SlideShare a Scribd company logo
1 of 23
Download to read offline
1

รายงาน
เรือง การสือสารข้ อมูล

เสนอ
ครู จุฑารัตน์ ใจบุญ

โดย
นางสาววรรณสวรรค์ อ่ อนรู้ ที เลขที 26
ชันมัธยมศึกษาปี ที 4/1
โรงเรียนรัษฏานุประดิษฐ์ อนุสรณ์
2

คํานํา
ในการทํารายงานเล่มนีเป็ นส่วนหนึงของวิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี ง 31102 ของชันมัธยมศึกษาปี
ที 4/1 เพือให้นกเรี ยนได้เรี ยนรู้เกียวกับ การสือสารข้อมูล ซึงในรายงานเล่มนีมีความรู้เกียวกับ ความหมาย
ั
สือกลางการสือสารข้อมูล องค์ประกอบต่างๆของการสือสารข้อมูล ชนิดของการสือสาร อุปกรณ์สาหรับ
ํ
การสือสารข้อมูลและการสือสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สาหรับการสือสาร การเชือมต่อ สัญณาญ
ํ
การส่งข้อมูล เป็ นต้น และได้รับความรู้จากรายงานเล่มนีอีกมากมาย ผูจดทํามีความสนใจทีทําเรื องนีขึน
้ั
ผูจดทําหวังว่าเนือหาทีผูทาได้ทามีประโยชน์แก่ผทีสนใจไม่มากก็นอยหากเนือหาผิดตกบกพร่ องประการ
้ั
้ ํ ํ
ู้
้
ใด ขออภัยไว้ ณ ทีนีด้วย
คณะผูจดทํา
้ั
3

สารบัญ
เรือง

หน้ า

การสือสารข้อมูลหมายถึง

4

องค์ประกอบพืนฐานในการสือสาร

4

ชนิดของสือสาร

5

การสือสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์

6

ประเภทของสัญญาณ

7

สือกลางการสือสาร

7

อุปกรณ์ส่อสารข้อมูล

13

การเชือมต่อเครื อข่ายสลับช่องทางการสือสาร

17

การใช้เทคโนโลยีในการสือสาร

18

ชนิดของสัญญาณข้อมูล

19

ประโยชน์ของการสือสารข้อมูล

20

ประเภทของการสือสาร

20

การรับสัญญาณ

21

สรุ ปการสือสารข้อมูล

22
4

การสือสารข้ อมูล หมายถึง กระบวนการถ่ายโอนหรื อแลกเปลียนข้อมูลระหว่างผูรับและผูส่งโดยผ่าน
้
้
ช่องทางสือสาร เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรื อคอมพิวเตอร์เป็ นตัวกลางในการส่งข้อมูล เพือให้ผส่งและ
ู้
ผูรับ เกิดความเข้าใจซึงกันและกัน ในปัจจุบนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสือสาร ทําให้เราหันมาให้
้
ั
ความสําคัญต่อการติดต่อสือสารผ่านเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ทําให้เราสามารถติดต่อเชือมโยงข้อมูลถึงกันได้
ทัวโลก ไม่ว่าจะอยูในรู ปของอินเทอร์เน็ต หรื อด้านการติดต่อสือสารโทรคมนาคมในระยะไกลต่าง ๆ
่
ก่อให้เกิดการนําเทคโนโลยีการสือสารข้อมูลมาใช้ในวงการธุรกิจต่าง ๆ เป็ นการนําความรู้จากข้อมูล
ข่าวสารทีได้รับมาสร้างทางเลือกในการตัดสินใจในการดําเนินธุรกิจต่าง ๆ ส่งผลให้เราสามารถลดต้นทุน
ลดเวลาในการติดต่อสือสารส่งเสริ มให้เกิดการใช้งานทรัพยากรร่ วมกัน ซึงเหมาะกับสภาพขององค์กรใน
ปัจจุบนทีต้องการการแข่งขันทีค่อนข้างสูง
ั
จากจุดเริ มแรกทําให้มีการใช้บริ การด้านการสือสารโทรคมนาคมเพิ มมากขึน ไม่ว่าจะเป็ นการใช้งาน
ผ่านเครื อข่ายอินเทอร์เน็ต และเว็บไซต์เพือการพาณิ ชย์ต่าง ๆ ส่งผลให้เกิดแรงผลักดันในการพัฒนา
เทคโนโลยีสมัยใหม่เพิ มขึนอย่างรวดเร็ ว เห็นได้ง่าย ๆ จากการเปลียนแปลงจากการสือสารแบบอนาล็อก
เป็ นเทคโนโลยีเครื อข่ายดิจิทล ทําให้มีความเร็ วในการส่งข้อมูลสูงขึน และส่งข้อมูลได้เป็ นจํานวนมาก ลด
ั
ความผิดพลาดในการส่งข้อมูล ซึงสามารถส่งสารสนเทศทังทีเป็ นข้อมูลประเภท เสียง และวิดีโอ ไปพร้อม
ๆ กัน อีกทังการใช้ดาวเทียมสือสารทําให้สามารถส่งข้อมูลภาพและเสียงข้ามซีกโลกได้อย่างรวดเร็ ว
รวมทังการใช้เซลลูลาห์หรื อเครื อข่ายไร้สายอืน ๆ นับว่าเป็ นการทําให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการใช้
อุปกรณ์แบบพกพาแบบต่าง ๆ ทําให้เราสามารถติดต่อสือสารกันได้ทวโลก
ั

องค์ประกอบพืนฐานในการสื อสารข้ อมูล
องค์ประกอบพืนฐานของการสือสารข้อมูลสามารถแบ่งออกได้เป็ น 5 ส่วนแสดงดังรู ป

องค์ประกอบการสือสาร
5

1. ผูส่งหรื ออุปกรณ์ส่งข้อมูล (Sender) เป็ นแหล่งต้นทางของการสือสารโดยมีหน้าทีในการให้กาเนิดข้อมูล
้
ํ
หรื อเตรี ยมข้อมูล เช่น ผูพด คอมพิวเตอร์ตนทาง เป็ นต้น
้ ู
้
2. ผูรับหรื ออุปกรณ์รับข้อมูล (Receiver) เป็ นแหล่งปลายทางของการสือสาร หรื อเป็ นอุปกรณ์
้
สําหรับข้อมูลทีจะนําข้อมูลนันไปใช้ดาเนินการต่อไป เช่น ผูรับ คอมพิวเตอร์ปลายทาง เครื องพิมพ์
ํ
้
3. ข่าวสาร (Massage) เป็ นตัวเนือหาของข้อมูล ซึงมีได้หลายรู ปแบบดังนี คือ
– ข้อความ (Text) ข้อมูลทีอยูในรู ปอักขระ หรื อเอกสาร เช่น ข้อความในหนังสือ เป็ นต้น
่
– เสียง (Voice) ข้อมูลเสียงทีแหล่งต้นทางสร้างขึนมา ซึงอาจจะเป็ นเสียงทีมนุษย์หรื ออุปกรณ์
บางอย่างเป็ นตัวสร้างก็ได้
– รู ปภาพ (Image) เป็ นข้อมูลทีไม่เหมือนข้อความตัวอักษรทีเรี ยงติดต่อกัน แต่จะมีลกษณะ
ั
เหมือนรู ปภาพ เช่น การสแกนภาพเข้าคอมพิวเตอร์ เป็ นต้น เมือเปรี ยบเทียบข้อมูลรู ปภาพกับข้อมูลข้อความ
แล้วรู ปภาพจะมีขนาดใหญ่กว่า
– สือผสม (Multimedia) ข้อมูลทีผสมลักษณะของทังรู ปภาพ เสียงและข้อความเข้าด้วยกัน โดย
สามารถเคลือนไหวได้ เช่น การเรี ยนผ่านระบบ VDO conference เป็ นต้น โดยข้อมูลจะมีขนาดใหญ่มาก
4. สือกลางหรื อตัวกลางในการนําส่งข้อมูล (Medium) เป็ นสือหรื อช่องทางทีใช้ในการนําข้อมูลจากต้นทาง
ไปยังปลายทาง ซึงอาจเป็ นตัวกลางทีมีสายสัญญาณ เช่น สายไฟ หรื อตัวกลางทีไม่ใช้สายสัญญาณ เช่น
อากาศ เป็ นต้น
5. โปรโตคอล (Protocol) เป็ นข้อกําหนดหรื อข้อตกลงถึงกฎระเบียบและวิธีการทีใช้ในการสือสาร
เพือให้ผส่งและผูรับมีความเข้าใจตรงกัน
ู้
้

ชนิดของการสื อสาร
การสือสารข้อมูลระหว่างผูรับกับผูส่งสามารถแบ่งได้เป็ น 3 ประเภท
้
้
1. การสือสารข้อมูลทิศทางเดียว (Simplex Transmission) เป็ นการติดต่อสือสารเพียง
ทิศทางเดียว คือผูส่งจะส่งข้อมูลเพียงฝั งเดียวและโดยฝั งรับไม่มีการตอบกลับ เช่น การกระจายเสียงของ
้
สถานีวิทยุ การส่ง e-mail เป็ นต้น แสดงดังรู ป
6

แสดงการสือสารข้อมูลทิศทางเดียว
2. การสือสารข้อมูลสองทิศทางสลับกัน (Half Duplex Transmission) เป็ นการสือสาร 2 ทิศทางแต่คนละ
เวลากัน เช่น วิทยุสือสาร เป็ นต้น แสดงดังรู ป

แสดงการสือสารข้อมูลสองทิศทางสลับกัน
3. การสือสารข้อมูลสองทิศทางพร้อมกัน (Full Duplex Transmission) เป็ นการสือสาร 2 ทิศทาง โดย
สามารถส่งข้อมูลในเวลาเดียวกันได้ เช่น การคุยโทรศัพท์ เป็ นต้น แสดงดังรู ป

แสดงการสือสารข้อมูลสองทิศทางพร้อมกัน

การสื อสารข้ อมูลทางคอมพิวเตอร์
การสือสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ หมายถึง การโอนถ่าย (Transmission) ข้อมูลหรื อการแลกเปลียนข้อมูล
ระหว่างผูส่งต้นทางกับผูรับปลายทาง ทังข้อมูลประเภท ข้อความ รู ปภาพ เสียง หรื อข้อมูลสือผสม โดยผูส่ง
้
้
้
ต้นทางส่งข้อมูลผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรื อคอมพิวเตอร์ ซึงมีหน้าทีแปลงข้อมูลเหล่านันให้อยู่ในรู ป
สัญญาณทางไฟฟ้ า (Electronic data) จากนันถึงส่งไปยังอุปกรณ์หรื อคอมพิวเตอร์ปลายทาง
7

ประเภทของสั ญญาณ
ข้อมูลทีใช้ในการสือสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ ต้องเป็ นข้อมูลทีอยูในรู ปสัญญาณทางไฟฟ้ า ซึงสามาถ
่
จําแนกสัญญาณได้ 2 ลักษณะ
1.

สัญญาณแบบดิจิทล(Digitals signal)
ั

เป็ นสัญญาณทีถูกแบ่งเป็ นช่วงๆ อย่างไม่ต่อเนือง (Discrete) โดยลักษณะของสัญญาณจะแบ่งออกเป็ นสอง
ระดับเพือแทนสถานะสองสถานะ คือ สถานะของบิต 0 และสถานะของบิต 1 โดยแต่ละสถานะคือ การให้
แรงดันทางไฟฟ้ าทีแตกต่างกัน การทํางานในคอมพิวเตอร์ใช้สญญาณดิจิทล แสดงดังรู ป
ั
ั

แสดงสัญญาณแบบดิจิทล
ั
2.

สัญญาณอนาลอก(Analog Signal)

เป็ นสัญญาณคลืนแม่เหล็กไฟฟ้ าทีมีความต่อเนืองของสัญญาณ โดยไม่เปลียนแปลงแบบทันทีทันใด
เหมือนกับสัญญาณดิจิทลเช่นเสียงพูดหรื ออุณหภูมิในอากาศเมือเทียบกับเวลาทีเปลียนแปลงอย่าง
ั
ต่อเนือง

แสดงสัญญาณแบบอนาลอก

สื อกลางการสื อสาร (Transmission media)
8

สื อกลางในการส่ง การส่งข้อมูลจากผูส่งไปยังผูรับให้ครบถ้วนและถูกต้องจําเป็ นต้องอาศัยสือกลางใน
้
้
การเชือมต่อซึงสือกลาง (Medium) ทําหน้าทีเป็ นเส้นทางเดินของข้อมูล โดยคุณภาพของสัญญาณทีถูก
ส่งออกไปจะเกิดการสูญเสียความเข้มของสัญญาณระหว่างเส้นทางการสือสารทําให้ขอมูลฝั งรับเกิด
้
ข้อผิดพลาดและเป็ นการลดทอนประสิทธิภาพของการสือสารลง ซึงสือทีใช้ในการส่งผ่านข้อมูล
(Transmission medium) จึงส่งผลต่อประสิทธิภาพในการส่งด้วย โดยสือกลางในการส่งแบ่งออกเป็ น 2
ประเภท
1. สือกลางแบบมีสาย (Guide media)
เป็ นสือซึงอาศัยวัสดุทีจับต้องได้เป็ นตัวส่งผ่านสัญญาณ เช่น สายทองแดง สายคู่ตีเกลียว (Twisted pair)
1.1 Twisted Pair (สายคู่ตีเกลียว)
สายคู่ตีเกลียวแบ่งออกเป็ นสายคู่ตีเกลียวไม่หุมฉนวนเรี ยกสันๆ ว่า UTP (Unshielded Twisted Pair)
้
และสายคู่ตีเกลียวหุมฉนวน (Shielded Twisted Pair) - UTP (Unshielded Twisted Pair)สายคู่บิดเกลียว
้
(twisted pair) ประกอบด้วยเส้นลวดทองแดงทีหุมด้วยฉนวนพลาสติก 2 เส้นพันบิดเป็ นเกลียว ทังนีเพือลด
้
การรบกวนจากคลืนแม่เหล็กไฟฟ้ าจากคู่สายข้างเคียงภายในเคเบิล เดียวกันหรื อจากภายนอก กล่าวคือ สาย
ทองแดงทีมีเส้นผ่านศูนย์กลางกว้าง จะสามารถส่งสัญญาณไฟฟ้ ากําลังแรงได้ ทําให้สามารถส่งข้อมูลด้วย
อัตราส่งสูง สามารถใช้ส่งข้อมูลได้ถึงร้อยเมกะบิตต่อวินาที ในระยะทางไม่เกินร้อยเมตร เนืองจากสายคู่บิด
เกลียว มีราคาไม่แพงมาก ใช้ส่งข้อมูลได้ดี จึงมีการใช้งานอย่างกว้างขวางมี 2 ชนิด คือ
1.สายทองแดงแบบไม่หุมฉนวน (Unshielded Twisted Pair : UTP)
้
มีราคาถูกและนิยมใช้กนมากทีสุด ส่วนใหญ่มกใช้กบระบบโทรศัพท์ แต่สายแบบนีมักจะถูกรบกวนได้
ั
ั ั
ง่าย และไม่ ค่อยทนทาน
2.สายทองแดงแบบหุมฉนวน (Shielded Twisted Pair : STP)
้
มีลกษณะเป็ นสองเส้น มีแนวแล้วบิดเป็ นเกลียวเข้าด้วยกันเพือลดเสียงรบกวน มีฉนวนหุมรอบ
ั
้
นอก มีราคาถูก ติดตังง่าย นําหนักเบาและ การรบกวนทางไฟฟ้ าตํา สายโทรศัพท์จดเป็ นสายคู่บิดเกลียวแบบ
ั
หุมฉนวนคู่สายในสายคู่ตีเกลียวไม่หุมฉนวนคล้ายสายโทรศัพท์ มีหลายเส้น ซึงแต่ละเส้นก็จะมีสีแตกต่าง
้
้
ไปและตลอดทังสายนันจะถูกหุมด้วยพลาสติก(Plastic Cover) ซึงการตีเกลียวลักษณะนีจะช่วยให้มนมี
้
ั
คุณสมบัติในการป้ องกันสัญญาณรบกวนจากอุปกรณ์ไฟฟ้ าอืนๆ เช่น จากเครื องถ่ายเอกสารทีอยูใกล้ๆ เป็ น
่
ต้น ปัจจุบนเป็ นสายทีได้รับความนิยมมากทีสุด เนืองจากราคาถูกและติดตังได้ง่าย แสดงดังรู ป
ั
9

UTP (Unshielded Twisted Pair)
- STP (Shield Twisted Pair)
เป็ นสายคู่ลกษณะคล้ายกันกับสาย UTP แต่มีฉนวนป้ องกันสัญญาณรบกวน สายคู่ตีเกลียวหุมฉนวนทีเป็ น
ั
้
โลหะถักเป็ นร่ างแหโลหะหรื อฟอยส์ ซึงร่ างแหนีจะมีคุณสมบัติเป็ นเกราะในการป้ องกันสัญญาณรบกวน
ต่างๆ ภาษาเทคนิคเรี ยกเกราะนีว่า ชิลด์ (Shield) จะใช้ในกรณี ทีเชือมต่อเป็ นระยะทางไกลเกินกว่าระยะทาง
ทีจะใช้สาย UTP แสดงดังรู ป

สายคู่ตีเกลียวหุมฉนวน (Shielded Twisted Pair)
้
1.2 สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable)
สายแบบนีจะประกอบด้วยตัวนําทีใช้ในการส่งข้อมูลเส้นหนึงอยูตรงกลางอีกเส้นหนึงเป็ นสายดิน
่
ระหว่างตัวนําสองเส้นนีจะมีฉนวนพลาสติก กันสายโคแอคเชียลแบบหนาจะส่งข้อมูลได้ไกลหว่าแบบบาง
แต่มีราคาแพงและติดตังได้ยากกว่า
สายเคเบิลแบบโคแอกเชียลหรื อเรี ยกสัน ๆ ว่า "สายโคแอก" จะเป็ นสายสือสารทีมีคุณภาพทีกว่าและ
ราคาแพงกว่า สายเกลียวคู่ ส่วนของสายส่งข้อมูลจะอยูตรงกลางเป็ นลวดทองแดงมีชนของตัวเหนียวนําหุม
่
ั
้
อยู่ 2 ชัน ชันในเป็ นฟั นเกลียวหรื อชันแข็ง ชันนอกเป็ นฟั นเกลียว และคันระหว่างชั วยฉนวนหนา
นด้
เปลือกชันนอกสุดเป็ นฉนวน สายโคแอกสามารถม้วนโค้งงอได้ง่าย มี 2 แบบ คือ 75 โอมห์ และ 50
โอมห์ ขนาดของสายมีตงแต่ 0.4 - 1.0 นิ ว ชันตัวเหนียวนําทําหน้าทีป้ องกันการสูญเสียพลังงานจากแผ่
ั
รังสี เปลือกฉนวนหนาทําให้สายโคแอกมีความคงทนสามารถฝังเดินสายใต้พืนดินได้ นอกจากนันสาย โค
แอกยังช่วยป้ องกัน "การสะท้อนกลับ" (Echo) ของเสียงได้อีกด้วยและลดการ รบกวนจากภายนอกได้ดี
เช่นกัน
10

ลักษณะแกนกลางของสายโคแอกเชียลเป็ นทองแดงแล้วหุมด้วยพลาสติกส่วนชันนอกหุมด้วยโลหะ
้
้
หรื อฟอยล์ทีถักเป็ นร่ างแหเพือป้ องกันสัญญาณรบกวน สายโคแอกเชียลมี 2 แบบ คือ แบบหนา (thick) และ
แบบบาง (thin) ส่วนใหญ่ใช้กบระบบเครื อข่ายแบบ Ethernet แบบเดิม ซึงใช้เชือมต่อระหว่างเครื อง
ั
คอมพิวเตอร์โดยตรงไม่ตองใช้อุปกรณ์รวมสาย (Hub) แต่ในปัจจุบนมีการใช้นอยลงเนืองจากถูกแทนทีด้วย
้
ั
้
สาย UTP ทีมีราคาถูกกว่าและสามารถติดตังได้ง่ายกว่า แสดงดังรู ป

สายโคแอกเชียล
1.3 ใยแก้วนําแสง (Fiber-Optic)
ลักษณะใยแก้วนําแสงจะส่งสัญญาณแสงวิ งผ่านท่อแก้วหรื อท่อพลาสติกเล็กๆซึงท่อแก้วนีจะถูกหุมด้วย
้
เจลหรื อพลาสติก เพือป้ องกันความเสียหายและการสูญเสียของสัญญาณ มีขอดีตรงทีส่งสัญญาณได้ระยะ
้
ทางไกลโดยไม่มีสญญาณรบกวน แสดงดังรู ป
ั

ใยแก้วนําแสง
ใยแก้วนําแสง (Optic Fiber)
เส้นใยนําแสง (fiber optic) มีแกนกลางของสายซึงประกอบด้วยเส้นใยแก้ว หรื อพลาสติกขนาดเล็กหลายๆ
เส้นอยูรวมกัน เส้นใยแต่ละเส้นมีขนาดเล็ดเท่าเส้นผม และภายในกลวง และเส้นใยเหล่านันได้รับการห่อหุม
่
้
ด้วยเส้นใยอีกชนิดหนึง ก่อนจะหุมชันนอกสุดด้วยฉนวน การส่งข้อมูลผ่านทางสือกลางชนิดนีจะแตกต่าง
้
จากชนิดอืนๆ ซึงใช้สญญาณไฟฟ้ าในการส่ง แต่การทํางานของสือกลางชนิดนีจะใช้เลเซอร์วิ งผ่านช่องกลวง
ั
ของเส้นใยแต่ละ เส้น และอาศัยหลักการหักเหของแสง โดยใช้ใยแก้วชันนอกเป็ นกระจกสะท้อนแสง การ
11

ให้แสงเคลือนทีไปในท่อแก้ว สามารถส่งข้อมูลด้วยอัตราความหนาแน่นของสัญญาณข้อมูลสูงมาก และไม่
มีการก่อกวนของคลืนแม่เหล็กไฟฟ้ า อีกทังยังมีความปลอดภัยในการส่งสูง แต่อย่างไรก็มีขอเสียเนืองจาก
้
การบิดงอสายสัญญาณจะทําให้เส้นใยหัก จึงไม่สามาถใช้สือกลางนีในการเดินทางตามมุมตึกได้
เส้นใยนําแสงมีลกษณะพิเศษทีใช้สาหรับเชือมโยงแบบจุดไปจุด ดังนัน จึงเหมาะทีจะใช้กบการเชือมโยง
ั
ํ
ั
ระหว่างอาคารกับอาคาร หรื อระหว่างเมืองกับเมือง เส้นใยนําแสงจึงถูกนําไปใช้เป็ นสายแกนหลัก
ข้ อดีของใยแก้วนําแสดงคือ
1. ป้ องกันการรบกวนจากสัญญาณไฟฟ้ าได้มาก
2. ส่งข้อมูลได้ระยะไกลโดยไม่ตองมีตวขยายสัญญาณ
้
ั
3. การดักสัญญาณทําได้ยาก ข้อมูลจึงมีความปลอดภัยมากกว่าสายส่งแบบอืน
4. ส่งข้อมูลได้ดวยความเร็ วสูงและสามารถส่งได้มาก ขนาดของสายเล็กและนําหนักเบา
้
2. สายกลางแบบไร้สาย (Unguided media)
เป็ นสือกลางประเภททีไม่ใช้วสดุใดๆ ในการนําสัญญาณ ซึงจะไม่มีการกําหนดเส้นทางให้สญญาณเดินทาง
ั
ั
เช่น คลืนไมโครเวฟ คลืนแม่เหล็กไฟฟ้ า
2.1 ระบบคลืนไมโครเวฟ
สัญญาณไมโครเวฟ (Microwave) เป็ นสือกลางในการสือสารทีมีความเร็วสูง ส่งข้อมูลโดยอาศัยสัญญาณ
ไมโครเวฟ ซึงเป็ นสัญญาณคลืนแม่เหล็กไฟฟ้ าไปในอากาศพร้อมกับข้อมูลทีต้องการส่ง และจะต้องมีสถานี
ทีทําหน้าทีส่งและรับข้อมูล และเนืองจากสัญญาณไมโครเวฟจะเดินทางเป็ นเส้นตรง ไม่สามารถเลียวหรื อ
โค้งตามขอบโลกทีมีความโค้งได้ จึงต้องมีการตังสถานีรับ - ส่งข้อมูลเป็ นระยะๆ และส่งข้อมูลต่อกันเป็ น
ทอดๆ ระหว่างสถานีต่อสถานีจนกว่าจะถึงสถานีปลายทาง และแต่ละสถานีจะตังอยูในทีสูง การส่งข้อมูล
่
ด้วยสือกลางชนิดนีเหมาะกับการส่งข้อมูลในพืนทีห่างไกลมากๆ และทุรกันดาร
ปัจจุบนมีการใช้การส่งสัญญาณข้อมูลทางไมโครเวฟกันอย่างแพร่ หลาย สําหรับการสือสารข้อมูลในระยะ
ั
ทางไกล ๆ หรื อระหว่างอาคาร โดยเฉพาะในกรณี ทีไม่สะดวกทีจะใช้สายไฟเบอร์ออปติก หรื อการสือสาร
ดาวเทียม อีกทังไมโครเวฟยังมีราคาถูกกว่า และติดตังได้ง่ายกว่า และสามารถส่งข้อมูลได้คราวละมาก ๆ
ด้วย อย่างไรก็ตามปัจจัยสําคัญทีทําให้สือกลางไมโครเวฟเป็ นทีนิยม คือราคาทีถูกกว่า
12

ระบบสือสารด้วยคลืนไมโครเวฟ มักใช้ในการเชือมต่อเครื อข่ายทีอยูในพืนทีทีเชือมต่อด้วยสือประเภทอืน
่
ลําบาก เช่น มีแม่นาขวางกันอยู่ หรื อการสือสารข้ามอาคาร เป็ นต้น การส่งสัญญาณข้อมูลไปกับคลืน
ํ
ไมโครเวฟเป็ นการส่งสัญญาณข้อมูลแบบรับช่วงต่อๆ กันจากสถานีรับส่งสัญญาณหนึงไปยังอีกสถานีหนึง
โดยสามารถเกิดสัญญาณรบกวน ซึงสภาพดินฟ้ าอากาศมีผลต่อการส่งคลืนไมโครเวฟพอสมควร เช่นถ้า
สภาพอากาศมีฝนหรื อควันมาก สัญญาณไมโครเวฟจะถูกรบกวนได้ ด้วยเหตุนีทําให้เครื องส่งรับไมโครเวฟ
ส่วนใหญ่จะถูกออกแบบมาให้ทางานในสภาพอากาศต่างๆ ทีแตกต่างกัน แสดงดังรู ป
ํ

ระบบคลืนไมโครเวฟ
ระบบดาวเทียม ทีจริ งดาวเทียมก็คือสถานีไมโครเวฟลอยฟ้ านันเอง ซึงทําหน้าทีขยายและทบทวน
สัญญาณข้อมูล รับและส่งสัญญาณข้อมูลกับสถานีดาวเทียม ทีอยูบนพืนโลก สถานีดาวเทียมภาคพืนจะทํา
่
การส่งสัญญาณข้อมูล ไปยังดาวเทียมซึงจะหมุนไปตามการหมุนของโลกซึงมีตาแหน่งคงทีเมือเทียมกับ
ํ
ตําแหน่งบนพืนโลก ดาวเทียมจะถูกส่งขึนไปให้ลอยอยูสูงจากพืนโลกประมาณ 23,300 กม. เครื อง
่
ทบทวนสัญญาณของดาวเทียม (Transponder) จะรับสัญญาณข้อมูลจากสถานีภาคพืนซึงมีกาลังอ่อนลงมาก
ํ
แล้วมาขยาย จากนันจะทําการทบทวนสัญญาณ และตรวจสอบตําแหน่งของสถานีปลายทาง แล้วจึงส่ง
สัญญาณข้อมูลไปด้วยความถีในอีกความถีหนึงลงไปยังสถานีปลายทาง
การสือสารผ่านดาวเทียมเป็ นการสือสารทีสถานีรับ-ส่งทีอยูบนพืนดิน ส่งตรงไปยังดาวเทียมแล้วส่งกลับ
่
มายังตัวรับปลายทางทีพืนดินอีกครังหนึง ลักษณะการสือสารระบบดาวเทียมเหมาะสําหรับการติดต่อสือสาร
ระยะไกลทีระบบสือสารอืนๆ เข้าถึงลําบาก เช่น เดินเรื ออยูกลางทะเล แสดงดังรู ป
่

ระบบดาวเทียม
13

สัญญาณรบกวนและสภาพดินฟ้ าอากาศก็นบว่ามีผลต่อการส่งข้อมูลจากสถานีพืนโลกกับดาวเทียมอยู่
ั
พอสมควร เพราะว่าสภาพอากาศทีแปรปรวนจะรบกวนสัญญาณให้ผดเพียนไปได้ โดยส่วนใหญ่ดาวเทียม
ิ
จะถูกออกแบบมาให้ชดเชยการรบกวนของสภาพอากาศทีแปรปรวนเหล่านันเช่น ฝน หรื อหมอก เป็ นต้น
ข้อเสีย ของการส่งสัญญาณข้อมูลทางดาวเทียมคือ สัญญาณข้อมูลสามารถถูกรบกวนจากสัญญาณภาคพืน
อืน ๆ ได้ อีกทังยังมีเวลาประวิง(Delay Time) ในการส่งสัญญาณเนืองจากระยะทางขึน-ลง ของสัญญาณ
และทีสําคัญคือ มีราคาสูงในการลงทุนทําให้ค่าบริ การสูงตามขึนมาเช่นกัน

อุปกรณ์ สําหรับการสื อสาร
การสือสารข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์จาเป็ นต้องอาศัยอุปกรณ์ทางอิเล็คโทรนิกค์ช่วยในการส่งข้อมูล จากผู้
ํ
ส่งไปยังผูรับ ไม่ว่าจะเป็ นการแปลงข้อมูล เช่น ข้อความในกระดาษ รู ปภาพ ทีไม่อยูในรู ปสัญญาณทาง
้
่
ไฟฟ้ าให้เปลียนอยูในรู ปสัญญาณไฟฟ้ าหรื อสัญญาณดิจิทล อุปกรณ์ในการสือสารยังรวมถึงอุปกรณ์ทีช่วย
่
ั
ในการแก้ปัญหาสัญญาณอ่อนกําลัง ปัญหาสัญญาณรบกวนเมือมีการส่งสัญญาณ ดังนันระบบการสือสาร
ข้อมูลจึงต้องมีอุปกรณ์การสือสารมาช่วยในการจัดการปัญหาต่างๆ เหล่านีเพือให้สามารถส่งข้อมูลได้อย่าง
ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ โดยในหัวข้อนีจะขอยกตัวอย่างอุปกรณ์ทีมีการใช้กบมากในระบบการสือสาร
ั
ข้อมูล
1. เครื องเทอร์มินอล (Terminal)
เป็ นเครื องคอมพิวเตอร์ตนทางหรื อปลายทางทีทําหน้าทีในการส่งและรับข้อมูล ได้แก่ เครื อง
้
คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทัวๆไป (Personal Computer)
2. โมเด็ม (Modem)
เมือต้องการเชือมต่อเครื องคอมพิวเตอร์ตวหนึงทีไม่ได้เชือมต่อกับระบบเครื อข่าย ไปยังระบบ
ั
อินเทอร์เน็ต(Internet) ต้องอาศัยอุปกรณ์ทีเรี ยกว่า โมเด็ม ซึงทําหน้าทีแปลงสัญญาณจากสัญญาณดิจิทลเป็ น
ั
สัญญาณอนาล็อกแล้วส่งผ่านไปตามระบบโทรศัพท์
โมเด็มแต่ละประเภทจะมีคุณลักษณะทีแตกต่างกันดังนี
1. ความเร็ วในการรับ - ส่งสัญญาณ
ความ เร็ วในการรับ - ส่งสัญญาณ หมายถึง อัตรา (rate) ทีโมเด็มสามารถทําการแลกเปลียนข้อมูลกับโมเด็ม
อืนๆมีหน่วยเป็ น บิต/วินาที (bps) หรื อ กิโลบิต/วินาที (kbps) ในการบอกถึงความเร็ วของโมเด็มเพือให้ง่าย
ในการพูดและจดจํา มักจะตัดเลขศูนย์ออกแล้วใช้ตวอักษรแทน เช่น โมเด็ม 56,000 bps จะเรี ยกว่า โมเด็ม
ั
ขนาด 56 K
14

2. ความสามารถในการบีบอัดข้อมูล
ข้อมูล ข่าวสารทีส่งออกไปบนโมเด็มนันสามารถทําให้มีขนาดกะทัดรัดด้วยวิธีการบีบอัด ข้อมูล
(compression) ทําให้สามารถส่งข้อมูลได้ครังละเป็ นจํานวนมากๆ เป็ นการเพิ มความเร็วของโมเด็มในการรับ
- ส่งสัญญาณ
3. ความสามารถในการใช้เป็ นโทรสาร
โมเด็ม รุ่ นใหม่ๆ สามารถส่งและรับโทรสาร (Fax capabilities) ได้ดีเช่นเดียวกับการรับ - ส่งข้อมูล หากคุณมี
ซอฟท์แวร์ทีเหมาะสมแล้วคุณสามารถใช้แฟคซ์โมเด็มเป็ นเครื อง พิมพ์(printer)ได้เมือคุณพิมพ์เข้าไปที
แฟคซ์โมเด็มมันจะส่งเอกสารของคุณไป ยังเครื องโทรสารทีปลายทางได้
4. ความสามารถในการควบคุมความผิดพลาด
โมเด็ม จะใช้วิธีการควบคุมความผิดพลาด (error control) ต่างๆ มากมายหลายวิธีในการตรวจสอบเพือการ
ยืนยันว่าจะไม่มีขอมูลใดๆสูญหายไป ระหว่างการส่งถ่ายข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื องหนึงไปยังอีกเครื อง
้
หนึง
5. ออกแบบให้ใช้ได้ทงภายในและภายนอก
ั
โมเด็ม ทีจําหน่ายในท้องตลาดทัวๆ ไปจะมี 2 รู ปแบบ คือ โมเด็มแบบติดตังภายนอก (external
modems) และ แบบติดตังภายใน (internal modems)
6. ใช้เป็ นโทรศัพท์ได้
โมเด็มบางรุ่ นมีการใส่วงจรโทรศัพท์ธรรมดาเข้าไปพร้อมกับความสามารถในการรับ - ส่งข้อมูลและ
โทรสารด้วย
ใช้โมเด็มทําอะไรได้บาง เราสามารถใช้โมเด็มทําอะไรต่างๆ ได้หลายอย่าง เช่น
้
1. พบปะพูดคุย
2. ใช้บริ การต่างๆ จากทีบ้าน
3. ท่องไปบนอินเทอร์เน็ต
4. เข้าถึงบริ การออนไลน์ได้
5. ดาวน์โหลดข้อมูล,รู ปภาพและโปรแกรมแชร์แวร์ได้
6. ส่ง - รับโทรสาร
7. ตอบรับโทรศัพท์
การเลือกซือโมเด็ม
สิ งทีควรพิจารณาในการเลือกซือโมเด็มมาใช้งาน เช่น
1. เข้ากันได้กบระบบคอมพิวเตอร์ของคุณ
ั
2. เข้ากันได้กบระบบทํางาน OS ของคอมพิวเตอร์ของคุณ
ั
3. ความเร็ วในการรับ - ส่งสัญญาณ
15

4. เป็ นโมเด็มภายนอกหรื อภายใน
5. การบีบอัดข้อมูล
6. ความสามารถในการควบคุมความผิดพลาด
7. รับ - ส่งโทรสารได้
8. ซอฟท์แวร์สือสาร
3. เครื องทวนสัญญาณ (Repeater)
เป็ นอุปกรณ์ทบทวนสัญญาณ และป้ องกันการขาดหายของสัญญาณ เนืองจาก การสือสารข้อมูลต้องใช้
สัญญาณไฟฟ้ าในการรับส่งข้อมูล โดยตามปรกติเมือสัญญาณทางไฟฟ้ าเดินทางจากจุดๆหนึงไปยังปลายทาง
จะเกิดการสูญเสียแรงดันทางไฟฟ้ า และส่งผลให้สญญาณเกิดออ่อนกําลัง ดังนัน จึงจําเป็ นต้องมีรีพีตเตอร์มา
ั
ช่วยในการรับส่งข้อมูล โดยรี พีตเตอร์ทาหน้าทีทบทวนสัญญาณไฟฟ้ าขึนใหม่ให้เหมือนสัญญาณเดิมทีถูก
ํ
ส่ง
4. เครื องขยายสัญญาณ (Amplifier)
เป็ นอุปกรณ์ขยายสัญญาณ โดยมีหน้าทีการทํางานเหมือนกับรี พีตเตอร์ แต่จะใช้กบสัญญาณ
ั
อนาล็อก โดยเมือสัญญาณอนาล็อกอ่อนกําลังเครื องขยายสัญญาณจะทําการขยายสัญญาณทีอ่อนกําลังให้มี
ค่าเพิ มขึนใกล้เคียงหรื อมีค่าเท่ากับสัญญาณเดิม แต่ของเสียของเครื องขยายสัญญาณคือ มันจะขยายสัญญาณ
รบกวนทีผสมมากับสัญญาณข้อมูลด้วย
อุปกรณ์สือสารข้อมูล (Data Communictaion Equipment)
ในการเชือมต่อคอมพิวเตอร์เข้าเป็ นเครื อข่าย จะต้องทําการเชือมระหว่างอุปกรณ์และสือกลางแบบ
ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ซึงอาจมีความต้องการเฉพาะรู ปแบบต่าง ๆ เช่น การรวมข้อมูลจากหลาย ๆ จุดเพือส่งผ่าน
ไปยังสายเคเบิลโทรศัพท์เพียงสายเดียว หรื ออาจต้องการขยายระยะทางการใช้งาน รวมทังอาจต้องเชือมต่อ
ระหว่างเครื อข่ายทีมีลกษณะแตกต่างเข้าด้วยกัน ความต้องการเหล่นีทําให้ตองใช้อุปกรณ์พิเศษทีใช้ในการ
ั
้
สือสารข้อมูลเฉพาะงา
ฮับ หรือ รีพทเตอร์ (Hub, Repeater) เป็ นอุปกรณ์ทีทวน และขยายสัญญาณ เพือส่งต่อไปยังอุปกรณ์อน
ี
ื
ให้ได้ระยะทางทียาวไกลขึน ไม่มการเปลียนแปลงข้อมูลก่อนและหลัง การรับ-ส่ง และไม่มีการใช้
ี
ซอฟท์แวร์ใดๆ มาเกียวข้องกับอุปกรณ์ชนิดนี การติดตังจึงทําได้ง่าย ข้อเสียคือ ความเร็ วในการส่งข้อมูล จะ
เฉลียลดลงเท่ากันทุกเครื อง เมือมีคอมพิวเตอร์มาเชือมต่อมากขึน ฮับ เรี ยกอีกอย่างหนึงว่า “LAN
Concentrator” นิยมใช้ในเครื อข่าย LAN รุ่ นเก่า
16

โดยใช้ฮบในการเชือมสายสัญญาณจากหลาย ๆ จุดเข้าเป็ นจุดเดียวในโทโปโลยีของ LAN แบบ Star เช่น
ั
10BaseT เป็ นต้น ฮับสามารถแบ่งได้ เป็ น 2 ประเภท คือ
Passive Hub เป็ นฮับทีไม่มีการขยายสัญญาณใด ๆ ทีส่งผ่านมา ข้อดี คือ ราคาถูก และไม่จาเป็ น
ํ
ต้องใช้พลังงานไฟฟ้ า
- Active Hub ทําหน้าที เป็ นเครื องทวนซําสัญญาณในตัว คือ ขยายสัญญาณทีส่งผ่านทําให้สามารถ
เชือมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ผ่านสายเคเบิลได้ไกลขึน ทําให้ตองใช้พลังงานไฟฟ้ า
้
สวิทช์ หรือ บริดจ์ (Switch, Bridge)

เป็ นอุปกรณ์สาหรับเชือมต่อ เครื อข่ายท้องถิ น หรื อ แลน
ํ

(LAN) ประเภทเดียวกัน ใช้โปรโตคอลเดียวกัน สองวงเข้าด้วยกัน เช่น ใช้เชือมต่อ อีเธอร์เน็ตแลน (Ethernet
LAN) หรื อ โทเคนริ งก์แลน (Token Ring LAN) ทังนี สวิทช์ หรื อ บริ ดจ์ จะมีความสามารถในการเชือมต่อ
ฮาร์ดแวร์ และตรวจสอบข้อผิดพลาด ของการส่งข้อมูลได้ดวย ความเร็ วในการส่งข้อมูล ก็มิได้ลดลง และ
้
ติดตังง่าย สวิทช์ หรื อทีนิยมเรี ยกว่า “Ethernet Switch” เป็ นสะพานหลายช่องทาง (Multiport Bridge) ทีนิยม
ใช้ในระบบเครื อข่ายแลนแบบ Ethernet เพือเชือมต่อเครื อข่ายหลายๆ Segmentเข้าด้วยกันสวิตช์จะช่วยสด
การจราจรระหว่างเครื อข่ายทีไม่จาเป็ น ทําให้สามารถทําการแลกเปลียนข้อมูลในแต่ละ
ํ
เครื อข่าย (Switching) ได้อย่างรวดเร็ว
เร้ าเตอร์ (Router) เป็ นอุปกรณ์ทีทํางานคล้าย สวิทช์ แต่จะสามารถเชือมต่อ ระบบทีใช้สือ หรื อ
สายสัญญาณต่างชนิดกันได้ เช่น เชือมต่อ อีเธอร์เน็ตแลน (Ethernet LAN) ทีส่งข้อมูลแบบ ยูทีพี (UTP:
Unshield Twisted Pair) เข้ากับ อีเธอร์เน็ตอีกเครื อข่าย แต่ใช้สายแบบโคแอ็กเชียล เป็ นอุปกรณ์เชือมต่อ
ระหว่างเครื อข่ายทีใช้โปรโตคอลเครื อข่ายต่างกันและสามารถทําการ กรอง (filter) เลือกเฉพาะชนิดของ
ข้อมูลทีระบุไว้ว่าให้ผานไปได้ ทําให้ช่วยลดปัญหาการจราจรทีคับคังของข้อมูล และเพิ มระดับความ
่
ปลอดภัยของเครื อข่าย นอกจากนีเราเตอร์ยงสามารถหาเส้นทาง
ั
การส่งข้อมูลทีเหมาะสมให้โดยอัติโนมัติดวย อย่างไรก็ตามเราท์เตอร์จะขึนกับโปรโตคอล ซึงในการใช้งาน
้
จะต้องเลือกซือเราท์เตอร์ทีสนับสนุนโปรโตคอลของเครื อข่าย ทีต้องการจะเชือมต่อเข้าด้วยกัน (เราท์เตอร์
อาจเป็ นฮาร์ดแวร์เฉพาะหรื อซอฟต์แวร์เราท์เตอร์ก็ได้)(Coaxial cable) ได้ นอกจากนียังช่วยเลือก หรื อ
กําหนดเส้นทางทีจะส่งข้อมูลผ่าน และแปลงข้อมูลให้เหมาะสมกับการนําส่ง แน่นอนว่าการติดตังย่อม
ยุงยากมากขึน
่
17

เกทเวย์ (Gateway) เป็ นอุปกรณ์ทีมีความสามารถสูงสุด ในการเชือมต่อเครื อข่ายต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยไม่มี
ขีดจํากัด ทังระหว่างเครื อข่ายต่างระบบ หรื อแม้กระทัง โปรโตคอล จะแตกต่างกันออกไป เกทเวย์ จะแปลง
โปรโตคอล ให้เหมาะสมกับอุปกรณ์ทีต่างชนิดกัน จัดเป็ นอุปกรณ์ทีมีราคาแพง และติดตังใช้งานยุงยาก เกต
่
เวย์บางตัว จะรวมคุณสมบัติในการเป็ น เร้าเตอร์ ด้วยในตัว หรื อแม้กระทัง อาจรวมเอาฟังก์ชนการทํางาน
ั
ด้านการรักษาความปลอดภัย ทีเรี ยกว่า ไฟร์วอลล์ (Firewall) เข้าไว้ดวยกัน
้
มัลติเพล็กซ์ เซอร์ (Multiplexer) เป็ นอุปกรณ์รวมสัญญาณ มักเรี ยกกันว่า“MUX” ช่วยลดค่าใช้จ่าย
ในการส่งข้อมูลผ่านสายสือสาร โดยทําการรวมข้อมูล (Multiplex) จากเครื องเทอร์มินลจํานวนหนึงเข้า
ั
ด้วยกัน และส่งผ่านสายสือสารเช่นสายโทรศัพท์ และทีปลายทาง MUX อีกตัวก็จะทําหน้าที แยกข้อมูล(deMultiplex)ส่งไปยังจุดหมายทีต้องการ
คอนเซนเตรเตอร์ (Concentrator) นิยมเรี ยกกันว่า คอนเซน จะเป็ นมัลติเพลกเซอร์ทีมีประสิทธิภาพสูงขึน
โดยจะสามารถทําการเก็บข้อมูลเพือส่งต่อ (store and forward) โดยใช้หน่วยความจําbuffer ทําให้สามารถ
เชือมต่อระหว่างอุปกรณ์ทีมีความเร็ วสูงกับความเร็ วตําได้ รวมทังอาจมีการบีบอัดข้อมูล (compress) เพือให้
สามารถส่งข้อมูลได้มากขึน
เครืองทวนซําสัญญาณ (Repeater) เป็ นอุปกรณ์เชือมต่อสําหรับขยายสัญญาณให้เครื อข่าย เพือเพิ มระยะทาง
ในการรับส่งข้อมูลผ่านเครื อข่ายให้ไกลออกไปได้กว่าปกติ ข้อจํากัดของเครื องทวนซํา
สัญญาณคือทําหน้าทีในการส่งต่อสัญญาณทีได้รับมาเท่านัน จําไม่มีการติดต่อกับระบบเครื อข่าย
และไม่รู้จกลักษณะของข้อมูลทีแฝงมากับสัญญาณเลย
ั

การเชือมต่อเครือข่ ายแบบสลับช่ องทางการสื อสาร (Switched Network)
รู ปแบบการเชือมต่อทีเป็ นแบบจุดซึงต้องต่อสายสือสารไว้ตลอดเวลา แต่ในทางปฏิบติจริ งแล้วการสือสาร
ั
ข้อมูลไม่ได้ผานตลอดเวลา ดังนันจึงมีแนวความคิด ในการเชือมต่อเครื อข่ายแบบสลับช่องทางการสือสาร
่
หรื อเครื อข่ายสวิตซ์ซิ ง เพือเพิ มประสิทธิภาพของการเชือมต่อเครื อข่ายแบบจุดต่อจุดให้สามารถใช้สือสาร
ได้มากทีสุด
เครื อข่ายแบบสลับช่องทางการสือสารทีเห็นโดยทัวไปมี 4 รู ปแบบดังนี
1. เครื อข่ายสือสารโทรศัพท์ (The Telephone NetworK)
18

2.เครื อข่ายสือสารเทลเล็กช์ (The Telex/TWX Network)
3. เครื อข่ายสือสารแพคเกตสวิตซ์ซิ ง(package Switching Network)
4. เครื อข่ายสือสารสเปเซียลไลซ์ ดิจิตอล(Specialized Digital Network)
หลักการทํางานของเครื อข่ายแบบสลับช่องทางการสือสารดังนี
1. การเชือมต่อด้องเป็ นแบบจุดต่อจุด
2. ต้องมีการเชือมต่อการสือสารกันทังฝ่ ายรับและส่งก่อนจะเริ มรับหรื อส่งข้อมูล เช่น หมุนเบอร์
โทรศัพท์ เป็ นต้น หลังจากสือสารกันเสร็ จเรี ยบร้อยจะต้องตัดการเชือมต่อ เพือให้ผอืนใช้สาย
ู้
สือสารได้ต่อไป

การใช้ เทคโนโลยีการสื อสาร
การสือสารข้อมูลในยุคปัจจุบน ได้ตะหนักถึง ความสําคัญในการนําเทคโนโลยีคมนาคมและ
ั
การสือสารมาช่วยงานเพือเพิ มประสิทธิภาพของการดําเนินงาน ซึงการประยุกต์เทคโนโลยีการ
สือสารในองค์การมีดงนี
ั
ไปรษณี ยอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail : E-mail)
์
การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และพีดีเอ ส่งข้อความ
อิเล็กทรอนิกส์ไปยังบุคคลอืน โดยการสือสารนีบุคคลทีทําการสือสารจะต้องมีชือและทีอยูใน
่
รู ปแบบอีเมล์แอดเดรส
โทรสาร (Facsimile หรื อ Fax) เป็ นการส่งข้อมูล ซึงอาจเป็ นข้อความทีเขียนขึนด้วยมือหรื อการ
พิมพ์ รู ปภาพ หรื อกราฟต่างๆ จากเครื องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อืนๆ ทีมีอุปกรณ์ที
เรี ยกว่าแฟกซ์-โมเด็มไปยังเครื องรับโทรสาร การส่งข้อความในลักษณะนีช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย
และมีประสิทธิภาพสูงกว่าการส่งข้อมูลผ่านเครื องโทรสารธรรมดา
วอยซ์เมล (Voice Mail) เป็ นการส่งข้อความเป็ นเสียงพูดให้กลายเป็ นข้อความอิเล็กทรอนิกส์ผาน
่
ระบบเครื อข่ายการสือสารข้อความจะถูกบันทึกไว้ในอุปกรณ์บนทึกเสียงทีเรี ยกว่าวอยซ์เมล์บ็อกซ์
ั
เมือผูรับเปิ ดฟังข้อความดังกล่าวก็จะถูกแปลงกลับไปอยูในรู ปแบบของเสียงพูดตามเดิม
้
่
การประชุมทางไกลอิเล็กทรอนิกส์ (Video Conferencing) เป็ นการสือสารข้อมูลโดยการส่งภาพและ
เสียงจากฝ่ ายหนึงไปยังอีกฝ่ ายหนึง ในการใช้ Video Conferencing จะต้องมีอุปกรณ์สาหรับการ
ํ
บันทึกภาพและอุปกรณ์บนทึกเสียง โดยทีภาพและเสียงทีส่งไปนันอาจเป็ นภาพเคลือนไหวทีมีเสียง
ั
ประกอบได้ การประชุมทางไกลอิเล็กทรอนิกส์ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไป
ประชุม
19

การระบุตาแหน่งด้วยดาวเทียม(Global Positioning Systems : GPSs) เป็ นระบบทีใช้วิเคราะห์และ
ํ
ระบุตาแหน่งของคน สัตว์ หรื อสิ งของทีเป็ นเป้ าหมายของระบบ การวิเคราะห์ตาแหน่งทําได้โดยใช้
ํ
ํ
ดาวเทียมระบุตาแหน่ง ปัจจุบนมีการนําไปใช้ในระบบการเดินเรื อ เครื องบินและเริ มพัฒนามาใช้
ํ
ั
เพือระบุตาแหน่งของรถยนต์ดวย
ํ
้
กรุ๊ ปแวร์(groupware) เป็ นโปรแกรมประยุกต์ทีช่วยสนับสนุนการทํางานของกลุ่มบุคคลให้
สามารถทํางานร่ วมกัน การใช้ทรัพยากรและสารสนเทศร่ วมกันโดยผ่านระบบเครื อข่าย
การโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์(Electronic Fund Transfer : EFT) ปัจจุบนผูใช้สามารถชําระค่า
ั ้
สินค้าและบริ การโดยการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์จากบัญชีธนาคารทีให้บริ การโอนเงินอัตโนมัติ
ด้วยเทคโนโลยีการสือสารทีทันสมัย กิจกรรมทีประยุกต์ใช้กนเป็ นประจํา ได้แก่ การโอนเงินผ่าน
ั
ทางตู้ ATM
การแลกเปลียนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์(Electronic Data Interchange : EDI) เป็ นระบบแลกเปลียน
ข้อมูลเชิงทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างองค์การ โดยใช้แบบฟอร์มของเองกสารอิเล็กทรอนิกส์ทีมี
รู ปแบบมาตรฐานสากล เช่น การส่งใบสังสินค้า ใบส่งของ ใบเรี ยกเก็บเงิน
การระบุลกษณะของวัตถุดวยคลืนความถีวิทยุ(RFID) เป็ นระบบระบุลกษณะของวัตถุดวยคลืน
ั
้
ั
้
ความถีวิทยุ ปัจจุบนมีการนํา RFID ไปประยุกต์ใช้งานหลากหลายประเภท เช่น ห่วงโซ่อุปทาน
ั
ระบบโลจิสติกส์การตรวจสอบฉลากยา การใช้ในฟาร์มเลียงสุกร บัตรทางด่วน บัตรรถไฟฟ้ าใต้ดิน
ระบบหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์
ชนิดของสัญญาณข้ อมูล
1. สัญญาณแอนะล็อก(Analog Signal)
เป็ นสัญญาณแบบต่อเนือง มีลกษณะเป็ นคลืนไซน์ (Sine Wave) โดยทีแต่ละคลืนจะมีความถีและ
ั
ความเข้มของสัญญาณทีต่างกัน เมือนําสัญญาณข้อมูลเหล่านีมาผ่านอุปกรณ์รับสัญญาณและแปลง
สัญญาณและแปลงสัญญาณก็จะได้ขอมูลทีต้องการ
้
เฮิรตซ์ (Hertz) คือหน่วยวัดความถีของสัญญาณข้อมูลแบบแอนะล็อก วิธีวดความถีจะนับจํานวนรอบ
ั
ของสัญญาณทีเกิดขึนภายใน 1 วินาที เช่น ความถี 60 Hz หมายถึง ใน 1 วินาที สัญญาณมีการ
เปลียนแปลงระดับสัญญาณ 60 รอบ
2. สัญญาณดิจิทล(Digital Signal)
ั
สัญญาณดิจิทลเป็ นสัญญาณแบบไม่ต่อเนือง รู ปสัญญาณของสัญญาณมีความเปลียนแปลงทีไม่
ั
ปะติดปะต่ออย่างสัญญาณแอนะล็อก ในการสือสารด้วยสัญญาณดิจิทล ข้อมูลในคอมพิวเตอร์ซึงเป็ น
ั
เลขฐานสอง (0และ1) จะถูกแทนด้วยสัญญาณดิจิทล
ั
Bit Rate เป็ นอัตราความเร็ วในการส่ง
ข้อมูลแบบดิจิทล วิธีวดความเร็ วจะนับจํานวนบิตข้อมูลทีส่งได้ในช่วงระยะเวลา 1 วินาที เช่น 14,400
ั
ั
20

bps หมายถึง มีความเร็ วในการส่งข้อมูลจํานวน 14,4001 บิตในระยะเวลา 1วินาที
โมเด็ม(Modulator DEModulator หรื อ Modem)
โมเด็ม(Modem) เป็ นอุปกรณ์ทีทําหน้าทีแปลงสัญญาณดิจิทลจากเครื องคอมพิวเตอร์ให้เป็ น
ั
สัญญาณแอนะล็อก ความเร็ วในการสือสารข้อมูลของโมเด็มวันเป็ นบิตต่อวินาที (bit per second หรื อ
bps) ความเร็วของโมเด็มโดยทัวไปมีความเร็วเป็ น 56 กิโลบิตต่อวินาที

ประโยชน์ ของการสื อสารข้ อมูล
1. เพือการสือสารทางธุรกิจทีดีขึน
2. เพือให้การดําเนินงานมีประสิทธิภาพสูงขึน
3. เพือการกระจายข้อมูลทีดีขึน
4. เพือการจัดการกระบวนการธุรกิจทีสะดวกขึน
ประเภทของการสือสาร
ประเภทของการสือสารแบ่งออกเป็ น 2 ประเภทคือ
- สัญญาณอนาล็อก (Analog signal)
- สัญญาณดิจิตอล (Digital signal)
1.สัญญาณอนาล๊อก (Analog signal) คือ เป็ นสัญญาณแบบต่อเนือง ทีมีลกษณะเป็ นคลืนไซน์(Sine Wave)
ั
โดยหน่วยวัดสัญญาณแบบนีคือ เฮิรตซ์(Hertz) โดยมีลกษณะสมบัติ 2 ประการคือ
ั
•

ความ ถีของคลืน (Frequency) คือ จํานวนครังทีคลืนทวนซําระหว่างช่วงเวลาทีกําหนด หมายถึง

จํานวนครังทีคลืนจะเสร็ จสิ นหนึงรอบในหนึงวินาที ความถีทีถูกเพิ มขึนจะถูกแทนด้วย1
•

ช่วง กว้างของคลืน (Ampitude) คือ ความสูงของคลืนภายในคาบเวลาทีกําหนด ความกว้าง หมายถึง

ความดังของสัญญาณเสียง โดยกําหนดให้เสียงทีดังเพิ มขึนถูกแทนด้วย 1
2.สัญญาณดิจิตอล (digital signal) คือ เป็ นสัญญาณแบบไม่ต่อเนือง รู ปแบบของสัญญาณมีความ
เปลียนแปลงทีไม่ปะติดปะต่ออย่างสัญญาณแอนะล็อก ในการสือสาร ด้วยสัญญาณดิจิตอล ข้อมูลใน
คอมพิวเตอร์ซึงเป็ นเลขฐานสอง (0 และ 1) จะถูกแทนด้วยสัญญาณดิจิตอล
21

การรับสั ญญาณ จากสถานีภาคพืนดินเพือขยายสัญญาณ ปรับความถีของคลืน และส่งสัญญาณกลับลง
มายังสถานีภาคพืนดินหลายจุด ในบริ เวณทีกว้างมาก เพือลดข้อจํากัดของไมโครเวฟ และทีสําคัญคือ
ดาวเทียมสามารถสือสารข้อมูลจากแหล่งส่ง 1 แหล่งไปยังผูรับจํานวนมากบนพืนทีต่างๆ ทัวโลก
้

ระบบแบบเดินสายเคเบิล (Wired system)
จะรวมถึงสือกลางทีเป็ นสายทังหมด ระบบเครื อข่ายทีอุปกรณ์ต่างๆ อยูห่างกันไม่มากนัก
่
สายสัญญาณทีมีใช้งานอยูในปัจจุบน จะมีชนิดต่าง ๆตามลักษณะเครื อข่าย และความต้องการในการใช้งาน
่
ั
•

สายคู่บิดเกลียวแบบมีชีลด์และไม่มีชีลด์ (Shielded and UnShielded Twisted-Pair Cable)

เป็ นสายทีมีราคาถูกทีสุด ประกอบด้วยสายทองแดงทีมีฉนวนหุมจํานวน 2 เส้น นํามาพันกันเป็ นเกลียว สาย
้
เกลียวคู่หนึงจะแทนช่องทางการสือสาร (Channel) ได้หนึงช่องทาง

แบบมีชีลด์

แบบไม่มีชีลด์
22

•

สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable)

เป็ นสายสือสารทีสามารถส่งข้อมูลไกลกว่าสายแบบคู่บิดเกลียวแต่มีราคาสูงกว่า ประกอบด้วยสวนของสาย
ส่งข้อมูลทีเป็ นลวดทองแดงหุมด้วยฉนวนอยูตรงกลาง จากนันจะหุมด้วยตัวนําเพือเป็ นสายกราวนด์และหุม
้
่
้
้
ด้วยฉนวนเป็ นเปลือกนอกอีกชันหนึง สามารถส่งข้อมูลได้ทงแบบเบสแบนด์และบรอดแบนด์
ั

สรุปการสื อสารข้ อมูล
สรุ ปการสือสารข้อมูลเป็ น การโอนถ่าย (Transmission) ข้อมูลหรื อการแลกเปลียนข้อมูลระหว่างต้นทางกับ
ปลายทาง โดยใช้อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์หรื อเครื องคอมพิวเตอร์ ซึงมีตวกลาง เช่น ซอฟต์แวร์
ั
คอมพิวเตอร์สาหรับควบคุมการส่งและการไหลของข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง นอกจากนีอาจจะมี
ํ
ผูรับผิดชอบในการกําหนดกฏเกณฑ์ในการส่งหรื อรับข้อมูลตามรู ปแบบทีต้องการ
้
23

อ้างอิง
http://www.thaigoodview.com/node/53181
http://www.bs.ac.th/2548/e_bs/G7/raim/in2page1.html
http://www.chakkham.ac.th/technology/network/equ.html
http://it.benchama.ac.th/ebook/files/pg7_8.htm
http://www.nukul.ac.th/it/content/07/7-1.html
http://www.chakkham.ac.th/commueqp.html

More Related Content

What's hot

การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลsawalee kongyuen
 
คอมพิวเตอร์2
คอมพิวเตอร์2คอมพิวเตอร์2
คอมพิวเตอร์2Budsaya Chairat
 
ใบความรู้ที่ 1
ใบความรู้ที่ 1ใบความรู้ที่ 1
ใบความรู้ที่ 1Nattapon
 
รายงาน เรื่องเครือข่ายคอมพิวเตอร์
รายงาน เรื่องเครือข่ายคอมพิวเตอร์รายงาน เรื่องเครือข่ายคอมพิวเตอร์
รายงาน เรื่องเครือข่ายคอมพิวเตอร์Rungnapa Tamang
 
ใบความรู้ การสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ใบความรู้ การสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ใบความรู้ การสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ใบความรู้ การสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์อยู่ไหน เหงา
 
ใบความรู้ที่ 2
ใบความรู้ที่ 2ใบความรู้ที่ 2
ใบความรู้ที่ 2Nattapon
 
การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลTharathep Chumchuen
 
คอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์คอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์Wannapaainto8522
 
ใบความรู้ที่ 3
ใบความรู้ที่ 3ใบความรู้ที่ 3
ใบความรู้ที่ 3Nattapon
 
บทที่ 3 การสื่อสารข้อมูล
บทที่ 3 การสื่อสารข้อมูลบทที่ 3 การสื่อสารข้อมูล
บทที่ 3 การสื่อสารข้อมูลNattapon
 
หน่วยที่ 8
หน่วยที่ 8หน่วยที่ 8
หน่วยที่ 8niramon_gam
 
เครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์เครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์Onanong Phetsawat
 
การสื่อสารและระบบเครือข่าย(Data communication and networking system)
การสื่อสารและระบบเครือข่าย(Data communication and networking system)การสื่อสารและระบบเครือข่าย(Data communication and networking system)
การสื่อสารและระบบเครือข่าย(Data communication and networking system)วิทยาลัยเทคนิคสุโขทัย
 
เครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์เครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์KachonsakBunchuai41
 

What's hot (20)

การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล
 
คอมพิวเตอร์2
คอมพิวเตอร์2คอมพิวเตอร์2
คอมพิวเตอร์2
 
ใบความรู้ที่ 1
ใบความรู้ที่ 1ใบความรู้ที่ 1
ใบความรู้ที่ 1
 
รายงาน เรื่องเครือข่ายคอมพิวเตอร์
รายงาน เรื่องเครือข่ายคอมพิวเตอร์รายงาน เรื่องเครือข่ายคอมพิวเตอร์
รายงาน เรื่องเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
ใบความรู้ การสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ใบความรู้ การสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ใบความรู้ การสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ใบความรู้ การสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
ใบความรู้ที่ 2
ใบความรู้ที่ 2ใบความรู้ที่ 2
ใบความรู้ที่ 2
 
การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล
 
คอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์คอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์
 
ใบความรู้ที่ 3
ใบความรู้ที่ 3ใบความรู้ที่ 3
ใบความรู้ที่ 3
 
บทที่ 3 การสื่อสารข้อมูล
บทที่ 3 การสื่อสารข้อมูลบทที่ 3 การสื่อสารข้อมูล
บทที่ 3 การสื่อสารข้อมูล
 
รายงานเครือข่ายคอมพิวเตอร์
รายงานเครือข่ายคอมพิวเตอร์รายงานเครือข่ายคอมพิวเตอร์
รายงานเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
สื่อกลางในการสื่อสารข้อมูล
สื่อกลางในการสื่อสารข้อมูลสื่อกลางในการสื่อสารข้อมูล
สื่อกลางในการสื่อสารข้อมูล
 
หน่วยที่ 8
หน่วยที่ 8หน่วยที่ 8
หน่วยที่ 8
 
เครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์เครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
Data communication and network
Data communication and networkData communication and network
Data communication and network
 
การสื่อสารและระบบเครือข่าย(Data communication and networking system)
การสื่อสารและระบบเครือข่าย(Data communication and networking system)การสื่อสารและระบบเครือข่าย(Data communication and networking system)
การสื่อสารและระบบเครือข่าย(Data communication and networking system)
 
การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล
 
รายงาน[1]
รายงาน[1]รายงาน[1]
รายงาน[1]
 
การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล
 
เครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์เครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์
 

Similar to รายงาน การสื่อสารข้อมูล

Comunication netw01 11
Comunication netw01 11Comunication netw01 11
Comunication netw01 11paween
 
บทที่ 4 เทคโน ม.6 copy - copy
บทที่ 4 เทคโน ม.6   copy - copyบทที่ 4 เทคโน ม.6   copy - copy
บทที่ 4 เทคโน ม.6 copy - copyครู อินดี้
 
ใบความรู้ที่ 2 องค์ประกอบของระบบสื่อสารข้อมูล
ใบความรู้ที่ 2 องค์ประกอบของระบบสื่อสารข้อมูลใบความรู้ที่ 2 องค์ประกอบของระบบสื่อสารข้อมูล
ใบความรู้ที่ 2 องค์ประกอบของระบบสื่อสารข้อมูลนายนันทวัฒน์ เสนาช่วย
 
ใบความรู้ที่ 5
ใบความรู้ที่ 5ใบความรู้ที่ 5
ใบความรู้ที่ 5ครูเพชร
 
เทอม 1 คาบ 9 สื่อกลางในการสื่อสาร
เทอม 1 คาบ 9 สื่อกลางในการสื่อสารเทอม 1 คาบ 9 สื่อกลางในการสื่อสาร
เทอม 1 คาบ 9 สื่อกลางในการสื่อสารMrpopovic Popovic
 
ใบความรู้ที่ 5
ใบความรู้ที่ 5ใบความรู้ที่ 5
ใบความรู้ที่ 5ครูเพชร
 
ใบความรู้ที่ 5 เพชร
ใบความรู้ที่ 5 เพชรใบความรู้ที่ 5 เพชร
ใบความรู้ที่ 5 เพชรครูเพชร
 
ใบความรู้ที่ 5
ใบความรู้ที่ 5ใบความรู้ที่ 5
ใบความรู้ที่ 5ครูเพชร
 
ใบความรู้ที่ 5
ใบความรู้ที่ 5ใบความรู้ที่ 5
ใบความรู้ที่ 5ครูเพชร
 
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (1)
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (1)เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (1)
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (1)Onanong Phetsawat
 
หน่วยที่ 8 การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
หน่วยที่ 8 การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์หน่วยที่ 8 การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
หน่วยที่ 8 การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์jzturbo
 
การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลleelawadeerattakul99
 
เทอม 1 คาบ 8 ตัวกลางในการสื่อสาร
เทอม 1 คาบ 8 ตัวกลางในการสื่อสารเทอม 1 คาบ 8 ตัวกลางในการสื่อสาร
เทอม 1 คาบ 8 ตัวกลางในการสื่อสารMrpopovic Popovic
 
การสื่อสารและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
การสื่อสารและเครือข่ายคอมพิวเตอร์การสื่อสารและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
การสื่อสารและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ดุลยวัต วิไลพันธุ์
 
ใบงานหน่วยที่ 2 ทิศทางการส่งและชนิดของสัญญาณข้อมูล
ใบงานหน่วยที่ 2 ทิศทางการส่งและชนิดของสัญญาณข้อมูลใบงานหน่วยที่ 2 ทิศทางการส่งและชนิดของสัญญาณข้อมูล
ใบงานหน่วยที่ 2 ทิศทางการส่งและชนิดของสัญญาณข้อมูลwatnawong
 

Similar to รายงาน การสื่อสารข้อมูล (20)

Comunication netw01 11
Comunication netw01 11Comunication netw01 11
Comunication netw01 11
 
บทที่ 4 เทคโน ม.6 copy - copy
บทที่ 4 เทคโน ม.6   copy - copyบทที่ 4 เทคโน ม.6   copy - copy
บทที่ 4 เทคโน ม.6 copy - copy
 
ใบความรู้ที่ 2 องค์ประกอบของระบบสื่อสารข้อมูล
ใบความรู้ที่ 2 องค์ประกอบของระบบสื่อสารข้อมูลใบความรู้ที่ 2 องค์ประกอบของระบบสื่อสารข้อมูล
ใบความรู้ที่ 2 องค์ประกอบของระบบสื่อสารข้อมูล
 
ใบความรู้ที่ 5
ใบความรู้ที่ 5ใบความรู้ที่ 5
ใบความรู้ที่ 5
 
เทอม 1 คาบ 9 สื่อกลางในการสื่อสาร
เทอม 1 คาบ 9 สื่อกลางในการสื่อสารเทอม 1 คาบ 9 สื่อกลางในการสื่อสาร
เทอม 1 คาบ 9 สื่อกลางในการสื่อสาร
 
ใบความรู้ที่ 5
ใบความรู้ที่ 5ใบความรู้ที่ 5
ใบความรู้ที่ 5
 
ใบความรู้ที่ 5 เพชร
ใบความรู้ที่ 5 เพชรใบความรู้ที่ 5 เพชร
ใบความรู้ที่ 5 เพชร
 
ใบความรู้ที่ 5
ใบความรู้ที่ 5ใบความรู้ที่ 5
ใบความรู้ที่ 5
 
ใบความรู้ที่ 5
ใบความรู้ที่ 5ใบความรู้ที่ 5
ใบความรู้ที่ 5
 
รายงาน1233
รายงาน1233รายงาน1233
รายงาน1233
 
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (1)
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (1)เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (1)
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (1)
 
หน่วยที่ 8 การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
หน่วยที่ 8 การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์หน่วยที่ 8 การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
หน่วยที่ 8 การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
รายงาน
รายงานรายงาน
รายงาน
 
การสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารข้อมูล
 
เทอม 1 คาบ 8 ตัวกลางในการสื่อสาร
เทอม 1 คาบ 8 ตัวกลางในการสื่อสารเทอม 1 คาบ 8 ตัวกลางในการสื่อสาร
เทอม 1 คาบ 8 ตัวกลางในการสื่อสาร
 
Media
MediaMedia
Media
 
การสื่อสารและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
การสื่อสารและเครือข่ายคอมพิวเตอร์การสื่อสารและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
การสื่อสารและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
 
Datacom
DatacomDatacom
Datacom
 
ใบงานหน่วยที่ 2 ทิศทางการส่งและชนิดของสัญญาณข้อมูล
ใบงานหน่วยที่ 2 ทิศทางการส่งและชนิดของสัญญาณข้อมูลใบงานหน่วยที่ 2 ทิศทางการส่งและชนิดของสัญญาณข้อมูล
ใบงานหน่วยที่ 2 ทิศทางการส่งและชนิดของสัญญาณข้อมูล
 
รายงาน 1
รายงาน  1 รายงาน  1
รายงาน 1
 

รายงาน การสื่อสารข้อมูล

  • 1. 1 รายงาน เรือง การสือสารข้ อมูล เสนอ ครู จุฑารัตน์ ใจบุญ โดย นางสาววรรณสวรรค์ อ่ อนรู้ ที เลขที 26 ชันมัธยมศึกษาปี ที 4/1 โรงเรียนรัษฏานุประดิษฐ์ อนุสรณ์
  • 2. 2 คํานํา ในการทํารายงานเล่มนีเป็ นส่วนหนึงของวิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี ง 31102 ของชันมัธยมศึกษาปี ที 4/1 เพือให้นกเรี ยนได้เรี ยนรู้เกียวกับ การสือสารข้อมูล ซึงในรายงานเล่มนีมีความรู้เกียวกับ ความหมาย ั สือกลางการสือสารข้อมูล องค์ประกอบต่างๆของการสือสารข้อมูล ชนิดของการสือสาร อุปกรณ์สาหรับ ํ การสือสารข้อมูลและการสือสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สาหรับการสือสาร การเชือมต่อ สัญณาญ ํ การส่งข้อมูล เป็ นต้น และได้รับความรู้จากรายงานเล่มนีอีกมากมาย ผูจดทํามีความสนใจทีทําเรื องนีขึน ้ั ผูจดทําหวังว่าเนือหาทีผูทาได้ทามีประโยชน์แก่ผทีสนใจไม่มากก็นอยหากเนือหาผิดตกบกพร่ องประการ ้ั ้ ํ ํ ู้ ้ ใด ขออภัยไว้ ณ ทีนีด้วย คณะผูจดทํา ้ั
  • 3. 3 สารบัญ เรือง หน้ า การสือสารข้อมูลหมายถึง 4 องค์ประกอบพืนฐานในการสือสาร 4 ชนิดของสือสาร 5 การสือสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ 6 ประเภทของสัญญาณ 7 สือกลางการสือสาร 7 อุปกรณ์ส่อสารข้อมูล 13 การเชือมต่อเครื อข่ายสลับช่องทางการสือสาร 17 การใช้เทคโนโลยีในการสือสาร 18 ชนิดของสัญญาณข้อมูล 19 ประโยชน์ของการสือสารข้อมูล 20 ประเภทของการสือสาร 20 การรับสัญญาณ 21 สรุ ปการสือสารข้อมูล 22
  • 4. 4 การสือสารข้ อมูล หมายถึง กระบวนการถ่ายโอนหรื อแลกเปลียนข้อมูลระหว่างผูรับและผูส่งโดยผ่าน ้ ้ ช่องทางสือสาร เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรื อคอมพิวเตอร์เป็ นตัวกลางในการส่งข้อมูล เพือให้ผส่งและ ู้ ผูรับ เกิดความเข้าใจซึงกันและกัน ในปัจจุบนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสือสาร ทําให้เราหันมาให้ ้ ั ความสําคัญต่อการติดต่อสือสารผ่านเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ทําให้เราสามารถติดต่อเชือมโยงข้อมูลถึงกันได้ ทัวโลก ไม่ว่าจะอยูในรู ปของอินเทอร์เน็ต หรื อด้านการติดต่อสือสารโทรคมนาคมในระยะไกลต่าง ๆ ่ ก่อให้เกิดการนําเทคโนโลยีการสือสารข้อมูลมาใช้ในวงการธุรกิจต่าง ๆ เป็ นการนําความรู้จากข้อมูล ข่าวสารทีได้รับมาสร้างทางเลือกในการตัดสินใจในการดําเนินธุรกิจต่าง ๆ ส่งผลให้เราสามารถลดต้นทุน ลดเวลาในการติดต่อสือสารส่งเสริ มให้เกิดการใช้งานทรัพยากรร่ วมกัน ซึงเหมาะกับสภาพขององค์กรใน ปัจจุบนทีต้องการการแข่งขันทีค่อนข้างสูง ั จากจุดเริ มแรกทําให้มีการใช้บริ การด้านการสือสารโทรคมนาคมเพิ มมากขึน ไม่ว่าจะเป็ นการใช้งาน ผ่านเครื อข่ายอินเทอร์เน็ต และเว็บไซต์เพือการพาณิ ชย์ต่าง ๆ ส่งผลให้เกิดแรงผลักดันในการพัฒนา เทคโนโลยีสมัยใหม่เพิ มขึนอย่างรวดเร็ ว เห็นได้ง่าย ๆ จากการเปลียนแปลงจากการสือสารแบบอนาล็อก เป็ นเทคโนโลยีเครื อข่ายดิจิทล ทําให้มีความเร็ วในการส่งข้อมูลสูงขึน และส่งข้อมูลได้เป็ นจํานวนมาก ลด ั ความผิดพลาดในการส่งข้อมูล ซึงสามารถส่งสารสนเทศทังทีเป็ นข้อมูลประเภท เสียง และวิดีโอ ไปพร้อม ๆ กัน อีกทังการใช้ดาวเทียมสือสารทําให้สามารถส่งข้อมูลภาพและเสียงข้ามซีกโลกได้อย่างรวดเร็ ว รวมทังการใช้เซลลูลาห์หรื อเครื อข่ายไร้สายอืน ๆ นับว่าเป็ นการทําให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการใช้ อุปกรณ์แบบพกพาแบบต่าง ๆ ทําให้เราสามารถติดต่อสือสารกันได้ทวโลก ั องค์ประกอบพืนฐานในการสื อสารข้ อมูล องค์ประกอบพืนฐานของการสือสารข้อมูลสามารถแบ่งออกได้เป็ น 5 ส่วนแสดงดังรู ป องค์ประกอบการสือสาร
  • 5. 5 1. ผูส่งหรื ออุปกรณ์ส่งข้อมูล (Sender) เป็ นแหล่งต้นทางของการสือสารโดยมีหน้าทีในการให้กาเนิดข้อมูล ้ ํ หรื อเตรี ยมข้อมูล เช่น ผูพด คอมพิวเตอร์ตนทาง เป็ นต้น ้ ู ้ 2. ผูรับหรื ออุปกรณ์รับข้อมูล (Receiver) เป็ นแหล่งปลายทางของการสือสาร หรื อเป็ นอุปกรณ์ ้ สําหรับข้อมูลทีจะนําข้อมูลนันไปใช้ดาเนินการต่อไป เช่น ผูรับ คอมพิวเตอร์ปลายทาง เครื องพิมพ์ ํ ้ 3. ข่าวสาร (Massage) เป็ นตัวเนือหาของข้อมูล ซึงมีได้หลายรู ปแบบดังนี คือ – ข้อความ (Text) ข้อมูลทีอยูในรู ปอักขระ หรื อเอกสาร เช่น ข้อความในหนังสือ เป็ นต้น ่ – เสียง (Voice) ข้อมูลเสียงทีแหล่งต้นทางสร้างขึนมา ซึงอาจจะเป็ นเสียงทีมนุษย์หรื ออุปกรณ์ บางอย่างเป็ นตัวสร้างก็ได้ – รู ปภาพ (Image) เป็ นข้อมูลทีไม่เหมือนข้อความตัวอักษรทีเรี ยงติดต่อกัน แต่จะมีลกษณะ ั เหมือนรู ปภาพ เช่น การสแกนภาพเข้าคอมพิวเตอร์ เป็ นต้น เมือเปรี ยบเทียบข้อมูลรู ปภาพกับข้อมูลข้อความ แล้วรู ปภาพจะมีขนาดใหญ่กว่า – สือผสม (Multimedia) ข้อมูลทีผสมลักษณะของทังรู ปภาพ เสียงและข้อความเข้าด้วยกัน โดย สามารถเคลือนไหวได้ เช่น การเรี ยนผ่านระบบ VDO conference เป็ นต้น โดยข้อมูลจะมีขนาดใหญ่มาก 4. สือกลางหรื อตัวกลางในการนําส่งข้อมูล (Medium) เป็ นสือหรื อช่องทางทีใช้ในการนําข้อมูลจากต้นทาง ไปยังปลายทาง ซึงอาจเป็ นตัวกลางทีมีสายสัญญาณ เช่น สายไฟ หรื อตัวกลางทีไม่ใช้สายสัญญาณ เช่น อากาศ เป็ นต้น 5. โปรโตคอล (Protocol) เป็ นข้อกําหนดหรื อข้อตกลงถึงกฎระเบียบและวิธีการทีใช้ในการสือสาร เพือให้ผส่งและผูรับมีความเข้าใจตรงกัน ู้ ้ ชนิดของการสื อสาร การสือสารข้อมูลระหว่างผูรับกับผูส่งสามารถแบ่งได้เป็ น 3 ประเภท ้ ้ 1. การสือสารข้อมูลทิศทางเดียว (Simplex Transmission) เป็ นการติดต่อสือสารเพียง ทิศทางเดียว คือผูส่งจะส่งข้อมูลเพียงฝั งเดียวและโดยฝั งรับไม่มีการตอบกลับ เช่น การกระจายเสียงของ ้ สถานีวิทยุ การส่ง e-mail เป็ นต้น แสดงดังรู ป
  • 6. 6 แสดงการสือสารข้อมูลทิศทางเดียว 2. การสือสารข้อมูลสองทิศทางสลับกัน (Half Duplex Transmission) เป็ นการสือสาร 2 ทิศทางแต่คนละ เวลากัน เช่น วิทยุสือสาร เป็ นต้น แสดงดังรู ป แสดงการสือสารข้อมูลสองทิศทางสลับกัน 3. การสือสารข้อมูลสองทิศทางพร้อมกัน (Full Duplex Transmission) เป็ นการสือสาร 2 ทิศทาง โดย สามารถส่งข้อมูลในเวลาเดียวกันได้ เช่น การคุยโทรศัพท์ เป็ นต้น แสดงดังรู ป แสดงการสือสารข้อมูลสองทิศทางพร้อมกัน การสื อสารข้ อมูลทางคอมพิวเตอร์ การสือสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ หมายถึง การโอนถ่าย (Transmission) ข้อมูลหรื อการแลกเปลียนข้อมูล ระหว่างผูส่งต้นทางกับผูรับปลายทาง ทังข้อมูลประเภท ข้อความ รู ปภาพ เสียง หรื อข้อมูลสือผสม โดยผูส่ง ้ ้ ้ ต้นทางส่งข้อมูลผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรื อคอมพิวเตอร์ ซึงมีหน้าทีแปลงข้อมูลเหล่านันให้อยู่ในรู ป สัญญาณทางไฟฟ้ า (Electronic data) จากนันถึงส่งไปยังอุปกรณ์หรื อคอมพิวเตอร์ปลายทาง
  • 7. 7 ประเภทของสั ญญาณ ข้อมูลทีใช้ในการสือสารข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ ต้องเป็ นข้อมูลทีอยูในรู ปสัญญาณทางไฟฟ้ า ซึงสามาถ ่ จําแนกสัญญาณได้ 2 ลักษณะ 1. สัญญาณแบบดิจิทล(Digitals signal) ั เป็ นสัญญาณทีถูกแบ่งเป็ นช่วงๆ อย่างไม่ต่อเนือง (Discrete) โดยลักษณะของสัญญาณจะแบ่งออกเป็ นสอง ระดับเพือแทนสถานะสองสถานะ คือ สถานะของบิต 0 และสถานะของบิต 1 โดยแต่ละสถานะคือ การให้ แรงดันทางไฟฟ้ าทีแตกต่างกัน การทํางานในคอมพิวเตอร์ใช้สญญาณดิจิทล แสดงดังรู ป ั ั แสดงสัญญาณแบบดิจิทล ั 2. สัญญาณอนาลอก(Analog Signal) เป็ นสัญญาณคลืนแม่เหล็กไฟฟ้ าทีมีความต่อเนืองของสัญญาณ โดยไม่เปลียนแปลงแบบทันทีทันใด เหมือนกับสัญญาณดิจิทลเช่นเสียงพูดหรื ออุณหภูมิในอากาศเมือเทียบกับเวลาทีเปลียนแปลงอย่าง ั ต่อเนือง แสดงสัญญาณแบบอนาลอก สื อกลางการสื อสาร (Transmission media)
  • 8. 8 สื อกลางในการส่ง การส่งข้อมูลจากผูส่งไปยังผูรับให้ครบถ้วนและถูกต้องจําเป็ นต้องอาศัยสือกลางใน ้ ้ การเชือมต่อซึงสือกลาง (Medium) ทําหน้าทีเป็ นเส้นทางเดินของข้อมูล โดยคุณภาพของสัญญาณทีถูก ส่งออกไปจะเกิดการสูญเสียความเข้มของสัญญาณระหว่างเส้นทางการสือสารทําให้ขอมูลฝั งรับเกิด ้ ข้อผิดพลาดและเป็ นการลดทอนประสิทธิภาพของการสือสารลง ซึงสือทีใช้ในการส่งผ่านข้อมูล (Transmission medium) จึงส่งผลต่อประสิทธิภาพในการส่งด้วย โดยสือกลางในการส่งแบ่งออกเป็ น 2 ประเภท 1. สือกลางแบบมีสาย (Guide media) เป็ นสือซึงอาศัยวัสดุทีจับต้องได้เป็ นตัวส่งผ่านสัญญาณ เช่น สายทองแดง สายคู่ตีเกลียว (Twisted pair) 1.1 Twisted Pair (สายคู่ตีเกลียว) สายคู่ตีเกลียวแบ่งออกเป็ นสายคู่ตีเกลียวไม่หุมฉนวนเรี ยกสันๆ ว่า UTP (Unshielded Twisted Pair) ้ และสายคู่ตีเกลียวหุมฉนวน (Shielded Twisted Pair) - UTP (Unshielded Twisted Pair)สายคู่บิดเกลียว ้ (twisted pair) ประกอบด้วยเส้นลวดทองแดงทีหุมด้วยฉนวนพลาสติก 2 เส้นพันบิดเป็ นเกลียว ทังนีเพือลด ้ การรบกวนจากคลืนแม่เหล็กไฟฟ้ าจากคู่สายข้างเคียงภายในเคเบิล เดียวกันหรื อจากภายนอก กล่าวคือ สาย ทองแดงทีมีเส้นผ่านศูนย์กลางกว้าง จะสามารถส่งสัญญาณไฟฟ้ ากําลังแรงได้ ทําให้สามารถส่งข้อมูลด้วย อัตราส่งสูง สามารถใช้ส่งข้อมูลได้ถึงร้อยเมกะบิตต่อวินาที ในระยะทางไม่เกินร้อยเมตร เนืองจากสายคู่บิด เกลียว มีราคาไม่แพงมาก ใช้ส่งข้อมูลได้ดี จึงมีการใช้งานอย่างกว้างขวางมี 2 ชนิด คือ 1.สายทองแดงแบบไม่หุมฉนวน (Unshielded Twisted Pair : UTP) ้ มีราคาถูกและนิยมใช้กนมากทีสุด ส่วนใหญ่มกใช้กบระบบโทรศัพท์ แต่สายแบบนีมักจะถูกรบกวนได้ ั ั ั ง่าย และไม่ ค่อยทนทาน 2.สายทองแดงแบบหุมฉนวน (Shielded Twisted Pair : STP) ้ มีลกษณะเป็ นสองเส้น มีแนวแล้วบิดเป็ นเกลียวเข้าด้วยกันเพือลดเสียงรบกวน มีฉนวนหุมรอบ ั ้ นอก มีราคาถูก ติดตังง่าย นําหนักเบาและ การรบกวนทางไฟฟ้ าตํา สายโทรศัพท์จดเป็ นสายคู่บิดเกลียวแบบ ั หุมฉนวนคู่สายในสายคู่ตีเกลียวไม่หุมฉนวนคล้ายสายโทรศัพท์ มีหลายเส้น ซึงแต่ละเส้นก็จะมีสีแตกต่าง ้ ้ ไปและตลอดทังสายนันจะถูกหุมด้วยพลาสติก(Plastic Cover) ซึงการตีเกลียวลักษณะนีจะช่วยให้มนมี ้ ั คุณสมบัติในการป้ องกันสัญญาณรบกวนจากอุปกรณ์ไฟฟ้ าอืนๆ เช่น จากเครื องถ่ายเอกสารทีอยูใกล้ๆ เป็ น ่ ต้น ปัจจุบนเป็ นสายทีได้รับความนิยมมากทีสุด เนืองจากราคาถูกและติดตังได้ง่าย แสดงดังรู ป ั
  • 9. 9 UTP (Unshielded Twisted Pair) - STP (Shield Twisted Pair) เป็ นสายคู่ลกษณะคล้ายกันกับสาย UTP แต่มีฉนวนป้ องกันสัญญาณรบกวน สายคู่ตีเกลียวหุมฉนวนทีเป็ น ั ้ โลหะถักเป็ นร่ างแหโลหะหรื อฟอยส์ ซึงร่ างแหนีจะมีคุณสมบัติเป็ นเกราะในการป้ องกันสัญญาณรบกวน ต่างๆ ภาษาเทคนิคเรี ยกเกราะนีว่า ชิลด์ (Shield) จะใช้ในกรณี ทีเชือมต่อเป็ นระยะทางไกลเกินกว่าระยะทาง ทีจะใช้สาย UTP แสดงดังรู ป สายคู่ตีเกลียวหุมฉนวน (Shielded Twisted Pair) ้ 1.2 สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable) สายแบบนีจะประกอบด้วยตัวนําทีใช้ในการส่งข้อมูลเส้นหนึงอยูตรงกลางอีกเส้นหนึงเป็ นสายดิน ่ ระหว่างตัวนําสองเส้นนีจะมีฉนวนพลาสติก กันสายโคแอคเชียลแบบหนาจะส่งข้อมูลได้ไกลหว่าแบบบาง แต่มีราคาแพงและติดตังได้ยากกว่า สายเคเบิลแบบโคแอกเชียลหรื อเรี ยกสัน ๆ ว่า "สายโคแอก" จะเป็ นสายสือสารทีมีคุณภาพทีกว่าและ ราคาแพงกว่า สายเกลียวคู่ ส่วนของสายส่งข้อมูลจะอยูตรงกลางเป็ นลวดทองแดงมีชนของตัวเหนียวนําหุม ่ ั ้ อยู่ 2 ชัน ชันในเป็ นฟั นเกลียวหรื อชันแข็ง ชันนอกเป็ นฟั นเกลียว และคันระหว่างชั วยฉนวนหนา นด้ เปลือกชันนอกสุดเป็ นฉนวน สายโคแอกสามารถม้วนโค้งงอได้ง่าย มี 2 แบบ คือ 75 โอมห์ และ 50 โอมห์ ขนาดของสายมีตงแต่ 0.4 - 1.0 นิ ว ชันตัวเหนียวนําทําหน้าทีป้ องกันการสูญเสียพลังงานจากแผ่ ั รังสี เปลือกฉนวนหนาทําให้สายโคแอกมีความคงทนสามารถฝังเดินสายใต้พืนดินได้ นอกจากนันสาย โค แอกยังช่วยป้ องกัน "การสะท้อนกลับ" (Echo) ของเสียงได้อีกด้วยและลดการ รบกวนจากภายนอกได้ดี เช่นกัน
  • 10. 10 ลักษณะแกนกลางของสายโคแอกเชียลเป็ นทองแดงแล้วหุมด้วยพลาสติกส่วนชันนอกหุมด้วยโลหะ ้ ้ หรื อฟอยล์ทีถักเป็ นร่ างแหเพือป้ องกันสัญญาณรบกวน สายโคแอกเชียลมี 2 แบบ คือ แบบหนา (thick) และ แบบบาง (thin) ส่วนใหญ่ใช้กบระบบเครื อข่ายแบบ Ethernet แบบเดิม ซึงใช้เชือมต่อระหว่างเครื อง ั คอมพิวเตอร์โดยตรงไม่ตองใช้อุปกรณ์รวมสาย (Hub) แต่ในปัจจุบนมีการใช้นอยลงเนืองจากถูกแทนทีด้วย ้ ั ้ สาย UTP ทีมีราคาถูกกว่าและสามารถติดตังได้ง่ายกว่า แสดงดังรู ป สายโคแอกเชียล 1.3 ใยแก้วนําแสง (Fiber-Optic) ลักษณะใยแก้วนําแสงจะส่งสัญญาณแสงวิ งผ่านท่อแก้วหรื อท่อพลาสติกเล็กๆซึงท่อแก้วนีจะถูกหุมด้วย ้ เจลหรื อพลาสติก เพือป้ องกันความเสียหายและการสูญเสียของสัญญาณ มีขอดีตรงทีส่งสัญญาณได้ระยะ ้ ทางไกลโดยไม่มีสญญาณรบกวน แสดงดังรู ป ั ใยแก้วนําแสง ใยแก้วนําแสง (Optic Fiber) เส้นใยนําแสง (fiber optic) มีแกนกลางของสายซึงประกอบด้วยเส้นใยแก้ว หรื อพลาสติกขนาดเล็กหลายๆ เส้นอยูรวมกัน เส้นใยแต่ละเส้นมีขนาดเล็ดเท่าเส้นผม และภายในกลวง และเส้นใยเหล่านันได้รับการห่อหุม ่ ้ ด้วยเส้นใยอีกชนิดหนึง ก่อนจะหุมชันนอกสุดด้วยฉนวน การส่งข้อมูลผ่านทางสือกลางชนิดนีจะแตกต่าง ้ จากชนิดอืนๆ ซึงใช้สญญาณไฟฟ้ าในการส่ง แต่การทํางานของสือกลางชนิดนีจะใช้เลเซอร์วิ งผ่านช่องกลวง ั ของเส้นใยแต่ละ เส้น และอาศัยหลักการหักเหของแสง โดยใช้ใยแก้วชันนอกเป็ นกระจกสะท้อนแสง การ
  • 11. 11 ให้แสงเคลือนทีไปในท่อแก้ว สามารถส่งข้อมูลด้วยอัตราความหนาแน่นของสัญญาณข้อมูลสูงมาก และไม่ มีการก่อกวนของคลืนแม่เหล็กไฟฟ้ า อีกทังยังมีความปลอดภัยในการส่งสูง แต่อย่างไรก็มีขอเสียเนืองจาก ้ การบิดงอสายสัญญาณจะทําให้เส้นใยหัก จึงไม่สามาถใช้สือกลางนีในการเดินทางตามมุมตึกได้ เส้นใยนําแสงมีลกษณะพิเศษทีใช้สาหรับเชือมโยงแบบจุดไปจุด ดังนัน จึงเหมาะทีจะใช้กบการเชือมโยง ั ํ ั ระหว่างอาคารกับอาคาร หรื อระหว่างเมืองกับเมือง เส้นใยนําแสงจึงถูกนําไปใช้เป็ นสายแกนหลัก ข้ อดีของใยแก้วนําแสดงคือ 1. ป้ องกันการรบกวนจากสัญญาณไฟฟ้ าได้มาก 2. ส่งข้อมูลได้ระยะไกลโดยไม่ตองมีตวขยายสัญญาณ ้ ั 3. การดักสัญญาณทําได้ยาก ข้อมูลจึงมีความปลอดภัยมากกว่าสายส่งแบบอืน 4. ส่งข้อมูลได้ดวยความเร็ วสูงและสามารถส่งได้มาก ขนาดของสายเล็กและนําหนักเบา ้ 2. สายกลางแบบไร้สาย (Unguided media) เป็ นสือกลางประเภททีไม่ใช้วสดุใดๆ ในการนําสัญญาณ ซึงจะไม่มีการกําหนดเส้นทางให้สญญาณเดินทาง ั ั เช่น คลืนไมโครเวฟ คลืนแม่เหล็กไฟฟ้ า 2.1 ระบบคลืนไมโครเวฟ สัญญาณไมโครเวฟ (Microwave) เป็ นสือกลางในการสือสารทีมีความเร็วสูง ส่งข้อมูลโดยอาศัยสัญญาณ ไมโครเวฟ ซึงเป็ นสัญญาณคลืนแม่เหล็กไฟฟ้ าไปในอากาศพร้อมกับข้อมูลทีต้องการส่ง และจะต้องมีสถานี ทีทําหน้าทีส่งและรับข้อมูล และเนืองจากสัญญาณไมโครเวฟจะเดินทางเป็ นเส้นตรง ไม่สามารถเลียวหรื อ โค้งตามขอบโลกทีมีความโค้งได้ จึงต้องมีการตังสถานีรับ - ส่งข้อมูลเป็ นระยะๆ และส่งข้อมูลต่อกันเป็ น ทอดๆ ระหว่างสถานีต่อสถานีจนกว่าจะถึงสถานีปลายทาง และแต่ละสถานีจะตังอยูในทีสูง การส่งข้อมูล ่ ด้วยสือกลางชนิดนีเหมาะกับการส่งข้อมูลในพืนทีห่างไกลมากๆ และทุรกันดาร ปัจจุบนมีการใช้การส่งสัญญาณข้อมูลทางไมโครเวฟกันอย่างแพร่ หลาย สําหรับการสือสารข้อมูลในระยะ ั ทางไกล ๆ หรื อระหว่างอาคาร โดยเฉพาะในกรณี ทีไม่สะดวกทีจะใช้สายไฟเบอร์ออปติก หรื อการสือสาร ดาวเทียม อีกทังไมโครเวฟยังมีราคาถูกกว่า และติดตังได้ง่ายกว่า และสามารถส่งข้อมูลได้คราวละมาก ๆ ด้วย อย่างไรก็ตามปัจจัยสําคัญทีทําให้สือกลางไมโครเวฟเป็ นทีนิยม คือราคาทีถูกกว่า
  • 12. 12 ระบบสือสารด้วยคลืนไมโครเวฟ มักใช้ในการเชือมต่อเครื อข่ายทีอยูในพืนทีทีเชือมต่อด้วยสือประเภทอืน ่ ลําบาก เช่น มีแม่นาขวางกันอยู่ หรื อการสือสารข้ามอาคาร เป็ นต้น การส่งสัญญาณข้อมูลไปกับคลืน ํ ไมโครเวฟเป็ นการส่งสัญญาณข้อมูลแบบรับช่วงต่อๆ กันจากสถานีรับส่งสัญญาณหนึงไปยังอีกสถานีหนึง โดยสามารถเกิดสัญญาณรบกวน ซึงสภาพดินฟ้ าอากาศมีผลต่อการส่งคลืนไมโครเวฟพอสมควร เช่นถ้า สภาพอากาศมีฝนหรื อควันมาก สัญญาณไมโครเวฟจะถูกรบกวนได้ ด้วยเหตุนีทําให้เครื องส่งรับไมโครเวฟ ส่วนใหญ่จะถูกออกแบบมาให้ทางานในสภาพอากาศต่างๆ ทีแตกต่างกัน แสดงดังรู ป ํ ระบบคลืนไมโครเวฟ ระบบดาวเทียม ทีจริ งดาวเทียมก็คือสถานีไมโครเวฟลอยฟ้ านันเอง ซึงทําหน้าทีขยายและทบทวน สัญญาณข้อมูล รับและส่งสัญญาณข้อมูลกับสถานีดาวเทียม ทีอยูบนพืนโลก สถานีดาวเทียมภาคพืนจะทํา ่ การส่งสัญญาณข้อมูล ไปยังดาวเทียมซึงจะหมุนไปตามการหมุนของโลกซึงมีตาแหน่งคงทีเมือเทียมกับ ํ ตําแหน่งบนพืนโลก ดาวเทียมจะถูกส่งขึนไปให้ลอยอยูสูงจากพืนโลกประมาณ 23,300 กม. เครื อง ่ ทบทวนสัญญาณของดาวเทียม (Transponder) จะรับสัญญาณข้อมูลจากสถานีภาคพืนซึงมีกาลังอ่อนลงมาก ํ แล้วมาขยาย จากนันจะทําการทบทวนสัญญาณ และตรวจสอบตําแหน่งของสถานีปลายทาง แล้วจึงส่ง สัญญาณข้อมูลไปด้วยความถีในอีกความถีหนึงลงไปยังสถานีปลายทาง การสือสารผ่านดาวเทียมเป็ นการสือสารทีสถานีรับ-ส่งทีอยูบนพืนดิน ส่งตรงไปยังดาวเทียมแล้วส่งกลับ ่ มายังตัวรับปลายทางทีพืนดินอีกครังหนึง ลักษณะการสือสารระบบดาวเทียมเหมาะสําหรับการติดต่อสือสาร ระยะไกลทีระบบสือสารอืนๆ เข้าถึงลําบาก เช่น เดินเรื ออยูกลางทะเล แสดงดังรู ป ่ ระบบดาวเทียม
  • 13. 13 สัญญาณรบกวนและสภาพดินฟ้ าอากาศก็นบว่ามีผลต่อการส่งข้อมูลจากสถานีพืนโลกกับดาวเทียมอยู่ ั พอสมควร เพราะว่าสภาพอากาศทีแปรปรวนจะรบกวนสัญญาณให้ผดเพียนไปได้ โดยส่วนใหญ่ดาวเทียม ิ จะถูกออกแบบมาให้ชดเชยการรบกวนของสภาพอากาศทีแปรปรวนเหล่านันเช่น ฝน หรื อหมอก เป็ นต้น ข้อเสีย ของการส่งสัญญาณข้อมูลทางดาวเทียมคือ สัญญาณข้อมูลสามารถถูกรบกวนจากสัญญาณภาคพืน อืน ๆ ได้ อีกทังยังมีเวลาประวิง(Delay Time) ในการส่งสัญญาณเนืองจากระยะทางขึน-ลง ของสัญญาณ และทีสําคัญคือ มีราคาสูงในการลงทุนทําให้ค่าบริ การสูงตามขึนมาเช่นกัน อุปกรณ์ สําหรับการสื อสาร การสือสารข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์จาเป็ นต้องอาศัยอุปกรณ์ทางอิเล็คโทรนิกค์ช่วยในการส่งข้อมูล จากผู้ ํ ส่งไปยังผูรับ ไม่ว่าจะเป็ นการแปลงข้อมูล เช่น ข้อความในกระดาษ รู ปภาพ ทีไม่อยูในรู ปสัญญาณทาง ้ ่ ไฟฟ้ าให้เปลียนอยูในรู ปสัญญาณไฟฟ้ าหรื อสัญญาณดิจิทล อุปกรณ์ในการสือสารยังรวมถึงอุปกรณ์ทีช่วย ่ ั ในการแก้ปัญหาสัญญาณอ่อนกําลัง ปัญหาสัญญาณรบกวนเมือมีการส่งสัญญาณ ดังนันระบบการสือสาร ข้อมูลจึงต้องมีอุปกรณ์การสือสารมาช่วยในการจัดการปัญหาต่างๆ เหล่านีเพือให้สามารถส่งข้อมูลได้อย่าง ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ โดยในหัวข้อนีจะขอยกตัวอย่างอุปกรณ์ทีมีการใช้กบมากในระบบการสือสาร ั ข้อมูล 1. เครื องเทอร์มินอล (Terminal) เป็ นเครื องคอมพิวเตอร์ตนทางหรื อปลายทางทีทําหน้าทีในการส่งและรับข้อมูล ได้แก่ เครื อง ้ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทัวๆไป (Personal Computer) 2. โมเด็ม (Modem) เมือต้องการเชือมต่อเครื องคอมพิวเตอร์ตวหนึงทีไม่ได้เชือมต่อกับระบบเครื อข่าย ไปยังระบบ ั อินเทอร์เน็ต(Internet) ต้องอาศัยอุปกรณ์ทีเรี ยกว่า โมเด็ม ซึงทําหน้าทีแปลงสัญญาณจากสัญญาณดิจิทลเป็ น ั สัญญาณอนาล็อกแล้วส่งผ่านไปตามระบบโทรศัพท์ โมเด็มแต่ละประเภทจะมีคุณลักษณะทีแตกต่างกันดังนี 1. ความเร็ วในการรับ - ส่งสัญญาณ ความ เร็ วในการรับ - ส่งสัญญาณ หมายถึง อัตรา (rate) ทีโมเด็มสามารถทําการแลกเปลียนข้อมูลกับโมเด็ม อืนๆมีหน่วยเป็ น บิต/วินาที (bps) หรื อ กิโลบิต/วินาที (kbps) ในการบอกถึงความเร็ วของโมเด็มเพือให้ง่าย ในการพูดและจดจํา มักจะตัดเลขศูนย์ออกแล้วใช้ตวอักษรแทน เช่น โมเด็ม 56,000 bps จะเรี ยกว่า โมเด็ม ั ขนาด 56 K
  • 14. 14 2. ความสามารถในการบีบอัดข้อมูล ข้อมูล ข่าวสารทีส่งออกไปบนโมเด็มนันสามารถทําให้มีขนาดกะทัดรัดด้วยวิธีการบีบอัด ข้อมูล (compression) ทําให้สามารถส่งข้อมูลได้ครังละเป็ นจํานวนมากๆ เป็ นการเพิ มความเร็วของโมเด็มในการรับ - ส่งสัญญาณ 3. ความสามารถในการใช้เป็ นโทรสาร โมเด็ม รุ่ นใหม่ๆ สามารถส่งและรับโทรสาร (Fax capabilities) ได้ดีเช่นเดียวกับการรับ - ส่งข้อมูล หากคุณมี ซอฟท์แวร์ทีเหมาะสมแล้วคุณสามารถใช้แฟคซ์โมเด็มเป็ นเครื อง พิมพ์(printer)ได้เมือคุณพิมพ์เข้าไปที แฟคซ์โมเด็มมันจะส่งเอกสารของคุณไป ยังเครื องโทรสารทีปลายทางได้ 4. ความสามารถในการควบคุมความผิดพลาด โมเด็ม จะใช้วิธีการควบคุมความผิดพลาด (error control) ต่างๆ มากมายหลายวิธีในการตรวจสอบเพือการ ยืนยันว่าจะไม่มีขอมูลใดๆสูญหายไป ระหว่างการส่งถ่ายข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื องหนึงไปยังอีกเครื อง ้ หนึง 5. ออกแบบให้ใช้ได้ทงภายในและภายนอก ั โมเด็ม ทีจําหน่ายในท้องตลาดทัวๆ ไปจะมี 2 รู ปแบบ คือ โมเด็มแบบติดตังภายนอก (external modems) และ แบบติดตังภายใน (internal modems) 6. ใช้เป็ นโทรศัพท์ได้ โมเด็มบางรุ่ นมีการใส่วงจรโทรศัพท์ธรรมดาเข้าไปพร้อมกับความสามารถในการรับ - ส่งข้อมูลและ โทรสารด้วย ใช้โมเด็มทําอะไรได้บาง เราสามารถใช้โมเด็มทําอะไรต่างๆ ได้หลายอย่าง เช่น ้ 1. พบปะพูดคุย 2. ใช้บริ การต่างๆ จากทีบ้าน 3. ท่องไปบนอินเทอร์เน็ต 4. เข้าถึงบริ การออนไลน์ได้ 5. ดาวน์โหลดข้อมูล,รู ปภาพและโปรแกรมแชร์แวร์ได้ 6. ส่ง - รับโทรสาร 7. ตอบรับโทรศัพท์ การเลือกซือโมเด็ม สิ งทีควรพิจารณาในการเลือกซือโมเด็มมาใช้งาน เช่น 1. เข้ากันได้กบระบบคอมพิวเตอร์ของคุณ ั 2. เข้ากันได้กบระบบทํางาน OS ของคอมพิวเตอร์ของคุณ ั 3. ความเร็ วในการรับ - ส่งสัญญาณ
  • 15. 15 4. เป็ นโมเด็มภายนอกหรื อภายใน 5. การบีบอัดข้อมูล 6. ความสามารถในการควบคุมความผิดพลาด 7. รับ - ส่งโทรสารได้ 8. ซอฟท์แวร์สือสาร 3. เครื องทวนสัญญาณ (Repeater) เป็ นอุปกรณ์ทบทวนสัญญาณ และป้ องกันการขาดหายของสัญญาณ เนืองจาก การสือสารข้อมูลต้องใช้ สัญญาณไฟฟ้ าในการรับส่งข้อมูล โดยตามปรกติเมือสัญญาณทางไฟฟ้ าเดินทางจากจุดๆหนึงไปยังปลายทาง จะเกิดการสูญเสียแรงดันทางไฟฟ้ า และส่งผลให้สญญาณเกิดออ่อนกําลัง ดังนัน จึงจําเป็ นต้องมีรีพีตเตอร์มา ั ช่วยในการรับส่งข้อมูล โดยรี พีตเตอร์ทาหน้าทีทบทวนสัญญาณไฟฟ้ าขึนใหม่ให้เหมือนสัญญาณเดิมทีถูก ํ ส่ง 4. เครื องขยายสัญญาณ (Amplifier) เป็ นอุปกรณ์ขยายสัญญาณ โดยมีหน้าทีการทํางานเหมือนกับรี พีตเตอร์ แต่จะใช้กบสัญญาณ ั อนาล็อก โดยเมือสัญญาณอนาล็อกอ่อนกําลังเครื องขยายสัญญาณจะทําการขยายสัญญาณทีอ่อนกําลังให้มี ค่าเพิ มขึนใกล้เคียงหรื อมีค่าเท่ากับสัญญาณเดิม แต่ของเสียของเครื องขยายสัญญาณคือ มันจะขยายสัญญาณ รบกวนทีผสมมากับสัญญาณข้อมูลด้วย อุปกรณ์สือสารข้อมูล (Data Communictaion Equipment) ในการเชือมต่อคอมพิวเตอร์เข้าเป็ นเครื อข่าย จะต้องทําการเชือมระหว่างอุปกรณ์และสือกลางแบบ ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ซึงอาจมีความต้องการเฉพาะรู ปแบบต่าง ๆ เช่น การรวมข้อมูลจากหลาย ๆ จุดเพือส่งผ่าน ไปยังสายเคเบิลโทรศัพท์เพียงสายเดียว หรื ออาจต้องการขยายระยะทางการใช้งาน รวมทังอาจต้องเชือมต่อ ระหว่างเครื อข่ายทีมีลกษณะแตกต่างเข้าด้วยกัน ความต้องการเหล่นีทําให้ตองใช้อุปกรณ์พิเศษทีใช้ในการ ั ้ สือสารข้อมูลเฉพาะงา ฮับ หรือ รีพทเตอร์ (Hub, Repeater) เป็ นอุปกรณ์ทีทวน และขยายสัญญาณ เพือส่งต่อไปยังอุปกรณ์อน ี ื ให้ได้ระยะทางทียาวไกลขึน ไม่มการเปลียนแปลงข้อมูลก่อนและหลัง การรับ-ส่ง และไม่มีการใช้ ี ซอฟท์แวร์ใดๆ มาเกียวข้องกับอุปกรณ์ชนิดนี การติดตังจึงทําได้ง่าย ข้อเสียคือ ความเร็ วในการส่งข้อมูล จะ เฉลียลดลงเท่ากันทุกเครื อง เมือมีคอมพิวเตอร์มาเชือมต่อมากขึน ฮับ เรี ยกอีกอย่างหนึงว่า “LAN Concentrator” นิยมใช้ในเครื อข่าย LAN รุ่ นเก่า
  • 16. 16 โดยใช้ฮบในการเชือมสายสัญญาณจากหลาย ๆ จุดเข้าเป็ นจุดเดียวในโทโปโลยีของ LAN แบบ Star เช่น ั 10BaseT เป็ นต้น ฮับสามารถแบ่งได้ เป็ น 2 ประเภท คือ Passive Hub เป็ นฮับทีไม่มีการขยายสัญญาณใด ๆ ทีส่งผ่านมา ข้อดี คือ ราคาถูก และไม่จาเป็ น ํ ต้องใช้พลังงานไฟฟ้ า - Active Hub ทําหน้าที เป็ นเครื องทวนซําสัญญาณในตัว คือ ขยายสัญญาณทีส่งผ่านทําให้สามารถ เชือมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ผ่านสายเคเบิลได้ไกลขึน ทําให้ตองใช้พลังงานไฟฟ้ า ้ สวิทช์ หรือ บริดจ์ (Switch, Bridge) เป็ นอุปกรณ์สาหรับเชือมต่อ เครื อข่ายท้องถิ น หรื อ แลน ํ (LAN) ประเภทเดียวกัน ใช้โปรโตคอลเดียวกัน สองวงเข้าด้วยกัน เช่น ใช้เชือมต่อ อีเธอร์เน็ตแลน (Ethernet LAN) หรื อ โทเคนริ งก์แลน (Token Ring LAN) ทังนี สวิทช์ หรื อ บริ ดจ์ จะมีความสามารถในการเชือมต่อ ฮาร์ดแวร์ และตรวจสอบข้อผิดพลาด ของการส่งข้อมูลได้ดวย ความเร็ วในการส่งข้อมูล ก็มิได้ลดลง และ ้ ติดตังง่าย สวิทช์ หรื อทีนิยมเรี ยกว่า “Ethernet Switch” เป็ นสะพานหลายช่องทาง (Multiport Bridge) ทีนิยม ใช้ในระบบเครื อข่ายแลนแบบ Ethernet เพือเชือมต่อเครื อข่ายหลายๆ Segmentเข้าด้วยกันสวิตช์จะช่วยสด การจราจรระหว่างเครื อข่ายทีไม่จาเป็ น ทําให้สามารถทําการแลกเปลียนข้อมูลในแต่ละ ํ เครื อข่าย (Switching) ได้อย่างรวดเร็ว เร้ าเตอร์ (Router) เป็ นอุปกรณ์ทีทํางานคล้าย สวิทช์ แต่จะสามารถเชือมต่อ ระบบทีใช้สือ หรื อ สายสัญญาณต่างชนิดกันได้ เช่น เชือมต่อ อีเธอร์เน็ตแลน (Ethernet LAN) ทีส่งข้อมูลแบบ ยูทีพี (UTP: Unshield Twisted Pair) เข้ากับ อีเธอร์เน็ตอีกเครื อข่าย แต่ใช้สายแบบโคแอ็กเชียล เป็ นอุปกรณ์เชือมต่อ ระหว่างเครื อข่ายทีใช้โปรโตคอลเครื อข่ายต่างกันและสามารถทําการ กรอง (filter) เลือกเฉพาะชนิดของ ข้อมูลทีระบุไว้ว่าให้ผานไปได้ ทําให้ช่วยลดปัญหาการจราจรทีคับคังของข้อมูล และเพิ มระดับความ ่ ปลอดภัยของเครื อข่าย นอกจากนีเราเตอร์ยงสามารถหาเส้นทาง ั การส่งข้อมูลทีเหมาะสมให้โดยอัติโนมัติดวย อย่างไรก็ตามเราท์เตอร์จะขึนกับโปรโตคอล ซึงในการใช้งาน ้ จะต้องเลือกซือเราท์เตอร์ทีสนับสนุนโปรโตคอลของเครื อข่าย ทีต้องการจะเชือมต่อเข้าด้วยกัน (เราท์เตอร์ อาจเป็ นฮาร์ดแวร์เฉพาะหรื อซอฟต์แวร์เราท์เตอร์ก็ได้)(Coaxial cable) ได้ นอกจากนียังช่วยเลือก หรื อ กําหนดเส้นทางทีจะส่งข้อมูลผ่าน และแปลงข้อมูลให้เหมาะสมกับการนําส่ง แน่นอนว่าการติดตังย่อม ยุงยากมากขึน ่
  • 17. 17 เกทเวย์ (Gateway) เป็ นอุปกรณ์ทีมีความสามารถสูงสุด ในการเชือมต่อเครื อข่ายต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยไม่มี ขีดจํากัด ทังระหว่างเครื อข่ายต่างระบบ หรื อแม้กระทัง โปรโตคอล จะแตกต่างกันออกไป เกทเวย์ จะแปลง โปรโตคอล ให้เหมาะสมกับอุปกรณ์ทีต่างชนิดกัน จัดเป็ นอุปกรณ์ทีมีราคาแพง และติดตังใช้งานยุงยาก เกต ่ เวย์บางตัว จะรวมคุณสมบัติในการเป็ น เร้าเตอร์ ด้วยในตัว หรื อแม้กระทัง อาจรวมเอาฟังก์ชนการทํางาน ั ด้านการรักษาความปลอดภัย ทีเรี ยกว่า ไฟร์วอลล์ (Firewall) เข้าไว้ดวยกัน ้ มัลติเพล็กซ์ เซอร์ (Multiplexer) เป็ นอุปกรณ์รวมสัญญาณ มักเรี ยกกันว่า“MUX” ช่วยลดค่าใช้จ่าย ในการส่งข้อมูลผ่านสายสือสาร โดยทําการรวมข้อมูล (Multiplex) จากเครื องเทอร์มินลจํานวนหนึงเข้า ั ด้วยกัน และส่งผ่านสายสือสารเช่นสายโทรศัพท์ และทีปลายทาง MUX อีกตัวก็จะทําหน้าที แยกข้อมูล(deMultiplex)ส่งไปยังจุดหมายทีต้องการ คอนเซนเตรเตอร์ (Concentrator) นิยมเรี ยกกันว่า คอนเซน จะเป็ นมัลติเพลกเซอร์ทีมีประสิทธิภาพสูงขึน โดยจะสามารถทําการเก็บข้อมูลเพือส่งต่อ (store and forward) โดยใช้หน่วยความจําbuffer ทําให้สามารถ เชือมต่อระหว่างอุปกรณ์ทีมีความเร็ วสูงกับความเร็ วตําได้ รวมทังอาจมีการบีบอัดข้อมูล (compress) เพือให้ สามารถส่งข้อมูลได้มากขึน เครืองทวนซําสัญญาณ (Repeater) เป็ นอุปกรณ์เชือมต่อสําหรับขยายสัญญาณให้เครื อข่าย เพือเพิ มระยะทาง ในการรับส่งข้อมูลผ่านเครื อข่ายให้ไกลออกไปได้กว่าปกติ ข้อจํากัดของเครื องทวนซํา สัญญาณคือทําหน้าทีในการส่งต่อสัญญาณทีได้รับมาเท่านัน จําไม่มีการติดต่อกับระบบเครื อข่าย และไม่รู้จกลักษณะของข้อมูลทีแฝงมากับสัญญาณเลย ั การเชือมต่อเครือข่ ายแบบสลับช่ องทางการสื อสาร (Switched Network) รู ปแบบการเชือมต่อทีเป็ นแบบจุดซึงต้องต่อสายสือสารไว้ตลอดเวลา แต่ในทางปฏิบติจริ งแล้วการสือสาร ั ข้อมูลไม่ได้ผานตลอดเวลา ดังนันจึงมีแนวความคิด ในการเชือมต่อเครื อข่ายแบบสลับช่องทางการสือสาร ่ หรื อเครื อข่ายสวิตซ์ซิ ง เพือเพิ มประสิทธิภาพของการเชือมต่อเครื อข่ายแบบจุดต่อจุดให้สามารถใช้สือสาร ได้มากทีสุด เครื อข่ายแบบสลับช่องทางการสือสารทีเห็นโดยทัวไปมี 4 รู ปแบบดังนี 1. เครื อข่ายสือสารโทรศัพท์ (The Telephone NetworK)
  • 18. 18 2.เครื อข่ายสือสารเทลเล็กช์ (The Telex/TWX Network) 3. เครื อข่ายสือสารแพคเกตสวิตซ์ซิ ง(package Switching Network) 4. เครื อข่ายสือสารสเปเซียลไลซ์ ดิจิตอล(Specialized Digital Network) หลักการทํางานของเครื อข่ายแบบสลับช่องทางการสือสารดังนี 1. การเชือมต่อด้องเป็ นแบบจุดต่อจุด 2. ต้องมีการเชือมต่อการสือสารกันทังฝ่ ายรับและส่งก่อนจะเริ มรับหรื อส่งข้อมูล เช่น หมุนเบอร์ โทรศัพท์ เป็ นต้น หลังจากสือสารกันเสร็ จเรี ยบร้อยจะต้องตัดการเชือมต่อ เพือให้ผอืนใช้สาย ู้ สือสารได้ต่อไป การใช้ เทคโนโลยีการสื อสาร การสือสารข้อมูลในยุคปัจจุบน ได้ตะหนักถึง ความสําคัญในการนําเทคโนโลยีคมนาคมและ ั การสือสารมาช่วยงานเพือเพิ มประสิทธิภาพของการดําเนินงาน ซึงการประยุกต์เทคโนโลยีการ สือสารในองค์การมีดงนี ั ไปรษณี ยอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail : E-mail) ์ การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และพีดีเอ ส่งข้อความ อิเล็กทรอนิกส์ไปยังบุคคลอืน โดยการสือสารนีบุคคลทีทําการสือสารจะต้องมีชือและทีอยูใน ่ รู ปแบบอีเมล์แอดเดรส โทรสาร (Facsimile หรื อ Fax) เป็ นการส่งข้อมูล ซึงอาจเป็ นข้อความทีเขียนขึนด้วยมือหรื อการ พิมพ์ รู ปภาพ หรื อกราฟต่างๆ จากเครื องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อืนๆ ทีมีอุปกรณ์ที เรี ยกว่าแฟกซ์-โมเด็มไปยังเครื องรับโทรสาร การส่งข้อความในลักษณะนีช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย และมีประสิทธิภาพสูงกว่าการส่งข้อมูลผ่านเครื องโทรสารธรรมดา วอยซ์เมล (Voice Mail) เป็ นการส่งข้อความเป็ นเสียงพูดให้กลายเป็ นข้อความอิเล็กทรอนิกส์ผาน ่ ระบบเครื อข่ายการสือสารข้อความจะถูกบันทึกไว้ในอุปกรณ์บนทึกเสียงทีเรี ยกว่าวอยซ์เมล์บ็อกซ์ ั เมือผูรับเปิ ดฟังข้อความดังกล่าวก็จะถูกแปลงกลับไปอยูในรู ปแบบของเสียงพูดตามเดิม ้ ่ การประชุมทางไกลอิเล็กทรอนิกส์ (Video Conferencing) เป็ นการสือสารข้อมูลโดยการส่งภาพและ เสียงจากฝ่ ายหนึงไปยังอีกฝ่ ายหนึง ในการใช้ Video Conferencing จะต้องมีอุปกรณ์สาหรับการ ํ บันทึกภาพและอุปกรณ์บนทึกเสียง โดยทีภาพและเสียงทีส่งไปนันอาจเป็ นภาพเคลือนไหวทีมีเสียง ั ประกอบได้ การประชุมทางไกลอิเล็กทรอนิกส์ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไป ประชุม
  • 19. 19 การระบุตาแหน่งด้วยดาวเทียม(Global Positioning Systems : GPSs) เป็ นระบบทีใช้วิเคราะห์และ ํ ระบุตาแหน่งของคน สัตว์ หรื อสิ งของทีเป็ นเป้ าหมายของระบบ การวิเคราะห์ตาแหน่งทําได้โดยใช้ ํ ํ ดาวเทียมระบุตาแหน่ง ปัจจุบนมีการนําไปใช้ในระบบการเดินเรื อ เครื องบินและเริ มพัฒนามาใช้ ํ ั เพือระบุตาแหน่งของรถยนต์ดวย ํ ้ กรุ๊ ปแวร์(groupware) เป็ นโปรแกรมประยุกต์ทีช่วยสนับสนุนการทํางานของกลุ่มบุคคลให้ สามารถทํางานร่ วมกัน การใช้ทรัพยากรและสารสนเทศร่ วมกันโดยผ่านระบบเครื อข่าย การโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์(Electronic Fund Transfer : EFT) ปัจจุบนผูใช้สามารถชําระค่า ั ้ สินค้าและบริ การโดยการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์จากบัญชีธนาคารทีให้บริ การโอนเงินอัตโนมัติ ด้วยเทคโนโลยีการสือสารทีทันสมัย กิจกรรมทีประยุกต์ใช้กนเป็ นประจํา ได้แก่ การโอนเงินผ่าน ั ทางตู้ ATM การแลกเปลียนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์(Electronic Data Interchange : EDI) เป็ นระบบแลกเปลียน ข้อมูลเชิงทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างองค์การ โดยใช้แบบฟอร์มของเองกสารอิเล็กทรอนิกส์ทีมี รู ปแบบมาตรฐานสากล เช่น การส่งใบสังสินค้า ใบส่งของ ใบเรี ยกเก็บเงิน การระบุลกษณะของวัตถุดวยคลืนความถีวิทยุ(RFID) เป็ นระบบระบุลกษณะของวัตถุดวยคลืน ั ้ ั ้ ความถีวิทยุ ปัจจุบนมีการนํา RFID ไปประยุกต์ใช้งานหลากหลายประเภท เช่น ห่วงโซ่อุปทาน ั ระบบโลจิสติกส์การตรวจสอบฉลากยา การใช้ในฟาร์มเลียงสุกร บัตรทางด่วน บัตรรถไฟฟ้ าใต้ดิน ระบบหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ ชนิดของสัญญาณข้ อมูล 1. สัญญาณแอนะล็อก(Analog Signal) เป็ นสัญญาณแบบต่อเนือง มีลกษณะเป็ นคลืนไซน์ (Sine Wave) โดยทีแต่ละคลืนจะมีความถีและ ั ความเข้มของสัญญาณทีต่างกัน เมือนําสัญญาณข้อมูลเหล่านีมาผ่านอุปกรณ์รับสัญญาณและแปลง สัญญาณและแปลงสัญญาณก็จะได้ขอมูลทีต้องการ ้ เฮิรตซ์ (Hertz) คือหน่วยวัดความถีของสัญญาณข้อมูลแบบแอนะล็อก วิธีวดความถีจะนับจํานวนรอบ ั ของสัญญาณทีเกิดขึนภายใน 1 วินาที เช่น ความถี 60 Hz หมายถึง ใน 1 วินาที สัญญาณมีการ เปลียนแปลงระดับสัญญาณ 60 รอบ 2. สัญญาณดิจิทล(Digital Signal) ั สัญญาณดิจิทลเป็ นสัญญาณแบบไม่ต่อเนือง รู ปสัญญาณของสัญญาณมีความเปลียนแปลงทีไม่ ั ปะติดปะต่ออย่างสัญญาณแอนะล็อก ในการสือสารด้วยสัญญาณดิจิทล ข้อมูลในคอมพิวเตอร์ซึงเป็ น ั เลขฐานสอง (0และ1) จะถูกแทนด้วยสัญญาณดิจิทล ั Bit Rate เป็ นอัตราความเร็ วในการส่ง ข้อมูลแบบดิจิทล วิธีวดความเร็ วจะนับจํานวนบิตข้อมูลทีส่งได้ในช่วงระยะเวลา 1 วินาที เช่น 14,400 ั ั
  • 20. 20 bps หมายถึง มีความเร็ วในการส่งข้อมูลจํานวน 14,4001 บิตในระยะเวลา 1วินาที โมเด็ม(Modulator DEModulator หรื อ Modem) โมเด็ม(Modem) เป็ นอุปกรณ์ทีทําหน้าทีแปลงสัญญาณดิจิทลจากเครื องคอมพิวเตอร์ให้เป็ น ั สัญญาณแอนะล็อก ความเร็ วในการสือสารข้อมูลของโมเด็มวันเป็ นบิตต่อวินาที (bit per second หรื อ bps) ความเร็วของโมเด็มโดยทัวไปมีความเร็วเป็ น 56 กิโลบิตต่อวินาที ประโยชน์ ของการสื อสารข้ อมูล 1. เพือการสือสารทางธุรกิจทีดีขึน 2. เพือให้การดําเนินงานมีประสิทธิภาพสูงขึน 3. เพือการกระจายข้อมูลทีดีขึน 4. เพือการจัดการกระบวนการธุรกิจทีสะดวกขึน ประเภทของการสือสาร ประเภทของการสือสารแบ่งออกเป็ น 2 ประเภทคือ - สัญญาณอนาล็อก (Analog signal) - สัญญาณดิจิตอล (Digital signal) 1.สัญญาณอนาล๊อก (Analog signal) คือ เป็ นสัญญาณแบบต่อเนือง ทีมีลกษณะเป็ นคลืนไซน์(Sine Wave) ั โดยหน่วยวัดสัญญาณแบบนีคือ เฮิรตซ์(Hertz) โดยมีลกษณะสมบัติ 2 ประการคือ ั • ความ ถีของคลืน (Frequency) คือ จํานวนครังทีคลืนทวนซําระหว่างช่วงเวลาทีกําหนด หมายถึง จํานวนครังทีคลืนจะเสร็ จสิ นหนึงรอบในหนึงวินาที ความถีทีถูกเพิ มขึนจะถูกแทนด้วย1 • ช่วง กว้างของคลืน (Ampitude) คือ ความสูงของคลืนภายในคาบเวลาทีกําหนด ความกว้าง หมายถึง ความดังของสัญญาณเสียง โดยกําหนดให้เสียงทีดังเพิ มขึนถูกแทนด้วย 1 2.สัญญาณดิจิตอล (digital signal) คือ เป็ นสัญญาณแบบไม่ต่อเนือง รู ปแบบของสัญญาณมีความ เปลียนแปลงทีไม่ปะติดปะต่ออย่างสัญญาณแอนะล็อก ในการสือสาร ด้วยสัญญาณดิจิตอล ข้อมูลใน คอมพิวเตอร์ซึงเป็ นเลขฐานสอง (0 และ 1) จะถูกแทนด้วยสัญญาณดิจิตอล
  • 21. 21 การรับสั ญญาณ จากสถานีภาคพืนดินเพือขยายสัญญาณ ปรับความถีของคลืน และส่งสัญญาณกลับลง มายังสถานีภาคพืนดินหลายจุด ในบริ เวณทีกว้างมาก เพือลดข้อจํากัดของไมโครเวฟ และทีสําคัญคือ ดาวเทียมสามารถสือสารข้อมูลจากแหล่งส่ง 1 แหล่งไปยังผูรับจํานวนมากบนพืนทีต่างๆ ทัวโลก ้ ระบบแบบเดินสายเคเบิล (Wired system) จะรวมถึงสือกลางทีเป็ นสายทังหมด ระบบเครื อข่ายทีอุปกรณ์ต่างๆ อยูห่างกันไม่มากนัก ่ สายสัญญาณทีมีใช้งานอยูในปัจจุบน จะมีชนิดต่าง ๆตามลักษณะเครื อข่าย และความต้องการในการใช้งาน ่ ั • สายคู่บิดเกลียวแบบมีชีลด์และไม่มีชีลด์ (Shielded and UnShielded Twisted-Pair Cable) เป็ นสายทีมีราคาถูกทีสุด ประกอบด้วยสายทองแดงทีมีฉนวนหุมจํานวน 2 เส้น นํามาพันกันเป็ นเกลียว สาย ้ เกลียวคู่หนึงจะแทนช่องทางการสือสาร (Channel) ได้หนึงช่องทาง แบบมีชีลด์ แบบไม่มีชีลด์
  • 22. 22 • สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable) เป็ นสายสือสารทีสามารถส่งข้อมูลไกลกว่าสายแบบคู่บิดเกลียวแต่มีราคาสูงกว่า ประกอบด้วยสวนของสาย ส่งข้อมูลทีเป็ นลวดทองแดงหุมด้วยฉนวนอยูตรงกลาง จากนันจะหุมด้วยตัวนําเพือเป็ นสายกราวนด์และหุม ้ ่ ้ ้ ด้วยฉนวนเป็ นเปลือกนอกอีกชันหนึง สามารถส่งข้อมูลได้ทงแบบเบสแบนด์และบรอดแบนด์ ั สรุปการสื อสารข้ อมูล สรุ ปการสือสารข้อมูลเป็ น การโอนถ่าย (Transmission) ข้อมูลหรื อการแลกเปลียนข้อมูลระหว่างต้นทางกับ ปลายทาง โดยใช้อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์หรื อเครื องคอมพิวเตอร์ ซึงมีตวกลาง เช่น ซอฟต์แวร์ ั คอมพิวเตอร์สาหรับควบคุมการส่งและการไหลของข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง นอกจากนีอาจจะมี ํ ผูรับผิดชอบในการกําหนดกฏเกณฑ์ในการส่งหรื อรับข้อมูลตามรู ปแบบทีต้องการ ้