More Related Content
Similar to งานคอมเมษ (20)
งานคอมเมษ
- 1. 1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6
ปีการศึกษา 2560
ชื่อโครงงาน เครื่องซักผ้าที่ใช้น้าแค่ 1 ถ้วย
ชื่อผู้ทาโครงงาน
นาย วิจักษณ์ ลาภใหญ่ เลขที่ 36 ชั้น ม.6 ห้อง 2
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
- 2. 2
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
นาย วิจักษณ์ ลาภใหญ่ เลขที่ 36
ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย)
เครื่องซักผ้าที่ใช้น้าแค่ 1 ถ้วย
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ)
Economical washing machine
ประเภทโครงงานเพื่อการศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน นาย วิจกษณ์ ลาภใหญ่
ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงานภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน (อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทาโครงงาน)
สิ่งประดิษฐ์ที่สาคัญและยิ่งใหญ่ แต่ไม่ค่อยมีใครเล็งเห็นและตระหนักมากมายนักก็คือ เครื่องซักผ้า
อุปกรณ์ที่แพร่หลายและมีใช้กันอยู่ในแทบทุกครัวเรือนในเวลานี้ ที่ถือเป็นความสาเร็จสาคัญของนักประดิษฐ์ที่
สามารถลดเวลาในการทางานที่เหน็ด เหนื่อยสาหัสถึง 4 ชั่วโมงให้หลงเหลือเพียงแค่ 40 นาทีเท่านั้นเอง
หลักการในการทางานของเครื่องซักผ้า ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมานับตั้งแต่เริ่มต้นคิดค้นออกมาในศตวรรษที่ 20
จนกระทั่งถึงบัดนี้ เครื่องซักผ้ายังอาศัยหลักการในการใช้น้าและผงซักฟอกใช้ในการทาความสะอาดผ้าผ่านการปั่น
แล้วอาศัยการปั่นนั่นอีกแหละสลัดน้าออก ผลก็คือ ในการซักผ้าด้วยเครื่องครั้งหนึ่งๆ ใช้น้าประมาณ 200 ลิตรหรือ
กว่านั้น และใช้พลังงานไฟฟ้าอีกมหาศาล ประเด็นเหล่านี้นี่เองที่ทาให้เกิดการพยายามคิดค้นหาเครื่องซักผ้าแบบ
ใหม่ ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า นอกจากจะมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังต้องลดปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าและน้า
ให้เหลือน้อยลงอีกด้วย
- 3. 3
วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทาโครงงาน ระบุเป็นข้อ)
1. เพื่อศึกษาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการทางานของเครื่องซักผ้า
2. เพื่อคิดค้นเครื่องซักผ้ารูปแบบใหม่ที่ใช้ทรัพยากรน้า และพลังงานไฟฟ้าน้อยลง
ขอบเขตโครงงาน (คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจากัดของการทาโครงงาน)
ศึกษาการทางานของเครื่องซักผ้าว่ามีระบบการทางานอย่างไร มีการใช้พลังงานไฟฟ้า และทรัพยากรน้าใน
ด้านไหนบ้าง แล้วจึงศึกษาวิธีที่จะใช้พลังงานไฟฟ้าและน้าให้คุ้มค่ามากที่สุดเพื่อลดปริมาณไฟฟ้าและน้าที่ใช้
หลักการและทฤษฎี
เบอร์กินชอว์เดิมทีพยายามพัฒนาวัสดุ ไนลอนโพลีเมอร์ เพื่อนาไปใช้ในการย้อมสีเส้นใยสาหรับใช้ใน
การทอผ้า เขาได้คิดในเวลาต่อมาว่า หากวัสดุไนลอนโพลีเมอร์ ที่ว่านี้นาเอาสีย้อมไปติดในเส้นใยผ้าได้จริง หาก
พลิกกระบวนการกลับ ไนลอนโพลีเมอร์ ก็สามารถนามาใช้ในการสร้างปฏิกิริยาให้สิ่งสกปรกทั้งหลายทั้งที่ติดเป็น
คราบอยู่บนเส้นใยเสื้อผ้า และที่ซึมเข้าไปอยู่ในเส้นใยผ้า หลุดออกมาได้อย่างหมดจดได้ด้วย
จากการทดลองของเบอร์กินชอว์เขาพบว่าไนลอนที่เราใช้ทาเส้นใยผ้านั้นมีคุณสมบัติทางไฟฟ้า คือมี
ขั้วบวกขั้วลบอยู่ในตัวของมันเอง ที่ทาให้มันกลายเป็นเหมือนแม่เหล็กดูดเอาคราบสกปรกติดอยู่กับตัวมันแน่นหนา
มาก ซักกี่ครั้งๆ ก็ยังมอซอไม่หมดจดสดใสเสียที นักเคมีชาวอังกฤษรายนี้คิดค้นจนในที่สุดได้วัสดุไนลอน
โพลีเมอร์เป็นเม็ดเหมือนลูกปัดเล็กๆ จานวนมากที่มีคุณสมบัติพิเศษเมื่อโดนความชื้น (น้า) จะขยายโครงสร้างของ
ตัวเองออกแล้วดูดเอาคราบสกปรกออกมากักเก็บไว้ในโครงสร้างของมัน
เครื่องซักผ้าระบบใหม่ของ เบอร์กินชอว์ใช้น้าเพียงประมาณ 1 ถ้วยใหญ่ๆ พร้อมกับผงซักฟอกอีกเล็กน้อย
เมื่อเริ่มกระบวนการซักน้าจะละลายผงซักฟอกลงมาหมุนเสื้อผ้าไปพร้อมๆ กับเม็ดไนลอนโพลีเมอร์ แล้วใช้น้าล้าง
เสื้อผ้าอีกครั้ง เท่านี้ก็สะอาดหมดจด ปัญหาใหญ่ของเบอร์กินชอว์ในการออกแบบเครื่องซักผ้าในระบบนี้ ไม่ใช่
เรื่องของการทาให้เสื้อผ้าสะอาด แต่เป็นปัญหาว่าเมื่อซักเสร็จแล้ว จะแยกเม็ดไนลอนโพลีเมอร์ออกจากเสื้อผ้า
อย่างไร และเม็ดลูกปัดที่ว่านี้ควรมีขนาดเท่าใดถึงจะเหมาะสม
สุดท้าย เบอร์กินชอว์ออกแบบถังซักออกมาให้เป็นแบบถังซ้อนอยู่ในถังอีกต่อหนึ่ง เพื่อให้ลูกปัดไนลอน
โพลีเมอร์ ถูกปั่นส่งออกมาตามรูต่างๆ ที่อยู่บนพื้นผิวของถังซักตัวใน จากการทดลองพบว่าวิธีนี้สามารถกาจัด
ลูกปัดไนลอนโพลีเมอร์ได้ 99.95 เปอร์เซ็นต์ หลงเหลือเม็ดไนลอนติดอยู่กับเสื้อผ้าอยู่บ้างเพียง 10 เม็ดหรือมากกว่า
นั้นเล็กน้อยเท่านั้นเอง
เม็ดไนลอนโพลีเมอร์สาหรับทาความสะอาดเสื้อผ้าที่ว่านี้สามารถนามาใช้ซ้าได้อีกประมาณ 100 ครั้ง หรือ
ราวๆ 6 เดือนของการซักล้างตามปกติ และสามารถนาไปรีไซเคิลใช้เป็นวัสดุอย่างอื่นได้เมื่อหมดประโยชน์ในการ
ซักล้างแล้ว