More Related Content
More from PingladaPingladaz
More from PingladaPingladaz (20)
ชาดก.docx
- 1. ๑
ชาดก
ชาดกคือ เรื่องราวในอดีตชาติของพระโพธิสัตว์ก่อนที่จะมาเกิดในชาติสุดท้ายและได้ ตรัสรู้เป็นพระสัมพุทธเจ้า
เรื่องราวของชาติหนึ่งๆก็เรียกว่าชาดกหนึ่งๆรวมทั้งสิ้น547เรื่อง(ซึ่งน่าจะเป็น 550 เรื่อง แต่เดิมและต่อมาหายไป3
เรื่องในภายหลัง)ชาดกอรรถกถาเริ่มต้นตรงที่กล่าวถึงทูเรนิทาน
คือพระพุทธเจ้าเริ่มทาความเพียรเพื่อหวังพุทธภูมิในชาติที่เกิดเป็นสุเมธดาบสแล้วกล่าวถึงพระพุทธเจ้าในอดีต 24
พระองค์ที่กล่าวพยากรณ์รับรองพระโพธิสัตว์ของเราว่าจะได้ตรัสรู้พระโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่25คือ
เจ้าชายสิทธัตถโคตมะนี้เอง
ความจริงเกี่ยวกับนิทานชาดกที่ควรรู้ก็คือเรื่องชาดกเป็นนิทานซึ่งรวบรวมมาจากที่ต่างๆกัน
ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในที่ใดที่หนึ่งโดยเฉพาะฉะนั้นจะเหมาเอาว่าเป็นพุทธวัจนะล้วนๆที่พระพุทธเจ้าทรงบรรยายไว้ด้วย
พระองค์เองก็ไม่อาจจะกล่าวได้เช่นนั้นถ้าจะเรียกว่าเป็นชุมนุมนิทานโบราณที่นามาใช้เพื่อบรรยายหลักธรรมในแง่ต่างๆ
ประกอบด้วยการบาเพ็ญบารมี10ประการได้
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อพระราชทานพระบรมราชาธิบายเรื่องชาดกในแง่ความเป็นมาและอื่นๆ
แล้วทรงสรุปคุณค่าของหนังสือชาดกไว้ว่า
ข้อซึ่งกล่าวมาแล้วข้างต้นนั้นเป็นคาแนะนาให้ท่านทั้งหลายอ่านหนังสือเรื่องชาดกนี้
ตามคาซึ่งข้าพเจ้าเรียกว่าแลดูด้วยตั้งวงกว้างฯแต่แท้จริงเรื่องชาดกนี้เป็นเรื่องนิทานโบราณซึ่งนักปราชญ์ทั้งหลายได้นาสืบๆ
กันมาตั้งแต่2500 ปีขึ้นไปหา 3000 ปี ก็เป็นเรื่องที่ควรอยู่ซึ่งเราจะอ่านฯ
ธรรมดาผู้ซึ่งมีความพอใจในความรู้วิชาหนังสือและเรื่องทั่วไปในโลกย่อมถือว่าหนังสือซึ่งเขียนไว้แต่โบราณเช่นนี้
เป็นหนังสือสาคัญที่จะส่องให้ความประพฤติความเป็นอยู่และประเพณีของประเทศซึ่งแต่งเรื่องนิทานนั้นเป็นอย่างไร
เป็นอุปการะที่จะแต่งเรื่องตานานทั้งปวงโดยทางเทียบเคียงให้รู้คติของคนโบราณในประเทศนั้นๆ
ถึงแม้แต่เพียงเรื่องปรารภซึ่งเรารู้อยู่ว่าเป็นพระอาจารย์ผู้รวบรวมคัมภีร์
ชาดกได้เรียบเรียงขึ้นเพื่อจะให้เห็นเหตุผลประกอบท้องเรื่องนิทานก็ดีแต่เรื่องราวเหล่านั้นย่อมมาจากความจริง
ซึ่งเป็นไปอยู่ในเวลาซึ่งพระพุทธเจ้ายังดารงพระชนม์อยู่เป็นเครื่องอุปการะใหญ่
ซึ่งจะให้เรื่องราวของประเทศและประชาชนซึ่งอยู่ในประเทศนั้นทั้งความประพฤติของพระสาวกทั้งหลาย
ตลอดถึงพระองค์พระพุทธเจ้าเหมือนหนึ่งเล่าเรื่องเป็นท่อนๆในสมัยหนึ่งๆ
ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงประพฤติพระอิริยาบถและตรัสสั่งสอนอย่างไร
เช่นหนังสือซึ่งเขาคัดข้อที่ผู้มีชื่อเสียงในปัจจุบันหรืออดีตซึ่งไม่ช้านาน
ได้กระทาการหรือได้กล่าววาจาอันเป็นข้อควรสังเกตหรือควรจาและน่าพอใจอ่านมารวบรวมขึ้นไว้ด้วยฉะบับหนึ่งต่างหาก
ซึ่งผู้รู้ภาษาต่างประเทศคงจะได้พบเห็นอ่านโดยมากถ้าจะพยายามกล่าวเป็นคาไทยก็เห็นว่าตรงกับคาที่เรียกว่าอภินิหาร
ซึ่งมีผู้เคยแต่งอยู่บ้างฯความสังเกตอันนี้อาจทาให้เข้าใจในพุทธประวัติแจ่มแจ้งขึ้นฯ
แท้จริงหนังสือพุทธประวัตินั้นก็ได้เก็บเรื่องราวจากพระคัมภีร์ต่างๆมารวบรวมเรียบเรียงขึ้นเหมือนอย่างผู้จะแต่งพงศาวดาร
ก็ต้องอ่านหนังสือราชการและหนังสือหลักฐานอันมีอยู่ในกาลสมัยที่ตัวจะแต่งนั้นทั่วถึงแล้ว
จึงยกข้อที่ควรเรียบเรียงเป็นเรื่องในข้อซึ่งควรจะกล่าวฯแต่ผู้ซึ่งจะอ่านหนังสือโบราณเช่นนี้
จาจะต้องสังเกตกาลสมัยของหนังสือนั้นให้รู้ว่าหนังสือนี้ได้แต่งขึ้นในประเทศใดประเทศนั้นมีภูมิฐานอย่างไร
ความประพฤติของมนุษย์ในประเทศนั้นเป็นอยู่ในกาลนั้นอย่างไรความมุ่งหมายของผู้ซึ่งคิดเห็นว่า
เป็นการที่ตนจะทาประโยชน์ให้แก่ประชุมชนเป็นอันมากอย่างไรแล้วจะได้ทาการไปด้วยอาการอย่างไรสาเร็จได้อย่างไรฯ
ผู้อ่านต้องตั้งใจเหมือนตนได้เกิดขึ้นในขณะนั้นอ่านด้วยน้าใจที่รู้สึกประโยชน์ใช่ประโยชน์ในเวลานั้น
ซึ่งจะเกิดความรื่นรมย์ในใจในขณะที่อ่านนั้นและจะเข้าใจแจ่มแจ้งตลอดฯเมื่ออ่านตลอดข้อความแล้ว
จะใช้วิจารณปัญญาอย่างหนึ่งอย่างใดสาหรับวินิจฉัยในภายหลังก็ตามเมื่อเข้าใจชัดเจนแล้วก็จะถูกต้องตามความที่เป็นจริงฯ
- 2. ๒
ข้าพเจ้าขอแนะนาผู้ซึ่งตั้งใจจะอ่านหนังสือชาดกนี้ให้อ่านด้วยวิธีซึ่งข้าพเจ้าเรียกในเบื้องต้นว่าตั้งวงพิจารณากว้าง
ดังได้อธิบายมาแล้วนี้ฯ
ความหมาย – ประเภทชาดก
ชาดกแปลว่าประวัติการทาความดีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีมาในชาติก่อนๆ
คาว่าชาตกหรือชาดก แปลว่าผู้เกิดมีรากคามาจากธาตุ(Root)ว่าชนฺ แปลว่า “เกิด”แปลง ชนฺ ธาตุเป็นชาลง ต
ปัจจัยในกิริยากิตก์ ตปัจจัยตัวนี้กาหนดให้แปลว่า “แล้ว”มีรูปคาเป็น“ชาต”แปลว่าเกิดแล้วเสร็จแล้วให้ลงก
ปัจจัยต่อท้ายอีกสาเร็จรูปเป็น“ชาดก”อ่านออกเสียงตามบาลีสันสกฤตว่า“ชา-ตะ-กะ”แปลว่าผู้เกิดแล้ว
เมื่อนาคานี้มาใช้ในภาษาไทยเราออกเสียงเป็นชาดกโดยแปลงต เป็น ด และให้ ก เป็นตัวสะกดในแม่กก
ในความหมายคือเล่าถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงเวียนว่ายตายเกิดถือเอากาเนิดในชาติต่างๆ
ได้พบปะผจญกับเหตุการณ์ดีบ้างชั่วบ้างแต่ก็ได้พยายามทาความดีติดต่อกันมากบ้างน้อยบ้างตลอดมา
จนเป็นพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้ายกล่าวอีกอย่างหนึ่งจะถือว่าเรื่องชาดก
เป็นวิวัฒนาการแห่งการบาเพ็ญคุณงามความดีของพระพุทธเจ้าตั้งแต่ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ก็ได้ ในอรรถกถาแสดงด้วยว่า
ผู้นั้นผู้นี้กลับชาติมาเกิดเป็นใครในสมัยพระพุทธเจ้าแต่ในบาลีพระไตรปิฎกกล่าวถึงเพียงบางเรื่องเพราะฉะนั้น
สาระสาคัญจึงอยู่ที่คุณงามความดีและอยู่ที่คติธรรมในนิทานนั้นๆ
นัยยะหนึ่งชาดกจึงหมายถึงเรื่องราวของพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งที่เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์
พระองค์เสวยพระชาติต่างๆเป็นมนุษย์บ้างอมนุษย์บ้างเทวดาบ้างสัตว์บ้าง
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่ผู้ใดจะทรงยกชาดกซึ่งเป็นนิทานอิงธรรมมาเล่าเป็นบุคคลาธิษฐาน
คือเป็นวิธีการสอนแบบยกเอาเรื่องราวนิทานมาประกอบเพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจง่ายแทนที่จะสอนธรรมะกันตรงๆ
นิทาน ตามพจนานุกรมมาจาก(มค.นิทาน) น. เหตุ ; เรื่องเดิม; คาเล่าเรื่อง,เรื่องนิยาย
นิทานแปลว่าเหตุเป็นเครื่องมอบให้ซึ่งผล,มูลเค้า,เรื่องเดิม,สมุฏฐาน
ชาดกแปลว่าผู้เกิด คือเล่าถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงเวียนว่ายตายเกิดถือเอากาเนิดในชาติต่างๆ
ได้พบปะผจญกับเหตุการณ์ดีบ้างชั่วบ้างแต่ก็ได้พยายามทาความดีติดต่อกันมากบ้างน้อยบ้างตลอดมา
จนเป็นพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้าย
กล่าวอีกอย่างหนึ่งจะถือว่าเรื่องชาดกเป็นวิวัฒนาการแห่งการบาเพ็ญคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า
ตั้งแต่ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ก็ได้
ดร.สมิตธิพลเนตรนิมิตรให้รายละเอียดเกี่ยวกับชาดกไว้ว่า
ชาดกมีความหมายที่ใช้กันทั่วไป๒อย่าง
(๑) หมายถึงเกิดเช่น “ปรับอาบัติทุกกฏภิกษุผู้แสวงหามีดและขวานเพื่อจะตัดต้นไม้และเถาวัลย์ที่เกิดณที่นั้น” (ตตฺถ
ชาตกกฏฺฐลตาเฉทนตฺถวาสิผรส)หรือ“ที่ขึ้นอยู่ที่นั้น ได้แก่ ที่เกิดบนหม้อดินที่ฝังไว้นาน”(ตตฺถชาตกนฺติจิรนิหิตายกุมฺภิยา
อุปริ ชาตก)
(๒)หมายถึงการบาเพ็ญบารมีในอดีตชาติของพระโพธิสัตว์ก่อนตรัสรู้ (ชาต ภูตอตีต ภควโตจริย,ต กียติกถียติ
เอเตนาติชาตก) ชาดกเป็นพระพุทธพจน์ประเภทที่ไม่ใช่พระสูตรเป็นคาสอนที่มีอิทธิพลต่อวิธีสอนธรรมในยุคต่อมา
เป็นการสอนอย่างเล่านิทานเหมาะกับผู้ฟังทุกระดับเป็นเทคนิคที่คงประสิทธิผลต่อผู้ฟังมาทุกยุคสมัย
เพราะผู้สอนมีความรู้หลายด้านรู้วิธีนาเสนอมีวาทศิลป
์ เชื่อมโยงให้คนฟังมองเห็นภาพลักษณ์ชวนให้น่าติดตาม
นิทานชาดก มิใช่เรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อสอนคุณธรรมแต่นิทานชาดก คือ เรื่องในอดีตชาติของ พระพุทธเจ้า
ที่พระองค์ทรงแสดงแก่พระภิกษุในโอกาสต่างๆบางครั้งก็เพื่อแสดงภูมิหลังของผู้ที่พระองค์ต้องการแสดงธรรมให้ฟัง
บางครั้งก็เพื่ออธิบายเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น
ชาดก เป็นเรื่องที่มีมาก่อนพุทธกาล เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระโพธิสัตว์
- 3. ๓
ชาดกมี2 ประเภท คือ
1. นิบาตชาดก เป็นชาดกในพระไตรปิฎกมี500เรื่อง แบ่งออกเป็นหมวดๆ ตามจานวนคาถา
นับตั้งแต่ 1 คาถาถึง80คาถา
ชาดกที่มี1 คาถาเรียกว่าเอกนิบาต
ชาดกที่มี2 คาถาเรียกว่า ทุกนิบาต
ชาดกที่มี 3 คาถาเรียกว่าตักนิบาต
ชาดกที่มี 4 คาถาเรียกว่า จตุคนิบาต
ชาดกที่มี 5 คาถาเรียกว่า ปัญจกนิบาต
ชาดกที่มีเกิน80 คาถาขึ้นไปเรียกว่า มหานิบาตชาดก ซึ่งมี 10 เรื่อง เรียก ทศชาติ หรือ พระเจ้าสิบชาติ
2. ปัญญาสชาติชาดก คาว่าปัญญาสชาดก(ปัน-ยาด-สะ-ชา-ดก) ประกอบด้วยคาว่าปัญญาสแปลว่าห้าสิบกับคาว่า
ชาดกซึ่งหมายถึงเรื่องราวชีวิตของพระโพธิสัตว์หรือพระพุทธเจ้าในอดีตชาติก่อนที่จะทรงบังเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ๕๐เรื่อง
เขียนเป็นภาษาบาลีเป็นชีวิตของพระโพธิสัตว์ในพระชาติต่างๆที่ได้บาเพ็ญบารมีคือทาความดีด้วยประการต่างๆ
อย่างแน่วแน่เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นและบาเพ็ญเพียรเพื่อให้พ้นความทุกข์ยากต่าง
ๆ การบาเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์เป็นตัวอย่างให้พุทธศาสนิกชนได้ทาตามคิดตามยึดถือตาม
เพื่อให้เข้าใจความจริงเกี่ยวกับชีวิต
และพยายามหาวิธีพ้นจากความทุกข์ได้อย่างถูกต้องตามทานองคลองธรรม ปัญญาสชาติชาดก ที่แต่งขึ้นจากนิทานพื้นเมือง
นี้ ไม่มีในพระไตรปิฎก หรือเรียกว่า ชาดกนอกนิบาตมีจานวน50 เรื่อง พระภิกษุชาวเชียงใหม่แต่งขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ.
2000-2200 เป็นภาษามคธ โดยเลียนแบบนิบาตชาดก ครั้นเมื่อ พ.ศ.2443-
2448 พระบรมวงศ์เธอกรมพระสมมตอมรพันธ์ ดารงตาแหน่งองค์สภานายก หอพระสมุดสาหรับพระนคร ได้ทรงแปลเป็นภา
ษาไทย เรื่องปัญญาสชาดกจึงแพร่หลาย
องค์ประกอบของชาดก
ชาดกทุกเรื่องจะมีองค์ประกอบ3ประเภท คือ
1. ปรารภเรื่อง คือบทนาเรื่องหรือ อุบัติเหตุ จะกล่าวถึงมูลเหตุหรือที่มาของชาดกเรื่องนั้น เช่น มหาเวสสันดรชาดก
2. อดีตนิทาน หรือ ชาดก หมายถึงเรื่องราวนิทานที่พระพุทธองค์ตรัสเล่า
3.
ประชุมชาดก ประมวลชาดก เป็นเนื้อความสุดท้ายของชาดกกล่าวถึงบุคคลในชาดก คือผู้ใดที่กลับชาติเป็นใครบ้างในปัจจุบั
น
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ สุตตันตปิฎกที่ ๑๙ขุททกนิกายชาดก ภาค ๑
พระไตรปิฎกเล่มที่๒๗เป็นภาคแรกของชาดกได้กล่าวถึงคาสอนทางพระพุทธศาสนาอันมีลักษณะเป็นนิทานสุภาษิต
แต่ในตัวพระไตรปิฎกไม่มีเล่าเรื่องไว้ มีแต่คาสุภาษิตรวมทั้งคาโต้ตอบในนิทานเรื่องละเอียดมีเล่าไว้ในอรรถกถา
คือหนังสือที่แต่งขึ้นอธิบายพระไตรปิฎกอีกต่อหนึ่ง
คาว่า ชาตกหรือ ชาดกแปลว่า ผู้เกิด คือเล่าถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงเวียนว่ายตายเกิดถือเอากาเนิดในชาติต่างๆ
ได้พบปะผจญกับเหตุการณ์ดีบ้างชั่วบ้างแต่ก็ได้พยายามทาความดีติดต่อกันมากบ้างน้อยบ้างตลอดมา
จนเป็นพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้าย
กล่าวอีกอย่างหนึ่งจะถือว่าเรื่องชาดกเป็นวิวัฒนาการแห่งการบาเพ็ญคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า
ตั้งแต่ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ก็ได้
ในอรรถกถาแสดงด้วยว่าผู้นั้นผู้นี้กลับชาติมาเกิดเป็นใครในสมัยพระพุทธเจ้าแต่ในบาลีพระไตรปิฎกกล่าวถึงเพียงบางเรื่อง
เพราะฉะนั้นสาระสาคัญจึงอยู่ที่คุณงามความดีและอยู่ที่คติธรรมในนิทานนั้นๆ
- 4. ๔
อนึ่ง เป็นที่ทราบกันว่าชาดกทั้งหมดมี๕๕๐เรื่อง แต่เท่าที่ได้ลองนับดูแล้วปรากฏว่าในเล่มที่๒๗มี ๕๒๕ เรื่อง,ในเล่มที่ ๒๘
มี ๒๒เรื่อง รวมทั้งสิ้นจึงเป็น๕๔๗ เรื่อง ขาดไป๓เรื่อง แต่การขาดไปนั้นน่าจะเป็นด้วยในบางเรื่องมีนิทานซ้อนนิทาน
และไม่ได้นับเรื่องซ้อนแยกออกไปก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามจานวนที่นับได้ จัดว่าใกล้เคียงมาก
นิทานชาดกหรือชาดกเป็นเรื่องเกี่ยวกับการบาเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์แสดงถึงความเป็นมาในพระชาติต่างๆ
ที่ได้เกิดมาสร้างบารมีเอาไว้เพื่อการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเราเรียกว่าพระเจ้า ๕๐๐ชาติปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกเล่มที่
๒๗ ,๒๘ มีทั้งหมด ๕๔๗ เรื่อง อาจมีทั้งเรื่องที่ซ้ากันบ้างแต่คาถาจะต่างกัน
หรือบางเรื่องที่ยกมาเพียงคาถาเดียวจากเรื่องที่มีหลายๆคาถา
นิทานชาดกนั้นมีคัมภีร์หลักอยู่๒ส่วนคือ คัมภีร์พระสุตตันตปิฏกและคัมภีร์อรรถกถาขยายความเรื่องอีก๑๐เล่ม
นอกนั้นอาจปรากฏในพระวินัยปิฏกและพระสูตรส่วนอื่นๆหรือมีปรากฏในคัมภีร์อรรถกภาธรรมบทบ้าง
นิทานชาดกในอรรถกถามีโครงสร้าง๕ส่วนคือ
๑.ปัจจุบันนิทาน กล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ประทับอยู่ที่ไหนทรงปรารภใคร
๒. อดีตนิทาน เป็นเรื่องชาดกโดยตรงเรื่องที่เคยมีมาในอดีตบางเรื่องเป็นเรื่องทางประวัติศาสตร์ของชนชาติต่างๆ
ในชมพูทวีปบางเรื่องเป็นนิทานท้องถิ่นบางเรื่องเป็นนิทานเทียบสุภาษิตเช่นคนพูดกับสัตว์สัตว์พูดกับสัตว์เป็นต้น
๓. คาถาเป็นพุทธพจน์ที่ปรากฏในพระไตรปิฎกบางเรื่องเป็นพุทธพจน์โดยตรงบางเรื่องเป็นฤาษีภาษิต
บางเรื่องเป็นเทวดาภาษิตแต่ถือเป็นพุทธพจน์เพราะเป็นคาที่นามาตรัสเล่าใหม่
๔. เวยยากรณภาษิตเป็นการอธิบายธรรมที่ปรากฏในชาดกนั้นๆเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น
๕. สโมธานเป็นการสรุปชาดกให้เห็นว่าผู้ปรากฏในชาดกนั้นๆเป็นใครเคยทาอะไรไว้
แต่ในที่นี้ได้กาหนดโครงสร้างนิทานชาดกไว้เพียง๔ตอน คือ
ตอนที่หนึ่ง เป็นบทนาเรื่องทาให้ทราบว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่ใดปรารภใครถึงได้ตรัสนิทานเรื่องนี้
ตอนที่สอง เป็นอดีตนิทานชาดกที่พระพุทธองค์ทรงนามาสาธก
ตอนที่สาม เป็นคาถาประจาเรื่องนั้นๆซึ่งมีทั้งเป็นคาถาของพระพุทธเจ้าเทวดาบัณฑิตพระโพธิสัตว์และสัตว์ในเรื่องและ
ตอนที่สี่ ตอนสุดท้ายเป็นคติประจาใจที่ไม่มีในอรรถกถาที่ผู้เขียนได้จัดทาขึ้นใหม่
เพื่อให้ครบองค์ของนิทานที่เรามักจะหยอดคาลงท้ายด้วยคาว่านิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอะไรเสมอ
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ สุตตันตปิฎกที่ ๒๐ขุททกนิกาย ชาดกภาค ๒
ในพระไตรปิฎกเล่มที่๒๗เป็นเล่มที่รวมเรื่องชาดกที่เล็กๆน้อยๆรวมกันถึง๕๒๕เรื่อง แต่ในพระไตรปิฎกเล่มที่๒๘นี้มีเพียง
๒๒ เรื่อง เพราะเป็นเรื่องยาวๆทั้งนั้นโดย ๑๒เรื่องแรกเป็นเรื่องที่มีคาฉันท์ส่วน๑๐เรื่องหลัง
คือเรื่องที่เรียกว่ามหานิบาตชาดกแปลว่าชาดกที่ชุมนุมเรื่องใหญ่ หรือที่โบราณเรียกว่า ทศชาติ
...
รายชื่อชาดกเรื่องต่าง ๆ
นิบาตชาดก
เป็นเรื่องชาดกที่ปรากฏในพระไตรปิฎกภาษาบาลีในส่วนพระสุตตันตปิฎกขุททกนิกายชาดกมีทั้งหมด547เรื่อง
ปรากฏในเล่มที่27 มี 525 เรื่อง ในเล่มที่ 28 มี 22 เรื่อง รวมทั้งสิ้นจึงเป็น547 เรื่อง ซึ่งจาแนกในแต่ละหมวดแต่ละเรื่องได้ คือ
เล่มที่ 27 อปัณณกวรรคหมวดว่าด้วยการปฏิบัติไม่ผิด10เรื่อง
1.ปัณณิกชาดก2.วัณณุปถชาดก3.เสริววาณิชชาดก4.จูฬเสฏฐิชาดก5.ตัณฑุลนาฬิชาดก6.เทวธัมมชาดก7
.กัฏฐหาริชาดก8.คามณิชาดก9.มฆเทวชาดก10.สุขวิหาริชาดก
- 5. ๕
เล่มที่ 27 สีลวรรคหมวดว่าด้วยศีล10เรื่อง
1.ลักขณชาดก2.นิโครธมิคชาดก3.กัณฑิชาดก4.วาตมิคชาดก5.ขราทิยชาดก6.ติปัลลัตถมิคชาดก7.มาลุต
ชาดก8.มตกภัตตชาดก9.อายาจิตภัตตชาดก10.นฬปานชาดก
เล่มที่ 27 กุรุงควรรคหมวดว่าด้วยกวาง10เรื่อง
1.กุรุงคมิคชาดก2.กุกกุรชาดก3.โภชาชานียชาดก4.อาชัญญชาดก5.ติตถชาดก6.มหิฬามุขชาดก7.อภิณห
ชาดก8.นันทิวิสาลชาดก9.กัณหชาดก10.มุนิกชาดก
เล่มที่ 27 กุลาวกวรรคหมวดว่าด้วยลูกนกครุฑ10เรื่อง
1.กุลาวกชาดก2.นัจจชาดก3.สัมโมทมานชาดก4.มัจฉชาดก5.วัฏฏกชาดก6.สกุณชาดก7.ติตติรชาดก8.พ
กชาดก9.นันทชาดก10.ขทิรังคารชาดก
อัตถกามวรรคหมวดว่าด้วยผู้ใคร่ประโยชน์10เรื่อง
ทศชาติชาดก
1. เตมิยชาดก
2. ชนกชาดก
3. สุวรรณสามชาดก
4. เนมิราชชาดก
5. มโหสถชาดก
6. ภูริทัตชาดก
7. จันทชาดก
8. นารทชาดก
9. วิธูรชาดก
10. มหาเวสสันดรชาดก
ปัญญาสชาดก50 เรื่อง
ปัญญาสชาดกเป็นชาดกที่ไม่ปรากฏในพระไตรปิฎกไม่ปรากฏชัดเจนถึงชื่อผู้แต่งหรือปีที่แต่งแต่ก็มีผู้สันนิษฐาน
และทราบเพียงแต่ว่าผู้แต่งคือภิกษุชาวเชียงใหม่ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าดิศวรกุมาร
กรมพระยาดารงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าน่าจะแต่งขึ้นระหว่างพ.ศ.๒๐๐๐- ๒๒๐๐ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.ลิขิต
ลิขิตานนท์คาดว่าน่าจะแต่งขึ้นประมาณพ.ศ.๒๐๓๘- ๒๐๖๘แต่ศาสตราจารย์ดร.นิยะดา
สาริกภูติให้ข้อมูลเสริมต่อชาดกชุดนี้ว่าน่าจะเก่ากว่านั้นเพราะมีหลักฐานเป็นศิลาจารึกหลักหนึ่งของพม่าซึ่งจารึกเมื่อจ.ศ.
๖๒๗(พ.ศ. ๑๘๐๘) ตั้งอยู่ที่วัดKusa-samutiหมู่บ้าน
Pwasawปัญญาสชาดกแต่งเลียนแบบชาตกัฏฐกถาเพื่อเป็นการสอนศาสนาโดยใช้ชาดกและแต่งเป็นชาดกนอกนิบาต ๕๐
เรื่อง ผนวกกับปัจฉิมภาคอีก๑๑เรื่อง ดังนี้
1. สมุททโฆสชาดกเป็นที่มาของสมุทรโฆษคาฉันท์ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
2. สุธนชาดกมีผู้นาไปแต่งเป็นบทละครนอกในสมัยกรุงศรีอยุธยา
3. สุธนุชาดก
4. รัตนปโชตชาดก
5. สิริวิบุลกิตติชาดก
- 7. ๗
38. อติเทวราชชาดก
39. ปาจิตตกุมารชาดก
40. สรรพสิทธิกุมารชาดกเป็นต้นเรื่องที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระปรมานุชิตชิโนรสนาไปเป็นพระนิพนธ์เรื่องสรรพสิทธิคาฉันท์
41. สังขปัตตชาดก
42. จันทเสนชาดก
43. สุวรรณกัจฉปชาดก
44. สิโสรชาดก
45. วรวงสชาดก
46. อรินทมชาดก
47. รถเสนชาดก
48. สุวรรณสิรสาชาดก
49. วนาวนชาดก
50. พากุลชาดก
ปัจฉิมภาคชาดก11 เรื่อง
1. โสนันทชาดก
2. สีหนาทชาดก
3. สุวรรณสังขชาดกพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงนาไปแปลงและทรงพระราชนิพนธ์เป็นบทละครนอกเรื่อ
งสังข์ทอง
4. สุรัพภชาดก
5. สุวรรณกัจฉปชาดก
6. เทวันธชาดก
7. สุบินชาดก
8. สุวรรณวงศชาดก
9. วรนุชชาดก
10. สิรสาชาดก
11. จันทคาธชาดก
อิทธิพลชาดกต่อสังคม
อิทธิพลด้านคาสอน
อิทธิพลด้านจิตรกรรม
อิทธิพลด้านวรรณคดี/ภาษา
อิทธิพลด้านความเชื่อ
มหานิบาตชาดก พระเจ้าสิบชาติ
- 8. ๘
ทศชาติชาดก
เ ต มี ย์ ช า ด ก - ( พระเตมีย์ใบ้ )
พระราชาพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าพระเจ้ากาสิกราชครองเมืองชื่อว่าพาราณสีมีพระมเหสีพระนามว่าจันทรเทวี
พระราชาไม่มีพระราชโอรสที่จะครองเมืองต่อจากพระองค์จึงโปรดให้ พระนางจันทรเทวีทาพิธีขอพระโอรสจากเทพเจ้า
พระนางจันทรเทวีจึงทรงอธิษฐานว่า
"ข้าพเจ้าได้รักษาศีลบริสุทธิ์ตลอดมาขอให้บุญกุศลนี้บันดาลให้ข้าพเจ้ามีโอรสเถิด"ด้วยอานุภาพแห่งศีลบริสุทธิ์
พระนางจันทรเทวีทรงครรภ์และประสูติพระโอรสสมดังความปราถนาพระโอรสมีรูปโฉมงดงามยิ่งนักทั้งพระราชาพระมเหสี
และประชาชนทั้งหลายมีความยินดีเป็นที่สุดพระราชาจึงตั้งพระนามโอรสว่าเตมีย์แปลว่าเป็นที่ยินดีของคนทั้งหลาย
บรรดาพราหมณ์ผู้รู้วิชาทานายลักษณะบุคคลได้กราบทูลพระราชาว่าพระโอรสองค์นี้มีลักษณะประเสริฐเมื่อเติบโตขึ้น
จะได้เป็นพระราชาธิราชของมหาทวีปทั้งสี่พระราชาทรงยินดีเป็นอย่างยิ่ง และทรงเลือกแม่นมที่มีลักษณะดีเลิศตามตารา
จานวน 64 คนเป็นผู้ปรนนิบัติเลี้ยงดูพระเตมีย์กุมารวันหนึ่งพระราชาทรงอุ้มพระเตมีย์ไว้บนตักขณะที่กาลัง
พิพากษาโทษผู้ร้าย4คนพระราชาตรัสสั่งให้เอาหวายที่มีหนามแหลมคมมาเฆี่ยนผู้ร้ายคนหนึ่งแล้วส่งไปขังคุก
ให้เอาฉมวกแทงศีรษะผู้ร้ายคนที่สามและให้ใช้หลาวเสียบผู้ร้ายคนสุดท้าย
พระเตมีย์ซึ่งอยู่บนตักพระบิดาได้ยินคาพิพากษาดังนั้นก็มีความตกใจหวาดกลัวทรงคิดว่า
"ถ้าเราโตขึ้นได้เป็นพระราชาเราก็คงต้องตัดสินโทษผู้ร้ายบ้างและคงต้องทาบาปเช่นเดียวกันนี้เมื่อเราตายไป
ก็จะต้องตกนรกอย่างแน่นอน"
เนื่องจากพระเตมีย์เป็นผู้มีบุญจึงราลึกชาติได้และทรงทราบว่าในชาติก่อนได้เคยเป็นพระราชาครองเมืองและได้ตัดสินโทษ
ผู้ร้ายอย่างเดียวกันนี้เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์จึงต้องตกนรกอยู่ถึง 7,000ปี ได้รับความทุกข์ทรมาณเป็นอันมาก
พระเตมีย์ทรงมีความหวาดกลัวอย่างยิ่งทรงราพึงว่า
- 9. ๙
"ทาอย่างไรหนอ เราจึงจะไม่ต้องทาบาปและไม่ต้องตกนรกอีก"
ขณะนั้นเทพธิดาที่รักษาเศวตฉัตรได้ยินคาราพึงของพระเตมีย์จึงปรากฏกายให้พระองค์เห็นและแนะนาพระเตมีย์ว่า
"หากพระองค์ทรงหวั่นที่จะกระทาบาปทรงหวั่นเกรงว่าจะตกนรกก็จงทาเป็นหูหนวกเป็นใบ้ และเป็นง่อยเปลี้ย
อย่าให้ชนทั้งหลายรู้ว่าพระองค์เป็นคนฉลาดเป็นคนมีบุญพระองค์จะต้องมีความอดทน
ไม่ว่าจะได้รับความเดือดร้อนอย่างใดก็ต้องแข็งพระทัยต้องทรงต่อสู้ กับพระทัยตนเองให้จงได้
อย่ายอมให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดมาชักจูงใจพระองค์ไปจากหนทางที่พระองค์ตั้งพระทัยไว้"
พระเตมีย์กุมารได้ยินเทพธิดาว่าดังนั้นก็ดีพระทัยเป็นอย่างยิ่งจึงทรงตั้งจิตอธิษฐานว่า
"ต่อไปนี้เราจะทาตนเป็นคนใบ้หูหนวกและง่อยเปลี้ยไม่ว่าจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นเราก็จะไม่ละความตั้งใจเป็นอันขาด"
นับแต่นั้นมา พระเตมีย์ก็ทาพระองค์เป็นคนหูหนวกเป็นใบ้ และเป็นง่อยไม่ร้อง ไม่พูด ไม่หัวเราะและไม่เคลื่อนไหว
ร่างกายเลยพระราชาและพระมเหสีทรงมีความวิตกกังวลในอาการของพระโอรสตรัสสั่งให้พี่เลี้ยงและแม่นมทดลอง
ด้วยอุบายต่างๆเช่นให้อดนม พระเตมีย์ก็ทรงอดทนไม่ร้องไห้ ไม่แสดงความหิวโหยครั้นพระราชาให้พี่เลี้ยงเอาขนมล่อ
พระเตมีย์ก็ไม่สนพระทัยนิ่งเฉยตลอดเวลาพระราชาทรงมีความหวังว่าพระโอรสคงไม่ได้หูหนวกเป็นใบ้และง่อยเปลี้ยจริง
จึงโปรดให้ทดลองด้วยวิธีต่างๆเป็นลาดับเมื่ออายุ 2 ขวบเอาผลไม้มาล่อพระกุมารก็ไม่สนพระทัยอายุ4ขวบ
เอาของเสวยรสอร่อยมาล่อพระกุมารก็ไม่สนพระทัยอายุ 5ขวบพระราชาให้เอาไฟมาขู่พระเตมีย์ก็ไม่แสดงความตกใจกลัว
อายุ 6 ขวบเอาช้างมาขู่อายุ 7 ขวบเอางูมาขู่ พระเตมีย์ก็ไม่หวาดกลัวไม่ถอยหนีเหมือนเด็กอื่นๆ
พระราชาทรงทดลองด้วยวิธีการต่างๆเรื่อยมาจนพระเตมีย์อายุได้ 16พรรษาก็ไม่ได้ผลพระเตมีย์ยังทรงทาเป็นหูหนวก
ทาเป็นใบ้ และไม่เคลื่อนไหวเลยตลอดเวลา 16ปี
ในที่สุด พระราชาก็ให้หาบรรดาพราหมณ์และที่ปรึกษาทั้งหลายมาและตรัสถามว่า
"พวกเจ้าเคยทานายว่าลูกเราจะเป็นผู้มีบุญเป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อลูกเรามีอาการเหมือนคนหูหนวกเป็นใบ้ และเป็น
ง่อยเช่นนี้เราจะทาอย่างไรดี"
พราหมณ์และที่ปรึกษาพากันกราบทูลว่า
"เมื่อตอนที่ประสูตินั้นพระโอรสมีลักษณะเป็นผู้มีบุญแต่บัดนี้เมื่อได้กลับกลายเป็นคนหูหนวกเป็นใบ้เป็นง่อย
ก็กลายเป็นกาลกิณีจะทาให้บ้านเมืองและประชาชนเดือดร้อนขอให้พระองค์สั่งให้นาพระโอรสไปฝังที่ป่าช้าเถิดพะย่ะค่ะ
จะได้สิ้นอันตราย"
พระราชาได้ยินดังนั้นก็ทรงเศร้าพระทัยด้วยความรักพระโอรสแต่ก็ไม่อาจแก้ไขอย่างไรได้ เพราะเป็นห่วงบ้านเมืองและ
ประชาชนจึงต้องทรงทาตามคากราบของพราหมณ์และที่ปรึกษาทั้งหลายพระนางจันทเทวีทรงทราบว่าพระราชาให้นา
พระโอรสไปฝังที่ป่าช้าก็ทรงร้องไห้คร่าครวญว่า
"พ่อเตมีย์ลูกรักของแม่ แม่รู้ว่าลูกไม่ใช่คนง่อยเปลี้ยไม่ใช่คนหูหนวกไม่ใช่คนใบ้ ลูกอย่าทาอย่างนี้เลยแม่เศร้าโศกมา
ตลอดเวลา16ปีแล้ว ถ้าลูกถูกนาไปฝังแม่คงเศร้าโศกจนถึงตายได้นะลูกรัก"
พระเตมีย์ได้ยินดังนั้นก็ทรงสงสารพระมารดาเป็นอันมากทรงสานึกในพระคุณของพระมารดา
แต่ในขณะเดียวกันก็ทรงราลึกว่าพระองค์ตั้งพระทัยไว้ว่าจะไม่ทาการใดที่จะทาให้ต้องไปสู่นรกอีก
จะไม่ทรงยอมละความตั้งใจที่จะทาเป็นใบ้หูหนวกและเป็นง่อย จะไม่ยอมให้สิ่งใดมาชักจูงใจพระองค์
ไปจากหนทางที่ทรงวางไว้แล้วนั้นเป็นอันขาด
พระราชาจึงตรัสสั่งให้นายสารถีชื่อสุนันทะนาพระเตมีย์ขึ้นรถเทียมม้าพาไปที่ป่าช้าผีดิบ
ให้ขุดหลุมแล้วเอาพระเตมีย์โยนลงไปในหลุมเอาดินกลบเสียให้ตาย
นายสุนันทะจึงทรงอุ้มพระเตมีย์ขึ้นรถเทียมม้าพาไปที่ป่าช้าผีดิบเมื่อไปถึงป่าช้านายสุนันทะก็เตรียมขุดหลุมจะฝังพระเตมีย์
พระเตมีย์กุมารประทับอยู่บนราชรถทรงราพึงว่า
- 12. ๑๒
ช น ก ช า ด ก - ( พระมหาชนก)
ณ เมืองมิถิลาแห่งรัฐวิเทหะพระเจ้าแผ่นดินทรงพระนามว่าพระเจ้ามหาชนกทรงมีพระโอรสสององค์คือเจ้าอริฏฐชนก
และ เจ้าโปลชนกเจ้าอริฏฐชนกทรงเป็นอุปราชส่วนเจ้าโปลชนกทรงเป็นเสนาบดีเมื่อพระราชบิดาสวรรคต
เจ้าอริฏฐชนกผู้เป็นอุปราชก็ได้ครองบ้านเมืองต่อมาเจ้าโปลชนกทรงเป็นอุปราช
ทรงเอาใจใส่ดูแลบ้านเมืองช่วยเหลือพระเชษฐาอย่างดียิ่งมีอามาตย์คนหนึ่งไม่พอใจพระเจ้าโปลชนกจึงหาอุบายให้
พระราชาอริฏฐชนกระแวงพระอนุชาโดยทูลพระราชาว่าเจ้าโปลชนกคิดขบถจะปลงพระชนม์พระราชาพระราชาทรงเชื่อคา
อามาตย์จึงให้จับเจ้าโปลชนกไปขังไว้ เจ้าโปลชนกเสด็จหนีไปจากที่คุมขังได้หลบไปอยู่ที่ชายแดนเมืองมิถิลาเจ้าโปลชนก
ทรงคิดว่าเมื่อครั้งที่ยังเป็นอุปราชนั้นมิได้เคยคิดร้ายต่อพระราชาผู้เป็นพี่เลยแต่ก็ยังถูกระแวงจนต้องหนีมา
ถ้าพระราชาทรงรู้ว่าอยู่ที่ไหนก็คงให้ทหารมาจับไปอีกจนได้ บัดนี้ผู้คนมากมายที่ชายแดนที่เห็นใจ
และพร้อมที่จะเข้าเป็นพวกด้วยควรที่จะรวบรวมผู้คนไปโจมตีเมืองมิถิลาเสียก่อนจึงจะดีกว่า
เมื่อคิดดังนั้นแล้วเจ้าโปลชนกก็พาสมัครพรรคพวกยกเป็นกองทัพไปล้อมเมืองมิถิลาบรรดาทหารแห่งเมืองมิถิลาพากัน
เข้ากับเจ้าโปลชนกอีกเป็นจานวนมากเพราะเห็นว่าเจ้าโปลชนกเป็นผู้ซื่อสัตย์และมีความสามารถแต่กลับถูกพระราชาระแวง
และจับไปขังไว้โดยไม่ยุติธรรมครั้นเมื่อเจ้าโปลชนกมีผู้คนไพร่พลเข้าสมทบด้วยเป็นจานวนมากมายเช่นนี้
พระเจ้าอริฏฐชนกทรงเห็นว่าไม่มีทางจะเอาชนะได้ จึงตรัสสั่งพระมเหสีซึ่งกาลังทรงครรภ์แก่ ให้ทรงหลบหนีเอาตัวรอด
ส่วนพระองค์เองทรงออกทาสงครามและสิ้นพระชนม์ในสนามรบเจ้าโปลชนกจึงทรงได้เป็นกษัตริย์ครองเมืองมิถิลาสืบต่อมา
ฝ่ายพระมเหสีของพระเจ้าอริฏฐชนกเสด็จหนีออกจากเมืองมาตั้งพระทัยจะเสด็จไปอยู่เมืองกาลจัมปากะ
แต่กาลังทรงครรภ์แก่ เดินทางไม่ไหวด้วยเดชานุภาพแห่งพระโพธิสัตว์ซึ่งอยู่ในพระครรภ์พระอินทร์จึงเสด็จมาช่วย
ทรงแปลงกายเป็นชายชราขับเกวียนมาที่ศาลาที่พระนางพักอยู่และถามขึ้นว่า
"มีใครจะไปเมืองกาลจัมปากะบ้าง"พระนางดีพระทัยรีบตอบว่า"ลุงจ๋าฉันจะไปจ๊ะ"พระอินทร์แปลงจึงรับพระนางขึ้นเกวียน
พาเดินทางไปเมืองกาลจัมปากะด้วยอานุภาพเทวดาแม้ระยะทางไกลถึง 60โยชน์
เกวียนนั้นก็เดินทางไปถึงเมืองในชั่ววันเดียวพระมเหสีเสด็จไปนั่งพักอยู่ในศาลาแห่งหนึ่งในเมืองนั้น
- 14. ๑๔
ถึงพันคนจึงจะยกขึ้นได้ ประการที่สี่สามารถชี้บอกขุมทรัพย์มหาศาลทั้ง13แห่งได้"แล้วจึงตรัสบอกปัญหาของขุมทรัพย์ทั้ง13
แห่ง แก่เหล่าอามาตย์เช่นขุมทรัพย์ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นขุมทรัพย์ที่ดวงอาทิตย์ตกขุมทรัพย์ที่อยู่ภายในขุมทรัพย์ที่อยู่ภายนอก
ขุมทรัพย์ที่ไม่ใช่ภายในและภายนอกขุมทรัพย์ที่ปลายไม้ ขุมทรัพย์ที่ปลายงาขุมทรัพย์ที่ปลายหางเป็นต้น
เมื่อพระราชาสิ้นพระชนม์บรรดาเสนาบดีทหารพลเรือนและประชาราษฎร์ทั้งหลายต่างพยายามที่จะเป็นผู้สืบราชสมบัติ
แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถทาให้เจ้าหญิงสีวลีพอพระทัยได้ เพราะล้วนแต่พยายามเอาพระทัยเจ้าหญิงมากเกินไป
จนเสียลักษณะของผู้ที่จะปกครองบ้านเมืองไม่มีผู้ใดสามารถยกมหาธนูใหญ่ได้ ไม่มีผู้ใดรู้ทิศหัวนอนของบัลลังก์สี่เหลี่ยม
และไม่มีผู้ใดไขปริศนาขุมทรัพย์ได้
ในที่สุดบรรดาเสนาข้าราชบริพารจึงควรตั้งพิธีเสี่ยงราชรถเพื่อหาตัวบุคคลผู้มีบุญญาธิการสมควรครองเมือง
บุษยราชรถเสี่ยงทายนั้นก็แล่นออกจากพระราชวังตรงไปที่สวนแล้วหยุดอยู่หน้าศาลาที่พระมหาชนกทรงนอนอยู่
ปุโรหิตที่ตามราชรถจึงให้ประโคมดนตรีขึ้นพระมหาชนกได้ยินเสียงประโคมจึงลืมพระเนตรขึ้นเห็นราชรถก็ทรงดาริว่า
คงเป็นราชรถเสี่ยงทายพระราชาผู้มีบุญเป็นแน่แต่ก็มิได้แสดงอาการอย่างใดกลับบรรทมต่อไปปุโรหิตเห็นดังนั้นก็คิดว่า
บุรุษผู้นี้เป็นผู้มีสติปัญญาไม่ตื่นเต้นตกใจกับสิ่งใดโดยง่ายจึงเข้าไปตรวจดูพระบาทพระมหาชนกเห็นลักษณะต้องตาม
คาโบราณว่าเป็นผู้มีบุญจึงให้ประโคมดนตรีขึ้นอีกครั้งแล้วเข้าไปทูลอัญเชิญพระมหาชนกให้ทรงเป็นพระราชาเมืองมิถิลา
พระมหาชนกตรัสถามว่าพระราชาไปไหนเสียปุโรหิตก็กราบทูลว่าพระราชาสวรรคตไม่มีพระโอรสมี
แต่พระธิดาคือเจ้าหญิงสิวลีแต่องค์เดียวพระมหาชนกจึงทรงรับเป็นกษัตริย์ครองมิถิลาฝ่ายเจ้าหญิงสิวลีได้ทรงทราบว่า
พระมหาชนกได้ราชสมบัติก็ประสงค์จะทดลองว่าพระมหาชนกสมควรเป็นกษัตริย์หรือไม่
จึงให้ราชบุรุษไปทูลเชิญเสด็จมาที่ปราสาทของพระองค์พระมหาชนกก็เฉยเสียมิได้ไปตามคาทูลเจ้าหญิงให้คนไปทูลถึง 3
ครั้ง พระมหาชนกก็ไม่สนพระทัยจนถึงเวลาหนึ่งก็ เสด็จไปที่ปราสาทของเจ้าหญิงเองโดยไม่ทรงบอกล่วงหน้า
เจ้าหญิงตกพระทัยรีบเสด็จมาต้อนรับเชิญไปประทับบนบัลลังก์
พระมหาชนกจึงตรัสถามอามาตย์ว่าพระราชาที่สิ้นพระชนม์ตรัสสั่งอะไรไว้บ้างอามาตย์ก็ทูลตอบ
พระมหาชนกจึงตรัสสั่งว่าข้อที่1 "ที่ว่าทาให้เจ้าหญิงพอพระทัยเจ้าหญิงได้
แสดงแล้วว่าพอพระทัยเราจึงได้เสด็จมาต้อนรับเรา"ข้อที่ 2 เรื่องปริศนาทิศหัวนอนบัลลังก์นั้นพระมหาชนกทรง
คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอดเข็มทองคาที่กลัดผ้าโพกพระเศียรออกส่งให้เจ้าหญิงให้วางเข็มทองคาไว้ เจ้าหญิงทรงรับเข็มไปวางไว้
บนบัลลังก์สี่เหลี่ยมพระมหาชนกจึงทรงชี้บอกว่าตรงที่เข็มวางอยู่นั้นแหละคือทิศหัวนอนของบัลลังก์ โดยสังเกตจากการที่
เจ้าหญิงทรงวางเข็มทองคาจากพระเศียรไว้ ข้อที่3 นั้นก็ตรัสสั่งให้นามหาธนูมาทรงยกขึ้นและน้าวอย่างง่ายดายข้อที่ 4
เมื่ออามาตย์กราบทูลถึงปัญหาของขุมทรัพย์ทั้ง13แห่ง พระมหาชนกทรงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ ตรัสบอกคาแก้ปริศนา
ขุมทรัพย์ทั้ง13 แห่งได้หมด เมื่อสั่งให้คนไปขุดดู ก็พบขุมทรัพย์ตามที่ตรัสบอกไว้ทุกแห่งผู้คนจึงพากันสรรเสริญปัญญาของ
พระมหาชนกกันทั่วทุกแห่งหนพระมหาชนกโปรดให้เชิญพระมารดาและพราหมณ์ ทิศาปาโมกข์จากเมืองกาลจัมปากะ
ทรงอุปถัมภ์ บารุงให้สุขสบายตลอดมาจากนั้นทรงสร้างโรงทานใหญ่ 6ทิศในเมืองมิถิลาทรงบริจาคมหาทานเป็นประจา
เมืองมิถิลาจึงมีแต่ความผาสุกสมบูรณ์ เพราะพระราชาทรงอยู่ในทศพิธราชธรรมต่อมาพระนางสิวลีประสูติพระโอรส
ทรงนามว่าทีฆาวุกุมารเมื่อเจริญวัยขึ้นพระบิดาโปรดให้ดารงตาแหน่งอุปราชอยู่มาวันหนึ่ง
พระราชามหาชนกเสด็จอุทยานทอดพระเนตรเห็นมะม่วงต้นหนึ่งกิ่งหักใบไม้ร่วงอีกต้นมีใบแน่นหนาร่มเย็นเขียวชอุ่ม
จึงตรัสถามอามาตย์กราบทูลว่าต้นมะม่วงที่มีกิ่งหักนั้นเป็นเพราะรสมีผลอร่อยผู้คนจึงพากันสอยบ้าง
เด็ดกิ่งและขว้างปาเพื่อเอาบ้างจนมีสภาพเช่นนั้นส่วนอีกต้นไม่มีผลจึงไม่มีคนสนใจใบและกิ่งจึงสมบูรณ์เรียบร้อยดี
พระราชาได้ฟังก็ทรงคิดว่าราชสมบัติเปรียบเหมือนต้นไม้มีผลอาจถูกทาลายแม้ไม่ถูกทาลายก็ต้องคอยระแวดระวังรักษา
เกิดความกังวลเราจะทาตนเป็นผู้ ไม่มีกังวลเหมือนต้นไม้ไม่มีผลเราจะออกบรรพชาสละราชสมบัติเสียมิให้เกิดกังวล
พระราชาเสด็จกลับมาปราสาทปลงพระเกศาพระมัสสุครองผ้ากาสาวพัสตร์ ครองอัฏฐบริขารครบถ้วน
แล้วเสด็จออกจากมหาปราสาทไปครั้นพระนางสิวลีทรงทราบก็รีบติดตามมาทรงอ้อนวอนให้ พระราชาเสด็จกลับ