More Related Content
Similar to Renal failure (20)
Renal failure
- 1. RENAL FAILURE<br />ไต มี 2 ข้าง คล้ายรูปถั่ว ขนาดในผู้ใหญ่ ~10-13 ซ . ม . ตำแหน่งอยู่ด้านหลัง บริเวณบั้นเอว ทั้งสองข้าง<br />โดยสรุปหน้าที่ของไตจึงมีทั้งหมดดังนี้คือ<br />ขับของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญสารอาหาร รวมทั้งสารพิษต่างๆที่ร่างกาย ได้รับออกมาเป็นปัสสาวะ<br />ขับน้ำส่วนเกินออกจากร่างกาย<br />ควบคุมดุลย์ของน้ำและเกลือแร่ที่สำคัญให้อยู่ในภาวะปกติเสมอ<br />ช่วยสร้างฮอร์โมนที่มีผลต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง<br />ช่วยสร้าง วิตามินดี -3 ชนิดแอคทีพ ซึ่งมีผลต่อการดูดซึมแคลเซียมและฟอสเฟต<br />ไต<br />โรคไตวาย คือ ภาวะที่ไตทำงานผิดปกติ<br />ไตจะทำหน้าที่หลัก 3 ประการ<br />1. ขับของเสียอันเกิดจากเผาผลาญอาหารประเภทโปรตีน<br />( มีมากในเนื้อสัตว์และอาหารจำพวกถั่ว )<br />ซึ่งของเสยประเภทนี้ได้แก่ ยูเรีย ครีเอตินา กรดยูริค<br />และสารประกอบไนโตรเจนอื่นๆ หากของเสียประเภทนี้<br />คลั่งอยู่ในร่างกายมากเรียกว่า ภาวะยูรีเมีย<br />ซึ่งมักมีอาการสะอึก คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ผิวแห้ง<br />อาจมีหัวใจวายหรือเจ็บหน้าอกจากเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ<br />หากไม่รักษาจะซึม ชัก หมดสติ และเสียชีวิตได้<br />2. ควบคุมปริมาณน้ำและเกลือแร่ส่วนที่เกินความจำเป็น<br />จะถูกขับออกทางปัสสาวะเช่นโซเดียม โปตัสเซียม<br />แคลเซียม ฟอสฟอรัส<br />3. ผลิตและควบคุมการทำงานของฮอร์โมนเช่นฮอร์โมนที่<br />ควบคุมปริมาณของแคลเซียม ฮอร์โมนที่กระตุ้นการสร้าง<br />เม็ดเลือดแดง ดังนั้นหากไตมีความบกพร่องมากๆผู้ป่วยอาจมีโรคโลหิตจางหรือกระดูกพรุน<br />ภาวะไตวาย<br />คือภาวะที่มีการทำงานของไตลดลง จนเกิดมีการคั่งของของเสียประเภทยูเรียไนโตรเจน และของเสียอื่นๆเกิดขึ้น<br />รู้ได้ด้วยการวัดค่าของเสียเหล่านี้คือค่า BUN และค่า Cr ถ้าทั้งสองตัวมีค่าสูงกว่าปกติ โดยไม่ใช่เกิดจากยาหรือภาวะบางอย่าง โดยทั่วไปจะถือว่า มีภาวะไตวายเกิดขึ้น<br />ไตวายอาจจะเป็นแบบที่มีปัสสาวะมาก คือมากกว่า 400 มิลลิลิตรต่อวัน หรือแบบมีปัสสาวะน้อย คือน้อยกว่า 400 มิลลิลิตรต่อวันก็ได้<br />ในทางการแพทย์แบ่งไตวายเป็น 2 แบบคือ<br />ไตวายฉับพลัน<br />ไตวายเรื้อรัง<br />ไตวายฉับพลัน คือมีการทำงานของไตเป็นเวลารวดเร็วเพียงไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วัน ถ้ารักษาถูกต้องจะกลับสู่ภาวะปกติเวลาประมาณ 3 วัน<br />ในภาวะไตวายฉับพลัน เรียกว่า Pre renal หมายถึงไตวายจากการที่เลือดไปเลี้ยงไตลดลง เช่นมีภาวะเสียเลือด shock ทำให้ความสามารถในการขับของเสียลดลง มีปัสสาวะออกน้อยแต่เนื่องจากยังไม่มีการทำลายเนื้อไต ถ้ารักษาด้วยการให้สารน้ำให้เพียงพอและแก้ไขภาวะเลือดไปเลี้ยงไตลดลงนี้ได้ ไตจะกลับเป็นปกติในเวลาเพียง 24-72 ชม . และมีปัสสาวะออกตามปกติ แต่ถ้ารักษาไม่ทันมีการทำลายของท่อไต แม้จะให้น้ำทัน ไม่สามารถเพิ่มปัสสาวะได้ และอาจทำให้ไตปกติได้ในช่วงสั้นแต่ถ้ารักษาได้ดีและไตไม่เสียหายรุนแรง ก็อาจหายเป็นปกติได้ในเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ถึง 3 เดือน ถ้าเกิน 3 เดือนไปแล้วยังไม่ปกติถือว่ามีภาวะไตวายเรื้อรัง<br />สาเหตุ - ภาวะขาดเลือดไปเลี้องไต ได้ยาหรือสารพิษต่อไต HT&DM รักษาไม่เหมาะสม<br />ภาวะไตอักเสบ มีการอุดตันของทางเดินปัสสาวะ<br />ไตวายเรื้อรัง<br />สาเหตุ<br />ที่พบบ่อยในประเทศไทยคือ DM ,HT ,DLP<br />โรคดังกล่าวถ้าได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง ไม่สามารถ<br />ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตให้อยู่<br />ในเกณฑ์ปกติโรคนี้ในระยะยาวจะส่งผลทำให้เกิดภาวะ<br />ไตวายเรื้องรังได้ ระดับน้ำในเลือดสูงมีผลต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน ยิ่งน้ำตาลในเลือดสูงมากยิ่งมีโอกาสเกิด<br />โรคแทรกซ้อนได้มากความดันโลหิตสูงและภาวะไขมันใน<br />เลือดสูงเป็นปัจจัยช่วยสนับสนุนให้เกิดโรคแทรกซ้อน<br />ทางไตในผู้ป่วยเบาหวาน ทำให้เกิดอาการเร็วขึ้นรุนแรง<br />มากขึ้น<br />ส่วนภาวะที่พบรองลงมาได้แก่โรคไตอักเสบเรื้อรัง<br />โรคนิ่วไต หรือการใช้ยาบางชนิดที่มีพิษต่อไต โดยเฉพาะ<br />ยาแก้ปวดหากซื้อยากินเองเป็นระยะเวลานาน<br />อาการ<br />1. อาการของโรคไตเรื้อรังในระยะแรกนั้น ของเสียในเลือดอาจจะไม่ได้อยู่ในระดับที่สูง เพราะฉะนั้นผู้ป่วยอาจะไม่มีอาการผิดปกติ แต่ถ้ามีของเสียในร่างกายสูงอาจจะมีอาการผิดปกติเช่น บวมบริเวณใบหน้า ตาหรือขา ปัสสาวะผิดปกติเช่น ลุกมาปัสสาวะบ่อยในตอนกลางคืน<br />2. เมื่อเกิดภาวะไตวาย การทำงานของไตจะดน้อยลง จนเกิดการคลั่งของของเสียประเภทยูเรีย ไนโตรเจน และของเสียอื่นๆ<br />ไตอาจจะเป็นแบบที่มีปัสสวะมาก คือ มากกว่า 400ml/day<br />หรือแบบมีปัสสาวะน้อยคือ น้อยกว่า 400ml/day<br />3. ถ้ามีปัสสาวะน้อยผู้ป่วยมักจะบวมเหนื่อยหอบนอนราบไม่ได้จากการมีสารน้ำคั่งจนหัวใจวาย แต่ถ้าเป็นไตวายแบบมีปัสสาวะมากผู้ป่วยจะไม่เหนื่อยหอบ<br />มากนัก<br />การวินิจฉัย<br />สามารถวินิจฉัยได้จากลักษณะประวัติอาการ การตรวจ<br />ร่างกายอย่างละเอียด ร่วมกับการตรวจเลือดเพื่อ<br />ประเมินการทำหน้าที่ของไต<br />การวินิจฉัยหาสาเหตุที่ทำให้ไตวายจะช่วยในการวาง<br />แผนการรักษาระยะยาวได้เป็นอย่างดี<br />LAB INVESTIGATION<br /> 5-10 mg/dlLab : BUN (Blood Urea Nitrogen) <br /> 0.5-1.5 mg/dl: Cr (Creatinin) <br />BUN/Cr เป็นของเสียที่เกิดจากการทำลายโปรตีนในร่างกาย<br />:creatinin clearance คือหา Cr ที่ขับออกมาจากปัสสาวะ 24 hrs<br />เทียบกับ Cr ในเลือดทำให้ทราบถึงเลือดที่ผ่านการกรองโดยไต<br />ที่ปริมาณกี่ ml/min ค่าปกติไตจะกรองเลือด 100-200 ml/min<br />ถ้าไตเสื่อมลง 50% ไตจะกรองเลือดได้เพียง 50-60 ml/min<br />: UA – Sp.gr ไตเสื่อมไม่สามารถทำให้ปัสสาวะเข้มข้นได้<br />เพราะฉะนั้นค่า Sp.gr < 1.015<br />- ความเป็นกรดด่าง ไตเสื่อมจะขับกรดออกได้น้อย<br />ดังนั้นปัสสาวะจะเป็นด่างมากกว่าปกติ<br />- โปรตีนหรือไข่ขาว ในปัสสาวะปกติจะมีปริมาณน้อยมากจนตรวจไม่พบคือใน 24 hrs จะมีโปรตีนออกมาน้อยกว่า 150 mg ถ้ามากกว่า 150 mg บอกถึงภาวะไตอักเสบหรือมีการรั่วหรือการดูดกลับบกพร่อง<br />- เม็ดเลือดขาว แสดงถึงการมีภาวะการอักเสบ<br />- เม็ดเลือดแดง แสดงถึงภาวะนิ่ว<br />Ultrasound<br />x-ray<br />การรักษา<br />ข้อควรปฏบัติคือ ผู้ป่วยต้องมาพบแพทย์ตามคำแนะนำ<br />ของแพท์อย่างเคร่งครัด<br />1. การรักษาในระยะแรก ส่วนใหญ่จะเป็นการรักษา<br />ด้วยยา จุดประสงค์การรักษาด้วยยาไม่ใช่การรักษาให้<br />เนื้อไตที่เสียไปแล้วกลับสภาพทำงานได้ แต่เพื่อรักษา<br />ปัจจัยต่างๆที่จะทำให้ไตนั้นเสื่อมสภาพลง เช่น<br />ควบคุมความดันโลหิต ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก<br />ถ้าควบคุมความดันให้อยู่ในระดับปกติ จะสามารถชลอ<br />ไม่ให้ไตเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว<br />2. การล้างไตทางหน้าท้อง ( CAPD : Continous Abdominal Peritoneal Dialysis)<br />3. การฟอกเลือดโดยใช้เครื่องไตเทียม (BUN>100mg/dl,Cr>10mg/dl)<br />4. การผ่าตัดเปลี่ยนไต ผู้ป่วยจำเป็นต้องทานยากดภูมิ<br />ต้านทานตลอดชีวิต ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคต่างๆ<br />การป้องกัน<br />คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย<br />1. การดูแลตนเองที่ดีจะช่วยให้ไตเสื่อมสมรรถภาพได้<br />ช้าลง อาการเริ่มแรกที่บ่งชี้ว่าอาจเป็นโรคในระบบ<br />ทางเดินปัสสาวะ ได้แก่อาการบวมที่หน้า หรือเท้า<br />ปัสสาวะเป็นสีคล้ำ สีน้ำล้างเนื้อ หรือเป็นเลือด<br />ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะในเวลากลางคืนมากกว่า 3 ครั้ง<br />ปวดบริเวณหลัง ชายโครง ปวดหรือเวียนศรีษะ<br />2. นอกจากนี้ควรตรวจเช็คดูว่าเป็นความดันโลหิตสูง<br />เบาหวานและโรคเกาต์ หรือไม่ ถ้าเป็นต้องรักษาอย่าง<br />จริงจังและต่อเนื่อง<br />3. อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไต<br />3.1 อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังในระยะ<br />เริ่มแรกถึงระยะรุนแรง ( มีค่า Cr 2-8 )<br />อาหารจำกัดโปรตีน<br />คำว่าจำกัดในที่นี้หมายถึง ให้รับประทานแต่น้อย<br />แต่ไม่ได้ห้ามให้รับประทาน คือให้รับประทานได้<br />วันละ 20-25 gm นั่นคือเนื้อสัตว์ ~4 ชต . หรือ<br />หมูย่าง ~ 4 ไม้ ต้องใช้ควบคู่กับการรับประทาน<br />คู่เหมือนของกรดอะมิโนจำเป็น KA (ketoanalogue<br />Of essential amino acid)<br />หรือกรดอะมิโนจำเป็น EAA(essential amino acid)<br />อาหารที่มีโปรตีนสูง ได้แก่ เนื้อสัตว์ ( วัว หมู ปลา )<br />เครื่องในสัตว์ ไข่ นม ถั่ว<br />อาหารจำกัดโซเดียม<br />ใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการบวม ปัสสาวะน้อย หัวใจวาย<br />น้ำท่วมปอด หรือความดันโลหิตสูง<br />อาหารที่มีโซเดียมสูง ได้แก่ เกลือป่น เกลือเม็ด<br />น้ำปลา น้ำบูดู ซอสหอย อาหารดองเค็ม ดองเปรี้ยว<br />อาหารที่มีรสหวานและเค็มจัดเช่น ปลาหวาน<br />อาหารจำกัดโปตัสเซียม<br />อาหารที่มีโปตัสเซียมสูง เช่น เนื้อสัตว์<br />ผัก ได้แก่ หัวผักกาดสีแสด ผักชี ผักที่มีสีเขียวเข้ม<br />ผลไม้ ได้แก่กล้วย ส้ม แตงโม แตงหอม มะละกอ<br />ผลไม้แห้งทุกชนิด เช่น ลูกเกด ลูกพรุน<br />หากผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังขั้นรุนแรงต้องจำกัดปริมาณน้ำดื่ม<br />ปริมาณน้ำดื่มแต่ละวัน = ปริมาณปัสสาวะของเมื่อวาน +500ml<br />3.2 อาหารสำหรับผู้ป่วยเรื้อรังที่ฟอกเลือดด้วยเครื่อง<br />ไตเทียม<br />อาหารโปรตีนต่ำ 40gm/day ร่วมกับเสริม<br />กรดอะมิโนจำเป็น 9 ชนิด<br />พยายามใช้ไข่ขาวและปลาเป็นแหล่งโปรตีน<br />หลีกเลี่ยงเครื่องในสัตว์<br />งดอาหารเค็มจำกัดน้ำ<br />งดผลไม้ ยกเว้นเช้าวันฟอกเลือด<br />งดอาหารที่มีฟอสเฟตสูง เช่น เมล็ดพืช นมสด เนย<br />ไข่แดง<br />รับประทานวิตามินบีรวม ซี และกรดโฟลิค<br />