SlideShare a Scribd company logo
1 of 3
Download to read offline
รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๑
บทนํา
ในยุคสมัยปจจุบัน ยอมเปนที่ทราบกันดีวา เปนยุคแหงความเจริญกาวหนาทางเทคโนโลยี
อันทันสมัยในทุก ๆ ดาน เปนยุคสมัยที่ผูคนพบแตความสะดวกสบาย ไมวาจะเปนชีวิตความ
เปนอยูในดานสวนตัว ดานครอบครัว ดานการศึกษา ดานอาชีพการงาน ดานการสังคม เปนตน
เหลานี้ลวนพบวา คนเราตองการความสุขสะดวกสบายทั้งนั้น ไมมีใครเลยที่ตองการความทุกข แม
คน ๆ นั้นจะเกิดมายากจนมีฐานะต่ําตอยในสังคม แตเขาก็มีความตองการความสุขความสบาย
เหมือนคนที่เกิดมาร่ํารวยมีฐานะทางสังดมดีเชนกัน
ยกตัวอยาง (มองโดยภาพรวม) ในชีวิตประจําวันของคนเราไมวาชายหรือหญิงตั้งแตตื่น
นอน มีสิ่งใดบางที่ตองทํา เชน ตองเก็บที่นอน ตองเขาหองน้ําเพื่อปลดทุกข ตองออกกําลังกาย
ตองชําระรางกาย ตองแตงตัว ตองเตรียมตัวในการปฏิบัติหนาที่ของตน เปนตน เหลานี้เพื่ออะไร
คนเราโดยปกติจะไมเคยคิดและไมเคยถามตัวเองเลยวา กิจกรรมตาง ๆ ที่กลาวมานี้ทําไมตองทํา
และตองทําใหดีดวย ไมทําไมได ลองคิดดูวา ถาตื่นขึ้นมาแลวรูสึกปวดทอง ถาไมลุกไปเขาหองน้ํา
จะเปนอยางไร เขาหองน้ําแลวถาไมราดนําใหสะอาดจะเปนอยางไร รางกายเหนียวเหนอะหนะไม
กระปรี้กระเปรา ถาไมออกกําบังกายแลวชําระรางกายจะเปนอยางไร ตองเลือกชุดแตงกายที่ดีและ
เหมาะสมที่สุดสําหนับวันนั้น ๆ ถาไมทําเชนนั้นจะเปนอยางไร
แมวันที่เกียจครานที่สุด ไมอยากทําอะไรเลยอยากจะนอนอยูอยางนั้น ถามวาจะนอนอยู
อยางนั้นตลอดไปไดหรือไม ก็ไมได ความเปนจริงก็คือยังมีความตองการความสุขสบายนั่นเอง
กิจกรรมในชีวิตประจําวันซึ่งมีดวยกันทุกคนแตอาจจะแตกตางกันไป กิจกรรมที่เราตองทําเหลานั้น
ถาพิจารณาใหตรงตามความเปนจริงแลว ก็จะไดคําตอบวา เพื่อความสุขเพื่อความสะดวกสบาย
ของขันธ ๕ หรือ นามรูปทั้งนั้น แมสิ่งของเครื่องใชตาง ๆ ก็ยังตองแสวงหาแตสิ่งที่คิดวาดีที่สุด
แมราคาถูก และยังมีกิจกรรมที่จําเปนอีกมากมายที่ตองทํา เชน เมื่อหิวตองรับประทานอาหาร
ประมาณ ๓ มื้อตอวัน แตบางคนก็มากกวานั้นไมเลือกเวลา และในการรับประทานอาหารก็ตอง
เลือกกอนวาดีเหมาะสมกับความตองการของตนเองหรือไม ถาไมชอบไมดีก็ไมรับประทาน เมื่อมี
สิ่งที่มากระตุนใหกระทํา ก็จําเปนตองทํา เชน การเที่ยว การละเลน การเขาสังคม การพักผอน
ตองแสวงหาสิ่งอํานวยความสะดวกตาง ๆ เพื่อใหขันธชุดนี้ไดรับความสุขสบาย ถามวาถาไมทําสิ่ง
เหลานี้ ไมแสวงหาสิ่งเหลานี้ ไมตอบสนองสิ่งเหลานี้จะไดหรือไม ตอบวาไมได เพราะโดยปกติ
คนเราเมื่อทําอะไรมักตามใจกิเลส คือตามใจตนเองเปนอันดับแรก โดยพื้นฐานคือคนเรามี
ความเห็นแกตัว
ดังไดกลาวมาแลววา กิจกรรมในชีวิตประจําวันของคนเราทุกอยาง หรือการแสวงหา
สิ่งของเครื่องอํานวยความสะดวกตาง ๆ ลวนเพื่อใหตนเองเกิดความสุขเกิดความสะดวกสบาย
นั่นเอง
ไมวาเขาคนนั้นจะเปนใครก็ตาม จะอยูในวัยใดก็ตาม ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยูในโลกนี้ในสังคมนี้
รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๒
ตราบนั้นก็ยังตองประสบกับสิ่งเหลานี้หนีไปไมพน ถาไมยอมรับก็อยูไมไดทนไมได
เมื่อวาตามความเปนจริง จิตของคนเรายอมมีความนึกคิด มีความตองการอยูเสมอ อาจ
กลาวไดวาการเคลื่อนไหวของจิตนั้น เปนการเคลื่อนไหวไปตามความตองการ หรือมีความ
ตองการอยูในตัวก็ได เชน ตองการนั่ง นอน ยืน เดิน ตองการลุก ตองการแปรงฟน ตองการชําระ
รางกาย ตองการรับประทานอาหาร ตองการเที่ยวพักผอน วาใหเขาใจก็คือจิตของคนเรามีการ
เคลื่อนไหวไปตามความตองการทุกขณะ แมบางขณะอาจคิดวา ตนเองไมมีความตองการอะไร
เชน ขณะกําลังนอนทอดกายสบายอารมณบนโซฟา ขาวน้ําก็อิ่มแลว กิจธุระหนาที่ก็ทําเสร็จแลว
ถามีใครมาถามวา “คุณตองการอะไรบาง” เราก็ตอบไปทันทีวา “เปลา ไมตองการอะไรเลย”
แตในความเปนจริง ทานก็ยังมีสิ่งที่ตองการอยูนั่นเอง คือตองการจะอยูเฉย ๆ หรือตองการไมให
ใครทําอะไรหรือรบกวนอะไรอีก แทจริง ความคิดของจิต ยอมมีความตองการอยูในตัว ถาจะพูด
ใหเปนศัพทก็เรียกวา “ความปรารถนา”
ทีนี้ความปรารถนาของคนเราแมจะมีตาง ๆ กัน หรือที่เรียกวา “นานาจิตตัง” เชน บางคน
อยากดูหนัง บางคนอยากดูละคร บางคนอยากเที่ยว แตเมื่อเพงดูผลแหงความปรารถนาของทุกคน
แลวก็คือปรารถนา “ความสุข” เหมือนกันหมด เพราะความสุขเปนยอดความปรารถนา และขึ้น
ชื่อวาความปรารถนาแลว จะไปสุดยอดที่ความสุข สุดตรงที่สุขนั่นเอง ไมวาใครจะปรารถนาอะไร
ก็ตาม ปรารถนาจะนั่ง ก็ขอใหนั่งเปนสุข ปรารถนาจะนอน ก็ขอใหนอนเปนสุข คือไปสุดตรงที่
สุข แมคน ๆ นั้นทําความชั่วมีโทษตองติดคุก เขาก็ยังปรารถนาจะอยูในที่ที่สุขสบายที่สุด
สรุปไดวาความสุขเปนยอดปรารถนาของคนเราจริง ๆ
ทานปยทัสสี ไดกลาวไวในหนังสือ BODDHISM –A LIVING MESSAGE
(พระพุทธศาสนา – อมตเทศนา) ตอนหนึ่งวา “สําหรับผูที่พยายามมองทุกสิ่งทุกกอยางตามสภาพ
ความเปนจริงแลว แนวความคิดเรื่องทุกข หาใชเรื่องที่ไรความสําคัญไม เรื่องนี้เปนแกนหลักของ
แนวคิดทางพระพุทธศาสนาทีเดียว การละเลยหลักคิดอันสําคัญนี้ ก็เทากับเปนการละเลยอีกสาม
อยางนั่นเทียว ความสําคัญในการรูจักคําวาทุกขนั้นจะสามารถมองเห็นไดจากพระพุทธพจนวา
“ผูใดมองเห็นทุกข ผูนั้นยอมมองเห็นเหตุเกิดแหงทุกข ความดับแหงทุกข และทางดําเนินถึงความ
ดับแหงทุกขดวย” สําหรับผูปฏิเสธเรื่องทุกขแลว หนทางดําเนินเพื่อความหลุดพนจากทุกข ยอมไร
ความหมายโดยสิ้นเชิง”
ความจริงของชีวิตจริง ๆ คือความทุกข ไมใชความสุข ความสุขเปนสิ่งที่จรมาภายหลัง
ชีวิตคนเราตกอยูในกองทุกขโดยกําเนิด แตที่เราเห็นวาเปนความสุขนั้น เชน หัวเราะได รูสึก
สบายเนื้อสบายตัว นั่นเปนเพราะวาความทุกขมันลดลงเทานั้นเอง หาใชเปนความสุขที่แทจริงไม
ความทุกขคือความจริงของชีวิต สวนความสุขเปนเพียงสิ่งที่จรมา เหมือนกับความจริงของโลกใบ
ที่เราอาศัยอยูนี้ โลกจริง ๆ คือความมืด ไมใชความสวาง แตเมื่อมีพระจันทร พระอาทิตย เกิดขึ้น
โลกใบนี้จึงเกิดมีความสวางไสว แมวาความจริงของชีวิตคือความทุกขจริง ๆ แตคนเราก็ไมชอบ
รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๓
ความทุกข แตไปชอบความสุข คือจะทําอะไร ก็ทําไปเพื่อความสุข ครั้นไมไดดังจิตที่ตองการก็
เกิดทุกข เมื่อทุกขเกิดก็ยอมรับความเปนจริงไมได ก็เลยเกิดความทุกขหนักเขาไปอีก
ในหนังสือคําถาม – คําตอบเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เลม ๑ (BUDDHISTIC
QUESTIONS AND ANSWERS BOOK 1) ก็ไดกลาวถึงเรื่องทุกขไววา “ทุก ๆ คนปรารถนา
สุข ไมตองการทุกข แตทําไมคนเราจึงยังตองเปนทุกข และไมสามารถจะแกทุกขของตนเองได
บางทียิ่งแกยิ่งเปนทุกขมาก ทั้งนี้ก็เพราะไมรูเหตุผลตามเปนจริงวา อะไรเปนเหตุของทุกข อะไร
เปนเหตุของสุข ถาไดรูแลวก็จะแกได คือ ละเหตุที่ใหเกิดทุกข ทําเหตุที่ใหเกิดสุข อุปสรรคที่
สําคัญอันหนึ่งก็คือใจของตนเอง เพราะคนเราตามใจตนเองมากเกินไป จึงตองเกิดเดือดรอน”
ถาคนเราเขาใจและยอมรับความเปนจริงวา ความเปนจริงของชีวิตจริง ๆ คือความทุกข
ไมใชความสุขเลย เมื่อเกิดมีความทุกขขึ้นในชีวิตของเขา เขาก็จะกลับกลายเปนผูมีความสุข
มากกวาคนอื่น เพราะการยอมรับและเขาใจในความเปนจริง ความทุกข ซึ่งเปนความจริงของชีวิต
นี้พระสัมมาสัมพุทธเจาเปนผูคนพบ เปนผูมองเห็นความเปนจริงนี้ แลวนํามาชี้บอกใหเวไนยสัตว
ทั้งหลายไดรูไดเห็นตามความเปนจริง ซึ่งสิ่งที่พระองคคนพบนี้เปนวิธีแกทุกข หรือวิธีพนทุกข
ใครก็ตามเมื่อศึกษาจนเขาใจและปฏิบัติตามหลักนี้แลว คน ๆ นั้นจะไมมีความทุกข หรือพนจาก
ความทุกขได หลักความจริงอันนี้เรียกวา “อริยสัจ ๔” ซึ่งจะไดกลาวตอไป
ที่มาของอริยสัจ ๔
กอนอื่นขอใหพิจารณาถึงที่มาของอริยสัจ ๔ เปนเบื้องตนกอน เพื่อจะไดทราบความ
เปนมา ที่มาของพระสัมมาสัมพุทธเจาไมใชวาจะไดมางาย ๆ ดังเชนพระพุทธเจาของเรา ชาติ
สุดทายที่เปนพระโพธิสัตวบําเพ็ญทานบารมีนามวาพระเวสสันดร พระองคตองเสียสละอยาง
ยิ่งยวดสรางบารมีสูงสุดในทานบารมี ตองเสียสละอยางสูง ใครจะทําได ไมมีใครทําได สละปลด
เปลื้องพันธนาการทั้งหมดตั้งแตพระมเหษีราชบุตรราชธิดาและราชสมบัติทั้งหมด สิ่งที่มุงหวัง
เฉพาะคือพระโพธิญาณ ไดกระทําสําเร็จแลว ก็ไปเสวยวิมุตติสุขบนสวรรคชั้นดุสิตเปนเวลา ๕๗
โกฏิป เหลาทวยเทพทั้งหลายก็ประชุมกันวา “โลกวางจากพระสัมมาสัมพุทธเจาแลว ควรจะอัน
เชิญเทพบุตรองคใดองคหนึ่งไปตรัสรูเปนพระสัมมาสัมพุทธเจา” มหาพรหมและทวยเทพทั้งหมด
ลงมติใหสันดุสิตเทวราชซึ่งก็คือพระเวสสันดรนั่นเอง ไปเปนพระสัมมาสัมพุทธเจา ทาวสันดุสิต
เทว-ราชยังไมตกลง แตพิจารณากอนวา ถึงกาลอันควรหรือยัง ประเทศไหนเปนประเทศที่ควรจะ
รองรับสัพพัญุตญาณได ภาษาไหนเปนภาษาที่รองรับสัพพัญุตญาณได พุทธมารดามีหรือไมที่
จะรองรับราชบุตรไดเพียงพระองคเดียวแลวสวรรคตภายในเจ็ดวัน ซึ่งไมมีฐานะที่จะรองรับบุตร
อื่นมาอุบัติตอไดอีก เมื่อพิจารณาหลาย ๆ ดานก็เห็นวามีความพรอม จึงไดตกลงรับคําเชิญของเหลา
ทวยเทพทั้งปวงวา จะลงไปตรัสรูเปนพระพุทธเจา
การอุบัติขึ้นมาของพระโพธิสัตวจากสวรรคชั้นดุสิต มาอุบัติในโลกมนุษยมีพระนามวา
“สิทธัตถะราชกุมาร” ทามกลางเหลานักปราชญราชบัณฑิตและขาราชบริพารทั้งมวล

More Related Content

Similar to พุทธศาสนาในทัศนะของนักวิทยาศาสตร์

หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสารหลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
guestf16531
 
แรงบันดาลใจจากความตาย
แรงบันดาลใจจากความตาย แรงบันดาลใจจากความตาย
แรงบันดาลใจจากความตาย
Maha Duangthip Dhamma
 
Makeeasy - ชีวิตทำให้ง่าย ก็สุขได้ไม่ยาก
Makeeasy - ชีวิตทำให้ง่าย ก็สุขได้ไม่ยากMakeeasy - ชีวิตทำให้ง่าย ก็สุขได้ไม่ยาก
Makeeasy - ชีวิตทำให้ง่าย ก็สุขได้ไม่ยาก
Phairot Odthon
 
ความเป็นธรรมในสังคม
ความเป็นธรรมในสังคมความเป็นธรรมในสังคม
ความเป็นธรรมในสังคม
Payupoom Yodharn
 
ความเป็นธรรมในสังคม
ความเป็นธรรมในสังคมความเป็นธรรมในสังคม
ความเป็นธรรมในสังคม
Payupoom Yodharn
 
ความเป็นธรรมในสังคม
ความเป็นธรรมในสังคมความเป็นธรรมในสังคม
ความเป็นธรรมในสังคม
Payupoom Yodharn
 
เรียนรู้วิธีออกจากทุกข์
เรียนรู้วิธีออกจากทุกข์เรียนรู้วิธีออกจากทุกข์
เรียนรู้วิธีออกจากทุกข์
Panda Jing
 
ผลกระทบของเทคโนโลยี
ผลกระทบของเทคโนโลยีผลกระทบของเทคโนโลยี
ผลกระทบของเทคโนโลยี
0932318652
 

Similar to พุทธศาสนาในทัศนะของนักวิทยาศาสตร์ (20)

Edu9
Edu9Edu9
Edu9
 
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสารหลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
หลวงพ่อทูล วัฏฏะสงสาร
 
9789740335863
97897403358639789740335863
9789740335863
 
คำนำทำ1
คำนำทำ1คำนำทำ1
คำนำทำ1
 
Saengdhamma Vol. 36 No. 430 February 2011
Saengdhamma Vol. 36 No. 430 February 2011Saengdhamma Vol. 36 No. 430 February 2011
Saengdhamma Vol. 36 No. 430 February 2011
 
แรงบันดาลใจจากความตาย
แรงบันดาลใจจากความตาย แรงบันดาลใจจากความตาย
แรงบันดาลใจจากความตาย
 
พุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายมาธยมิกะ
พุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายมาธยมิกะพุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายมาธยมิกะ
พุทธศาสนามหายาน ตอน นิกายมาธยมิกะ
 
Luangpoo louis
Luangpoo louisLuangpoo louis
Luangpoo louis
 
ทำอย่างไรชีวิตจึงจะมีความสุข
ทำอย่างไรชีวิตจึงจะมีความสุขทำอย่างไรชีวิตจึงจะมีความสุข
ทำอย่างไรชีวิตจึงจะมีความสุข
 
Makeeasy - ชีวิตทำให้ง่าย ก็สุขได้ไม่ยาก
Makeeasy - ชีวิตทำให้ง่าย ก็สุขได้ไม่ยากMakeeasy - ชีวิตทำให้ง่าย ก็สุขได้ไม่ยาก
Makeeasy - ชีวิตทำให้ง่าย ก็สุขได้ไม่ยาก
 
ความเป็นธรรมในสังคม
ความเป็นธรรมในสังคมความเป็นธรรมในสังคม
ความเป็นธรรมในสังคม
 
ความเป็นธรรมในสังคม
ความเป็นธรรมในสังคมความเป็นธรรมในสังคม
ความเป็นธรรมในสังคม
 
ความเป็นธรรมในสังคม
ความเป็นธรรมในสังคมความเป็นธรรมในสังคม
ความเป็นธรรมในสังคม
 
ทุกศาสนา
ทุกศาสนาทุกศาสนา
ทุกศาสนา
 
เรียนรู้วิธีออกจากทุกข์
เรียนรู้วิธีออกจากทุกข์เรียนรู้วิธีออกจากทุกข์
เรียนรู้วิธีออกจากทุกข์
 
ผลกระทบของเทคโนโลยี
ผลกระทบของเทคโนโลยีผลกระทบของเทคโนโลยี
ผลกระทบของเทคโนโลยี
 
590805 บทที่-3-แก้ไขแล้ว
590805 บทที่-3-แก้ไขแล้ว590805 บทที่-3-แก้ไขแล้ว
590805 บทที่-3-แก้ไขแล้ว
 
20230119-ar-พุทธวิธีตอนที่11.pdf
20230119-ar-พุทธวิธีตอนที่11.pdf20230119-ar-พุทธวิธีตอนที่11.pdf
20230119-ar-พุทธวิธีตอนที่11.pdf
 
02life
02life02life
02life
 
คำสอนหลวงพ่อชุด1
คำสอนหลวงพ่อชุด1คำสอนหลวงพ่อชุด1
คำสอนหลวงพ่อชุด1
 

More from Wataustin Austin

ใบคำขานนาคภาษาอังกฤษ2554 english
ใบคำขานนาคภาษาอังกฤษ2554 englishใบคำขานนาคภาษาอังกฤษ2554 english
ใบคำขานนาคภาษาอังกฤษ2554 english
Wataustin Austin
 
Morning evening chanting(david)
Morning evening chanting(david)Morning evening chanting(david)
Morning evening chanting(david)
Wataustin Austin
 
สุชีพ ปุญญานุภาพ พระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน
สุชีพ ปุญญานุภาพ   พระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชนสุชีพ ปุญญานุภาพ   พระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน
สุชีพ ปุญญานุภาพ พระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน
Wataustin Austin
 
เนตติปกรณ์
เนตติปกรณ์เนตติปกรณ์
เนตติปกรณ์
Wataustin Austin
 
วิปัสสนานัย เล่ม2
วิปัสสนานัย เล่ม2วิปัสสนานัย เล่ม2
วิปัสสนานัย เล่ม2
Wataustin Austin
 
อภิธรรมเป็นพุทธพจน์
อภิธรรมเป็นพุทธพจน์อภิธรรมเป็นพุทธพจน์
อภิธรรมเป็นพุทธพจน์
Wataustin Austin
 
อนุพุทธประวัติ เจาะลึก
อนุพุทธประวัติ  เจาะลึกอนุพุทธประวัติ  เจาะลึก
อนุพุทธประวัติ เจาะลึก
Wataustin Austin
 
สารัตถทีปนี จูฬวรรควรรณนา-ปริวาวรรควรรณนา
สารัตถทีปนี จูฬวรรควรรณนา-ปริวาวรรควรรณนาสารัตถทีปนี จูฬวรรควรรณนา-ปริวาวรรควรรณนา
สารัตถทีปนี จูฬวรรควรรณนา-ปริวาวรรควรรณนา
Wataustin Austin
 
สัจจสังเขป
สัจจสังเขปสัจจสังเขป
สัจจสังเขป
Wataustin Austin
 
สคิปัฏฐานทาง (1)
สคิปัฏฐานทาง (1)สคิปัฏฐานทาง (1)
สคิปัฏฐานทาง (1)
Wataustin Austin
 
สคิปัฏฐานทาง (1) (1)
สคิปัฏฐานทาง (1) (1)สคิปัฏฐานทาง (1) (1)
สคิปัฏฐานทาง (1) (1)
Wataustin Austin
 
วุตโตทยมัญชรี
วุตโตทยมัญชรีวุตโตทยมัญชรี
วุตโตทยมัญชรี
Wataustin Austin
 
วิปัสสนานัย เล่ม2
วิปัสสนานัย เล่ม2วิปัสสนานัย เล่ม2
วิปัสสนานัย เล่ม2
Wataustin Austin
 
วิปัสสนานัย เล่ม1
วิปัสสนานัย เล่ม1วิปัสสนานัย เล่ม1
วิปัสสนานัย เล่ม1
Wataustin Austin
 
วฤตตรัตนากร Varutarattana
วฤตตรัตนากร Varutarattanaวฤตตรัตนากร Varutarattana
วฤตตรัตนากร Varutarattana
Wataustin Austin
 
ลักษณะของจิต
ลักษณะของจิตลักษณะของจิต
ลักษณะของจิต
Wataustin Austin
 

More from Wataustin Austin (20)

ใบคำขานนาคภาษาอังกฤษ2554 english
ใบคำขานนาคภาษาอังกฤษ2554 englishใบคำขานนาคภาษาอังกฤษ2554 english
ใบคำขานนาคภาษาอังกฤษ2554 english
 
Pali chant
Pali chantPali chant
Pali chant
 
Morning evening chanting(david)
Morning evening chanting(david)Morning evening chanting(david)
Morning evening chanting(david)
 
Bookchant
BookchantBookchant
Bookchant
 
สุชีพ ปุญญานุภาพ พระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน
สุชีพ ปุญญานุภาพ   พระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชนสุชีพ ปุญญานุภาพ   พระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน
สุชีพ ปุญญานุภาพ พระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน
 
เนตติปกรณ์
เนตติปกรณ์เนตติปกรณ์
เนตติปกรณ์
 
วิปัสสนานัย เล่ม2
วิปัสสนานัย เล่ม2วิปัสสนานัย เล่ม2
วิปัสสนานัย เล่ม2
 
อภิธรรมเป็นพุทธพจน์
อภิธรรมเป็นพุทธพจน์อภิธรรมเป็นพุทธพจน์
อภิธรรมเป็นพุทธพจน์
 
อนุพุทธประวัติ เจาะลึก
อนุพุทธประวัติ  เจาะลึกอนุพุทธประวัติ  เจาะลึก
อนุพุทธประวัติ เจาะลึก
 
สารัตถทีปนี จูฬวรรควรรณนา-ปริวาวรรควรรณนา
สารัตถทีปนี จูฬวรรควรรณนา-ปริวาวรรควรรณนาสารัตถทีปนี จูฬวรรควรรณนา-ปริวาวรรควรรณนา
สารัตถทีปนี จูฬวรรควรรณนา-ปริวาวรรควรรณนา
 
สัจจสังเขป
สัจจสังเขปสัจจสังเขป
สัจจสังเขป
 
สคิปัฏฐานทาง (1)
สคิปัฏฐานทาง (1)สคิปัฏฐานทาง (1)
สคิปัฏฐานทาง (1)
 
สรภัญญะ1
สรภัญญะ1สรภัญญะ1
สรภัญญะ1
 
สคิปัฏฐานทาง (1) (1)
สคิปัฏฐานทาง (1) (1)สคิปัฏฐานทาง (1) (1)
สคิปัฏฐานทาง (1) (1)
 
วุตโตทยมัญชรี
วุตโตทยมัญชรีวุตโตทยมัญชรี
วุตโตทยมัญชรี
 
วิปัสสนานัย เล่ม2
วิปัสสนานัย เล่ม2วิปัสสนานัย เล่ม2
วิปัสสนานัย เล่ม2
 
วิปัสสนานัย เล่ม1
วิปัสสนานัย เล่ม1วิปัสสนานัย เล่ม1
วิปัสสนานัย เล่ม1
 
วฤตตรัตนากร Varutarattana
วฤตตรัตนากร Varutarattanaวฤตตรัตนากร Varutarattana
วฤตตรัตนากร Varutarattana
 
ลัทธิเชน
ลัทธิเชนลัทธิเชน
ลัทธิเชน
 
ลักษณะของจิต
ลักษณะของจิตลักษณะของจิต
ลักษณะของจิต
 

พุทธศาสนาในทัศนะของนักวิทยาศาสตร์

  • 1. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๑ บทนํา ในยุคสมัยปจจุบัน ยอมเปนที่ทราบกันดีวา เปนยุคแหงความเจริญกาวหนาทางเทคโนโลยี อันทันสมัยในทุก ๆ ดาน เปนยุคสมัยที่ผูคนพบแตความสะดวกสบาย ไมวาจะเปนชีวิตความ เปนอยูในดานสวนตัว ดานครอบครัว ดานการศึกษา ดานอาชีพการงาน ดานการสังคม เปนตน เหลานี้ลวนพบวา คนเราตองการความสุขสะดวกสบายทั้งนั้น ไมมีใครเลยที่ตองการความทุกข แม คน ๆ นั้นจะเกิดมายากจนมีฐานะต่ําตอยในสังคม แตเขาก็มีความตองการความสุขความสบาย เหมือนคนที่เกิดมาร่ํารวยมีฐานะทางสังดมดีเชนกัน ยกตัวอยาง (มองโดยภาพรวม) ในชีวิตประจําวันของคนเราไมวาชายหรือหญิงตั้งแตตื่น นอน มีสิ่งใดบางที่ตองทํา เชน ตองเก็บที่นอน ตองเขาหองน้ําเพื่อปลดทุกข ตองออกกําลังกาย ตองชําระรางกาย ตองแตงตัว ตองเตรียมตัวในการปฏิบัติหนาที่ของตน เปนตน เหลานี้เพื่ออะไร คนเราโดยปกติจะไมเคยคิดและไมเคยถามตัวเองเลยวา กิจกรรมตาง ๆ ที่กลาวมานี้ทําไมตองทํา และตองทําใหดีดวย ไมทําไมได ลองคิดดูวา ถาตื่นขึ้นมาแลวรูสึกปวดทอง ถาไมลุกไปเขาหองน้ํา จะเปนอยางไร เขาหองน้ําแลวถาไมราดนําใหสะอาดจะเปนอยางไร รางกายเหนียวเหนอะหนะไม กระปรี้กระเปรา ถาไมออกกําบังกายแลวชําระรางกายจะเปนอยางไร ตองเลือกชุดแตงกายที่ดีและ เหมาะสมที่สุดสําหนับวันนั้น ๆ ถาไมทําเชนนั้นจะเปนอยางไร แมวันที่เกียจครานที่สุด ไมอยากทําอะไรเลยอยากจะนอนอยูอยางนั้น ถามวาจะนอนอยู อยางนั้นตลอดไปไดหรือไม ก็ไมได ความเปนจริงก็คือยังมีความตองการความสุขสบายนั่นเอง กิจกรรมในชีวิตประจําวันซึ่งมีดวยกันทุกคนแตอาจจะแตกตางกันไป กิจกรรมที่เราตองทําเหลานั้น ถาพิจารณาใหตรงตามความเปนจริงแลว ก็จะไดคําตอบวา เพื่อความสุขเพื่อความสะดวกสบาย ของขันธ ๕ หรือ นามรูปทั้งนั้น แมสิ่งของเครื่องใชตาง ๆ ก็ยังตองแสวงหาแตสิ่งที่คิดวาดีที่สุด แมราคาถูก และยังมีกิจกรรมที่จําเปนอีกมากมายที่ตองทํา เชน เมื่อหิวตองรับประทานอาหาร ประมาณ ๓ มื้อตอวัน แตบางคนก็มากกวานั้นไมเลือกเวลา และในการรับประทานอาหารก็ตอง เลือกกอนวาดีเหมาะสมกับความตองการของตนเองหรือไม ถาไมชอบไมดีก็ไมรับประทาน เมื่อมี สิ่งที่มากระตุนใหกระทํา ก็จําเปนตองทํา เชน การเที่ยว การละเลน การเขาสังคม การพักผอน ตองแสวงหาสิ่งอํานวยความสะดวกตาง ๆ เพื่อใหขันธชุดนี้ไดรับความสุขสบาย ถามวาถาไมทําสิ่ง เหลานี้ ไมแสวงหาสิ่งเหลานี้ ไมตอบสนองสิ่งเหลานี้จะไดหรือไม ตอบวาไมได เพราะโดยปกติ คนเราเมื่อทําอะไรมักตามใจกิเลส คือตามใจตนเองเปนอันดับแรก โดยพื้นฐานคือคนเรามี ความเห็นแกตัว ดังไดกลาวมาแลววา กิจกรรมในชีวิตประจําวันของคนเราทุกอยาง หรือการแสวงหา สิ่งของเครื่องอํานวยความสะดวกตาง ๆ ลวนเพื่อใหตนเองเกิดความสุขเกิดความสะดวกสบาย นั่นเอง ไมวาเขาคนนั้นจะเปนใครก็ตาม จะอยูในวัยใดก็ตาม ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยูในโลกนี้ในสังคมนี้
  • 2. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๒ ตราบนั้นก็ยังตองประสบกับสิ่งเหลานี้หนีไปไมพน ถาไมยอมรับก็อยูไมไดทนไมได เมื่อวาตามความเปนจริง จิตของคนเรายอมมีความนึกคิด มีความตองการอยูเสมอ อาจ กลาวไดวาการเคลื่อนไหวของจิตนั้น เปนการเคลื่อนไหวไปตามความตองการ หรือมีความ ตองการอยูในตัวก็ได เชน ตองการนั่ง นอน ยืน เดิน ตองการลุก ตองการแปรงฟน ตองการชําระ รางกาย ตองการรับประทานอาหาร ตองการเที่ยวพักผอน วาใหเขาใจก็คือจิตของคนเรามีการ เคลื่อนไหวไปตามความตองการทุกขณะ แมบางขณะอาจคิดวา ตนเองไมมีความตองการอะไร เชน ขณะกําลังนอนทอดกายสบายอารมณบนโซฟา ขาวน้ําก็อิ่มแลว กิจธุระหนาที่ก็ทําเสร็จแลว ถามีใครมาถามวา “คุณตองการอะไรบาง” เราก็ตอบไปทันทีวา “เปลา ไมตองการอะไรเลย” แตในความเปนจริง ทานก็ยังมีสิ่งที่ตองการอยูนั่นเอง คือตองการจะอยูเฉย ๆ หรือตองการไมให ใครทําอะไรหรือรบกวนอะไรอีก แทจริง ความคิดของจิต ยอมมีความตองการอยูในตัว ถาจะพูด ใหเปนศัพทก็เรียกวา “ความปรารถนา” ทีนี้ความปรารถนาของคนเราแมจะมีตาง ๆ กัน หรือที่เรียกวา “นานาจิตตัง” เชน บางคน อยากดูหนัง บางคนอยากดูละคร บางคนอยากเที่ยว แตเมื่อเพงดูผลแหงความปรารถนาของทุกคน แลวก็คือปรารถนา “ความสุข” เหมือนกันหมด เพราะความสุขเปนยอดความปรารถนา และขึ้น ชื่อวาความปรารถนาแลว จะไปสุดยอดที่ความสุข สุดตรงที่สุขนั่นเอง ไมวาใครจะปรารถนาอะไร ก็ตาม ปรารถนาจะนั่ง ก็ขอใหนั่งเปนสุข ปรารถนาจะนอน ก็ขอใหนอนเปนสุข คือไปสุดตรงที่ สุข แมคน ๆ นั้นทําความชั่วมีโทษตองติดคุก เขาก็ยังปรารถนาจะอยูในที่ที่สุขสบายที่สุด สรุปไดวาความสุขเปนยอดปรารถนาของคนเราจริง ๆ ทานปยทัสสี ไดกลาวไวในหนังสือ BODDHISM –A LIVING MESSAGE (พระพุทธศาสนา – อมตเทศนา) ตอนหนึ่งวา “สําหรับผูที่พยายามมองทุกสิ่งทุกกอยางตามสภาพ ความเปนจริงแลว แนวความคิดเรื่องทุกข หาใชเรื่องที่ไรความสําคัญไม เรื่องนี้เปนแกนหลักของ แนวคิดทางพระพุทธศาสนาทีเดียว การละเลยหลักคิดอันสําคัญนี้ ก็เทากับเปนการละเลยอีกสาม อยางนั่นเทียว ความสําคัญในการรูจักคําวาทุกขนั้นจะสามารถมองเห็นไดจากพระพุทธพจนวา “ผูใดมองเห็นทุกข ผูนั้นยอมมองเห็นเหตุเกิดแหงทุกข ความดับแหงทุกข และทางดําเนินถึงความ ดับแหงทุกขดวย” สําหรับผูปฏิเสธเรื่องทุกขแลว หนทางดําเนินเพื่อความหลุดพนจากทุกข ยอมไร ความหมายโดยสิ้นเชิง” ความจริงของชีวิตจริง ๆ คือความทุกข ไมใชความสุข ความสุขเปนสิ่งที่จรมาภายหลัง ชีวิตคนเราตกอยูในกองทุกขโดยกําเนิด แตที่เราเห็นวาเปนความสุขนั้น เชน หัวเราะได รูสึก สบายเนื้อสบายตัว นั่นเปนเพราะวาความทุกขมันลดลงเทานั้นเอง หาใชเปนความสุขที่แทจริงไม ความทุกขคือความจริงของชีวิต สวนความสุขเปนเพียงสิ่งที่จรมา เหมือนกับความจริงของโลกใบ ที่เราอาศัยอยูนี้ โลกจริง ๆ คือความมืด ไมใชความสวาง แตเมื่อมีพระจันทร พระอาทิตย เกิดขึ้น โลกใบนี้จึงเกิดมีความสวางไสว แมวาความจริงของชีวิตคือความทุกขจริง ๆ แตคนเราก็ไมชอบ
  • 3. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๓ ความทุกข แตไปชอบความสุข คือจะทําอะไร ก็ทําไปเพื่อความสุข ครั้นไมไดดังจิตที่ตองการก็ เกิดทุกข เมื่อทุกขเกิดก็ยอมรับความเปนจริงไมได ก็เลยเกิดความทุกขหนักเขาไปอีก ในหนังสือคําถาม – คําตอบเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เลม ๑ (BUDDHISTIC QUESTIONS AND ANSWERS BOOK 1) ก็ไดกลาวถึงเรื่องทุกขไววา “ทุก ๆ คนปรารถนา สุข ไมตองการทุกข แตทําไมคนเราจึงยังตองเปนทุกข และไมสามารถจะแกทุกขของตนเองได บางทียิ่งแกยิ่งเปนทุกขมาก ทั้งนี้ก็เพราะไมรูเหตุผลตามเปนจริงวา อะไรเปนเหตุของทุกข อะไร เปนเหตุของสุข ถาไดรูแลวก็จะแกได คือ ละเหตุที่ใหเกิดทุกข ทําเหตุที่ใหเกิดสุข อุปสรรคที่ สําคัญอันหนึ่งก็คือใจของตนเอง เพราะคนเราตามใจตนเองมากเกินไป จึงตองเกิดเดือดรอน” ถาคนเราเขาใจและยอมรับความเปนจริงวา ความเปนจริงของชีวิตจริง ๆ คือความทุกข ไมใชความสุขเลย เมื่อเกิดมีความทุกขขึ้นในชีวิตของเขา เขาก็จะกลับกลายเปนผูมีความสุข มากกวาคนอื่น เพราะการยอมรับและเขาใจในความเปนจริง ความทุกข ซึ่งเปนความจริงของชีวิต นี้พระสัมมาสัมพุทธเจาเปนผูคนพบ เปนผูมองเห็นความเปนจริงนี้ แลวนํามาชี้บอกใหเวไนยสัตว ทั้งหลายไดรูไดเห็นตามความเปนจริง ซึ่งสิ่งที่พระองคคนพบนี้เปนวิธีแกทุกข หรือวิธีพนทุกข ใครก็ตามเมื่อศึกษาจนเขาใจและปฏิบัติตามหลักนี้แลว คน ๆ นั้นจะไมมีความทุกข หรือพนจาก ความทุกขได หลักความจริงอันนี้เรียกวา “อริยสัจ ๔” ซึ่งจะไดกลาวตอไป ที่มาของอริยสัจ ๔ กอนอื่นขอใหพิจารณาถึงที่มาของอริยสัจ ๔ เปนเบื้องตนกอน เพื่อจะไดทราบความ เปนมา ที่มาของพระสัมมาสัมพุทธเจาไมใชวาจะไดมางาย ๆ ดังเชนพระพุทธเจาของเรา ชาติ สุดทายที่เปนพระโพธิสัตวบําเพ็ญทานบารมีนามวาพระเวสสันดร พระองคตองเสียสละอยาง ยิ่งยวดสรางบารมีสูงสุดในทานบารมี ตองเสียสละอยางสูง ใครจะทําได ไมมีใครทําได สละปลด เปลื้องพันธนาการทั้งหมดตั้งแตพระมเหษีราชบุตรราชธิดาและราชสมบัติทั้งหมด สิ่งที่มุงหวัง เฉพาะคือพระโพธิญาณ ไดกระทําสําเร็จแลว ก็ไปเสวยวิมุตติสุขบนสวรรคชั้นดุสิตเปนเวลา ๕๗ โกฏิป เหลาทวยเทพทั้งหลายก็ประชุมกันวา “โลกวางจากพระสัมมาสัมพุทธเจาแลว ควรจะอัน เชิญเทพบุตรองคใดองคหนึ่งไปตรัสรูเปนพระสัมมาสัมพุทธเจา” มหาพรหมและทวยเทพทั้งหมด ลงมติใหสันดุสิตเทวราชซึ่งก็คือพระเวสสันดรนั่นเอง ไปเปนพระสัมมาสัมพุทธเจา ทาวสันดุสิต เทว-ราชยังไมตกลง แตพิจารณากอนวา ถึงกาลอันควรหรือยัง ประเทศไหนเปนประเทศที่ควรจะ รองรับสัพพัญุตญาณได ภาษาไหนเปนภาษาที่รองรับสัพพัญุตญาณได พุทธมารดามีหรือไมที่ จะรองรับราชบุตรไดเพียงพระองคเดียวแลวสวรรคตภายในเจ็ดวัน ซึ่งไมมีฐานะที่จะรองรับบุตร อื่นมาอุบัติตอไดอีก เมื่อพิจารณาหลาย ๆ ดานก็เห็นวามีความพรอม จึงไดตกลงรับคําเชิญของเหลา ทวยเทพทั้งปวงวา จะลงไปตรัสรูเปนพระพุทธเจา การอุบัติขึ้นมาของพระโพธิสัตวจากสวรรคชั้นดุสิต มาอุบัติในโลกมนุษยมีพระนามวา “สิทธัตถะราชกุมาร” ทามกลางเหลานักปราชญราชบัณฑิตและขาราชบริพารทั้งมวล
  • 4. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๔ แมแตพระราชบิดาคือพระเจาสุทโธทนะก็อยากจะใหเปนพระเจาจักรพรรติ ตามคําของพราหมณ ทั้งหลายที่ไดพยากรณวามีคติเปนสอง ถาออกบวชก็จะไดเปนพระสัมมาสัมพุทธเจา ถาครองเพศ ฆราวาสก็จะไดเปนพระเจาจักรพรรติมีอํานาจยิ่งใหญ ตลอดทั่วขอบเขตขัณฑสีมามีมหาสมุทรทั้งสี่ ดานเปนขอบเขตและเปนเมืองขึ้นทั้งหมด แนนอนวาวิสัยความเปนกษัตริยยอมตองการความ ยิ่งใหญที่จะมีอํานาจปกครองไปทั่วทุกสารทิศ ฉะนั้น พระเจาสุทโธทนะจึงมุงหวังเปนที่สุดวาน ครกบิลพัสตุจะเปนดินแดนของพระเจาจักรพรรติที่ยิ่งใหญได แตวาพระบารมีของพระโพธิสัตวที่ไดสั่งสมมา แมวาจะถูกปดลอมดวยวิธีการตาง ๆ อัน บําเรอใหไดรับความสุขอยางมากมาย แตก็ไมสามารถที่จะสกัดกั้นได ตลอดเวลา ๒๙ ปที่อยู เฉพาะในพระราชวัง ทําใหเกิดความรูสึกวาอยากจะออกประพาสนอกราชอุทยานบาง จึงไดชวน นายฉันนะออกเที่ยวประพาสนอกราชอุทยาน ทวยเทพทั้งหลายก็ไดโอกาสแสดงนิมิตใหเห็นวา ในโลกนี้มีการเกิด การแก การเจ็บ การตาย สุดทายก็ไดเห็นสมณะ ทําใหพระทัยของเจาชาย- สิทธัตถะโนมเอียงไปในทางออกบวช เพราะมองเห็นวาชีวิตไมเห็นมีอะไรที่จะมั่นคงเปนสิ่งที่เที่ยง แท เกิดแลวก็แก แกแลวก็เจ็บ ในที่สุดก็ตองตาย แมเราเองก็จักตองตายอยางนี้ หนีพนไปไมได แลวประโยชนอะไรที่เราจะไดความยิ่งใหญในการเปนพระเจาจักรพรรติ อยากระนั่นเลย เราก็จะ ไมพนจากความตาย สัตวทั้งหลายก็ไมพนจากความตาย ก็ทรงมองเห็นวา กลางคืนมี ก็ยังมี กลางวัน การตายก็ยังมีการเกิด เมื่อการตายมี การไมตองตายก็ตองมี เมื่อการเกิดมี การไมตองเกิด ก็ตองมีเหมือนกัน แตยังไมมีใครคนพบ ใครเลาจะเปนผูคนหาหนทางที่จะใหพนจากความเกิด และความตายได พระองคโนมเอียงไปในทางเหตุผล มองเห็นชีวิตทุกชีวิตไมลวงพนจากความเกิด แกเจ็บตายไปได มีทางเดียวคือเราตองแสวงหาทางพนจากการเกิดแกเจ็บและตายใหได นั่นก็คือ การเปนสมณะจึงปรารภการออกบวช ในที่สุดพระโพธิสัตวหรือมหาบุรุษ ก็ไดออกบวชแสวงหาทางพนทุกข โดยวิธีการปฏิบัติ ตามประเพณีของคนเกาวา ถาทําใหทุกขจนถึงที่สุดแลว ทุกขก็จะหมด ก็ทรงบําเพ็ญทุกกรกิริยา กระทําอยางคนสมัยนั้นทําไมได แมสมัยนี้ก็ทําไมได เชน ทรงกัดฟนเอาลิ้นดุนเพดาลใหแรง ที่สุด ไมมีใครทําได ทรงกลั้นลมหายใจจนกระทั่งไมตองหายใจทางจมูก แตใชหูหายใจแทนได เพื่อจะทําใหถึงที่สุดแหงทุกข แตวาลมหายใจก็ออกทางหู ชีวิตก็อยูได ไมใชเปนการทําลายชีวิต แตทําเพื่อใหทุกขถึงที่สุด หายใจเขาลมเขาทางหู หายใจออกลมออกทางหู ก็ไมเห็นทางพนทุกข ทรงกระทําจนกระทั่งมองเห็นวา ทุกขอยางนี้ไมมีใครทําได แตเราทําได แตประโยชนจากการที่ เราทําได มันไมมีประโยชนอะไรเลย ตั้งแตอดีตจนปจจุบัน แมในอนาคตก็ไมมีใครทําไดเกินกวา นี้ ถึงแมจะมีใครทําไดเกินกวานี้ก็จะไมไดรับประโยชนอะไรจากตรงนี้เลย ทรงมองเห็นวา ไมใช ทางนี้แนที่จะทําใหพนจากการเวียนวายตายเกิดได พระองคนอมจิตระลึกถึงตอนทรงพระเยาวเมื่ออายุ ๗ พรรษา ไดเคยกระทําอานาปานสติ จนไดปฐมฌาน ถากระนั้นเราควรยอนไปบําเพ็ญเพียรทางจิตจะดีกวา ก็เลยบริโภคอาหารให
  • 5. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๕ รางกายไดรับความสมบูรณ เมื่อรางกายพอเพียงที่จะบําเพ็ญเพียรทางใจไดแลว ก็เริ่มบําเพ็ญเพียร ทางใจดวยการกระทําอานาปานสติจนบรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ปญจมฌาน บรรลุถึงอากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ และเนวสัญญานาสัญญายต- นะ ทรงกระทําจนถึงที่สุดของสมาธิไดครบ ก็ยังไมบรรลุธรรม แตดวยจิตที่อาศัยความตั้งมั่น ละเอียดออนและมีพลานุภาพ ในขณะที่ไดรูปฌานและอรูปฌาน จิตก็โนมเอียงไปถึงอดีต เห็น ชีวิตของพระองคดวยปญญาวา ไดเกิดเปนอะไรบาง ระลึกชาติได โดยการระลึกยอนหลังไปเปน อเนกชาติ มองเห็นชีวิตที่ตายแลวก็เกิด เกิดแลวตายไมรูจักจบสิ้น ในปฐมยามนี้เรียกวาไดบรรลุ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ในมัชฌิมยามไดบรรลุจุตูปปาตญาณ คือไดตาทิพย มองเห็นสรรพสัตวที่ ทําดีบางทําชั่วบางแลวไปเกิดยังสถานที่ตาง ๆ ชีวิตของสรรพสัตวก็เปนไปตามอํานาจของกรรม เจตนาของตน ผลของความสุขความทุกขลวนมีเหตุปจจัย การปฏิสนธิและการจุติของสรรพสัตว พระองคทรงรูหามด นี้คือจุตูปปาตญาณซึ่งเปนอภิญญาจิตขั้นที่สองที่เกิดขึ้น จนกระทั่งถึง ปจฉิมยาม ปญญาก็ไดหยั่งเห็นความเปนไปของรูปนาม เห็นการเกิดดับของรูปราม พระองคทรง มองเห็นวา แมชีวิตของพระองคและของสรรพสัตวที่ผานมาก็ไมเห็นมีอะไรเลยนอกจากรูปกับนาม แมรูปและนามนี้ก็เปนที่พึ่งไมได ไมไดมีแกนสารอะไรเลย เกิดแลวก็ดับ ๆ แลวก็เกิด ( ภาษา ชาวบานเรียกวา เกิดเพื่อตาย ตายเพื่อเกิด ) ไมรูจักจบสิ้น ฉะนั้น ในขณะที่พระองคเห็นขันธ ๕ หรือรูปนามเกิดดับ เห็นความเปนไปของอายตนะที่ เกิดสืบตอเนื่องกันไปอยางไมขาดสาย ปญญาที่รูแจงเห็นความเปนจริงของรูปนามวา ไมเที่ยง เปน ทุกข เปนอนัตตา ก็ปรากฎขึ้น นี้เรียกวาวิปสสนาปญญา และปญญาที่เรียกวิปสสนานี้ก็ไดเกิดขึ้น ในอาสวักขยญาณนี้เอง และการปฏิญญาวา “เราเปนพระสัมมาสัมพุทธเจา” ก็ไดเกิดขึ้นแก พระองค ( รูปคืออะไร รูปคือธรรมชาติ หรือสิ่งที่รูอารมณไมได ธรรมชาติ หรือสิ่งที่แตกดับยอยยับ ไปดวยสิ่งที่เปนขาศึกแกกันและกัน คือความเย็นและความรอน รูปมี ๒ อยาง คือ รูปที่มีวิญญาณครอง กับรูปที่ ไมมีวิญญาณครอง นามคืออะไร นามคือ ธรรมชาติที่รับรูอารมณ ธรรมชาติที่นอมไปหาอารมณ ธรรมชาติที่นึก คิดและรูสึกตออารมณ กลาวคือ ความรูสึกไมชอบใจ ความรูสึกเฉย ๆ ความรูสึกเห็น, ไดยินเสียง, ไดกลิ่น, รู รส, รูการสัมผัสตาง ๆ ) ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาทจากผลไปหาเหตุ พระสัมมาสัมพุทธเจาไดพิจารณาถึงปจจัยของชีวิตวา มีปจจัยที่เกี่ยวของกับชีวิตอะไรบาง แทจริงมีแตรูปกับนาม และรูปนามในแตละภพชาติก็มีความไมเที่ยง เกิดขึ้นแลวตั้งอยูดับไปสืบ ตอเนื่องไปอยางไมขาดสาย พระองคทรงหาปจจัยที่จะทําใหรูวา อะไรเปนเหตุเปนปจจัยของความ แกและความตาย เพราะวาการเกิดพระองคก็ไดมาแลว สิ่งที่รออยูคือความแกและความตาย พระองคทรงสาวหาสาเหตุวา เมื่ออะไรมีอยูหนอ ชรามรณะจึงมี เพราะการมีโดยที่ไมมีอะไรเปน เหตุเปนปจจัยนั้นเปนไปไมได อาศัยปญญาญาณที่ทําจิตใหแยบคายก็เกิดขึ้นโดยรูแจงวา เมื่อชาติ
  • 6. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๖ คือความเกิดมี ความชรามรณะก็ตองมี ถาไมมีการเกิด ความแกและความตายจักมีมาแตไหน เพราะชาติมี ชรามรณะจึงมี และนี้คือกฏแหงปฏิจจสมุปบาทที่พระองคไดพิจารณาเปนอันดับแรก ทรงสาวหาสาเหตุตอไปอีกวา เมื่ออะไรมีอยูหนอชาติคือการเกิดนี้จึงมี ก็ทรงพบวา เพราะ ภพมี ชาติจึงมี คําวา ”ภพ” มี ๒ อยาง คือ กรรมภพ และอุปตติภพ ซึ่งกรรมภพเปนเหตุใหเกิด อุปตติภพ เมื่อกรรมภพดับไปก็เกิดเปนอุปตติภพ อุปตติภพนี้คืออะไร คือขันธ ๕ นั่นเอง ขันธ ๕ คือตัวอุปตติภพที่จะนําใหเกิดอีกตอไป เมื่ออุปตติภพคือขันธ ๕ เกิด ซึ่งขันธ ๕ เกิดนั่นแหละคือ ชาติ ฉะนั้น เมื่อชาติมี เพราะมีภพเปนเหตุปจจัยคือการทํากุศลกรรมบาง อกุศลกรรมบาง ทรงสาวหาสาเหตุตอไปอีกวา เมื่ออะไรมีอยูหนอ ภพคือกรรมภพและอุปตติภพนี้จึงมี ก็ ทรงทราบวา เพราะอุปาทานไดแก การยึดมั่นถือมั่นนี้มีอยู ภพจึงมี อุปาทานมี ๔ อยางคือ อัตตวา- ทุปาทานไดแก ความยึดมั่นถือมั่นวาเปนตัวเราเปนของเรา กามุปาทานไดแก ความพอใจรักใครใน กาม ทิฎุปาทานไดแก การเห็นผิดจากทํานองคลองธรรมที่พระพุทธเจาตรัสสอนไว และสีลัพพตุ- ปาทานไดแก การถือผิดปฏิบัติผิดจากหลักการที่พระพุทธเจาตรัสไว ซึ่งอุปาทานเหลานี้ก็เปนเหตุ ใหเกิดการทํากรรม ทรงสาวหาสาเหตุตอไปอีกวา เมื่ออะไรมีอยูหนอ อุปาทานคือการยึดมั่นถือมั่นนี้จึงมี ก็ ทรงทราบวา เพราะตัณหาไดแกความทะยานอยากยินดีติดใจในอารมณตาง ๆ มี อุปาทานจึงมี ซึ่ง ความยินดีติดใจ ความปรารถนาอยากไดนี้ ก็เปนเหตุใหเกิดการยึดมั่นถือมั่นได ฉะนั้น ตัณหาจึง เห็นสาเหตุใหเกิดอุปาทาน ทรงสาวหาสาเหตุตอไปอีกวา เมื่ออะไรมีอยูหนอ ตัณหาคือความทะยานอยากยินดีติดใจ ในอารมณตาง ๆ จึงมี ก็ทรงทราบวา เวทนาไดแก การเสวยอารมณมี ตัณหาจึงมี ถาทําใหเกิดสุข ก็ปรารถนาอยากได ถาทําใหเกิดทุกขก็ไมปรารถนาอยากได ดิ้นรนแสวงหาเฉพาะอารมณที่เปน สุข ฉะนั้น เวทนาจึงเปนเหตุปจจัยใหเกิดตัณหา ทรงสาวหาสาเหตุตอไปอีกวา เมื่ออะไรมีอยูหนอ เวทนาคือการเสวยอารมณนี้จึงมี ก็ทรง ทราบวา เพราะผัสสะไดแก การกระทบกับอารมณ และเพราะการกระทบกับอารมณมี การเสวย อารมณก็จึงตองมี ถาไมมีการกระทบอารมณ การเสวยอารมณนี้จักมีแมแตไหน ฉะนั้น ผัสสะจึง เปนเหตุปจจัยใหเกิดเวทนา ทรงสาวหาสาเหตุตอไปอีกวา เมื่ออะไรมีอยูหนอ ผัสสะคือการกระทบกับอารมณนี้จึงมี ก็ทรงทราบวา เพราอายตนะไดแก อายตนะภายในและอายตนะภายนอกเปนที่ตอกับอารมณ ทํา ใหเกิดสฬายตนะ มีอายตนะเมื่อไร ผัสสะก็ตองมีเมื่อนั้น ฉะนั้น อายตนะจึงเปนเหตุปจจัยใหเกิด ผัสสะ ทรงสาวหาสาเหตุตอไปอีกวา เมื่ออะไรมีอยูหนอ อายตนะคือที่ตอนี้จึงมี ก็ทรงทราบวา เพราะนามรูปมี นามนี้คืออะไร นามนี้คือเจตสิกที่ประกอบปรุงแตงจิต สวนรูปนี้คืออะไร รูปนี้
  • 7. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๗ คือกัมมัชรูป ที่ทําหนาที่ตาง ๆ ในสวนของรางกาย ฉะนั้น นามรูปนี้เองเปนเหตุปจจัยใหเกิด อายตนะ ทรงสาวหาสาเหตุตอไปอีกวา เมื่ออะไรมีอยูหนอ นามรูปคือขันธ ๕ นี้จึงมี ก็ทรงทราบวา เพราะวิญญาณไดแกปฏิสนธิวิญญาณเปนตนมา นามเจตสิกและกัมมัชรูปจึงมี แลวมีปวัตติวิญญาณ เปนตัวสืบตอ วิญญาณนี้จึงมี ๒ อยาง อาจมีผูสงสัยวา วิญญาณคืออะไร ในชีวิตคนเรา ถาถือ ปจจุบัน ชีวิตเริ่มตนใหมตรงที่มีปฏิสนธิวิญญาณเกิดขึ้น เมื่อปฏิสนธิวิญญาณหยั่งลงสูครรภมารดา จากนั้นเกาเดือนหรือสิบเดือนก็คลอดออกมา ฉะนั้น วิญญาณนี้เปนเหตุปจจัยใหเกิดนามรูป ทรงสาวหาสาเหตุตอไปอีกวา เมื่ออะไรมีอยูหนอ วิญญาณคือปฏิสนธิวิญญาณนี้จึงมี ก็ ทรงทราบวา เพราะสังขารไดแกเจตนาในการทํากรรม และในที่นี้หมายถึงปุพพเจตนา คือความ ปรารภในการทํากรรม เจตนาที่เรียกวาสังขารนี้ไดแก ปุญญาภิสังขาร คือเจตนาที่ปรุงแตงใหเปน บุญ อปุญญาภิสังขาร คือเจตนาที่ปรุงแตงใหเปนบาป อเนญชาภิสังขาร คือเจตนาที่ปรุงแตงใหได วิญญาณในอรูปฌาน ฉะนั้น เจตนาซึ่งเปนตัวกรรมทั้งสามอยางนี้ เปนเหตุปจจัยใหเกิดวิญญาณ เรียกวาปฏิสนธิวิญญาณ ทรงสาวหาสาเหตุตอไปอีกวา เมื่ออะไรมีอยูหนอ สังขารคือเจตนาที่ปรุงแตงใหเปนกุศล บาง เปนอกุศลบาง เปนวิญญาณใหไดในอรูปฌานบางนี้จึงมี ก็ทรงทราบวา เพราะอวิชชาไดแก ความไมรูตามความเปนจริง เพราะไมรูความเปนจริงของชีวิตจึงทําใหเกิดการเพาะบมเรื่อย ๆ และ จากการเพราะบมอวิชชาคือความไมรูในปจจุบันนี้เรื่อย ๆ จนกระทั่งกอนตาย จึงเปนเหตุปจจัยให เกิดสังขาร ๆ ก็เปนเหตุปจจัยใหเกิดวิญญาณ ๆ ก็เปนเหตุปจจัยใหเกิดนามรูปอีกตอไปไมรูจักจบสิ้น หาเงื่อนปมตรงไหนไมเจอเลย วนเวียนอยูอยางนี้ไมรูจักจบสิ้น ที่กลาวมาทั้งหมดนี้เพื่อชี้ใหเห็นวา พระสัมมาสัมพุทธเจาหลังจากที่ไดอภิญญาจิตครั้งที่ หนึ่ง คือปุพเพนิวาสานุสสติญานแลว ตอจากนั้นก็ไดอภิญญาขั้นที่สอง คือจุตูปปาตญาน เมื่อได อภิญญาทั้งสองแลว พระองคก็ทรงเอาอภิญญาทั้งสองขั้นนั้นมาเปนบาทในการเจริญวิปสสนา กําหนดรูรูปนามที่เกิดในอดีตจนถึงปจจุบัน และเห็นความเปนจริงของรูปนามตั้งแตอดีตจนถึง ปจจุบันมีแตทุกขทั้งสิ้น การเวียนวายตายเกิดมี เพราะมีรูปนาม ก็ทรงหาวาการเวียนวายตาย เกิดมาจากอะไร ก็ตามหลักปฏิจจสมุปบาทที่ไดกลาวมาแลวนั่นเอง พระสัมมาสัมพุทธเจาไดทรงคันพบปจจัยของชีวิตตั้งแตอดีตถึงปจจุบัน จนเห็นความเปน จริงของนามรูปแลว วานามรูปนี้ไมเที่ยงผันแปรเปลี่ยนแปลง นามรูปนี้เปนทุกข บังคับบัญชา อะไรไมไดเลย ไมวาจะกี่ภพกี่ชาติ เกิดแลวตองผันแปรเปลี่ยนแปลง มีแตทุกขคือคงอยูในสภาพ เดิมไมได บังคับใหเที่ยงหรือใหสุขตลอดไปก็ไมได เห็นมาตั้งแตอดีตจนถึงปจจุบันก็มีสภาพอยาง นี้ ปญญาจึงเกิด เมื่อปญญาเกิดเห็นนามรูปไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตาเชนนี้ ตัณหาก็ไม สามารถจะเกิดได ในที่สุดเมื่อปญญารูแจงแทงตลอดถึงทุกขได ตัณหาก็ดับ คําวาตัณหาดับหรือ ดับตัณหาไดนี้ ก็เรียกไดวาเขาถึงนิโรธ เมื่อเขาถึงนิโรธได จิตจึงทําหนาที่เห็นความเปนจริงของ
  • 8. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๘ ตัณหาและเห็นความเปนจริงของทุกข เมื่อนั้นตัณหาก็ดับ เมื่อตัณหาดับ จิตก็มีนิพพานเปนอารมณ และความดับของตัณหานั่นเองคือนิพพาน เมื่อจิตมีนิพพานเปนอารมณได มรรคจิตก็เกิดและจะ ประหารทิฏฐิคตสัมปะยุตในโลภมูลจิต ประหารทิฏฐิคตวิปปยุตในโลภมูลจิต ประหารโมหสัมปะ- ยุตไดทั้งหมด ความสําเร็จเปนพระอรหันตก็ไดเกิดขึ้น ทรงรูแจงในขายพระญาณวา ทุกขเปนกิจที่ ควรรู เราไดรูแลว สมุทัยคือเหตุใหเกิดทุกข เปนกิจที่ควรละ เราไดประหารแลว นิโรธคือความ ดับทุกข เปนกิจที่ควรทําใหแจง เราก็ไดทําใหแจงแลว มรรคคือหนทางปฏิบัติเพื่อใหถึงความดับ ทุกขเปนกิจที่ควรเจริญ เราก็ไดเจริญแลว ความเปนผูบริสุทธิ์หมดจดไดบังเกิดขึ้นแกเราแลว การ เปลงอุทาน วาเราไดเปนผูถึงแลวซึ่งความเปนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจาก็เกิดขึ้นแกพระองค จึงพอสรุปที่มาของอริยสัจ ๔ ไดวา พระสัมมาสัมพุทธเจาทรงบําเพ็ญเพียรทางจิต เจริญ สมถกรรมฐานดวยอานาปานสติจนกระทั่งไดปญจมฌาน และทรงเจริญปญจมฌานจนไดอรูปฌาน ๔ ตอจากนั้นอภิญญาจิตก็เกิด อภิญญาจิตเกิดในปฐมยาม เรียกวาปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ญาณที่ สองเกิดขึ้นในมัชฌิมยาม เรียกวาจุตูปปาตญาณ และญาณที่ ๓ คือปจฉิมยาม เรียกวาอาสวักขย- ญาณ การที่ทรงไดอาสวักขยญาณคือปญญาที่หยั่งรูแจงวา ทุกขเราไดรูแลว สมุทัยเราไดประหาร แลว นิโรธเราไดทําใหแจงแลว มรรคเราไดเจริญแลว กิจที่จะตองทําตอไปไมมีอีกแลว ความเปน พระสัมมาสัมพุทธเจาไดบังเกิดขึ้นแกเราแลว นี้คือทางปฏิบัติของพระพุทธเจา ฉะนั้นพระพุทธเจา จึงตรัสรูดวยวิปสสนาญาณ และญาณที่เกิดจากวิปสสนานี้เรียกวา อาสวักขยญาณ และการตรัสรู ของพระองคนี้ก็คือ ตรัสรูอริยสัจ ๔ จึงทําใหพระองคเปนเปนพระสัมมาสัมพุทธเจา นี้คือประวัติ ที่มาของอริยสัจ ๔ ความหมายของอริยสัจ ๔ ในคัมภีรวิสุทธิมรรค ทานแสดงอริยสัจโดยพิสดาร อริยสัจ ๔ คือ ๑. ทุกข ความไมสบายกายความไมสบายใจ ๒. สมุทัย เหตุเกิดแหงทุกข คือตัณหา ๓. นิโรธ ความดับทุกข ๔. มรรค ทางปฏิบัติใหถึงความดับทุกข ธรรม ๔ ประการนี้ที่ชื่อวา อริยสัจ เพราะมีความหมาย ๔ ประการ คือ ๑. เพราะพระอริยเจามีพระพุทธเจาเปนตนแทงตลอด ๒. เพราะเปนของจริงสําหรับพระอริยเจา ๓. เพราะทําใหผูแทงตลอดสําเร็จเปนพระอริยเจา ๔. เพราะเปนของจริงอันประเสริฐ พระธรรมปฎก ( ป. อ. ปยุตฺโต ) ไดใหความหมายของคําวา “อริยสัจ” คือ ความจริงอัน ประเสริฐ, ความจริงของพระอริยะ, ความจริงที่ทําใหผูเขาถึงกลายเปนอริยะ : ARIYASACCA :THE FOUR NOBLE TRUTHS
  • 9. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๙ ๑. ทุกข ( ความทุกข, สภาพที่ทนไดยาก, สภาวะที่บีบคั้น ขัดแยง บกพรอง ขาดแกนสาร และความเที่ยงแท ไมใหความพึงพอใจแทจริง, ไดแก ชาติ ชรา มรณะ การประจวบกับสิ่งอันไม เปนที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ความปรารถนาไมสมหวัง โดยยอวา อุปาทานขันธ ๕ เปน ทุกข– DUKKHA : SUFFERING; UNSATISFACTORINESS ) ๒. ทุกขสมุทัย ( เหตุเกิดแหงทุกข, สาเหตุใหทุกขเกิด ไดแก ตัณหา ๓ คือ กามตัณหา ภวตัณหา และ วิภวตัณหา -- DUKKHA –SAMUDAYA : THE CAUSE OF SUFFERING ; ORIGIN OF SUFFERING) ๓. ทุกขนิโรธ ( ความดับทุกข ไดแก ภาวะที่ตัณหาดับสิ้นไป, ภาวะที่เขาถึงเมื่อกําจัดอวิชชา สํารอกตัณหาสิ้นแลว ไมถูกยอม ไมติดของ หลุดพน สงบ ปลอดโปรง เปนอิสระ คือ นิพพาน – DUKKHA – NIRODHA : THE CESSATION OF SUFFERING ; EXTINCTION OF SUFFERING ) ๔. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ( ปฏิปทาที่นําไปสูความดับแหงทุกข, ขอปฏิบัติใหถึงความดับ ทุกข ไดแก อริยอัฎฐังคิกมรรค หรือเรียกอีกอยางหนึ่งวา มัชฌิมาปฏิปทา แปลวา “ทางสากลาง” มรรคมีองค๘ นี้ สรุปลงในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปญญา -- DUKKHA – NIRODHA : THE PATH LEADING TO THE CESSATION OF SUFFERING) ฉะนั้น ความหมาย ของอริยสัจตามที่ยกมา คงจะพอมองเห็นและเขาใจไดวา อริยสัจ ๔ คือ อะไร ก็คือ ความจริงอัน ประเสริฐ ความจริงอันประเสริฐ ชื่อวาอริยสัจ และหมายถึง ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค เทานั้น อยางอื่นไมถือวาเปนความจริงอันประเสริฐ เมื่อทราบความหมายแลว มาทําความเขาใจตอวา ความจริงอันประเสริฐนั้นคืออะไร เพราะความเปนจริงที่ประเสริฐก็มี ความเปนจริงที่ไมประเสริฐก็มี ตองทําคามเขาใจใหไดวา ความจริงที่ประเสริฐมีเพียง ๔ อยาง นอกจากนั้น เปนความจริงที่ไมประเสริฐเลย ดังนั้น เมื่อจะ หาความจริงอันประเสริฐ ก็ตองหาไดจากอริยสัจ ๔ เทานั้น จึงจะไดชื่อวา รูสิ่งที่ประเสริฐ เขาถึง สิ่งที่ประเสริฐ ไดสิ่งที่ประเสริฐ สิ่งที่ประเสริฐที่พระอริยบุคคลทั้งหลายมีพระพุทธเจาเปนตน ตรัสวาประเสริฐนั้นก็คือ ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค อาจจะไมเคยคาดคิดมากอนวา ทุกขนั่นหรือ คือสิ่งที่ประเสริฐ สมุทัยนั่นหรือ คือสิ่งที่ประเสริฐ รูสึกวามีน้ําหนักเบาไป ความรูสึกยอมรับ ไมได แตถากลาววา นิโรธ หรือ มรรค เปนสิ่งที่ประเสริฐ จะรูสึกวามีน้ําหนักดี ฟงแลวเห็นดวย แตขอใหทําความเขาใจใหไดวา นี้คือพุทธวจนะที่พระพุทธเจาตรัสไว พระพุทธเจาทรงมองเห็นวา ทุกขเปนสิ่งที่ประเสริฐ สมุทัยก็เปนสิ่งที่ประเสริฐ นิโรธก็ เปนสิ่งที่ประเสริฐ มรรคก็เปนสิ่งที่ประเสริฐ ความเขาใจของคนสามัญทั่วไปอาจจะทวนกระแสนี้ ซึ่งทุกขก็ไมอยากไดยิน ไมอยากได และไมอยากพบเห็นดวย เพราะโดยทั่วไปคนเราไมคอยคิด ไมคอยสนใจเรื่องเหลานี้ ซึ่งทานพุทธทาสภิกขุก็ไดกลาวถึงเรื่องทุกขไวในหนังสือ HANDBOOK FOR MANKIND (คูมือมนุษย) ตอนหนึ่งวา “สิ่งทั้งปวงเปนที่ตั้งแหงความทุกข แตคนทั้งหลายไม
  • 10. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๑๐ รูไมเห็นวา สิ่งทั้งปวงเปนความทุกข จึงไดมีความอยากในสิ่งเหลานั้น ถารูวามันเปนความทุกข ไม นาอยากและไมนายึดถือ ไมนาผูกพันตัวเองเขากับสิ่งที่ยึดแลว เขาก็คงจะไมไปอยาก” ซึ่งถาคนเรามีความเขาใจในเรื่องเหลานี้แลวจะเกิดประโยชน อยางมากทีเดียว ถาไมเขาใจ เรื่องเหลานี้ ประโยชนก็จะไมเกิดเลย จึงควรทําความเขาใจในสิ่งที่ประเสริฐเหลานี้บาง แตจะ ขยายความเฉพาะอริยสัจเฉพาะขอแรกเทานั้น คือเนื้อความของทุกข เนื้อความของ “ทุกข” ในอริยสัจ ๔ ทุกขอริยสัจ คืออะไร มีบาลีวา ทุกฺขํ เอวํ อริยสจฺจนฺติ ทุกฺขอริยสจฺจํ แปลวา ทุกขนั่นเอง เรียกวาอริยสัจ คือขันธ ๕ หรือรูปนามนั่นเอง ขื่อวา ทุกขอริยสัจ คําวา “ทุกข” นั้นเปน “ธรรมชาติที่ทนอยูไดยาก” ซึ่งเปนความจริงหรือไมวิปริต เปลี่ยนแปลงเปนอยางอื่น ในอริยสัจจอรรถกถาเปนสภาวะ มี ๔ ประการ คือ ๑. ปฬนตฺโถ มีสภาพเบียดเบียนเปนนิจ ๒. สงฺขตตฺโถ มีสภาพปรุงแตงอยูเนือง ๆ ๓. สนฺตาปตฺโถ มีสภาพเรารอนไมรูจักวาย ๔. วิปริณามตฺโถ มีสภาพไมคงที่แปรปรวนอยูเสมอ สวนพุทธทาสภิกขุ ไดใหความหมายของคําวา “ทุกข” ไว ๒ ความหมาย คือ ทุกข หมายถึงความเจ็บปวดทนทุกขทรมาน อยางหนึ่ง และทุกขหมายถึง สิ่งที่นาเกลียดที่สุด อยางหนึ่ง แตทานเนนไปที่ความหมายที่สองคือ“เห็นแลวนาเกลียด” เพราะครอบคลุมสังขารทุกอยาง สวนเนื้อความของ ”ทุกข” ที่รูจักและพอจะคุนเคย ก็คือทุกขที่พระพุทธเจาแสดงไวใน ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร ซึ่งปรากฏในพระสูตร และรัชกาลที่ ๔ ตัดเอาเนื้อความจากธรรมจักร กัปปวัตนสูตรมาไวในบทสวดมนตทําวัตรเชา– เย็น ดังนี้ ทุกขสัจในทางพระสูตรมี ๑๒ กอง สภาวะทุกข พระบาลีพุทธวจนะ คําแปล อิทํ โข ปน ภิกฺขเว ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี่แหละ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ทุกขอยางแทจริง คือ: ชาติป ทุกฺขา แมความเกิดก็เปนทุกข ชราป ทุกฺขา แมความแกก็เปนทุกข มรณมฺป ทุกฺขํ แมความตายก็เปนทุกข ปกิณณกทุกข - โสก ความเศราโศก, ความแหงใจ - ปริเทว ความร่ําไรรําพัน, ความคร่ําครวญ
  • 11. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๑๑ - ทุกฺข ความไมสบายกาย - โทมนสฺส - ความไมสบายใจ - อุปายาสาป ทุกฺขา ความคับแคนใจ, ก็เปนทุกข - อปฺปเยหิ สมฺปโยโค ทุกฺโข ความประสบสิ่งไมเปนที่รักที่พอใจ ก็เปนทุกข - ปเยหิ วิปฺปโยโค ทุกฺโข ความพลัดพรากจากสิ่งเปนที่รักที่พอใจ ก็เปนทุกข - ยมฺปจฺฉํ น ลภติ ตมฺป ทุกฺขํ มีความปรารถนาสิ่งใน ไมไดสิ่งนั้น นั้นก็เปนทุกข ทุกขโดยสรุป สงฺขิตฺเตน ปฺจุปาทา นกฺขนฺธา ทุกฺขา วาโดยยอ อุปาทานขันธทั้ง ๕ เปนตัวทุกข รวมทุกขที่ตรัสไวในพระสูตรทั้งหมดมี ๑๒ กอง นี้คือทุกขที่พระพุทธเจาไดตรัสไว แตถาอาน เพียงเทานี้ ก็อาจจะไมเขาใจทุกขได เพราเนื้อความของทุกขจริง ๆ แลวมีมากกวานี้ มาทําความ เขาใจตอไป ทุกขสัจในทางพระอภิธรรมมี ๑๖๐ อยาง ในทางพระอภิธรรมมีสภาวะของทุกขสัจทั้งหมด ๑๖๐ อยาง ไดแก จิตที่เปนโลกิยะ ๘๑ เจตสิก ๕๑ ( เวนโลภเจตสิก ) รูป ๒๘ รวมเปน ๑๖๐ อยาง ในทุกขสัจ คือในสภาวะธรรม ๑๖๐ ที่วาเปนทุกข เพราะมีสภาพใจความที่เปนไป ๔ ประการ คือ ๑. เปนสภาพที่บีบคั้นหรือขมเหง ๒. เปนสภาพที่ตองปรุงแตงเนือง ๆ คือตองบํารุงบริหารสังขารอยูเนือง ๆ ๓. เปนสภาพที่ทําใหเดือดรอน เชน รางกายไมแข็งแรงก็เดือดรอน ๔. เปนสภาพที่ไมคงที่ กลับกลอกและฉิบหายอยูเสมอดวยความเย็นและรอน เมื่อนําเอาทุกขสัจในปฎกทั้งสองมาศึกษาและพิจารณาแลวจะเห็นวา มีเนื้อความเปนอัน เดียวกัน ไมขัดกัน เชน ในพระสูตร ทานกลาวทุกขสัจไว ๑๒ อยาง มีชาติ เปนตน มีปญจุ ปาทานขันธ เปนที่สุด ลองตั้งคําถามที่ทานกลาวไวในพระสูตรวา ชาติคือความเกิด เปนทุกข ความแก เปนทุกข ความตาย เปนทุกขนั้น คืออะไร ใครเกิด ใครแก ใครตาย, ถามเรื่อยไปจน ครบ ๑๒ อยาง เปนเรื่องของอะไร และเปนเรื่องของใคร เพราะเปนที่ทราบกันดีวา ในทาง พระพุทธศาสนานั้น ปฏิเสธสัตว บุคคล ตัวตน เราเขา ซึ่งถือวา เปนสมมุติบัญญัติ เมื่อเอาสมมุติ บัญญัติออกเสีย ก็หมายความวา ไมมีคนเกิด ไมมีคนแก ไมมีคนตาย ถาเปนเชนนั้นแลว อะไร เลาเกิด อะไรเลาแก อะไรเลาตาย ก็จะตอบไดทันทีวา ขันธ ๕ หรือ นามรูป นั่นแหละเกิด แก และ ตาย ไมใชอยางอื่นเลย เปนเรื่องของเบญจขันธ หรือ นามรูปนั่นเอง หมายความวา
  • 12. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๑๒ ในพระสูตรนั้น ทานแสดง “ลักษณะ” ความเปนทุกขของเบญจขันธ สวนในพระอภิธรรมทาน แสดง “ตัวเบญจขันธ” จึงเปนอันวา ทุกขสัจในปฎกทั้งสองเปนอยางเดียวกัน หาขัดกันไม อันดับแรกควรทําความเขาใจใหไดวา ทุกขที่วาเปนสิ่งที่ประเสริฐนั้น ถาหากใครไปดูไปรู ไปเห็นทุกข ไดชื่อวาประเสริฐ คือใครรูทุกขแลว ผูนั้นจะไดเปนพระอริยะ ผุนั้นจะเปนผูหมดจด จากกิเลสได อยางนี้ไมเรียกวาประเสริฐอีกหรือ รูเงินรูทอง รูวิธีการทําเงินทําทอง รูวิธีการทํา การเกษตรรมการผลิต รูเทคโนโลยีที่ทันสมัยตาง ๆเปนตน รูเรื่องตาง ๆ เหลานี้ทั้งหมด ไมถือวา ประเสริฐ แตถารูวาทุกขคืออะไร อะไรคือทุกข ไดชื่อวารูในสิ่งที่ประเสริฐแลว จึงควรทําความ เขาใจใหไดวา ทุกขที่เปนอริยสัจนั้นคืออะไร และการเขาไปรูทุกขก็ไดชื่อวารูในสิ่งที่ประเสริฐ ฉะนั้น ทุกขจึงเปนอริยสัจ สมุทัยคือเหตุใหเกิดทุกข การรูสมุทัยและละสมุทัย ทําใหสมุทัยนั้นดับโดยไมใหสมุทัย เกิดอีกตอไป การรูทุกข และดับสมุทัยตามกิจของอริสัจได ก็เปนเหตุใหเขาถึงความเปน พระอริยบุคคลได เพราะฉะนั้นทุกขกับสมุทัยก็เปนตนเหตุใหเขาถึงความเปนพระอริยบุคคลได สิ่งที่ประเสริฐนั้น ไมใชสุข แตเปนทุกข แตทุกขที่จะเปนสิ่งที่ประเสริฐไดนั้น เพราะการ เขาไปรู (ปริญเญยยกิจ) เมื่อใดปญญาเกิดรูตามความเปนจริงวา ทุกขคืออะไร อะไรคือทุกข และ ยอมรับความเปนจริง เมื่อนั้นถือวามีสมบัติที่ประเสริฐไวกับตน จะเห็นไดวา ทางเดินของชีวิตของคนเราในปจจุบัน จะสวนทางกับพระพุทธเจา พระพุทธเจาแสวงหาทางพนทุกขใหกับเรา แตเราไมแสวงหาทางพนทุกข เพราะเราแสวงหาทุกข อยูตลอดเวลา ในขณะที่พระพุทธองคบอกเราวา ทุกขคืออะไร อะไรคือทุกข เมื่อเราไมเขาใจตรง นี้ ก็พากันแสวงหาทางพนทุกข การแสวงหาทางพนทุกขดวยการเดินเขาไปหาทุกข โดยที่ไมรูวา นั่นคือทุกข เกาะทุกขไวอยางเหนียวแนน ยึดทุกขไวเปนที่พึ่ง ละทุกขไมได แลวก็บอกวาอยากจะ พนทุกข เมื่อเปนเชนนี้จะพนทุกขไดอยางไร เพราะการแสวงหาทางพนทุกข ถาไมรูจักวาทุกขคือ อะไร อะไรคือทุกข จะพนจากทุกขไดอยางไร และทางที่จะใหพนจากทุกขมีทางเดียวเทานั้น คือ การรูทุกข และละเหตุใหเกิดทุกข ก็จะทําใหถึงการพนทุกขได อริยสัจทั้งสี่ เรียกตามภาษาธรรมวา ทุกขอริยสัจจะ สมุทยอริยสัจจะ ทุกขนิโรธอริยสัจ- จะ และทุกขนิโรธคามินีอริยสัจจะ ตองขึ้นตนดวยคําวาทุกขทั้งหมด จึงควรทําความเขาใจใหไดวา ทุกขเปนของดี เพราะถาทุกขไมใชของดี ทุกขนี้จะไมไดตําแหนงอริยสัจแนนอน ลองพิจารณาวา ในอริยสัจนั้นมีสุขหรือไม ไมมีเลย อริยสัจมีทุกข มีเหตุใหเกิดทุกข มีความดับทุกข และมีธรรมที่ ใหถึงความดับทุกข เปนเรื่องที่นาคิดใชหรือไมวา ทุกขถูกยกขึ้นมาเปนอริยสัจ เปนของประเสริฐ ถามวาประเสริฐตรงไหน เพราะถาใครรูทุกขแลวจะทําใหผูนั้นไดเปนผูประเสริฐ และสมุทัยถา ใครละแลว จะทําใหผูนั้นไดเปนผุประเสริฐ นิโรธคือนิพพาน ถาใครทําใหแจงแลว ก็จะทําใหผู นั้นเปนผูที่ประเสริฐ สวนมรรคไดชื่อวาเปนสิ่งที่ประเสริฐ เพราะถาใครเจริญมรรคไดแลว ผูนั้นก็ จะไดชื่อวาเปนผูที่ประเสริฐ ฉะนั้น ผูที่เขาถึงอริยสัจทั้งสี่ประการ จึงชื่อวาเปนผูที่ประเสริฐ
  • 13. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๑๓ ควรจะไดศึกษาใหเขาใจใหไดวา ทุกขคืออะไร อะไรคือทุกข จึงมีตําแหนงในอริยสัจ ๔ ได ถาเราไดรูและเขาใจอยางที่พระพุทธเจาสอน นั่นแหละคืออริยสัจ ๔ จริง ๆ ความเขาใจของ คนเราโดยทั่วไปเชน การไมมีกินไมมีใชไมมีเงินไมมีทองก็ตองทุกขแน นั่นคือพื้นฐานความเขาใจ ของคนสามัญ แตทุกขที่จะทําใหเขาถึงความเปนพระอริยะมิใชมีเพียงแคนี้ ทุกขนั้นคือ ตองผัน แปรเปลี่ยนแปลง เกิดแลวตองดับ และบังคับอะไรมันไมได นี่คือทุกข และมีอะไรบางเลา ที่เกิด มาแลวไมดับ ไมผันแปรเปลี่ยนแปลง และเราสามารถบังคับใหเปนสุขไดตลอดไป ไมมีเลย ฉะนั้น ที่ไหนมีความไมเที่ยงคงอยูในสภาพเดิมไมได ที่ไหนมีความเปนทุกข ที่ไหนมี การบังคับบัญชาอะไรไมไดเลย นั่นคือทุกข แลวอะไรเลา ที่ทําใหเปนไปอยางนั้น ทราบหรือไม ก็ขันธ ๕ นั่นเอง ขันธ ๕ คือตัวทุกข และทุกขเปนปริเญยยกิจ เปนกิจที่ควรรุ เมื่อใดไดรูทุกข เมื่อ นั้นไดชื่อวา รูอริยสัจขอที่ ๑ ที่พระพุทธเจาตรัสไวแลว และความประเสริฐแหงจิตไดเกิดขึ้นแลว ทุกขเปนสภาพที่บีบคั้น ทนไดยาก ในชีวิตคนเราไมเคยรูเลยวา สภาพที่บีบคั้นและทนได ยากนั้นมาจากอะไร ใครเปนทุกข รูอยูอยางเดียววา เรานี้เอง ฉันนี้เองเปนทุกข จะรูอยูเพียงแคนี้ ไมเคยรูเลยวา เราและฉันไมไดเปนทุกข แตที่ทุกขคือขันธ ๕ เมื่อการรูแจงตามความเปนจริงยังไม เกิด ความเปนอริยะก็เกิดไมได ถาเมื่อใดรูแจงตามความเปนจริงแลว นั่นคือ ความเปนอริยะก็เกิด โดยปกติคนเราไมเคยสนใจเรื่องเหลานี้ เรารูอยูอยางเดียว เราอยากไดความสุข ดิ้นรนทุก วิถีทางเพื่อใหไดความสุขมาตอบสนองความตองการของเรา เพราะในความตองการของชีวิตคนเรา ไมมีใครอยากไดความทุกข อยากไดแตความสุข แตความสุขที่ตนเองอยากได แทจริงมันอยูที่ ตรงไหนก็ไมรู ตางแสวงหาขันธอยากไดขันธ ตองการขันธ ไมรูเลยวา ขันธนั้นคือตัวทุกข ตัว ทุกขที่แทจริงมี ๒ อยาง คือ ขันธ ๕ และ การเขาไปยึดถือขันธื ๕ เมื่อใดมีขันธ ๕ เมื่อใดมีการ เขาไปยึดถือขันธ ๕ เมื่อนั้นมีทุกขแนนอน ถาความรูความเขาใจอยางนี้เกิดขึ้นแกเราวา นี้คือขันธ ๕ นี้คือ การเขาไปยึดถือขันธ ๕ เวลาที่ทุกขเกิดขึ้นแกเราจริง ๆ ในชีวิตประจําวัน เราก็จะรูวา ทุกขนี้ไมใชเราทุกข มันคือขันธ ๕ มันคือปญจุปาทานขันธ เมื่อปญหาคือความทุกขเกิดขึ้นกับเรา ๆ ก็สามารถใชปญญาคือความรูความเขาใจที่ถูกตองอยางนี้มาใชแกปญหาได สิ่งที่ประเสริฐไมใช สุข แตสิ่งที่ประเสริฐคือทุกข และทุกขที่จะประเสริฐไดนั้นเพราะการเขาไปรู เมื่อใดปญญาเกิดรู แจงตามความเปนจริงของทุกขวา ทุกขคืออะไร อะไรคือทุกข แลวยอมรับความเปนจริงตรงนี้ได เมื่อไร เมื่อนั้นจะทําใหเปนผูมีสมบัติอันประเสริฐติดตัว คือการเขาไปรูทุกข และสมุทัยก็เปนสิ่งที่ ประเสริฐได เพราะเปนเหตุใหเกิดทุกข ใครรูไดวาสมุทัยเปนเหตุใหเกิดทุกข และดับสมุทัยได เมื่อไร นั่นคือมีอริยะสมบัติติดตัวเชนกัน เพราะอะไร เพราะวาขันธ ๕ ที่เราไดมามี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้น เมื่อไมเรียนรูใหเขาใจอาจไมรูวา ใครเปนเจาของ ตอบไดเลย วา ขันธ ๕ ที่มีอยูเพราะกิเลสเปนเจาของ กิเลสที่เปนเจาของตัวนี้คือใคร ก็คือสมุทัย สมุทัยทัย เปนชื่อของใคร เปนชื่อของตัณหาๆ เปนชื่อของใคร เปนชื่อของโลภมูลจิต เมื่อใดจิตมีโลภะเขา
  • 14. รายงานพุทธศาสนาเถรวาท หนา ๑๔ ประกอบเกิดขึ้น เมื่อนั้นใหรูวา เหตุใหเกิดทุกขเกิดขึ้นแลว เพราะอะไร เพราะตัณหาคือเหตุให เกิดทุกข เ กิดขันธ ๕ และเกิดการเขาไปยึดขันธ ๕ การที่ละเหตุใหเกิดทุกข ละไดเมื่อใด เมื่อนั้นขันธ ๕ ที่ เรามีอยู จะมีอยูเฉพาะปจจุบันนี้ อนาคตจะไมมี เพราะวาขันธ ๕ มีเมื่อใด ขันธ ๕ เปนที่ตั้งแหง ทุกขเมื่อนั้น เมื่อทุกขเกิดเราจะไปโทษสังขารหรือขันธชุดนี้ไมได เพราะวามันเปนผลของตัณหา มัน เกิดเพราะอาศัยตัณหาเปนตนเหตุ เมื่อตัณหาเปนตนเหตุเราจะไปทําลายผลคืออัตภาพชุดนี้ไมได เชน ฆาตัวตาย กินยาตาย ปญหาเหลานี้เกิดจากอะไร เกิดจากคิดผิด เขาใจผิด จึงแกปญหาผิด ไม มีใครบอกเราเลยวาขันธ ๕ หรือรูปนามชุดนี้เปนทุกข แลวทุกขคือขันธ ๕ ชุดนี้ไมควรไปประหาร หรือทําลายหรือฆามันเลย สิ่งที่ตองทําลายไมใชขันธ ๕ ชุดนี้ แตที่ควรทําลายและประหารฆาคือ ตัณหา ถาจะคิดฆาควรฆาตัณหา ผูใดฆาตัณหาได คือผูประเสริฐ ตราบใดที่ยังมีตัณหา ตราบนั้น ยังมีภพชาติตอไป ทุกขคือสภาพที่ทนไดยาก นั่นก็คือขันธ ๕ แตกอนเรารูอยางเดียววา เราตองการ ความสุข ดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อใหไดความสุขมาตอบสนองตนเอง ในความตองการคนเรานั้นไม อยากไดความทุกขเลย อยากไดแตความสุข ตัวทุกขที่แทจริงมีอยู ๒ อยาง คือ ขันธ ๕ และการ เขาไปยึดขันธ ๕ เมื่อไดความเขาใจเกิดขึ้นวา นี่คือขันธ ๕ นี่คือการเขาไปยึดขันธ ๕ พอทุกข เกิดขึ้น เราก็จะรูทันทีวา ทุกขนี้ไมใชเรา เปนเพียงขันธ ๕ และ การเขาไปยึดถือขันธ ๕ เทานั้นเอง อัตภาพชุดนี้คือผลของตัณหาที่เราไดทําไวแลวในอดีต เมื่อเหตุสรางไวแลวอยางไร ผลก็ ตองไดรับอยางนั้น ลองสองกระจกดูก็ได สวนตัณหาในปจจุบันจักเปนเหตุใหไดขันธ ๕ ชุดใหม ในอนาคต จึงเรียกไดวาขณะนี้เราใชของเกา สวนของใหมนั้นจะเปนตัณหาหรือไมก็ลองพิจารณาดู เชนการทําบุญกุศลตางๆ ประกอบดวยตัณหาความอยากหรือไม มีตัณหารวมดวยหรือไม ทําความ ดีมีตัณหารวมดวยหรือไม กุศลใดมีตัณหาเปนเหตุปจจัย กุศลนั้นเรียกวา “วัฏฏกุศล” ยัง ตองนําใหเกิดอีก แตเปนการนําใหเกิดที่ดี ใหสุคติเปนที่หวัง ตัณหาครอบงําไดตั้งแตมนุษย เทวดา พรหม อรูปพรหม แตไมเรียกวาตัณหา เรียกวา“สังโยชน” คือกามสังโยชน พระอรหันตทําลายทุกขไดหมดแลว นั่นหมายถึงทุกขที่จะเกิดตอไปขางหนาหมด แตทุกข ในปจจุบันยังมีอยู คือทุกขอันเนื่องจากขันธ ตราบใดมีขันธพระอรหันตยังปวยยังเจ็บ ยังตองกิน ตองดื่ม ยังมีการหิวกระหาย มีการขับถายเชนกัน แตพระอรหันตหมดอุปาทานขันธแลว ฉะนั้น พระอรหันตมีชีวิตอยูเพียงเพื่อรอโอกาส หมดอายุของขันธเมื่อไร ก็นิพพานเมื่อนั้น อายุของขันธ ยังมีอยูพระอรหันตก็ไมขวนขวายที่จะตอหรือทําลาย ถาพระพุทธเจายังอยูก็จะไปกราบลาทูลของ นิพพาน แตถากิจของพระอรหันตยังมีอยูตองไปทํากิจนั้นใหเสร็จ พระองคก็จะบอก เชน พระสา รีบุตรพิจารณาเห็นวาอายุของขันธหมดแลว ก็ไปทูลลาปรินิพพาน แตพุทธเจาบอกวากิจของพระ