SlideShare a Scribd company logo
1 of 20
Download to read offline
ใบงานที่ 6
                    เรื่อง โครงงานประเภท “การทดลองทฤษฎี”
โครงงานประเภท การทดลองทฤษฎี เป็นโครงงานที่ได้เสนอทฤษฎี หลักการ หรือแนวความคิดใหม่ ๆ ซึ่งอาจอยู่ใน
รูปของสูตร สมการ หรือคาอธิบายก็ได้ โดยผู้เสนอได้ตั้งกติกา หรือข้อตกลงนั้น หรืออาจใช้กติกาและข้อตกลงเดิม
มาอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในแนวใหม่ อาจเสนอหลักการ แนวความคิด หรือจินตนาการที่ยังไม่มีใครคิดมาก่อน
อาจเป็นการขัดแย้งหรือขยายทฤษฎีเดิม แต่จะต้องมีข้อมูลหรือทฤษฎีอื่นมาสนับสนุน
http://www.wr.ac.th/sci/index.php?option=com_content&view=category&id=38&Itemid=61




ตัวอย่าง
1. การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน
สูตรนํ้ายาธาตุอาหารพืชจากประเทศออสเตรเลีย
ประกอบด้วยน้ายาเข้มข้นจานวน 5 ชนิด ดังต่อไปนี้ คือ
1) โมโนแอมโมเนียมฟอสเฟต (mono ammonium phosphate) จานวน 100 กรัม ละลายในน้าจานวน 1 ลิตร
2) แคลเซียมไนเตรท (calcium nitrate) จานวน 250 กรัม ละลายในน้าจานวน 1 ลิตร
3) โพแทสเซียมไนเตรท (potassium nitrate) จานวน 100 กรัม ละลายในน้า จานวน 1 ลิตร
4) เหล็กคีเลต (iron chelate) จานวน 12.5 กรัม ละลายในน้าจานวน 1 ลิตร
5) น้ายาผสมของ
โบแรก (borax) 3 กรัม
แมกนีเซียมซัลเฟต
(magnesium sulfate) 1 กรัม
สังกะสีซลเฟต
        ั
(zinc sulfate) 0.3 กรัม
ทองแดงซัลเฟต
(copper sulfate) 0.1 กรัม
โซเดียมโมลิบเดท
(sodium molybdate) 0.1 กรัม
โซเดียมคลอไรด์
(sodium chloride)       0.1 กรัม
ทั้งหมดนี้รวมกันแล้วละลายในน้าจานวน 1 ลิตร


    เมื่อจะใช้น้ายาเพื่อปลูกพืชให้เอาน้ายาเข้มข้นเบอร์ 1) มาจานวน 40 มิลลิลิตร หรือ ซีซี เบอร์ 2) มาจานวน
80 ซีซี เบอร์ 3) มาจานวน 120 ซีซี เบอร์ 4) มาจานวน 20 ซีซี และเบอร์ 5) มาจานวน 20 ซีซี ผสมกับน้าให้ได้
ปริมาณสุดท้ายจานวน 20 ลิตร แล้วนาน้ายาธาตุอาหารพืชนี้ไปใช้กับพืชที่จะปลูกต่อไป
     น้ายาธาตุอาหารพืช ที่เตรียมขึ้นมาเพื่อใช้ปลูกพืช โดยไม่ใช้ดินนั้น จะต้องมี pH อยู่ในช่วงระหว่าง 5.5-6.5 ถ้า
pH ของน้ายาธาตุอาหารสูงกว่าช่วงนี้ ให้ใช้กรดกามะถันหรือกรดเกลือเจือจางปรับ pH ให้ต่าลง ถ้า pH ของน้ายา
ธาตุอาหารต่ากว่าช่วงนี้ให้ใช้ปูนขาว หรือโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์เจือจางปรับ pH ให้สงขึ้น และเมื่อใช้น้ายาธาตุ
                                                                                     ู
อาหารพืชปลูกพืชแล้ว ก็สมควรจะตรวจสอบ pH ของน้ายาเป็นช่วง ๆ ไป เนื่องจากพืชดูดธาตุอาหารแต่ละตัวไป
จากน้ายาได้แตกต่างถัน จึงจะมีผลทาให้น้ายาธาตุอาหารพืชมี pH เปลี่ยนแปลงไป และในขณะปลูกพืชทีจาเป็นที่    ่
จะต้อง ตรวจสอบความเค็ม (EC) ของน้ายาธาตุอาหารพืช และในวัสดุปลูกด้วยว่ามีสงมากน้อยเพียงใด ถ้ามีความ
                                                                                   ู
เค็ม (EC) 2-4 มิลลิโมส์/ซม. จะไม่เป็นอันตราย ต่อพืชที่ปลูก ถ้าความเค็ม (EC) สูงกว่าค่านี้ ก็สมควรแก้ไข โดยการ
เจือจางสารละลายธาตุอาหารพืชด้วยน้าเพือลดความเค็ม
                                          ่


สมบัติของนํ้าที่ใช้รด น้าที่ใช้รดจะต้องเป็นน้าทีมีสมบัติเป็นกลาง (pH 6-7) และไม่มสารบางตัวที่จะก่อให้เกิด
                                                ่                                ี
ความเป็นกรดหรือความเป็นด่าง


สภาพแวดล้อมทีสําคัญ ในการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน ได้แก่ อุณหภูมิในบรรยากาศและอุณหภูมที่ในวัสดุปลูกหรือ
                 ่                                                                          ิ
ในน้ายาธาตุอาหารจะต้องไม่รอน จนเกินไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกของการเจริญเติบโต นอกจากนั้นปริมาณ
                          ้
แสงแดดก็นับว่ามีความสาคัญทีเ่ กี่ยวเนื่องกับอุณหภูมิ ทั้งนี้ขนอยู่กับชนิดพืชที่ต้องการปริมาณแสงที่แตกต่างกัน
                                                             ึ้
เพื่อการเจริญเติบโต


ชนิดของการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน
การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินมีหลายชนิด หรือหลายแบบ แต่ละชนิดก็มีความเหมาะสม มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป
การทีจะเลือกปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินชนิดใดนั้น จะต้องพิจารณาว่าชนิดใดมีความยุ่งยากน้อยที่สุด ค่าใช้จ่ายถูกที่สุด
      ่
และใช้วัสดุอุปกรณ์ทหาง่าย สิ่งปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้แตกต่างกันออกไปในแต่ละท้องที่ หรือแตกต่างกันออกไป
                    ี่
แล้วแต่ชนิดพืชที่จะปลูก ชนิดของการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินดังกล่าวนี้สามารถจาแนก ออก 2 พวกใหญ่ ๆ ได้
ดังต่อไปนี้ คือ
พวกที่ 1 คือ การปลูกพืชในนํ้ายาธาตุอาหารโดยตรง
เป็นการปลูกพืชทีปล่อยให้รากพืชจุ่มลงไปหาอาหารจากน้ายาธาตุอาหารโดยตรงเลย หรือฉีดน้ายาธาตุอาหารพืช
                  ่
ให้แก่รากพืช พืชมีที่เกาะยึดสาคัญเพียงเล็กน้อย ให้ลาต้นตั้งตรงเพื่อรับแสงเท่านั้น ส่วนระบบรากทั้งหมดจะ
เจริญเติบโตลงไปในน้ายาธาตุ อาหารในภาชนะปลูก เช่น ถาด หรือรางที่วางเอียง ๆ วิธีนี้จะต้องมีระบบการ
หมุนเวียนของน้ายาธาตุอาหาร ตลอดเวลา หรือเป็นช่อง ๆ หรือมีการปั๊มอากาศลงไป เพื่อเพิ่มอากาศให้แก่ระบบ
รากทีจุ่มอยู่ในน้ายาธาตุอาหาร การปลูกพืชในน้ายาธาตุอาหารแบบนี้ เริมต้นจากการเพาะเมล็ดพืชในกระบะปัก
      ่                                                                ่
ชาที่เป็นทรายหรือแกลบฟองน้าเสียก่อน พอต้นพืชอายุประมาณ 1-2 สัปดาห์ ถึงจะย้ายมาปลูกในภาชนะ จนกว่า
พืชจะเก็บเกี่ยวผลิตผลได้ โดยปกติจะเปลี่ยนน้ายาธาตุอาหารใหม่ เมื่อปลูกพืชครังใหม่ทุกครั้งไป การปลูกพืชในน้า
                                                                                ้
ยาธาตุอาหารโดยตรงนี้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 วิธี คือ
1. วิธีฉีดน้ายาธาตุอาหารให้แก่รากพืชโดยตรง อย่างต่อเนือง (spray technique) ดังรูปที่ 1
                                                      ่
2. วิธีปล่อยให้รากพืชลอยอยู่ในน้ายาธาตุอาหารโดยตรง (float system) โดยที่น้ายาธาตุอาหารไม่มีการเคลีอนที่
                                                                                                  ่
วิธีนี้จะต้องมีการปัมอากาศลงไปในน้ายาด้วย เพื่อเพิมอากาศให้แก่รากพืช ดังรูปที่ 2
                    ๊                             ่
3. วิธีปล่อยให้น้ายาธาตุอาหารพืชไหลผ่านรากพืชเป็นแผ่นบาง ๆ ในราง (nutrient film technique) ตลอดเวลา
แล้วรวบรวมน้ายาธาตุอาหารพืช เพื่อนามาใช้หมุนเวียนในระบบต่อไป ดังรูปที่ 3
4. วิธีปล่อยให้น้ายาธาตุอาหารพืชไหลผ่านถาดที่ปลูกพืช (nutrient flow technique) ตลอดเวลา แล้วปล่อย
ให้น้ายาธาตุอาหารพืชล้นออกทางอีกด้านหนึ่งของถาด แล้วรวบรวมน้ายาธาตุอาหารพืช เพื่อนามาใช้หมุนเวียนใน
ระบบต่อไป ดังรูปที่ 4



พวกที่ 2 คือ การปลูกพืชโดยใช้วัสดุปลูก
เป็นการปลูกพืชในน้ายาธาตุอาหารที่ต้องใช้ วัสดุปลูกให้พืชเกาะยึด เพื่อให้ลาต้นตั้งตรงรับแสง วัสดุปลูกเหล่านี้จะ
เป็นตัวดูดซับน้าและน้ายาธาตุอาหารไว้ให้พืชใช้หลังจากนั้นปล่อยน้ายาธาตุอาหารพืชให้ไปหล่อเลี้ยงการ
เจริญเติบโตของพืชอีกทีหนึ่ง การปลูกพืชโดยใช้วัสดุปลูกนี้ สามารถแบ่งออกได้ เป็น 2 วิธี คือ


1. วิธีแบบปล่อยให้น้าท่วมภาชนะ (flood bed techniques)
การให้น้ายาธาตุอาหารแบบท่วมภาชนะปลูกเป็นช่วง วิธีนี้เริ่มจากการย้ายกล้าพืชที่จะปลูกมาปลูกในภาชนะที่
บรรจุวัสดุสาหรับพืชเกาะยึดและมีทอสาหรับให้ธาตุอาหารพืชไหลเข้าไปในท่อภาชนะ วันละประมาณ 1-3 ครั้ง
                                          ่
ปล่อยให้น้ายาธาตุอาหารท่วมอยู่ครังละครึ่งชั่วโมงถึงหนึงชั่วโมง แล้วปล่อยให้น้ายาธาตุอาหารไหลออกมาเก็บไว้ใช้
                                        ้               ่
ในโอกาสต่อไป ดังรูปที่ 5 วิธีที่จะปล่อยให้น้ายาธาตุอาหารไหลเข้าไปท่วมและระบายออกนั้น สามารถทาได้โดยใช้
เครื่องปั๊มอย่างอัตโนมัติ หรือใช้วิธีใส่น้ายาธาตุอาหารในถังพลาสติกต่อเชื่อมกับภาชนะที่ปลูกเมื่อจะให้น้ายาธาตุ
อาหารท่วมภาชนะปลูกก็ยกถังให้สงขึ้น น้ายาธาตุอาหารจะไหลมาท่วมภาชนะโดยแรงดึงดูดของโลก เมื่อต้องการ
                                      ู
ให้น้ายาธาตุอาหารระบายออกก็กดถังให้ต่าลงกว่าระดับภาชนะ วิธีนี้เป็นวิธีง่ายที่สุดวิธีหนึ่ง
2. วิธีแบบให้น้าหยดในถาดหรือถุง (tray or bag drip feed system)
เป็นวิธีการให้น้ายาธาตุอาหารแบบวิธีหยดในถุงหรือถาด ดังรูปที่ 6 เริมจากปลูกกล้าบนวัสดุ เช่น ขี้เลื่อยหรือขุย
                                                                  ่
มะพร้าวหรือแกลบ แล้วต่อท่อให้น้ายาธาตุอาหารไหลไปยังพืชแต่ละต้นแบบน้าหยด โดยปล่อยให้น้ายาธาตุอาหาร
จากถังพลาสติกที่อยูสูงกว่า หยดลงสู่ภาชนะปลูกพืชในอัตราที่สูงพอทีจะทาให้ภาชนะเปียกชุ่มอยูเ่ สมอ แต่ไม่ถึงกับ
                    ่                                               ่
มีน้าไหลล้นออกมาจากภาชนะ จึงทาให้มีสภาพเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของรากพืช หรือจะปลูกกล้าพืชในท่อ
พลาสติกขนาดใหญ่ทเี่ จาะและบรรจุวสดุที่ใช้สาหรับ ให้พืชยึดเกาะเต็มและปลูกพืชเป็นระยะ พืชแต่ละต้นจะมี
                                      ั
สายน้ายาธาตุอาหารแบบน้าหยด ท่อพลาสติกขนาดใหญ่นี้จะวางลาดเทเล็กน้อย ให้น้ายาธาตุอาหารที่มมากเกินไป   ี
ไหลลงไปด้านต่า วิธีนี้เป็นวิธีที่ประหยัดเวลาและแรงงานมากที่สุด
การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินนี้ ไม่ใช่เป็นของใหม่ทจะต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง แต่ความจริงเป็นวิธีที่ใช้กันมานานแล้ว
                                                  ี่
และไม่ได้ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงอะไรเลย เพียงแต่ว่าค่าใช้จ่ายในการดาเนินการปลูกในอดีตอาจจะแพงในระยะเริ่มต้น
เมื่อเปรียบเทียบกับการปลูกบนพื้นดินธรรมดา ทั้งนี้เนืองจากในอดีตมีพื้นดิน เหลือเฟือและที่ดินทั้งหลายเหล่านี้ยง
                                                      ่                                                       ั
อุดมสมบูรณ์สูง ปลูกพืชอะไร เมื่อไหร่ ที่ไหน ก็ขึ้นเจริญงอกงามดี แต่ในสภาพปัจจุบันพื้นที่ดินมีจานวนจากัดลง
การเพิมขึ้นของประชากรอย่างรวดเร็ว ประกอบกับที่ดินส่วนใหญ่เสื่อมโทรม ขาดธาตุอาหารพืช สภาพของที่ดินไม่
       ่
เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช ครั้นจะปรับปรุงบารุงดินให้ดีเหมือนเดิมนั้นจะต้องลงทุนสูงในการใช้ปุ๋ย และ
ใช้เวลานานในการทีจะทาให้ดินเหมาะสมเหมือนเดิม ดังนั้นการแก้ไขอย่างเร่งด่วน แนวทางหนึงในการที่จะช่วยให้
                   ่                                                                        ่
ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ผลิตพืชอาหารได้เพียงพอ ในบางฤดูกาล และบางพื้นที่ทเี่ ป็นปั ญหาของประเทศ
ในขณะนี้ก็คือ “การพัฒนาการปลูกพืช โดยไม่ใช้ดินซึ่งเป็นความหวังใหม่ เพื่อเพิมการผลิตอาหารให้แก่ประชากร”
                                                                              ่
โดย เฉพาะอย่างยิ่งโครงการพัฒนาตัวอย่าง เพื่อผลิตพืชผักใช้เป็นอาหารกลางวันในโรงเรียนต่าง ๆ สาหรับเยาวชน
ทั่วประเทศ
ที่มา : http://www.thaikasetsart.com


2. โครงงาน เรื่องกรดจากน้ําผลไม้ (ส่วนหนึ่ง)

                                                 บทที่ 4
                                ผลการวิเคราะห์ข้อมูล/ผลการจัดทําโครงงาน

ผลการทดลอง
  ตอนที่ 1 ระดับค่าความเป็นกรดของน้าผลไม้เมือนามาผสมกันเรียงลาดับจากค่ามากไปหาค่าน้อยเป็นนดังนี้
น้ําผลไม้และค่า pH ที่ได้


1. น้ามะนาว + น้าสับปะรด




                                                 3.0
2. น้ามะนาว + น้าส้ม




                                                       4.0
3. น้าส้ม + น้าสับปะรด




                                                             4.5




ตอนที่ 2 ความสามารถในการกัดกร่อนและขจัดคราบสกปรกบนเหรียญเมื่อนาน้าน้าเกลือละลายน้าผสมลงไป
แก้วที่ 1 น้าส้ม + น้ามะนาว
แก้วที่ 2 น้ามะนาว + น้าสับปะรด
แก้วที่ 3 น้าส้ม + น้าสับปะรด
เหรียญหนึงบาททีสกปรกจานวน 3 เหรียญ
         ่     ่




                          เหรียญทีมีสกปรกใส่ในแก้วน้าผลไม้ผสมเกลือละลายน้า
                                  ่




                        เหรียญทีผ่านการแช่น้าผลไม้ผสมเกลือละลายน้า 30 นาที
                                ่




                                            บทที่ 5
                           สรุปผลและอภิปรายผลการดํานินการจัดทําโครงงาน

         จากผลการทดลองสรุปได้ดังนี้
1. เมื่อนาน้าส้มผสมกับน้ามะนาวจะได้ค่า pH เท่ากับ 4.0
           2. เมื่อนาน้ามะนาวผสมกับน้าสับปะรดจะได้ค่า pH เท่ากับ 3.0
           3. เมื่อนาน้าสมผสมกับน้าสับปะรดจะได้ค่า pH เท่ากับ 4.5
            แสดงว่ามื่อนาน้ามะนาวมาผสมกับน้าสับปะรดจะพบว่าค่าความเป็นกรดสูงกว่า น้ามะนาวผสมกับ
น้าส้ม และน้าส้มผสมกับน้าสับปะรด นอกจากนี้เรายังพบว่าเมื่อนาน้าผลไม้ที่ได้จากการผสมกันดังกล่าวทั้ง 3
ชนิด มาเติมเกลือละลายน้าลงไปแล้วนาเหรียญที่มีคราบสกปรกใส่ลงไปตั้งเวลาไว้
ประมาณ 30 นาที ภายหลัง 30 นาที นาเหรียญออกมาล้างน้าสะอาดพบว่าเหรียญที่อยู่ในน้าผสมไม้ทมีค่า      ี่
pH สูงที่สุดมี่ความสะอาดมากทีสุด เพราะกรดทีเ่ ข้มข้นจะมีฤทธิ์การกัดกร่อนมากทีสุดตามลาดับความเข้มข้นของ
                               ่                                             ่
กรด
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการทดลอง
    1. สามารถนาน้าผลไม้มาทาความสะอาดเหรียญที่มีคราบสกปรกได้
     2. สามารถทราบถึงฤทธิ์ของกรดทีกัดกร่อนคราบสกปรกบนเหรียญได้
                                  ่
     3. สามารถทราบว่าน้าผลไม้ชนิดใดมีค่าความเป็นกรดมากและมีฤทธิ์การกัดกร่อนไดดีทสุด
                                                                                ี่
ข้อเสนอแนะ
    1. เราอาจนาน้าผลไม้ชนิดอื่นที่มีฤทธิ์เป็นกรดทีหาได้งายตามครัวเรือนของคุณ
                                                  ่     ่
ที่มา : http://www.learners.in.th/blogs/posts/349062




3. โครงงาน หน่อไม้กําจัดหนอน

โครงงานหน่อไม้กําจัดหนอน ชื่อโครงงาน            หน่อไม้กาจัดหนอน
ผู้จัดทา            นายเนรมิตร สินธุกูฏ
                       นางสาวอานวย งามวาท
                       นางสาวผกากรอง เพ็ญผาด
ครูที่ปรึกษา       นางสุภาพรรณ ดาษถนิม
                       นางบุสดี การถัก
ผลงาน                รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 โครงงานวิทยาศาสตร์ ในงานนิทรรศการแสดง
                       ผลงานการจัดการศึกษาของเทศบาลภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ
                       สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ จังหวัดร้อยเอ็ด

1. ที่มาและความสําคัญของปัญหา
    จากการศึกษาและสังเกต พบว่าประชาชนในชนบททางภาคอีสาน ชอบประกอบอาหารรับประทานเอง และ
เครื่องปรุงในการประกอบอาหารที่ขาดไม่ได้ในแต่ละครัวเรือนคือ ปลาร้า ในครอบครัวหนึงเมือหาปลามาได้
                                                                               ่ ่
ปริมาณมากจะนาไปจาหน่ายในรูปปลาสด เพื่อเป็นรายได้แก่ครอบครัว ที่เหลือจะแปรรูปเพือไว้รับประทานได้นาน
                                                                                 ่
เช่น ปลาส้ม ปลาตากแห้ง และปลาร้า

การทาปลาร้า ส่วนมากจะใช้ปลาตัวเล็กหลากหลายชนิดและเป็นปลาที่ไม่สด ถ้านาไปซื้อขายกันจะราคาถูก ขาย
ไม่ได้ราคาเท่าที่ควร ดังนั้นชาวบ้านจึงนิยมทาเป็นปลาร้า หรือซื้อหามาทาปลาร้าไว้บริโภค

วิธีการทาปลาร้าของชาวชนบท ก็คือ การนาปลาที่ได้มา ขอดเกล็ดควักไส้ออกแล้วล้างน้าให้สะอาด ใส่ภาชนะหมัก
ด้วยเกลือสินเธาว์ ทิ้งไว้ประมาณ 1–2 คืนจากนั้นจะใช้ข้าวคั่วโขลกให้แหลกพอสมควร นามาคลุกเคล้ากับปลาที่
หมักไว้คลุกเคล้าให้เข้ากันดีแล้วนาบรรจุไว้ในภาชนะที่เรียกว่า “ ไห “ ปิดปากไหเก็บไว้ในครัวเรือนประมาณ 1 ปี
นามาบริโภคได้ หรือครอบครัวที่ทาปริมาณมากจะนาไปจาหน่ายเป็นรายได้ต่อไป

ปัญหาของปลาร้า ถ้าวิธีการทาไม่ดี ส่วนผสมไม่เหมาะสมกันจะทาให้ปลาร้านั้นเกิดหนอนปลาร้า ทาให้เกิดความ
เสียหายต่อปลาร้า การนามาบริโภคหรือการนาไปจาหน่าย
ตัวการสาคัญทีทาให้ปลาร้าเกิดหนอน คือการที่แมลงวันวางไข่ที่ไหปลาร้า และหรือแมลงหวี่ชนิดหนึ่งวางไข่ทปลา
             ่                                                                                      ี่
ร้า จากปัญหาดังกล่าว มนุษย์จงศึกษาวิธีกาจัดหนอนในปลาร้าด้วยวิธีการต่าง ๆ ซึ่งอาจได้ผลดี เสีย แตกต่างกัน
                            ึ
ไป

การกาจัดหนอนในปลาร้า โดยการควบคุมต้นเหตุ คือ แมลงวันหรือแมลงหวี่ โดยการกาจัดปัจจัยในการดารงชีวิต
คือ ที่อยู่อาศัย อาหาร และควบคุมความเหมาะสมต่อสภาพการดารงชีวิต หรือแม้แต่การป้องกันไม่ให้แมลง
ดังกล่าวมารบกวน จะเป็นวิธีการที่ทาได้ยาก เพราะแหล่งเพาะเชื้อแมลงวันอยู่ได้ในสถานที่ต่างๆ มากมาย การ
กาจัดวิธีนี้จึงใช้ไม่ได้ผล
การกาจัดโดยการเขี่ยไข่แมลงวันหรือแมลงหวี่ทิ้ง เป็นสิ่งทีทาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร เพราะบางครั้งไข่ตกหล่นลงไป
                                                        ่
รวมอยู่ในปลาร้าขณะทีมีการเขี่ยทิ้ง หรือระยะเวลาการฟักไข่เป็นตัวหนอนอ่อน ใช้ระยะเวลาสั้น จึงทาให้เกิด
                           ่
หนอนในปลาร้าและไม่ได้ผล
การกาจัดโดยการนาปลาร้าที่มหนอนไปต้ม เป็นวิธีการกาจัดที่ทาให้หนอนปลาร้าตายหมดจริง แต่ไม่เหมาะหรือไม่
                             ี
สะดวก ในกรณีทปลาร้ามีปริมาณมากๆและทาให้การนาไปจาหน่ายไม่ได้ราคา และไม่สะดวกต่อการเก็บ
                    ี่
การกาจัดโดยการใช้สารเคมี ไม่เหมาะสมเพราะเป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยงมีปัญหาเรื่อง
                                                                                                ั
การระวังรักษาเพื่อความปลอดภัยและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย จึงไม่นิยม
การกาจัดหนอนปลาร้า เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยากสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย และไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิงแวดล้อม
                                                                                                     ่
รวมทั้งเป็นการรักษารดชาดของปลาร้าคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เพื่อช่วยค้นหาแนวทางแก้ปญหาหนอนปลาร้า
                                                                                      ั
สมาชิกในกลุ่มจึงจัดทาโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง หน่อไม้กาจัดหนอนปลาร้า เพื่อแก้ไขปัญหาในปัจจุบันและ
อนาคต

1.2 วัตถุประสงค์ของการศึกษา
    1.2.1 เพื่อศึกษาว่าหน่อไม้กาจัดหนอนปลาร้าได้
    1.2.2 เพื่อศึกษาเปรียบเทียบหน่อไม้กับการกาจัดหนอนปลาร้า เมื่อกาหนดชนิดของหน่อไม้ที่ต่างกัน
    1.2.3 เพื่อศึกษาสาเหตุทหน่อไม้ทาให้หนอนในปลาร้าตาย
                            ี่
1.2.4 เพื่อศึกษาช่วงระยะเวลาใดมีผลต่อการกาจัดหนอนปลาร้ามากทีสุด
                                                               ่

1.3 สมมติฐาน
    1.3.1 ชนิดของหน่อไม้กาจัดหนอนได้ไม่แตกต่างกัน
    1.3.2 หน่อไม้สดกาจัดหนอนปลาร้าได้ดีกว่าหน่อไม้แห้ง และหน่อไม้อัดปี๊ป
    1.3.3 รสขื่นของหน่อไม้ทาให้หนอนในปลาร้าตายได้
    1.3.4 ช่วงเวลาไม่เป็นอุปสรรคกับหน่อไม้กาจัดหนอนปลาร้า

1.4 ขอบเขตของการศึกษา
    1.4.1 ศึกษาเฉพาะหน่อไม้ไผ่ตง หน่อไม้บ้าน ที่เป็นหน่อไม้สด หน่อไม้แห้ง
หน่อไม้อัดปีป
            ๊
    1.4.2 อุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลอง ใช้กล่องพลาสติก บิกเกอร์
    1.4.3 ผลจากการศึกษาจากัดปริมาณหน่อไม้ และหนอนในปลาร้าในกล่องพลาสติก ปริมาณของปลาร้า 1
กิโลกรัม ต่อหน่อไม้ 30 กรัม
    1.4.4 สถานที่ศึกษาทดลอง ตั้งกล่องพลาสติกใส่ปลาร้าไว้ที่สนามสอนหย่อมทีบ้าน่
    1.4.5 ช่วงเวลาในการทดลอง ระหว่างเวลา 08.00 - 06.00 น. วันรุ่งขึ้น
              แบ่งการทดลอง 3 ช่วง คือ ช่วงแรก 098.00 น. , ช่วงที่ 2 เวลา 13.00 น. และช่วงที่ 3 เวลา 17.30
น. แต่ละช่วงของการทดลองใช้เวลาสังเกตผลทุกๆ 5 ชั่วโมง

1.5 นิยามเชิงปฏิบัติการ
    1.5.1 หนอนหรือหนอนปลาร้า หมายถึง หนอนทีเ่ กิดจากแมลงวันวางไข่ในปลาร้าและฟักเป็นตัวหนอน
    1.5.2 กาจัด หมายถึง ทาให้หนอนตายหรือหมดไปจากปลาร้า

1.6 ตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับการทดลอง
1.6.1 ตัวแปรอิสระ
     การทดลองที่ 1 ชนิดของหน่อไม้สดที่ใช้ทดลอง หน่อไม้ไผ่ตง หน่อไม้ไผ่บ้าน
     การทดลองที่ 2 ชนิดของหน่อไม้สด หน่อไม้แห้ง หน่อไม้อัดปี๊ป
     การทดลองที่ 3 ช่วงระยะเวลา 08.00 น. , 13.00 น. และ 17.30 น.
1.6.5 ตัวแปรตาม
     การทดลองที่ 1 ลักษณะของหนอนในปลาร้า เมื่อใส่หน่อไม้ในปลาร้า
     การทดลองที่ 2 ลักษณะของหนอนในปลาร้า เมื่อใส่ชนิดของหน่อไม้ต่างกันลงในปลาร้า
     การทดลองที่ 3 ลักษณะของหนอนในปลาร้า เมื่อใส่หน่อไม้ลงในปลาร้าในช่วงระยะเวลาต่าง ๆ
1.5.2 ตัวแปรที่ควบคุม
     การทดลองที่ 1
         1. ขนาดและชนิดของกล่องพลาสติกทดลอง
         2. ช่วงระยะเวลาการทดลอง และการสังเกตการทดลอง เวลา 08.00 น. สังเกตทุก ๆ 5
ชั่วโมง
         3. ปริมาณของหน่อไม้ที่ใช้
4. ปริมาณของปลาร้า และจานวนตัวหนอน
       5. ชนิดของหน่อไม้ไผ่ตง หน่อไม้บ้าน
   การทดลองที่ 2
      1. ขนาดและชนิดของกล่องพลาสติกทดลอง
      2. ช่วงระยะเวลาการทดลอง และสังเกตผลการทดลอง ทุก ๆ 5 ชั่วโมง
      3. ชนิดของหน่อไม้สด หน่อไม้แห้ง หน่อไม้อัดปีป
                                                  ๊
      4. ปริมาณของหน่อไม้ที่ใช้
      5. ปริมาณของปลาร้า และจานวนหนอน
      6. สถานที่
   การทดลองที่ 3
      1. ขนาดและชนิดของกล่องพลาสติก ทดลอง
      2. ชนิดของหน่อไม้
      3. ปริมาณของหน่อไม้ที่ใช้
      4. ปริมาณปลาร้า และจานวนหนอน
      5. ช่วงระยะเวลาการทดลองและสังเกตผลการทดลอง ทุก ๆ 5 ชั่วโมง
      6. สถานที่

1.7 ข้อตกลงเบื้องต้น
    การศึกษาหน่อไม้กาจัดหนอนปลาร้า จะศึกษาเฉพาะการใช้หน่อไม้ไผ่ตง หน่อไม้ไผ่บ้าน และประเภทของ
หน่อไม้สด หน่อไม้แห้ง และหน่อไม้อัดปีป ที่ใช้กาจัดหนอนในปลาร้าเท่านั้น ส่วนหน่อไม้อื่น ๆ และหนอนชนิดอื่น
                                     ๊
ๆ จะไม่ศึกษาในที่นี้

1.8 กระบวนการศึกษา
     การศึกษาหน่อไม้กาจัดหนอนปลาร้า ทาการศึกษาตามขั้นตอนของกระบวนการวิทยาศาสตร์ ดังนี้ ขั้นที่
1 สังเกตเพื่อกาหนดปัญหา
สิ่งทีสังเกต คือเห็นชาวบ้านโคกน้าเกลี้ยง ตาบลโพนทอง อาเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ นาหน่อไม้และแขนงของ
      ่
หน่อไม้ มาใส่ลงในปลาร้า
        ผลการสังเกต
     1. เห็นปลาร้ามีหนอน
     2. เห็นไหปลาร้าและปลาร้าในไหมีหนอนตัวเล็กปริมาณมาก
     3. แมลงวันและแมลงหวี่บินตอมไหปลาร้า
     4. เมื่อใส่หน่อไม้สดลงไปในไหปลาร้าที่มหนอน ทาให้หนอนตาย
                                           ี
     กําหนดปัญหา
     1. ชนิดของหน่อไม้ต่างกันมีผลต่อการกาจัดหนอนปลาร้ามากน้อยหรือต่างกัน อย่างไร
     2. หน่อไม้สด หน่อไม้แห้ง และหน่อไม้อัดปี๊ป กาจัดหนอนปลาร้า ต่างกัน อย่างไร เพราะเหตุใด
     3. ช่วงระยะเวลาการกาจัดหนอนปลาร้าด้วยหน่อไม้ มีผลอย่างไร
ขั้นที่ 2 ตั้งสมมติฐาน
ขั้นที่ 3 ทดสอบสมมติฐาน โดยการทดลอง ดังนี้
การทดลองที่ 1 เรื่องหน่อไม้ไผ่ตง และหน่อไม้บ้าน กาจัดหนอน
ปลาร้าได้ ต่างกันหรือไม่
     การทดลองที่ 2 เรื่องหน่อไม้สด หน่อไม้แห้งและหน่อไม้อัดปี๊ป กาจัดหนอนได้ต่างกันหรือไม่ สาเหตุใดหน่อไม้
จึงทาให้หนอนในปลาร้าตายได้
     การทดลองที่ 3 ช่วงระยะเวลาใดดีทสุดในการใช้หน่อไม้กาจัดหนอนปลาร้า
                                       ี่
ขั้นที่ 4 วิเคราะห์ผลการทดลอง และสรุปผลกรทดลอง
ขั้นที่ 5 นาหลักฐานทีสรุปได้จากการทดลองไปใช้ โดยการใช้หน่อไม้ไปกาจัดหนอนทีมีอยู่ในปลาร้าที่ใช้อยู่บ้าน
                      ่                                                        ่
     5.1 ทดลองใช้หน่อไม้กาจัดหนอนในปลาร้าที่เกิดจากแมลงวัน ทดลองใช้หน่อไม้กาจัดหนอนในปลาร้าที่เกิด
จากแมลงหวี่ จากปลาร้าในไหจริงที่ชาวบ้านทาแล้วเกิดหนอน

http://www.tet2.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=560699&Ntype=3




4. โครงงานเศษเทียนผสมสมุนไพรไล่ยุง
ชื่อโครงงาน        เศษเทียนผสมสมุนไพรไล่ยุง
ผู้จัดทํา           นายกิตติศักดิ์ ญาณกาย
                      นางสาวอรวรรณ ภูทองแหลม
                      นางสาวอรสุดา พงษ์ละออ
ครูที่ปรึกษา       นางสุภาพรรณ ดาษถนิม
                      นางสุพรรณี ถนอมสงัด
ผลงาน               โครงการโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ ปีการศึกษา 2549

จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า
    1. เพื่อเป็นการนาเศษเทียนทีเ่ หลือใช้แล้วนามาใช้ให้เกิดประโยชน์
    2. เพื่อศึกษาว่าเศษเทียนผสมกับพืชสมุนไพรไล่ยุงได้
    3. เพื่อศึกษาชนิดของสมุนไพรกับการไล่ยุง

สมมติฐาน
   1. เศษเทียนผสมกับพืชสมุนไพรไล่ยุงได้
   2. เศษเทียนผสมใบตะไคร้หอมปั่นตากแห้ง สามารถไล่ยุงได้ดีกว่าเศษเทียนผสมเปลือกมะกรูดปั่นตากแห้งและ
เศษเทียนผสมเปลือกส้มปั่นตากแห้ง

ขอบเขตการศึกษา
    เศษเทียนทีหลอมเหลวแล้วผสมใบตะไคร้หอม ปั่นตากแห้ง เปลือกมะกรูดปั่นตากแห้ง และ เปลือกส้มปั่นตาก
              ่
แห้ง
อุปกรณ์ในการทดลอง
     1. ใบตะไคร้หอม เปลือกมะกรูด เปลือกส้ม ที่ปั่นให้ละเอียดแล้วนาไป ตากแห้ง
     2. เศษเทียน
     3. สีเทียน
     4. แก้ว
     5. ไส้เทียน ยาว 45 นิ้ว
     6. กระดาษที่รองก้นแก้ว สูง 45 นิ้ว
     7. ไม้ 8.เครื่องปั่นผลไม้
     9.บีกเกอร์ ขนาด 250 ลูกบาศก์เซนติเมตร
    10.บีกเกอร์ ขนาด 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร
    11.ชุดตะเกียงแอลกอฮอล์
    12.แท่งแก้วคนสาร
    13.เตารีด
    14.ไม้ขีดไฟ
    15.เครื่องชั่ง
    16.ตู้ ขนาดกว้าง 18 นิ้ว จานวน 3 หลัง
    17.ยุง
    18.กระชอน
    19.ที่กรอง

ตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับการทดลอง
ตัวแปรต้น เศษเทียน ใบตะไคร้หอมปั่นตากแห้ง เปลือกมะกรูดปั่นตากแห้ง เปลือกส้มปั่นตากแห้ง
ตัวแปรตาม ไล่ยุงได้
ตัวแปรควบคุม
    * เศษเทียนที่หลอมเหลวแล้ว 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร
    * ใบตะไคร้หอมปั่นตากแห้ง 5,10 กรัม
    * เปลือกมะกรูดปั่นตากแห้ง 5,10 กรัม
    * เปลือกส้มปั่นตากแห้ง 5,10 กรัม
    * ตู้ขนาดกว้าง 18 นิ้ว ยาว 45 นิ้ว สูง 45 นิ้ว จานวน 3 หลัง
    * ยุงในตู้จานวนหลังละ 50 ตัว
    * ใช้เวลาในการทดลอง 30 นาที
    * สถานที่ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์โรงเรียนเทศบาล ๒

ผลการทดลอง
   1. เศษเทียนผสมใบตะไคร้หอมปั่นตากแห้งไล่ยุงได้ดีรองลงมาคือเศษเทียนผสมเปลือกมะกรูดปั่นตากแห้งและ
เศษเทียนผสมเปลือกส้มปั่นตากแห้ง( ไม่กรองกากสมุนไพร )
   2. เศษเทียนผสมใบตะไคร้หอมปั่นตากแห้งไล่ยุงได้ดีทสดรองลงมาคือเศษเทียนผสมเปลือกมะกรูดปั่นตากแห้ง
                                                   ี่ ุ
และเศษเทียนผสมเปลือกส้มปั่นตากแห้ง แห้ง ตามลาดับ และพบว่ายุงตายด้วย
( กรองกากสมุนไพรออก)

สรุปผลการทดลอง
     * จะเห็นว่าเศษเทียนผสมใบตะไคร้-หอมปั่นตากแห้งไล่ยุง ได้ดีที่สุดรองลงมาคือเศษเทียนผสมเปลือกมะกรูด
ปั่น ตากแห้งและเศษเทียนผสมเปลือกส้มปั่นตากแห้ง ตามลาดับ และพบว่ายุงตายด้วย( กรองกากสมุนไพรออก)
     * เศษเทียนที่เหลือใช้แล้วสามารถนามาผสมกับสมุนไพรให้เกิดประโยชน์ได้
     * ทาให้ทราบชนิดของสมุนไพรสามารถไล่ยุงได้

ข้อเสนอแนะการทดลอง
     1. เมื่อผสมสีเทียนอาจได้ไม่ตรงตามต้องการ เช่น ผสมสีฟ้าได้เป็นสีฟ้าอมเขียว เพราะเศษเทียนมีสีเหลืองจึงทา
ให้สีคลาดเคลื่อน

ประโยชน์ที่ได้รับจากโครงงาน
ด้านการศึกษา
    1. ทาให้ทราบประโยชน์ของเศษเทียนทีเ่ หลือใช้แล้ว
    2. ทาให้ทราบว่าเศษเทียนสามารถผสมกับพืชสมุนไพรไล่ยุงได้
    3. ทาให้ได้ทราบว่าชนิดของสมุนไพรสามารถไล่ยุงได้
ด้านเศรษฐกิจ
    สามารถนาผลิตภัณฑ์ที่ได้ไปจาหน่ายเป็นการเสริมรายได้แก่ครอบครัว

ที่มา : http://www.tet2.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=560698&Ntype=3


5. โครงงานสีผมสวยด้วยใบกาว
ชื่อโครงงาน       สีผมสวยด้วยใบกาว
ผู้จัดทา           เด็กหญิงลัดดาวัลย์ ฆารศรี
                       เด็กหญิงกาญจนา พละสินธุ์
                       เด็กหญิงธิติมา น้อยนาจารย์
ครูที่ปรึกษา      นางสุภาพรรณ ดาษถนิม
                      นางสุพรรณี ถนอมสงัด
ผลงาน              เข้าร่วมการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เนื่องในสัปดาห์
                      วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร วันที่ 18-19 สิงหาคม 2549

จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า
      1. เพื่อหาอัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างมวลของใบกาวสด และปริมาตรของน้าสะอาดในการสกัดสารจากใบ
กาวสด
      2. เพื่อศึกษาประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีผมของสารสกัดจากใบกาวสดตามอัตราส่วนทีเ่ หมาะสม
3. เพื่อหาอัตราส่วนทีเ่ หมาะสมระหว่างมวลของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์และปริมาตรของน้าสะอาดในการนาผง
สกัดใบกาวบริสุทธิ์ไปใช้ในการเปลี่ยนสีผม
    4. เพื่อศึกษาประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีผมของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ตามอัตราส่วนทีเ่ หมาะสม
    5.เพื่อนาพืชในท้องถิ่นมาใช้ประโยชน์และเพื่อความปลอดภัยของสุขภาพ

สมมติฐานของการศึกษา
   1. สารสกัดจากใบกาวจะมีประสิทธิภาพในการทาให้สผมเปลี่ยนไป
                                                   ี
   2. ผงสกัดใบกาวบริสทธิ์จะมีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีผมได้เหมือนกับสารสกัดใบกาวสดและสามารถ
                     ุ
นามาใช้แทนกันได้

วัสดุ-อุปกรณ์และวิธีดําเนินการ
มวลของใบกาว : ปริมาตรของน้าสะอาด 100 กรัม : 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร
    1. นาใบกาวสดมวล 100 กรัม มาปั่นให้ละเอียด
    2. นาใบกาวที่ได้จากข้อ 1 ใส่ลงในกะละมังใบเล็ก
    3.เติมน้าสะอาด ปริมาณ 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร ลงในกะละมังทีมีใบกาวปั่นละเอียด
                                                            ่
    4.คั้นใบกาวในกะละมังใบเล็กจนกระทั่งใบมีสซีด
                                             ี
    5.กรองเอาสารที่ได้จากข้อ 4 โดยใช้ผ้าขาวบางและใช้ตะแกรงกรอง
    6.ได้สารทีสกัดมาจากการสกัดใบกาว
              ่
    7.นาสารสกัดใบกาวสดลงในหลอดทดลองเพื่อเปรียบเทียบกับอัตราส่วนอื่น

วัสดุ-อุปกรณ์
    1.ตัวอย่างเส้นผมที่นามาทดลอง
    2.สารสกัดใบกาวสด ตามอัตราส่วนที่เลือกไว้
    3.น้าเปล่า

วิธีดําเนินการทดลอง
     1.นาสารสกัดจากใบกาวสด ตามอัตราส่วนทีกาหนดไว้มาชโลมเส้นผมที่นามาทดลอง
                                           ่
     2.หมักตัวอย่างผสมกับสารสกัดใบกาวสดโดยหมักไว้นาน 30 นาที
     3.ครบ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้าเปล่า
     4.สังเกตการเปลี่ยนแปลงของสีผม

วัสดุ-อุปกรณ์
    1. ใบกาวแห้ง มวล 150 กรัม
    2. เครื่องปั่นผลไม้จานวน 1 เครื่อง
    3. เครื่องชั่ง จานวน 1 เครื่อง
    4. ผ้าขาวบาง จานวน 1 ผืน
    5. บีกเกอร์ จานวน 2 ใบ
    6. น้าสะอาด จานวน 60 ลูกบาศก์เซนติเมตร
วิธีดําเนินการทดลอง
ขั้นเตรียมผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์
     นาใบกาวแห้ง มวล 150 กรัมใส่ลงในโถเครืองปั่น และปั่นจนกระทังได้ผงใบกาวบริสทธิ์ที่ละเอียด แล้ว กรอง
                                             ่                     ่          ุ
ด้วยผ้าขาวบางอีกครัง เพื่อให้ได้ผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ทมีขนาดละเอียดเล็กทีสุด
                     ้                               ี่                 ่
ขั้นการหาอัตราส่วนทีเ่ หมาะสม
     1.ชั่งผงใบกาวบริสุทธิ์ มวล 5 กรัม และ 10 กรัม ใส่ลงในบีกเกอร์ 2 ใบ
     2.เติมน้าลงในบีกเกอร์ทมีผงใบกาวบริสทธิ์ใบละ 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร
                             ี่           ุ
     3.สังเกต การรวมตัวเป็นเนื้อเดียวของสาร

วัสดุ-อุปกรณ์
    1.ผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ มวลตามอัตราส่วนทีเ่ ลือกไว้
    2.น้าสะอาด ปริมาตรตามอัตราส่วนเหมาะสมทีเ่ ลือกไว้
    3.ตัวอย่างเส้นผมที่นามาทาการทดลอง

วิธีดําเนินการทดลอง
     1.นาผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ใส่ลงในบีกเกอร์ แล้วเติมน้าสะอาดลงไปในบีกเกอร์มวลของผงสกัดใบกาวบริสทธิ์ต่อ
                                                                                                ุ
ปริมาตรของน้าสะอาด เป็นไปตามอัตราส่วนทีเ่ ลือกไว้
     2.นาเอาส่วนผสมของข้อที่ 1 มาชโลมตัวอย่างเส้นผมทีนามาทดลอง
                                                        ่
     3.หมักตัวอย่างผมกับผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ไว้นาน 30 นาที
     4.ครบ 30 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้าเปล่า
     5.สังเกตการเปลี่ยนแปลงของสีผม

ผลการดําเนินการ
ตอนที่ 1 อัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างมวลของใบกาวสด กับปริมาตรของน้าสะอาด คือ
มวลใบกาวสด : ปริมาตรน้าสะอาด ผลการสังเกต
50 กรัม : 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร100 กรัม : 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร ได้ของเหลวสีเขียวอมเหลืองได้ของเหลวสี
เขียวเข้มอมเหลือง
    ทดลองหาอัตราส่วนทีเ่ หมาะสมระหว่างมวลของใบกาวสดกับปริมาตรน้าสะอาด อัตราทีเ่ หมาะสม คือ มวล
ของใบกาวสด 100 กรัมต่อน้าสะอาด 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร เพราะจะให้สารสกัดจากใบกาวสดมีสีเข้มทีสุด    ่
ตอนที่ 2 ทดสอบประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีของผมเมื่อทดสอบกับอัตราส่วนของสารสกัดใบกาวสดทีเ่ ลือกไว้ (
มวลของใบกาวสด 100 กรัมต่อน้าสะอาด 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร )
ระยะเวลาในการหมักผม การเปลี่ยนของสีผม
30 นาที - ส่วนผมที่เคยเป็นสีขาวจะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดง- ส่วนผมที่เคยเป็นสีดาจะเปลี่ยนเป็นสีน้าตาล
    ทดลอบหาประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีของผมเมื่อทดสอบกับอัตราส่วนของสารสกัดใบกาวสด คือ มวลของใบ
กาวสด 100 กรัมต่อน้าสะอาด 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร ผลการทดสอบประสิทธิภาพการเปลี่ยนสีผม คือ ผมที่เคย
เป็นสีขาวจะเปลี่ยนเป็นสีสมแดงส่วนผมที่เคยเป็นสีดาจะเปลี่ยนเป็นสีน้าตาล
                         ้
ตอนที่ 3 การทดสอบหาอัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างมวลของผงสกัดใบกาวบริสทธิ์กับปริมาตรของน้าสะอาดใน
                                                                           ุ
การนาผงสกัดไปใช้ในการเปลี่ยนสีผม
มวลผงสกัดใบกาวบริสทธิ์ : ปริมาตรน้าสะอาด ผลการสังเกต
                        ุ
5 กรัม : 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร10 กรัม : 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร ผงสกัดใบกาวรวมเป็นเนื้อเดียวกันกับน้าได้พอดี
ผงสกัดใบกาวบางส่วนที่ไม่รวมเป็นเนื้อเดียวกันกับน้า
     ทดสอบหาอัตราส่วนทีเ่ หมาะสมระหว่างมวลของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์กบปริมาตรของน้าสะอาดในการนาผง
                                                                       ั
สกัดไปใช้ในการเปลี่ยนสีผม อัตราส่วนทีเ่ หมาะสมคือ มวลของผงสกัดใบกาวบริสทธิ์ 5 กรัมต่อปริมาตรของน้า
                                                                            ุ
สะอาด 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร เพราะผงสกัดใบกาวบริสุทธิจะรวมเป็นเนื้อเดียวกับน้าอย่างลงตัวพอดี
                                                        ์
ตอนที่ 4 ทดสอบประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีผมของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ตามอัตราส่วน มวลของผงสกัดใบกาว
บริสุทธิ์ 5 กรัม ต่อน้า 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร
ระยะเวลาในการหมักผม การเปลี่ยนของสีผม
30 นาที - ส่วนผมที่เคยเป็นสีขาวจะเปลี่ยนเป็นสีน้าตาลทอง- ส่วนผมทีเ่ คยเป็นสีดาจะเปลี่ยนเป็นสีน้าตาล
     ทดสอบประสิทธิภาพการเปลี่ยนสีผม ของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ตามอัตราส่วน มวลของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์
5 กรัม ต่อน้า 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร ผลการทดสอบประสิทธิภาพการเปลี่ยนสีผม คือ ผมทีเ่ คยเป็นสีขาวจะ
เปลี่ยนเป็นสีน้าตาลทองส่วนผมทีเ่ คยเป็นสีดาจะเปลี่ยนเป็นสีน้าตาล
ตอนที่ 5 การเผยแพร่เพื่อนาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจาวัน จะเห็นว่า สารสกัดจากใบกาวสดและผงสกัด
ใบกาวบริสุทธิ์สามารถเปลี่ยนสีผมจากสีเดิม เป็นสีโทนน้าตาล ดังนั้นจึงเหมาะที่นามาใช้ในการเปลี่ยนสีผมแทน
น้ายาเปลี่ยนสีผมที่ขายตามท้องตลาดทั่วไปเพราะไม่เป็นอันตรายต่อเส้นผมและหนังศีรษะและประหยัดด้วย

สรุปผลและอภิปรายผล
สรุปผลการทดลอง
ตอนที่ 1 อัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างมวลของใบกาวสด กับปริมาตรของน้าสะอาด
คือ มวลของใบกาวสด 100 กรัม ต่อน้าสะอาด 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร เพราะจะให้สารสกัดจากใบกาวสดมีสีเข้ม
ที่สุด
ตอนที่ 2 ประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีของผม คือ ใบกาวสด 100 กรัม ต่อน้าสะอาด 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร ผมที่
เคยเป็นสีขาวจะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดง ส่วนผมที่เคยเป็นสีดาจะเปลี่ยนเป็นสีน้าตาล
ตอนที่ 3 อัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างมวลของผงสกัดใบกาวบริสทธิ์กับปริมาตรของน้าสะอาดในการนาผงสกัดไป
                                                              ุ
ใช้ในการเปลี่ยนสีผม คือมวลของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ 5 กรัมต่อปริมาตรของน้าสะอาด30 ลูกบาศก์-เซนติเมตร
ซึ่งผงสกัดใบกาวบริสทธิ์จะรวมเป็นเนื้อเดียวกับน้าอย่างลงตัวพอดี
                    ุ
ตอนที่ 4 ประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีผมของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ตามอัตราส่วนคือมวลของผงสกัดใบกาวบริสทธิ์    ุ
5 กรัม ต่อน้า 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร ผลการทดสอบประสิทธิภาพการเปลี่ยนสีผมคือ ผมที่เคยเป็นสีขาวจะ
เปลี่ยนเป็นสีน้าตาลทองส่วนผมทีเ่ คยเป็นสีดาจะเปลี่ยนเป็นสีน้าตาล
ตอนที่ 5 การเผยแพร่เพื่อนาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจาวัน
      จากการนาไปเผยแพร่ เพื่อนาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจาวัน จะเห็นว่าสารสกัดจากใบกาวสด และผง
สกัดใบกาวบริสุทธิ์ สามารถเปลี่ยนสีผมจากสีเดิมเป็นสีโทนน้าตาล ดังนั้นจึงเหมาะที่นามาใช้ในการเปลี่ยนสีผม
แทนน้ายาสีผมที่ขายตามท้องตลาดทั่วไปเพราะไม่เป็นอันตรายต่อเส้นผมและหนังศีรษะและยังเป็นการประหยัด
อีกด้วย

อภิปรายผลการทดลอง
จากการทดลองจะเห็นว่าสารสกัดใบกาวสดและผงสกัดใบกาวบริสุทธิสามารถเปลี่ยนสีผมจากสีเดิมเป็นสีโทน
                                                                    ์
น้าตาลได้ เพื่อให้สะดวกต่อการนาไปใช้ในการเปลี่ยนสีผม ควรใช้ผลิตภัณฑ์ผงสกัดใบกาวบริสทธิ์จะดีกว่าเพราะไม่
                                                                                     ุ
ยุ่งยากในการเตรียมสารสกัดเพียงแค่เอาผงสกัดใบกาวบริสทธิ์ผสมกับน้าก็สามารถนาไปใช้ได้เลย ซึงสะดวกต่อการ
                                                       ุ                                  ่
นาไปใช้ มีกลิ่นหอมกว่าและสามารถเก็บไว้ได้นานกว่าอีกด้วย ถ้าต้องการให้มสีอื่นผสมควรใช้พืชชนิดอื่นมาเป็น
                                                                       ี
ส่วนผสม เช่น
     -ถ้าต้องการเปลี่ยนเป็นสีน้าตาลม่วง ควรใช้ดอกอัญชัน เป็นส่วนผสมและใช้น้ามะนาวผสมแทนน้าเปล่า
     -ถ้าต้องการเปลี่ยนสีน้าตาลช็อกโกแลต (สีน้าตาลไหม้)ควรใช้กาแฟเป็นส่วนผสม การใช้สารสกัดด้วยใบกาว
เปลี่ยนสีผม สามารถทาได้ทุกเวลาที่ตองการ ไม่ทาให้เกิดอันตรายต่อเส้นผมและหนังศีรษะ
                                     ้

ประโยชน์ที่ได้รับจากโครงงาน
   1. ได้อัตราส่วนที่เหมาะสมของใบกาวสดต่อน้าสะอาดในการทาสารสกัดใบกาว
   2. ได้ทราบถึงประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีผมของสารสกัดใบกาวสด
   3. ได้อัตราส่วนที่เหมาะสมของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ต่อน้าสะอาดในการเปลี่ยนสีผม
   4. ได้ทราบถึงประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีผมของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์
   5. ได้นาพืชในท้องถิ่นมาใช้ให้เกิดประโยชน์และปลอดภัยต่อสุขภาพ

ข้อเสนอแนะ
    ควรทดลองนาพืชชนิดอื่นที่ให้สีแตกต่างกันมาเป็นส่วนผสม เพราะจะได้สผมทีหลากหลายมาก ยิ่งขึ้น
                                                                    ี ่

http://www.tet2.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=560691&Ntype=3
https://sites.google.com/site/walaipornskb/khorng-ngan-khxmphiwtexr

สืบค้นเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2555

More Related Content

What's hot

Hormone and response plant
Hormone and response plantHormone and response plant
Hormone and response plantThanyamon Chat.
 
ตอบสนองพืช
ตอบสนองพืชตอบสนองพืช
ตอบสนองพืชWichai Likitponrak
 
ใบความรู้เรื่องงานประดิษฐ์
ใบความรู้เรื่องงานประดิษฐ์ใบความรู้เรื่องงานประดิษฐ์
ใบความรู้เรื่องงานประดิษฐ์Duangsuwun Lasadang
 
การเจริญเติบโตของพืช
การเจริญเติบโตของพืชการเจริญเติบโตของพืช
การเจริญเติบโตของพืชkookoon11
 
การตอบสนองของพืช Oui60
การตอบสนองของพืช Oui60การตอบสนองของพืช Oui60
การตอบสนองของพืช Oui60Oui Nuchanart
 
บทที่4ตอบสนองและฮอร์โมนพืช
บทที่4ตอบสนองและฮอร์โมนพืชบทที่4ตอบสนองและฮอร์โมนพืช
บทที่4ตอบสนองและฮอร์โมนพืชWichai Likitponrak
 
การเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ย Is
การเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ย Isการเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ย Is
การเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ย IsM Mild Charinrat Aloha
 
บทที่ 1ปรับปรุง
บทที่ 1ปรับปรุงบทที่ 1ปรับปรุง
บทที่ 1ปรับปรุงkasetpcc
 
บทที่ 2ปรับปรุง
บทที่ 2ปรับปรุงบทที่ 2ปรับปรุง
บทที่ 2ปรับปรุงkasetpcc
 
Responseของพืช
ResponseของพืชResponseของพืช
ResponseของพืชIssara Mo
 
การลำเลียงสารอาหารของพืช
การลำเลียงสารอาหารของพืชการลำเลียงสารอาหารของพืช
การลำเลียงสารอาหารของพืชAnana Anana
 
ตัวอย่างโครงงานเครื่องกลองน้ำ เลขที่6 8 10 11 21 22 31
ตัวอย่างโครงงานเครื่องกลองน้ำ เลขที่6 8 10 11 21 22 31ตัวอย่างโครงงานเครื่องกลองน้ำ เลขที่6 8 10 11 21 22 31
ตัวอย่างโครงงานเครื่องกลองน้ำ เลขที่6 8 10 11 21 22 31Phai Trinod
 
16.ฮอร์โมนพืช
16.ฮอร์โมนพืช16.ฮอร์โมนพืช
16.ฮอร์โมนพืชWichai Likitponrak
 
Postharvest Newsletter ปีที่ 9 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม - กันยายน 2553
Postharvest Newsletter ปีที่ 9 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม - กันยายน 2553Postharvest Newsletter ปีที่ 9 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม - กันยายน 2553
Postharvest Newsletter ปีที่ 9 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม - กันยายน 2553Postharvest Technology Innovation Center
 
Postharvest Newsletter ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม 2558
Postharvest Newsletter ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม 2558Postharvest Newsletter ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม 2558
Postharvest Newsletter ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม 2558Postharvest Technology Innovation Center
 
การลำเลียงน้ำของพืช
การลำเลียงน้ำของพืชการลำเลียงน้ำของพืช
การลำเลียงน้ำของพืชAnana Anana
 

What's hot (19)

Hormone and response plant
Hormone and response plantHormone and response plant
Hormone and response plant
 
ตอบสนองพืช
ตอบสนองพืชตอบสนองพืช
ตอบสนองพืช
 
ใบความรู้เรื่องงานประดิษฐ์
ใบความรู้เรื่องงานประดิษฐ์ใบความรู้เรื่องงานประดิษฐ์
ใบความรู้เรื่องงานประดิษฐ์
 
การเจริญเติบโตของพืช
การเจริญเติบโตของพืชการเจริญเติบโตของพืช
การเจริญเติบโตของพืช
 
การตอบสนองของพืช Oui60
การตอบสนองของพืช Oui60การตอบสนองของพืช Oui60
การตอบสนองของพืช Oui60
 
3
33
3
 
บทที่4ตอบสนองและฮอร์โมนพืช
บทที่4ตอบสนองและฮอร์โมนพืชบทที่4ตอบสนองและฮอร์โมนพืช
บทที่4ตอบสนองและฮอร์โมนพืช
 
การเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ย Is
การเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ย Isการเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ย Is
การเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ย Is
 
บทที่ 1ปรับปรุง
บทที่ 1ปรับปรุงบทที่ 1ปรับปรุง
บทที่ 1ปรับปรุง
 
Is แผ่นพับ
Is แผ่นพับIs แผ่นพับ
Is แผ่นพับ
 
บทที่ 2ปรับปรุง
บทที่ 2ปรับปรุงบทที่ 2ปรับปรุง
บทที่ 2ปรับปรุง
 
Responseของพืช
ResponseของพืชResponseของพืช
Responseของพืช
 
การลำเลียงสารอาหารของพืช
การลำเลียงสารอาหารของพืชการลำเลียงสารอาหารของพืช
การลำเลียงสารอาหารของพืช
 
ตัวอย่างโครงงานเครื่องกลองน้ำ เลขที่6 8 10 11 21 22 31
ตัวอย่างโครงงานเครื่องกลองน้ำ เลขที่6 8 10 11 21 22 31ตัวอย่างโครงงานเครื่องกลองน้ำ เลขที่6 8 10 11 21 22 31
ตัวอย่างโครงงานเครื่องกลองน้ำ เลขที่6 8 10 11 21 22 31
 
16.ฮอร์โมนพืช
16.ฮอร์โมนพืช16.ฮอร์โมนพืช
16.ฮอร์โมนพืช
 
Postharvest Newsletter ปีที่ 9 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม - กันยายน 2553
Postharvest Newsletter ปีที่ 9 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม - กันยายน 2553Postharvest Newsletter ปีที่ 9 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม - กันยายน 2553
Postharvest Newsletter ปีที่ 9 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม - กันยายน 2553
 
Postharvest Newsletter ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม 2558
Postharvest Newsletter ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม 2558Postharvest Newsletter ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม 2558
Postharvest Newsletter ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม 2558
 
Com project
Com projectCom project
Com project
 
การลำเลียงน้ำของพืช
การลำเลียงน้ำของพืชการลำเลียงน้ำของพืช
การลำเลียงน้ำของพืช
 

Viewers also liked

ใบงานที่ 8 โครงงานประเภท การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์
ใบงานที่ 8 โครงงานประเภท การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ใบงานที่ 8 โครงงานประเภท การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์
ใบงานที่ 8 โครงงานประเภท การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์Mintra Pudprom
 
ใบงานที่ 5 โครงงานประเภทการพัฒนาเครื่องมือ
ใบงานที่ 5 โครงงานประเภทการพัฒนาเครื่องมือใบงานที่ 5 โครงงานประเภทการพัฒนาเครื่องมือ
ใบงานที่ 5 โครงงานประเภทการพัฒนาเครื่องมือMintra Pudprom
 
ใบงานที่ 7 เรื่อง โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน
ใบงานที่ 7 เรื่อง โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งานใบงานที่ 7 เรื่อง โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน
ใบงานที่ 7 เรื่อง โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งานMintra Pudprom
 
Cyf campers registration form
Cyf campers registration formCyf campers registration form
Cyf campers registration formSFYC
 
שס כישלון ציוני
שס כישלון ציונישס כישלון ציוני
שס כישלון ציוניmeirpail
 
El nostre cos
El nostre cosEl nostre cos
El nostre cosJoan Sans
 
Uks brochure basic risk assessing 2010 2a
Uks brochure basic risk assessing 2010  2aUks brochure basic risk assessing 2010  2a
Uks brochure basic risk assessing 2010 2aClive Burgess
 
Currículum aldana centeno
Currículum aldana centenoCurrículum aldana centeno
Currículum aldana centenogerchu22
 
Modelo carta porte
Modelo carta porteModelo carta porte
Modelo carta porteKokyVela
 
Chick anddix
Chick anddixChick anddix
Chick anddixmcnal037
 
Jornada Emprendedores
Jornada EmprendedoresJornada Emprendedores
Jornada EmprendedoresEmsier
 

Viewers also liked (20)

ใบงานที่ 8 โครงงานประเภท การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์
ใบงานที่ 8 โครงงานประเภท การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ใบงานที่ 8 โครงงานประเภท การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์
ใบงานที่ 8 โครงงานประเภท การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์
 
ใบงานที่ 5 โครงงานประเภทการพัฒนาเครื่องมือ
ใบงานที่ 5 โครงงานประเภทการพัฒนาเครื่องมือใบงานที่ 5 โครงงานประเภทการพัฒนาเครื่องมือ
ใบงานที่ 5 โครงงานประเภทการพัฒนาเครื่องมือ
 
ใบงานที่ 7 เรื่อง โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน
ใบงานที่ 7 เรื่อง โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งานใบงานที่ 7 เรื่อง โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน
ใบงานที่ 7 เรื่อง โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน
 
Six simple things you can do to teach your child mindfulness for a happy life!
Six simple things you can do to teach your child mindfulness for a happy life!Six simple things you can do to teach your child mindfulness for a happy life!
Six simple things you can do to teach your child mindfulness for a happy life!
 
Img007
Img007Img007
Img007
 
Cyf campers registration form
Cyf campers registration formCyf campers registration form
Cyf campers registration form
 
Algunos códigos de la mafia italiana
Algunos códigos de la mafia italianaAlgunos códigos de la mafia italiana
Algunos códigos de la mafia italiana
 
Il rito
Il rito Il rito
Il rito
 
שס כישלון ציוני
שס כישלון ציונישס כישלון ציוני
שס כישלון ציוני
 
El nostre cos
El nostre cosEl nostre cos
El nostre cos
 
Collage: Educacion emocional
Collage: Educacion emocionalCollage: Educacion emocional
Collage: Educacion emocional
 
Uks brochure basic risk assessing 2010 2a
Uks brochure basic risk assessing 2010  2aUks brochure basic risk assessing 2010  2a
Uks brochure basic risk assessing 2010 2a
 
Autorizacion
AutorizacionAutorizacion
Autorizacion
 
Currículum aldana centeno
Currículum aldana centenoCurrículum aldana centeno
Currículum aldana centeno
 
Comparativo entre PCCS
Comparativo entre  PCCSComparativo entre  PCCS
Comparativo entre PCCS
 
Modelo carta porte
Modelo carta porteModelo carta porte
Modelo carta porte
 
Chick anddix
Chick anddixChick anddix
Chick anddix
 
Prottpln
ProttplnProttpln
Prottpln
 
Jornada Emprendedores
Jornada EmprendedoresJornada Emprendedores
Jornada Emprendedores
 
SociologyExchange.co.uk Shared Resource
SociologyExchange.co.uk Shared ResourceSociologyExchange.co.uk Shared Resource
SociologyExchange.co.uk Shared Resource
 

Similar to งานคอม

4water culture 2
4water culture 24water culture 2
4water culture 2kasetpcc
 
ปัจจัย
ปัจจัยปัจจัย
ปัจจัยwiyadanam
 
ใบความรู้เรื่อง การถนอมอาหาร
ใบความรู้เรื่อง  การถนอมอาหารใบความรู้เรื่อง  การถนอมอาหาร
ใบความรู้เรื่อง การถนอมอาหารDuangsuwun Lasadang
 
งานคอม
งานคอมงานคอม
งานคอมKaka619
 
ใบงานที่ 10
ใบงานที่ 10ใบงานที่ 10
ใบงานที่ 10AKii Fam
 
ใบงานที่สิบ
ใบงานที่สิบใบงานที่สิบ
ใบงานที่สิบNoot Ting Tong
 
โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรื่อง การทดลองการเจริญเติบโตของยีสต์ในน้ำหมักช...
โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรื่อง การทดลองการเจริญเติบโตของยีสต์ในน้ำหมักช...โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรื่อง การทดลองการเจริญเติบโตของยีสต์ในน้ำหมักช...
โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรื่อง การทดลองการเจริญเติบโตของยีสต์ในน้ำหมักช...ssuser858855
 
สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช
สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืชสารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช
สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืชAnana Anana
 
เรื่อง การทำการเกษตร
เรื่อง การทำการเกษตรเรื่อง การทำการเกษตร
เรื่อง การทำการเกษตรchompoo28
 
Biomapcontest2014 กะหล่ำปุ้ง
Biomapcontest2014 กะหล่ำปุ้งBiomapcontest2014 กะหล่ำปุ้ง
Biomapcontest2014 กะหล่ำปุ้งWichai Likitponrak
 

Similar to งานคอม (20)

4water culture 2
4water culture 24water culture 2
4water culture 2
 
ปัจจัย
ปัจจัยปัจจัย
ปัจจัย
 
M6 125 60_6
M6 125 60_6M6 125 60_6
M6 125 60_6
 
ใบความรู้เรื่อง การถนอมอาหาร
ใบความรู้เรื่อง  การถนอมอาหารใบความรู้เรื่อง  การถนอมอาหาร
ใบความรู้เรื่อง การถนอมอาหาร
 
งานคอม
งานคอมงานคอม
งานคอม
 
งานคอม
งานคอมงานคอม
งานคอม
 
ใบงานที่ 10
ใบงานที่ 10ใบงานที่ 10
ใบงานที่ 10
 
โครงงานวิทยาศาสตร์
โครงงานวิทยาศาสตร์โครงงานวิทยาศาสตร์
โครงงานวิทยาศาสตร์
 
ใบงานที่ 10
ใบงานที่ 10ใบงานที่ 10
ใบงานที่ 10
 
ใบงานที่ 10
ใบงานที่ 10ใบงานที่ 10
ใบงานที่ 10
 
เกษตร
เกษตรเกษตร
เกษตร
 
ใบงานที่สิบ
ใบงานที่สิบใบงานที่สิบ
ใบงานที่สิบ
 
โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรื่อง การทดลองการเจริญเติบโตของยีสต์ในน้ำหมักช...
โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรื่อง การทดลองการเจริญเติบโตของยีสต์ในน้ำหมักช...โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรื่อง การทดลองการเจริญเติบโตของยีสต์ในน้ำหมักช...
โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง เรื่อง การทดลองการเจริญเติบโตของยีสต์ในน้ำหมักช...
 
K10
K10K10
K10
 
K10
K10K10
K10
 
ใบงาน10
ใบงาน10ใบงาน10
ใบงาน10
 
สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช
สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืชสารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช
สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช
 
เรื่อง การทำการเกษตร
เรื่อง การทำการเกษตรเรื่อง การทำการเกษตร
เรื่อง การทำการเกษตร
 
Biomapcontest2014 กะหล่ำปุ้ง
Biomapcontest2014 กะหล่ำปุ้งBiomapcontest2014 กะหล่ำปุ้ง
Biomapcontest2014 กะหล่ำปุ้ง
 
สุขะ56
สุขะ56สุขะ56
สุขะ56
 

More from Mintra Pudprom

ขั้นตอนการดำเนินงาน
ขั้นตอนการดำเนินงานขั้นตอนการดำเนินงาน
ขั้นตอนการดำเนินงานMintra Pudprom
 
โครงร่างโครงงานคอม
โครงร่างโครงงานคอมโครงร่างโครงงานคอม
โครงร่างโครงงานคอมMintra Pudprom
 
ใบงานที่ 16 เรื่อง ปฏิทินการปฏิบัติงาน
ใบงานที่ 16 เรื่อง ปฏิทินการปฏิบัติงานใบงานที่ 16 เรื่อง ปฏิทินการปฏิบัติงาน
ใบงานที่ 16 เรื่อง ปฏิทินการปฏิบัติงานMintra Pudprom
 
ใบงานที่ 15 เรื่อง การวิเคราะห์โครงงานและเลือกโครงงาน
ใบงานที่ 15 เรื่อง การวิเคราะห์โครงงานและเลือกโครงงานใบงานที่ 15 เรื่อง การวิเคราะห์โครงงานและเลือกโครงงาน
ใบงานที่ 15 เรื่อง การวิเคราะห์โครงงานและเลือกโครงงานMintra Pudprom
 
สุขศึกษาฯ
สุขศึกษาฯสุขศึกษาฯ
สุขศึกษาฯMintra Pudprom
 
วิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์วิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์Mintra Pudprom
 
คณิตศาสตร์
คณิตศาสตร์คณิตศาสตร์
คณิตศาสตร์Mintra Pudprom
 
ภาษาอังกฤษ
ภาษาอังกฤษภาษาอังกฤษ
ภาษาอังกฤษMintra Pudprom
 
สังคมศึกษา
สังคมศึกษาสังคมศึกษา
สังคมศึกษาMintra Pudprom
 
ใบงานที่ 11 เรื่อง กำหนดและลำดับขั้นตอนการปฏิบัติ นิว
ใบงานที่ 11 เรื่อง กำหนดและลำดับขั้นตอนการปฏิบัติ นิวใบงานที่ 11 เรื่อง กำหนดและลำดับขั้นตอนการปฏิบัติ นิว
ใบงานที่ 11 เรื่อง กำหนดและลำดับขั้นตอนการปฏิบัติ นิวMintra Pudprom
 
ใบงานที่ 9 เรื่อง ปัญหาและความจำเป็นในการทำโครงงาน
ใบงานที่ 9 เรื่อง ปัญหาและความจำเป็นในการทำโครงงานใบงานที่ 9 เรื่อง ปัญหาและความจำเป็นในการทำโครงงาน
ใบงานที่ 9 เรื่อง ปัญหาและความจำเป็นในการทำโครงงานMintra Pudprom
 
ใบงานที่ 4
ใบงานที่ 4ใบงานที่ 4
ใบงานที่ 4Mintra Pudprom
 
ใบงานที่ 3 เรื่อง ขอบข่ายและประเภทของโครงงาน
ใบงานที่ 3 เรื่อง ขอบข่ายและประเภทของโครงงานใบงานที่ 3 เรื่อง ขอบข่ายและประเภทของโครงงาน
ใบงานที่ 3 เรื่อง ขอบข่ายและประเภทของโครงงานMintra Pudprom
 
ใบงานที่ 2 เรื่อง ความหมายและความสำคัญของโครงงาน
ใบงานที่ 2 เรื่อง ความหมายและความสำคัญของโครงงานใบงานที่ 2 เรื่อง ความหมายและความสำคัญของโครงงาน
ใบงานที่ 2 เรื่อง ความหมายและความสำคัญของโครงงานMintra Pudprom
 
Blog 120709000538-phpapp01
Blog 120709000538-phpapp01Blog 120709000538-phpapp01
Blog 120709000538-phpapp01Mintra Pudprom
 
Blog 120709000538-phpapp01
Blog 120709000538-phpapp01Blog 120709000538-phpapp01
Blog 120709000538-phpapp01Mintra Pudprom
 
ใบงานแบบสำรวจและประวัติของ นางสาว มินตรา ปุ๊ดพรม
ใบงานแบบสำรวจและประวัติของ นางสาว มินตรา   ปุ๊ดพรมใบงานแบบสำรวจและประวัติของ นางสาว มินตรา   ปุ๊ดพรม
ใบงานแบบสำรวจและประวัติของ นางสาว มินตรา ปุ๊ดพรมMintra Pudprom
 

More from Mintra Pudprom (19)

ขั้นตอนการดำเนินงาน
ขั้นตอนการดำเนินงานขั้นตอนการดำเนินงาน
ขั้นตอนการดำเนินงาน
 
โครงร่างโครงงานคอม
โครงร่างโครงงานคอมโครงร่างโครงงานคอม
โครงร่างโครงงานคอม
 
ใบงานที่ 16 เรื่อง ปฏิทินการปฏิบัติงาน
ใบงานที่ 16 เรื่อง ปฏิทินการปฏิบัติงานใบงานที่ 16 เรื่อง ปฏิทินการปฏิบัติงาน
ใบงานที่ 16 เรื่อง ปฏิทินการปฏิบัติงาน
 
ใบงานที่ 15 เรื่อง การวิเคราะห์โครงงานและเลือกโครงงาน
ใบงานที่ 15 เรื่อง การวิเคราะห์โครงงานและเลือกโครงงานใบงานที่ 15 เรื่อง การวิเคราะห์โครงงานและเลือกโครงงาน
ใบงานที่ 15 เรื่อง การวิเคราะห์โครงงานและเลือกโครงงาน
 
เฉลย
เฉลยเฉลย
เฉลย
 
สุขศึกษาฯ
สุขศึกษาฯสุขศึกษาฯ
สุขศึกษาฯ
 
วิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์วิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์
 
คณิตศาสตร์
คณิตศาสตร์คณิตศาสตร์
คณิตศาสตร์
 
ภาษาอังกฤษ
ภาษาอังกฤษภาษาอังกฤษ
ภาษาอังกฤษ
 
สังคมศึกษา
สังคมศึกษาสังคมศึกษา
สังคมศึกษา
 
ภาษาไทย
ภาษาไทยภาษาไทย
ภาษาไทย
 
ใบงานที่ 11 เรื่อง กำหนดและลำดับขั้นตอนการปฏิบัติ นิว
ใบงานที่ 11 เรื่อง กำหนดและลำดับขั้นตอนการปฏิบัติ นิวใบงานที่ 11 เรื่อง กำหนดและลำดับขั้นตอนการปฏิบัติ นิว
ใบงานที่ 11 เรื่อง กำหนดและลำดับขั้นตอนการปฏิบัติ นิว
 
ใบงานที่ 9 เรื่อง ปัญหาและความจำเป็นในการทำโครงงาน
ใบงานที่ 9 เรื่อง ปัญหาและความจำเป็นในการทำโครงงานใบงานที่ 9 เรื่อง ปัญหาและความจำเป็นในการทำโครงงาน
ใบงานที่ 9 เรื่อง ปัญหาและความจำเป็นในการทำโครงงาน
 
ใบงานที่ 4
ใบงานที่ 4ใบงานที่ 4
ใบงานที่ 4
 
ใบงานที่ 3 เรื่อง ขอบข่ายและประเภทของโครงงาน
ใบงานที่ 3 เรื่อง ขอบข่ายและประเภทของโครงงานใบงานที่ 3 เรื่อง ขอบข่ายและประเภทของโครงงาน
ใบงานที่ 3 เรื่อง ขอบข่ายและประเภทของโครงงาน
 
ใบงานที่ 2 เรื่อง ความหมายและความสำคัญของโครงงาน
ใบงานที่ 2 เรื่อง ความหมายและความสำคัญของโครงงานใบงานที่ 2 เรื่อง ความหมายและความสำคัญของโครงงาน
ใบงานที่ 2 เรื่อง ความหมายและความสำคัญของโครงงาน
 
Blog 120709000538-phpapp01
Blog 120709000538-phpapp01Blog 120709000538-phpapp01
Blog 120709000538-phpapp01
 
Blog 120709000538-phpapp01
Blog 120709000538-phpapp01Blog 120709000538-phpapp01
Blog 120709000538-phpapp01
 
ใบงานแบบสำรวจและประวัติของ นางสาว มินตรา ปุ๊ดพรม
ใบงานแบบสำรวจและประวัติของ นางสาว มินตรา   ปุ๊ดพรมใบงานแบบสำรวจและประวัติของ นางสาว มินตรา   ปุ๊ดพรม
ใบงานแบบสำรวจและประวัติของ นางสาว มินตรา ปุ๊ดพรม
 

งานคอม

  • 1. ใบงานที่ 6 เรื่อง โครงงานประเภท “การทดลองทฤษฎี” โครงงานประเภท การทดลองทฤษฎี เป็นโครงงานที่ได้เสนอทฤษฎี หลักการ หรือแนวความคิดใหม่ ๆ ซึ่งอาจอยู่ใน รูปของสูตร สมการ หรือคาอธิบายก็ได้ โดยผู้เสนอได้ตั้งกติกา หรือข้อตกลงนั้น หรืออาจใช้กติกาและข้อตกลงเดิม มาอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในแนวใหม่ อาจเสนอหลักการ แนวความคิด หรือจินตนาการที่ยังไม่มีใครคิดมาก่อน อาจเป็นการขัดแย้งหรือขยายทฤษฎีเดิม แต่จะต้องมีข้อมูลหรือทฤษฎีอื่นมาสนับสนุน http://www.wr.ac.th/sci/index.php?option=com_content&view=category&id=38&Itemid=61 ตัวอย่าง 1. การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน สูตรนํ้ายาธาตุอาหารพืชจากประเทศออสเตรเลีย ประกอบด้วยน้ายาเข้มข้นจานวน 5 ชนิด ดังต่อไปนี้ คือ 1) โมโนแอมโมเนียมฟอสเฟต (mono ammonium phosphate) จานวน 100 กรัม ละลายในน้าจานวน 1 ลิตร 2) แคลเซียมไนเตรท (calcium nitrate) จานวน 250 กรัม ละลายในน้าจานวน 1 ลิตร 3) โพแทสเซียมไนเตรท (potassium nitrate) จานวน 100 กรัม ละลายในน้า จานวน 1 ลิตร 4) เหล็กคีเลต (iron chelate) จานวน 12.5 กรัม ละลายในน้าจานวน 1 ลิตร 5) น้ายาผสมของ โบแรก (borax) 3 กรัม แมกนีเซียมซัลเฟต (magnesium sulfate) 1 กรัม สังกะสีซลเฟต ั (zinc sulfate) 0.3 กรัม ทองแดงซัลเฟต (copper sulfate) 0.1 กรัม โซเดียมโมลิบเดท
  • 2. (sodium molybdate) 0.1 กรัม โซเดียมคลอไรด์ (sodium chloride) 0.1 กรัม ทั้งหมดนี้รวมกันแล้วละลายในน้าจานวน 1 ลิตร เมื่อจะใช้น้ายาเพื่อปลูกพืชให้เอาน้ายาเข้มข้นเบอร์ 1) มาจานวน 40 มิลลิลิตร หรือ ซีซี เบอร์ 2) มาจานวน 80 ซีซี เบอร์ 3) มาจานวน 120 ซีซี เบอร์ 4) มาจานวน 20 ซีซี และเบอร์ 5) มาจานวน 20 ซีซี ผสมกับน้าให้ได้ ปริมาณสุดท้ายจานวน 20 ลิตร แล้วนาน้ายาธาตุอาหารพืชนี้ไปใช้กับพืชที่จะปลูกต่อไป น้ายาธาตุอาหารพืช ที่เตรียมขึ้นมาเพื่อใช้ปลูกพืช โดยไม่ใช้ดินนั้น จะต้องมี pH อยู่ในช่วงระหว่าง 5.5-6.5 ถ้า pH ของน้ายาธาตุอาหารสูงกว่าช่วงนี้ ให้ใช้กรดกามะถันหรือกรดเกลือเจือจางปรับ pH ให้ต่าลง ถ้า pH ของน้ายา ธาตุอาหารต่ากว่าช่วงนี้ให้ใช้ปูนขาว หรือโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์เจือจางปรับ pH ให้สงขึ้น และเมื่อใช้น้ายาธาตุ ู อาหารพืชปลูกพืชแล้ว ก็สมควรจะตรวจสอบ pH ของน้ายาเป็นช่วง ๆ ไป เนื่องจากพืชดูดธาตุอาหารแต่ละตัวไป จากน้ายาได้แตกต่างถัน จึงจะมีผลทาให้น้ายาธาตุอาหารพืชมี pH เปลี่ยนแปลงไป และในขณะปลูกพืชทีจาเป็นที่ ่ จะต้อง ตรวจสอบความเค็ม (EC) ของน้ายาธาตุอาหารพืช และในวัสดุปลูกด้วยว่ามีสงมากน้อยเพียงใด ถ้ามีความ ู เค็ม (EC) 2-4 มิลลิโมส์/ซม. จะไม่เป็นอันตราย ต่อพืชที่ปลูก ถ้าความเค็ม (EC) สูงกว่าค่านี้ ก็สมควรแก้ไข โดยการ เจือจางสารละลายธาตุอาหารพืชด้วยน้าเพือลดความเค็ม ่ สมบัติของนํ้าที่ใช้รด น้าที่ใช้รดจะต้องเป็นน้าทีมีสมบัติเป็นกลาง (pH 6-7) และไม่มสารบางตัวที่จะก่อให้เกิด ่ ี ความเป็นกรดหรือความเป็นด่าง สภาพแวดล้อมทีสําคัญ ในการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน ได้แก่ อุณหภูมิในบรรยากาศและอุณหภูมที่ในวัสดุปลูกหรือ ่ ิ ในน้ายาธาตุอาหารจะต้องไม่รอน จนเกินไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกของการเจริญเติบโต นอกจากนั้นปริมาณ ้ แสงแดดก็นับว่ามีความสาคัญทีเ่ กี่ยวเนื่องกับอุณหภูมิ ทั้งนี้ขนอยู่กับชนิดพืชที่ต้องการปริมาณแสงที่แตกต่างกัน ึ้ เพื่อการเจริญเติบโต ชนิดของการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินมีหลายชนิด หรือหลายแบบ แต่ละชนิดก็มีความเหมาะสม มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป การทีจะเลือกปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินชนิดใดนั้น จะต้องพิจารณาว่าชนิดใดมีความยุ่งยากน้อยที่สุด ค่าใช้จ่ายถูกที่สุด ่ และใช้วัสดุอุปกรณ์ทหาง่าย สิ่งปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้แตกต่างกันออกไปในแต่ละท้องที่ หรือแตกต่างกันออกไป ี่ แล้วแต่ชนิดพืชที่จะปลูก ชนิดของการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินดังกล่าวนี้สามารถจาแนก ออก 2 พวกใหญ่ ๆ ได้ ดังต่อไปนี้ คือ
  • 3. พวกที่ 1 คือ การปลูกพืชในนํ้ายาธาตุอาหารโดยตรง เป็นการปลูกพืชทีปล่อยให้รากพืชจุ่มลงไปหาอาหารจากน้ายาธาตุอาหารโดยตรงเลย หรือฉีดน้ายาธาตุอาหารพืช ่ ให้แก่รากพืช พืชมีที่เกาะยึดสาคัญเพียงเล็กน้อย ให้ลาต้นตั้งตรงเพื่อรับแสงเท่านั้น ส่วนระบบรากทั้งหมดจะ เจริญเติบโตลงไปในน้ายาธาตุ อาหารในภาชนะปลูก เช่น ถาด หรือรางที่วางเอียง ๆ วิธีนี้จะต้องมีระบบการ หมุนเวียนของน้ายาธาตุอาหาร ตลอดเวลา หรือเป็นช่อง ๆ หรือมีการปั๊มอากาศลงไป เพื่อเพิ่มอากาศให้แก่ระบบ รากทีจุ่มอยู่ในน้ายาธาตุอาหาร การปลูกพืชในน้ายาธาตุอาหารแบบนี้ เริมต้นจากการเพาะเมล็ดพืชในกระบะปัก ่ ่ ชาที่เป็นทรายหรือแกลบฟองน้าเสียก่อน พอต้นพืชอายุประมาณ 1-2 สัปดาห์ ถึงจะย้ายมาปลูกในภาชนะ จนกว่า พืชจะเก็บเกี่ยวผลิตผลได้ โดยปกติจะเปลี่ยนน้ายาธาตุอาหารใหม่ เมื่อปลูกพืชครังใหม่ทุกครั้งไป การปลูกพืชในน้า ้ ยาธาตุอาหารโดยตรงนี้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 วิธี คือ 1. วิธีฉีดน้ายาธาตุอาหารให้แก่รากพืชโดยตรง อย่างต่อเนือง (spray technique) ดังรูปที่ 1 ่ 2. วิธีปล่อยให้รากพืชลอยอยู่ในน้ายาธาตุอาหารโดยตรง (float system) โดยที่น้ายาธาตุอาหารไม่มีการเคลีอนที่ ่ วิธีนี้จะต้องมีการปัมอากาศลงไปในน้ายาด้วย เพื่อเพิมอากาศให้แก่รากพืช ดังรูปที่ 2 ๊ ่ 3. วิธีปล่อยให้น้ายาธาตุอาหารพืชไหลผ่านรากพืชเป็นแผ่นบาง ๆ ในราง (nutrient film technique) ตลอดเวลา แล้วรวบรวมน้ายาธาตุอาหารพืช เพื่อนามาใช้หมุนเวียนในระบบต่อไป ดังรูปที่ 3 4. วิธีปล่อยให้น้ายาธาตุอาหารพืชไหลผ่านถาดที่ปลูกพืช (nutrient flow technique) ตลอดเวลา แล้วปล่อย ให้น้ายาธาตุอาหารพืชล้นออกทางอีกด้านหนึ่งของถาด แล้วรวบรวมน้ายาธาตุอาหารพืช เพื่อนามาใช้หมุนเวียนใน ระบบต่อไป ดังรูปที่ 4 พวกที่ 2 คือ การปลูกพืชโดยใช้วัสดุปลูก เป็นการปลูกพืชในน้ายาธาตุอาหารที่ต้องใช้ วัสดุปลูกให้พืชเกาะยึด เพื่อให้ลาต้นตั้งตรงรับแสง วัสดุปลูกเหล่านี้จะ เป็นตัวดูดซับน้าและน้ายาธาตุอาหารไว้ให้พืชใช้หลังจากนั้นปล่อยน้ายาธาตุอาหารพืชให้ไปหล่อเลี้ยงการ เจริญเติบโตของพืชอีกทีหนึ่ง การปลูกพืชโดยใช้วัสดุปลูกนี้ สามารถแบ่งออกได้ เป็น 2 วิธี คือ 1. วิธีแบบปล่อยให้น้าท่วมภาชนะ (flood bed techniques) การให้น้ายาธาตุอาหารแบบท่วมภาชนะปลูกเป็นช่วง วิธีนี้เริ่มจากการย้ายกล้าพืชที่จะปลูกมาปลูกในภาชนะที่ บรรจุวัสดุสาหรับพืชเกาะยึดและมีทอสาหรับให้ธาตุอาหารพืชไหลเข้าไปในท่อภาชนะ วันละประมาณ 1-3 ครั้ง ่ ปล่อยให้น้ายาธาตุอาหารท่วมอยู่ครังละครึ่งชั่วโมงถึงหนึงชั่วโมง แล้วปล่อยให้น้ายาธาตุอาหารไหลออกมาเก็บไว้ใช้ ้ ่ ในโอกาสต่อไป ดังรูปที่ 5 วิธีที่จะปล่อยให้น้ายาธาตุอาหารไหลเข้าไปท่วมและระบายออกนั้น สามารถทาได้โดยใช้ เครื่องปั๊มอย่างอัตโนมัติ หรือใช้วิธีใส่น้ายาธาตุอาหารในถังพลาสติกต่อเชื่อมกับภาชนะที่ปลูกเมื่อจะให้น้ายาธาตุ อาหารท่วมภาชนะปลูกก็ยกถังให้สงขึ้น น้ายาธาตุอาหารจะไหลมาท่วมภาชนะโดยแรงดึงดูดของโลก เมื่อต้องการ ู ให้น้ายาธาตุอาหารระบายออกก็กดถังให้ต่าลงกว่าระดับภาชนะ วิธีนี้เป็นวิธีง่ายที่สุดวิธีหนึ่ง
  • 4. 2. วิธีแบบให้น้าหยดในถาดหรือถุง (tray or bag drip feed system) เป็นวิธีการให้น้ายาธาตุอาหารแบบวิธีหยดในถุงหรือถาด ดังรูปที่ 6 เริมจากปลูกกล้าบนวัสดุ เช่น ขี้เลื่อยหรือขุย ่ มะพร้าวหรือแกลบ แล้วต่อท่อให้น้ายาธาตุอาหารไหลไปยังพืชแต่ละต้นแบบน้าหยด โดยปล่อยให้น้ายาธาตุอาหาร จากถังพลาสติกที่อยูสูงกว่า หยดลงสู่ภาชนะปลูกพืชในอัตราที่สูงพอทีจะทาให้ภาชนะเปียกชุ่มอยูเ่ สมอ แต่ไม่ถึงกับ ่ ่ มีน้าไหลล้นออกมาจากภาชนะ จึงทาให้มีสภาพเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของรากพืช หรือจะปลูกกล้าพืชในท่อ พลาสติกขนาดใหญ่ทเี่ จาะและบรรจุวสดุที่ใช้สาหรับ ให้พืชยึดเกาะเต็มและปลูกพืชเป็นระยะ พืชแต่ละต้นจะมี ั สายน้ายาธาตุอาหารแบบน้าหยด ท่อพลาสติกขนาดใหญ่นี้จะวางลาดเทเล็กน้อย ให้น้ายาธาตุอาหารที่มมากเกินไป ี ไหลลงไปด้านต่า วิธีนี้เป็นวิธีที่ประหยัดเวลาและแรงงานมากที่สุด
  • 5.
  • 6.
  • 7. การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินนี้ ไม่ใช่เป็นของใหม่ทจะต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง แต่ความจริงเป็นวิธีที่ใช้กันมานานแล้ว ี่ และไม่ได้ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงอะไรเลย เพียงแต่ว่าค่าใช้จ่ายในการดาเนินการปลูกในอดีตอาจจะแพงในระยะเริ่มต้น เมื่อเปรียบเทียบกับการปลูกบนพื้นดินธรรมดา ทั้งนี้เนืองจากในอดีตมีพื้นดิน เหลือเฟือและที่ดินทั้งหลายเหล่านี้ยง ่ ั อุดมสมบูรณ์สูง ปลูกพืชอะไร เมื่อไหร่ ที่ไหน ก็ขึ้นเจริญงอกงามดี แต่ในสภาพปัจจุบันพื้นที่ดินมีจานวนจากัดลง การเพิมขึ้นของประชากรอย่างรวดเร็ว ประกอบกับที่ดินส่วนใหญ่เสื่อมโทรม ขาดธาตุอาหารพืช สภาพของที่ดินไม่ ่ เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช ครั้นจะปรับปรุงบารุงดินให้ดีเหมือนเดิมนั้นจะต้องลงทุนสูงในการใช้ปุ๋ย และ ใช้เวลานานในการทีจะทาให้ดินเหมาะสมเหมือนเดิม ดังนั้นการแก้ไขอย่างเร่งด่วน แนวทางหนึงในการที่จะช่วยให้ ่ ่ ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ผลิตพืชอาหารได้เพียงพอ ในบางฤดูกาล และบางพื้นที่ทเี่ ป็นปั ญหาของประเทศ ในขณะนี้ก็คือ “การพัฒนาการปลูกพืช โดยไม่ใช้ดินซึ่งเป็นความหวังใหม่ เพื่อเพิมการผลิตอาหารให้แก่ประชากร” ่ โดย เฉพาะอย่างยิ่งโครงการพัฒนาตัวอย่าง เพื่อผลิตพืชผักใช้เป็นอาหารกลางวันในโรงเรียนต่าง ๆ สาหรับเยาวชน ทั่วประเทศ ที่มา : http://www.thaikasetsart.com 2. โครงงาน เรื่องกรดจากน้ําผลไม้ (ส่วนหนึ่ง) บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล/ผลการจัดทําโครงงาน ผลการทดลอง ตอนที่ 1 ระดับค่าความเป็นกรดของน้าผลไม้เมือนามาผสมกันเรียงลาดับจากค่ามากไปหาค่าน้อยเป็นนดังนี้
  • 8. น้ําผลไม้และค่า pH ที่ได้ 1. น้ามะนาว + น้าสับปะรด 3.0 2. น้ามะนาว + น้าส้ม 4.0 3. น้าส้ม + น้าสับปะรด 4.5 ตอนที่ 2 ความสามารถในการกัดกร่อนและขจัดคราบสกปรกบนเหรียญเมื่อนาน้าน้าเกลือละลายน้าผสมลงไป
  • 9. แก้วที่ 1 น้าส้ม + น้ามะนาว แก้วที่ 2 น้ามะนาว + น้าสับปะรด แก้วที่ 3 น้าส้ม + น้าสับปะรด เหรียญหนึงบาททีสกปรกจานวน 3 เหรียญ ่ ่ เหรียญทีมีสกปรกใส่ในแก้วน้าผลไม้ผสมเกลือละลายน้า ่ เหรียญทีผ่านการแช่น้าผลไม้ผสมเกลือละลายน้า 30 นาที ่ บทที่ 5 สรุปผลและอภิปรายผลการดํานินการจัดทําโครงงาน จากผลการทดลองสรุปได้ดังนี้
  • 10. 1. เมื่อนาน้าส้มผสมกับน้ามะนาวจะได้ค่า pH เท่ากับ 4.0 2. เมื่อนาน้ามะนาวผสมกับน้าสับปะรดจะได้ค่า pH เท่ากับ 3.0 3. เมื่อนาน้าสมผสมกับน้าสับปะรดจะได้ค่า pH เท่ากับ 4.5 แสดงว่ามื่อนาน้ามะนาวมาผสมกับน้าสับปะรดจะพบว่าค่าความเป็นกรดสูงกว่า น้ามะนาวผสมกับ น้าส้ม และน้าส้มผสมกับน้าสับปะรด นอกจากนี้เรายังพบว่าเมื่อนาน้าผลไม้ที่ได้จากการผสมกันดังกล่าวทั้ง 3 ชนิด มาเติมเกลือละลายน้าลงไปแล้วนาเหรียญที่มีคราบสกปรกใส่ลงไปตั้งเวลาไว้ ประมาณ 30 นาที ภายหลัง 30 นาที นาเหรียญออกมาล้างน้าสะอาดพบว่าเหรียญที่อยู่ในน้าผสมไม้ทมีค่า ี่ pH สูงที่สุดมี่ความสะอาดมากทีสุด เพราะกรดทีเ่ ข้มข้นจะมีฤทธิ์การกัดกร่อนมากทีสุดตามลาดับความเข้มข้นของ ่ ่ กรด ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการทดลอง 1. สามารถนาน้าผลไม้มาทาความสะอาดเหรียญที่มีคราบสกปรกได้ 2. สามารถทราบถึงฤทธิ์ของกรดทีกัดกร่อนคราบสกปรกบนเหรียญได้ ่ 3. สามารถทราบว่าน้าผลไม้ชนิดใดมีค่าความเป็นกรดมากและมีฤทธิ์การกัดกร่อนไดดีทสุด ี่ ข้อเสนอแนะ 1. เราอาจนาน้าผลไม้ชนิดอื่นที่มีฤทธิ์เป็นกรดทีหาได้งายตามครัวเรือนของคุณ ่ ่ ที่มา : http://www.learners.in.th/blogs/posts/349062 3. โครงงาน หน่อไม้กําจัดหนอน โครงงานหน่อไม้กําจัดหนอน ชื่อโครงงาน หน่อไม้กาจัดหนอน ผู้จัดทา นายเนรมิตร สินธุกูฏ นางสาวอานวย งามวาท นางสาวผกากรอง เพ็ญผาด ครูที่ปรึกษา นางสุภาพรรณ ดาษถนิม นางบุสดี การถัก ผลงาน รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 โครงงานวิทยาศาสตร์ ในงานนิทรรศการแสดง ผลงานการจัดการศึกษาของเทศบาลภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ จังหวัดร้อยเอ็ด 1. ที่มาและความสําคัญของปัญหา จากการศึกษาและสังเกต พบว่าประชาชนในชนบททางภาคอีสาน ชอบประกอบอาหารรับประทานเอง และ
  • 11. เครื่องปรุงในการประกอบอาหารที่ขาดไม่ได้ในแต่ละครัวเรือนคือ ปลาร้า ในครอบครัวหนึงเมือหาปลามาได้ ่ ่ ปริมาณมากจะนาไปจาหน่ายในรูปปลาสด เพื่อเป็นรายได้แก่ครอบครัว ที่เหลือจะแปรรูปเพือไว้รับประทานได้นาน ่ เช่น ปลาส้ม ปลาตากแห้ง และปลาร้า การทาปลาร้า ส่วนมากจะใช้ปลาตัวเล็กหลากหลายชนิดและเป็นปลาที่ไม่สด ถ้านาไปซื้อขายกันจะราคาถูก ขาย ไม่ได้ราคาเท่าที่ควร ดังนั้นชาวบ้านจึงนิยมทาเป็นปลาร้า หรือซื้อหามาทาปลาร้าไว้บริโภค วิธีการทาปลาร้าของชาวชนบท ก็คือ การนาปลาที่ได้มา ขอดเกล็ดควักไส้ออกแล้วล้างน้าให้สะอาด ใส่ภาชนะหมัก ด้วยเกลือสินเธาว์ ทิ้งไว้ประมาณ 1–2 คืนจากนั้นจะใช้ข้าวคั่วโขลกให้แหลกพอสมควร นามาคลุกเคล้ากับปลาที่ หมักไว้คลุกเคล้าให้เข้ากันดีแล้วนาบรรจุไว้ในภาชนะที่เรียกว่า “ ไห “ ปิดปากไหเก็บไว้ในครัวเรือนประมาณ 1 ปี นามาบริโภคได้ หรือครอบครัวที่ทาปริมาณมากจะนาไปจาหน่ายเป็นรายได้ต่อไป ปัญหาของปลาร้า ถ้าวิธีการทาไม่ดี ส่วนผสมไม่เหมาะสมกันจะทาให้ปลาร้านั้นเกิดหนอนปลาร้า ทาให้เกิดความ เสียหายต่อปลาร้า การนามาบริโภคหรือการนาไปจาหน่าย ตัวการสาคัญทีทาให้ปลาร้าเกิดหนอน คือการที่แมลงวันวางไข่ที่ไหปลาร้า และหรือแมลงหวี่ชนิดหนึ่งวางไข่ทปลา ่ ี่ ร้า จากปัญหาดังกล่าว มนุษย์จงศึกษาวิธีกาจัดหนอนในปลาร้าด้วยวิธีการต่าง ๆ ซึ่งอาจได้ผลดี เสีย แตกต่างกัน ึ ไป การกาจัดหนอนในปลาร้า โดยการควบคุมต้นเหตุ คือ แมลงวันหรือแมลงหวี่ โดยการกาจัดปัจจัยในการดารงชีวิต คือ ที่อยู่อาศัย อาหาร และควบคุมความเหมาะสมต่อสภาพการดารงชีวิต หรือแม้แต่การป้องกันไม่ให้แมลง ดังกล่าวมารบกวน จะเป็นวิธีการที่ทาได้ยาก เพราะแหล่งเพาะเชื้อแมลงวันอยู่ได้ในสถานที่ต่างๆ มากมาย การ กาจัดวิธีนี้จึงใช้ไม่ได้ผล การกาจัดโดยการเขี่ยไข่แมลงวันหรือแมลงหวี่ทิ้ง เป็นสิ่งทีทาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร เพราะบางครั้งไข่ตกหล่นลงไป ่ รวมอยู่ในปลาร้าขณะทีมีการเขี่ยทิ้ง หรือระยะเวลาการฟักไข่เป็นตัวหนอนอ่อน ใช้ระยะเวลาสั้น จึงทาให้เกิด ่ หนอนในปลาร้าและไม่ได้ผล การกาจัดโดยการนาปลาร้าที่มหนอนไปต้ม เป็นวิธีการกาจัดที่ทาให้หนอนปลาร้าตายหมดจริง แต่ไม่เหมาะหรือไม่ ี สะดวก ในกรณีทปลาร้ามีปริมาณมากๆและทาให้การนาไปจาหน่ายไม่ได้ราคา และไม่สะดวกต่อการเก็บ ี่ การกาจัดโดยการใช้สารเคมี ไม่เหมาะสมเพราะเป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยงมีปัญหาเรื่อง ั การระวังรักษาเพื่อความปลอดภัยและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย จึงไม่นิยม การกาจัดหนอนปลาร้า เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยากสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย และไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิงแวดล้อม ่ รวมทั้งเป็นการรักษารดชาดของปลาร้าคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เพื่อช่วยค้นหาแนวทางแก้ปญหาหนอนปลาร้า ั สมาชิกในกลุ่มจึงจัดทาโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง หน่อไม้กาจัดหนอนปลาร้า เพื่อแก้ไขปัญหาในปัจจุบันและ อนาคต 1.2 วัตถุประสงค์ของการศึกษา 1.2.1 เพื่อศึกษาว่าหน่อไม้กาจัดหนอนปลาร้าได้ 1.2.2 เพื่อศึกษาเปรียบเทียบหน่อไม้กับการกาจัดหนอนปลาร้า เมื่อกาหนดชนิดของหน่อไม้ที่ต่างกัน 1.2.3 เพื่อศึกษาสาเหตุทหน่อไม้ทาให้หนอนในปลาร้าตาย ี่
  • 12. 1.2.4 เพื่อศึกษาช่วงระยะเวลาใดมีผลต่อการกาจัดหนอนปลาร้ามากทีสุด ่ 1.3 สมมติฐาน 1.3.1 ชนิดของหน่อไม้กาจัดหนอนได้ไม่แตกต่างกัน 1.3.2 หน่อไม้สดกาจัดหนอนปลาร้าได้ดีกว่าหน่อไม้แห้ง และหน่อไม้อัดปี๊ป 1.3.3 รสขื่นของหน่อไม้ทาให้หนอนในปลาร้าตายได้ 1.3.4 ช่วงเวลาไม่เป็นอุปสรรคกับหน่อไม้กาจัดหนอนปลาร้า 1.4 ขอบเขตของการศึกษา 1.4.1 ศึกษาเฉพาะหน่อไม้ไผ่ตง หน่อไม้บ้าน ที่เป็นหน่อไม้สด หน่อไม้แห้ง หน่อไม้อัดปีป ๊ 1.4.2 อุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลอง ใช้กล่องพลาสติก บิกเกอร์ 1.4.3 ผลจากการศึกษาจากัดปริมาณหน่อไม้ และหนอนในปลาร้าในกล่องพลาสติก ปริมาณของปลาร้า 1 กิโลกรัม ต่อหน่อไม้ 30 กรัม 1.4.4 สถานที่ศึกษาทดลอง ตั้งกล่องพลาสติกใส่ปลาร้าไว้ที่สนามสอนหย่อมทีบ้าน่ 1.4.5 ช่วงเวลาในการทดลอง ระหว่างเวลา 08.00 - 06.00 น. วันรุ่งขึ้น แบ่งการทดลอง 3 ช่วง คือ ช่วงแรก 098.00 น. , ช่วงที่ 2 เวลา 13.00 น. และช่วงที่ 3 เวลา 17.30 น. แต่ละช่วงของการทดลองใช้เวลาสังเกตผลทุกๆ 5 ชั่วโมง 1.5 นิยามเชิงปฏิบัติการ 1.5.1 หนอนหรือหนอนปลาร้า หมายถึง หนอนทีเ่ กิดจากแมลงวันวางไข่ในปลาร้าและฟักเป็นตัวหนอน 1.5.2 กาจัด หมายถึง ทาให้หนอนตายหรือหมดไปจากปลาร้า 1.6 ตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับการทดลอง 1.6.1 ตัวแปรอิสระ การทดลองที่ 1 ชนิดของหน่อไม้สดที่ใช้ทดลอง หน่อไม้ไผ่ตง หน่อไม้ไผ่บ้าน การทดลองที่ 2 ชนิดของหน่อไม้สด หน่อไม้แห้ง หน่อไม้อัดปี๊ป การทดลองที่ 3 ช่วงระยะเวลา 08.00 น. , 13.00 น. และ 17.30 น. 1.6.5 ตัวแปรตาม การทดลองที่ 1 ลักษณะของหนอนในปลาร้า เมื่อใส่หน่อไม้ในปลาร้า การทดลองที่ 2 ลักษณะของหนอนในปลาร้า เมื่อใส่ชนิดของหน่อไม้ต่างกันลงในปลาร้า การทดลองที่ 3 ลักษณะของหนอนในปลาร้า เมื่อใส่หน่อไม้ลงในปลาร้าในช่วงระยะเวลาต่าง ๆ 1.5.2 ตัวแปรที่ควบคุม การทดลองที่ 1 1. ขนาดและชนิดของกล่องพลาสติกทดลอง 2. ช่วงระยะเวลาการทดลอง และการสังเกตการทดลอง เวลา 08.00 น. สังเกตทุก ๆ 5 ชั่วโมง 3. ปริมาณของหน่อไม้ที่ใช้
  • 13. 4. ปริมาณของปลาร้า และจานวนตัวหนอน 5. ชนิดของหน่อไม้ไผ่ตง หน่อไม้บ้าน การทดลองที่ 2 1. ขนาดและชนิดของกล่องพลาสติกทดลอง 2. ช่วงระยะเวลาการทดลอง และสังเกตผลการทดลอง ทุก ๆ 5 ชั่วโมง 3. ชนิดของหน่อไม้สด หน่อไม้แห้ง หน่อไม้อัดปีป ๊ 4. ปริมาณของหน่อไม้ที่ใช้ 5. ปริมาณของปลาร้า และจานวนหนอน 6. สถานที่ การทดลองที่ 3 1. ขนาดและชนิดของกล่องพลาสติก ทดลอง 2. ชนิดของหน่อไม้ 3. ปริมาณของหน่อไม้ที่ใช้ 4. ปริมาณปลาร้า และจานวนหนอน 5. ช่วงระยะเวลาการทดลองและสังเกตผลการทดลอง ทุก ๆ 5 ชั่วโมง 6. สถานที่ 1.7 ข้อตกลงเบื้องต้น การศึกษาหน่อไม้กาจัดหนอนปลาร้า จะศึกษาเฉพาะการใช้หน่อไม้ไผ่ตง หน่อไม้ไผ่บ้าน และประเภทของ หน่อไม้สด หน่อไม้แห้ง และหน่อไม้อัดปีป ที่ใช้กาจัดหนอนในปลาร้าเท่านั้น ส่วนหน่อไม้อื่น ๆ และหนอนชนิดอื่น ๊ ๆ จะไม่ศึกษาในที่นี้ 1.8 กระบวนการศึกษา การศึกษาหน่อไม้กาจัดหนอนปลาร้า ทาการศึกษาตามขั้นตอนของกระบวนการวิทยาศาสตร์ ดังนี้ ขั้นที่ 1 สังเกตเพื่อกาหนดปัญหา สิ่งทีสังเกต คือเห็นชาวบ้านโคกน้าเกลี้ยง ตาบลโพนทอง อาเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ นาหน่อไม้และแขนงของ ่ หน่อไม้ มาใส่ลงในปลาร้า ผลการสังเกต 1. เห็นปลาร้ามีหนอน 2. เห็นไหปลาร้าและปลาร้าในไหมีหนอนตัวเล็กปริมาณมาก 3. แมลงวันและแมลงหวี่บินตอมไหปลาร้า 4. เมื่อใส่หน่อไม้สดลงไปในไหปลาร้าที่มหนอน ทาให้หนอนตาย ี กําหนดปัญหา 1. ชนิดของหน่อไม้ต่างกันมีผลต่อการกาจัดหนอนปลาร้ามากน้อยหรือต่างกัน อย่างไร 2. หน่อไม้สด หน่อไม้แห้ง และหน่อไม้อัดปี๊ป กาจัดหนอนปลาร้า ต่างกัน อย่างไร เพราะเหตุใด 3. ช่วงระยะเวลาการกาจัดหนอนปลาร้าด้วยหน่อไม้ มีผลอย่างไร ขั้นที่ 2 ตั้งสมมติฐาน ขั้นที่ 3 ทดสอบสมมติฐาน โดยการทดลอง ดังนี้
  • 14. การทดลองที่ 1 เรื่องหน่อไม้ไผ่ตง และหน่อไม้บ้าน กาจัดหนอน ปลาร้าได้ ต่างกันหรือไม่ การทดลองที่ 2 เรื่องหน่อไม้สด หน่อไม้แห้งและหน่อไม้อัดปี๊ป กาจัดหนอนได้ต่างกันหรือไม่ สาเหตุใดหน่อไม้ จึงทาให้หนอนในปลาร้าตายได้ การทดลองที่ 3 ช่วงระยะเวลาใดดีทสุดในการใช้หน่อไม้กาจัดหนอนปลาร้า ี่ ขั้นที่ 4 วิเคราะห์ผลการทดลอง และสรุปผลกรทดลอง ขั้นที่ 5 นาหลักฐานทีสรุปได้จากการทดลองไปใช้ โดยการใช้หน่อไม้ไปกาจัดหนอนทีมีอยู่ในปลาร้าที่ใช้อยู่บ้าน ่ ่ 5.1 ทดลองใช้หน่อไม้กาจัดหนอนในปลาร้าที่เกิดจากแมลงวัน ทดลองใช้หน่อไม้กาจัดหนอนในปลาร้าที่เกิด จากแมลงหวี่ จากปลาร้าในไหจริงที่ชาวบ้านทาแล้วเกิดหนอน http://www.tet2.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=560699&Ntype=3 4. โครงงานเศษเทียนผสมสมุนไพรไล่ยุง ชื่อโครงงาน เศษเทียนผสมสมุนไพรไล่ยุง ผู้จัดทํา นายกิตติศักดิ์ ญาณกาย นางสาวอรวรรณ ภูทองแหลม นางสาวอรสุดา พงษ์ละออ ครูที่ปรึกษา นางสุภาพรรณ ดาษถนิม นางสุพรรณี ถนอมสงัด ผลงาน โครงการโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ ปีการศึกษา 2549 จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า 1. เพื่อเป็นการนาเศษเทียนทีเ่ หลือใช้แล้วนามาใช้ให้เกิดประโยชน์ 2. เพื่อศึกษาว่าเศษเทียนผสมกับพืชสมุนไพรไล่ยุงได้ 3. เพื่อศึกษาชนิดของสมุนไพรกับการไล่ยุง สมมติฐาน 1. เศษเทียนผสมกับพืชสมุนไพรไล่ยุงได้ 2. เศษเทียนผสมใบตะไคร้หอมปั่นตากแห้ง สามารถไล่ยุงได้ดีกว่าเศษเทียนผสมเปลือกมะกรูดปั่นตากแห้งและ เศษเทียนผสมเปลือกส้มปั่นตากแห้ง ขอบเขตการศึกษา เศษเทียนทีหลอมเหลวแล้วผสมใบตะไคร้หอม ปั่นตากแห้ง เปลือกมะกรูดปั่นตากแห้ง และ เปลือกส้มปั่นตาก ่ แห้ง
  • 15. อุปกรณ์ในการทดลอง 1. ใบตะไคร้หอม เปลือกมะกรูด เปลือกส้ม ที่ปั่นให้ละเอียดแล้วนาไป ตากแห้ง 2. เศษเทียน 3. สีเทียน 4. แก้ว 5. ไส้เทียน ยาว 45 นิ้ว 6. กระดาษที่รองก้นแก้ว สูง 45 นิ้ว 7. ไม้ 8.เครื่องปั่นผลไม้ 9.บีกเกอร์ ขนาด 250 ลูกบาศก์เซนติเมตร 10.บีกเกอร์ ขนาด 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร 11.ชุดตะเกียงแอลกอฮอล์ 12.แท่งแก้วคนสาร 13.เตารีด 14.ไม้ขีดไฟ 15.เครื่องชั่ง 16.ตู้ ขนาดกว้าง 18 นิ้ว จานวน 3 หลัง 17.ยุง 18.กระชอน 19.ที่กรอง ตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับการทดลอง ตัวแปรต้น เศษเทียน ใบตะไคร้หอมปั่นตากแห้ง เปลือกมะกรูดปั่นตากแห้ง เปลือกส้มปั่นตากแห้ง ตัวแปรตาม ไล่ยุงได้ ตัวแปรควบคุม * เศษเทียนที่หลอมเหลวแล้ว 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร * ใบตะไคร้หอมปั่นตากแห้ง 5,10 กรัม * เปลือกมะกรูดปั่นตากแห้ง 5,10 กรัม * เปลือกส้มปั่นตากแห้ง 5,10 กรัม * ตู้ขนาดกว้าง 18 นิ้ว ยาว 45 นิ้ว สูง 45 นิ้ว จานวน 3 หลัง * ยุงในตู้จานวนหลังละ 50 ตัว * ใช้เวลาในการทดลอง 30 นาที * สถานที่ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์โรงเรียนเทศบาล ๒ ผลการทดลอง 1. เศษเทียนผสมใบตะไคร้หอมปั่นตากแห้งไล่ยุงได้ดีรองลงมาคือเศษเทียนผสมเปลือกมะกรูดปั่นตากแห้งและ เศษเทียนผสมเปลือกส้มปั่นตากแห้ง( ไม่กรองกากสมุนไพร ) 2. เศษเทียนผสมใบตะไคร้หอมปั่นตากแห้งไล่ยุงได้ดีทสดรองลงมาคือเศษเทียนผสมเปลือกมะกรูดปั่นตากแห้ง ี่ ุ และเศษเทียนผสมเปลือกส้มปั่นตากแห้ง แห้ง ตามลาดับ และพบว่ายุงตายด้วย
  • 16. ( กรองกากสมุนไพรออก) สรุปผลการทดลอง * จะเห็นว่าเศษเทียนผสมใบตะไคร้-หอมปั่นตากแห้งไล่ยุง ได้ดีที่สุดรองลงมาคือเศษเทียนผสมเปลือกมะกรูด ปั่น ตากแห้งและเศษเทียนผสมเปลือกส้มปั่นตากแห้ง ตามลาดับ และพบว่ายุงตายด้วย( กรองกากสมุนไพรออก) * เศษเทียนที่เหลือใช้แล้วสามารถนามาผสมกับสมุนไพรให้เกิดประโยชน์ได้ * ทาให้ทราบชนิดของสมุนไพรสามารถไล่ยุงได้ ข้อเสนอแนะการทดลอง 1. เมื่อผสมสีเทียนอาจได้ไม่ตรงตามต้องการ เช่น ผสมสีฟ้าได้เป็นสีฟ้าอมเขียว เพราะเศษเทียนมีสีเหลืองจึงทา ให้สีคลาดเคลื่อน ประโยชน์ที่ได้รับจากโครงงาน ด้านการศึกษา 1. ทาให้ทราบประโยชน์ของเศษเทียนทีเ่ หลือใช้แล้ว 2. ทาให้ทราบว่าเศษเทียนสามารถผสมกับพืชสมุนไพรไล่ยุงได้ 3. ทาให้ได้ทราบว่าชนิดของสมุนไพรสามารถไล่ยุงได้ ด้านเศรษฐกิจ สามารถนาผลิตภัณฑ์ที่ได้ไปจาหน่ายเป็นการเสริมรายได้แก่ครอบครัว ที่มา : http://www.tet2.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=560698&Ntype=3 5. โครงงานสีผมสวยด้วยใบกาว ชื่อโครงงาน สีผมสวยด้วยใบกาว ผู้จัดทา เด็กหญิงลัดดาวัลย์ ฆารศรี เด็กหญิงกาญจนา พละสินธุ์ เด็กหญิงธิติมา น้อยนาจารย์ ครูที่ปรึกษา นางสุภาพรรณ ดาษถนิม นางสุพรรณี ถนอมสงัด ผลงาน เข้าร่วมการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เนื่องในสัปดาห์ วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร วันที่ 18-19 สิงหาคม 2549 จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า 1. เพื่อหาอัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างมวลของใบกาวสด และปริมาตรของน้าสะอาดในการสกัดสารจากใบ กาวสด 2. เพื่อศึกษาประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีผมของสารสกัดจากใบกาวสดตามอัตราส่วนทีเ่ หมาะสม
  • 17. 3. เพื่อหาอัตราส่วนทีเ่ หมาะสมระหว่างมวลของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์และปริมาตรของน้าสะอาดในการนาผง สกัดใบกาวบริสุทธิ์ไปใช้ในการเปลี่ยนสีผม 4. เพื่อศึกษาประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีผมของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ตามอัตราส่วนทีเ่ หมาะสม 5.เพื่อนาพืชในท้องถิ่นมาใช้ประโยชน์และเพื่อความปลอดภัยของสุขภาพ สมมติฐานของการศึกษา 1. สารสกัดจากใบกาวจะมีประสิทธิภาพในการทาให้สผมเปลี่ยนไป ี 2. ผงสกัดใบกาวบริสทธิ์จะมีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีผมได้เหมือนกับสารสกัดใบกาวสดและสามารถ ุ นามาใช้แทนกันได้ วัสดุ-อุปกรณ์และวิธีดําเนินการ มวลของใบกาว : ปริมาตรของน้าสะอาด 100 กรัม : 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร 1. นาใบกาวสดมวล 100 กรัม มาปั่นให้ละเอียด 2. นาใบกาวที่ได้จากข้อ 1 ใส่ลงในกะละมังใบเล็ก 3.เติมน้าสะอาด ปริมาณ 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร ลงในกะละมังทีมีใบกาวปั่นละเอียด ่ 4.คั้นใบกาวในกะละมังใบเล็กจนกระทั่งใบมีสซีด ี 5.กรองเอาสารที่ได้จากข้อ 4 โดยใช้ผ้าขาวบางและใช้ตะแกรงกรอง 6.ได้สารทีสกัดมาจากการสกัดใบกาว ่ 7.นาสารสกัดใบกาวสดลงในหลอดทดลองเพื่อเปรียบเทียบกับอัตราส่วนอื่น วัสดุ-อุปกรณ์ 1.ตัวอย่างเส้นผมที่นามาทดลอง 2.สารสกัดใบกาวสด ตามอัตราส่วนที่เลือกไว้ 3.น้าเปล่า วิธีดําเนินการทดลอง 1.นาสารสกัดจากใบกาวสด ตามอัตราส่วนทีกาหนดไว้มาชโลมเส้นผมที่นามาทดลอง ่ 2.หมักตัวอย่างผสมกับสารสกัดใบกาวสดโดยหมักไว้นาน 30 นาที 3.ครบ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้าเปล่า 4.สังเกตการเปลี่ยนแปลงของสีผม วัสดุ-อุปกรณ์ 1. ใบกาวแห้ง มวล 150 กรัม 2. เครื่องปั่นผลไม้จานวน 1 เครื่อง 3. เครื่องชั่ง จานวน 1 เครื่อง 4. ผ้าขาวบาง จานวน 1 ผืน 5. บีกเกอร์ จานวน 2 ใบ 6. น้าสะอาด จานวน 60 ลูกบาศก์เซนติเมตร
  • 18. วิธีดําเนินการทดลอง ขั้นเตรียมผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ นาใบกาวแห้ง มวล 150 กรัมใส่ลงในโถเครืองปั่น และปั่นจนกระทังได้ผงใบกาวบริสทธิ์ที่ละเอียด แล้ว กรอง ่ ่ ุ ด้วยผ้าขาวบางอีกครัง เพื่อให้ได้ผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ทมีขนาดละเอียดเล็กทีสุด ้ ี่ ่ ขั้นการหาอัตราส่วนทีเ่ หมาะสม 1.ชั่งผงใบกาวบริสุทธิ์ มวล 5 กรัม และ 10 กรัม ใส่ลงในบีกเกอร์ 2 ใบ 2.เติมน้าลงในบีกเกอร์ทมีผงใบกาวบริสทธิ์ใบละ 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร ี่ ุ 3.สังเกต การรวมตัวเป็นเนื้อเดียวของสาร วัสดุ-อุปกรณ์ 1.ผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ มวลตามอัตราส่วนทีเ่ ลือกไว้ 2.น้าสะอาด ปริมาตรตามอัตราส่วนเหมาะสมทีเ่ ลือกไว้ 3.ตัวอย่างเส้นผมที่นามาทาการทดลอง วิธีดําเนินการทดลอง 1.นาผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ใส่ลงในบีกเกอร์ แล้วเติมน้าสะอาดลงไปในบีกเกอร์มวลของผงสกัดใบกาวบริสทธิ์ต่อ ุ ปริมาตรของน้าสะอาด เป็นไปตามอัตราส่วนทีเ่ ลือกไว้ 2.นาเอาส่วนผสมของข้อที่ 1 มาชโลมตัวอย่างเส้นผมทีนามาทดลอง ่ 3.หมักตัวอย่างผมกับผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ไว้นาน 30 นาที 4.ครบ 30 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้าเปล่า 5.สังเกตการเปลี่ยนแปลงของสีผม ผลการดําเนินการ ตอนที่ 1 อัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างมวลของใบกาวสด กับปริมาตรของน้าสะอาด คือ มวลใบกาวสด : ปริมาตรน้าสะอาด ผลการสังเกต 50 กรัม : 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร100 กรัม : 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร ได้ของเหลวสีเขียวอมเหลืองได้ของเหลวสี เขียวเข้มอมเหลือง ทดลองหาอัตราส่วนทีเ่ หมาะสมระหว่างมวลของใบกาวสดกับปริมาตรน้าสะอาด อัตราทีเ่ หมาะสม คือ มวล ของใบกาวสด 100 กรัมต่อน้าสะอาด 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร เพราะจะให้สารสกัดจากใบกาวสดมีสีเข้มทีสุด ่ ตอนที่ 2 ทดสอบประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีของผมเมื่อทดสอบกับอัตราส่วนของสารสกัดใบกาวสดทีเ่ ลือกไว้ ( มวลของใบกาวสด 100 กรัมต่อน้าสะอาด 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร ) ระยะเวลาในการหมักผม การเปลี่ยนของสีผม 30 นาที - ส่วนผมที่เคยเป็นสีขาวจะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดง- ส่วนผมที่เคยเป็นสีดาจะเปลี่ยนเป็นสีน้าตาล ทดลอบหาประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีของผมเมื่อทดสอบกับอัตราส่วนของสารสกัดใบกาวสด คือ มวลของใบ กาวสด 100 กรัมต่อน้าสะอาด 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร ผลการทดสอบประสิทธิภาพการเปลี่ยนสีผม คือ ผมที่เคย เป็นสีขาวจะเปลี่ยนเป็นสีสมแดงส่วนผมที่เคยเป็นสีดาจะเปลี่ยนเป็นสีน้าตาล ้ ตอนที่ 3 การทดสอบหาอัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างมวลของผงสกัดใบกาวบริสทธิ์กับปริมาตรของน้าสะอาดใน ุ
  • 19. การนาผงสกัดไปใช้ในการเปลี่ยนสีผม มวลผงสกัดใบกาวบริสทธิ์ : ปริมาตรน้าสะอาด ผลการสังเกต ุ 5 กรัม : 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร10 กรัม : 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร ผงสกัดใบกาวรวมเป็นเนื้อเดียวกันกับน้าได้พอดี ผงสกัดใบกาวบางส่วนที่ไม่รวมเป็นเนื้อเดียวกันกับน้า ทดสอบหาอัตราส่วนทีเ่ หมาะสมระหว่างมวลของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์กบปริมาตรของน้าสะอาดในการนาผง ั สกัดไปใช้ในการเปลี่ยนสีผม อัตราส่วนทีเ่ หมาะสมคือ มวลของผงสกัดใบกาวบริสทธิ์ 5 กรัมต่อปริมาตรของน้า ุ สะอาด 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร เพราะผงสกัดใบกาวบริสุทธิจะรวมเป็นเนื้อเดียวกับน้าอย่างลงตัวพอดี ์ ตอนที่ 4 ทดสอบประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีผมของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ตามอัตราส่วน มวลของผงสกัดใบกาว บริสุทธิ์ 5 กรัม ต่อน้า 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร ระยะเวลาในการหมักผม การเปลี่ยนของสีผม 30 นาที - ส่วนผมที่เคยเป็นสีขาวจะเปลี่ยนเป็นสีน้าตาลทอง- ส่วนผมทีเ่ คยเป็นสีดาจะเปลี่ยนเป็นสีน้าตาล ทดสอบประสิทธิภาพการเปลี่ยนสีผม ของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ตามอัตราส่วน มวลของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ 5 กรัม ต่อน้า 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร ผลการทดสอบประสิทธิภาพการเปลี่ยนสีผม คือ ผมทีเ่ คยเป็นสีขาวจะ เปลี่ยนเป็นสีน้าตาลทองส่วนผมทีเ่ คยเป็นสีดาจะเปลี่ยนเป็นสีน้าตาล ตอนที่ 5 การเผยแพร่เพื่อนาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจาวัน จะเห็นว่า สารสกัดจากใบกาวสดและผงสกัด ใบกาวบริสุทธิ์สามารถเปลี่ยนสีผมจากสีเดิม เป็นสีโทนน้าตาล ดังนั้นจึงเหมาะที่นามาใช้ในการเปลี่ยนสีผมแทน น้ายาเปลี่ยนสีผมที่ขายตามท้องตลาดทั่วไปเพราะไม่เป็นอันตรายต่อเส้นผมและหนังศีรษะและประหยัดด้วย สรุปผลและอภิปรายผล สรุปผลการทดลอง ตอนที่ 1 อัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างมวลของใบกาวสด กับปริมาตรของน้าสะอาด คือ มวลของใบกาวสด 100 กรัม ต่อน้าสะอาด 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร เพราะจะให้สารสกัดจากใบกาวสดมีสีเข้ม ที่สุด ตอนที่ 2 ประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีของผม คือ ใบกาวสด 100 กรัม ต่อน้าสะอาด 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร ผมที่ เคยเป็นสีขาวจะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดง ส่วนผมที่เคยเป็นสีดาจะเปลี่ยนเป็นสีน้าตาล ตอนที่ 3 อัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างมวลของผงสกัดใบกาวบริสทธิ์กับปริมาตรของน้าสะอาดในการนาผงสกัดไป ุ ใช้ในการเปลี่ยนสีผม คือมวลของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ 5 กรัมต่อปริมาตรของน้าสะอาด30 ลูกบาศก์-เซนติเมตร ซึ่งผงสกัดใบกาวบริสทธิ์จะรวมเป็นเนื้อเดียวกับน้าอย่างลงตัวพอดี ุ ตอนที่ 4 ประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีผมของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ตามอัตราส่วนคือมวลของผงสกัดใบกาวบริสทธิ์ ุ 5 กรัม ต่อน้า 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร ผลการทดสอบประสิทธิภาพการเปลี่ยนสีผมคือ ผมที่เคยเป็นสีขาวจะ เปลี่ยนเป็นสีน้าตาลทองส่วนผมทีเ่ คยเป็นสีดาจะเปลี่ยนเป็นสีน้าตาล ตอนที่ 5 การเผยแพร่เพื่อนาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจาวัน จากการนาไปเผยแพร่ เพื่อนาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจาวัน จะเห็นว่าสารสกัดจากใบกาวสด และผง สกัดใบกาวบริสุทธิ์ สามารถเปลี่ยนสีผมจากสีเดิมเป็นสีโทนน้าตาล ดังนั้นจึงเหมาะที่นามาใช้ในการเปลี่ยนสีผม แทนน้ายาสีผมที่ขายตามท้องตลาดทั่วไปเพราะไม่เป็นอันตรายต่อเส้นผมและหนังศีรษะและยังเป็นการประหยัด อีกด้วย อภิปรายผลการทดลอง
  • 20. จากการทดลองจะเห็นว่าสารสกัดใบกาวสดและผงสกัดใบกาวบริสุทธิสามารถเปลี่ยนสีผมจากสีเดิมเป็นสีโทน ์ น้าตาลได้ เพื่อให้สะดวกต่อการนาไปใช้ในการเปลี่ยนสีผม ควรใช้ผลิตภัณฑ์ผงสกัดใบกาวบริสทธิ์จะดีกว่าเพราะไม่ ุ ยุ่งยากในการเตรียมสารสกัดเพียงแค่เอาผงสกัดใบกาวบริสทธิ์ผสมกับน้าก็สามารถนาไปใช้ได้เลย ซึงสะดวกต่อการ ุ ่ นาไปใช้ มีกลิ่นหอมกว่าและสามารถเก็บไว้ได้นานกว่าอีกด้วย ถ้าต้องการให้มสีอื่นผสมควรใช้พืชชนิดอื่นมาเป็น ี ส่วนผสม เช่น -ถ้าต้องการเปลี่ยนเป็นสีน้าตาลม่วง ควรใช้ดอกอัญชัน เป็นส่วนผสมและใช้น้ามะนาวผสมแทนน้าเปล่า -ถ้าต้องการเปลี่ยนสีน้าตาลช็อกโกแลต (สีน้าตาลไหม้)ควรใช้กาแฟเป็นส่วนผสม การใช้สารสกัดด้วยใบกาว เปลี่ยนสีผม สามารถทาได้ทุกเวลาที่ตองการ ไม่ทาให้เกิดอันตรายต่อเส้นผมและหนังศีรษะ ้ ประโยชน์ที่ได้รับจากโครงงาน 1. ได้อัตราส่วนที่เหมาะสมของใบกาวสดต่อน้าสะอาดในการทาสารสกัดใบกาว 2. ได้ทราบถึงประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีผมของสารสกัดใบกาวสด 3. ได้อัตราส่วนที่เหมาะสมของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ต่อน้าสะอาดในการเปลี่ยนสีผม 4. ได้ทราบถึงประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีผมของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ 5. ได้นาพืชในท้องถิ่นมาใช้ให้เกิดประโยชน์และปลอดภัยต่อสุขภาพ ข้อเสนอแนะ ควรทดลองนาพืชชนิดอื่นที่ให้สีแตกต่างกันมาเป็นส่วนผสม เพราะจะได้สผมทีหลากหลายมาก ยิ่งขึ้น ี ่ http://www.tet2.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=560691&Ntype=3 https://sites.google.com/site/walaipornskb/khorng-ngan-khxmphiwtexr สืบค้นเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2555