More Related Content
Similar to ระบบนิเวศในประเทศไทย
Similar to ระบบนิเวศในประเทศไทย (20)
ระบบนิเวศในประเทศไทย
- 14. องค์ประกอบของระบบนิเวศ
1. ส่วนประกอบที่ไม่มีชีวิต (abiotic component ) ประกอบด้วย
อนินทรียสาร ได้แก่ ไนโตรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ ออกซิเจน น้า และคาร์บอน
อินทรียสาร ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ฯลฯ
สภาพแวดล้อมทางกายภาพ ได้แก่ อุณหภูมิ แสง ความเป็นกรด เป็นด่าง ความ
เค็มและความชื้น
2. ส่วนประกอบที่มีชีวิต (biotic component) ได้แก่
ผู้ผลิต (producer)
ผู้บริโภค (consumer)
ผู้ย่อยสลาย (decomposer)
- 16. ส่วนประกอบที่มีชีวิต (biotic component)
ผู้ผลิต (producer) คือ สิ่งมีชีวิตที่สามารถนาพลังงานจากแสงอาทิตย์มาสังเคราะห์
อาหารขึ้นได้เองด้วยแร่ธาตุและสสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ได้แก่ พืชสีเขียว แพลงค์ตอน
พืช และแบคทีเรียบางชนิด
ผู้บริโภค (consumer) คือ สิ่งมีชีวิตที่กินสิ่งมีชีวิตอื่นๆเป็นอาหาร แบ่งได้เป็น
- สิ่งมีชีวิตที่กินพืชเป็นอาหาร (herbivore) เช่น วัว ควาย กระต่าย
และปลาที่กินพืชเล็กๆ ฯลฯ
- สิ่งมีชีวิตที่กินสัตว์อื่นเป็นอาหาร (carnivore) เช่น เสือ สุนัข กบ สุนัขจิ้งจอก
ฯลฯ
- สิ่งมีชีวิตที่กินทั้งพืช และสัตว์ ซึ่งเป็นลาดับการกินสูงสุด (omnivore) เช่น
มนุษย์
ผู้ย่อยสลาย (decomposer) เป็นพวกย่อยสลายซากสิ่งมีชีวิตให้เป็นสารอินทรีย์ได้
- 18. พลังงานที่ผู้ผลิตรับไว้ได้จากดวงอาทิตย์ และเปลี่ยนไปอยู่ในรูปของสารอาหารนี้จะ
มีการถ่ายทอดไปตามลาดับขั้น ของการกินอาหารภายในระบบนิเวศ คือ ผู้บริโภคจะ
ได้รับพลังงานจากผู้ผลิต โดยการกินต่อกันเป็นทอด ๆ ในแต่ละลาดับขั้นของการ
ถ่ายทอดพลังงานนี้ พลังงงานจะค่อย ๆ ลดลงไปในแต่ละลาดับเรื่อย ๆ ไปเนื่องจากได้
สูญเสียออกไปในรูปของความร้อน การรับพลังงานจากดวงอาทิตย์ โดยผู้ผลิตเป็นจุด
แรกที่มีความสาคัญยิ่งต่อระบบนิเวศนั้น ระบบนิเวศใดรับพลังงานไว้ได้มากย่อมแสดงให้
เห็นว่าระบบนิเวศนั้นมีความอุดมสมบูรณ์มาก การเคลื่อนย้ายหรือถ่ายทอดพลังงานใน
ระบบนิเวศในรูปของอาหารจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภค และจากผู้บริโภคไปสู่ผู้บริโภคอันดับ
ต่อไปเป็นลาดับขั้นมีลักษณะเป็น "ลูกโซ่อาหาร" หรือ "ห่วงโซ่อาหาร" (food chain) ใน
สภาพธรรมชาติจริง ๆ แล้ว การกินกันอาจไม่ได้เป็นไปตามลาดับที่แน่นอน
การถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศ
- 26. ความสมดุลของระบบนิเวศ
คุณสมบัติที่สาคัญประการหนึ่งของระบบนิเวศ คือ มีกลไกในการปรับสภาวะ
ตัวเอง (selfregulation) โดยมีรากฐานมาจากความสามารถของ สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด ซึ่ง
เป็นองค์ประกอบของระบบนิเวศนั้น ๆ คือ ผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลายในการทาให้
เกิดการหมุนเวียนของธาตุอาหารผ่านสิ่งมีชีวิต ถ้าระบบนิเวศนั้นได้รับพลังงานอย่าง
พอเพียง และไม่มีอุปสรรคขัดขวางวัฏจักรของธาตุอาหาร แล้ว ก็จะทาให้เกิดภาวะสมดุล
equilibrium ขึ้นมาในระบบนิเวศนั้น ๆ โดยมีองค์ประกอบและความสัมพันธ์ ของสิ่งมีชีวิต
แต่ละชนิดทาให้แร่ธาตุ และสสารกับสิ่งแวดล้อมนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง มาก ซึ่งทาให้
ระบบนิเวศนั้นมีความคงตัว ทั้งนี้เพราะการผลิตอาหารสมดุลกับการบริโภคภาย ใน
ระบบนิเวศนั้นการปรับสภาวะตัวเองนี้ ทาให้การผลิตอาหารและการเพิ่มจานวนของ
สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในระบบนั้นมีความพอดีกัน กล่าวคือจานวนประชากรชนิดใด ๆ ในระบบ
นิเวศจะไม่สามารถเพิ่มจานวนอย่างไม่มีขอบเขตได้
- 28. ความสมดุลของระบบนิเวศ
ธรรมชาติได้ให้สิ่งที่สวยงาม ร่มรื่น นอกเหนือจากปัจจัย 4 ที่มนุษย์ได้รับ
ถ้าในระบบนิเวศสิ่งมีชีวิตบางชนิดถูกทาลายไปจะทาให้ความสมดุลของ
ระบบนิเวศลดลง เช่น บริเวณทุ่งหิมะและขั้วโลกเป็นระบบนิเวศที่ง่ายและธรรมดาไม่
ซับซ้อน เพราะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ไม่กี่ชนิด พืชก็ได้แก่ ตะไคร่น้า ไลเคน หญ้าชนิดต่าง ๆ
เพียงไม่กี่ชนิดและต้นหลิว พืชเหล่านี้เป็นอาหารของกวาง ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด คือ กวางคาริ
เบียนกับกวางเรนเดีย กวางเป็นอาหารของสุนัขป่าและคน นอกจากนี้ ก็มีหนูนาและไก่ป่า
ซึ่งเป็นอาหารของสุนัขจิ้งจอกและนกเค้าแมว เพราะฉะนั้นในบริเวณหิมะนี้ ถ้าเกิดการ
เปลี่ยนแปลงจานวนของสิ่งมีชีวิตในระดับหนึ่ง จะมีผลรุนแรงต่อสิ่งมีชีวิต ในระดับอื่น ๆ
ด้วยเพราะมันไม่มีโอกาสเลือกอาหารได้มาก นักสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในนี้จึงเปลี่ยนแปลงเร็ว จน
บางชนิดสูญพันธุ์ ดังนั้นระบบนิเวศที่ไม่ซับซ้อนจึงเสียดุลได้ง่ายมากเหมือนกับการปลูก
พืชชนิดเดียว (monocropping) เช่น การเกษตรสมัยปัจจุบันเวลาเกิดโรคระบาดจะทาให้
เสียหายอย่างมากและรวดเร็ว
- 30. ชีวลัย(Biosphere)
1) ระบบนิเวศอิสระ (Lsolated Ecosystem) คือ ระบบนิเวศที่ไม่มีการถ่ายเท
สารอาหารและพลังงานระหว่างภายในระบบนิเวศกับสิ่งแวดล้อมภายนอกเป็นระบบ
นิเวศ ที่ไม่มีในธรรมชาติ แต่นักนิเวศวิทยาพยายามคิดค้นขึ้น
2) ระบบนิเวศแบบปิด (Closed Ecosystem) คือระบบนิเวศที่มีเฉพาะการถ่ายเท
พลังงาน (แสงสว่าง) แต่ไม่มีการถ่ายเทสารอาหารระหว่างภายในระบบกับภายนอก
ระบบนิเวศ เป็นระบบนิเวศที่มนุษย์สร้างขึ้น ไม่มีในธรรมชาติ เช่น ตู้ปลา
3) ระบบนิเวศแบบเปิด (Open Ecosystem) เป็นระบบนิเวศที่มีทั้งการถ่ายเทสาร
อาหารและพลังงานระหว่างระบบภายนอกกับระบบนิเวศภายใน เช่น สระน้า
ทุ่งหญ้า ป่าไม้
- 34. 2) ระบบนิเวศไม่สมบูรณ์ หมายถึง ระบบนิเวศที่มีองค์ประกอบไม่ครบอาจขาด
ปัจจัย บางส่วนในระบบนิเวศนั้น เช่น บริเวณเขตทะเลลึกที่แสงส่องไม่ถึงใน
ที่แสงส่องไม่ถึง พบหลายแห่งในประเทศไทย เช่น เทือกเขาบูโด จังหวัดนราธิวาส
เทือกเขาในเขตอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง จังหวัดพิษณุโลก ถ้าค้างคาว
ร้อยล้าน จังหวัดราชบุรี ถ้าผาปู่ จังหวัดเลย เป็นต้น ในบริเวณที่เป็นระบบนิเวศ ไม่
สมบูรณ์นี้ส่วนใหญ่จะไม่มีผู้ผลิต โดยเฉพาะพืช ดังนั้นการมีชีวิตอยู่ของ
ผู้บริโภคในเขตระบบนิเวศแบบนี้ต้องกินซากอินทรีย์จากการตกตะกอนหรือออกไป
กินในบริเวณอื่น เช่น พวกค้างคาวที่อาศัยในถ้า แต่ไปหากินที่อื่น เป็นต้น
Biosphere
- 38. 1. ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสภาพแวดล้อมทางกายภาพ ได้แก่ แสง , อุณหภูมิ , น้า , อากาศ ,ดิน
และแร่ธาตุในดิน
แสง เป็นปัจจัยสาคัญที่มีอิทธิพลต่อการดารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตหลายชนิด เช่น
1. ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
2. การหุบและบานของดอกและใบของพืชหลายชนิด เช่น ใบไมยราบ ใบกระถิน
3. มีอิทธิพลต่อเวลาการออกอาหารของสัตว์
ความสัมพันธ์ของระบบนิเวศ
- 40. อุณหภูมิ เป็นปัจัยสาคัญที่มีอิธิพลต่อการดารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตหลายประการ เช่น
1. อุณหภูมิมีผลต่อการหุบและบานของดอกไม้บางชนิด เช่น ดอกบัวจะบานตอนกลางวัน
และจะหุบในตอนกลางคืน
2. อุณหภูมิมีผลต่อพฤติกรรมบางประการของสัตว์ เช่น การจาศีลมนฤดูหนาวของหมีขั้ว
โลก
3. อุณหภูมิมีผลต่อลักษณะและรูปร่างของสิ่งมีชีวิต เช่น สัตว์ในเขตหนาวจะมีขนาดตัวที่
ใหญ่กว่าสัตว์ในเขตร้อน หรือสัตว์บางชนิดที่อยู่ในเขตหนาวจะมีขนหนากว่าสัตว์ในเขต
ร้อน
ความสัมพันธ์ของระบบนิเวศ
- 42. น้ำ เป็นปัจจัยสาคัญที่มีอิทธิพลต่อการดารงชีวิตของสิ่งมีชีวิต เช่น
1. น้าเป็นวัตถุดิบในการบวนการสังเคราะห์ด้วยแวงของพืช และน้ายังเป็นตัวทาละลายที่สาคัญที่ทาให้
แร่ธาตุต่างๆที่มีอยู่ในดินละลายและซึมสู่พื้นดินเพื่อให้พืชสามารถนาไปใช้ได้
2. น้าเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการงอกของเมล็ด
3. น้าเป็นส่วนประกอบในเซลล์ร่างกายของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
4. น้าเป็นสื่อกลางในการช่วยขับของเสียออกจากร่างการของสิ่งมีชีวิต
ความสัมพันธ์ของระบบนิเวศ
- 49. 2.1ภาวะล่าเหยื่อ ( Predation ) หมายถึง การอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตโดยฝ่ายหนึ่งจับอีก
ฝ่ายหนึ่งเป็นอาหาร เรียกว่า ผู้ล่า (predator) ส่วนฝ่ายที่ถูกจับเป็นอาหารหรือถูกล่า
เรียกว่า เหยื่อ ( prey) เช่น -กบกับแมลง :กบเป็นผู้ล่า แมลงเป็นผู้ถูกล่า และเหยี่ยวกับ
หนู:เหยี่ยวเป็นผู้ล่าส่วนหนูเป็นผู้ถูกล่า
ความสัมพันธ์ของระบบนิเวศ
- 50. 2.2ภาวะพึ่งพา ( Mutualism ) หมายถึง การอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิต 2 ชนิดโดยต่างก็ไ ด้
รับประโยชน์ซึ่งกันและกัน หากแยกกันอยู่จะไม่สามารถดารงชีวิตต่อไปได้ เช่น
- ไลเคนส์ ( Lichens) : สาหร่ายอยู่ร่วมกับสาหร่าย สาหร่ายได้รับความชื้นและแร่ธาตุ
จากรา ราได้รับอาหารและออกซิเจนจากสาหร่าย
ความสัมพันธ์ของระบบนิเวศ
- 51. 2.3ภาวะการได้ประโยชน์ ( Protocooperation ) หมายถึง การอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิต2
ชนิด โดยก็ได้รับประโยชน์ซึ่งกันและกัน แม้แยกกันอยู่ก็สามารถดารงชีวิตได้ตามปกติ
เช่น - แมลงกับดอกไม้ : แมลงได้รับน้าหวานจากดอกไม้ ส่วนดอกไม้ได้แมลงช่วยผสม
เกสรทาให้แพร่พันธุ์ได้ดีขึ้น
ความสัมพันธ์ของระบบนิเวศ
- 52. 2.4ภาวะอิงอาศัยหรือภาวะเกื้อกูล ( Commensalism ) หมายถึง การอยู่ร่วมกันของ
สิ่งมีชีวิต2 ชนิด โดยฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์ อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้และไม่เสียประโยชน์ เช่น
- ปลาฉลามกับเหาฉลาม : เหาฉลามเกาะติดกับปลาฉลาม ได้เศษอาหารจากปลาฉลาม
โดยปลาฉลามก็ไม่ได้และไม่เสียประโยชน์อะไร
- พืชอิงอาศัย ( epiphyte) บนต้นไม้ใหญ่ : พืชอิงอาศัย เช่น ชายผ้าสีดาหรือกล้วยไม้
เกาะอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ได้รับความชุ่มชื้น ที่อยู่อาศัยและแสงสว่างที่เหมาะสมโดยต้นไม้
ใหญ่ไม่ได้และไม่เสียประโยชน์ใดๆ
- นก ต่อ แตน ผึ้ง ทารังบนต้นไม้ : สัตว์เหล่านี้ได้ที่อยู่อาศัย หลบภัยจากศัตรูธรรมชาติ
โดยต้นไม้ไม่ได้และไม่เสียประโยชน์อะไร
ความสัมพันธ์ของระบบนิเวศ
- 54. 2.5ภาวะปรสิต ( Parasitism ) หมายถึง การอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด โดยฝ่ายหนึ่ง
ได้ประโยชน์ เรียกว่า ปรสิต ( parasite) อีกฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์เรียกว่าผู้ถูกอาศัย
( host) เช่น
- เห็บ เหา ไร หมัด บนร่างกายสัตว์ : ปรสิตภายนอก ( ectoparasite) เหล่านี้ดูดเลือด
จากร่างกายสัตว์จึงเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ ส่วนสัตว์เป็นฝ่ายเสียประโยชน์
- พยาธิ ในร่างกายสัตว์ :ปรสิตภายใน (endoparasite) จะดูดสารอาหารจากร่างกายสัตว์
จึงเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ส่วนสัตว์เป็นฝ่ายเสียประโยชน์
ความสัมพันธ์ของระบบนิเวศ
- 56. 2.6ภาวะมีการย่อยสลาย (Saprphytism) เป็นความสัมพันธ์ที่กลุ่มสิ่งมีชีวิตที่เป็นผู้ย่อย
สลายอินทรียสารได้แก่ แบคทีเรีย ,เห็ด , รา จะสร้างสารออกมาย่อยสลายซากสิ่งมีชีวิต
บางส่วนของสารที่ย่อยแล้ว จะดูดกลับไกใช้ในการดารงชีวิต
ความสัมพันธ์ของระบบนิเวศ
- 59. น้าเป็นสิ่งจาเป็นต่อชีวิตอย่างยิ่ง น้าเป็นตัวกลางของกระบวนการต่าง ๆ ในสิ่งมีชีวิต จาก
การวิเคราะห์องค์ประกอบของเซลล์ของสิ่งมีชีวิต พบว่ามีน้าเป็นองค์ประกอบในปริมาณ
มาก
บางชนิดมีน้าเป็นองค์ประกอบในเซลล์ถึงร้อยละ 95 สิ่งมีชีวิตจานวนมากอาศัยน้าเป็น
แหล่งที่อยู่
เพราะผิวโลกเราประกอบด้วยพื้นน้าถึง 3 ใน 4 ส่วน
การหมุนเวียนน้าในระบบนิเวศ
- 61. ไนโตรเจนเป็นแร่ธาตุสาคัญที่พืชต้องการในปริมาณมาก พืชจะใช้ไนโตรเจนในรูปของ
สารประกอบพวกเกลือแอมโมเนีย เกลือไนไตร เกลือไนเตรต เพื่อสร้างสารประกอบอื่น
ๆ ในเซลล์ ส่วนสัตว์จะได้รับสารดังกล่าว โดยถ่ายทอดมาในสายใยอาหาร สิ่งมีชีวิตในดิน
พวกจุลินทรีย์ เช่น แบคทีเรียไรโซเบียม ในปมรากพืชตระกูลถั่ว แบคทีเรียที่ดารงชีพ
อิสระ ในดิน และสาหร่ายสีเขียวแกมน้าเงินบางชนิด สามารถตรึงไนโตรเจนจาก
บรรยากาศ แล้วเปลี่ยนเป็นสารประกอบของไนโตรเจนที่พืชสามารถนาไปใช้ได้ ใน
ขณะเดียวกันก็มี จุลินทรีย์บางชนิดที่เป็นผู้ย่อยสลายอินทรีย์สารย่อยสลายซากพืชและ
สัตว์ที่ตายลง กลาย เป็นไนโตรเจนอิสระกลับคืนสู่บรรยากาศ และได้สารประกอบ
ไนโตรเจนในดินที่พืชสามารถ นาไปใช้ได้ นอกจากนี้ไนโตรเจนอีกส่วนหนึ่งจะกลับคืนสู่
บรรยากาศ โดยสัตว์ขับถ่ายสาร ประกอบไนโตรเจนในรูปของแอมโมเนีย พืชบางชนิด
เช่น - หม้อข้าวหม้อแกงลิง หยาดน้าค้าง กาบหอยแครง ได้รับสารประกอบไนโตรเจน
แตกต่าง จากพืชอื่น โดยมีส่วนของใบเปลี่ยนแปลงไปคลายกับดักแมลง เมื่อแมลงตกลง
ไปจะมี เอนไซม์ย่อยเนื้อเยื่อแมลง ได้เป็นสารประกอบไนโตรเจนที่เข้าสู่เซลล์พืชได้
การหมุนเวียนไนโตรเจนในระบบนิเวศ
- 68. การจาแนกชนิดป่าหรือสังคมพืชคลุมดินของประเทศไทย
1. ป่าดงดิบ (Evergreen forests)
ป่าชายเลน (Mangrove forest)
ป่าพรุน้าจืด (Peat swamp forest)
ป่าชายหาด (Beach forest)
ป่าดงดิบชื้นระดับต่า (Lower tropical rain forest)
ป่าดิงดิบชื้นระดับสูง (Upper tropical rain forest)
ป่าดงดิบแล้ง (Dry evergreen forest)
ป่าสนเขา (Coniferous forest or Pine forest)
ป่าดงดิบเขา (Hill evergreen forest)
- 69. 2. ป่าผลัดใบ (Deciduous forests)
ป่าผสมผลัดใบ (Mixed deciduous forest)
ป่าผสมผลัดใบในระดับสูง (Moist upper mixed deciduous forest)
ป่าผสมผลัดใบแล้งในระดับสูง (Dry upper mixed deciduous forest)
ป่าผสมผลัดใบระดับต่า (Lower mixed deciduous forest)
ป่าเต็งรัง (Deciduous Dipterocarp forest)
ป่าทุ่ง (Savannah)
ทุ่งหญ้าเขตร้อน (Tropical grassland)
การจาแนกชนิดป่าหรือสังคมพืชคลุมดินของประเทศไทย
- 71. ระบบนิเวศป่าชายเลน (Mangrove forest ecosystem)
ป่าชายเลนจาแนกโดยลักษณะของภูมิประเทศสภาพแวดล้อมและพันธุ์ไม้เด่นในสังคม
เป็นป่าที่ปกคลุมอยู่บนดินเลนริมฝั่งทะเลในแถบน้ากร่อยหรือน้าทะเลเข้าถึงโดยเฉพาะปาก
แม่น้าต่างๆ ที่เป็นแหล่งตะกอนของอนุภาคดินที่ถูกพัดลงมากับสายน้าปกติต้องมีน้าเค็มท่วม
ถึงและมีไม้เด่นที่มีการปรับตัวให้ขึ้นได้บนดินเลนที่อ่อนนิ่มและขาดออกซิเจนในดินโดยการมี
รากค้ายัน (prop root) รากหายใจ (pneumatophores) และพูพอน (buttress) ส่วนใหญ่ใบมี
สารเคลือบ (wax) เพื่อป้องกันการเสียน้ามากเกินไป บางชนิดมีต่อมขับเกลือที่โคนใบ (สนิท,
2532) พันธุ์ไม้ดัชนีที่ใช้แยกสังคมพืชนี้ได้แก่ไม้ในสกุลโกงกาง (Rhizophora) แสม (Avicennia)
ลาพูและลาแพน (Sonneratia) ถั่ว (Bruguiera) และโปรง (Ceriops) เป็นต้น จากการรายงาน
การสารวจพันธุ์พืชในป่านี้พบว่ามีพันธุ์ไม้อยู่ถึง 74 ชนิด ใน 53 สกุล จาก 35 วงศ์ (Suntisuk,
1983) ป่าชายเลนในประเทศไทยมีกระจายเป็นตอน ๆ ริมฝั่งทะเลในภาคตะวันออกตั้งแต่
จังหวัดตราดขึ้นมาจนถึงจังหวัดฉะเชิงเทราพบตามแนวฝั่งทะเลของภาคกลางจากจังหวัด
สมุทรปราการถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
- 77. ระบบนิเวศป่าพรุ (peat swamp forest ecosystem)
ป่าพรุจาแนกโดยลักษณะภูมิประเทศสภาพดินและพันธุ์ไม้ในสังคมพืชเป็นหลัก จัดเป็นป่าที่
ไม่ผลัดใบอยู่ในที่ลุ่มที่มีน้าจืดขังติดต่อกันเป็นเวลายาวนาน อาจมีการแห้งแล้งในบางครั้งแต่
ดินยังคงชื้นสูง และดินเป็นกรดจัด มีซากของใบไม้และเศษพืชทับถมหนาโดยไม่สลายตัวหรือ
สลายน้อยเรียกว่าดินพีท(peat)ชนิดไม้ของป่านี้ต้องมีการปรับตัวเป็นพิเศษที่ต้องขึ้นอยู่ในน้า
และดินที่เป็นกรดสูงนี้ ไม้ส่วนใหญ่มีรากแก้วค่อนข้างสั้น รากแขนงแผ่กว้าง มีรากค้ายัน (stilt
roots) โคนต้นมีพูพอน และมีรากหายใจ ไม้ดัชนีของสังคมนี้เช่น ตังหน (Calophyllum
inophylloides) ละไมป่า เลือดควาย (Horsfieldia sp.) และทองบึ้ง (Koompassia malaccensis)
เป็นต้น ผลจากการสารวจชนิดพรรณพืชในป่าพรุ พบว่ามีชนิดพันธุ์ไม้ดอก 109 วงศ์ 437
ชนิด และเฟิร์น 15 วงศ์ 33 ชนิด (Phengklai et. al., 1991) ปัจจุบันป่าพรุที่มีอาณาเขตกว้าง
ใหญ่ของประเทศคือ ป่าพรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธิวาส
- 81. ระบบนิเวศป่าชายหาด (Beach forest ecosystem)
ป่าชนิดนี้จาแนกตามสภาพภูมิประเทศ สภาพแวดล้อม ลักษณะดินและพรรณพืชคลุมดิน
เป็นป่าที่ปกคลุมอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลที่ดินเป็นดินทรายจัด น้าทะเลท่วมไม่ถึง หรือบริเวณ
หาดทรายเก่าที่ยกตัวสูงขึ้น หรือบริเวณที่เป็นหินชิดฝั่งทะเล ดินค่อนข้างเค็มและที่สาคัญคือ
มีไอเค็ม (salt spray) จากทะเลพัดเข้าถึงพรรณพืชส่วนใหญ่ของป่าชนิดนี้เป็นพืชทนเค็ม
(halophytes)และคดงอด้วยแรงลมป่าชายหาดปรากฏอยู่ทั่วไป ตามชายทะเลที่เป็นหาดทราย
เก่าน้าท่วมไม่ถึงทั้งชายฝั่งภาคตะวันออกตั้งแต่จังหวัดชลบุรีลงไปถึงจังหวัดตราด และทาง
ภาคใต้แถบฝั่งทะเลด้านอ่าวไทยจากจังหวัดเพชรบุรีลงไปจนต่อเขตแดนประเทศมาเลเซีย
รวมถึงเกาะต่างๆในอ่าวไทยด้วย ในทางฝั่งตะวันตกมีพบตั้งแต่จังหวัดระนองลงไปจนถึง
จังหวัดสตูลรวมทั้งหมู่เกาะน้อยใหญ่ในทะเลอันดามันด้วย โดยเฉพาะเกาะตะรุเตามีป่า
ชายหาดที่สวยงามและค่อนข้างสมบูรณ์มากแห่งหนึ่ง
- 83. ไม้เหล่านี้มีความสูงไม่มากและลาต้นคดงอด้วยแรงลมแต่มีเรือนยอดที่ต่อเนื่องกันโดย
ตลอดและแน่นทึบจนจรดดิน (Smitinand, 1977a) พื้นป่ามักโล่งเตียนเนื่องจากดินที่เป็นทราย
จัดและถูกปกคลุมด้วยใบสนหนา ไม้พื้นล่างที่อาจพบบ้างได้แก่ ผักบุ้งทะเล (Poemoea
pescaprae) หญ้าลอยลม (Spinifex littoreus) และถั่วคล้า (Canallia rosea) พืชเหล่านี้เป็นพืช
เลื้อยชิดดินแสดงถึงการรุกล้าเข้ายึดหาดทรายเพื่อการทดแทนตามธรรมชาติ รากที่งอกตาม
ข้อช่วยยึดทรายและเป็นที่ฝากเมล็ดไม้อื่นต่อไป ระบบนิเวศของป่าชายหาด โดยทั่วไปมี
ผลผลิตขั้นมูลฐานค่อนข้างต่าทั้งนี้เนื่องจากข้อจากัดในเรื่องความเค็มของดิน ปริมาณธาตุ
อาหารพืชในดินที่มีอยู่น้อย และสภาพดินที่เก็บความชื้นไว้ได้ไม่นาน ฉะนั้นพืชส่วนใหญ่จึง
เจริญเติบโตได้ช้า และจากไอเค็มที่พัดเข้ามาจากทะเลและความรุนแรงของลมพายุทาให้ไม้
ใหญ่หักโค่นได้ง่าย การหมุนเวียนของพลังงานในระบบนิเวศของป่านี้โดยพื้นฐานแล้วเป็นไป
ได้ในอัตราที่รวดเร็ว
ระบบนิเวศป่าชายหาด (Beach forest ecosystem)
- 86. ระบบนิเวศป่าดงดิบชื้น (Moist evergreen forest ecosystem)
ป่าชนิดนี้จาแนกโดยลักษณะทางด้านโครงสร้างและลักษณะทางภาพลักษณ์ที่ปรากฏ
ภายนอก(physiognomiccharacteristics) ของพรรณไม้และไม้ดัชนี(indicatorspecies)เป็น
สาคัญกล่าวคือ เป็นป่าที่ประกอบด้วยชนิดไม้ที่ไม่ผลัดใบเป็นส่วนใหญ่ในสังคมปัจจัยกาหนด
ของการเกิดป่าดงดิบชื้น และปัจจัยหลักที่ทาให้สังคมพืชชนิดนี้เกิดขึ้นและคงสภาพอยู่อย่าง
ถาวรได้ก็คือความชื้นในดินและในอากาศ คือต้องมีปริมาณน้าฝนเกินกว่า 1,600 มิลลิเมตร
ต่อปีขึ้นไปมีการกระจายของฝนต่อเนื่องมากกว่า8เดือนในรอบปีสภาพดินลึกและเก็บ
ความชื้นได้ดี ด้วยสาเหตุดังกล่าวนี้ป่าดงดิบชื้นที่แท้จริงจึงพบอยู่เฉพาะทางภาคใต้และภาค
ตะวันออกตอนใต้ของประเทศ พรรณไม้เด่นในชั้นเรือนยอดสูงสุดเป็นไม้ขนาดใหญ่และ
ประกอบด้วยไม้ชั้นรองต่อเนื่องลงมาจนถึงพื้นดิน เรือนยอดชั้นบนสุดมักสูงเกินกว่า 30 เมตร
ขึ้นไป และมักเป็นไม้ในวงศ์ไม้ยาง (Dipterocarpaceae) ที่ไม่ผลัดใบขึ้นเป็นไม้เด่นในชั้นเรือน
ยอดบนสุด ได้แก่ ยางเสียน (Dipterocarpus gracilis) ยางยูง (D. grandiflorus) ยางวาด (D.
chartaceus) ตะเคียนทอง (Hopea ordorata) สยาขาว (Shorea assamica)
- 90. ระบบนิเวศป่าดงดิบแล้ง
(Dry evergreen or semi-evergreen forest ecosystem)
ป่าดงดิบแล้งจาแนกโดยลักษณะโครงสร้างด้านองค์ประกอบของชนิดพันธุ์ไม้โดยทั่วไปมี
เรือนยอดปกคลุมต่อเนื่องกันโดยตลอด ช่องว่างจากเรือนยอดชั้นบนถูกปิดด้วยเรือนยอด
ของไม้ชั้นรองและไม้พุ่มจนไม่สามารถมองเห็นพื้นดินได้ ช่องว่างที่เปิดใหม่เนื่องจากไม้ใหญ่
โค่นล้มหรือถูกตัดพื้นที่นั้นมักถูกทดแทนอย่างรวดเร็วด้วยไม้เบิกนาหลายชนิด เช่น ลาพูป่า
(Duabunga grandiflora)กระทุ่มน้า(Mitragynajavanica)เป็นต้น พรรณไม้ในสังคมนี้เป็นการ
ผสมกันระหว่างไม้ผลัดใบและไม้ไม่ผลัดใบในอัตราส่วนที่ใกล้เคียงกัน ไม้ที่ผลัดใบมักมีการ
ผลัดใบค่อนข้างสูงในช่วงฤดูแล้งซึ่งสังเกตได้จากการเปลี่ยนสีใบก่อนร่วงและปริมาณของ
การร่วงหล่นของใบ แต่เรือนยอดป่ายังคงรักษาความเขียวไว้โดยตลอด การจาแนกที่ชัดเจน
อาจต้องสังเกตที่ไม้ดัชนีของสังคมซึ่งมีความแตกต่างจากสังคมป่าอื่นค่อนข้างเด่นชัดทั้งใน
ระดับเรือนยอดชั้นบน ชั้นกลาง และชั้นพื้นป่า ปกติไม้ชั้นบนประกอบด้วยไม้ผลัดใบและไม่
ผลัดใบในจานวนที่เท่า ๆ กัน
- 91. เช่น ยางแดง (Dipterocarpus turbinatus) ยางนา (D. alatus) ตะเคียนหิน (Hopea ferrea)
เคี่ยมคนอง (Shorea henryana) เป็นต้น ไม้ผลัดใบที่เป็นตัวชี้สังคมในชั้นเรือนยอดชั้นบนเช่น
มะค่าโมง (Afzelia xylocarpa) ตะแบกใหญ่ (Lagerstroemia calyculata) เป็นต้น (Smitinand
et. al., 1977a)
ปัจจัยหลักที่เป็นปัจจัยกาหนดของสังคมนี้คือ มีฤดูกาลที่แบ่งแยกได้อย่างเด่นชัด โดยควรมี
ช่วงความแห้งแล้งที่ยาวนานประมาณ 3-4 เดือน มีดินค่อนข้างลึกสามารถกักเก็บน้าได้ดีทา
ให้พันธุ์ไม้บางชนิดสามารถคงใบอยู่ได้ตลอดช่วงความแห้งแล้งนี้ และไม่มีไฟป่าเข้ามารบกวน
ด้วยสาเหตุนี้ดินในป่าดงดิบแล้งจึงมักเป็นดินเหนียวหรือดินเหนียวปนทราย ปกติพบตั้งแต่
ระดับความสูงจากน้าทะเลประมาณ 100 - 800 เมตร มีปริมาณน้าฝนเฉลี่ย 1,000 - 2,000
มิลลิเมตรต่อปี
ระบบนิเวศป่าดงดิบแล้ง
(Dry evergreen or semi-evergreen forest ecosystem)
- 94. ป่าสนเขา (Coniferous forest or Pine forest)
บนยอดเขาที่มีอากาศค่อนข้างหนาวเย็นและปริมาณน้าฝนต่าที่ระดับความสูง
ประมาณ 500-1,800 เมตร เหนือระดับน้าทะเล มักมีสังคมป่าสนเขาที่เกิดขึ้นเป็นหย่อมเล็ก
ๆ สลับกับป่าดงดิบเขาและป่าดงดิบแล้ง แต่สามารถแยกออกมาชัดเจนด้วยพรรณไม้เด่น 2
ชนิด คือ สนสองใบ และสนสามใบ สภาพดินเป็นกรดจัดเนื่องจากพื้นป่ามีใบสนแห้งร่วงหล่น
มาทับถมเป็นจานวนมาก ป่าสนเขาในประเทศไทยแบ่งได้เป็น 2 สังคมย่อยคือ ป่าสนเขาผสม
ก่อ พบที่ระดับค่อนข้างสูง มีไม้ก่อเป็นพืชเด่น เช่น ก่อแอบ ก่อเสียด ก่อหมี ก่อหม่น เป็นต้น
ส่วนอีกสังคมหนึ่งคือ ป่าสนผสมเต็งรัง พบปรากฎต่ากว่าสังคมย่อยแบบแรก พรรณไม้อื่น ๆ
ที่พบบ่อยในป่าสนเขา เช่น สลักป่า กายาน หว้า เหมือดคน ส้มอ๊อบแอ๊บ เป้งดอย ปรงเขา
กุหลาบขาว และกุหลาบแดง ป่าสนเขาที่สาคัญและเป็นที่รู้จักกันดีมีหลายแห่ง เช่น ป่าสนวัด
จันทร์ในจังหวัดเชียงใหม่ ป่าสนเขาในจังหวัดแม่ฮ่องสอน และบนภูกระดึง จังหวัดเลย เป็น
ต้น
- 97. ป่าดงดิบเขา (Hill evergreen forest)
ป่าดงดิบเขาเป็นป่าที่ปรากฎอยู่ในระดับความสูงกว่าสังคมป่าเขตร้อนชนิดอื่น โดย
พบในทุกภาคของประเทศไทยที่มีความสูงเกิน 1,200 เมตรขึ้นไป ทาให้อากาศหนาวเย็นและ
มีความชุ่มชื้นสูงตลอดปี จนเกิดเมฆหมอกปกคลุมอยู่เสมอ กลายเป็นป่าต้นน้าลาธารที่
สาคัญของประเทศ ป่าดงดิบเขาในประเทศไทยแบ่งได้เป็น 2 สังคมย่อย คือ ป่าดงดิบเขา
ระดับต่า พบที่ระดับความสูงประมาณ 1,200-1,800 เมตร และป่าดงดิบเขาระดับสูงปรากฎ
ในระดับความสูงเกิน 2,000 เมตรขึ้นไป ต้นไม้มีกิ่งก้านคดงอตามกระแสลมแรง บนกิ่งขนาด
ใหญ่และลาต้นปกคลุมหนาแน่นไปด้วยมอส ไลเคน เฟิร์น ฝอยลม และข้าวตอกฤาษี ห้อย
ระโยงระยางราวกับป่าดึกดาบรรพ์ เช่น ป่าดงดิบเขาบนดอยอินทนนท์ ซึ่งอยู่บนระดับความ
สูงมากที่สุดในประเทศไทย คือ ประมาณ 2,567 เมตร มีสัตว์หายากที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น
ซาลาแมนเดอร์หรือจิ้งจกน้า และเป็นแหล่งรวมนกอพยพในฤดูหนาวอย่าง นกกินปลีหางยาว
เขียว เป็นต้น