมใหม่ได้ดียิ่งขึ้น
9. ภู มิ ศ า ส ต ร์ ย้ อ น ก ลั บ ( The Return of Geography)
การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เป็ นผลมาจากการตีพิมพ์หนังสือชื่อ Nation at Risk ในปี ค.ศ.1983
เ ด็กอเ มริ กัน จะ ได้เ รี ยน รู้เ รื่ อง ราวเ กี่ยวโลกร อบ ตัวเ รา รวมถึง ภูมิศาสตร์ พื้น ฐ า น
มีการทบทวนสาระสาคัญทางภูมิศาสตร์ อาทิเรื่อง back to basic, การเรียนรู้วัฒนธรรม นิเวศวิทยาศึกษา
และโลกศึกษา เรื่องราวต่างๆ ที่ศึกษาเล่าเรียนจะเป็นพลังขับเคลื่อนให้รู้จักบทบาทของตนเองเพิ่มยิ่งขึ้น
10. การศึกษาในช่วงเกรดกลาง (Middle-Grade Education) ผู้เรียนที่อายุระหว่าง 10–15 ปี
ซึ่ ง เ ป็ น วัย ที่ เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ค ว า ม เ จ ริ ญ เ ติ บ โ ต แ ล ะ พัฒ น า ก า ร อ ย่า ง ร ว ด เ ร็ ว
การศึกษาที่จัดให้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับ ก่อนจะเป็นวัยรุ่น(Preadolescents) และวัยรุ่นตอนต้น(early
adolescents) เ มื่ อ เ ป รี ย บ เ ที ย บ กั บ โ ร ง เ รี ย น มั ธ ย ม ( secondary school)
โรงเรียนเกรดกลางมุ่งให้ความสาคัญกับการเรียนรู้สังคมหรือสังคมประกิต(Socialization) ไม่เน้นวิชาการ
แ ต่ใ ห้ ค ว า มส า คัญ กับ intramural sport แ ต่ก็ไ ม่เ น้ น interscholastic or competitive sports
ถึ ง แ ม้ ว่ า โ ร ง เ รี ย น เ ก ร ด ก ล า ง จ ะ มี อ ยู่ โ ด ย ทั่ ว ไ ป
แ ต่ห ลัก สู ต ร ใ ห ม่ที่ เ ห ม า ะ ส ม กับ ก ลุ่มเ ด็ ก ดัง ก ล่า ว นี้ จ า เ ป็ น ต้ อ ง พั ฒ น า ขึ้ น
ก า ร พั ฒ น า ค รู ผู้ ส อ น จ ะ ต้ อ ง ป รั บ เ ป ลี่ ย น
โปรแกรมการพัฒน าครู จะ ต้องมีความแตกต่าง จากครูประ ถมศึกษาและมัธยมศึกษา
ใ น อ น า ค ต ส ถ า บั น ก า ร ผ ลิ ต ค รู จ ะ ต้ อ ง มุ่ ง พั ฒ น า ค ว า ม รู้
ทักษะที่จาเป็นสาหรับการสอนโรงเรียนเกรดกลาง(Middle school)
11. ก า ร ศึ ก ษ า ส า ห รั บ ผู้ สู ง อ า ยุ ( Aging Education)
สั ง ค ม ปั จ จุ บั น จ า น ว น ป ร ะ ช า ก ร ผู้ สู ง อ า ยุ เ พิ่ ม ขึ้ น อ ย่ า ง ร ว ด เ ร็ ว
นักการศึกษามีความเชื่อว่าโรงเรียนจะต้องสอนให้ผู้เรียนเข้าใจปัญหาและความคาดหวังของผู้สูงอายุ
และช่วยให้มีความรักต่อผู้สูงอายุ(ทั้งพ่อแม่และปู่ย่าตายาย)
ในโรงเรียนจะต้องประสมประสานผู้สูงอายุทั้งผู้ที่มีความประสงค์จะเกษียณอายุและผู้เกษียณอายุจา
ก ง า น ป ร ะ จ า ม า ช่ว ย ง า น ใ น โ ร ง เ รี ย น ใ น รู ป แ บ บ อ า ส า ส มัค ร ผู้ช่ว ย ส อ น
และแหล่งทรัพยากรบุคคลในการเรียนรู้
12. ธุรกิจการศึกษา(For-Profit Education) โรงเรียนหรือสถานศึกษารูปแบบต่าง ๆเกิดขึ้นมากมาย
ทั้งในรูปแบบของเอกชนและหน่วยงานที่ตั้งขึ้นเฉพาะกิจ อาทิ สถานเลี้ยงเด็กเล็ก(nursery)
ศูนย์รับเลี้ยงเด็กช่วงเวลากลางวันและช่วงหลังเลิกเรียน ศูนย์กีฬาและโคชเอกชน ศูนย์ติวเตอร์แฟรนไชส์
วิทยาลัยเอกชนเพื่อให้บริการแนะแนว(ในการเลือกมหาวิทยาลัย) สถาบันติวเตอร์สอบ SAT
แ ล ะ ก า ร ท ด ส อ บ เ พื่ อ ข อ รั บ ใ น รั บ ร อ ง ป ร ะ ก อ บ วิ ช า ชี พ
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นการนาการศึกษาเข้าสู่ตลาดการค้าที่มีการเก็บค่าธรรมเนียมในการศึกษา
จากผู้เรียนโดยตรง
13. การศึกษาเพื่ออนาคต (Futuristic Education) จากงานเขียนของทอฟเลอร์(Toffler 1970)
ที่กล่าวถึงอนาคตว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไม่สามารถที่กาหนดขอบข่ายของการเปลี่ยนแปลงได้เลย
นั้ น จึ ง น า ม า เ ป็ น ห ลั ก ก า ร ข อ ง ค ว า ม มุ่ ง ห ม า ย ก า ร ศึ ก ษ า
ที่จะต้องเพิ่มขีดความสามารถของผู้เรียนแต่ละคนเพื่อที่ผู้เรียนแต่ละคนสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแป
ลงที่ต่อเนื่อง
แนวทางหนึ่งในการเตรียมตัวผู้เรียนในอนาคตก็คือช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
โปรแกรมหรือรายวิชาใหม่ จะถูกเรียกว่า การศึกษาเล่าเรียนเพื่ออนาคต( Futuristic studies)
จ ะ เ ริ่ ม ใ น ร ะ ดั บ อุ ด ม ศึ ก ษ า แ ล ะ มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ใ น โ อ ก า ส ต่ อ ไ ป
สาระสาคัญของการศึกษาดังกล่าวนี้พิจารณาจากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสถานการณ์ในสังค
มโดยไม่มีการแบ่ง แยก แต่เ ป็ น ทั้ง สอง อง ค์ประ กอบที่ช่วยใ น การตัดใ จใ น อน าคต
โ ด ย ทั่ ว ไ ป ก า ร ม อ ง อ น า ค ต ไ ม่ ใ ช่ ภ า ร กิ จ ที่ เ ล็ ก ๆ
แต่เป็นการนาเสนออนาคตที่มีจุดประสงค์การเรียนรู้โดยปกติทั่วไปที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และนาไปใช้โด
ยปรับให้เหมาะสมกับตนเองในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
นักการศึกษาได้นาเสนอแนวคิดเกี่ยวกับทักษะที่จาเป็นในอนาคตที่เรียกกันว่า ทักษะในศตวรรษที่
21 หลักสูตรหรือรายวิชาที่เรียนก็ควรที่จะได้พิจารณาให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามมาตรฐานดังกล่าวนี้
หลักสูตรต้องวางแผนเพื่อการบรรลุทักษะในศตวรรษที่ 21
ในปี 1983 สมาคมการพัฒนาหลักสูตรและการนิเทศ (Association forSupervision and curriculum
development : ASCD) ได้เผยแพร่บทความวิจัย ของ Benjamin I. Troutman and Robert D. Palombo เรื่อง
Identifying Futures Trends in Curriculum Planning โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง 36 คน จากโรงเรียน Virginia
Beach Public Schools ข้ อ มู ล ที่ ไ ด้ ส รุ ป ไ ด้ ว่ า
ในอนาคตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะเป็ นตัวชี้การเปลี่ยนแปลงหลักสูตร อันเป็ นผลจาก
การขยายความรู้ที่เป็ น ไปอย่างรวดเร็ ว และความรู้มีความเป็ น ศาสตร์เฉพาะการเ พิ่ มขึ้ น
ซึ่งมีการศึกษาผลต่อหลักสูตรใน 3 ประเด็น คือ1) ความเป็นความรู้ที่ร่วมกันของวิทยาการที่เจริญก้าวหน้า 2)
ความสมดุลระหว่างความยากลาบากในการได้มาของข้อเท็จจริงกับการพัฒนาทักษะกระบวนการ 3)
เอกสารความรู้ที่ใช้เป็นแหล่งความรู้ในหลักสูตร จากขอบข่ายดังกล่าวนี้กลุ่มตัวอย่างจากโรงเรียน Virginia
Beach Public Schools ให้ความเห็นว่าแนวโน้มในอนาคตที่มีผลต่อการวางแผนหลักสูตรมี 15 ประเด็น คือ
1. ทักษะพื้นฐานทางวิชาการ (Basic Academic Skills)จะต้องให้ความสาคัญเพิ่มขึ้นกับ
ทักษะการสื่อสาร คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะหลักสูตรอาชีวศึกษา
2. คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศอื่น ๆ ( ComputersandOther Information
Technologies) ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ แ ล ะ เ ท ค โ น โ ล ยี ส า ร ส น เ ท ศ อื่ น ๆ
มีรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วอุปมาดั่งเช่นเป็นพาหนะขับเคลื่อนการศึกษาสาหรับผู้เรียนทุกคน
การพัฒนาแผนสาหรับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในระบบโรงเรียน VirginiaBeachPublic
Schools ตั้งแต่อนุบาลถึงเกรดสิบสอง
3. ค ว า ม ยื ด ห ยุ่ น ข อ ง ห ลั ก สู ต ร ( Curriculum Flexibility)
ให้โอกาสอันยิ่งใหญ่ที่มั่งคั่งสมบูรณ์และรวดเร็วจากหลักสูตร สาหรับอนุบาลถึงเกรดสิบสอง
4. ก า ร ท บ ท ว น ห ลั ก สู ต ร ( Curriculum Revision)
พั ฒ น า แ ผ น ป ฏิ บั ติ ก า ร ที่ แ น่ ใ จ ว่ า ส า ม า ร ถ ด า เ นิ น ก า ร ต่ อ ไ ป ไ ด้
หลักสูตรได้รับการทบทวนและมีการประเมินอย่างเป็นระบบ
5. ค ว า ม เ ป็ น ป ร ะ ช า ธิ ป ไ ต ย ( Democratic Ideals)
ทาความเข้าใจและให้ความสาคัญกับกระบวนการประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม
6. โปรแกรมสาหรับเด็กเล็ก(Early Childhood Programs) ขยายโปรแกรมสาหรับเด็กเล็ก
(เด็กก่อนอนุบาล) ที่ให้ความสาคัญกับการพัฒนาประสบการณ์การเรียนรู้
7. การมองอนาคต (Futures Perspective) การรวมขอบเขตสาระเป็นหลักสูตรเดียว โดยสิ่งต่าง
ๆ เ ห ล่านั้ น เ ป็ น ประ เ ด็น สะ ท้อน แ ละ อ ธิ บ าย ป ระ เ ด็น ร่ว มส มัย แน วโน้มอ น า ค ต
และความสัมพันธ์ระหว่างปัจจุบันกับเหตุการณ์ที่ผ่านไปและทางเลือกในอนาคต
8. สั ม พั น ธ ภ า พ ร ะ ดั บ ส า ก ล ( Global Interrelationships)
ใ ห้ความสาคัญกับ มุมมอง ข อง ค วา มสั มพัน ธ์ ระ ห ว่าง เ ศ รษฐ กิจ และ วัฒน ธร ร ม -
ชาติพันธุ์ของมนุษย์ที่หลักสูตรต้องมีความหลากหลาย
9. ก า ร เ รี ย น รู้ ต ล อ ด ชี วิ ต ( Lifelong Learning)
ขยายโอกาสสาหรับสมาชิกของชุมชนในเขตพื้นที่บริการของโรงเรียนที่สนใจเรียนรู้ในรูปแบบกิจกรรมการ
เรียนรู้ตลอดชีวิต
10. สื่อมวลชน(Mass Media) ให้ความสาคัญกับทักษะในการวิเคราะห์วิจารณ์ การฟัง และการดู
ที่เกี่ยวข้องกับการแปลความหมายจากสื่อ
11. ก า ร เ ติ ม เ ต็ ม บุ ค ลิ ก ภ า พ ( Personal Fulfillment)
โรงเรียนเป็นสถานที่อันยิ่งใหญ่ที่จะสร้างความคิดต่อตนเองเชิงบวก และพัฒนาสัมพันธภาพระหว่างบุคคล
12. การประยุกต์กระบวนการ (Process Approach) หลักสูตรมุ่งที่การแก้ปัญหา การตัดสินใจ
ความคิดสร้างสรรค์ และทักษะการคิดขั้นสูง ทักษะการนาไปใช้ การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่า
13. ก า ร พัฒ น า ที มง า น ( Staff Development) เ พิ่ ม โ อ ก า ส ใ ห้ พัฒ น าที มง าน
โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยี
14. ใ ช้ ชุ ม ช น ( Use of Community)
เ พิ่มบทบาทของ ผู้ปกครอง และ แหล่งเ รียน รู้ในชุมช นใน การจัดโปรแกร มการศึกษา
เชื่อมโยงการเรียนรู้ในชั้นเรียนกับประสบการณ์ในชุมชน
15. ก า ร อ า ชี ว แ ล ะ อ า ชี พ ศึ ก ษ า ( Vocational and Career Education)
แน่ใจว่าการศึกษาอาชีวและอาชีพสะท้อนการเปลี่ยนแปลงมโนทัศน์ในการทางานและสร้างแรงบันดาลใจใ
ห้กับผู้เรียน
สรุป(Summary)
ปัญหาและแนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรพิจารณาได้จากข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรที่ถูกร
วบรวมวิเคราะห์เชื่อมโยงเป็นชุดของจุดประสงค์การเรียนรู้ ที่ใช้ในการวางแผนพัฒนาหลักสูตร
และนาไปออกแบบหลักสูตร โดยการอธิบายเหตุผลการได้มาของสาระความรู้ในหลักสูตร
ที่ มี เ ห ตุ ผ ล ป ร ะ ก อ บ ห ลั ก วิ ช า โ ด ย อ า ศั ย ท ฤ ษ ฎี ก า ร เ รี ย น รู้ ต่ า ง ๆ
และนักพัฒนาหลักสูตรนามากาหนดเป้าหมายการพัฒนาผู้เรียน กาหนดสาระเนื้อหาและผลการเรียนรู้
ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้สามารถเป็นแนวทางช่วยให้อธิบายแนวโน้มของหลักสูตรได้
บทที่ 11

More Related Content

Similar to บทที่ 11

Similar to บทที่ 11 (20)

บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 
11 170819173826
11 17081917382611 170819173826
11 170819173826
 
11 170819173826
11 17081917382611 170819173826
11 170819173826
 
11 170819173826
11 17081917382611 170819173826
11 170819173826
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 
11 170819173826
11 17081917382611 170819173826
11 170819173826
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 
11 170819173826
11 17081917382611 170819173826
11 170819173826
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 
11 170819173826
11 17081917382611 170819173826
11 170819173826
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 
5 170819173404
5 1708191734045 170819173404
5 170819173404
 
บทที่ 5
บทที่ 5บทที่ 5
บทที่ 5
 
5 170819173404
5 1708191734045 170819173404
5 170819173404
 
5 170819173404
5 1708191734045 170819173404
5 170819173404
 
5 170819173404
5 1708191734045 170819173404
5 170819173404
 

More from kanwan0429

บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10kanwan0429
 
บทที่ 9
บทที่ 9บทที่ 9
บทที่ 9kanwan0429
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8kanwan0429
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7kanwan0429
 
บทที่ 6
บทที่ 6บทที่ 6
บทที่ 6kanwan0429
 
บทที่ 5
บทที่ 5บทที่ 5
บทที่ 5kanwan0429
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4kanwan0429
 
บทที่ 3
บทที่ 3บทที่ 3
บทที่ 3kanwan0429
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2kanwan0429
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1kanwan0429
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11kanwan0429
 
บทที่ 6
บทที่ 6บทที่ 6
บทที่ 6kanwan0429
 
บทที่ 5
บทที่ 5บทที่ 5
บทที่ 5kanwan0429
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4kanwan0429
 
บทที่ 3
บทที่ 3บทที่ 3
บทที่ 3kanwan0429
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2kanwan0429
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1kanwan0429
 

More from kanwan0429 (17)

บทที่ 10
บทที่ 10บทที่ 10
บทที่ 10
 
บทที่ 9
บทที่ 9บทที่ 9
บทที่ 9
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
บทที่ 6
บทที่ 6บทที่ 6
บทที่ 6
 
บทที่ 5
บทที่ 5บทที่ 5
บทที่ 5
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
บทที่ 3
บทที่ 3บทที่ 3
บทที่ 3
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 
บทที่ 11
บทที่ 11บทที่ 11
บทที่ 11
 
บทที่ 6
บทที่ 6บทที่ 6
บทที่ 6
 
บทที่ 5
บทที่ 5บทที่ 5
บทที่ 5
 
บทที่ 4
บทที่ 4บทที่ 4
บทที่ 4
 
บทที่ 3
บทที่ 3บทที่ 3
บทที่ 3
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2
 
บทที่ 1
บทที่ 1บทที่ 1
บทที่ 1
 

บทที่ 11

  • 1. บทที่ 11 ปัญหาและแนวโน้มในการพัฒนาหลักสูตร มโนทัศน์(Concept) หลักสูตรมีที่มาจากการวิเคราะห์เชื่อมโยงข้อมูลพื้นฐานด้านต่างๆ ทั้งด้านปรัชญาการศึกษา ด้านจิตวิทยา ด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ด้านสาขาวิชา เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีหลักสูตรที่เกี่ยวข้องที่มาจากศาสตร์ในสาขาที่เกี่ยวข้อง จึงกล่าวได้ หลักสูตรมีที่มาจากความรู้ในหลากหลายสาขาวิชา และผู้ที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรก็มาจากนักวิชาการหลากหลายสาขา การพัฒนาหลักสูตรจึงเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบดังกล่าวนี้ ในบทบาทของครูผู้สอนจะต้องให้ความสาคัญกับกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ปัญหาของการพัฒนาหลักสูตร เกิดจากบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนไม่เข้าใจกระบวนการของการพัฒนาหลักสูตร ผลการเรียนรู้(Learning Outcome) 1. มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาและแนวโน้มในการพัฒนาหลักสูตร 2. มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวโน้มในการพัฒนาหลักสูตร ในศตวรรษที่ 21 สาระเนื้อหา(Content) ปัญหาและแนวโน้มของการพัฒนาหลักสูตร 1. ปัญหาของการพัฒนาหลักสูตร ปัญหาของการพัฒนาหลักสูตร คือปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ที่เป็นปัญหาอันเกิดจากการร่วมคิด ร่วมทา ร่วมกันสร้างหลักสูตร และร่วมกันนาหลักสูตรไปใช้ มีดังนี้ 1. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาหลักสูตร ไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ของตน 2. ขาดการประสานงานหน้าที่ดีระหว่างหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาหลักสูตร 3. ผู้บริหารระดับต่างๆ เห็นว่าหลักสูตรเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยเฉพาะ 4. ปัญหาการไม่เปลี่ยนแปลงการเรียนการสอนของครูตามแนวทางของหลักสูตร 5. ปัญหาการเผยแพร่หลักสูตร การสื่อสารทาความเข้าใจในหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นใหม่
  • 2. 2. แนวโน้มของการพัฒนาหลักสูตร การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาให้ประสบความสาเร็จโดยสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้เกี่ยวข้องโดยเ ฉ พ า ะ ค รู ผู้ ส อ น และผู้บริหารสถานศึกษาให้มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาโดยความร่วมมือระหว่างสถ าน ศึกษาที่มีบริ บทใ กล้เ คียง กัน ตามมิติความต้อง การจาเ ป็ น ของ แต่ละ สถาน ศึ ก ษ า มีกิจกรรมร่วมมือกันในการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้านการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน การพัฒนาหลักสูตร และกิจกรรมอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ซึ่งหมายถึงกระบวนการสร้างแผนหรือแนวทางในการจัดมวลประสบการณ์ที่จัดทาโดยบุคคลหรือคณะบุคค ลในระดับสถานศึกษาเพื่อใช้พัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานการเรียนรู้ ประกอบด้วย ส่วนที่เป็นหลักสูตรแกนกลางที่กาหนดจากส่วนกลางที่ปรากฏในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 และส่วนที่เกี่ยวกับสภาพชุมชนและท้องถิ่นซึ่งพัฒนาโดยเขตพื้นที่การศึกษา และ ส่วน เ พิ่มเ ติมที่สถาน ศึกษาพัฒนาขึ้ นเ พื่อให้สอดคล้องเ หมาะ สมกับความสนใจ ความต้อง กา รแ ละ คว า ม ถนัด ข อง ผู้เ รี ยน ร ว ม ทั้ง ค ว า มเ ห มาะ ส ม กับสภ าพ สั ง ค ม กระบวนการใช้หลักสูตรสถานศึกษาและการประเมินผลการใช้หลักสูตรสถานศึกษาโดยการศึกษาให้มากขึ้ นแนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรในปัจจุบันมุ่งเน้นให้มีการพัฒนาหลักสูตรระดับท้องถิ่นมากขึ้น และเปิดโอกาสให้แต่ละท้องถิ่นสามารถพัฒนาหลักสูตรให้เหมาะสมกับความต้องการและเอกลักษณ์ประจา ท้อง ถิ่น ของ ตน เ พื่อใ ห้ผู้เ รี ยน ที่อยู่ใ น ท้อง ถิ่น นั้ น ๆ ได้รับประ โยช น์ อย่าง แ ท้จ ริ ง รวมทั้งยังเป็นการปลูกฝังให้ผู้เรียนมีความรักและความผูกพันกับท้องถิ่นของตนมากขึ้นด้วย (มสธ, 2536) เมื่อกล่าวถึงแนวโน้มของการพัฒนาหลักสูตร มีประเด็นสาคัญเกี่ยวข้อง 2 ประเด็นคือ ข้อมูลที่นามาเป็ นพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร กับการวิจัยทางการศึกษา โดยจะพบว่า ในระยะเวลาประมาณ 10 ปี และจากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องสรุปได้ดังนี้ รายงานการศึกษาวิจัยในช่วงทศวรรษ 1940และ 1950 มุ่งศึกษา ตัวแปรทานาย จากคุณสมบัติของครู มีความเชื่อว่าครูที่มีคุณสมบัติมีแนวโน้มที่จะสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้ 1) เสียง รูปร่างหน้าตา 2) ความมั่นคงทางอารมณ์ 3) ความน่าเชื่อถือ 4) ความอบอุ่น และ 5) ความกระตือรือร้น ต่อมาผลการศึกษาวิจัยความมีประสิทธิภาพของครู ในช่วงทศวรรษ 19 60 และ 1970 ได้ข้อสรุปและเสนอแนะในการพัฒนาวิชาชีพด้วย การนิเทศแบบคลินิก (Clinical Supervision) เทคนิควิธีการสังเกตการสอนชั้นเรียน เป็นต้น ต่ อ ม า ใ น ท ศ ว ร ร ษ 1 9 8 0 เ ม เ ด อ ลี น ฮั น เ ต อ ร์ ( Madeline Hunter) และคณะมหาวิทยาลัยยูซีแอลเอใช้หลักทฤษฎีเป็นฐาน (Theory-based) ในการเรียนการสอน สรุปได้ดังนี้ 1)
  • 3. การสอนมีรากฐานมาจากทฤษฎีการเรียนรู้แบบพฤติกรรมนิยม 2) การอนุมานจากแนวคิดในด้านการเรียนรู้ เช่น แรงจูงใจ (Motivation) ความทรงจา (Retention) การถ่ายโอนความรู้ (Transfer) เป็นต้น แ ล ะ ผ ล ก า ร ศึ ก ษ า วิ จั ย ใ น ช่ ว ง ท ศ ว ร ร ษ 1 9 8 0 แ ล ะ 1 9 9 0 การเปลี่ยนแปลงทัศนะการเรียนรู้แบบพฤติกรรมนิยม (Behaviorist) เป็นการเรียนรู้ด้วยปัญญา (Cognitive Learning Theory) สถานศึกษาใดที่มุ่งมั่นพัฒนาในด้านการประเมินที่มีประสิทธิภาพและการพัฒนาวิชาชีพการสอนจึงต้องเริ่ม ด้ ว ย ก า ร ก า ห น ด ม า ต ร ฐ า น ก า ร ส อ น ซึ่ ง ส ะ ท้ อ น สิ่ ง ที่ ค รู ค ว ร รู้ ในประเทศไทยหน่วยงานหรือองค์กรวิชาชีพครูที่เรียกว่า คุรุสภาได้เสนอกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้มีความรู้สมรรถนะความสามารถในการจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพ ดัง นั้ น แน วโน้มของ การพัฒน าห ลักสู ตรอาจพิจารณาได้จากผลการศึกษาวิจัย และข้อมูลพื้นฐานด้านต่าง ๆ ที่นามาใช้การพัฒนาหลักสูตร แนวโน้มของหลักสูตร ออนสไตน์ (Ornstein, Allan C. 1994: 4-20) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับแนวโน้มของหลักสูตรไว้ว่า หลักสูตรในอนาคต เนื้อหาวิชาจะถูกลดความสาคัญลงโดยเฉพาะเนื้อหาวิชาที่แยกแบบโดดเดี่ยว แ ต่จ ะ มี ลั ก ษ ณ ะ ป ร ะ ส ม ป ร ะ ส า น ม า ก ขึ้ น แ ล ะ มี ลั ก ษ ณ ะ เ ป็ น อ ง ค์ ร ว ม ถึ ง แ ม้ ว่า ข อ บ ข่ า ย เ นื้ อ ห า วิ ช า ใ น ห ลั ก สู ต ร แ บ บ ดั้ ง เ ดิ ม จ ะ ยั ง ค ง อ ยู่ แ ต่ จ ะ มี ลั ก ษ ณ ะ ก า ร บู ร ณ า ก า ร ข้ า ก ลุ่ ม ส า ร ะ ก า ร เ รี ย น รู้ เ พิ่ ม ขึ้ น ความรู้ไม่สามาร ถพิจาร ณาใ น แง่มุมข อง รายละ เ อีย ดป ลีกย่อยหรื อค วา มต่อเ นื่ อ ง แต่จะ มีความเ ป็ น สห วิท ยากา รและ ห ลากห ลาย มิติยิ่ง ขึ้ น ความรู้จะ บูรณาก า ร กัน ค ว า ม รู้ มี ม า ก ก ว่ า แ ห ล่ ง ค ว า ม รู้ ภ า พ แ ล ะ เ สี ย ง เ ท่ า นั้ น แ ล ะ มีค ว า มน่า เ ชื่ อ ถื อ น้ อ ย จ า ก สื่ อ ที่ เ ป็ น ก า ร พูด แ ล ะ ก า ร สื่ อ ส า ร ด้ว ย ตัว อักษร ออนสไตน์ได้สรุปไว้ว่าแนวโน้มของหลักสูตรมีดังต่อไปนี้ 1. การศึกษาในรูปแบบอีเล็กทรอนิกส์ ( Electronic Education) ความเจริญก้าวหน้าของ วีดิทัศน์ สามารถน ามาใ ช้เ ป็ นเ ครื่ องมือใ นการเรี ยนการสอนได้ วี ดิโอเ ทป คาสเ สท และดิสค์สามารถนามาใช้สอนได้ทั้งในห้องเรียน ห้องสมุด ศูนย์เรียนรู้ และที่บ้านของนักเรียน วีดิทัศน์มีความสะดวกที่นามาเรียน ได้ตลอดเวลา ซึ่งจะช่วยไม่ให้พลาดบทเรี ยน ไ ปไ ด้ มี วี ดิ ทั ศ น์ บ ท เ รี ย น วิ ช า ต่ า ง มี จ า น ว น ม า ก นั บ เ ป็ น จ า น ว น พั น นอกจากนี้โรงเรียนหลายแห่งและครูจานวนมากที่สามารถผลิตสื่อการสอนวิชาที่ตนเองรับผิดชอบในรูปขอ งวีดิทัศน์ จากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สามารถที่จะพิมพ์วีดิทัศน์ หรือภาพจากจอภาพในรูปของ ภาพถ่าย ตาราง กราฟ หรือรูปภาพในแบบต่าง ๆลงในกระดาษสาหรับศึกษาต่อไปได้
  • 4. วีดิทัศน์ยังสามารถนาใช้ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ที่ช่วยให้สามารถเรียนได้ในลักษณะแบบจาลองเหตุ การณ์ที่เป็ นจริง มีการโต้ตอบกัน สามารถนาเสนอได้เช่นเดียวกันกับการสอนให้ชั้นเรียน บทเรียนคอมพิวเตอร์สามารถให้คาตอบถูกหรือผิดให้กับผู้เรียนได้ทันที หรือในกรณีที่ผู้เรียนเลือกคา ตอบ โปรแกรมคอมพิวเตอร์สามารถให้ผู้เรียนเห็นคาตอบและสามารถเลือกทางเลือกที่กาหนดให้ปฏิบัติได้ตามที่ โ ป ร แ ก ร ม ก า ห น ด ไ ว้ นอกจากนี้วีดิทัศน์ยังสามารถใช้เป็นบทเรียนเรียนแบบรายบุคคลหรือแบบกลุ่มย่อยก็ได้ ความรู้ในรูปแบบอีเล็กทรอนิกส์นี้ยังสามารถจัดเก็บไว้ในสถานที่ที่ผู้เรียนสามารถเข้าถึงได้โดยผ่าน ระบบเครือข่าย ใคร ๆ ก็สามารถเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศและสามารถใช้ประโยชน์ได้ 2. ก า ร รู้ เ ท ค โ น โ ล ยี ( Technical Literycy) โ ร ง เ รี ย น ใ น ปั จ จุ บั น เ ห็ น ค ว า ม ส า คั ญ ใ น วิ วัฒ น า ก า ร ข อ ง เ ท ค โ น โ ล ยี จึงได้ให้การศึกษากับบุคลากรเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อีเล็กทรอนิกส์ เลเซอร์ และหุ่นยนต์ การรู้คอมพิวเตอร์ (Computer Literacy) เป็นทักษะพื้นฐานเพิ่มขึ้นจากทักษะการอ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น หรือรู้จักกันว่า 3Rs ในวิถีทางเศรษฐกิจที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ผู้ปฏิบัติงานต้องมีการศึกษาที่ดี ต้องมีปัญญาที่ดีกว่า มีทักษะการสื่อสาร และการทางานเป็นทีม บ้านและที่ทางานจะมีเครื่องคิดเลข คอมพิวเตอร์ เครื่องแฟกซ์ และเครื่องมืออีเล็กทรอนิกส์ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะนาสู่จุดวิกฤติของคนที่ไม่สามารถใช้เครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ นี้ ใ ห้ ท า ง า น ไ ด้ จึ ง มี ค ว า ม จ า เ ป็ น ที่ ภ า ค อุ ต ส า ห ก ร ร ม แ ล ะ รั ฐ บ า ล จะได้ร่วมกันสร้างโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาที่มีหลักสูตรในการเตรียมคนเข้าสู่ตลาดแรงงานที่ใช้เทคโ นโลยีดังกล่าวนี้ ในอนาคตการศึกษาจะเป็นการสร้างนักวิทยาศาสตร์เพื่อที่จะสามารถออกแบบ พัฒนา และประยุกต์เทคโนโลยีได้ในอนาคต สมาคมครู วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ( The National Science Teachers Association : NSTA) ได้อนุมัติหลักสูตรเรียกว่า Science/Technology/Society ซึ่งไม่ได้มุ่งเน้นเพียงวิทยาศาสตร์เ ท่านั้น ห า ก แ ต่ ใ ห้ ค ว า ม ส า คั ญ กั บ สั ง ค ม แ ล ะ เ ท ค โ น โ ล ยี ตัวอย่างหนึ่งของจุดประสงค์โปรแกรมนี้ก็เพื่อช่วยนักศึกษาจัดการกับผลกระทบของเทคโนโลยีในชีวิตประ จาวัน ความจาเ ป็ น ที่จะ ต้อง เ พิ่มแผน พัฒน าแห่งช าติแบบมีส่วน ร่วม ของ การศึกษา อุ ต ส า ห ก ร ร ม แ ล ะ รั ฐ บ า ล ก า ร ป ร ะ เ มิ น ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร อ า ชี พ ใ น อ น า ค ต และแผนความร่วมมือกันของโรงเรียนหรือสถานศึกษา 3. ก า ร เ รี ย น รู้ ต ล อ ด ชี วิ ต ( Lifelong Learning) แนวโน้มของการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นความจาเป็นกับสังคมสมัยใหม่อันเป็นผลสืบเนื่องจากความรู้ที่มีมากม า ย ก า ร เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ข อ ง สั ง ค ม อ ย่ า ง ร ว ด เ ร็ ว การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจที่มีผลต่อประชาชนในการประกอบอาชีพที่ปรับเปลี่ยนไปสู่ก
  • 5. า ร พั ฒ น า ใ ห ม่ ที่ มี ผ ล ต่ อ เ ป้ า ห ม า ย ข อ ง บุ ค ค ล แ ล ะ สั ง ค ม การศึกษาจะ มีความต่อ เ นื่ อง ตลอดชีวิตไม่ใ ช่เป็ น เพียงการศึกษาใน โรง เรี ยนเท่านั้น การศึกษาผู้ใหญ่จึงถูกคาดหวังเพิ่มขึ้นในปีคริสต์ศตวรรษที่ 1990s 4. ก า ร ศึ ก ษ า น า น า ช า ติ ( International Education) สังคมอเมริกันถือได้ว่าความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาได้มาจากประเทศต่างๆ และได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับ “ ห มู่ บ้ า น โ ล ก ( global village) กล่าวถึงมาตรฐานของการดารงชีวิตและเศรษฐกิจของชาติ(อเมริกัน)มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใ นที่อื่นๆ ของโลก การสื่อสารผ่านดาวเทียมและบรรยากาศ รายการโทรทัศน์ เครือข่ายซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีเลเซอร์ และการเดินทางด้วยเ ครื่ อง บินเจ็ต ช่วยให้ดูเหมือนว่าโลกแ ค บลง ความจาเป็นในการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศมีมากยิ่งขึ้น ภาษาพูดที่รู้จักกันส่วนใหญ่คือ ภาษาจีนกลาง รองลงมาคือภาษาอังกฤษ ฮินดี และสเปน ภาษาญี่ปุ่น(อันดับที่ 10) และภาษาเยอรมันและฝรั่งเศส ก า ร ฝึ ก อ บ ร ม นั ก ศึ ก ษ า ใ น ส ห รั ฐ อ เ ม ริ ก า ใ ห้ เ รี ย น รู้ ภ า ษ า ต่ า ง ๆมีผลต่อความเจริญเติบโตทางด้านการค้าของสหรัฐอเมริกาและความเข้าใจในตลาดการค้าโลก 5. สิ่งแวดล้อมศึกษา (Environmental Education) ผลจากปัญหาต่างๆ อาทิ มลภาวะ น้าเสีย ประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาวะทุพโภชนาการ และแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น ปัญหาต่างๆ เหล่านี้นาไปสู่ความต้องการความรู้และโปรแกรมใหม่ในสาขาวิชานิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมศึกษา ถึ ง แ ม้ว่า เ ดิ ม ที มี วิ ช า ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง คื อ ธ ร ณี วิ ท ย า ชี ว วิ ท ย า ภู มิ ศ า ส ต ร์ แต่ความต้องการความรู้ที่มีความหมายและมีความสัมพันธ์กับการแก้ปัญหาชีวิตและความเป็นอยู่ของมวลม นุษย์ในยามคับขันหรือช่วงเวลาเร่งด่วน โรง เ รี ยน หรื อสถาบัน การศึกษาควรได้ทาหน้าที่เ ตรี ยมผู้เ รี ยน สู่โลกอน า ค ต โดยช่วยให้เข้าใจในปฏิสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์ สังคมและการเมืองว่าเป็ นอย่าง ไร ด้วยเหตุที่ว่าความรู้ที่มีอยู่ไม่มั่นใจว่าใช้ได้อย่างเหมาะสม หลักสูตรต้องให้เกิดเจตคติ คุณค่า แ ล ะ ค ว า ม คิ ด เ ชิ ง จ ริ ย ธ ร ร ม ที่ ช่ว ย ใ ห้ มีพ ฤ ติ ก ร ร ม ที่ รั บ ผิ ด ช อ บ ต่อ สิ่ ง แ ว ด ล้อ ม การเรียนรู้เกี่ยวกับนิเวศวิทยาต้องการการมองโลกยุคใหม่แบบบูรณาการ รู้ว่าอย่างไรที่เป็นการทาลาย รู้ ว่ า วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ สั ง ค ม แ ล ะ ก า ร เ มื อ ง จะนามาบูรณาการกันอย่างไรที่จะช่วยให้ลดปัญหาหรือนาไปสู่แนวทางการแก้ไข สิ่งต่างๆ โรงเรียนในอนาคตจะต้องนาแนวคิดดังกล่าวข้างต้นนี้มาให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยเฉพาะการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งแ วดล้อม 6. การศึกษาเกี่ยวกับนิวเคลียร์ (Nuclear Education) ประเทศสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต รัสเซียถือว่าเป็นประเทศที่เป็นผู้นาด้านนิวเคลียร์ นอกจากนั้นประเทศจีน เกาหลีเหนือ เยอรมันนี และฝรั่งเศส นับได้ว่ามีการขายความรู้ด้านนิวเคลียร์ให้กับประเทศโลกที่สาม
  • 6. การใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ ได้แก่ โรงไฟฟ้า การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ก า ร บ า บั ด ด้ ว ย ก า ร ฉ า ย รั ง สี ความรู้เรื่องหลังงานนิวเคลียร์มีความจาเป็นว่าพลังงานดังกล่าวนี้ มีผลกระทบต่ออากาศ อาหาร และ น้ าอย่าง ไร กรณีที่มีการรั่ วไห ล จะ มีผ ลก ระ ท บใ น ข อ บเ ข ตห่าง ไ ก ลเ พี ย ง ใ ด และความเข้มข้นของรังสีที่เป็ นอันตรายต่อมนุษย์ทั้งที่อยู่ใกล้และไกลออกไปนับพัน ไมล์ ดังนั้นหลักสูตรที่ให้ความสาคัญกับการศึกษาเกี่ยวกับนิวเคลียร์ถูกบรรจุไว้ในหลักสูตรโลกศึกษา(Globally Oriented Curriculum) 7. สุ ข ศึ ก ษ า แ ล ะ ก า ร ดู แ ล สุ ข ภ า พ ก า ย ( Health Education and Physical Fitness) แนวโน้มเกี่ยวกับสุขภาพของประชากรชาวอเมริกันจะต้องได้รับความรู้จากหลักสูตรใหม่ๆ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือนักการศึกษานาประเด็นเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันบกพร่องที่รู้กันในชื่อว่า AIDS(acquired immunodeficiency syndrome) นามาให้ความรู้กับผู้เรียน บรรจุเป็นเรื่องหนึ่งในหลักสูตร ถึงแม้ว่าในสังคมอมริกันประชากรวัยผู้ใหญ่มีนิสัยรักการออกกาลังกายเพื่อสุขภาพด้วยการเล่นกีฬา แ ล ะ ก า ร ดู แ ล สุ ข ภ า พ ร่ า ง ก า ย ( Fitness) จุดประสงค์เบื้องต้นของโปรแกรมมุ่งให้มีความสนุกสนานและด้านการสังคมในกิจกรรมกีฬา ไม่ได้มุ่งการแข่งขันเพื่อชัยชนะ มุ่งเพียงให้เป็นพฤติกรรมการออกกาลังกายเป็นสาคัญ 8. ก า ร ศึ ก ษ า ต่ า ง ด้ า ว ( Immigrant Education) สังคมอเมริกันหลังสง ครามโลกครั้ง ที่สอง มีชาวต่าง ด้าวเข้ามาอาศัยอยู่เ ป็ นจานวน ม าก นัยสาคัญของคนต่างด้าวจานวนมากมาจากครอบครัวที่เรียกว่า “ยากจน(structurally poor)” เด็กที่มาจากประเทศต่าง ๆ จะถูกตีตราว่า “ด้อยความสามารถในการเรียนรู้(learningdisabledor “slow” เพื่อช่วยให้คนต่างด้าวที่เข้ามาใหม่นักการศึกษาให้คาแนะนาว่าโรงเรียนควรได้จัดหลักสูตรสองภาษา(Bilin gual programs) หลักสูตรพหุวัฒนธรรมจะช่วยให้เด็กต่างด้าวได้เรียนรู้และอยู่ในสังคมใหม่ได้ดียิ่งขึ้น 9. ภู มิ ศ า ส ต ร์ ย้ อ น ก ลั บ ( The Return of Geography) การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เป็ นผลมาจากการตีพิมพ์หนังสือชื่อ Nation at Risk ในปี ค.ศ.1983 เ ด็กอเ มริ กัน จะ ได้เ รี ยน รู้เ รื่ อง ราวเ กี่ยวโลกร อบ ตัวเ รา รวมถึง ภูมิศาสตร์ พื้น ฐ า น มีการทบทวนสาระสาคัญทางภูมิศาสตร์ อาทิเรื่อง back to basic, การเรียนรู้วัฒนธรรม นิเวศวิทยาศึกษา และโลกศึกษา เรื่องราวต่างๆ ที่ศึกษาเล่าเรียนจะเป็นพลังขับเคลื่อนให้รู้จักบทบาทของตนเองเพิ่มยิ่งขึ้น 10. การศึกษาในช่วงเกรดกลาง (Middle-Grade Education) ผู้เรียนที่อายุระหว่าง 10–15 ปี ซึ่ ง เ ป็ น วัย ที่ เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ค ว า ม เ จ ริ ญ เ ติ บ โ ต แ ล ะ พัฒ น า ก า ร อ ย่า ง ร ว ด เ ร็ ว การศึกษาที่จัดให้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับ ก่อนจะเป็นวัยรุ่น(Preadolescents) และวัยรุ่นตอนต้น(early adolescents) เ มื่ อ เ ป รี ย บ เ ที ย บ กั บ โ ร ง เ รี ย น มั ธ ย ม ( secondary school) โรงเรียนเกรดกลางมุ่งให้ความสาคัญกับการเรียนรู้สังคมหรือสังคมประกิต(Socialization) ไม่เน้นวิชาการ
  • 7. แ ต่ใ ห้ ค ว า มส า คัญ กับ intramural sport แ ต่ก็ไ ม่เ น้ น interscholastic or competitive sports ถึ ง แ ม้ ว่ า โ ร ง เ รี ย น เ ก ร ด ก ล า ง จ ะ มี อ ยู่ โ ด ย ทั่ ว ไ ป แ ต่ห ลัก สู ต ร ใ ห ม่ที่ เ ห ม า ะ ส ม กับ ก ลุ่มเ ด็ ก ดัง ก ล่า ว นี้ จ า เ ป็ น ต้ อ ง พั ฒ น า ขึ้ น ก า ร พั ฒ น า ค รู ผู้ ส อ น จ ะ ต้ อ ง ป รั บ เ ป ลี่ ย น โปรแกรมการพัฒน าครู จะ ต้องมีความแตกต่าง จากครูประ ถมศึกษาและมัธยมศึกษา ใ น อ น า ค ต ส ถ า บั น ก า ร ผ ลิ ต ค รู จ ะ ต้ อ ง มุ่ ง พั ฒ น า ค ว า ม รู้ ทักษะที่จาเป็นสาหรับการสอนโรงเรียนเกรดกลาง(Middle school) 11. ก า ร ศึ ก ษ า ส า ห รั บ ผู้ สู ง อ า ยุ ( Aging Education) สั ง ค ม ปั จ จุ บั น จ า น ว น ป ร ะ ช า ก ร ผู้ สู ง อ า ยุ เ พิ่ ม ขึ้ น อ ย่ า ง ร ว ด เ ร็ ว นักการศึกษามีความเชื่อว่าโรงเรียนจะต้องสอนให้ผู้เรียนเข้าใจปัญหาและความคาดหวังของผู้สูงอายุ และช่วยให้มีความรักต่อผู้สูงอายุ(ทั้งพ่อแม่และปู่ย่าตายาย) ในโรงเรียนจะต้องประสมประสานผู้สูงอายุทั้งผู้ที่มีความประสงค์จะเกษียณอายุและผู้เกษียณอายุจา ก ง า น ป ร ะ จ า ม า ช่ว ย ง า น ใ น โ ร ง เ รี ย น ใ น รู ป แ บ บ อ า ส า ส มัค ร ผู้ช่ว ย ส อ น และแหล่งทรัพยากรบุคคลในการเรียนรู้ 12. ธุรกิจการศึกษา(For-Profit Education) โรงเรียนหรือสถานศึกษารูปแบบต่าง ๆเกิดขึ้นมากมาย ทั้งในรูปแบบของเอกชนและหน่วยงานที่ตั้งขึ้นเฉพาะกิจ อาทิ สถานเลี้ยงเด็กเล็ก(nursery) ศูนย์รับเลี้ยงเด็กช่วงเวลากลางวันและช่วงหลังเลิกเรียน ศูนย์กีฬาและโคชเอกชน ศูนย์ติวเตอร์แฟรนไชส์ วิทยาลัยเอกชนเพื่อให้บริการแนะแนว(ในการเลือกมหาวิทยาลัย) สถาบันติวเตอร์สอบ SAT แ ล ะ ก า ร ท ด ส อ บ เ พื่ อ ข อ รั บ ใ น รั บ ร อ ง ป ร ะ ก อ บ วิ ช า ชี พ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นการนาการศึกษาเข้าสู่ตลาดการค้าที่มีการเก็บค่าธรรมเนียมในการศึกษา จากผู้เรียนโดยตรง 13. การศึกษาเพื่ออนาคต (Futuristic Education) จากงานเขียนของทอฟเลอร์(Toffler 1970) ที่กล่าวถึงอนาคตว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไม่สามารถที่กาหนดขอบข่ายของการเปลี่ยนแปลงได้เลย นั้ น จึ ง น า ม า เ ป็ น ห ลั ก ก า ร ข อ ง ค ว า ม มุ่ ง ห ม า ย ก า ร ศึ ก ษ า ที่จะต้องเพิ่มขีดความสามารถของผู้เรียนแต่ละคนเพื่อที่ผู้เรียนแต่ละคนสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแป ลงที่ต่อเนื่อง แนวทางหนึ่งในการเตรียมตัวผู้เรียนในอนาคตก็คือช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง โปรแกรมหรือรายวิชาใหม่ จะถูกเรียกว่า การศึกษาเล่าเรียนเพื่ออนาคต( Futuristic studies) จ ะ เ ริ่ ม ใ น ร ะ ดั บ อุ ด ม ศึ ก ษ า แ ล ะ มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ใ น โ อ ก า ส ต่ อ ไ ป สาระสาคัญของการศึกษาดังกล่าวนี้พิจารณาจากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสถานการณ์ในสังค มโดยไม่มีการแบ่ง แยก แต่เ ป็ น ทั้ง สอง อง ค์ประ กอบที่ช่วยใ น การตัดใ จใ น อน าคต โ ด ย ทั่ ว ไ ป ก า ร ม อ ง อ น า ค ต ไ ม่ ใ ช่ ภ า ร กิ จ ที่ เ ล็ ก ๆ
  • 8. แต่เป็นการนาเสนออนาคตที่มีจุดประสงค์การเรียนรู้โดยปกติทั่วไปที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และนาไปใช้โด ยปรับให้เหมาะสมกับตนเองในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นักการศึกษาได้นาเสนอแนวคิดเกี่ยวกับทักษะที่จาเป็นในอนาคตที่เรียกกันว่า ทักษะในศตวรรษที่ 21 หลักสูตรหรือรายวิชาที่เรียนก็ควรที่จะได้พิจารณาให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามมาตรฐานดังกล่าวนี้ หลักสูตรต้องวางแผนเพื่อการบรรลุทักษะในศตวรรษที่ 21 ในปี 1983 สมาคมการพัฒนาหลักสูตรและการนิเทศ (Association forSupervision and curriculum development : ASCD) ได้เผยแพร่บทความวิจัย ของ Benjamin I. Troutman and Robert D. Palombo เรื่อง Identifying Futures Trends in Curriculum Planning โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง 36 คน จากโรงเรียน Virginia Beach Public Schools ข้ อ มู ล ที่ ไ ด้ ส รุ ป ไ ด้ ว่ า ในอนาคตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะเป็ นตัวชี้การเปลี่ยนแปลงหลักสูตร อันเป็ นผลจาก การขยายความรู้ที่เป็ น ไปอย่างรวดเร็ ว และความรู้มีความเป็ น ศาสตร์เฉพาะการเ พิ่ มขึ้ น ซึ่งมีการศึกษาผลต่อหลักสูตรใน 3 ประเด็น คือ1) ความเป็นความรู้ที่ร่วมกันของวิทยาการที่เจริญก้าวหน้า 2) ความสมดุลระหว่างความยากลาบากในการได้มาของข้อเท็จจริงกับการพัฒนาทักษะกระบวนการ 3) เอกสารความรู้ที่ใช้เป็นแหล่งความรู้ในหลักสูตร จากขอบข่ายดังกล่าวนี้กลุ่มตัวอย่างจากโรงเรียน Virginia Beach Public Schools ให้ความเห็นว่าแนวโน้มในอนาคตที่มีผลต่อการวางแผนหลักสูตรมี 15 ประเด็น คือ 1. ทักษะพื้นฐานทางวิชาการ (Basic Academic Skills)จะต้องให้ความสาคัญเพิ่มขึ้นกับ ทักษะการสื่อสาร คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะหลักสูตรอาชีวศึกษา 2. คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศอื่น ๆ ( ComputersandOther Information Technologies) ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ แ ล ะ เ ท ค โ น โ ล ยี ส า ร ส น เ ท ศ อื่ น ๆ มีรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วอุปมาดั่งเช่นเป็นพาหนะขับเคลื่อนการศึกษาสาหรับผู้เรียนทุกคน การพัฒนาแผนสาหรับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในระบบโรงเรียน VirginiaBeachPublic Schools ตั้งแต่อนุบาลถึงเกรดสิบสอง 3. ค ว า ม ยื ด ห ยุ่ น ข อ ง ห ลั ก สู ต ร ( Curriculum Flexibility) ให้โอกาสอันยิ่งใหญ่ที่มั่งคั่งสมบูรณ์และรวดเร็วจากหลักสูตร สาหรับอนุบาลถึงเกรดสิบสอง 4. ก า ร ท บ ท ว น ห ลั ก สู ต ร ( Curriculum Revision) พั ฒ น า แ ผ น ป ฏิ บั ติ ก า ร ที่ แ น่ ใ จ ว่ า ส า ม า ร ถ ด า เ นิ น ก า ร ต่ อ ไ ป ไ ด้ หลักสูตรได้รับการทบทวนและมีการประเมินอย่างเป็นระบบ 5. ค ว า ม เ ป็ น ป ร ะ ช า ธิ ป ไ ต ย ( Democratic Ideals) ทาความเข้าใจและให้ความสาคัญกับกระบวนการประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม 6. โปรแกรมสาหรับเด็กเล็ก(Early Childhood Programs) ขยายโปรแกรมสาหรับเด็กเล็ก (เด็กก่อนอนุบาล) ที่ให้ความสาคัญกับการพัฒนาประสบการณ์การเรียนรู้
  • 9. 7. การมองอนาคต (Futures Perspective) การรวมขอบเขตสาระเป็นหลักสูตรเดียว โดยสิ่งต่าง ๆ เ ห ล่านั้ น เ ป็ น ประ เ ด็น สะ ท้อน แ ละ อ ธิ บ าย ป ระ เ ด็น ร่ว มส มัย แน วโน้มอ น า ค ต และความสัมพันธ์ระหว่างปัจจุบันกับเหตุการณ์ที่ผ่านไปและทางเลือกในอนาคต 8. สั ม พั น ธ ภ า พ ร ะ ดั บ ส า ก ล ( Global Interrelationships) ใ ห้ความสาคัญกับ มุมมอง ข อง ค วา มสั มพัน ธ์ ระ ห ว่าง เ ศ รษฐ กิจ และ วัฒน ธร ร ม - ชาติพันธุ์ของมนุษย์ที่หลักสูตรต้องมีความหลากหลาย 9. ก า ร เ รี ย น รู้ ต ล อ ด ชี วิ ต ( Lifelong Learning) ขยายโอกาสสาหรับสมาชิกของชุมชนในเขตพื้นที่บริการของโรงเรียนที่สนใจเรียนรู้ในรูปแบบกิจกรรมการ เรียนรู้ตลอดชีวิต 10. สื่อมวลชน(Mass Media) ให้ความสาคัญกับทักษะในการวิเคราะห์วิจารณ์ การฟัง และการดู ที่เกี่ยวข้องกับการแปลความหมายจากสื่อ 11. ก า ร เ ติ ม เ ต็ ม บุ ค ลิ ก ภ า พ ( Personal Fulfillment) โรงเรียนเป็นสถานที่อันยิ่งใหญ่ที่จะสร้างความคิดต่อตนเองเชิงบวก และพัฒนาสัมพันธภาพระหว่างบุคคล 12. การประยุกต์กระบวนการ (Process Approach) หลักสูตรมุ่งที่การแก้ปัญหา การตัดสินใจ ความคิดสร้างสรรค์ และทักษะการคิดขั้นสูง ทักษะการนาไปใช้ การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่า 13. ก า ร พัฒ น า ที มง า น ( Staff Development) เ พิ่ ม โ อ ก า ส ใ ห้ พัฒ น าที มง าน โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยี 14. ใ ช้ ชุ ม ช น ( Use of Community) เ พิ่มบทบาทของ ผู้ปกครอง และ แหล่งเ รียน รู้ในชุมช นใน การจัดโปรแกร มการศึกษา เชื่อมโยงการเรียนรู้ในชั้นเรียนกับประสบการณ์ในชุมชน 15. ก า ร อ า ชี ว แ ล ะ อ า ชี พ ศึ ก ษ า ( Vocational and Career Education) แน่ใจว่าการศึกษาอาชีวและอาชีพสะท้อนการเปลี่ยนแปลงมโนทัศน์ในการทางานและสร้างแรงบันดาลใจใ ห้กับผู้เรียน สรุป(Summary) ปัญหาและแนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรพิจารณาได้จากข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรที่ถูกร วบรวมวิเคราะห์เชื่อมโยงเป็นชุดของจุดประสงค์การเรียนรู้ ที่ใช้ในการวางแผนพัฒนาหลักสูตร และนาไปออกแบบหลักสูตร โดยการอธิบายเหตุผลการได้มาของสาระความรู้ในหลักสูตร ที่ มี เ ห ตุ ผ ล ป ร ะ ก อ บ ห ลั ก วิ ช า โ ด ย อ า ศั ย ท ฤ ษ ฎี ก า ร เ รี ย น รู้ ต่ า ง ๆ และนักพัฒนาหลักสูตรนามากาหนดเป้าหมายการพัฒนาผู้เรียน กาหนดสาระเนื้อหาและผลการเรียนรู้ ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้สามารถเป็นแนวทางช่วยให้อธิบายแนวโน้มของหลักสูตรได้