More Related Content
More from จุฑารัตน์ ใจบุญ
More from จุฑารัตน์ ใจบุญ (20)
ศุภชัย
- 1. รายงาน
เรื่ อง อินเทอร์ เน็ต
กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้ การงานอาชีพ และ เทคโนโลยี
จัดทาโดย
นาย ศุภชัย เพ็ญจันทร์ เลขที่ 15
ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4/4
เสนอ
อาจารย์ จุฑารัตน์ ใจบุญ
โรงเรี ยน รัษฎานุประดิษฐ์อนุสรณ์
- 2. คานา
รายงานฉบับนี้เป็ นส่ วนหนึ่งของรายวิชา การงานอาชีพ และ เทคโนโลยี ที่จดทาขึ้นเพื่อ
ั
หาความรู ้เพิมเติม เรื่ อง อินเตอร์ เน็ต เพื่อให้เป็ นการสร้างความรู ้แก่ตนเอง และเพื่อให้ความรู ้แก่
่
ผูอื่น หากรายงาน ฉบับนี้ ผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้
้
นาย ศุภชัย เพ็ญจันทร์
ผูจดทา
้ั
- 3. สารบัญ
เรื่ อง
หน้า
- ประวัติอินเทอร์เน็ต
1
- เครื่ องปลายทางสามเครื่ องและอาร์พา
1
- แพกเกตสวิตชิ ง
2
- อาร์ พาเน็ต
2
- ที่มา
5
-การประยุกต์ใช้อินเทอร์ เน็ต
5
-จานวนผูใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย
้
6
-อินเทอร์เน็ตแบนด์วท
ิ
6
-อ้ างอิง
7
- 4. อินเทอร์ เน็ต
ประวัติอนเทอร์ เน็ต เป็ นการศึกษาความเป็ นมาของอินเทอร์ เน็ต ความคิดเรื่ องเครื อข่ายคอมพิวเตอร์
ิ
เครื อข่ายเดียวที่สามารถให้ผใช้คอมพิวเตอร์ ต่างระบบกันสามารถสื่ อสารกันได้น้ นได้มีการพัฒนาผ่าน
ู้
ั
ขั้นตอนหลายขั้นตอนด้วยกัน การหลอมรวมกันของการพัฒนาเหล่านั้นได้นาไปสู่ เครื อข่ายของเครื อข่าย
ทั้งหลายที่รู้จกกันในชื่อว่า อินเทอร์ เน็ต การพัฒนาเหล่านั้นมีท้ งในแง่การพัฒนาเทคโนโลยี และการรวม
ั
ั
โครงสร้างพื้นฐานของเครื อข่ายและระบบโทรคมนาคมที่มีอยูเ่ ดิมเข้าด้วยกัน
ความคิดเรื่ องนี้ในครั้งแรก ๆ ปรากฏขึ้นในปลายคริ สต์ทศวรรษ 1950 หากแต่การนาแนวคิดเหล่านี้
ไปปฏิบติได้จริ งนั้นเริ่ มขึ้นในปลายคริ สต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 เมื่อถึงคริ สต์ทศวรรษ 1980เทคโนโลยี
ั
่
ซึ่ งนับได้วาเป็ นพื้นฐานของอินเทอร์ เน็ตสมัยใหม่น้ นได้เริ่ มแพร่ หลายออกไปทัวโลก ในคริ สต์ทศวรรษ
ั
่
1990 การมาถึงของเวิลด์ไวด์เว็บได้ทาให้การใช้อินเทอร์ เน็ตกลายเป็ นสิ่ งที่พบเห็นได้ทวไป
ั่
ก่อนอินเตอร์ เน้ต
ในคริ สต์ทศวรรษ 1950 ถึง 1960 ก่อนการแพร่ หลายของการเชื่ อมต่อระหว่างเครื อข่ายจนเป็ นอินเทอร์ เน็ต
ในปัจจุบน เครื อข่ายการสื่ อสารส่ วนมากยังคงมีขอจากัดเนื่ องด้วยธรรมชาติของตัวเครื อข่ายเอง ซึ่ งทาให้การ
ั
้
สื่ อสารสามารถกระทาได้ระหว่างสถานีในเครื อข่ายเดียวกันเท่านั้น ข่ายงานบางแห่งมีเกตเวย์หรื อบริ ดจ์ต่อ
ระหว่างกัน หากแต่เกตเวย์หรื อบริ ดจ์เหล่านั้นยังมีขอจากัดหรื อมิฉะนั้นก็สร้างขึ้นเพื่อใช้เพียงครั้งเดียว
้
ั
ั
เท่านั้น วิธีเชื่ อมต่อเครื อข่ายที่ใช้กนในขณะนั้นวิธีหนึ่งมีพ้ืนฐานจากวิธีที่ใช้กบคอมพิวเตอร์ เมนเฟรม ซึ่งคือ
่
่
การยินยอมให้เครื่ องปลายทาง (เทอร์ มินล) ที่อยูห่างไกลออกไปสามารถติดต่อกับเครื่ องคอมพิวเตอร์ ได้ผาน
ั
ั
ทางสายเช่า วิธีน้ ีใช้กนในคริ สต์ทศวรรษ 1950 โดยโครงการแรนด์ เพื่อสนับสนุนการติดต่อกันระหว่าง
่
นักวิจยที่อยูห่างไกลกัน ตัวอย่างเช่น เฮอร์เบิร์ต ไซมอน ในเมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนน์ซิลเวเนีย สามารถ
ั
่
ดาเนินงานวิจยในเรื่ องการพิสูจน์ทฤษฎีอตโนมัติหรื อปัญญาประดิษฐ์ ร่ วมกับเหล่านักวิจยซึ่ งอยูอีกฝั่งของ
ั
ั
ั
ทวีปในเมืองแซนทามอนิกา รัฐแคลิฟอร์เนียได้ ผ่านทางเครื่ องปลายทางและสายเช่า
เครื่องปลายทางสามเครื่องและอาร์ พา
เจ.ซี.อาร์. ลิกไลเดอร์ ซึ่ งเป็ นผูบุกเบิกในการเรี ยกร้องการพัฒนาเครื อข่ายระดับโลกคนหนึ่ง ได้เสนอ
้
ความคิดของเขาไว้ในบทความวิชาการชื่อ "Man-Computer Symbiosis" ตีพิมพ์เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ.
1960 ดังนี้
- 5. "A network of such [computers], connected to one another by wide-band communication lines"
which provided "the functions of present-day libraries together with anticipated advances in
information storage and retrieval and [other] symbiotic functions. " —เจ.ซี.อาร์. ลิกไลเดอร์ [1]
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1962 ลิกไลเดอร์ ได้รับการแต่งตั้งเป็ นหัวหน้าสานักงานประมวลผลข้อมูลของอาร์
พา หน่วยงานของกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริ กา และได้ต้ งกลุ่มอย่างไม่เป็ นทางการภายในดาร์ พาขึ้นกลุ่ม
ั
หนึ่งเพื่อวิจยทางคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ ได้มีการติดตั้งเครื่ องปลายทางขึ้นสามเครื่ อง เครื่ องหนึ่งติดตั้งที่ซิส
ั
เต็มดีเวลอปเมนต์คอร์ เปอเรชัน ในเมืองแซนทามอนิกา อีกเครื่ องหนึ่งสาหรับโครงการจีนีในมหาวิทยาลัย
แคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย ์ และอีกเครื่ องหนึ่งสาหรับโครงการชอปปิ งซึ่งใช้ระบบปฏิบติการมัลทิกส์ ในสถาบัน
ั
เทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ ทั้งสามเครื่ องนี้มีฐานะเป็ นส่ วนหนึ่งในบทบาทของสานักประมวลผลข้อมูลฯ
ความต้องการวิธีเชื่อมต่อกันระหว่างเครื อข่ายของลิกไลเดอร์ จะเห็นได้เป็ นรู ปธรรมจากปั ญหาทางเทคนิ ค
ของโครงการนี้
แพกเกตสวิตชิง
ปั ญหาหนึ่งในบรรดาปั ญหาการเชื่ อมต่อระหว่างเครื อข่ายคือการเชื่ อมต่อเครื อข่ายทางกายภาพที่
แตกต่างกันหลายเครื อข่ายเข้าด้วยกันเสมือนเป็ นเครื อข่ายเชิงตรรกเครื อข่ายเดียว ในคริ สต์ทศวรรษ
1960 ดอนัลด์ เดวีส์ (ห้องปฏิบติการฟิ สิ กส์แห่งชาติสหรัฐอเมริ กา) พอล บาแรน (แรนด์คอร์เปอเรชัน)
ั
และเลเนิร์ด ไคลน์ร็อก (เอ็มไอที) ได้ร่วมกันพัฒนาแนวคิดแพกเกตสวิตชิงและพัฒนาระบบตามแนวคิดนั้น
่
่
ขึ้น ความเชื่ อที่วาอินเทอร์ เน็ตถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถอยูรอดได้หลังการโจมตีโดยอาวุธนิวเคลียร์ น้ น มี
ั
รากฐานมากจากทฤษฎีที่แรนด์พฒนาขึ้นในช่วงแรก ๆ นี่เอง งานวิจยของบาแรนซึ่ งศึกษาการกระจาย
ั
ั
เครื อข่ายโดยไม่มีศูนย์กลางเพื่อหลีกเลี่ยงการความเสี ยหายจากการสู ้รบซึ่ งทาให้เครื อข่ายไม่สามารถใช้การ
ได้น้ น ได้นาไปสู่ การพัฒนาแพกเกตสวิตชิงในเวลาต่อมา[3]
ั
อาร์ พาเน็ต
เมื่อรอเบิร์ต เทเลอร์ ได้รับการเลื่อนตาแหน่งให้เป็ นหัวหน้าสานักงานประมวลผลข้อมูลของอาร์
พา เขาได้พยายามที่จะทาให้ความคิดของลิกลิเตอร์ ในเรื่ องระบบเครื อข่ายซึ่ งเชื่อมต่อกันเป็ นจริ งขึ้นมา เท
เลอร์ได้ขอตัวแลร์ รี รอเบิตส์ จากเอ็มไอที และตั้งโครงการเพื่อสร้างเครื อข่ายดังกล่าวขึ้น การเชื่ อมโยง
เครื อข่ายอาร์ พาเน็ตครั้งแรกเป็ นการเชื่ อมโยงกันระหว่างมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส และ
สถาบันวิจยสแตนฟอร์ด ในวันที่ 29 ตุลาคมค.ศ. 1969 เครื อข่ายได้เพิ่มเป็ นสี่ จุดในวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ.
ั
1969 โดยเพิ่มมหาวิทยาลัยยูทาห์และมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์ เนีย แซนทาบาร์บารา หลังจากนั้น โดยอาศัย
แนวคิดต่าง ๆ ที่ได้จากการพัฒนาอะโลฮาเน็ต อาร์พาเน็ตได้ถือกาเนิดขึ้นใน ค.ศ. 1972 และเติบโตขึ้นอย่าง
รวดเร็ ว ใน ค.ศ. 1981 จานวนโฮสต์ได้เพิ่มขึ้นเป็ น 213 โฮสต์ และมีโฮสต์ใหม่เพิ่มขึ้นประมาณทุก ๆ 20 วัน
- 6. อาร์ พาเน็ตได้กลายเป็ นแก่นทางเทคนิคของสิ่ งที่จะกลายเป็ นอินเทอร์ เน็ตในเวลาต่อมา และยังเป็ น
่
เครื่ องมือหลักอันหนึ่งในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้ในอินเทอร์ เน็ต การพัฒนาอาร์ พาเน็ตนั้นมีศูนย์กลางอยูที่
กระบวนการอาร์ เอฟซี ซึ่งมีไว้สาหรับการเสนอและกระจายเกณฑ์วธีและระบบอินเทอร์ เน็ต กระบวนการนี้
ิ
ยังคงใช้จนกระทังปั จจุบน อาร์ เอฟซี 1 ซึ่ งมีชื่อว่า "Host Software" เขียนโดยสตีฟ ครอกเกอร์ จาก
ั
่
มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส และตีพิมพ์เมื่อ 7 เมษายน ค.ศ. 1969 ปี แรก ๆ ของอาร์พาเน็ตได้ถูก
บันทึกไว้ในภาพยนตร์สารคดีปี 1972 เรื่ อง Computer Networks: The Heralds of Resource Sharing
ความร่ วมมือในระดับนานาชาติบนอาร์ พาเน็ตนั้นนับว่าเบาบาง ด้วยเหตุผลทางการเมืองหลายข้อ
นักวิจยในยุโรปนั้นจึงข้องเกี่ยวกับการพัฒนาเครื อข่าย X.25 มากกว่า ข้อยกเว้นที่ควรบันทึกไว้ได้แก่การเข้า
ั
ร่ วมของกลุ่มเครื่ องวัดแผ่นดินไหวนอร์ เวย์ ใน ค.ศ. 1972 ตามด้วยสวีเดนใน ค.ศ. 1973 โดยการเชื่อมโยง
ผ่านดาวเทียมที่สถานีภาคพื้นที่เมืองทานุม และยูนิเวอร์ซิตีคอลเลจลอนดอน
อนึ่ง อาร์พา (ARPA) เปลี่ยนชื่อเป็ นดาร์พา (DARPA) ใน ค.ศ. 1972 และมีการเปลี่ยนชื่อกลับไป
กลับมาอีกหลายครั้ง แต่อาร์ พาเน็ตยังคงใช้ชื่อเดิม
X.25
โดยอาศัยงานวิจยของอาร์พา สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ไอทีย) ได้พฒนามาตรฐาน
ั
ู
ั
เครื อข่ายแพกเกตสวิตชิงขึ้นในรู ปของ X.25 และมาตรฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อถึง ค.ศ. 1974 X.25 ได้
ก่อตั้งพื้นฐานสาหรับเครื อข่าย SERCnet ระหว่างสถาบันวิชาการและสถาบันวิจยต่าง ๆ ในสหราชอาณาจักร
ั
ขึ้น ซึ่ งในภายหลังได้กลายเป็ น JANET มาตรฐานขั้นต้นของไอทียเู กี่ยวกับ X.25 ได้รับการรับรองในเดือน
่
มีนาคม ค.ศ. 1976 โดยมาตรฐานดังกล่าวมีพ้ืนฐานอยูบนแนวคิดเรื่ องวงจรเสมือน
สานักงานไปรษณี ยสหราชอาณาจักร เวสเทิร์นยูเนียนอินเตอร์แนชันแนล และทิมเน็ตได้ร่วมมือกัน
์
สร้างเครื อข่ายแพกเกตสวิตชิ งระดับนานาชาติข้ ึนเป็ นครั้งแรก โดยใช้ชื่อว่า International Packet Switched
Service (IPSS) ใน ค.ศ. 1978 เครื อข่ายนี้เติบโตจากทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริ กาไปยังแคนาดา ฮ่องกง และ
ออสเตรเลียใน ค.ศ. 1981 เครื อข่ายนี้ได้กลายเป็ นโครงสร้างพื้นฐานของเครื อข่ายระดับโลกในคริ สต์
ทศวรรษ 1990
ต่างจากอาร์ พาเน็ต X.25 นั้นมีให้ใช้ทวไปเพื่อการใช้งานทางธุ รกิจด้วย X.25 ได้ถูกนาไปใช้ใน
ั่
เครื อข่ายสาธารณะเข้าถึงได้ (public access network) โดยการหมุนโทรศัพท์ในยุคแรก ๆ เช่นคอมพิวเซิร์ฟ
และทิมเน็ต ใน ค.ศ. 1979 คอมพิวเซิ ร์ฟเป็ นผูให้บริ การรายแรกที่ให้ผใช้คอมพิวเตอร์ ส่วนบุคคลสามารถใช้
้
ู้
ไปรษณี ยอิเล็กทรอนิกส์ได้ รวมทั้งมีบริ การสอบถามแก้ไขปั ญหาทางเทคนิคด้วย คอมพิวเซิ ร์ฟยังเป็ นราย
์
แรกที่ให้บริ การสนทนาแบบเรี ยลไทม์ดวยโปรแกรม CB Simulator นอกจากคอมพิวเซิร์ฟ ผูให้บริ การ
้
้
เครื อข่ายแบบหมุนโทรศัพท์รายอื่นมีอาทิ อเมริ กาออนไลน์ และโพรดิจี นอกจากนี้ยงมีเครื อข่ายกระดานข่าว
ั
- 7. อิเล็กทรอนิกส์ (บีบีเอส) อีกหลายเครื อข่าย เช่น ไฟโดเน็ต สาหรับไฟโดเน็ตนั้นเป็ นที่นิยมในหมู่ผใช้
ู้
คอมพิวเตอร์เป็ นงานอดิเรก ซึ่งหลายคนในนั้นเป็ นแฮกเกอร์ และนักวิทยุสมัครเล่น
UUCP
ใน ค.ศ. 1979 นักศึกษามหาวิทยาลัยดุกสองคน ได้แก่ ทอม ทรัสคอตต์ และ จิม เอลลิส ได้เกิด
ความคิดที่จะใช้ภาษาเชลล์สคริ ปต์บอร์ นอย่างง่าย ๆ เพื่อส่ งข่าวและข้อความผ่านสายอนุกรมกับ
่
ั
มหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา ณ แชเพิลฮิลล์ ที่อยูใกล้กน หลังจากซอฟต์แวร์ ดงกล่าวได้เผยแพร่ สู่
ั
สาธารณะ ข่ายของโฮสต์ที่ใช้ UUCP ก็ได้ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ ว เครื อข่ายดังกล่าว ที่ต่อมาจะใช้ชื่อ
UUCPnet ยังได้สร้างเกตเวย์และการเชื่อมโยงระหว่างไฟโดเน็ตและโฮสต์บีบีเอสแบบหมุนโทรศัพท์หลาย
ๆ แห่งขึ้นด้วย เครื อข่าย UUCP ได้แพร่ หลายอย่างรวดเร็ วเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่ต่ากว่า และยังสามารถใช้
สายเช่าที่มีอยูเ่ ดิม ลิงก์ของ X.25 หรื อการเชื่ อมต่อของอาร์ พาเน็ตได้ดวย ใน ค.ศ. 1983 จานวนโฮสต์ UUCP
้
ได้เพิ่มขึ้นเป็ น 550 โฮสต์ และเพิ่มเป็ น 940 โฮสต์หรื อเกือบสองเท่าใน ค.ศ. 1984
TCP/IP
ได้มีความพยายามที่จะรวมวิธีติดต่อของเครื อข่ายต่าง ๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วเข้าด้วยกัน โดยรอเบิร์ต
อี. คาห์นจากดาร์พาและอาร์ พาเน็ตได้ขอตัววินต์ เซิร์ฟจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเพื่อทางานร่ วมกับเขา
เพื่อแก้ปัญหานี้ ใน ค.ศ. 1973 ทั้งสองได้พฒนาแนวทางแก้ไขขั้นมูลฐานขึ้น โดยในแนวทางนี้ ความแตกต่าง
ั
ระหว่างเกณฑ์วธีต่าง ๆ จะถูกซ่อนไว้โดยใช้เกณฑ์วธีระหว่างเครื อข่ายแบบใดแบบหนึ่งร่ วมกัน และแทนที่
ิ
ิ
ตัวเครื อข่ายจะรับผิดชอบเรื่ องความเชื่อถือได้ของข้อมูลอย่างในอาร์ พาเน็ต โฮสต์จะเป็ นผูรับผิดชอบแทน
้
เซิ ร์ฟยกความดีความชอบเกี่ยวกับงานสาคัญ ๆ ในการออกแบบเกณฑ์วธีน้ ีให้แก่ ฮิวเบิร์ต ซิมเมอร์แมน
ิ
, เชราร์ เลอลาน และลุย ปูแซง (ผูออกแบบเครื อข่าย CYCLADES) [7]
้
เมื่อบทบาทของตัวเครื อข่ายได้ถูกลดลงจนเหลือน้อยที่สุดแล้ว จึงเป็ นไปได้ที่จะเชื่อมเครื อข่ายใด ๆ
่
แทบทุกแบบเข้าด้วยกัน ไม่วาคุณลักษณะของเครื อข่ายนั้น ๆ จะเป็ นเช่นไร อันเป็ นการแก้ปัญหาขั้นต้นที่
คาห์นตั้งไว้ ดาร์พาได้เห็นชอบที่จะให้เงินทุนในการพัฒนาซอฟต์แวร์ตนแบบ และหลังจากการลงแรงเป็ น
้
เวลาหลายปี จึงได้มีการสาธิ ตเกตเวย์อย่างหยาบ ๆ เป็ นครั้งแรกระหว่างเครื อข่ายแพกเกตเรดิโอในซานฟราน
ซิสโกเบย์แอเรี ยกับอาร์พาเน็ต ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1977 ได้มีการสาธิ ตการเชื่อมต่อระหว่าง
เครื อข่ายสามแห่ง ซึ่ งได้แก่ อาร์ พาเน็ต, เครื อข่ายแพกเกตเรดิโอ และเครื อข่ายแอตแลนติกแพกเกตแซเทล
ไลต์ ซึ่ งทั้งหมดอุปถัมภ์โดยดาร์ พา ในส่ วนของเกณฑ์วธี เริ่ มต้นจากข้อกาหนดคุณลักษณะรุ่ นแรกของ TCP
ิ
ใน ค.ศ. 1974เกณฑ์วธี TCP/IP ได้ก่อตัวเป็ นรู ปร่ างซึ่ งใกล้เคียงกับรู ปแบบสุ ดท้ายในประมาณกลางปี ถึง
ิ
ปลายปี ค.ศ. 1978 มาตรฐานที่เกี่ยวข้องได้ตีพิมพ์เป็ นอาร์ เอฟซี 791, 792 และ 793 และได้ถูกนาไปใช้ ดาร์
พาได้อุปถัมภ์หรื อส่ งเสริ มการพัฒนาการนา TCP/IP ไปใช้จริ งในระบบปฏิบติการต่าง ๆ จากนั้นจึงได้
ั
กาหนดตารางเวลาในการโยกย้ายโฮสต์ทุกตัวในเครื อข่ายแพกเกตของตนไปใช้ TCP/IP ในวันที่ 1
- 8. มกราคม ค.ศ. 1983 เกณฑ์วธี TCP/IP ได้กลายเป็ นเกณฑ์วิธีเดียวที่ได้รับการรับรองบนอาร์พาเน็ต แทนที่
ิ
เกณฑ์วธี NCP ที่ใช้แต่เดิม[8]
ิ
ทีมา
่
อินเทอร์ เน็ตเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) จากการเกิดเครื อข่าย ARPANET (Advanced Research
Projects Agency NETwork) ซึ่ งเป็ นเครื อข่ายสานักงานโครงการวิจยชั้นสู งของกระทรวงกลาโหม ประเทศ
ั
สหรัฐอเมริ กา โดยมีวตถุประสงค์หลักของการสร้างเครื อข่ายคือ เพื่อให้คอมพิวเตอร์ สามารถเชื่อมต่อ และมี
ั
ั
ปฏิสัมพันธ์กนได้ เครื อข่าย ARPANET ถือเป็ นเครื อข่ายเริ่ มแรก ซึ่ งต่อมาได้ถูกพัฒนาให้เป็ นเครื อข่าย
อินเทอร์ เน็ตในปัจจุบน
ั
การประยุกต์ ใช้ อนเทอร์ เน็ต
ิ
การประยุกต์ใช้อินเทอร์ เน็ตในปั จจุบนทาได้หลากหลาย อาทิเช่น ไปรษณี ยอิเล็กทรอนิ กส์ หรื อ อีเมล
ั
์
(e-Mail) , สนทนา (Chat), อ่านหรื อแสดงความคิดเห็นในเว็บบอร์ ด, การติดตามข่าวสาร, การสื บค้นข้อมูล /
การค้นหาข้อมูล, การชม หรื อซื้ อสิ นค้าออนไลน์ , การดาวโหลด เกม เพลง ไฟล์ขอมูล ฯลฯ, การติดตาม
้
ข้อมูล ภาพยนตร์ รายการบันเทิงต่างๆ ออนไลน์, การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ออนไลน์, การเรี ยนรู้ออนไลน์ (e่
Learning), การประชุมทางไกลผ่านอินเทอร์ เน็ต (Video Conference), โทรศัพท์ผานอินเทอร์ เน็ต (VoIP),
การอับโหลดข้อมูล หรื อ อื่นๆ
แนวโน้มล่าสุ ดของการใช้อินเทอร์ เน็ตคือการใช้อินเทอร์ เน็ตเป็ นแหล่งพบปะสังสรรค์เพื่อสร้าง
เครื อข่ายสังคม ซึ่ งพบว่าปั จจุบนเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมดังกล่าวกาลังได้รับความนิยมอย่าง
ั
แพร่ หลายเช่น เฟซบุก ทวิตเตอร์ ไฮไฟฟ์ และการใช้เริ่ มมีการแพร่ ขยายเข้าไปสู่ การใช้อินเทอร์ เน็ตผ่าน
๊
โทรศัพท์มือถือ (Mobile Internet) มากขึ้น เนื่ องจากเทคโนโลยีปัจจุบนสนับสนุ นให้การเข้าถึงเครื อข่ายผ่าน
ั
โทรศัพท์มือถือทาได้ง่ายขึ้นมาก
ปั จจุบน จานวนผูใช้อินเทอร์ เน็ตทัวโลกโดยประมาณ 2.095 พันล้านคน หรื อ 30.2 % ของประชากร
ั
้
่
ทัวโลก (ข้อมูล ณ เดือน มีนาคม 2554) โดยเมื่อเปรี ยบเทียบในทวีปต่างๆ พบว่าทวีปที่มีผใช้อินเทอร์ เน็ตมาก
ู้
่
ที่สุดคือ เอเชีย โดยคิดเป็ น 44.0 % ของผูใช้อินเทอร์ เน็ตทั้งหมด และประเทศที่มีประชากรผูใช้อินเทอร์ เน็ต
้
้
มากที่สุดคือประเทศจีน คิดเป็ นจานวน 384 ล้านคน
หากเปรี ยบเทียบจานวนผูใช้อินเทอร์ เน็ตกับจานวนประชากรรวม พบว่าทวีปอเมริ กาเหนือมีสัดส่ วน
้
ผูใช้ต่อประชากรสู งที่สุดคือ 78.3 % รองลงมาได้แก่ ทวีปออสเตรเลีย 60.1 % และ ทวีปยุโรป คิดเป็ น
้
58.3 % ตามลาดับ
- 9. อินเทอร์ เน็ตในประเทศไทยเริ่ มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2530 โดยการเชื่ อมต่อมินิคอมพิวเตอร์ ของ
มหาวิทยาลัยสงขลานคริ นทร์ และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) ไปยังมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ประเทศ
ออสเตรเลีย แต่ในครั้งนั้นยังเป็ นการ เชื่ อมต่อโดยผ่านสายโทรศัพท์ ซึ่ งสามารถส่ งข้อมูลได้ชาและไม่เป็ น
้
การถาวร จนกระทังในปี พ.ศ. 2535 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ แห่งชาติ (NECTEC) ได้
่
ั
ทาการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ กบมหาวิทยาลัย 6 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สถาบันเทคโนโลยีแห่ง
เอเชีย (AIT) มหาวิทยาลัยสงขลานคริ นทร์ , ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ แห่งชาติ
(NECTEC), มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เข้าด้วยกันเรี ยกว่า "เครื อข่าย
ไทยสาร"
การให้บริ การอินเทอร์ เน็ตในประเทศไทยได้เริ่ มต้นขึ้นเป็ นครั้งแรกเมื่อ เดือน มีนาคม พ.ศ. 2538
โดยความร่ วมมือของรัฐวิสาหกิจ 3 แห่ง คือ การสื่ อสารแห่งประเทศไทย องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย
และสานักงานส่ งเสริ มวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยให้บริ การในนาม บริ ษท
ั
อินเทอร์ เน็ต ประเทศไทย (Internet Thailand) เป็ นผูให้บริ การอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิ ชย์รายแรกของประเทศ
้
ไทย [1]
จานวนผู้ใช้ อนเทอร์ เน็ตในประเทศไทย
ิ
จานวนผูใช้อินเทอร์ เน็ตในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้ ปี 2534 (30คน) ปี 2535 (200 คน) ปี
้
2536 (8,000 คน) ปี 2537 (23,000 คน) ... ข้อมูลล่าสุ ดของสานักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2551 จากจานวน
ประชากรอายุ 6 ปี ขึ้นไปประมาณ 59.97 ล้านคน พบว่า มีผใช้คอมพิวเตอร์ 16.99 ล้านคน คิดเป็ น ร้อยละ
ู้
28.2 และมีผใช้อินเทอร์เน็ต 10.96 ล้านคน คิดเป็ นร้อยละ 18.2 [2]
ู้
อินเทอร์ เน็ตแบนด์ วท
ิ
ปัจจุบน (มกราคม 2553) ประเทศไทยมีความกว้างช่องสัญญาณ (Internet Bandwidth)
ั
ภายในประเทศ 110 Gbps และระหว่างประเทศ 110 Gbps