บรรยากาศ
- 5. ภาพกับการมองเห็น
เซลล์รูปแท่ง (Rod Cell) เป็นเซลล์ที่ทาหน้าที่รับแสงสว่างให้ความรู้สึกเกี่ยวกับ
ความมืดความสว่าง
เซลล์รับแสงรูปกรวย(Cone cell) เป็นเซลล์ที่ทาให้เกิดความรู้สึกเกี่ยวกับสี
ประเภทของเซลล์รับแสงรูปกรวย มี 3 ชนิด ได้แก่
1) เซลล์รูปกรวยที่ไวต่อแสงสีน้าเงิน
2) เซลล์รูปกรวยที่ไวต่อแสงสีเขียว
3) เซลล์รูปกรวยที่ไวต่อแสงสีแดง
การเห็นสีของวัตถุ เมื่อแสงสีน้าเงิน สีแดง หรือสีเขียว สีใดสีหนึ่งมาเข้า
นัยน์ตา เซลล์รูปกรวยที่ไวต่อแสงสีนั้นจะได้รับการ กระตุ้น สัญญาณกระตุ้นนี้จะ
ถูกส่งผ่านประสาทตาไปสู่สมอง เพื่อแปลความหมายออกมาเป็นความรู้สึกและเห็น
เป็นสีของแสงนั้น ถ้าแสงที่เข้าสู่นัยน์ตาเป็นสีเหลือง เซลล์รูปกรวยที่ไวต่อแสงสี
แดงและสีเขียวจะได้รับการกระตุ้น ซึ่งการกระต้นจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ
ปริมาณแสงสีที่มาตกกระทบจอตา
- 6. ความผิดปรกติของดวงตา
การบอดสี (Color blindness) หมายถึง การเห็นสีที่ผิดไปจากความจริง
สาเหตุของการบอดสี ได้แก่ สาเหตุทางพันธุกรรม เซลล์รูปกรวยผิดปกติได้รับ
เชื้อโรค ได้รับการกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุ และการแพ้ยา
การบอดสีของคนไทย คนไทยบอดสีแดงเป็นอันดับหนึ่ง บอดสีเขียวเป็นอันดับ
สอง และบอดสีน้าเงินเป็นอันดับสุดท้าย หรืออาจบอดทั้งสีแดงและสีเขียวได้
การบอดสีชั่วคราว เกิดจากเซลล์รูปกรวยที่ไวต่อแสงสีได้รับการกระตุ้นนาน
เกินไป ทาให้เซลล์รูปกรวยที่ไวต่อแสงสีต่างๆ หยุดตอบสนองชั่วคราว ตัวอย่างเช่น
การจ้องมองสีแดงกลางแดดนานๆ แล้วกลับมามองสีขาวอย่างรวดเร็ว จะเห็นสีขาว
เป็นสีน้าเงินเขียว เนื่องจากเซลล์รูปกรวยที่ไวต่อแสงสีแดงหยุดตอบสนองชั่วคราว
ในการประกอบอาชีพบางอาชีพการบอดสีจะมีผลเสียต่อการประกอบอาชีพได้
เช่นอาชีพคนขับรถ แพทย์ นักบิน นักเคมี สถาปนิกตกแต่งภายใน นักออกแบบเสื้อ
และตารวจ เป็นต้น ดังนั้นในการสอบเข้าเรียนต่อในสาขาดังกล่าว จึงมักจะมีการ
ตรวจการบอดสีด้วย
- 7. คนสายตาปกติมองดูวัตถุโดยไม่ต้องเพ่ง จะมองเห็นวัตถุได้ชัดในระยะที่ใกล้สุดประมาณ25 เซนติเมตร
และระยะไกลสุดที่สามารถเห็นได้ชัด คือระยะอนันต์ การมองท้องฟ้ าไกลๆ เรารู้สึกสบายตา
เนื่องจากกล้ามเนื้อตาได้พักไม่ต้องทางาน เพื่อปรับเลนส์ตาเหมือนขณะที่มองวัตถุในระยะใกล้
• คนสายตาสั้น(Short sight) คือ คนที่มองวัตถุได้ชัดเจนในระยะใกล้กว่า 25 เซนติเมตร
สาเหตุของสายตาสั้น เกิดเนื่องจาก
1. กระบอกตายาวเกินไป ทาให้ภาพที่ไปตกจะตกก่อนถึงเรตินา (จอตา)
2. เลนส์ตานูนเกินไปหรือกระจกตาโค้งมากเกินไป ทาให้ภาพของวัตถุที่ไปตกจะตกก่อนถึงเรตินา
(จอตา)
วิธีแก้คนสายตาสั้น ใช้แว่นที่ทาด้วยเลนส์เว้า
• คนสายตายาว (Long sight) คือ คนที่มองวัตถุได้ชัดเจนในระยะไกลกว่า 25 เซนติเมตร
สาเหตุของสายตายาว เกิดเนื่องจาก
1. กระบอกตาสั้นเกินไป ทาให้ภาพที่ไปตกจะตกเลยเรตินา (จอตา)
2. เลนส์ตาแฟบเกินไปหรือกระจกตาโค้งน้อยเกินไป ทาให้ภาพของวัตถุที่ไปตกจะตกเลยเรตินา
(จอตา) ออกไป
วิธีแก้คนสายตายาว ใช้แว่นที่ทาด้วยเลนส์นูน
- 8. สายตาของคนสูงอายุ มองระยะใกล้ชัดที่ระยะมากกว่า 25 เซนติเมตรมองไกล
ไม่ถึงระยะอนันต์
แว่นสาหรับคนสูงอายุ จะใช้แว่นที่ใช้ดูได้ทั้งระยะใกล้และระยะไกลซึ่ง
ประกอบด้วยเลนส์สองชนิดที่มีความยาวโฟกัสต่างกัน คือแว่นที่ทาด้วยเลนส์
ชนิดไบโฟคัสเลนส์ (Bifocal lens)
ไบโฟคัสเลนว์ หมายถึงเลนส์ที่มีความยาวโฟกัส 2 ชนิดประกอบกัน ใช้
สาหรับดูวัตถุในระยะใกล้และระยะไกล
• สายตาเอียง (Astigmatism) เกิดจากความโค้งของกระจกตาหรือเลนส์
ไม่เป็นผิวของทรงกลม ทาให้มองเห็นวัตถุชัดเพียงแนวเดียว ซึ่งอาจจะ
เห็นชัดในแนวดิ่งแต่เห็นไม่ชัดในแนวระดับ หรือเห็นชัดในแนวระดับแต่เห็น
ไม่ชัดในแนวดิ่ง
วิธีทดสอบสายตาเอียง ใช้มือปิดตาข้างหนึ่งแล้วมองรูป โดยทาทีละข้าง
ถ้าเห็นเส้นที่อยู่ระหว่างแนวระดับกับแนวดิ่งเป็นสีดาชัดเท่ากัน แสดงว่า
สายตาปกติ ถ้าเห็นเป็นสีเทาความเข้มไม่เท่ากันแสดงว่าสายตาเอียง
วิธีแก้สายตาเอียง ใช้แว่นที่ทาด้วยเลนส์กาบกล้วยชนิดเว้าและชนิดนูน
- 9. ภาพติดตา
• การเห็นภาพติดตา (Persistence of vision)หมายถึง ความรู้สึกในการเห็น
ภาพค้างอยู่ในสมองได้ชั่วขณะทั้งๆ ที่ไม่มีภาพของวัตถุนั้นอยู่บนจอภาพแล้ว
ระยะเวลาในการเห็นภาพติดตา คนปกติมีระยะเวลาในการเห็นภาพติดตา
ประมาณ 1/15-1/10 วินาที
ประโยชน์ของการเห็นภาพติดตา ใช้ในการถ่ายภาพยนตร์ ซึ่งปกติจะถ่าย
ภาพยนตร์ 24 ภาพต่อวินาที หรือใช้เวลา 1/24 วินาทีในการเห็นภาพ 1 ภาพ การ
เห็นภาพยนตร์เป็นเคลื่อนไหว เนื่องจากนัยน์ตาของคนเรานั้นเมื่อเห็นภาพแรกแล้ว
ภาพแรกจะยังติดตาอยู่ต่อไปอีก 1/15-1/10 วินาที เมื่อภาพแรกยังไม่ทันเลือนหายก็
จะเห็นภาพต่อไปเช่นนี้เรื่อยๆ จึงเห็นภาพเป็นภาพเคลื่อนไหวติดต่อกันไป
ถ้าต้องการให้เห็นภาพเคลื่อนไหวช้า ต้องฉายด้วยอัตราเร็วที่ช้ากว่าการถ่าย
ภาพยนตร์ หรือถ่ายภาพยนตร์ด้วยอัตราเร็วกว่าการฉายภาพยนตร์
ถ้าต้องการให้เห็นภาพเคลื่อนไหวเร็ว ต้องฉายด้วยอัตราเร็วที่เร็วกว่าการถ่าย
ภาพยนตร์ หรือถ่ายภาพยนตร์ด้วยอัตราเร็วที่ช้ากว่าการฉายภาพยนตร์
- 10. การเห็นภาพลวงตา
• การเห็นภาพลวงตา หมายถึง การเห็นภาพที่ปรากฎแก่สายตาแล้วให้
ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากความเป็นจริงของภาพ เช่น มีความรู้สึกว่า
เห็นภาพหนึ่งมีขนาดใหญ่กว่าอีกภาพหนึ่ง ทั้งๆ ที่ภาพทั้งสองขนาด
เท่ากัน เป็นต้น ภาพลวงตาเกิดมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน ดังนี้
1. เกิดจากการมองภาพด้วยนัยน์ตาสองตาพร้อมกัน เช่น เราใช้
นิ้วชี้ 2 นิ้วชี้เข้าหากันโดยห่างกันระยะหนึ่ง และห่างจากเลนส์ตา
ประมาณ 25 เซนติเมตร ให้นัยน์ตาทั้งสองมองปลายนิ้วชี้และค่อยๆ
เลื่อนปลายนิ้วชี้เข้าหากัน เราจะมองเห็นเหมือนชิ้นส่วนของนิ้วมาอยู่
ระหว่างปลายนิ้วทั้งสอง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะนัยน์ตาจะรายงานสิ่งที่
เห็นไปยังสมอง สมองจะรวบรวมข้อมูลจากที่นัยน์ตาทั้งสองเห็น ทา
ให้เกิดการมองเห็นผิดเพี้ยนไป
- 11. 2. เกิดจากการเคลื่อนไหวของนัยน์ตาในแนวดิ่งและแนวราบที่ไม่
เท่ากัน เช่น เรามองเห็นเส้นตรงในแนวดิ่งยาวกว่าในแนวราบ
การเพิ่มเส้นสั้นๆ ลงบนเส้นขนาน ทาให้มองเห็นว่าเส้นเหล่านั้น
ไม่ได้ขนานกัน เป็นต้น
3. เกิดจากสมบัติของแสง ได้แก่ การสะท้อนและการหักเห
ของแสง เช่น การเกิดปรากฏการณ์มิราจ การมองเห็นปลาในอ่าง
น้ามีขนาดใหญ่ขึ้น เป็นต้น
4. เกิดจากสิ่งแวดล้อม เช่น วงกลมที่เติมเส้นด้านในวงกลม
กับวงกลมที่เติมเส้นด้านนอก จะมองดูว่าวงกลมที่เติมเส้นด้านใน
จะมีขนาดเล็กกว่าวงกลมที่เติมเส้นด้านนอก เป็นต้น
- 12. การใช้ประโยชน์จากภาพลวงตา
• มนุษย์สามารถนาหลักการเกิดภาพลวงตามาใช้ประโยชน์ได้หลายทางดังนี้
1. ใช้ในการแต่งกายเพื่ออาพรางทรวดทรงที่แท้จริง เช่น คนเตี้ยควรใส่
เสื้อลายตั้ง คนสูงควรใส่เสื้อลายขวาง คนอ้วนควรใส่เสื้อผ้าสีเข้มลายตั้ง คน
ผอมควรใส่เสื้อผ้าสีอ่อนและควรเป็นลายแนวนอน เป็นต้น
2. ใช้ในการสร้างและตกแต่งอาคารบ้านเรือน เช่น ห้องแคบๆ ทาด้วยสี
อ่อนจะทาให้รู้สึกกว้างขึ้นกว่าเดิม ชาวกรีกนาไปใช้สร้างวิหาร เป็นต้น
3. ใช้ในการพรางตาเพื่อให้รอดพ้นจากศัตรู เช่น สัตว์ป่าบางชนิดมี
ลวดลายบนตัวคล้ายใบไม้ สัตว์ในทะเลทรายมีสีน้าตาลเหมือนสีของทราย
ทหารแต่งเครื่องแบบที่กลมกลืนกับป่า เป็นต้น
4. ใช้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนที่มีอาการเคลื่อนไหวต่างกันเพียงเล็กน้อย
ต่อเนื่องกัน เมื่อนามาฉายให้เวลาบนจอของแต่ละภาพน้อยกว่าหรือเท่ากับ
1/10 วินาที ภาพที่ฉายออกมาจะมีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีลักษณะ
เช่นเดียวกับการถ่ายทาภาพยนตร์ธรรมดา