SlideShare a Scribd company logo
1 of 27
วันสำคัญทำงพระพุทธศำสนำ
วันสำคัญในพระพุทธศำสนำเป็นวันที่มีเหตุกำรณ์ที่สำคัญอันเนื่องด้วยพระรัตนตรัยคือพระพุทธเจ้ำ
พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ำและพระสงฆ์สำวกของพระพุทธเจ้ำเหตุกำรณ์ที่สำคัญดังกล่ำว
เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่พุทธศำสนิกชนทุกหมู่เหล่ำคือบริษัทสี่อันได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบำสกและอุบำสิกำ
ให้น้อมรำลึกถึงคุณของพระรัตนตรัยในหลักที่สำคัญเพื่อนำไปประพฤติปฏิบัติเพื่อจรรโลงให้พระพุทธศำสนำดำรงคงอยู่สถิตสถำพร
เป็นคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ตนเองและแก่สัตว์โลกทั้งปวงซึ่งมิใช่จำกัดอยู่เพียงมนุษยชำติเท่ำนั้นวันสำคัญในพระพุทธศำสนำ
ตำมลำดับควำมสำคัญและตำมลำดับเวลำที่เกิดขึ้นคือวันวิสำขบูชำวันอำสำฬหบูชำวันมำฆบูชำวันเข้ำพรรษำและออกพรรษำ
วันวิสาขบูชา
ต ร ง กั บวั น ขึ้น ๑ ๕ค่ำ เ ดื อ น ๖
ควำมหมำยคำว่ำ"วิสำขบูชำ"หมำยถึงกำรบูชำในวันเพ็ญเดือน ๖วิสำขบูชำย่อมำจำก"วิสำขปุรณมีบูชำ"แปลว่ำ"
กำรบูชำในวันเพ็ญเดือนวิสำขะ"ถ้ำปีใดมีอธิกมำสคือมีเดือน ๘สองหน ก็เลื่อนไปเป็นกลำงเดือน๗
ควำมสำคัญวันวิสำขบูชำเป็นวันสำคัญยิ่งทำงพระพุทธศำสนำเพรำะเป็นวันที่พระพุทธเจ้ำประสูติคือเกิดได้ตรัสรู้ คือสำเร็จ
ได้ปรินิพพำนคือดับ เกิดขึ้นตรงกันทั้ง๓ครำวคือ
๑.เมื่อเจ้ำชำยสิทธัตถะประสูติที่พระรำชอุทยำนลุมพินีวันระหว่ำงกรุงกบิลพัสดุ์กับเทวทหะเมื่อเช้ำวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ค่ำ เดือน
๖ ปีจอ ก่อนพุทธศักรำช๘๐ ปีพระพุทธเจ้ำประสูติณสวนลุมพินีวันเมื่อวันเพ็ญเดือน6ตรงกับวันศุกร์ขึ้น15ค่ำ ปีจอ
ก่อนพุทธศักรำช80ปี เมื่อพระนำงสิริมหำมำยำพระมเหสีของพระเจ้ำสุทโธทนะแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ทรงพระครรภ์แก่จวนจะประสูติ
พระนำงได้รับพระบรมรำชำนุญำตจำกพระเจ้ำสุทโธทนะให้แปรพระรำชฐำนไปประทับณกรุงเทวทหะ
ซึ่งเป็นพระนครของพระรำชบิดำของพระนำงเพื่อประสูติในตระกูลของพระนำงตำมประเพณีนิยมในสมัยนั้น
ขณะเสด็จพักผ่อนพระอิริยำบถใต้ต้นสำละณสวนลุมพินีวันปัจจุบันคือตำบลรุมมินเดแขวงเปชวำร์ ประเทศเนปำล
พระนำงก็ได้ประสูติพระโอรสณใต้ต้นสำละนั้นพระกุมำรประสูติได้ 5วันก็ได้รับกำรถวำยพระนำมว่ำ"สิทธัตถะ"เมื่อพระองค์
มีพระชนมำยุได้ 29พรรษำได้ออกบวชจนบรรลุอนุตตรสัมมำสัมโพธิญำณสำเร็จเป็นพระอรหันต์สัมมำสัมพุทธเจ้ำ
จึงถือว่ำวันนี้เป็นวันสำคัญทำงพระพุทธศำสนำ
๒. เมื่อเจ้ำชำยสิทธัตถะตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้ำเมื่อพระชนมำยุ๓๕พรรษำณใต้ร่มไม้ศรีมหำโพธิ์ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรำ
๒
ตำบลอุรุเวลำเสนำนิคมในตอนเช้ำมืดวันพุธขึ้น๑๕ค่ำ เดือน ๖ ปีระกำก่อนพุทธศักรำช๔๕ปี หลังจำกออกผนวชได้ ๖ปี
ปัจจุบันสถำนที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่ำ พุทธคยำเป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยำแห่งรัฐพิหำรของอินเดีย
วันที่พระพุทธเจ้ำตรัสรู้ อนุตตรสัมโพธิญำณณร่มพระศรีมหำโพธิบัลลังก์ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรำตำบลอุรุเวลำเสนำนิคม
เมื่อวันเพ็ญเดือน6 ก่อนพุทธศักรำช45ปี
กำรตรัสอริยสัจสี่คือของจริงอันประเสริฐ4ประกำรของพระพุทธเจ้ำเป็นกำรตรัสรู้อันยอดเยี่ยมไม่มีผู้เสมอเหมือน
วันตรัสของพระพุทธเจ้ำจึงจัดเป็นวันสำคัญเพรำะเป็นวันที่ให้เกิดมีพระพุทธเจ้ำขึ้นในโลกชำวพุทธทั่วไปจึงเรียกวันวิสำขบูชำว่ำ
“วันพระพุทธเจ้ำ”อันมีประวัติว่ำพระมหำบุรุษทรงบำเพ็ญเพียรต่อไปที่ใต้ต้นพระศรีมหำโพธิ์นั้น
ทรงเริ่มบำเพ็ญสมำธิให้เกิดในพระทัยเรียกว่ำกำรเข้ำ"ฌำน"เพื่อให้บรรลุ "ญำณ"จนเวลำผ่ำนไปจนถึง
ยำมต้น: ทรงบรรลุ"ปุพเพนิวำสำนุติญำณ"คือทรงระลึกชำติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่น
ยำมสอง: ทรงบรรลุ"จุตูปปำตญำณ"คือกำรรู้แจ้งกำรเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลำย
ยำมสำม: ทรงบรรลุ"อำสวักขญำณ"คือรู้วิธีกำจัดกิเลสด้วยอริยสัจสี่(ทุกข์สมุทัยนิโรธมรรค)
ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำในคืนวันเพ็ญเดือน6ซึ่งขณะนั้น พระพุทธองค์มีพระชนมำยุได้ 35พรรษำ
๓. หลังจำกตรัสรู้แล้วได้ประกำศพระศำสนำและโปรดเวไนยสัตว์ ๔๕ปี พระชนมำยุได้ ๘๐พรรษำก็เสด็จดับขันธปรินิพพำน
เมื่อวันอังคำรขึ้น ๑๕ค่ำเดือน ๖ ปีมะเส็ง ณสำลวโนทยำนของมัลลกษัตริย์เมืองกุสินำรำแคว้นมัลละ(ปัจจุบันอยู่ในเมือง
กุสีนคระ)แคว้นอุตตรประเทศประเทศอินเดีย
วันปรินิพพำนของพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำณร่มไม้รัง(ต้นสำละ)คู่ ในสำลวโนทยำนของมัลลกษัตริย์ใกล้เมืองกุสินำรำ
เมื่อวันเพ็ญเดือน6 ก่อนพุทธศักรำช1ปี วันที่พระพุทธเจ้ำเสด็จเข้ำสู่ปรินิพพำน(ดับสังขำรไม่กลับมำเกิดสร้ำงชำติ
สร้ำงภพอีกต่อไป)กำรปรินิพพำนของพระพุทธเจ้ำ
ก็ถือเป็นวันสำคัญของชำวพุทธทั่วโลกเพรำะชำวพุทธทั่วโลกได้สูญเสียดวงประทีปของโลก
เป็นกำรสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่และครั้งสำคัญชำวพุทธทั่วไปมีควำมเศร้ำสลดเสียใจและอำลัยสุดจะพรรณนำ
อันมีประวัติว่ำเมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และแสดงธรรมมำเป็นเวลำนำนถึง45ปี ซึ่งมีพระชนมำยุได้ 80พรรษำ
ได้ประทับจำพรรษำณเวฬุคำมใกล้เมืองเวสำลีแคว้นวัชชีในระหว่ำงนั้นทรงประชวรอย่ำงหนักครั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือน 6
พระพุทธองค์กับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลำยก็ไปรับภัตตำหำรบิณฑบำตที่บ้ำนนำยจุนทะตำมคำกรำบทูลนิมนต์
พระองค์เสวยสุกรมัททวะที่นำยจุนทะตั้งใจทำถวำยก็เกิดอำพำธลงแต่ทรงอดกลั้นมุ่งเสด็จไปยังเมืองกุสินำรำประทับณป่ำสำละ
เพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพำนในรำตรีนั้นได้มีปริพำชกผู้หนึ่งชื่อสุภัททะขอเข้ำเฝ้ำและได้อุปสมบทเป็นพระพุทธสำวกองค์สุดท้ำย
เมื่อถึงยำมสุดท้ำยของคืนนั้นพระพุทธองค์ก็ทรงประทำนปัจฉิมโอวำทว่ำ
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลำยอันว่ำสังขำรทั้งหลำยย่อมมีควำมเสื่อมสลำยไปเป็นธรรมดำ
ท่ำนทั้งหลำยจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่นให้บริบูรณ์ด้วยควำมไม่ประมำทเถิด"
หลังจำกนั้นก็เสด็จเข้ำดับขันธ์ปรินิพพำนในรำตรีเพ็ญเดือน6นั้น
วันวิสำขบูชำจึงนับว่ำเป็นวันที่มีควำมสำคัญสำหรับพุทธศำสนิกชนทุกคนเป็นวันที่มีกำรทำพิธีพุทธบูชำ
เพื่อเป็นกำรน้อมรำลึกถึงพระคุณของพระองค์ที่มีต่อปวงมนุษย์และสรรพสัตว์อันหำที่สุดมิได้
กำรประกอบพิธีในวันวิสำขบูชำจุดมุ่งหมำยในกำรประกอบพิธีในวันวิสำขบูชำเพื่อรำลึกถึงพระวิสุทธิคุณพระปัญญำคุณ
และพระมหำกรุณำธิคุณของพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำที่มีต่อมวลมนุษย์และสรรพสัตว์
อีกทั้งเพื่อเป็นกำรรำลึกถึงเหตุกำรณ์อันน่ำอัศจรรย์ทั้ง3ประกำรที่มำบังเกิดในวันเดียวกัน
และนำหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์มำเป็นแนวทำงในกำรประพฤติปฏิบัติ นับว่ำเป็นเรื่องที่น่ำอัศจรรย์ยิ่ง
ที่เหตุกำรณ์ทั้ง๓เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำซึ่งมีช่วงระยะเวลำห่ำงกันนับเวลำหลำยสิบปี
๓
บังเอิญเกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือน๖ดังนั้นเมื่อถึงวันสำคัญเช่นนี้ชำวพุทธทั้งคฤหัสถ์
และบรรพชิตได้พร้อมใจกันประกอบพิธีบูชำพระพุทธองค์เป็นกำรพิเศษเพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณำธิคุณพระปัญญำธิคุณ
และพระบริสุทธิคุณของพระองค์ท่ำนผู้เป็นดวงประทีปของโลก
ประวัติความเป็นมาของวันวิสาขบูชาในประเทศไทย
วันวิสำขบูชำนี้ปรำกฏตำมหลักฐำนว่ำได้มีมำตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นรำชธำนีซึ่งสันนิษฐำนว่ำคงจะได้แบบอย่ำงมำจำกลังกำ
กล่ำวคือเมื่อประมำณพ.ศ. ๔๒๐ พระเจ้ำภำติกุรำชกษัตริย์แห่งกรุงลังกำได้ประกอบพิธีวิสำขบูชำอย่ำงมโหฬำร
เพื่อถวำยเป็นพุทธบูชำกษัตริย์ลังกำในรัชกำลต่อๆ มำก็ทรงดำเนินรอยตำมแม้ปัจจุบันก็ยังถือปฏิบัติอยู่
สมัยสุโขทัยนั้นประเทศไทยกับประเทศลังกำมีควำมสัมพันธ์ด้ำนพระพุทธศำสนำใกล้ชิดกันมำกเพรำะพระสงฆ์ชำวลังกำ
ได้เดินทำงเข้ำมำเผยแพร่พระพุทธศำสนำและเชื่อว่ำได้นำกำรประกอบพิธีวิสำขบูชำมำปฏิบัติในประเทศไทยด้วย
ในหนังสือนำงนพมำศได้กล่ำวบรรยำกำศกำรประกอบพิธีวิสำขบูชำสมัยสุโขทัยไว้ พอสรุปใจควำมได้ว่ำ"เมื่อถึงวันวิสำขบูชำ
พระเจ้ำแผ่นดินข้ำรำชบริพำรทั้งฝ่ำยหน้ำและฝ่ำยในตลอดทั้งประชำชนชำวสุโขทัยทั่วทุกหมู่บ้ำนทุกตำบล
ต่ำงช่วยกันทำควำมสะอำดประดับตกแต่งพระนครสุโขทัยเป็นกำรพิเศษด้วยดอกไม้ของหอม
จุดประทีปโคมไฟแลดูสว่ำงไสวไปทั่วพระนครเป็นกำรอุทิศบูชำพระรัตนตรัยเป็นเวลำ ๓วัน ๓คืน พระมหำกษัตริย์
และบรมวงศำนุวงศ์ก็ทรงศีลและทรงบำเพ็ญพระรำชกุศลต่ำงๆครั้นตกเวลำเย็นก็เสด็จพระรำชดำเนิน
พร้อมด้วยพระบรมวงศำนุวงศ์และนำงสนองพระโอษฐ์ตลอดจนข้ำรำชกำรทั้งฝ่ำยหน้ำและฝ่ำยในไปยังพระอำรำมหลวง
เพื่อทรงเวียนเทียนรอบพระประธำน
ส่วนชำวสุโขทัยชวนกันรักษำศีลฟังธรรมเทศนำถวำยสลำกภัตถวำยสังฆทำนถวำยอำหำรบิณฑบำตแด่พระภิกษุ
สำมเณรบริจำคทรัพย์แจกเป็นทำนแก่คนยำกจนคนกำพร้ำคนอนำถำคนแก่ คนพิกำรบำงพวกก็ชวนกันสละทรัพย์ปล่อยสัตว์ ๔
เท้ำ ๒เท้ำ และเต่ำปลำเพื่อชีวิตสัตว์ให้เป็นอิสระโดยเชื่อว่ำจะทำให้คนอำยุยืนยำวต่อไป"
ในสมัยอยุธยำสมัยธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นด้วยอำนำจอิทธิพลของศำสนำพรำหมณ์ เข้ำครอบงำประชำชนคนไทย
และมีอิทธิพลสูงกว่ำอำนำจของพระพุทธศำสนำจึงไม่ปรำกฎหลักฐำนว่ำได้มีกำรประกอบพิธีบูชำในวันวิสำขบูชำ
จนมำถึงรัชสมัยพระบำทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้ำนภำลัยรัชกำลที่ ๒แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ.๒๓๖๐) ทรงดำริกับ
สมเด็จพระสังฆรำช(มี)สำนักวัดรำชบูรณะมีพระรำชประสงค์จะให้ฟื้นฟูกำรประกอบพระรำชพิธีวันวิสำขบูชำขึ้นใหม่โดย
สมเด็จพระสังฆรำชถวำยพระพรให้ทรงทำขึ้นเป็นครั้งแรกในวันขึ้น ๑๔ค่ำ ๑๕ค่ำและวันแรม๑ ค่ำ เดือน ๖ พ.ศ. ๒๓๖๐
และให้จัดทำตำมแบบอย่ำงประเพณีเดิมทุกประกำรเพื่อมีพระประสงค์ให้ประชำชนประกอบกำรบุญกำรกุศล
เป็นหนทำงเจริญอำยุและอยู่เญ็นเป็นสุขปรำศจำกทุกข์โศกโรคภัยและอุปัทวันตรำยต่ำงๆโดยทั่วหน้ำกัน
ฉะนั้นกำรประกอบพิธีในวันวิสำขบูชำในประเทศไทยจึงได้รื้อฟื้นให้มีขึ้นอีกครั้งหนึ่งในรัชสมัย
พระบำทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้ำนภำลัยรัชกำลที่๒และถือปฏิบัติมำจวบจนกระทั่งปัจจุบัน
กำรจัดงำนเฉลิมฉลองในวันวิสำขบูชำที่ยิ่งใหญ่กว่ำทุกยุคทุกสมัยคงได้แก่กำรจัดงำนเฉลิมฉลองวันวิสำขบูชำพ.ศ.๒๕๐๐
ซึ่งทำงรำชกำรเรียกว่ำงำน"ฉลอง ๒๕พุทธศตวรรษ"ตั้งแต่วันที่๑๒ถึง ๑๘พฤษภำคมรวม ๗วัน
ได้จัดงำนส่วนใหญ่ขึ้นที่ท้องสนำมหลวงส่วนสถำนที่รำชกำรและวัดอำรำมต่ำงๆประดับธงทิวและโคมไฟสว่ำงไสวไปทั่วพระ
รำชอำณำจักรประชำชนถือศีล๕หรือศีล ๘ตำมศรัทธำตลอดเวลำ๗วัน มีกำรอุปสมบทพระภิกษุสงฆ์รวม๒,๕๐๐รูปประชำชน
งดกำรฆ่ำสัตว์และงดกำรดื่มสุรำตั้งแต่วันที่๑๒ถึง ๑๔พฤษภำคมรวม๓ วัน มีกำรก่อสร้ำงพุทธมณฑลจัดภัตตำหำร
เลี้ยงพระภิกษุสงฆ์วันละ๒,๕๐๐รูปตั้งโรงทำนเลี้ยงอำหำรแก่ประชำชนวันละ ๒๐๐,๐๐๐คนเป็นเวลำ๓วัน ออกกฎหมำย
สงวนสัตว์ป่ำในบริเวณนั้นรวมถึงกำรฆ่ำสัตว์และจับสัตว์ในบริเวณวัดและหน้ำวัดด้วยและได้มีกำรปฏิบัติธรรมอันยิ่งใหญ่
อย่ำงพร้อมเพรียงกันเป็นกรณีพิเศษในวันวิสำขบูชำปีนั้นด้วย
๔
ห ลั ก ธ ร ร ม สา คั ญ ที่ ค ว ร นา ม า ป ฏิ บั ติ
๑.ค ว ำม ก ตั ญ ญูคือควำมรู้อุปกำรคุณที่มีผู้ทำไว่ก่อนเป็นคุณธรรมคู่กับควำมกตเวทีคือ
กำรตอบแทนอุปกำรคุณที่ผู้อื่นทำไว้นั้น
• บิดำมำรดำมีอุปกำรคุณแก่ลูกในฐำนะผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูจนเติบโตให้กำรศึกษำอบรมสั่งสอนให้เว้นจำกควำมชั่ว
มั่นคงในกำรทำควำมดีเมื่อถึงครำวมีคู่ครองได้จัดหำคู่ครองที่เหมำะสมให้ และมอบทรัพย์สมบัติให้ไว้เป็นมรดก
• ลูกเมื่อรู้อุปกำระคุณที่บิดำมำรดำทำไว้ ย่อมตอบแทนด้วยกำรประพฤติตัวดีสร้ำงชื่อเสียงให้ แก่วงศ์ตระกูลเลี้ยงดูท่ำน
และช่วยทำงำนของท่ำนและเมื่อท่ำนล่วงลับไปแล้วก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่ำน
• ครูอำจำรย์มีอุปกำรคุณแก่ศิษย์ในฐำนะเป็นผู้ประสำทควำมรู้ให้ ฝึกฝนแนะนำให้เป็นคนดี
สอนศิลปวิทยำให้อย่ำงไม่ปิดบังยกย่องให้ปรำกฎแก่คนอื่นและช่วยคุ้มครองให้ศิษย์ทั้งหลำย
• ศิษย์เมื่อรู้อุปกำรคุณที่ครูอำจำรย์ทำไว้ ย่อมตอบแทนด้วยกำรตั้งใจเรียนให้เกียรติและให้ควำมเคำรไม่ล่วงละเมิดโอวำทของครู
• ควำมกตัญญูและควำมกตเวทีนี้ถือว่ำเป็นเครื่องหมำยของคนดีส่งผลให้ครอบครัวและสังคมมีควำมสุขได้เพรำะ
บิดำมำรดำจะรู้จักหน้ำที่ของตนเองด้วยกำรทำอุปกำรคุณให้ก่อนและลูกก็จะรู้จักหน้ำที่ของตนเองด้วยกำรทำดีตอบแทน
• นอกจำกบิดำกับลูกและครูอำจำรย์กับศิษย์แล้วคุณธรรมข้อนี้ก็สำมำรถนำไปใช้ได้แม้ระหว่ำงนำยจ้ำงกับลูกจ้ำง
อันจะส่งผลให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่ำงสงบสุข
• ในทำงพระพุทธศำสนำพระพุทธเจ้ำทรงเป็นบุพกำรรีในฐำนะที่ทรงสถำปนำพระพุทธศำสนำ
และทรงสอนทำงพ้นทุกข์ให้แก่เวไนยสัตว์
• พุทธศำสนิกชนรู้พระคุณอันนี้จึงตอบแทนด้วยอำมิสบูชำและปฎิบัติบูชำกล่ำวคือกำรจัดกิจกรรมในวันวิสำขบูชำ
เป็นส่วนหนึ่งที่ชำวพุทธแสดงออกซึ่งควำมกตัญญูกตเวทีต่อพระองค์ด้วยกำรทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศำสนำ
และประพฤติปฎิบัติธรรมเพื่อดำรงอำยุพระพุทธศำสนำสืบไป
๒. อ ริ ย สั จ ๔
อริยสัจ๔คือ ควำมจริงอันประเสริฐหมำยถึงควำมจริงของชีวิตที่ไม่ผันแปรเกิดมีได้แก่ทุกคนมี ๔ ประกำร
คือธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ อริยสัจ4คือควำมจริงอันประเสริฐควำมจริงของพระอริยะ
ควำมจริงที่ทำให้ผู้เข้ำถึงกลำยเป็นพระอริยะเป็นผู้ประเสริฐได้ อริยสัจ 4ประกอบด้วย
1. ทุกข์ ( ธรรมที่ควรรู้ )หมำยถึงควำมรู้สึกไม่สบำยกำยไม่สบำยใจควำมเศร้ำโศกเสียใจ
เป็นสภำพบีบคั้นจิตใจและร่ำงกำยให้ทนได้ยำกเมื่อทุกข์เกิดขึ้นบุคคลจะไม่สำมำรถละหรือคลำยทุกข์ได้
ทุกข์จึงเป็นสภำวะที่จะต้องกำหนดรู้เพียงอย่ำงเดียวว่ำ
นี้คือควำมทุกข์หรือปัญหำและต้องยอมรับควำมเป็นจริงว่ำเป็นธรรมดำของสัตว์โลกต้องปล่อยวำงจึงจะทำให้ทุกข์บำงเบำลงได้ทุกข์
ได้แก่ปัญหำของชีวิตพระพุทธเจ้ำทรงแสดงไว้ ก็เพื่อให้ทรำบว่ำมนุษย์ทุกคนมีทุกข์เหมือนกันทั้งทุกข์ขั้นพื้นฐำน
และทุกข์เกี่ยวกับกำรดำเนินชีวิตประจำวันทุกข์ขั้นพื้นฐำนคือทุกข์ที่เกิดจำกกำรเกิดกำรแก่และกำรตำย
ส่วนทุกข์ที่เกี่ยวกับกำรดำเนินชีวิตประจำวันคือทุกข์ที่เกิดจำกกำรพลัดพรำกจำกสิ่งที่รัก
ทุกข์ที่เกิดจำกกำรประสบกันสิ่งที่ไม่เป็นที่รักทุกข์ที่เกิดจำกไม่ได้ตั้งใจปรำรถนำรวมทั้งทุกข์ที่เกี่ยวกับกำรดำเนินชีวิตด้ำนต่ำงๆ
อำทิควำมยำกจน
2. สมุทัย(ธรรมที่ควรละ)หมำยถึงต้นเหตุที่ให้เกิดทุกข์หรือปัญหำซึ่งได้แก่ ควำมต้องกำรหรือที่เรียกว่ำตัณหำมี3 ประกำยคือ
กำมตัณหำคือควำมปรำรถนำในกำมไม่หยุดหย่อนภวตัณหำคือควำมอยำกมีอยำกเป็นไม่เพียงพอและวิภวตัณหำ
คือควำมไม่อยำกมีไม่อยำกเป็นจนทุกข์สมุทัยคือเหตุแห่งปัญหำพระพุทธเจ้ำทรงแสดงไว้ก็เพื่อให้ทรำบว่ำ
ทุกข์ทั้งหมดซึ่งเป็นปัญหำของชีวิตล้วนมีเหตุให้เกิดเหตุนั้นคือตัญหำอันได้แก่ควำมอยำกได้ต่ำงๆซึ่งประกอบไปด้วยควำมยึดมั่น
3. นิโรธ( ธรรมที่ควรบรรลุ)หมำยถึงสภำวะที่ทุกข์หมดสิ้นไปสภำพที่ปรำศจำกทุกข์มีแต่ควำมสงบร่มเย็น
สภำวะที่จัดเป็นนิโรธนี้ถือเป็นที่สูงสุดในกำรปฏิบัติธรรมของชำวพุทธเป็นยอดปรำรถนำของคนทั่วไปคือควำมดับทุกข์นิโรธคือ
๕
กำรแก้ปัญหำได้ พระพุทธเจ้ำทรงแสดงไว้ก็เพื่อให้ทรำบว่ำทุกข์คือปัญหำของชีวิตทั้งหมดที่สำมำรถแก้ไข
ได้นั้นต้องแก้ไขตำมทำงหรือวิธีแก้ ๘ประกำร(ดูมัชฌิมำปฎิปทำ )
4. มรรค( ธรรมที่ควรเจริญ)หมำยถึงข้อปฏิบัติที่เป็นเหตุให้ถึงควำมดับทุกข์ได้แก่ มรรคมีองค์ 8 ประกำรมีสัมมำทิฐิ
คือควำมเห็นชอบเป็นต้นโดยมรรคทั้ง8 ประกำรนี้บุคคลจะต้องปฏิบัติให้เกิดมีขึ้นในตนครบทั้ง 8
ประกำรจึงสำมำรถถึงควำมดับทุกข์ได้ มรรคกำรปฏิบัติเพื่อจำกัดทุกข์เพื่อหลุดพ้นจำกทุกข์กำรปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหำ
เพื่อบรรลุเป้ำหมำยกำรแก้ปัญหำที่ต้องกำร
คุณค่ำของอริยสัจ4
อริยสัจ4 ไม่เพียงแต่เป็นหลักควำมจริงอันประเสริฐเป็นหลักแห่งเหตุและผล
แต่ยังถือว่ำเป็นหลักกำรสำคัญในกำรแก้ปัญหำชีวิตอีกด้วยทั้ง 4ข้อนี้ถือเป็นสัจธรรมเรียกว่ำอริยสัจ
เพรำะเป็นสิ่งที่พระอริยเจ้ำทรงค้นพบเป็นสัจธรรมชั้นสูงประเสริฐกว่ำสัจธรรมสำมัญทั่วไป
๓. ค ว ำ มไ ม่ ป ร ะ มำ ท
ควำมไม่ประมำทคือกำรมีสติเสมอทั้งขณะทำขณะพูดและขณะคิดสติคือกำรระลึกได้ ในภำคปฎิบัติเพื่อนำ
มำใช้ในชีวิตประจำวันหมำยถึงกำรระลึกรู้ทันกำรเคลื่อนไหวของอริยำบท๔คือ เดิน ยืน นั่ง นอน
กำรฝึกให้เกิดสติทำได้โดยตั้งสติกำหนดกำรเคลื่อนไหวของอริยำบทกล่ำวคือระลึกทันทั้งในขณะยืนเดินนั่ง และนอนรวมทั้ง
ระลึกรู้ทันในขณะพูดคิดและขณะทำงำนต่ำงๆเมื่อทำได้อย่ำงนี้ก็ชื่อว่ำมีควำมไม่ประมำท
กำรทำงำนต่ำงๆสำเร็จได้ก็ด้วยควำมไม่ประมำทกล่ำวคือผู้ทำย่อมต้องมีสติระลึกรู้อยู่ว่ำตนเองเป็นใครมีหน้ำที่อะไร
และกำลังทำอย่ำงไรหำกมีสติระลึกรู้ได้อย่ำงนั้นก็ย่อมไม่ผิดพลำด
กิ จ ก ร ร ม ข อ ง วั น วิ ส า ข บู ช า
ทำงรำชกำรประกำศชักชวนให้ประชำชนและหน่วยงำนต่ำงๆทั้งเอกชนและรำชกำรประดับตกแต่งอำคำรสถำนที่ด้วยธงชำติ
ธงเสมำธรรมจักรจุดประทีบโคมไฟแต่โดยทำงปฎิบัติแล้วใช้หลอดไฟประดับหลำกสีในวันขึ้น ๑๔-๑๕ค่ำ เดือน ๖
พระบำมสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัวและพระบรมวงศำนุวงศ์เสด็จประกอบพระรำชกุศลที่วัดพระศรีรัตนศำสดำรำมทรงบำตร
ในตอนเช้ำ ในตอนเย็นทรงนำเวียนเทียนรอบพระอุโบสถและสดับพระธรรมเทศนำในพระอุโบสถพร้อมทั้งถวำยไทยธรรม
• จัดงำนส่งเสริมพระพุทธศำสนำที่บริเวณท้องสนำมหลวงเป็นประจำทุกปี
แต่ละปีมีกิจกรรมทำงพระพุทธศำสนำหลำกหลำยหน่วยงำนทั้งทำงรำชกำรและเอกชนทั้งฝ่ำยบรรพชิตและคฤหัสถ์
ร่วมกันจัดงำนอันยิ่งใหญ่สร้ำงควำมศรัทธำให้แก่พุทธศำสนิกชนบำเพ็ญกุศลมีกำรทำบุญตักบำตรให้ทำนรักษำศีลฟังธรรม
สนทนำธรรมเวียนเทียนเจริญภำวนำเป็นที่ประทับใจยิ่งนัก
- ทำบุญตักบำตรบริเวณพุทธมณฑล- - เวียนเทียนบริเวณพุทธมณฑล-
• สถำนที่จัดกิจกรรมในวันวิสำขบูชำที่ยิ่งใหญ่อีกแห่งหนึ่งก็คือณบริเวณพุทธมณฑลซึ่งมีหน่วยงำนกรมกำรศำสนำ
กระทรวงศึกษำธกำรร่วมกับประชำชนทั่วไปได้จัดกิจกรรมปฎิบัติธรรมทั้งฝ่ำยพระสงฆ์และฆรำวำส
๖
มีจำนวนหลำยหมื่นได้ร่วมทำบุญตักบำตรให้ทำนรักษำศีลฟังธรรมสนทนำธรรม
และเจริญภำวนำแผ่เมตตำถวำยเป๋ นพระรำชกุศลแด่พระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัวองค์ปัจจุบัน
เนื่องในวโรกำสที่พระองค์ทรงมีพระชนมำยุครบ๗๒พรรษำและในวันวิสำขบูชำณบริเวณพุทธมณฑลนี้เอง
สมเด็จพระเทพรัตนรำชสุดำฯสยำมบรมรำชกุมำรี เสด็จเป็นองค์ประธำนทรงเวียนเทียนทุกปีด้วย
• พระสงฆ์ผู้จัดรำยกำรธรรมทำงสถำนีวิทยุเกือบทุกรำยกำรทั่วประเทศเมื่อถึงสำคัญคือวันวิสำขบูชำเช่นนี้ก็มี
กำรประชำสัมพันธ์เชิญชวนพุทธศำสนิกชนบำเพ็ญกุศลเป็นกรณีพิเศษคือบรรพชำอุปสมบทนำคหมู่และบวชเนกขัมมะ
เพื่อปฎิบัติธรรมถวำยเป็นพุทธบูชะธรรมบูชำเป็นกำรช่วยสนับสนุนส่งเสริม
สร้ำงควำมสงบสุขให้แก่บุคคลและสร้ำงควำมสำมัคคีธรรมให้แก่สังคมตลอดถึงประเทศชำติอีกด้วย
สรุปแล้ววันวิสำขบูชำปีนี้คงจะได้รับควำมร่วมมือจำกหน่วยงำนทำงรำชกำรและเอกชนตลอดทั้งผู้จัดรำยกำรธรรมะ
ทำงสถำนีวิทยุทั่วประเทศช่วยกันประชำสัมพันธ์เชิญชวนสำธุชนผู้ศรัทธำจัดกิจกรรมปฎิบัติธรรม
บำเพ็ญมหำกุศลอันยิ่งใหญ่เป็นกรณีพิเศษเหมือนที่เคยปฎิบัติมำทุกๆปี
วันวิสำขบูชำเป็นวันสำคัญสำกลของสหประชำชำติคือ
"วันสำคัญของโลก"( VesakDay)
ภูมิหลัง
๑.ในกำรประชุม InternationalBuddhistConferenceณ กรุงโคลัมโบระหว่ำงวันที่๙- ๑๔พฤศจิกำยน๒๕๔๑
ซึ่งมีผู้แทนจำกประเทศที่นับถือศำสนำพุทธจำนวนมำกเข้ำร่วมอำทิบังคลำเทศจีน ลำวเกำหลีใต้ เวียดนำมภูฐำนอินโดนีเซีย
เนปำล กัมพูชำอินเดีย ปำกีสถำนและไทยได้ตกลงกันที่จะเสนอให้สมัชชำสหประชำชำติรับรองข้อมติประกำศวัน
วิสำขบูชำให้เป็นวันหยุดของสหประชำชำติ
๒. ในกำรเยือนของประเทศต่ำงๆในอินโดจีนของรัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงกำรต่ำงประเทศศรีลังกำในปี ๒๕๔๒
ก็ได้มีกำรหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นหำรือและได้รับกำรสนับสนุนจำกประเทศต่ำงๆได้ด้วยดี
๓. คณะทูตถำวรศรีลังกำประจำสหประชำชำติณนครนิวยอร์กได้จัดเตรียมร่ำงข้อมติและได้ขอเสียงสนับสนุนจำกประเทศต่ำงๆ
เพื่อให้มีกำรรับรองข้อมติเรื่องกำรประกำศให้วันวิสำขบูชำเป็นวันหยุดของสหประชำชำติในที่ประชุมสมัชชำสหประชำชำติ
สมัยสำมัญครั้งที่๕๔
๔. โดยที่สหประชำชำติประกำศวันหยุดเป็นจำนวนมำกอยู่แล้วและจะเป็นปัญหำในเรื่องงบประมำณและกำรบริหำรแก่
สหประชำชำติหำกประกำศให้วันวิสำขบูชำเป็นวันหยุดศรีลังกำจึงได้ตัดสินใจที่จะเสนอร่ำงข้อมติ
ขอให้วันวิสำขบูชำเป็นวันสำคัญสำกลที่สหประชำชำติทั้งที่สำนักงำนใหญ่ และสำนักงำนต่ำงๆแทนกำรเสนอให้เป็นวันหยุดซึ่ง
ออท. ผู้แทนถำวรประเทศต่ำงๆรวม๑๖ ประเทศได้แก่ ศรีลังกำบังคลำเทศภูฐำนกัมพูชำลำวมัลดีฟส์มองโกเลียพม่ำ เนปำล
ปำกีสถำนฟิลิปปินส์เกำหลีใต้ สเปนอินเดีย ไทยและยูเครนได้ร่วมลงนำมในหนังสือถึงประธำนสมัชชำฯ
เพื่อให้นำเรื่องวันวิสำขบูชำเข้ำเป็นระเบียบวำระกำรประชุมของสมัชชำฯ
๕. ต่อมำเมื่อ๒๔ พฤศจิกำยน๒๕๔๒GeneralCommitteeของสมัชชำฯได้พิจำรณำเรื่องดังกล่ำวโดยออท.ผู้แทน
ถำวรศรีลังกำได้กล่ำวถ้อยแถลงสนับสนุนหนังสือร้องขอให้ที่ประชุมบรรจุระเบียบวำระดังกล่ำว
เข้ำสู่กำรพิจำรณำของที่ประชุมสมัชชำเต็มคณะออท.ผู้แทนถำวรไทยอินเดียสเปนบังคลำเทศปำกีสถำนไซปรัสลำวและภูฐำน
ได้กล่ำวถ้อยแถลงสนับสนุนซึ่งที่ประชุมGeneralCommitteeได้มีมติให้บรรจุเรื่องนี้เข้ำสู่กำรพิจำรณำของสมัชชำเต็มคณะ
๗
ปัจจุบัน
๑.เมื่อ ๑๕ธันวำคม๒๕๔๒ ที่ประชุมสมัชชำสหประชำชำติสมัยสำมัญครั้งที่๕๔ได้พิจำรณำระเบียบวำระที่๑๗๔International
recognitionofthe DayofVisak โดยกำรเสนอของศรีลังกำ
๒. ในกำรพิจำรณำประธำนสมัชชำฯได้เชิญผู้แทนศรีลังกำขึ้นกล่ำวนำเสนอร่ำงข้อมติและเชิญผู้แทนไทยสิงคโปร์ บังคลำเทศ
ภูฐำนสเปนพม่ำ เนปำล ปำกีสถำนอินเดียขึ้นกล่ำวถ้อยแถลงสรุปควำมว่ำวันวิสำขบูชำเป็นวันสำคัญของพุทธศำสนิกชนทั่วโลก
เพรำะเป็นวันที่พระพุทธเจ้ำประสูติทรงตรัสรู้ เสด็จดับขันธปรินิพพำน
พระพุทธเจ้ำทรงสั่งสอนให้มวลมนุษย์มีเมตตำธรรมและขันติธรรมต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเพื่อให้เกิดสันติสุขในสังคม
อันเป็นแนวทำงของ สหประชำชำติจึงขอให้ที่ประชุมรับรองข้อมตินี้
ซึ่งเท่ำกับเป็นกำรรับรองควำมสำคัญของพุทธศำสนำในองค์กำรสหประชำชำติ
โดยถือว่ำวันดังกล่ำวเป็นที่สำนักงำนใหญ่องค์กำรสหประชำชำติและที่ทำกำรสมัชชำจะจัดให้มีกำรระลึกถึง(observance)
ตำมควำมเหมำะสม
๓. ที่ประชุมฯ ได้รับรองร่ำงข้อมติโดยฉันทำมติ
ถ้อยแถลงของเอกอัครรำชทูตผู้แทนถำวรฯศรีลังกำประจำสหประชำชำติณนครนิวยอร์ก
ถ้อยแถลงของนำยวรวีร์ วีรสัมพันธ์อุปทูตคณะผู้แทนถำวรไทยประจำสหประชำชำติณนครนิวยอร์ก
เหตุผลที่องค์กำรสหประชำชำติหนดให้ วันวิสำขบูชำเป็นวันสำคัญของโลก
เนื่องจำกคณะกรรมมำธิกำรองค์กำรสหประชำชำติได้ร่วมพิจำรณำและมีมติเห็นพ้องต้องกันประกำศให้วันวิสำขบูชำ
ถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของโลกทั้งนี้
ด้วยสำนึกในพระมหำกรุณำธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำว่ำทรงเป็นมหำบุรุษผู้ให้ควำมเมตตำต่อหมู่มวล
มนุษย์ทั้งหลำยในโลกจะเห็นได้จำกกำรยกเลิกแบ่งชนชั้นวรรณะซึ่งเท่ำกับเป็นกำรเลิกทำสโดยไม่มีกำรเสียเลือดเสียเนื้อ
นอกจำกนี้พระองค์ยังทรงเป็นนักอนุรักษ์สัตว์ป่ำอีกด้วยกล่ำวคือทรงสอนให้ไม่ฆ่ำสัตว์ให้รู้จักช่วยเหลือสัตว์เหตุผลสำคัญ
อีกประกำรหนึ่งคือพระองค์ทรงเปิดโอกำสให้ทุกศำสนำสำมำรถเข้ำมำศึกษำพุทธศำสนำเพื่อพิสูจน์หำข้อเท็จจริงได้ โดย
ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมำนับถือศำสนำพุทธและทรงสั่งสอนทุกคนโดยใช้ปัญญำธิคุณสอนโดยไม่คิดค่ำตอบแทน
ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพาน
๘
วันอำสำฬหบูชำ
วันอาสาฬหบูชาวันอาสาฬหบูชาตรงกับวันเพ็ญเดือน๘ ก่อนปุริมพรรษำ(ปุริมพรรษำเริ่มตั้งแต่วันแรม๑ค่ำเดือน ๘
ในปีที่ไม่มีอธิกมำสเป็นต้นไปถึงวันขึ้น๑๕ค่ำ เดือน ๑๑) ๑ วัน เป็นวันคล้ำยวันที่พระพุทธเจ้ำทรงแสดงปฐมเทศนำคือ
เทศน์กัณฑ์แรกชื่อว่ำธัมมจักกัปปวัตตนสูตรโปรดพระปัญจวัคคีย์ที่ป่ำอิสิปตนมฤคทำยวัน แขวงเมืองพำรำณสี
ในปีแรกที่ทรงตรัสรู้และเพรำะผลของพระธรรมเทศนำกัณฑ์นี้เป็นเหตุให้ท่ำนพระโกณฑัญญะในจำนวนพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕
ได้ธรรมจักษุ (โสดำปัตติมรรคหรือโสดำปัตติมรรคญำณคือญำณที่ทำให้สำเร็จเป็นโสดำบัน)ดวงตำเห็นธรรมคือปัญญำ
รู้เห็นควำมจริงว่ำสิ่งใดก็ตำมมีควำมเกิดขึ้นเป็นธรรมดำสิ่งนั้นทั้งปวงล้วนมีควำมดับไปเป็นธรรมดำ
แล้วขอบรรพชำอุปสมบทต่อพระองค์เป็นพระอริยสงฆ์องค์แรกของพระพุทธศำสนำและทำให้พระรัตนตรัยครบองค์ ๓คือ พระพุทธ
พระธรรมพระสงฆ์
๙
ในเมื่อวันนี้ของทุก ๆปี เวียนมำถึงพุทธศำสนิกชนจึงนิยมทำกำรบูชำเป็นพิเศษและพุทธศำสนิกชนในที่บำงแห่ง
ยังตั้งชื่อวันอำสำฬหบูชำนี้ว่ำ"วันพระสงฆ์"ก็มีอำสำฬหะคือเดือน ๘ อำสำฬหบูชำคือกำรบูชำพระในวันเพ็ญเดือน๘ควำมสำคัญ
ของวันเพ็ญเดือน๘นี้มีอยู่อย่ำงไรจะได้นำพุทธประวัติตอนหนึ่งมำเล่ำต่อไปนี้นับแต่วันที่สมเด็จพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ คือ
ในวันเพ็ญเดือน๖ พระองค์ประทับเสวยวิมุตติสุขในบริเวณโพธิมัณฑ์นั้นตลอด ๗สัปดำห์คือ
- สัปดำห์ที่ ๑ คงประทับอยู่ที่ควงไม้อสัตถะอันเป็นไม้มหำโพธิ์เพรำะเป็นที่ตรัสรู้ ทรงใช้
เวลำพิจรณำปฏิจจสมุปปำทธรรมทบทวนอยู่ตลอด๗วัน
- สัปดำห์ที่ ๒ เสด็จไปทำงทิศอีสำนของต้นโพธิ์ประทับยืนกลำงแจ้งเพ่งดูไม้มหำโพธิ์โดย
ไม่กระพริบพระเนตรอยู่ในที่แห่งเดียวจนตลอด๗วัน ที่ที่ประทับยืนนั้นปรำกฎเรียกในภำยหลังว่ำ"อนิสิมสสเจดีย์"
- สัปดำห์ที่ ๓ เสด็จไปประทับอยู่ในที่กึ่งกลำงระหว่ำงอนิมิสสเจดีย์กับต้นมหำโพธิ์แล้วทรงจงกรมอยู่ณที่ตรงนั้นตลอด๗วัน
ซึ่งต่อมำเรียกที่ตรงนั้นว่ำ"จงกรมเจดีย์"
- สัปดำห์ที่ ๔ เสด็จไปทำงทิศพำยัพของต้นมหำโพธิ์ประทับนั่งขัดบัลลังก์พิจำรณำพระอภิธรรมอยู่ตลอด๗วัน
ที่ประทับขัดสมำธิเพชรต่อมำเรียกว่ำ"รัตนฆรเจดีย์"
- สัปดำห์ที่ ๕ เสด็จไปทำงทิศบูรพำของต้นมหำโพธิ์ประทับที่ควงไม้ไทรชื่ออชำปำลนิโครธอยู่ตลอด ๗วัน ในระหว่ำงนั้น
ทรงแก้ปัญหำของพรำหมณ์ผู้หนึ่งซึ่งทูลถำมในเรื่องควำมเป็นพรำหมณ์
- สัปดำห์ที่ ๖ เสด็จไปทำงทิศอำคเนย์ของต้นมหำโพธิ์ประทับที่ควงไม้จิกเสวยวิมุตติสุขอยู่ตลอด๗วัน ฝนตกพรำตลอดเวลำ
พญำนำคมำวงขดล้อมพระองค์และแผ่พังพำนบังฝนให้พระองค์ทรงเปล่งพระอุทำนสรรเสริญควำมสงัด
และควำมไม่เบียดเบียนกันว่ำเป็นสุบในโลก
- สัปดำห์ที่ ๗ เสด็จย้ำยสถำนที่ไปทำงทิศใต้ของต้นมหำโพธิ์ประทับที่ควงไม้เกดเสวยวิมุตติสุขตลอด๗วัน มีพำณิช๒คน ชื่อ
ตปุสสะกับ ภัลลิกะเดินทำงจำกอุกกลชนบทมำถึงที่นั้นได้เห็นพระพุทธองค์ประทับอยู่จึงนำข้ำวสัตตุผงข้ำวสัตตุก้อน
ซึ่งเป็นเสบียงกรังของตนเข้ำไปถวำยพระองค์ทรงรับเสวยเสร็จแล้วสองพำณิชก็ประกำศตนเป็นอุบำสก
นับเป็นอุบำสกคู่แรกในประวัติกำลทรงพิจำรณำสัตว์โลกเมื่อล่วงสัปดำห์ที่๗แล้ว
พระองค์เสด็จกลับมำประทับที่ควงไม้ไทรชื่ออชำปำลนิโครธอีกทรงคำนึงว่ำธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นี้ลึกซึ้งมำกยำกที่สัตว์อื่นจะรู้ตำม
จีงท้อพระทัยที่สอนสัตว์แต่อำศัยพระกรุณำเป็นที่ตั้งทรงเล็งเห็นว่ำโลกนี้ผู้ที่พอจะรู้ตำมได้ก็คงมีตอนนี้แสดงถึงบุคคล๔เหล่ำ
เปรียบกับดอกบัว ๔ ประเภทคือ
๑. อุคฆติตัญญูได้แก่ ผู้ที่มีอุปนิสัยสำมำรถรู้ธรรมวิเศษได้ทันทีทันใดในขณะที่มีผู้สอนสั่งสอนเปรียบเทียบ
เหมือนดอกบัวที่โผล่ขึ้นพ้นน้ำแล้วพร้อมที่จะบำนในเมื่อได้รับแสงพระอำทิตย์ในวันนั้น
๒. วิปัจจิตัญญูได้แก่ ผู้ที่สำมำรถจะรู้ธรรมวิเศษได้
ต่อเมื่อท่ำนขยำยควำมย่อให้พิสดำรออกไปเปรียบเหมือนดอกบัวที่ตั้งอยู่เสมอระดับน้ำจักบำนในวันรุ่งขี้น
๓. เนยยะ ได้แก่ ผู้ที่พำกเพียรพยำยำมฟังคิดถำมท่องอยู่เสมอไม่ทอดทิ้ง จึงได้รู้ธรรมวิเศษ
เปรียบเหมือนดอกบัวที่ยังไม่โผล่ขึ้นจำกน้ำได้รับกำรหล่อเลี้ยงจำกน้ำแต่จะโผล่แล้วบำนขี้นในวันต่อๆไป
๔. ปทปรมะ ได้แก่ ผู้ที่แม้ฟัง คิด ถำมท่อง แล้วก็ไม่สำมำรถรู้ธรรมวิเศษได้ เปรียบเหมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำติดกับเปือกตม
๑๐
รังแต่จะเป็นภักษำหำรแห่งปลำและเต่ำ เมื่อเล็งเห็นเหตุนี้จึงตกลงพระทัยจะสอนทรงนึกถึงผู้ที่ควรโปรดก่อนคืออำฬำรดำบสกับ
อุทกดำบสท่ำนเหล่ำนี้ก็หำบุญไม่เสียแล้วจะมีอยู่ก็แต่ปัญจวัคคีย์จีงทรงตัดสินพระทัยว่ำควรโปรดปัญจวัคคีย์ก่อน
แล้วก็เสด็จออกเดินไปจำกควงไม้ไทรนั้นมุ่งพระพักตร์เสด็จไปยังป่ ำอิสิปตนมฤคทำยวันแขวงเมืองพำรำณสี
กำรที่เสด็จเดินทำงจำกตำบลพระศรีมหำโพธิ์จนกระทั่งถึงกรุงพำรำณสีเช่นนี้แสดงให้เห็น
เพระวิริยอุตสำหะอันแรงกล้ำเป็นกำรตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะประทำนปฐมเทศนำแก่ปัญจวัคคีย์เป็นพวกแรกอย่ำงแทัจริง
หนทำงระหว่ำงตำบลพระศรีมหำโพธิ์ถึงพำรำณสีนั้นในปัจจุบัน ถ้ำไปทำงรถไฟก็เป็นเวลำ ๗-๘ชั่วโมง
กำรเสด็จดำเนินด้วยพระบำทเปล่ำอำจใช้เวลำตั้งหลำยวันแต่ปรำกฏว่ำพอตอนเย็นขึ้น ๑๕ค่ำเดือนอำสำฬหะนั้นเอง
พระพุทธองค์ก็เสด็จถึงป่ำอิสิปตนมฤคทำยวันแขวงเมืองพำรำณสีอันเป็นที่อยู่แห่งปัจจวัคคีย์พอเสด็จ
เข้ำรำวป่ำพวกปัญจจวัคคีย์นั้นได้เห็นจึงนัดหมำยกันว่ำจะไม่ไหว้ ไม่ลุกรับและไม่รับบำตรจีวรจะตั้งไว้ให้เพียงอำสนะเท่ำนั้น
เพรำะเข้ำใจว่ำพระองค์กลำยเป็นคนมีควำมมักมำกหมดควำมเพียรเสียแล้วพอพระองค์เสด็จถึงต่ำงก็พูดกับพระองค์โดยไม่เคำรพ
พระองค์ตรัสห้ำมและทรงบอกว่ำพระองค์ตรัสรู้แล้วจะแสดงธรรมสั่งสอนให้ ฟังพรำหมณ์ทั้ง ๕
ก็พำกันคัดค้ำนลำเลิกด้วยถ้อยคำต่ำงๆที่สุดพระองค์จึงทรงแจงเตือนให้รำลึกว่ำพระองค์เคยกล่ำวเช่นนี้มำในหนหลังบ้ำงหรือ ?
พรำหมณ์ทั้ง๕ระลึกได้ ต่ำงก็สงบตั้งใจฟังธรรมทันทีค่ำวันนั้นพระองค์ประทับแรมอยู่กับพรำหมณ์ทั้ง๕
รุ่งขี้นวันเพ็ญแห่งเดือนอำสำฬหะพระองค์ทรงเริ่มแสดงธัมมะ-จักกัปปวัตตนสูตรนับเป็นเทศนำกัณฑ์แรกโปรดปัญจวัคคีย์นั้น
โดยใจควำมคือทรงยกที่สุด๒ฝ่ำยได้แก่ กำรประกอบตนให้ลำบำกด้วยกำรทรมำนกำย
และกำรไม่ประกอบตนให้เพลิดเพลินในกำมสุขทั้ง๒นี้นับว่ำ เป็นของเลวทรำมไม่ควรเสพเฉพำะทำงสำยกลำงเท่ำนั้น
เป็นข้อปฏิบัติที่สมควร แล้วทรงแสดงทำงสำยกลำงคืออริยมรรค ๘ประกำรได้แก่
๑.สัมมำทิฏฐิ เห็นชอบ
๒. สัมมำสังกัปปะดำริชอบ
๓. สัมมำวำจำเจรจำชอบ
๔. สัมมำกัมมัตนะทำกำรงำนชอบ
๕. สัมมอำชีวะเลี้ยงชีพชอบ
๖.สัมมำวำยำมะเพียรชอบ
๗. สัมมำสติระลึกชอบ
๘. สัมมำสมำธิตั้งใจชอบ
สรุปด้วยอริยสัจ ๔ ได้แก่
๑. ทุกข์ควำมไม่สบำยกำยไม่สบำยใจ ( ธรรมที่ควรรู้ ) หมายถึง ความรู้สึกไม่สบายกาย
ไม่สบายใจความเศร้าโศกเสียใจ เป็นสภาพบีบคั้นจิตใจและร่างกายให้ทนได้ยากเมื่อทุกข์เกิดขึ้น
บุคคลจะไม่สามารถละหรือคลายทุกข์ได้ ทุกข์จึงเป็นสภาวะที่จะต้องกาหนดรู้เพียงอย่างเดียวว่า
นี้คือความทุกข์หรือปัญหาและต้องยอมรับความเป็นจริงว่าเป็นธรรมดาของสัตว์โลกต้องปล่อยวางจึง
จะทาให้ทุกข์บางเบาลงได้
๒. สมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ (ธรรมที่ควรละ ) หมายถึง ต้นเหตุที่ให้เกิดทุกข์หรือปัญหาซึ่งได้แก่
ความต้องการหรือที่เรียกว่าตัณหา มี 3 ประกายคือ กามตัณหา
คือความปรารถนาในกามไม่หยุดหย่อน ภวตัณหา คือความอยากมีอยากเป็นไม่เพียงพอ
และวิภวตัณหา คือความไม่อยากมีไม่อยากเป็นจนทุกข์
๓. นิโรธควำมดับทุกข์ ( ธรรมที่ควรบรรลุ ) หมายถึง สภาวะที่ทุกข์หมดสิ้นไป
๑๑
สภาพที่ปราศจากทุกข์ มีแต่ความสงบร่มเย็น
สภาวะที่จัดเป็นนิโรธนี้ถือเป็นที่สูงสุดในการปฏิบัติธรรมของชาวพุทธ
เป็นยอดปรารถนาของคนทั่วไปคือความดับทุกข์
๔. มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงควำมดับทุกข์ ( ธรรมที่ควรเจริญ ) หมายถึง
ข้อปฏิบัติที่เป็นเหตุให้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่มรรคมีองค์ 8 ประการมีสัมมาทิฐิ คือความเห็นชอบ
เป็นต้น
ชี้ให้เห็นโดยปริวรรตและอำกำรต่ำงๆว่ำเมื่อรู้แล้วอำจยืนยันได้ว่ำตรัสรู้โดยชอบถึงควำมหลุดพ้นและสุดชำติสุดภพแน่นอน
ขณะที่พระองค์ทรงแสดงธรรมนี้อยู่ท่ำนโกณฑัญญะได้ส่องญำณไปตำมจนเกิด"ธรรมจักษุ"
คือดวงตำเห็นธรรมขึ้นทำงปัญญำพระองค์ทรงทรำบจึงเปล่งพระอุทำนว่ำ
"อัญญสิๆ""อัญญสิๆ"(โกณฑัญญะรู้แล้วๆ)เพรำะพระองค์ทรงอุทำนนี้ภำยหลังท่ำนโกณฑัญญะจึงได้นำมใหม่ว่ำ"อัญญำโกณฑัญญะ"
แต่นั้นก็ทูลขอบรรพชำพระองค์ประทำนอนุญำตด้วยเอหิภิขุอุปสัมปทำน
นับเป็นพระสงฆ์องค์แรกในพระศำสนำที่บวชตำมพระพุทธองค์ตำมพุทธประวัติที่เล่ำมำนี้จะเห็นว่ำวันอำสำฬหบูชำมีควำมสำคัญ
คือ
๑.เป็นวันแรกที่พระพุทธเจ้ำทรงประกำศพระศำสนำ
๒.เป็นวันแรกที่พระบรมศำสดำทรงแสดงพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตรประกำศสัจจธรรมอันเป็นองค์แห่งสัมมำสัมโพธิญำณ
๓.เป็นวันที่พระอริยสงฆ์สำวกองค์แรกบังเกิดขึ้นในโลกคือพระอัญญำโกณฑัญญะได้รับประทำนเอหิภิขุอุปสัมปทำในวันนั้น
๔. เป็นวันแรกที่บังเกิดพระสังฆรัตนะสมบูรณ์เป็นพระรัตนตรัยคือพระพุทธรัตนะพระธรรมรัตนะพระสังฆรัตนะ
การถือปฏิบัติวันอาสาฬหบูชาในประเทศไทย
พิธีวันอำสำฬหบูชำเริ่มกำหนดเป็นวันสำคัญทำงพุทธศำสนำขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อพุทธศักรำช ๒๕๐๑
โดยพระธรรมโกศำจำรย์(ชอบอนุจำรี) ครั้งดำรงตำแหน่งสังฆมนตรีช่วยว่ำกำรองค์กำรศึกษำได้เสนอคณะสังฆมนตรี
ให้เพิ่มวันศำสนพิธีทำพุทธบูชำขึ้นอีกวันหนึ่งคือวันธรรมจักรหรือวันอำสำฬหบูชำ
ด้วยเป็นวันคล้ำยวันที่พระพุทธเจ้ำทรงแสดงธรรมจักกัปปวัตนสูตร
คณะสังฆมนตรีลงมติรับหลักกำรให้เพิ่มวันอำสำฬหบูชำและให้ถือเป็นหลักปฏิบัติในเวลำต่อมำโดยออกเป็นประกำศคณะสงฆ์เรื่อง
กำหนดวันสำคัญทำงศำสนำเมื่อวันที่๑๔กรกฎำคม๒๕๐๑และในวันเดียวกันนั้นได้มีประกำศสำนักสังฆนำยก
กำหนดระเบียบปฏิบัติในพิธีอำสำฬหบูชำขึ้นไว้ให้วัดทุกวัดถือปฏิบัติทั่วกันกล่ำวคือก่อนถึงวันอำสำฬหบูชำ ๑
สัปดำห์ให้เจ้ำอำวำสแจ้งแก่พระภิกษุสำมเณรตลอดจนศิษย์วัดคนวัดช่วยกันปัดกวำดปูลำดอำสนะ
จัดตั้งเครื่องสักกำระให้ประดับธงธรรมจักรรอบพระอุโบสถตลอดวันทั้งเวลำเช้ำและเวลำบ่ำยให้มีกำรฟังธรรมตำมปกติ
เวลำค่ำให้ภิกษุสำมเณรอุบำสกอุบำสิกำมำประชุมพร้อมกันที่หน้ำพระอุโบสถหรือพระเจดีย์
จุดธูปเทียนแล้วถือรวมกับดอกไม้ยืนประนมมือสำรวมจิตโดยพระสงฆ์ผู้เป็นประธำนนำกล่ำวคำบูชำจบแล้วทำประทักษิณ
ครั้นแล้วให้ภิกษุสำมเณรเข้ำไปบูชำพระรัตนตรัยทำวัตรค่ำแล้วสวดธรรมจักรกัปปวัตนสูตร
จบแล้วให้อุบำสกอุบำสิกำทำวัตรค่ำต่อจำกนั้นให้พระสังฆเถระ
แสดงพระธรรมเทศนำธรรมจักรกัปปวัตนสูตรแล้ว
ให้พระภิกษุสำมเณรสวดธรรมจักรกัปปวัตนสูตรทำนองสรภัญญะ
เพื่อเจริญศรัทธำปสำทะของพุทธศำสนิกชนจบแล้ว
ให้เป็นโอกำสของพุทธศำสนิกชนเจริญภำวนำมัยกุศลมีสวดมนต์สนทนำธรรม
๑๒
บำเพ็ญสมถะและวิปัสสนำเป็นต้นตำมควรแก่อัธยำศัยให้ใช้เวลำทำพิธีอำสำฬหบูชำไม่เกินเวลำ
๒๔.๐๐ น. และได้มีกำรทำพิธีอำสำฬหบูชำอย่ำงกว้ำงขวำงนับแต่นั้นมำทำงรำชกำร
ได้มีประกำศสำนักนำยกรัฐมนตรีให้มีกำรชักธงชำติถวำยเป็นพุทธบูชำในวันนี้ด้วย
เมื่อวันอำสำฬหบูชำซึ่งตรงในวันเดียวกันได้เวียนมำบรรจบอีกครั้งหนึ่งในรอบปี คือเวียนมำบรรจบในวันเพ็ญอำสำฬหบูชำเดือน๘
ของไทยเรำชำวพุทธทั่วโลกจึงประกอบพิธีสักกำรบูชำกำรประกอบพิธีในวันอำสำฬหบูชำแบ่งออกเป็น 3พิธีคือ
๑.พิธีหลวง(พระรำชพิธี)
๒. พิธีรำษฎร์ (พิธีของประชำชนทั่วไป)
๓. พิธีของพระสงฆ์(คือพิธีที่พระสงฆ์ประกอบศำสนกิจเนื่องในวันสำคัญวันนี้)
กำรประกอบพิธีและบทสวดมนต์ในวันอำสำฬหบูชำก็ปฏิบัติเช่นเดียวกับกำรประกอบพิธีในวันวิสำขบูชำ
ใ จค ว ำ ม สำคั ญ ขอ ง ป ฐ มเ ท ศ นำ
ในกำรแสดงแสดงปฐมเทศนำครั้งแรกของพระพุทธเจ้ำทรงแสดงหลักธรรมสำคัญ ๒ประกำรคือ
ก.มัชฌิมำปฏิปทำหรือทำงสำยกลำงเป็นข้อปฏิบัติที่เป็นกลำงๆ ถูกต้องและเหมำะสมที่จะให้บรรลุถึงจุดหมำยได้
มิใช่กำรดำเนินชีวิตที่เอียงสุด๒อย่ำง หรืออย่ำงหนึ่งอย่ำงใดคือ
๑. กำรหมกหมุ่นในควำมสุขทำงกำยมัวเมำในรูปรสกลิ่นเสียงรวมควำมเรียกว่ำเป็นกำรหลงเพลิดเพลินหมกหมุ่นในกำมสุขหรือ
กำมสุขัลลิกำนุโยค
๒. กำรสร้ำงควำมลำบำกแก่ตนดำเนินชีวิตอย่ำงเลื่อนลอยเช่นบำเพ็ญตบะกำรทรมำนตนคอยพึ่งอำนำจสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นต้น
กำรดำเนินชีวิตแบบที่ก่อควำมทุกข์ให้ตนเหนื่อยแรงกำยแรงสมองแรงควำมคิดรวมเรียกว่ำอัตตกิลมถำนุโยค
ดังนั้นเพื่อละเว้นห่ำงจำกกำรปฏิบัติทำงสุดเหล่ำนี้ต้องใช้ทำงสำยกลำงซึ่งเป็นกำรดำเนินชีวิตด้วยปัญญำ
โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ๘ประกำรเรียกว่ำอริยอัฏฐังคิกมัคค์หรือมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่
๑.สัมมำทิฏฐิ เห็นชอบ คือ รู้เข้ำใจถูกต้องเห็นตำมที่เป็นจริง
๒. สัมมำสังกัปปะดำริชอบคือคิดสุจริตตั้งใจทำสิ่งที่ดีงำม
๓. สัมมำวำจำเจรจำชอบคือกล่ำวคำสุจริต
๔. สัมมำกัมมันตะกระทำชอบคือ ทำกำรที่สุจริต
๕. สัมมำอำชีวะอำชีพชอบ คือประกอบสัมมำชีพหรืออำชีพที่สุจริต
๖.สัมมำวำยำมะพยำยำมชอบคือเพียรละชั่วบำเพ็ญดี
๗. สัมมำสติระลึกชอบคือ ทำกำรด้วยจิตสำนึกเสมอไม่เผลอพลำด
๘. สัมมำสมำธิตั้งจิตมั่นชอบคือ คุมจิตให้แน่วแน่มั่นคงไม่ฟุ้งซ่ำน
ข. อริยสัจ๔ แปลว่ำควำมจริงอันประเสริฐของอริยะซึ่งคือบุคคลที่ห่ำงไกลจำกกิเลสได้แก่
๑. ทุกข์ ได้แก่ ปัญหำทั้งหลำยที่เกิดขึ้นกับมนุษย์บุคคลต้องกำหนดรู้ให้เท่ำทันตำมควำมเป็นจริงว่ำมันคืออะไร
ต้องยอมรับรู้กล้ำสู้หน้ำปัญหำกล้ำเผชิญควำมจริงต้องเข้ำใจในสภำวะโลกว่ำทุกสิ่งไม่เที่ยงมีกำรเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่ำงอื่น
ไม่ยึดติด
๒. สมุทัย ได้แก่ เหตุเกิดแห่งทุกข์หรือสำเหตุของปัญหำตัวกำรสำคัญของทุกข์คือ
ตัณหำหรือเส้นเชือกแห่งควำมอยำกซึ่งสัมพันธ์กับปัจจัยอื่นๆ
๓. นิโรธได้แก่ ควำมดับทุกข์เริ่มด้วยชีวิตที่อิสระอยู่อย่ำงรู้เท่ำทันโลกและชีวิตดำเนินชีวิตด้วยกำรใช้ปัญญำ
๑๓
๔. มรรค ได้แก่ กระบวนวิธีแห้งกำรแก้ปัญหำอันได้แก่ มรรคมีองค์๘ ประกำรดังกล่ำวข้ำงต้น
ผ ล จำ ก ก ำ ร แส ด ง ป ฐม เทศ นำ
เมื่อพระพุทธเจ้ำทรงแสดงธรรมแล้วปรำกฏว่ำโกณฑัญญะผู้เป็นหัวหน้ำเบญจวัคคีย์ได้เกิดเข้ำใจธรรมเรียกว่ำ
เกิดดวงตำแห่งธรรมหรือธรรมจักษุ บรรลุเป็นโสดำบันจึงทูลขอบรรพชำและถือเป็นพระภิกษุสำวกรูปแรกในพระพุทธศำสนำมีชื่อว่ำ
อัญญำโกณฑัญญะ
ค ว ำ มห มำ ย ข อง อำ ส ำ ฬ ห บู ช ำ
“อำสำฬหบูชำ”(อำ-สำน-หะ-บู-ชำ/อำ-สำน-ละ-หะ-บู-ชำ)ประกอบด้วยคำ๒คำคืออำสำฬห(เดือน ๘ทำงจันทรคติ)กับบูชำ
(กำรบูชำ)เมื่อรวมกันจึงแปลว่ำกำรบูชำในเดือน๘หรือกำรบูชำเพื่อระลึกถึงเหตุกำรณ์สำคัญในเดือน๘หรือเรียกให้เต็มว่ำ
อำสำฬหบูรณมีบูชำ
โดยสรุปวันอำสำฬหบูชำแปลว่ำกำรบูชำในวันเพ็ญเดือน๘หรือกำรบูชำเพื่อระลึกถึงเหตุกำรณ์สำคัญในวันเพ็ญเดือน๘คือ
๑.เป็นวันที่พระพุทธเจ้ำทรงแสดงปฐมเทศนำ
๒. เป็นวันที่พระพุทธเจ้ำเริ่มประกำศพระศำสนำ
๓. เป็นวันที่เกิดอริยสงฆ์ครั้งแรกคือกำรที่ท่ำนโกณฑัญญะรู้แจ้งเห็นธรรมเป็นพระโสดำบันจัดเป็นอริยบุคคลท่ำนแรกในอริยสงฆ์
๔. เป็นวันที่เกิดพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศำสนำคือกำรที่ท่ำนโกณฑัญญะขอบรรพชำและได้บวชเป็นพระภิกษุ
หลังจำกฟังปฐมเทศนำและบรรลุธรรมแล้ว
๕. เป็นวันที่พระพุทธเจ้ำทรงได้ปฐมสำวกคือกำรที่ท่ำนโกณฑัญญะนั้นได้บรรลุธรรมและบวชเป็นพระภิกษุ
จึงเป็นสำวกรูปแรกของพระพุทธเจ้ำ
เมื่อเปรียบกับวันสำคัญอื่นๆในพระพุทธศำสนำบำงทีเรียกวันอำสำฬหบูชำนี้ว่ำวันพระสงฆ์(คือวันที่เริ่มเกิดมีพระสงฆ์)
พิธีกรรมที่กระทำในวันนี้โดยทั่วไปคือทำบุญ ตักบำตรรักษำศีลเวียนเทียนฟังพระธรรมเทศนำ(ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร)
และสวดมนต์ดังนั้นในวันนี้จึงถือว่ำพุทธศำสนิกชนควรได้รับประโยชน์ ที่เป็นสำระสำคัญจำกอำสำฬหบูชำกล่ำวคือ
ควรทบทวนระลึกเตือนใจสำรวจตนว่ำชีวิตเรำได้เจริญงอกงำมขึ้นด้วยควำมเป็นอยู่อย่ำงผู้รู้เท่ำทันโลกและชีวิตนี้บ้ำงแล้วเพียงใด
เรำยังดำเนินชีวิตอยู่อย่ำงลุ่มหลงมัวเมำหรือมีจิตใจอิสระปลอดโปร่งผ่องใสบ้ำงแล้วเพียงใด
๑๔
วันมำฆบูชำ
ความหมาย
วันมำฆบูชำหมำยถึงกำรบูชำในวันเพ็ญเดือน๓เนื่องในโอกำสคล้ำยวันที่พระพุทธเจ้ำทรงแสดงโอวำทปำติโมกข์
๑๕
ความสาคัญ
วันมำฆบูชำ เป็นวันขึ้น ๑๕ค่ำเดือน ๓มีเหตุกำรณ์อัศจรรย์ที่พระสงฆ์สำวกของพระพุทธเจ้ำจำนวน๑,๒๕๐รูป
มำเฝ้ำพระพุทธเจ้ำณวัดเวฬุวันเมืองรำชคฤห์แคว้นมคธโดยมิได้นัดหมำยกันพระสงฆ์ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญำ
๖และเป็นผู้ที่ได้รับกำรอุปสมบทโดยตรงจำกพระพุทธเจ้ำในวันนี้พระพุทธเจ้ำได้ทรงแสดงโอวำทปำติโมกข์
ในที่ประชุมสงฆ์เหล่ำนั้นซึ่งเป็นทั้งหลักกำรอุดมกำรณ์และวิธีกำรปฏิบัติที่นำไปใช้ได้ทุกสังคมมีเนื้อหำ
โดยสรุปคือให้ละควำมชั่วทุกชนิดทำควำมดีให้ถึงพร้อมและทำจิตใจให้ผ่องใส
ประวัติความเป็นมา
๑.ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้ำหลังจำกพระพุทธเจ้ำตรัสรู้ได้ ๙เดือนขณะนั้นเมื่อเสร็จพุทธกิจแสดงธรรมที่ถ้ำสุกรขำตำแล้ว
เสด็จมำประทับที่วัดเวฬุวันเมืองรำชคฤห์แคว้นมคธประเทศอินเดียในปัจจุบันวันนั้นตรงกับวันเพ็ญเดือนมำฆะหรือเดือน
๓ในเวลำบ่ำยพระอรหันต์สำวกของพระพุทธเจ้ำมำประชุมพร้อมกันณที่ประทับของพระพุทธเจ้ำนับเป็นเหตุอัศจรรย์
ที่มีองค์ประกอบสำคัญ๔ประกำรคือ
๑.วันนั้นเป็นวันขึ้น ๑๕ค่ำ เดือน ๓
๒. พระสงฆ์จำนวน๑,๒๕๐รูป มำประชุมพร้อมกันโดยมิได้ นัดหมำย
๓. พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญำ ๖
๔. พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นผู้ได้รับกำรอุปสมบทโดยตรงจำกพระพุทธเจ้ำ
เพรำะเหตุที่มีองค์ประกอบสำคัญดังกล่ำวจึงมีชื่อเรียกอีกอย่ำงหนึ่งว่ำวันจำตุรงคสันนิบำตและในโอกำสนี้พระพุทธเจ้ำ
ได้แสดงโอวำทปำติโมกข์ในที่ประชุมสงฆ์เหล่ำนั้นซึ่งถือได้ว่ำเป็นกำรประกำศหลักกำรอุดมกำรณ์
และวิธีกำรปฏิบัติทำงพระพุทธศำสนำ
การถือปฏิบัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย
พิธีวันมำฆบูชำนี้เดิมทีเดียวในประเทศไทยไม่เคยทำมำก่อน
พระบำทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หัวทรงอธิบำยไว้ว่ำเกิดขึ้นในสมัยพระบำทสมเด็จพระจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หัวรัชกำลที่ ๔
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทรงถือตำมแบบของโบรำณบัณฑิตที่ได้นิยมกันว่ำวันมำฆะบูรณมี
พระจันทร์เสวยฤกษ์มำฆะเต็มบริบูรณ์เป็นวันที่พระอรหันต์สำวกของพระพุทธเจ้ำ ๑,๒๕๐รูปได้ประชุมกันพร้อมด้วยองค์๔
ประกำรเรียกว่ำ
จำตุรงคสันนิบำตพระพุทธเจ้ำได้ตรัสเทศนำโอวำทปำติโมกข์ในที่ประชุมสงฆ์เป็นกำรประชุมใหญ่
และเป็นกำรอัศจรรย์ในพระพุทธศำสนำนักปรำชญ์ จึงถือเอำเหตุนั้นประกอบกำรสักกำรบูชำพระพุทธเจ้ำและพระอรหันต์สำวก
๑,๒๕๐ รูปนั้น ให้เป็นที่ตั้งแห่งควำมเลื่อมใสกำรประกอบพิธีมำฆะบูชำได้เริ่มในพระบรมมหำรำชวังก่อน
ในสมัยรัชกำลที่๔มีพิธีกำรพระรำชกุศลในเวลำเช้ำ
พระสงฆ์วัดบวรนิเวศวิหำรและวัดรำชประดิษฐ์๓๐รูป
ฉันในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศำสดำรำมเวลำค่ำ
เสด็จออกทรงจุดธูปเทียนเครื่องมนัสกำรแล้ว
พระสงฆ์สวดทำวัตรเย็นเสร็จแล้วสวดมนต์ต่อไปมี
สวดคำถำโอวำทปำติโมกข์ด้วยสวดมนต์
จบทรงจุดเทียนรำยตำมรำวรอบพระอุโบสถ ๑,๒๕๐เล่ม
วันสำคัญทางศาสนาพุทธ.docx
วันสำคัญทางศาสนาพุทธ.docx
วันสำคัญทางศาสนาพุทธ.docx
วันสำคัญทางศาสนาพุทธ.docx
วันสำคัญทางศาสนาพุทธ.docx
วันสำคัญทางศาสนาพุทธ.docx
วันสำคัญทางศาสนาพุทธ.docx
วันสำคัญทางศาสนาพุทธ.docx
วันสำคัญทางศาสนาพุทธ.docx
วันสำคัญทางศาสนาพุทธ.docx
วันสำคัญทางศาสนาพุทธ.docx
วันสำคัญทางศาสนาพุทธ.docx

More Related Content

Similar to วันสำคัญทางศาสนาพุทธ.docx

วันสำคัญทางศาสนา
วันสำคัญทางศาสนาวันสำคัญทางศาสนา
วันสำคัญทางศาสนาprimpatcha
 
บุบผา
บุบผาบุบผา
บุบผา0856124557
 
วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาlinda471129101
 
วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาBongkot Inprom
 
วันมาฆบูชา
วันมาฆบูชาวันมาฆบูชา
วันมาฆบูชาThongsawan Seeha
 
สาวิณี
สาวิณีสาวิณี
สาวิณีsawinee37
 
ติวศาสนา55
ติวศาสนา55ติวศาสนา55
ติวศาสนา55Kwandjit Boonmak
 
ติวศาสนา55
ติวศาสนา55ติวศาสนา55
ติวศาสนา55Kwandjit Boonmak
 
Wansamkarn tippaya
Wansamkarn tippayaWansamkarn tippaya
Wansamkarn tippayatippaya6563
 
วันอาสาฬหบูชา
วันอาสาฬหบูชาวันอาสาฬหบูชา
วันอาสาฬหบูชาutumporn charoensuk
 
พุทธศาสนาหลังพุทธกาล
พุทธศาสนาหลังพุทธกาลพุทธศาสนาหลังพุทธกาล
พุทธศาสนาหลังพุทธกาลYota Bhikkhu
 
ครูพัชราภรณ์ เหมือนรุ่ง
ครูพัชราภรณ์    เหมือนรุ่งครูพัชราภรณ์    เหมือนรุ่ง
ครูพัชราภรณ์ เหมือนรุ่งพัน พัน
 
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในญี่ปุ่น
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในญี่ปุ่นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในญี่ปุ่น
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในญี่ปุ่นsumanan vanict
 

Similar to วันสำคัญทางศาสนาพุทธ.docx (20)

วันสำคัญทางศาสนา
วันสำคัญทางศาสนาวันสำคัญทางศาสนา
วันสำคัญทางศาสนา
 
บุบผา
บุบผาบุบผา
บุบผา
 
200789830 katin
200789830 katin200789830 katin
200789830 katin
 
วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
 
140128 วารสารยุวพุทธสัมพันธ์
140128 วารสารยุวพุทธสัมพันธ์140128 วารสารยุวพุทธสัมพันธ์
140128 วารสารยุวพุทธสัมพันธ์
 
วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
 
วันมาฆบูชา
วันมาฆบูชาวันมาฆบูชา
วันมาฆบูชา
 
Saeng Dhamma Vol. 36 No. 434 June 2011
Saeng Dhamma Vol. 36 No. 434 June 2011 Saeng Dhamma Vol. 36 No. 434 June 2011
Saeng Dhamma Vol. 36 No. 434 June 2011
 
สาวิณี
สาวิณีสาวิณี
สาวิณี
 
ติวศาสนา55
ติวศาสนา55ติวศาสนา55
ติวศาสนา55
 
ติวศาสนา55
ติวศาสนา55ติวศาสนา55
ติวศาสนา55
 
Buddhajayanti2,600
Buddhajayanti2,600Buddhajayanti2,600
Buddhajayanti2,600
 
Wansamkarn tippaya
Wansamkarn tippayaWansamkarn tippaya
Wansamkarn tippaya
 
วันอาสาฬหบูชา
วันอาสาฬหบูชาวันอาสาฬหบูชา
วันอาสาฬหบูชา
 
พุทธศาสนาหลังพุทธกาล
พุทธศาสนาหลังพุทธกาลพุทธศาสนาหลังพุทธกาล
พุทธศาสนาหลังพุทธกาล
 
แผ่นพับ พระธาตุดอยอ่างกุ้ง
แผ่นพับ พระธาตุดอยอ่างกุ้งแผ่นพับ พระธาตุดอยอ่างกุ้ง
แผ่นพับ พระธาตุดอยอ่างกุ้ง
 
Seang Dhamma Vol. 37 No. 440 December 2011
Seang Dhamma Vol. 37 No. 440 December 2011Seang Dhamma Vol. 37 No. 440 December 2011
Seang Dhamma Vol. 37 No. 440 December 2011
 
ครูพัชราภรณ์ เหมือนรุ่ง
ครูพัชราภรณ์    เหมือนรุ่งครูพัชราภรณ์    เหมือนรุ่ง
ครูพัชราภรณ์ เหมือนรุ่ง
 
งานสังคม
งานสังคมงานสังคม
งานสังคม
 
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในญี่ปุ่น
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในญี่ปุ่นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในญี่ปุ่น
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในญี่ปุ่น
 

More from PingladaPingladaz

ประวัติพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา.docx
ประวัติพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา.docxประวัติพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา.docx
ประวัติพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา.docxPingladaPingladaz
 
พระพุทธศาสนา.docx
พระพุทธศาสนา.docxพระพุทธศาสนา.docx
พระพุทธศาสนา.docxPingladaPingladaz
 
ประวัติพระพุทธเจ้า.docx
ประวัติพระพุทธเจ้า.docxประวัติพระพุทธเจ้า.docx
ประวัติพระพุทธเจ้า.docxPingladaPingladaz
 
ประชาคมอาเซียน.docx
ประชาคมอาเซียน.docxประชาคมอาเซียน.docx
ประชาคมอาเซียน.docxPingladaPingladaz
 

More from PingladaPingladaz (20)

ประวัติพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา.docx
ประวัติพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา.docxประวัติพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา.docx
ประวัติพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา.docx
 
พระพุทธศาสนา.docx
พระพุทธศาสนา.docxพระพุทธศาสนา.docx
พระพุทธศาสนา.docx
 
ชาดก.docx
ชาดก.docxชาดก.docx
ชาดก.docx
 
ประวัติพระพุทธเจ้า.docx
ประวัติพระพุทธเจ้า.docxประวัติพระพุทธเจ้า.docx
ประวัติพระพุทธเจ้า.docx
 
ประชาคมอาเซียน.docx
ประชาคมอาเซียน.docxประชาคมอาเซียน.docx
ประชาคมอาเซียน.docx
 
ThaiMusic7.doc.docx
ThaiMusic7.doc.docxThaiMusic7.doc.docx
ThaiMusic7.doc.docx
 
ThaiMusic14.doc.docx
ThaiMusic14.doc.docxThaiMusic14.doc.docx
ThaiMusic14.doc.docx
 
ThaiMusic13.doc.docx
ThaiMusic13.doc.docxThaiMusic13.doc.docx
ThaiMusic13.doc.docx
 
ThaiMusic5.doc.docx
ThaiMusic5.doc.docxThaiMusic5.doc.docx
ThaiMusic5.doc.docx
 
ThaiMusic1.doc.docx
ThaiMusic1.doc.docxThaiMusic1.doc.docx
ThaiMusic1.doc.docx
 
ThaiMusic9.doc.docx
ThaiMusic9.doc.docxThaiMusic9.doc.docx
ThaiMusic9.doc.docx
 
ThaiMusic11.doc.docx
ThaiMusic11.doc.docxThaiMusic11.doc.docx
ThaiMusic11.doc.docx
 
ThaiMusic10.doc.docx
ThaiMusic10.doc.docxThaiMusic10.doc.docx
ThaiMusic10.doc.docx
 
ThaiMusic2.doc.docx
ThaiMusic2.doc.docxThaiMusic2.doc.docx
ThaiMusic2.doc.docx
 
ThaiMusic3.doc.docx
ThaiMusic3.doc.docxThaiMusic3.doc.docx
ThaiMusic3.doc.docx
 
ThaiMusic4.doc.docx
ThaiMusic4.doc.docxThaiMusic4.doc.docx
ThaiMusic4.doc.docx
 
ThaiMusic6.doc.docx
ThaiMusic6.doc.docxThaiMusic6.doc.docx
ThaiMusic6.doc.docx
 
ThaiMusic12.doc.docx
ThaiMusic12.doc.docxThaiMusic12.doc.docx
ThaiMusic12.doc.docx
 
mu103-3.pdf
mu103-3.pdfmu103-3.pdf
mu103-3.pdf
 
mu103-12.pdf
mu103-12.pdfmu103-12.pdf
mu103-12.pdf
 

วันสำคัญทางศาสนาพุทธ.docx

  • 1. วันสำคัญทำงพระพุทธศำสนำ วันสำคัญในพระพุทธศำสนำเป็นวันที่มีเหตุกำรณ์ที่สำคัญอันเนื่องด้วยพระรัตนตรัยคือพระพุทธเจ้ำ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ำและพระสงฆ์สำวกของพระพุทธเจ้ำเหตุกำรณ์ที่สำคัญดังกล่ำว เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่พุทธศำสนิกชนทุกหมู่เหล่ำคือบริษัทสี่อันได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบำสกและอุบำสิกำ ให้น้อมรำลึกถึงคุณของพระรัตนตรัยในหลักที่สำคัญเพื่อนำไปประพฤติปฏิบัติเพื่อจรรโลงให้พระพุทธศำสนำดำรงคงอยู่สถิตสถำพร เป็นคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ตนเองและแก่สัตว์โลกทั้งปวงซึ่งมิใช่จำกัดอยู่เพียงมนุษยชำติเท่ำนั้นวันสำคัญในพระพุทธศำสนำ ตำมลำดับควำมสำคัญและตำมลำดับเวลำที่เกิดขึ้นคือวันวิสำขบูชำวันอำสำฬหบูชำวันมำฆบูชำวันเข้ำพรรษำและออกพรรษำ วันวิสาขบูชา ต ร ง กั บวั น ขึ้น ๑ ๕ค่ำ เ ดื อ น ๖ ควำมหมำยคำว่ำ"วิสำขบูชำ"หมำยถึงกำรบูชำในวันเพ็ญเดือน ๖วิสำขบูชำย่อมำจำก"วิสำขปุรณมีบูชำ"แปลว่ำ" กำรบูชำในวันเพ็ญเดือนวิสำขะ"ถ้ำปีใดมีอธิกมำสคือมีเดือน ๘สองหน ก็เลื่อนไปเป็นกลำงเดือน๗ ควำมสำคัญวันวิสำขบูชำเป็นวันสำคัญยิ่งทำงพระพุทธศำสนำเพรำะเป็นวันที่พระพุทธเจ้ำประสูติคือเกิดได้ตรัสรู้ คือสำเร็จ ได้ปรินิพพำนคือดับ เกิดขึ้นตรงกันทั้ง๓ครำวคือ ๑.เมื่อเจ้ำชำยสิทธัตถะประสูติที่พระรำชอุทยำนลุมพินีวันระหว่ำงกรุงกบิลพัสดุ์กับเทวทหะเมื่อเช้ำวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ค่ำ เดือน ๖ ปีจอ ก่อนพุทธศักรำช๘๐ ปีพระพุทธเจ้ำประสูติณสวนลุมพินีวันเมื่อวันเพ็ญเดือน6ตรงกับวันศุกร์ขึ้น15ค่ำ ปีจอ ก่อนพุทธศักรำช80ปี เมื่อพระนำงสิริมหำมำยำพระมเหสีของพระเจ้ำสุทโธทนะแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ทรงพระครรภ์แก่จวนจะประสูติ พระนำงได้รับพระบรมรำชำนุญำตจำกพระเจ้ำสุทโธทนะให้แปรพระรำชฐำนไปประทับณกรุงเทวทหะ ซึ่งเป็นพระนครของพระรำชบิดำของพระนำงเพื่อประสูติในตระกูลของพระนำงตำมประเพณีนิยมในสมัยนั้น ขณะเสด็จพักผ่อนพระอิริยำบถใต้ต้นสำละณสวนลุมพินีวันปัจจุบันคือตำบลรุมมินเดแขวงเปชวำร์ ประเทศเนปำล พระนำงก็ได้ประสูติพระโอรสณใต้ต้นสำละนั้นพระกุมำรประสูติได้ 5วันก็ได้รับกำรถวำยพระนำมว่ำ"สิทธัตถะ"เมื่อพระองค์ มีพระชนมำยุได้ 29พรรษำได้ออกบวชจนบรรลุอนุตตรสัมมำสัมโพธิญำณสำเร็จเป็นพระอรหันต์สัมมำสัมพุทธเจ้ำ จึงถือว่ำวันนี้เป็นวันสำคัญทำงพระพุทธศำสนำ ๒. เมื่อเจ้ำชำยสิทธัตถะตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้ำเมื่อพระชนมำยุ๓๕พรรษำณใต้ร่มไม้ศรีมหำโพธิ์ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรำ
  • 2. ๒ ตำบลอุรุเวลำเสนำนิคมในตอนเช้ำมืดวันพุธขึ้น๑๕ค่ำ เดือน ๖ ปีระกำก่อนพุทธศักรำช๔๕ปี หลังจำกออกผนวชได้ ๖ปี ปัจจุบันสถำนที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่ำ พุทธคยำเป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยำแห่งรัฐพิหำรของอินเดีย วันที่พระพุทธเจ้ำตรัสรู้ อนุตตรสัมโพธิญำณณร่มพระศรีมหำโพธิบัลลังก์ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรำตำบลอุรุเวลำเสนำนิคม เมื่อวันเพ็ญเดือน6 ก่อนพุทธศักรำช45ปี กำรตรัสอริยสัจสี่คือของจริงอันประเสริฐ4ประกำรของพระพุทธเจ้ำเป็นกำรตรัสรู้อันยอดเยี่ยมไม่มีผู้เสมอเหมือน วันตรัสของพระพุทธเจ้ำจึงจัดเป็นวันสำคัญเพรำะเป็นวันที่ให้เกิดมีพระพุทธเจ้ำขึ้นในโลกชำวพุทธทั่วไปจึงเรียกวันวิสำขบูชำว่ำ “วันพระพุทธเจ้ำ”อันมีประวัติว่ำพระมหำบุรุษทรงบำเพ็ญเพียรต่อไปที่ใต้ต้นพระศรีมหำโพธิ์นั้น ทรงเริ่มบำเพ็ญสมำธิให้เกิดในพระทัยเรียกว่ำกำรเข้ำ"ฌำน"เพื่อให้บรรลุ "ญำณ"จนเวลำผ่ำนไปจนถึง ยำมต้น: ทรงบรรลุ"ปุพเพนิวำสำนุติญำณ"คือทรงระลึกชำติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่น ยำมสอง: ทรงบรรลุ"จุตูปปำตญำณ"คือกำรรู้แจ้งกำรเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลำย ยำมสำม: ทรงบรรลุ"อำสวักขญำณ"คือรู้วิธีกำจัดกิเลสด้วยอริยสัจสี่(ทุกข์สมุทัยนิโรธมรรค) ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำในคืนวันเพ็ญเดือน6ซึ่งขณะนั้น พระพุทธองค์มีพระชนมำยุได้ 35พรรษำ ๓. หลังจำกตรัสรู้แล้วได้ประกำศพระศำสนำและโปรดเวไนยสัตว์ ๔๕ปี พระชนมำยุได้ ๘๐พรรษำก็เสด็จดับขันธปรินิพพำน เมื่อวันอังคำรขึ้น ๑๕ค่ำเดือน ๖ ปีมะเส็ง ณสำลวโนทยำนของมัลลกษัตริย์เมืองกุสินำรำแคว้นมัลละ(ปัจจุบันอยู่ในเมือง กุสีนคระ)แคว้นอุตตรประเทศประเทศอินเดีย วันปรินิพพำนของพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำณร่มไม้รัง(ต้นสำละ)คู่ ในสำลวโนทยำนของมัลลกษัตริย์ใกล้เมืองกุสินำรำ เมื่อวันเพ็ญเดือน6 ก่อนพุทธศักรำช1ปี วันที่พระพุทธเจ้ำเสด็จเข้ำสู่ปรินิพพำน(ดับสังขำรไม่กลับมำเกิดสร้ำงชำติ สร้ำงภพอีกต่อไป)กำรปรินิพพำนของพระพุทธเจ้ำ ก็ถือเป็นวันสำคัญของชำวพุทธทั่วโลกเพรำะชำวพุทธทั่วโลกได้สูญเสียดวงประทีปของโลก เป็นกำรสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่และครั้งสำคัญชำวพุทธทั่วไปมีควำมเศร้ำสลดเสียใจและอำลัยสุดจะพรรณนำ อันมีประวัติว่ำเมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และแสดงธรรมมำเป็นเวลำนำนถึง45ปี ซึ่งมีพระชนมำยุได้ 80พรรษำ ได้ประทับจำพรรษำณเวฬุคำมใกล้เมืองเวสำลีแคว้นวัชชีในระหว่ำงนั้นทรงประชวรอย่ำงหนักครั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือน 6 พระพุทธองค์กับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลำยก็ไปรับภัตตำหำรบิณฑบำตที่บ้ำนนำยจุนทะตำมคำกรำบทูลนิมนต์ พระองค์เสวยสุกรมัททวะที่นำยจุนทะตั้งใจทำถวำยก็เกิดอำพำธลงแต่ทรงอดกลั้นมุ่งเสด็จไปยังเมืองกุสินำรำประทับณป่ำสำละ เพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพำนในรำตรีนั้นได้มีปริพำชกผู้หนึ่งชื่อสุภัททะขอเข้ำเฝ้ำและได้อุปสมบทเป็นพระพุทธสำวกองค์สุดท้ำย เมื่อถึงยำมสุดท้ำยของคืนนั้นพระพุทธองค์ก็ทรงประทำนปัจฉิมโอวำทว่ำ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลำยอันว่ำสังขำรทั้งหลำยย่อมมีควำมเสื่อมสลำยไปเป็นธรรมดำ ท่ำนทั้งหลำยจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่นให้บริบูรณ์ด้วยควำมไม่ประมำทเถิด" หลังจำกนั้นก็เสด็จเข้ำดับขันธ์ปรินิพพำนในรำตรีเพ็ญเดือน6นั้น วันวิสำขบูชำจึงนับว่ำเป็นวันที่มีควำมสำคัญสำหรับพุทธศำสนิกชนทุกคนเป็นวันที่มีกำรทำพิธีพุทธบูชำ เพื่อเป็นกำรน้อมรำลึกถึงพระคุณของพระองค์ที่มีต่อปวงมนุษย์และสรรพสัตว์อันหำที่สุดมิได้ กำรประกอบพิธีในวันวิสำขบูชำจุดมุ่งหมำยในกำรประกอบพิธีในวันวิสำขบูชำเพื่อรำลึกถึงพระวิสุทธิคุณพระปัญญำคุณ และพระมหำกรุณำธิคุณของพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำที่มีต่อมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ อีกทั้งเพื่อเป็นกำรรำลึกถึงเหตุกำรณ์อันน่ำอัศจรรย์ทั้ง3ประกำรที่มำบังเกิดในวันเดียวกัน และนำหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์มำเป็นแนวทำงในกำรประพฤติปฏิบัติ นับว่ำเป็นเรื่องที่น่ำอัศจรรย์ยิ่ง ที่เหตุกำรณ์ทั้ง๓เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำซึ่งมีช่วงระยะเวลำห่ำงกันนับเวลำหลำยสิบปี
  • 3. ๓ บังเอิญเกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือน๖ดังนั้นเมื่อถึงวันสำคัญเช่นนี้ชำวพุทธทั้งคฤหัสถ์ และบรรพชิตได้พร้อมใจกันประกอบพิธีบูชำพระพุทธองค์เป็นกำรพิเศษเพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณำธิคุณพระปัญญำธิคุณ และพระบริสุทธิคุณของพระองค์ท่ำนผู้เป็นดวงประทีปของโลก ประวัติความเป็นมาของวันวิสาขบูชาในประเทศไทย วันวิสำขบูชำนี้ปรำกฏตำมหลักฐำนว่ำได้มีมำตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นรำชธำนีซึ่งสันนิษฐำนว่ำคงจะได้แบบอย่ำงมำจำกลังกำ กล่ำวคือเมื่อประมำณพ.ศ. ๔๒๐ พระเจ้ำภำติกุรำชกษัตริย์แห่งกรุงลังกำได้ประกอบพิธีวิสำขบูชำอย่ำงมโหฬำร เพื่อถวำยเป็นพุทธบูชำกษัตริย์ลังกำในรัชกำลต่อๆ มำก็ทรงดำเนินรอยตำมแม้ปัจจุบันก็ยังถือปฏิบัติอยู่ สมัยสุโขทัยนั้นประเทศไทยกับประเทศลังกำมีควำมสัมพันธ์ด้ำนพระพุทธศำสนำใกล้ชิดกันมำกเพรำะพระสงฆ์ชำวลังกำ ได้เดินทำงเข้ำมำเผยแพร่พระพุทธศำสนำและเชื่อว่ำได้นำกำรประกอบพิธีวิสำขบูชำมำปฏิบัติในประเทศไทยด้วย ในหนังสือนำงนพมำศได้กล่ำวบรรยำกำศกำรประกอบพิธีวิสำขบูชำสมัยสุโขทัยไว้ พอสรุปใจควำมได้ว่ำ"เมื่อถึงวันวิสำขบูชำ พระเจ้ำแผ่นดินข้ำรำชบริพำรทั้งฝ่ำยหน้ำและฝ่ำยในตลอดทั้งประชำชนชำวสุโขทัยทั่วทุกหมู่บ้ำนทุกตำบล ต่ำงช่วยกันทำควำมสะอำดประดับตกแต่งพระนครสุโขทัยเป็นกำรพิเศษด้วยดอกไม้ของหอม จุดประทีปโคมไฟแลดูสว่ำงไสวไปทั่วพระนครเป็นกำรอุทิศบูชำพระรัตนตรัยเป็นเวลำ ๓วัน ๓คืน พระมหำกษัตริย์ และบรมวงศำนุวงศ์ก็ทรงศีลและทรงบำเพ็ญพระรำชกุศลต่ำงๆครั้นตกเวลำเย็นก็เสด็จพระรำชดำเนิน พร้อมด้วยพระบรมวงศำนุวงศ์และนำงสนองพระโอษฐ์ตลอดจนข้ำรำชกำรทั้งฝ่ำยหน้ำและฝ่ำยในไปยังพระอำรำมหลวง เพื่อทรงเวียนเทียนรอบพระประธำน ส่วนชำวสุโขทัยชวนกันรักษำศีลฟังธรรมเทศนำถวำยสลำกภัตถวำยสังฆทำนถวำยอำหำรบิณฑบำตแด่พระภิกษุ สำมเณรบริจำคทรัพย์แจกเป็นทำนแก่คนยำกจนคนกำพร้ำคนอนำถำคนแก่ คนพิกำรบำงพวกก็ชวนกันสละทรัพย์ปล่อยสัตว์ ๔ เท้ำ ๒เท้ำ และเต่ำปลำเพื่อชีวิตสัตว์ให้เป็นอิสระโดยเชื่อว่ำจะทำให้คนอำยุยืนยำวต่อไป" ในสมัยอยุธยำสมัยธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นด้วยอำนำจอิทธิพลของศำสนำพรำหมณ์ เข้ำครอบงำประชำชนคนไทย และมีอิทธิพลสูงกว่ำอำนำจของพระพุทธศำสนำจึงไม่ปรำกฎหลักฐำนว่ำได้มีกำรประกอบพิธีบูชำในวันวิสำขบูชำ จนมำถึงรัชสมัยพระบำทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้ำนภำลัยรัชกำลที่ ๒แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ.๒๓๖๐) ทรงดำริกับ สมเด็จพระสังฆรำช(มี)สำนักวัดรำชบูรณะมีพระรำชประสงค์จะให้ฟื้นฟูกำรประกอบพระรำชพิธีวันวิสำขบูชำขึ้นใหม่โดย สมเด็จพระสังฆรำชถวำยพระพรให้ทรงทำขึ้นเป็นครั้งแรกในวันขึ้น ๑๔ค่ำ ๑๕ค่ำและวันแรม๑ ค่ำ เดือน ๖ พ.ศ. ๒๓๖๐ และให้จัดทำตำมแบบอย่ำงประเพณีเดิมทุกประกำรเพื่อมีพระประสงค์ให้ประชำชนประกอบกำรบุญกำรกุศล เป็นหนทำงเจริญอำยุและอยู่เญ็นเป็นสุขปรำศจำกทุกข์โศกโรคภัยและอุปัทวันตรำยต่ำงๆโดยทั่วหน้ำกัน ฉะนั้นกำรประกอบพิธีในวันวิสำขบูชำในประเทศไทยจึงได้รื้อฟื้นให้มีขึ้นอีกครั้งหนึ่งในรัชสมัย พระบำทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้ำนภำลัยรัชกำลที่๒และถือปฏิบัติมำจวบจนกระทั่งปัจจุบัน กำรจัดงำนเฉลิมฉลองในวันวิสำขบูชำที่ยิ่งใหญ่กว่ำทุกยุคทุกสมัยคงได้แก่กำรจัดงำนเฉลิมฉลองวันวิสำขบูชำพ.ศ.๒๕๐๐ ซึ่งทำงรำชกำรเรียกว่ำงำน"ฉลอง ๒๕พุทธศตวรรษ"ตั้งแต่วันที่๑๒ถึง ๑๘พฤษภำคมรวม ๗วัน ได้จัดงำนส่วนใหญ่ขึ้นที่ท้องสนำมหลวงส่วนสถำนที่รำชกำรและวัดอำรำมต่ำงๆประดับธงทิวและโคมไฟสว่ำงไสวไปทั่วพระ รำชอำณำจักรประชำชนถือศีล๕หรือศีล ๘ตำมศรัทธำตลอดเวลำ๗วัน มีกำรอุปสมบทพระภิกษุสงฆ์รวม๒,๕๐๐รูปประชำชน งดกำรฆ่ำสัตว์และงดกำรดื่มสุรำตั้งแต่วันที่๑๒ถึง ๑๔พฤษภำคมรวม๓ วัน มีกำรก่อสร้ำงพุทธมณฑลจัดภัตตำหำร เลี้ยงพระภิกษุสงฆ์วันละ๒,๕๐๐รูปตั้งโรงทำนเลี้ยงอำหำรแก่ประชำชนวันละ ๒๐๐,๐๐๐คนเป็นเวลำ๓วัน ออกกฎหมำย สงวนสัตว์ป่ำในบริเวณนั้นรวมถึงกำรฆ่ำสัตว์และจับสัตว์ในบริเวณวัดและหน้ำวัดด้วยและได้มีกำรปฏิบัติธรรมอันยิ่งใหญ่ อย่ำงพร้อมเพรียงกันเป็นกรณีพิเศษในวันวิสำขบูชำปีนั้นด้วย
  • 4. ๔ ห ลั ก ธ ร ร ม สา คั ญ ที่ ค ว ร นา ม า ป ฏิ บั ติ ๑.ค ว ำม ก ตั ญ ญูคือควำมรู้อุปกำรคุณที่มีผู้ทำไว่ก่อนเป็นคุณธรรมคู่กับควำมกตเวทีคือ กำรตอบแทนอุปกำรคุณที่ผู้อื่นทำไว้นั้น • บิดำมำรดำมีอุปกำรคุณแก่ลูกในฐำนะผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูจนเติบโตให้กำรศึกษำอบรมสั่งสอนให้เว้นจำกควำมชั่ว มั่นคงในกำรทำควำมดีเมื่อถึงครำวมีคู่ครองได้จัดหำคู่ครองที่เหมำะสมให้ และมอบทรัพย์สมบัติให้ไว้เป็นมรดก • ลูกเมื่อรู้อุปกำระคุณที่บิดำมำรดำทำไว้ ย่อมตอบแทนด้วยกำรประพฤติตัวดีสร้ำงชื่อเสียงให้ แก่วงศ์ตระกูลเลี้ยงดูท่ำน และช่วยทำงำนของท่ำนและเมื่อท่ำนล่วงลับไปแล้วก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่ำน • ครูอำจำรย์มีอุปกำรคุณแก่ศิษย์ในฐำนะเป็นผู้ประสำทควำมรู้ให้ ฝึกฝนแนะนำให้เป็นคนดี สอนศิลปวิทยำให้อย่ำงไม่ปิดบังยกย่องให้ปรำกฎแก่คนอื่นและช่วยคุ้มครองให้ศิษย์ทั้งหลำย • ศิษย์เมื่อรู้อุปกำรคุณที่ครูอำจำรย์ทำไว้ ย่อมตอบแทนด้วยกำรตั้งใจเรียนให้เกียรติและให้ควำมเคำรไม่ล่วงละเมิดโอวำทของครู • ควำมกตัญญูและควำมกตเวทีนี้ถือว่ำเป็นเครื่องหมำยของคนดีส่งผลให้ครอบครัวและสังคมมีควำมสุขได้เพรำะ บิดำมำรดำจะรู้จักหน้ำที่ของตนเองด้วยกำรทำอุปกำรคุณให้ก่อนและลูกก็จะรู้จักหน้ำที่ของตนเองด้วยกำรทำดีตอบแทน • นอกจำกบิดำกับลูกและครูอำจำรย์กับศิษย์แล้วคุณธรรมข้อนี้ก็สำมำรถนำไปใช้ได้แม้ระหว่ำงนำยจ้ำงกับลูกจ้ำง อันจะส่งผลให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่ำงสงบสุข • ในทำงพระพุทธศำสนำพระพุทธเจ้ำทรงเป็นบุพกำรรีในฐำนะที่ทรงสถำปนำพระพุทธศำสนำ และทรงสอนทำงพ้นทุกข์ให้แก่เวไนยสัตว์ • พุทธศำสนิกชนรู้พระคุณอันนี้จึงตอบแทนด้วยอำมิสบูชำและปฎิบัติบูชำกล่ำวคือกำรจัดกิจกรรมในวันวิสำขบูชำ เป็นส่วนหนึ่งที่ชำวพุทธแสดงออกซึ่งควำมกตัญญูกตเวทีต่อพระองค์ด้วยกำรทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศำสนำ และประพฤติปฎิบัติธรรมเพื่อดำรงอำยุพระพุทธศำสนำสืบไป ๒. อ ริ ย สั จ ๔ อริยสัจ๔คือ ควำมจริงอันประเสริฐหมำยถึงควำมจริงของชีวิตที่ไม่ผันแปรเกิดมีได้แก่ทุกคนมี ๔ ประกำร คือธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ อริยสัจ4คือควำมจริงอันประเสริฐควำมจริงของพระอริยะ ควำมจริงที่ทำให้ผู้เข้ำถึงกลำยเป็นพระอริยะเป็นผู้ประเสริฐได้ อริยสัจ 4ประกอบด้วย 1. ทุกข์ ( ธรรมที่ควรรู้ )หมำยถึงควำมรู้สึกไม่สบำยกำยไม่สบำยใจควำมเศร้ำโศกเสียใจ เป็นสภำพบีบคั้นจิตใจและร่ำงกำยให้ทนได้ยำกเมื่อทุกข์เกิดขึ้นบุคคลจะไม่สำมำรถละหรือคลำยทุกข์ได้ ทุกข์จึงเป็นสภำวะที่จะต้องกำหนดรู้เพียงอย่ำงเดียวว่ำ นี้คือควำมทุกข์หรือปัญหำและต้องยอมรับควำมเป็นจริงว่ำเป็นธรรมดำของสัตว์โลกต้องปล่อยวำงจึงจะทำให้ทุกข์บำงเบำลงได้ทุกข์ ได้แก่ปัญหำของชีวิตพระพุทธเจ้ำทรงแสดงไว้ ก็เพื่อให้ทรำบว่ำมนุษย์ทุกคนมีทุกข์เหมือนกันทั้งทุกข์ขั้นพื้นฐำน และทุกข์เกี่ยวกับกำรดำเนินชีวิตประจำวันทุกข์ขั้นพื้นฐำนคือทุกข์ที่เกิดจำกกำรเกิดกำรแก่และกำรตำย ส่วนทุกข์ที่เกี่ยวกับกำรดำเนินชีวิตประจำวันคือทุกข์ที่เกิดจำกกำรพลัดพรำกจำกสิ่งที่รัก ทุกข์ที่เกิดจำกกำรประสบกันสิ่งที่ไม่เป็นที่รักทุกข์ที่เกิดจำกไม่ได้ตั้งใจปรำรถนำรวมทั้งทุกข์ที่เกี่ยวกับกำรดำเนินชีวิตด้ำนต่ำงๆ อำทิควำมยำกจน 2. สมุทัย(ธรรมที่ควรละ)หมำยถึงต้นเหตุที่ให้เกิดทุกข์หรือปัญหำซึ่งได้แก่ ควำมต้องกำรหรือที่เรียกว่ำตัณหำมี3 ประกำยคือ กำมตัณหำคือควำมปรำรถนำในกำมไม่หยุดหย่อนภวตัณหำคือควำมอยำกมีอยำกเป็นไม่เพียงพอและวิภวตัณหำ คือควำมไม่อยำกมีไม่อยำกเป็นจนทุกข์สมุทัยคือเหตุแห่งปัญหำพระพุทธเจ้ำทรงแสดงไว้ก็เพื่อให้ทรำบว่ำ ทุกข์ทั้งหมดซึ่งเป็นปัญหำของชีวิตล้วนมีเหตุให้เกิดเหตุนั้นคือตัญหำอันได้แก่ควำมอยำกได้ต่ำงๆซึ่งประกอบไปด้วยควำมยึดมั่น 3. นิโรธ( ธรรมที่ควรบรรลุ)หมำยถึงสภำวะที่ทุกข์หมดสิ้นไปสภำพที่ปรำศจำกทุกข์มีแต่ควำมสงบร่มเย็น สภำวะที่จัดเป็นนิโรธนี้ถือเป็นที่สูงสุดในกำรปฏิบัติธรรมของชำวพุทธเป็นยอดปรำรถนำของคนทั่วไปคือควำมดับทุกข์นิโรธคือ
  • 5. ๕ กำรแก้ปัญหำได้ พระพุทธเจ้ำทรงแสดงไว้ก็เพื่อให้ทรำบว่ำทุกข์คือปัญหำของชีวิตทั้งหมดที่สำมำรถแก้ไข ได้นั้นต้องแก้ไขตำมทำงหรือวิธีแก้ ๘ประกำร(ดูมัชฌิมำปฎิปทำ ) 4. มรรค( ธรรมที่ควรเจริญ)หมำยถึงข้อปฏิบัติที่เป็นเหตุให้ถึงควำมดับทุกข์ได้แก่ มรรคมีองค์ 8 ประกำรมีสัมมำทิฐิ คือควำมเห็นชอบเป็นต้นโดยมรรคทั้ง8 ประกำรนี้บุคคลจะต้องปฏิบัติให้เกิดมีขึ้นในตนครบทั้ง 8 ประกำรจึงสำมำรถถึงควำมดับทุกข์ได้ มรรคกำรปฏิบัติเพื่อจำกัดทุกข์เพื่อหลุดพ้นจำกทุกข์กำรปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหำ เพื่อบรรลุเป้ำหมำยกำรแก้ปัญหำที่ต้องกำร คุณค่ำของอริยสัจ4 อริยสัจ4 ไม่เพียงแต่เป็นหลักควำมจริงอันประเสริฐเป็นหลักแห่งเหตุและผล แต่ยังถือว่ำเป็นหลักกำรสำคัญในกำรแก้ปัญหำชีวิตอีกด้วยทั้ง 4ข้อนี้ถือเป็นสัจธรรมเรียกว่ำอริยสัจ เพรำะเป็นสิ่งที่พระอริยเจ้ำทรงค้นพบเป็นสัจธรรมชั้นสูงประเสริฐกว่ำสัจธรรมสำมัญทั่วไป ๓. ค ว ำ มไ ม่ ป ร ะ มำ ท ควำมไม่ประมำทคือกำรมีสติเสมอทั้งขณะทำขณะพูดและขณะคิดสติคือกำรระลึกได้ ในภำคปฎิบัติเพื่อนำ มำใช้ในชีวิตประจำวันหมำยถึงกำรระลึกรู้ทันกำรเคลื่อนไหวของอริยำบท๔คือ เดิน ยืน นั่ง นอน กำรฝึกให้เกิดสติทำได้โดยตั้งสติกำหนดกำรเคลื่อนไหวของอริยำบทกล่ำวคือระลึกทันทั้งในขณะยืนเดินนั่ง และนอนรวมทั้ง ระลึกรู้ทันในขณะพูดคิดและขณะทำงำนต่ำงๆเมื่อทำได้อย่ำงนี้ก็ชื่อว่ำมีควำมไม่ประมำท กำรทำงำนต่ำงๆสำเร็จได้ก็ด้วยควำมไม่ประมำทกล่ำวคือผู้ทำย่อมต้องมีสติระลึกรู้อยู่ว่ำตนเองเป็นใครมีหน้ำที่อะไร และกำลังทำอย่ำงไรหำกมีสติระลึกรู้ได้อย่ำงนั้นก็ย่อมไม่ผิดพลำด กิ จ ก ร ร ม ข อ ง วั น วิ ส า ข บู ช า ทำงรำชกำรประกำศชักชวนให้ประชำชนและหน่วยงำนต่ำงๆทั้งเอกชนและรำชกำรประดับตกแต่งอำคำรสถำนที่ด้วยธงชำติ ธงเสมำธรรมจักรจุดประทีบโคมไฟแต่โดยทำงปฎิบัติแล้วใช้หลอดไฟประดับหลำกสีในวันขึ้น ๑๔-๑๕ค่ำ เดือน ๖ พระบำมสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัวและพระบรมวงศำนุวงศ์เสด็จประกอบพระรำชกุศลที่วัดพระศรีรัตนศำสดำรำมทรงบำตร ในตอนเช้ำ ในตอนเย็นทรงนำเวียนเทียนรอบพระอุโบสถและสดับพระธรรมเทศนำในพระอุโบสถพร้อมทั้งถวำยไทยธรรม • จัดงำนส่งเสริมพระพุทธศำสนำที่บริเวณท้องสนำมหลวงเป็นประจำทุกปี แต่ละปีมีกิจกรรมทำงพระพุทธศำสนำหลำกหลำยหน่วยงำนทั้งทำงรำชกำรและเอกชนทั้งฝ่ำยบรรพชิตและคฤหัสถ์ ร่วมกันจัดงำนอันยิ่งใหญ่สร้ำงควำมศรัทธำให้แก่พุทธศำสนิกชนบำเพ็ญกุศลมีกำรทำบุญตักบำตรให้ทำนรักษำศีลฟังธรรม สนทนำธรรมเวียนเทียนเจริญภำวนำเป็นที่ประทับใจยิ่งนัก - ทำบุญตักบำตรบริเวณพุทธมณฑล- - เวียนเทียนบริเวณพุทธมณฑล- • สถำนที่จัดกิจกรรมในวันวิสำขบูชำที่ยิ่งใหญ่อีกแห่งหนึ่งก็คือณบริเวณพุทธมณฑลซึ่งมีหน่วยงำนกรมกำรศำสนำ กระทรวงศึกษำธกำรร่วมกับประชำชนทั่วไปได้จัดกิจกรรมปฎิบัติธรรมทั้งฝ่ำยพระสงฆ์และฆรำวำส
  • 6. ๖ มีจำนวนหลำยหมื่นได้ร่วมทำบุญตักบำตรให้ทำนรักษำศีลฟังธรรมสนทนำธรรม และเจริญภำวนำแผ่เมตตำถวำยเป๋ นพระรำชกุศลแด่พระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัวองค์ปัจจุบัน เนื่องในวโรกำสที่พระองค์ทรงมีพระชนมำยุครบ๗๒พรรษำและในวันวิสำขบูชำณบริเวณพุทธมณฑลนี้เอง สมเด็จพระเทพรัตนรำชสุดำฯสยำมบรมรำชกุมำรี เสด็จเป็นองค์ประธำนทรงเวียนเทียนทุกปีด้วย • พระสงฆ์ผู้จัดรำยกำรธรรมทำงสถำนีวิทยุเกือบทุกรำยกำรทั่วประเทศเมื่อถึงสำคัญคือวันวิสำขบูชำเช่นนี้ก็มี กำรประชำสัมพันธ์เชิญชวนพุทธศำสนิกชนบำเพ็ญกุศลเป็นกรณีพิเศษคือบรรพชำอุปสมบทนำคหมู่และบวชเนกขัมมะ เพื่อปฎิบัติธรรมถวำยเป็นพุทธบูชะธรรมบูชำเป็นกำรช่วยสนับสนุนส่งเสริม สร้ำงควำมสงบสุขให้แก่บุคคลและสร้ำงควำมสำมัคคีธรรมให้แก่สังคมตลอดถึงประเทศชำติอีกด้วย สรุปแล้ววันวิสำขบูชำปีนี้คงจะได้รับควำมร่วมมือจำกหน่วยงำนทำงรำชกำรและเอกชนตลอดทั้งผู้จัดรำยกำรธรรมะ ทำงสถำนีวิทยุทั่วประเทศช่วยกันประชำสัมพันธ์เชิญชวนสำธุชนผู้ศรัทธำจัดกิจกรรมปฎิบัติธรรม บำเพ็ญมหำกุศลอันยิ่งใหญ่เป็นกรณีพิเศษเหมือนที่เคยปฎิบัติมำทุกๆปี วันวิสำขบูชำเป็นวันสำคัญสำกลของสหประชำชำติคือ "วันสำคัญของโลก"( VesakDay) ภูมิหลัง ๑.ในกำรประชุม InternationalBuddhistConferenceณ กรุงโคลัมโบระหว่ำงวันที่๙- ๑๔พฤศจิกำยน๒๕๔๑ ซึ่งมีผู้แทนจำกประเทศที่นับถือศำสนำพุทธจำนวนมำกเข้ำร่วมอำทิบังคลำเทศจีน ลำวเกำหลีใต้ เวียดนำมภูฐำนอินโดนีเซีย เนปำล กัมพูชำอินเดีย ปำกีสถำนและไทยได้ตกลงกันที่จะเสนอให้สมัชชำสหประชำชำติรับรองข้อมติประกำศวัน วิสำขบูชำให้เป็นวันหยุดของสหประชำชำติ ๒. ในกำรเยือนของประเทศต่ำงๆในอินโดจีนของรัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงกำรต่ำงประเทศศรีลังกำในปี ๒๕๔๒ ก็ได้มีกำรหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นหำรือและได้รับกำรสนับสนุนจำกประเทศต่ำงๆได้ด้วยดี ๓. คณะทูตถำวรศรีลังกำประจำสหประชำชำติณนครนิวยอร์กได้จัดเตรียมร่ำงข้อมติและได้ขอเสียงสนับสนุนจำกประเทศต่ำงๆ เพื่อให้มีกำรรับรองข้อมติเรื่องกำรประกำศให้วันวิสำขบูชำเป็นวันหยุดของสหประชำชำติในที่ประชุมสมัชชำสหประชำชำติ สมัยสำมัญครั้งที่๕๔ ๔. โดยที่สหประชำชำติประกำศวันหยุดเป็นจำนวนมำกอยู่แล้วและจะเป็นปัญหำในเรื่องงบประมำณและกำรบริหำรแก่ สหประชำชำติหำกประกำศให้วันวิสำขบูชำเป็นวันหยุดศรีลังกำจึงได้ตัดสินใจที่จะเสนอร่ำงข้อมติ ขอให้วันวิสำขบูชำเป็นวันสำคัญสำกลที่สหประชำชำติทั้งที่สำนักงำนใหญ่ และสำนักงำนต่ำงๆแทนกำรเสนอให้เป็นวันหยุดซึ่ง ออท. ผู้แทนถำวรประเทศต่ำงๆรวม๑๖ ประเทศได้แก่ ศรีลังกำบังคลำเทศภูฐำนกัมพูชำลำวมัลดีฟส์มองโกเลียพม่ำ เนปำล ปำกีสถำนฟิลิปปินส์เกำหลีใต้ สเปนอินเดีย ไทยและยูเครนได้ร่วมลงนำมในหนังสือถึงประธำนสมัชชำฯ เพื่อให้นำเรื่องวันวิสำขบูชำเข้ำเป็นระเบียบวำระกำรประชุมของสมัชชำฯ ๕. ต่อมำเมื่อ๒๔ พฤศจิกำยน๒๕๔๒GeneralCommitteeของสมัชชำฯได้พิจำรณำเรื่องดังกล่ำวโดยออท.ผู้แทน ถำวรศรีลังกำได้กล่ำวถ้อยแถลงสนับสนุนหนังสือร้องขอให้ที่ประชุมบรรจุระเบียบวำระดังกล่ำว เข้ำสู่กำรพิจำรณำของที่ประชุมสมัชชำเต็มคณะออท.ผู้แทนถำวรไทยอินเดียสเปนบังคลำเทศปำกีสถำนไซปรัสลำวและภูฐำน ได้กล่ำวถ้อยแถลงสนับสนุนซึ่งที่ประชุมGeneralCommitteeได้มีมติให้บรรจุเรื่องนี้เข้ำสู่กำรพิจำรณำของสมัชชำเต็มคณะ
  • 7. ๗ ปัจจุบัน ๑.เมื่อ ๑๕ธันวำคม๒๕๔๒ ที่ประชุมสมัชชำสหประชำชำติสมัยสำมัญครั้งที่๕๔ได้พิจำรณำระเบียบวำระที่๑๗๔International recognitionofthe DayofVisak โดยกำรเสนอของศรีลังกำ ๒. ในกำรพิจำรณำประธำนสมัชชำฯได้เชิญผู้แทนศรีลังกำขึ้นกล่ำวนำเสนอร่ำงข้อมติและเชิญผู้แทนไทยสิงคโปร์ บังคลำเทศ ภูฐำนสเปนพม่ำ เนปำล ปำกีสถำนอินเดียขึ้นกล่ำวถ้อยแถลงสรุปควำมว่ำวันวิสำขบูชำเป็นวันสำคัญของพุทธศำสนิกชนทั่วโลก เพรำะเป็นวันที่พระพุทธเจ้ำประสูติทรงตรัสรู้ เสด็จดับขันธปรินิพพำน พระพุทธเจ้ำทรงสั่งสอนให้มวลมนุษย์มีเมตตำธรรมและขันติธรรมต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเพื่อให้เกิดสันติสุขในสังคม อันเป็นแนวทำงของ สหประชำชำติจึงขอให้ที่ประชุมรับรองข้อมตินี้ ซึ่งเท่ำกับเป็นกำรรับรองควำมสำคัญของพุทธศำสนำในองค์กำรสหประชำชำติ โดยถือว่ำวันดังกล่ำวเป็นที่สำนักงำนใหญ่องค์กำรสหประชำชำติและที่ทำกำรสมัชชำจะจัดให้มีกำรระลึกถึง(observance) ตำมควำมเหมำะสม ๓. ที่ประชุมฯ ได้รับรองร่ำงข้อมติโดยฉันทำมติ ถ้อยแถลงของเอกอัครรำชทูตผู้แทนถำวรฯศรีลังกำประจำสหประชำชำติณนครนิวยอร์ก ถ้อยแถลงของนำยวรวีร์ วีรสัมพันธ์อุปทูตคณะผู้แทนถำวรไทยประจำสหประชำชำติณนครนิวยอร์ก เหตุผลที่องค์กำรสหประชำชำติหนดให้ วันวิสำขบูชำเป็นวันสำคัญของโลก เนื่องจำกคณะกรรมมำธิกำรองค์กำรสหประชำชำติได้ร่วมพิจำรณำและมีมติเห็นพ้องต้องกันประกำศให้วันวิสำขบูชำ ถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของโลกทั้งนี้ ด้วยสำนึกในพระมหำกรุณำธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำว่ำทรงเป็นมหำบุรุษผู้ให้ควำมเมตตำต่อหมู่มวล มนุษย์ทั้งหลำยในโลกจะเห็นได้จำกกำรยกเลิกแบ่งชนชั้นวรรณะซึ่งเท่ำกับเป็นกำรเลิกทำสโดยไม่มีกำรเสียเลือดเสียเนื้อ นอกจำกนี้พระองค์ยังทรงเป็นนักอนุรักษ์สัตว์ป่ำอีกด้วยกล่ำวคือทรงสอนให้ไม่ฆ่ำสัตว์ให้รู้จักช่วยเหลือสัตว์เหตุผลสำคัญ อีกประกำรหนึ่งคือพระองค์ทรงเปิดโอกำสให้ทุกศำสนำสำมำรถเข้ำมำศึกษำพุทธศำสนำเพื่อพิสูจน์หำข้อเท็จจริงได้ โดย ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมำนับถือศำสนำพุทธและทรงสั่งสอนทุกคนโดยใช้ปัญญำธิคุณสอนโดยไม่คิดค่ำตอบแทน ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพาน
  • 8. ๘ วันอำสำฬหบูชำ วันอาสาฬหบูชาวันอาสาฬหบูชาตรงกับวันเพ็ญเดือน๘ ก่อนปุริมพรรษำ(ปุริมพรรษำเริ่มตั้งแต่วันแรม๑ค่ำเดือน ๘ ในปีที่ไม่มีอธิกมำสเป็นต้นไปถึงวันขึ้น๑๕ค่ำ เดือน ๑๑) ๑ วัน เป็นวันคล้ำยวันที่พระพุทธเจ้ำทรงแสดงปฐมเทศนำคือ เทศน์กัณฑ์แรกชื่อว่ำธัมมจักกัปปวัตตนสูตรโปรดพระปัญจวัคคีย์ที่ป่ำอิสิปตนมฤคทำยวัน แขวงเมืองพำรำณสี ในปีแรกที่ทรงตรัสรู้และเพรำะผลของพระธรรมเทศนำกัณฑ์นี้เป็นเหตุให้ท่ำนพระโกณฑัญญะในจำนวนพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ได้ธรรมจักษุ (โสดำปัตติมรรคหรือโสดำปัตติมรรคญำณคือญำณที่ทำให้สำเร็จเป็นโสดำบัน)ดวงตำเห็นธรรมคือปัญญำ รู้เห็นควำมจริงว่ำสิ่งใดก็ตำมมีควำมเกิดขึ้นเป็นธรรมดำสิ่งนั้นทั้งปวงล้วนมีควำมดับไปเป็นธรรมดำ แล้วขอบรรพชำอุปสมบทต่อพระองค์เป็นพระอริยสงฆ์องค์แรกของพระพุทธศำสนำและทำให้พระรัตนตรัยครบองค์ ๓คือ พระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์
  • 9. ๙ ในเมื่อวันนี้ของทุก ๆปี เวียนมำถึงพุทธศำสนิกชนจึงนิยมทำกำรบูชำเป็นพิเศษและพุทธศำสนิกชนในที่บำงแห่ง ยังตั้งชื่อวันอำสำฬหบูชำนี้ว่ำ"วันพระสงฆ์"ก็มีอำสำฬหะคือเดือน ๘ อำสำฬหบูชำคือกำรบูชำพระในวันเพ็ญเดือน๘ควำมสำคัญ ของวันเพ็ญเดือน๘นี้มีอยู่อย่ำงไรจะได้นำพุทธประวัติตอนหนึ่งมำเล่ำต่อไปนี้นับแต่วันที่สมเด็จพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ คือ ในวันเพ็ญเดือน๖ พระองค์ประทับเสวยวิมุตติสุขในบริเวณโพธิมัณฑ์นั้นตลอด ๗สัปดำห์คือ - สัปดำห์ที่ ๑ คงประทับอยู่ที่ควงไม้อสัตถะอันเป็นไม้มหำโพธิ์เพรำะเป็นที่ตรัสรู้ ทรงใช้ เวลำพิจรณำปฏิจจสมุปปำทธรรมทบทวนอยู่ตลอด๗วัน - สัปดำห์ที่ ๒ เสด็จไปทำงทิศอีสำนของต้นโพธิ์ประทับยืนกลำงแจ้งเพ่งดูไม้มหำโพธิ์โดย ไม่กระพริบพระเนตรอยู่ในที่แห่งเดียวจนตลอด๗วัน ที่ที่ประทับยืนนั้นปรำกฎเรียกในภำยหลังว่ำ"อนิสิมสสเจดีย์" - สัปดำห์ที่ ๓ เสด็จไปประทับอยู่ในที่กึ่งกลำงระหว่ำงอนิมิสสเจดีย์กับต้นมหำโพธิ์แล้วทรงจงกรมอยู่ณที่ตรงนั้นตลอด๗วัน ซึ่งต่อมำเรียกที่ตรงนั้นว่ำ"จงกรมเจดีย์" - สัปดำห์ที่ ๔ เสด็จไปทำงทิศพำยัพของต้นมหำโพธิ์ประทับนั่งขัดบัลลังก์พิจำรณำพระอภิธรรมอยู่ตลอด๗วัน ที่ประทับขัดสมำธิเพชรต่อมำเรียกว่ำ"รัตนฆรเจดีย์" - สัปดำห์ที่ ๕ เสด็จไปทำงทิศบูรพำของต้นมหำโพธิ์ประทับที่ควงไม้ไทรชื่ออชำปำลนิโครธอยู่ตลอด ๗วัน ในระหว่ำงนั้น ทรงแก้ปัญหำของพรำหมณ์ผู้หนึ่งซึ่งทูลถำมในเรื่องควำมเป็นพรำหมณ์ - สัปดำห์ที่ ๖ เสด็จไปทำงทิศอำคเนย์ของต้นมหำโพธิ์ประทับที่ควงไม้จิกเสวยวิมุตติสุขอยู่ตลอด๗วัน ฝนตกพรำตลอดเวลำ พญำนำคมำวงขดล้อมพระองค์และแผ่พังพำนบังฝนให้พระองค์ทรงเปล่งพระอุทำนสรรเสริญควำมสงัด และควำมไม่เบียดเบียนกันว่ำเป็นสุบในโลก - สัปดำห์ที่ ๗ เสด็จย้ำยสถำนที่ไปทำงทิศใต้ของต้นมหำโพธิ์ประทับที่ควงไม้เกดเสวยวิมุตติสุขตลอด๗วัน มีพำณิช๒คน ชื่อ ตปุสสะกับ ภัลลิกะเดินทำงจำกอุกกลชนบทมำถึงที่นั้นได้เห็นพระพุทธองค์ประทับอยู่จึงนำข้ำวสัตตุผงข้ำวสัตตุก้อน ซึ่งเป็นเสบียงกรังของตนเข้ำไปถวำยพระองค์ทรงรับเสวยเสร็จแล้วสองพำณิชก็ประกำศตนเป็นอุบำสก นับเป็นอุบำสกคู่แรกในประวัติกำลทรงพิจำรณำสัตว์โลกเมื่อล่วงสัปดำห์ที่๗แล้ว พระองค์เสด็จกลับมำประทับที่ควงไม้ไทรชื่ออชำปำลนิโครธอีกทรงคำนึงว่ำธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นี้ลึกซึ้งมำกยำกที่สัตว์อื่นจะรู้ตำม จีงท้อพระทัยที่สอนสัตว์แต่อำศัยพระกรุณำเป็นที่ตั้งทรงเล็งเห็นว่ำโลกนี้ผู้ที่พอจะรู้ตำมได้ก็คงมีตอนนี้แสดงถึงบุคคล๔เหล่ำ เปรียบกับดอกบัว ๔ ประเภทคือ ๑. อุคฆติตัญญูได้แก่ ผู้ที่มีอุปนิสัยสำมำรถรู้ธรรมวิเศษได้ทันทีทันใดในขณะที่มีผู้สอนสั่งสอนเปรียบเทียบ เหมือนดอกบัวที่โผล่ขึ้นพ้นน้ำแล้วพร้อมที่จะบำนในเมื่อได้รับแสงพระอำทิตย์ในวันนั้น ๒. วิปัจจิตัญญูได้แก่ ผู้ที่สำมำรถจะรู้ธรรมวิเศษได้ ต่อเมื่อท่ำนขยำยควำมย่อให้พิสดำรออกไปเปรียบเหมือนดอกบัวที่ตั้งอยู่เสมอระดับน้ำจักบำนในวันรุ่งขี้น ๓. เนยยะ ได้แก่ ผู้ที่พำกเพียรพยำยำมฟังคิดถำมท่องอยู่เสมอไม่ทอดทิ้ง จึงได้รู้ธรรมวิเศษ เปรียบเหมือนดอกบัวที่ยังไม่โผล่ขึ้นจำกน้ำได้รับกำรหล่อเลี้ยงจำกน้ำแต่จะโผล่แล้วบำนขี้นในวันต่อๆไป ๔. ปทปรมะ ได้แก่ ผู้ที่แม้ฟัง คิด ถำมท่อง แล้วก็ไม่สำมำรถรู้ธรรมวิเศษได้ เปรียบเหมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำติดกับเปือกตม
  • 10. ๑๐ รังแต่จะเป็นภักษำหำรแห่งปลำและเต่ำ เมื่อเล็งเห็นเหตุนี้จึงตกลงพระทัยจะสอนทรงนึกถึงผู้ที่ควรโปรดก่อนคืออำฬำรดำบสกับ อุทกดำบสท่ำนเหล่ำนี้ก็หำบุญไม่เสียแล้วจะมีอยู่ก็แต่ปัญจวัคคีย์จีงทรงตัดสินพระทัยว่ำควรโปรดปัญจวัคคีย์ก่อน แล้วก็เสด็จออกเดินไปจำกควงไม้ไทรนั้นมุ่งพระพักตร์เสด็จไปยังป่ ำอิสิปตนมฤคทำยวันแขวงเมืองพำรำณสี กำรที่เสด็จเดินทำงจำกตำบลพระศรีมหำโพธิ์จนกระทั่งถึงกรุงพำรำณสีเช่นนี้แสดงให้เห็น เพระวิริยอุตสำหะอันแรงกล้ำเป็นกำรตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะประทำนปฐมเทศนำแก่ปัญจวัคคีย์เป็นพวกแรกอย่ำงแทัจริง หนทำงระหว่ำงตำบลพระศรีมหำโพธิ์ถึงพำรำณสีนั้นในปัจจุบัน ถ้ำไปทำงรถไฟก็เป็นเวลำ ๗-๘ชั่วโมง กำรเสด็จดำเนินด้วยพระบำทเปล่ำอำจใช้เวลำตั้งหลำยวันแต่ปรำกฏว่ำพอตอนเย็นขึ้น ๑๕ค่ำเดือนอำสำฬหะนั้นเอง พระพุทธองค์ก็เสด็จถึงป่ำอิสิปตนมฤคทำยวันแขวงเมืองพำรำณสีอันเป็นที่อยู่แห่งปัจจวัคคีย์พอเสด็จ เข้ำรำวป่ำพวกปัญจจวัคคีย์นั้นได้เห็นจึงนัดหมำยกันว่ำจะไม่ไหว้ ไม่ลุกรับและไม่รับบำตรจีวรจะตั้งไว้ให้เพียงอำสนะเท่ำนั้น เพรำะเข้ำใจว่ำพระองค์กลำยเป็นคนมีควำมมักมำกหมดควำมเพียรเสียแล้วพอพระองค์เสด็จถึงต่ำงก็พูดกับพระองค์โดยไม่เคำรพ พระองค์ตรัสห้ำมและทรงบอกว่ำพระองค์ตรัสรู้แล้วจะแสดงธรรมสั่งสอนให้ ฟังพรำหมณ์ทั้ง ๕ ก็พำกันคัดค้ำนลำเลิกด้วยถ้อยคำต่ำงๆที่สุดพระองค์จึงทรงแจงเตือนให้รำลึกว่ำพระองค์เคยกล่ำวเช่นนี้มำในหนหลังบ้ำงหรือ ? พรำหมณ์ทั้ง๕ระลึกได้ ต่ำงก็สงบตั้งใจฟังธรรมทันทีค่ำวันนั้นพระองค์ประทับแรมอยู่กับพรำหมณ์ทั้ง๕ รุ่งขี้นวันเพ็ญแห่งเดือนอำสำฬหะพระองค์ทรงเริ่มแสดงธัมมะ-จักกัปปวัตตนสูตรนับเป็นเทศนำกัณฑ์แรกโปรดปัญจวัคคีย์นั้น โดยใจควำมคือทรงยกที่สุด๒ฝ่ำยได้แก่ กำรประกอบตนให้ลำบำกด้วยกำรทรมำนกำย และกำรไม่ประกอบตนให้เพลิดเพลินในกำมสุขทั้ง๒นี้นับว่ำ เป็นของเลวทรำมไม่ควรเสพเฉพำะทำงสำยกลำงเท่ำนั้น เป็นข้อปฏิบัติที่สมควร แล้วทรงแสดงทำงสำยกลำงคืออริยมรรค ๘ประกำรได้แก่ ๑.สัมมำทิฏฐิ เห็นชอบ ๒. สัมมำสังกัปปะดำริชอบ ๓. สัมมำวำจำเจรจำชอบ ๔. สัมมำกัมมัตนะทำกำรงำนชอบ ๕. สัมมอำชีวะเลี้ยงชีพชอบ ๖.สัมมำวำยำมะเพียรชอบ ๗. สัมมำสติระลึกชอบ ๘. สัมมำสมำธิตั้งใจชอบ สรุปด้วยอริยสัจ ๔ ได้แก่ ๑. ทุกข์ควำมไม่สบำยกำยไม่สบำยใจ ( ธรรมที่ควรรู้ ) หมายถึง ความรู้สึกไม่สบายกาย ไม่สบายใจความเศร้าโศกเสียใจ เป็นสภาพบีบคั้นจิตใจและร่างกายให้ทนได้ยากเมื่อทุกข์เกิดขึ้น บุคคลจะไม่สามารถละหรือคลายทุกข์ได้ ทุกข์จึงเป็นสภาวะที่จะต้องกาหนดรู้เพียงอย่างเดียวว่า นี้คือความทุกข์หรือปัญหาและต้องยอมรับความเป็นจริงว่าเป็นธรรมดาของสัตว์โลกต้องปล่อยวางจึง จะทาให้ทุกข์บางเบาลงได้ ๒. สมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ (ธรรมที่ควรละ ) หมายถึง ต้นเหตุที่ให้เกิดทุกข์หรือปัญหาซึ่งได้แก่ ความต้องการหรือที่เรียกว่าตัณหา มี 3 ประกายคือ กามตัณหา คือความปรารถนาในกามไม่หยุดหย่อน ภวตัณหา คือความอยากมีอยากเป็นไม่เพียงพอ และวิภวตัณหา คือความไม่อยากมีไม่อยากเป็นจนทุกข์ ๓. นิโรธควำมดับทุกข์ ( ธรรมที่ควรบรรลุ ) หมายถึง สภาวะที่ทุกข์หมดสิ้นไป
  • 11. ๑๑ สภาพที่ปราศจากทุกข์ มีแต่ความสงบร่มเย็น สภาวะที่จัดเป็นนิโรธนี้ถือเป็นที่สูงสุดในการปฏิบัติธรรมของชาวพุทธ เป็นยอดปรารถนาของคนทั่วไปคือความดับทุกข์ ๔. มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงควำมดับทุกข์ ( ธรรมที่ควรเจริญ ) หมายถึง ข้อปฏิบัติที่เป็นเหตุให้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่มรรคมีองค์ 8 ประการมีสัมมาทิฐิ คือความเห็นชอบ เป็นต้น ชี้ให้เห็นโดยปริวรรตและอำกำรต่ำงๆว่ำเมื่อรู้แล้วอำจยืนยันได้ว่ำตรัสรู้โดยชอบถึงควำมหลุดพ้นและสุดชำติสุดภพแน่นอน ขณะที่พระองค์ทรงแสดงธรรมนี้อยู่ท่ำนโกณฑัญญะได้ส่องญำณไปตำมจนเกิด"ธรรมจักษุ" คือดวงตำเห็นธรรมขึ้นทำงปัญญำพระองค์ทรงทรำบจึงเปล่งพระอุทำนว่ำ "อัญญสิๆ""อัญญสิๆ"(โกณฑัญญะรู้แล้วๆ)เพรำะพระองค์ทรงอุทำนนี้ภำยหลังท่ำนโกณฑัญญะจึงได้นำมใหม่ว่ำ"อัญญำโกณฑัญญะ" แต่นั้นก็ทูลขอบรรพชำพระองค์ประทำนอนุญำตด้วยเอหิภิขุอุปสัมปทำน นับเป็นพระสงฆ์องค์แรกในพระศำสนำที่บวชตำมพระพุทธองค์ตำมพุทธประวัติที่เล่ำมำนี้จะเห็นว่ำวันอำสำฬหบูชำมีควำมสำคัญ คือ ๑.เป็นวันแรกที่พระพุทธเจ้ำทรงประกำศพระศำสนำ ๒.เป็นวันแรกที่พระบรมศำสดำทรงแสดงพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตรประกำศสัจจธรรมอันเป็นองค์แห่งสัมมำสัมโพธิญำณ ๓.เป็นวันที่พระอริยสงฆ์สำวกองค์แรกบังเกิดขึ้นในโลกคือพระอัญญำโกณฑัญญะได้รับประทำนเอหิภิขุอุปสัมปทำในวันนั้น ๔. เป็นวันแรกที่บังเกิดพระสังฆรัตนะสมบูรณ์เป็นพระรัตนตรัยคือพระพุทธรัตนะพระธรรมรัตนะพระสังฆรัตนะ การถือปฏิบัติวันอาสาฬหบูชาในประเทศไทย พิธีวันอำสำฬหบูชำเริ่มกำหนดเป็นวันสำคัญทำงพุทธศำสนำขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อพุทธศักรำช ๒๕๐๑ โดยพระธรรมโกศำจำรย์(ชอบอนุจำรี) ครั้งดำรงตำแหน่งสังฆมนตรีช่วยว่ำกำรองค์กำรศึกษำได้เสนอคณะสังฆมนตรี ให้เพิ่มวันศำสนพิธีทำพุทธบูชำขึ้นอีกวันหนึ่งคือวันธรรมจักรหรือวันอำสำฬหบูชำ ด้วยเป็นวันคล้ำยวันที่พระพุทธเจ้ำทรงแสดงธรรมจักกัปปวัตนสูตร คณะสังฆมนตรีลงมติรับหลักกำรให้เพิ่มวันอำสำฬหบูชำและให้ถือเป็นหลักปฏิบัติในเวลำต่อมำโดยออกเป็นประกำศคณะสงฆ์เรื่อง กำหนดวันสำคัญทำงศำสนำเมื่อวันที่๑๔กรกฎำคม๒๕๐๑และในวันเดียวกันนั้นได้มีประกำศสำนักสังฆนำยก กำหนดระเบียบปฏิบัติในพิธีอำสำฬหบูชำขึ้นไว้ให้วัดทุกวัดถือปฏิบัติทั่วกันกล่ำวคือก่อนถึงวันอำสำฬหบูชำ ๑ สัปดำห์ให้เจ้ำอำวำสแจ้งแก่พระภิกษุสำมเณรตลอดจนศิษย์วัดคนวัดช่วยกันปัดกวำดปูลำดอำสนะ จัดตั้งเครื่องสักกำระให้ประดับธงธรรมจักรรอบพระอุโบสถตลอดวันทั้งเวลำเช้ำและเวลำบ่ำยให้มีกำรฟังธรรมตำมปกติ เวลำค่ำให้ภิกษุสำมเณรอุบำสกอุบำสิกำมำประชุมพร้อมกันที่หน้ำพระอุโบสถหรือพระเจดีย์ จุดธูปเทียนแล้วถือรวมกับดอกไม้ยืนประนมมือสำรวมจิตโดยพระสงฆ์ผู้เป็นประธำนนำกล่ำวคำบูชำจบแล้วทำประทักษิณ ครั้นแล้วให้ภิกษุสำมเณรเข้ำไปบูชำพระรัตนตรัยทำวัตรค่ำแล้วสวดธรรมจักรกัปปวัตนสูตร จบแล้วให้อุบำสกอุบำสิกำทำวัตรค่ำต่อจำกนั้นให้พระสังฆเถระ แสดงพระธรรมเทศนำธรรมจักรกัปปวัตนสูตรแล้ว ให้พระภิกษุสำมเณรสวดธรรมจักรกัปปวัตนสูตรทำนองสรภัญญะ เพื่อเจริญศรัทธำปสำทะของพุทธศำสนิกชนจบแล้ว ให้เป็นโอกำสของพุทธศำสนิกชนเจริญภำวนำมัยกุศลมีสวดมนต์สนทนำธรรม
  • 12. ๑๒ บำเพ็ญสมถะและวิปัสสนำเป็นต้นตำมควรแก่อัธยำศัยให้ใช้เวลำทำพิธีอำสำฬหบูชำไม่เกินเวลำ ๒๔.๐๐ น. และได้มีกำรทำพิธีอำสำฬหบูชำอย่ำงกว้ำงขวำงนับแต่นั้นมำทำงรำชกำร ได้มีประกำศสำนักนำยกรัฐมนตรีให้มีกำรชักธงชำติถวำยเป็นพุทธบูชำในวันนี้ด้วย เมื่อวันอำสำฬหบูชำซึ่งตรงในวันเดียวกันได้เวียนมำบรรจบอีกครั้งหนึ่งในรอบปี คือเวียนมำบรรจบในวันเพ็ญอำสำฬหบูชำเดือน๘ ของไทยเรำชำวพุทธทั่วโลกจึงประกอบพิธีสักกำรบูชำกำรประกอบพิธีในวันอำสำฬหบูชำแบ่งออกเป็น 3พิธีคือ ๑.พิธีหลวง(พระรำชพิธี) ๒. พิธีรำษฎร์ (พิธีของประชำชนทั่วไป) ๓. พิธีของพระสงฆ์(คือพิธีที่พระสงฆ์ประกอบศำสนกิจเนื่องในวันสำคัญวันนี้) กำรประกอบพิธีและบทสวดมนต์ในวันอำสำฬหบูชำก็ปฏิบัติเช่นเดียวกับกำรประกอบพิธีในวันวิสำขบูชำ ใ จค ว ำ ม สำคั ญ ขอ ง ป ฐ มเ ท ศ นำ ในกำรแสดงแสดงปฐมเทศนำครั้งแรกของพระพุทธเจ้ำทรงแสดงหลักธรรมสำคัญ ๒ประกำรคือ ก.มัชฌิมำปฏิปทำหรือทำงสำยกลำงเป็นข้อปฏิบัติที่เป็นกลำงๆ ถูกต้องและเหมำะสมที่จะให้บรรลุถึงจุดหมำยได้ มิใช่กำรดำเนินชีวิตที่เอียงสุด๒อย่ำง หรืออย่ำงหนึ่งอย่ำงใดคือ ๑. กำรหมกหมุ่นในควำมสุขทำงกำยมัวเมำในรูปรสกลิ่นเสียงรวมควำมเรียกว่ำเป็นกำรหลงเพลิดเพลินหมกหมุ่นในกำมสุขหรือ กำมสุขัลลิกำนุโยค ๒. กำรสร้ำงควำมลำบำกแก่ตนดำเนินชีวิตอย่ำงเลื่อนลอยเช่นบำเพ็ญตบะกำรทรมำนตนคอยพึ่งอำนำจสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นต้น กำรดำเนินชีวิตแบบที่ก่อควำมทุกข์ให้ตนเหนื่อยแรงกำยแรงสมองแรงควำมคิดรวมเรียกว่ำอัตตกิลมถำนุโยค ดังนั้นเพื่อละเว้นห่ำงจำกกำรปฏิบัติทำงสุดเหล่ำนี้ต้องใช้ทำงสำยกลำงซึ่งเป็นกำรดำเนินชีวิตด้วยปัญญำ โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ๘ประกำรเรียกว่ำอริยอัฏฐังคิกมัคค์หรือมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ ๑.สัมมำทิฏฐิ เห็นชอบ คือ รู้เข้ำใจถูกต้องเห็นตำมที่เป็นจริง ๒. สัมมำสังกัปปะดำริชอบคือคิดสุจริตตั้งใจทำสิ่งที่ดีงำม ๓. สัมมำวำจำเจรจำชอบคือกล่ำวคำสุจริต ๔. สัมมำกัมมันตะกระทำชอบคือ ทำกำรที่สุจริต ๕. สัมมำอำชีวะอำชีพชอบ คือประกอบสัมมำชีพหรืออำชีพที่สุจริต ๖.สัมมำวำยำมะพยำยำมชอบคือเพียรละชั่วบำเพ็ญดี ๗. สัมมำสติระลึกชอบคือ ทำกำรด้วยจิตสำนึกเสมอไม่เผลอพลำด ๘. สัมมำสมำธิตั้งจิตมั่นชอบคือ คุมจิตให้แน่วแน่มั่นคงไม่ฟุ้งซ่ำน ข. อริยสัจ๔ แปลว่ำควำมจริงอันประเสริฐของอริยะซึ่งคือบุคคลที่ห่ำงไกลจำกกิเลสได้แก่ ๑. ทุกข์ ได้แก่ ปัญหำทั้งหลำยที่เกิดขึ้นกับมนุษย์บุคคลต้องกำหนดรู้ให้เท่ำทันตำมควำมเป็นจริงว่ำมันคืออะไร ต้องยอมรับรู้กล้ำสู้หน้ำปัญหำกล้ำเผชิญควำมจริงต้องเข้ำใจในสภำวะโลกว่ำทุกสิ่งไม่เที่ยงมีกำรเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่ำงอื่น ไม่ยึดติด ๒. สมุทัย ได้แก่ เหตุเกิดแห่งทุกข์หรือสำเหตุของปัญหำตัวกำรสำคัญของทุกข์คือ ตัณหำหรือเส้นเชือกแห่งควำมอยำกซึ่งสัมพันธ์กับปัจจัยอื่นๆ ๓. นิโรธได้แก่ ควำมดับทุกข์เริ่มด้วยชีวิตที่อิสระอยู่อย่ำงรู้เท่ำทันโลกและชีวิตดำเนินชีวิตด้วยกำรใช้ปัญญำ
  • 13. ๑๓ ๔. มรรค ได้แก่ กระบวนวิธีแห้งกำรแก้ปัญหำอันได้แก่ มรรคมีองค์๘ ประกำรดังกล่ำวข้ำงต้น ผ ล จำ ก ก ำ ร แส ด ง ป ฐม เทศ นำ เมื่อพระพุทธเจ้ำทรงแสดงธรรมแล้วปรำกฏว่ำโกณฑัญญะผู้เป็นหัวหน้ำเบญจวัคคีย์ได้เกิดเข้ำใจธรรมเรียกว่ำ เกิดดวงตำแห่งธรรมหรือธรรมจักษุ บรรลุเป็นโสดำบันจึงทูลขอบรรพชำและถือเป็นพระภิกษุสำวกรูปแรกในพระพุทธศำสนำมีชื่อว่ำ อัญญำโกณฑัญญะ ค ว ำ มห มำ ย ข อง อำ ส ำ ฬ ห บู ช ำ “อำสำฬหบูชำ”(อำ-สำน-หะ-บู-ชำ/อำ-สำน-ละ-หะ-บู-ชำ)ประกอบด้วยคำ๒คำคืออำสำฬห(เดือน ๘ทำงจันทรคติ)กับบูชำ (กำรบูชำ)เมื่อรวมกันจึงแปลว่ำกำรบูชำในเดือน๘หรือกำรบูชำเพื่อระลึกถึงเหตุกำรณ์สำคัญในเดือน๘หรือเรียกให้เต็มว่ำ อำสำฬหบูรณมีบูชำ โดยสรุปวันอำสำฬหบูชำแปลว่ำกำรบูชำในวันเพ็ญเดือน๘หรือกำรบูชำเพื่อระลึกถึงเหตุกำรณ์สำคัญในวันเพ็ญเดือน๘คือ ๑.เป็นวันที่พระพุทธเจ้ำทรงแสดงปฐมเทศนำ ๒. เป็นวันที่พระพุทธเจ้ำเริ่มประกำศพระศำสนำ ๓. เป็นวันที่เกิดอริยสงฆ์ครั้งแรกคือกำรที่ท่ำนโกณฑัญญะรู้แจ้งเห็นธรรมเป็นพระโสดำบันจัดเป็นอริยบุคคลท่ำนแรกในอริยสงฆ์ ๔. เป็นวันที่เกิดพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศำสนำคือกำรที่ท่ำนโกณฑัญญะขอบรรพชำและได้บวชเป็นพระภิกษุ หลังจำกฟังปฐมเทศนำและบรรลุธรรมแล้ว ๕. เป็นวันที่พระพุทธเจ้ำทรงได้ปฐมสำวกคือกำรที่ท่ำนโกณฑัญญะนั้นได้บรรลุธรรมและบวชเป็นพระภิกษุ จึงเป็นสำวกรูปแรกของพระพุทธเจ้ำ เมื่อเปรียบกับวันสำคัญอื่นๆในพระพุทธศำสนำบำงทีเรียกวันอำสำฬหบูชำนี้ว่ำวันพระสงฆ์(คือวันที่เริ่มเกิดมีพระสงฆ์) พิธีกรรมที่กระทำในวันนี้โดยทั่วไปคือทำบุญ ตักบำตรรักษำศีลเวียนเทียนฟังพระธรรมเทศนำ(ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร) และสวดมนต์ดังนั้นในวันนี้จึงถือว่ำพุทธศำสนิกชนควรได้รับประโยชน์ ที่เป็นสำระสำคัญจำกอำสำฬหบูชำกล่ำวคือ ควรทบทวนระลึกเตือนใจสำรวจตนว่ำชีวิตเรำได้เจริญงอกงำมขึ้นด้วยควำมเป็นอยู่อย่ำงผู้รู้เท่ำทันโลกและชีวิตนี้บ้ำงแล้วเพียงใด เรำยังดำเนินชีวิตอยู่อย่ำงลุ่มหลงมัวเมำหรือมีจิตใจอิสระปลอดโปร่งผ่องใสบ้ำงแล้วเพียงใด
  • 15. ๑๕ ความสาคัญ วันมำฆบูชำ เป็นวันขึ้น ๑๕ค่ำเดือน ๓มีเหตุกำรณ์อัศจรรย์ที่พระสงฆ์สำวกของพระพุทธเจ้ำจำนวน๑,๒๕๐รูป มำเฝ้ำพระพุทธเจ้ำณวัดเวฬุวันเมืองรำชคฤห์แคว้นมคธโดยมิได้นัดหมำยกันพระสงฆ์ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญำ ๖และเป็นผู้ที่ได้รับกำรอุปสมบทโดยตรงจำกพระพุทธเจ้ำในวันนี้พระพุทธเจ้ำได้ทรงแสดงโอวำทปำติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เหล่ำนั้นซึ่งเป็นทั้งหลักกำรอุดมกำรณ์และวิธีกำรปฏิบัติที่นำไปใช้ได้ทุกสังคมมีเนื้อหำ โดยสรุปคือให้ละควำมชั่วทุกชนิดทำควำมดีให้ถึงพร้อมและทำจิตใจให้ผ่องใส ประวัติความเป็นมา ๑.ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้ำหลังจำกพระพุทธเจ้ำตรัสรู้ได้ ๙เดือนขณะนั้นเมื่อเสร็จพุทธกิจแสดงธรรมที่ถ้ำสุกรขำตำแล้ว เสด็จมำประทับที่วัดเวฬุวันเมืองรำชคฤห์แคว้นมคธประเทศอินเดียในปัจจุบันวันนั้นตรงกับวันเพ็ญเดือนมำฆะหรือเดือน ๓ในเวลำบ่ำยพระอรหันต์สำวกของพระพุทธเจ้ำมำประชุมพร้อมกันณที่ประทับของพระพุทธเจ้ำนับเป็นเหตุอัศจรรย์ ที่มีองค์ประกอบสำคัญ๔ประกำรคือ ๑.วันนั้นเป็นวันขึ้น ๑๕ค่ำ เดือน ๓ ๒. พระสงฆ์จำนวน๑,๒๕๐รูป มำประชุมพร้อมกันโดยมิได้ นัดหมำย ๓. พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญำ ๖ ๔. พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นผู้ได้รับกำรอุปสมบทโดยตรงจำกพระพุทธเจ้ำ เพรำะเหตุที่มีองค์ประกอบสำคัญดังกล่ำวจึงมีชื่อเรียกอีกอย่ำงหนึ่งว่ำวันจำตุรงคสันนิบำตและในโอกำสนี้พระพุทธเจ้ำ ได้แสดงโอวำทปำติโมกข์ในที่ประชุมสงฆ์เหล่ำนั้นซึ่งถือได้ว่ำเป็นกำรประกำศหลักกำรอุดมกำรณ์ และวิธีกำรปฏิบัติทำงพระพุทธศำสนำ การถือปฏิบัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย พิธีวันมำฆบูชำนี้เดิมทีเดียวในประเทศไทยไม่เคยทำมำก่อน พระบำทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หัวทรงอธิบำยไว้ว่ำเกิดขึ้นในสมัยพระบำทสมเด็จพระจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หัวรัชกำลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทรงถือตำมแบบของโบรำณบัณฑิตที่ได้นิยมกันว่ำวันมำฆะบูรณมี พระจันทร์เสวยฤกษ์มำฆะเต็มบริบูรณ์เป็นวันที่พระอรหันต์สำวกของพระพุทธเจ้ำ ๑,๒๕๐รูปได้ประชุมกันพร้อมด้วยองค์๔ ประกำรเรียกว่ำ จำตุรงคสันนิบำตพระพุทธเจ้ำได้ตรัสเทศนำโอวำทปำติโมกข์ในที่ประชุมสงฆ์เป็นกำรประชุมใหญ่ และเป็นกำรอัศจรรย์ในพระพุทธศำสนำนักปรำชญ์ จึงถือเอำเหตุนั้นประกอบกำรสักกำรบูชำพระพุทธเจ้ำและพระอรหันต์สำวก ๑,๒๕๐ รูปนั้น ให้เป็นที่ตั้งแห่งควำมเลื่อมใสกำรประกอบพิธีมำฆะบูชำได้เริ่มในพระบรมมหำรำชวังก่อน ในสมัยรัชกำลที่๔มีพิธีกำรพระรำชกุศลในเวลำเช้ำ พระสงฆ์วัดบวรนิเวศวิหำรและวัดรำชประดิษฐ์๓๐รูป ฉันในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศำสดำรำมเวลำค่ำ เสด็จออกทรงจุดธูปเทียนเครื่องมนัสกำรแล้ว พระสงฆ์สวดทำวัตรเย็นเสร็จแล้วสวดมนต์ต่อไปมี สวดคำถำโอวำทปำติโมกข์ด้วยสวดมนต์ จบทรงจุดเทียนรำยตำมรำวรอบพระอุโบสถ ๑,๒๕๐เล่ม